620413 พ่อครูเทศน์เปิดงานตลาดอาริยะสงกรานต์ปีใหม่ไทย 2562
พ่อครูว่า… ณ บัดนี้ก็จะการเร่ิมงานตลาดอาริยะปี 2562 ก่อนอื่นอาตมาจะได้ให้ความรู้ทางธรรมะ ซึ่งทฤษฏีธรรมะที่อาตมาฟได้นำมาเปิดเผยมันต่างไปจากหมู่ใหญ่มากเลย มันทวนกระแสกัน เช่นเราเป็นคนจน จิตใจเราเห็นดีว่าเราไม่ต้องสะสมเงิน เป็นคนจน แต่เป็นคนจนที่มีน้ำใจเป็นคนจนที่เห็นแก่ผู้อื่นเป็นคนจนที่ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ขี้เหนียวไม่ตระหนี่เป็นคนจนช่วยเหลือเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น และเป็นคนที่มีวัตถุมีทรัพย์สินข้าวของก็นำไปแจกจ่ายเผื่อแผ่แก่ผู้อื่นได้เพราะเราเป็นคนกินใช้ไม่เปลืองไม่ผลาญพร่าทำลายรู้จักสาระที่แท้อะไรเป็นสาระสำคัญของชีวิต
เรามีสมรรถนะมีความขยันผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหาร วัตถุเครื่องใช้ จนถึงเทคโนโลยี สามารถทำให้ตนเองได้อาศัยและเผื่อแผ่ให้คนอื่นอาศัยโดยไม่เอาเปรียบไม่หวงแหนมีพอก็เผื่อแผ่แจกจ่ายเจือจาน มีจิตใจไม่ต้องการสิ่งตอบแทน
พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ให้เราเป็นคนที่ทำทาน โดยเป็นคนมีจิตใจให้ ให้ทาน (ทานังเทติ) คือให้แล้วทำทานไปแล้ว ไม่ทำจิต ขี้โลภไม่เห็นแก่ได้ ให้แล้วก็ทำจิตให้ไปเลย ให้ไปแล้วจะต้องทำใจในใจ (มนสิการ) ผู้ใดทำใจในใจของตนเป็นก็ทำใจไม่ให้มีการหวัง หวังว่าจะได้อะไรกลับคืนมาตอบแทน ไม่ตอบแทนในคราวนี้ก็หวังว่าเขาจะมาตอบแทนเราในคราวหน้าชาติหน้าก็เป็นจิตสะสมผูกพันต่อเนื่อง ว่ าเป็นของเราอยู่นะ เราต้องได้ตอบแทนกลับมามากกว่าเก่า เป็นการได้เปรียบเอาเปรียบ ให้ไป 5 จะต้องได้คืนมา 10 คืนมา100 เป็นความขี้โลภเห็นแก่ได้มักมาก เป็นจิตที่เลวจิตใจที่ไม่ดีเลย เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็สอนเป็นคำบาลีว่าไว้
ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง
อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว มี
1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ
2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ
3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ
4.อิมํ เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ
อันที่ 2 ดาวดึงส์ คือ ทำทานเพราะว่าเห็นว่าเป็นความดี
อันที่ 3 ยามา คือ ทำทานเพราะเพื่อเป็นประเพณี
อันที่ 4 ดุสิต คือทำทานเพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารเองไม่ได้
อันที่ 5 นิมมานรดี คือทำทานเพราะทำตามฤาษีใหญ่ๆ
อันที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทานเพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ(อตฺตมนตาโสมนสฺสํ)
อันที่ 7 สหายแห่งพรหม คือทำทานอย่างมี จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ (ต้องทำปุญญาภิสังขาร ทำทานเพื่อลดกิเลส)
สะสมความผูกพันไปยึดมันถือมั่นเป็นตัวเราของเรา
เป็นการ “สร้างวิมานในฝัน สวรรค์คนเพ้อ คนเฟ้อจนฟุ้ง สีรุ้งแห่งปริซึมของความคิด”
ใครที่ได้ทำใจในใจไม่ให้หวังอย่างที่อาตมาได้พูดไป โดยกาย วาจา ใจ ของเราสร้างสรรสัมพันธ์กับมนุษย์โลกอย่างไม่เป็นโทษเป็นภัย มนุษย์ทำแล้วมีพฤติกรรมสำเร็จตามที่อาตมาพูดเป็นมนุษย์ประเสริฐสมบูรณ์แบบ หากเป็นอรหันต์ก็เป็นคนหมดภัยหมดโทษมีแต่ประโยชน์ต่อผู้อื่น พระอรหันต์แต่ละองค์มีจิตและกรรมที่ไม่เป็นโทษภัยกับใครเลยเหมือนพืช พืชเป็นพีชนิยาม จะสร้างสรรตัวตน มีตัวตนแล้วแต่ไม่เป็นโทษภัยกับใครหรืออะไรเลยมีแต่ประโยชน์คุณค่าให้คนให้สัตว์ได้อาศัยใช้สอย
พระอรหันต์ทำจิตให้เป็นพีชนิยามได้และมีส่วนเหลือทำประโยชน์ต่อผู้อื่นได้อย่างมหาศาล สร้างให้เหลือแล้วเผื่อแผ่แจกจ่ายให้แก่คนแก่สัตว์แม้แต่ที่สุดให้พืชให้ดิน เศษอาหารของพืชก็เป็นอาหารแก่ดิน ก็เลยเป็นสิ่งประเสริฐสุดยอด
ธรรมะพระพุทธเจ้าอาตมาใช้เวลาเล็กน้อยขยายความเรื่องทานเป็นคุณธรรมที่ประเสริฐสุดยอด ชาวอโศกได้ก่อร่างสร้างเป็นชาวอโศกเป็นลูกของพระพุทธเจ้าเพราะมีความรู้มีจิตใจเป็นเชื้อของพระพุทธเจ้าก็เลยเกิดเป็นคนมีกรรม แบบตามพระพุทธเจ้าแม้จะไม่ครบไม่เหมือน100% ก็พัฒนาปรับปรุงให้สมบูรณ์แบบไปเรื่อยๆให้เป็นคนประเสริฐเชื้อสายพระพุทธเจ้า ทำตนให้เป็นลูกพระพุทธเจ้าจริงๆได้ ชาติแล้วชาติเล่า สร้างลูกหลานที่เป็นเชื้อสายพระพุทธเจ้าต่อไปเป็นเผ่าพันธุ์ของพระพุทธเจ้าสร้างสืบสานสืบทอดให้เป็นมนุษย์มีรูปแบบมีจิตใจแบบพระพุทธเจ้า แล้วจิตใจใครเป็นเชื้อสายพระพุทธเจ้าเบื้องต้นไม่เป็นโทษภัยกับใครมีแต่ประโยชน์คุณค่าต่อคนอื่นสัตว์และโลก ยิ่งเป็นคุณค่าแก่ผู้อื่นยิ่งขึ้นมากขึ้นมีคุณค่าประเสริฐดีงามมากยิ่งขึ้น นี่คือเผ่าพันธุ์ของพระพุทธเจ้า ผู้ใดคิดว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ความจริงในความเป็นคน แล้วสร้างให้คนเป็นลูกท่านที่มีเชื้อของจริง จิตใจเป็นประธานกาย วจี มโนที่ประเสริฐสุด
จิตคือสิ่งยิ่งใหญ่ที่สุดของคน จะสร้างโลกหรือทำลายโลกก็ได้ โลกแต่ละลูก มีวงโคจนในจักรวาลเล็กใหญ่ ก็มีน้ำมีชีวะ เป็นสัตว์เล็กจนสัตว์ใหญ่ จนมาเป็นคน คนก็มีทั้งเลวร้ายสุดๆ แล้วก็ปรับปรุงให้ดี ดีจนตีกลับ ไม่เหลือตัวตน ดีจนรู้ว่า ถ้าจะอยู่จะมีชีวิตอยู่เป็นสัตว์โลกหรือจะสลายชีวะอัตภาพอย่างไร ก็ทำได้ สูงสุดคือพระพุทธเจ้าที่สามารถปรินิพพานเป็นปริโยสาน สามารถทำตนให้มีความเจริญสูงสุดแล้วสลายจากจิตนิยามไปสู่อุตุนิยามหรือพีชนิยามได้ เป็นพืชก็ไม่ฟื้ไปหาจิตนิยามอีกแล้วมีแต่รอวันสลายไปในที่สุด จะกลับมาเป็นสัตว์โลกอีกไม่มีอีกแล้ว นี่คือจิตที่มีอำนาจสามารถทำตนให้เป็นคนอย่างที่อาตมาได้กล่าวไปแล้ว
เป็นชีวิตที่เจริญขึ้นๆ เป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ไปตามลำดับ ระดับ 5 อนุโพธิสัตว์ จะเป็นชีวะในโลกยังไม่สลายไปก็ได้ สั่งสมบารมีความประเสริฐไปอีกเป็นผู้ที่บำเพ็ญไป สูงสุดเป็นพระพุทธเจ้าได้ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ต้องพากเพียรต่อ เป็นการเข้ามหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้าเข้าได้แล้ว แต่จะสำเร็จปริญญาสูงสุดของพระพุทธเจ้าหรือไม่ก็ไม่แน่ ต้องให้ดีจนไม่ถูกไล่ออก และพากเพียรศึกษาปฏิบัติพัฒนาไปเป็นคนสูงสุดได้
โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้ามีสัพพัญญูสุดยอดแล้ว แต่ปัจเจกพระพุทธเจ้ามีสัพพัญญุตาญาณเท่าพระพุทธเจ้าแต่ท่านไม่ได้ประกาศศาสนาพุทธเท่านั้นเองแล้วท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ท่านไม่ประกาศตนเองต่อโลกเท่านั้นเอง เป็นสิทธิของท่านที่ท่านจะสลายอัตภาพได้
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความเป็นพุทธสูงสุดได้จึงเป็นประโยชน์ต่อโลกทำให้เกิดสังคมอยู่เย็นเป็นสุข อาตมานำพาชาวอโศกมาทำได้ผลอย่างนี้ มีวงจรของความเป็นอยู่ของมนุษยชาติ ตอนนี้เราพยายามเร่งรัดพัฒนาให้คนมาอยู่เป็นสมาชิกชุมชนราชธานีอโศกสัก 777 คนอยู่ในระบบสาธารณโภคี ใครที่เห็นว่าตนเองพอมาได้ก็ยินดีต้อนรับ มีคุณธรรมเพียงพอก็มาได้ มาสร้างสังคมมนุษยชาติ ณ ตรงนี้เราเรียกว่าแผ่นดินพุทธผู้ใดสนใจก็เชิญ