620417_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พรหมชาลสูตร ตอนที่ 1
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1NJXXitlN0e-jOJgnXw9tuxYrdQMymt6QFzS5HA_hkYI/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1BUvTsje4Ovxi0j_fvPqMdS6d-dh5bEsY
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธที่ 17 เมษายน 2562 ที่บวรราชธานีอโศก เรากำลังเสร็จสิ้นงานปลุกเสกและตลาดอาริยะ 2562 โลกข้างนอกตายไปแล้ว 400 กว่าคน ช่วง 7 วันอันตราย แต่เป็นสถิติที่ลดลง นายกฯบอกว่าไม่ได้พอใจหรอกจะตายเท่าไหร่จะไปพอใจได้อย่างไร ก็ดูว่าปีนี้แม้จะตั้งโทษด้วยนะ ถ้ากินเหล้าขับรถ แล้วชนคนตายก็จะต้องให้ติดคุกให้ได้เป็นเจตนาฆ่าคนตาย แม้จะขู่หนักขนาดนี้ก็ไม่อยู่ ก็ยังเมากันอยู่เหมือนเดิมแสดงว่า คนเมาถึงจุดๆหนึ่งก็แก้ไม่ได้ น่าจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่เที่ยวสนุกสนานแล้วตายมากกว่าสงครามอีก 5-6 วันมานี้ เราไปชุมนุมกันเป็นปีก็ไม่ตายมากนัก อย่างนี้เลย
มหาวิหาร นอทเทอร์ดัม อายุ 850 ปีที่กรุงปารีส ถูกไฟไหม้ไป เป็นที่เสียดายกันในโลก เรากำลังดำเนินสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติมากที่สุด อย่างการสร้างสไลเดอร์ที่นี่ ที่บ้านราชฯ ใช้สถานที่ทำสถานที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์โลกให้มากที่สุด แต่ในวัดต่างๆการใช้ประโยชน์ไม่มากเท่าที่ควรจะเป็น แต่ลงทุนไปมากมาย
การจัดงานตลาดอาริยะของเราก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน ทำเสร็จแล้วก็เหนื่อยก็เลยใกล้นิพพานคือทำเพื่อประโยชน์คนอื่นอย่างเดียว ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า
พ่อครูอ่านSMSว่า…
_จาก ชานติ คำว่า สังวร และ สำรวม มีความหมายเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า…มีความหมายเหมือนกัน สังวร เป็นบาลี สำรวมเป็นภาษาไทยเท่านั้นเอง
_จากปุญญา ธัมมา ที่พ่อครูเคยพูดว่า เรือจำนวนมากที่นำมาที่บ้านราช…แล้วบ้านราชเมืองเรือ จะเป็นชุมชนที่ลอยน้ำในอนาคตไหม
พ่อครูว่า…ตอบไม่ได้ ว่าที่นี่จะกลายเป็นทะเลหรือน้ำท่วมไปหมดหรือไม่ ก็ตอบไม่ได้ เพราะว่าโลกมันเปลี่ยนแปลงไป ทะเลกลายเป็นภูเขา ในวาระใดวาระหนึ่ง ภูมิประเทศของโลกก็พลิกได้ ทะเลก็กลายเป็นภูเขาภูเขาก็กลายเป็นทะเลมันเป็นไปได้ไม่เห็นประหลาดอะไร จะไปถามทำไม เราอยู่ที่นี่ไม่ได้ก็ไปหาที่อื่นอยู่ไม่เห็นยาก
พ่อครูว่า…เรามาเข้าสู่เรื่องราวของศาสนา อาตมาจะบรรยายไปตามพระไตรปิฎก ผู้ที่รวบรวมพระไตรปิฎกก็เป็นพระอรหันต์กันมาทั้งนั้น ในพระสูตรเล่มแรก ส่วนเรื่องพระวินัยมี 8 เล่ม ในพระสูตรเล่มแรกมี 13 สูตร ท่านได้ไล่เรียงอธิบายเป็นเนื้อหาสาระ เรื่องราวเนื้อหาสาระ แม้แต่หลักคำสอนใหญ่ๆ
อ่าน
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๙
สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย(ยาว) สีลขันธวรรค(ประกอบด้วยศีลและเรื่องราวประกอบ)
-
พรหมชาลสูตร
เรื่องสุปปิยปริพาชกกับพรหมทัตตมานพ
[1] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค เสด็จดำเนินทางไกลระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาฬันทาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป แม้สุปปิยปริพาชกก็ได้เดินทางไกลระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาฬันทา พร้อมด้วยพรหมทัตตมาณพผู้อันเตวาสิก. ได้ยินว่าในระหว่างทางนั้น.สุปปิยปริพาชก กล่าวติพระพุทธเจ้า ติพระธรรม ติพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย ส่วนพรหมทัตตมาณพอันเตวาสิกของสุปปิยปริพาชก กล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย
พ่อครูว่า..ในยุคโน้นก็เหมือนยุคนี้ที่แตกเป็นสำนักต่างๆ ต่างคนต่างก็มีการอธิบายขยายความพระธรรม ถ้าทำเอามาจากต้นตอของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน สมัยพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เรียกว่าพระธรรม เขาเรียกว่าพระเวท ต่างคนก็ต่างได้พระเวทมา จำพระเวทมาต้นเค้าได้หมด แต่มาขยายเสริมเติมไปกัน ดีไม่ดีที่เสริมเติมนั้นมากกว่าของเก่า เหมือนยุคนี้มีสำนักต่างๆ แม้แต่สำนักอโศกเกิดมายุคนี้ก็เลยต่างจากเขา ทีนี้แต่ละสำนักก็ยืนยันว่าของตัวเองถูกเป็นเรื่องสามัญอย่างนั้น ก็แล้วอันไหนล่ะถูก ก็ไม่มีใครช่วยตัดสินได้ ก็คนแต่ละคนใครก็ตามใจ ก็ต้องใช้วิจารณญาณใช้ภูมิปัญญาของตัวเอง พระพุทธเจ้าก็บอกว่าต้องไปฟังธรรมะของแต่ละสำนัก สำนักใดเป็นธรรมวาที คุณก็เอาอันนั้น สำนักใดที่เห็นว่าเป็นอธรรมวาทีก็ไม่ต้องเอา
อย่างพวกคุณมาฟังอาตมา อาตมาภูมิใจอย่างหนึ่งแสดงธรรมโขกสับ อันที่ผิดก็ว่าผิดอันที่ถูกก็ว่าถูก พูดแรงไม่ได้ประเล้าประโลมอ้อนวอนให้ใครมาเอา ไม่ ไม่ประเหลาะ ไม่ประเล้าประโลมอะไรต่างๆนานา บอกว่าถูกยืนยันของตนเองว่าถูกอันนั้นผิด อย่างไม่ประนีประนอม
เจตนาจะไม่ประนีประนอมเพราะว่าประนีประนอมมานานมากแล้ว สองพันกว่าปีมาแล้วประนีประนอมกัน เพราะฉะนั้นถอดที่ไม่ประนีประนอมแล้วตัดชั๊วๆ ลัดคัดสั้นใครจะเอาก็มา ไม่มีปฏิภาณปัญญาหรือว่าอันนี้ใช่ก็มา เป็นการคัดเลือกไปในตัว ผู้ใดมีปัญญารู้ได้ก็เท่ากับคัดเลือกมาแล้ว เพราะธรรมะพระพุทธเจ้านั้นยาก
คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
อาตมาจำเป็นต้องทำงานนี้เพื่อประโยชน์ของผู้ที่มีภูมิปัญญาจริง พวกคุณมีภูมิปัญญารับรู้ได้จึงมา (อย่าหลงตนอย่าเหลิง) มีภูมิปัญญาพอรู้ได้นอกนั้นเขาไม่เห็นค่าไม่เห็นประโยชน์อะไรกับธรรมะนี้ เขาก็ไม่เอา แต่พวกคุณก็มา จนกระทั่งมาได้ธรรมะ กลายเป็นคนชนิดนี้ ไม่ไปแย่งลาภยศสรรเสริญอะไรจากเขาชาวโลก อาตมาได้ช่วยเศรษฐกิจประเทศไทยอาตมาเป็นคนมาจนนี่ไม่ไปแย่งทรัพย์สินเงินทองข้าวของ ที่เขาล่ากันในสังคมประเทศ เป็นการช่วยเศรษฐกิจประเทศและพวกคุณก็สบายไม่มีคู่แย่ง คู่แข่ง คู่อาฆาต คู่วิบาก ต่างคนต่างก็มาทำงานสร้างสรรแล้วทำตัวเองให้เป็นคนไม่เป็นคนฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายกินมากใช้มาก กินพอเหมาะพอดีรู้จักสาระปัจจัยของชีวิตก็สงบเรียบร้อยดีทุกอย่าง ทำได้ยังมีผลดี
(พรหมชาลสูตร ต่อ) …อาจารย์และอันเตวาสิกทั้งสองนั้น มีถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันโดยตรงฉะนี้ เดินตามพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไปข้างหลังๆ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปประทับแรมราตรีหนึ่ง ณ พระตำหนักหลวง ในพระราชอุทยาน อัมพลัฏฐิกาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ แม้สุปปิยปริพาชก ก็ได้เข้าพักแรมราตรีหนึ่ง ใกล้พระตำหนักหลวงในพระราชอุทยานอัมพลัฏฐิกา กับพรหมทัตตมาณพผู้อันเตวาสิก ได้ยินว่าแม้ ณ ที่นั้น สุปปิยปริพาชก ก็กล่าวติพระพุทธเจ้า ติพระธรรม ติพระสงฆ์โดยอเนกปริยาย
ส่วนพรหมทัตตมาณพ อันเตวาสิกของสุปปิยปริพาชก กล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ โดยอเนกปริยายอาจารย์และอันเตวาสิกทั้งสองคนนั้น มีถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันโดยตรงฉะนี้ (เดินตามพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไปข้างหลังๆ) ครั้งนั้น ภิกษุหลายรูปลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่ง นั่งประชุมกันอยู่ ณ ศาลานั่งเล่น เกิดสนทนากันว่า ท่านทั้งหลาย เท่าที่พระผู้มีพระภาคผู้รู้เห็นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงทราบความที่หมู่สัตว์มีอัธยาศัยต่างๆ กันได้เป็นอย่างดีนี้ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา ความจริงสุปปิยปริพาชกผู้นี้ กล่าวติพระพุทธเจ้าติพระธรรม ติพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย ส่วนพรหมทัตตนาณพอันเตวาสิกของสุปปิยปริพาชกกล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย อาจารย์และอันเตวาสิกทั้งสองนี้ มีถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันโดยตรงฉะนี้ เดินตามพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไปข้างหลังๆ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบคำสนทนาของภิกษุเหล่านั้นแล้วเสด็จไปยังศาลานั่งเล่น ประทับ ณ อาสนะที่เขาจัดถวาย แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายบัดนี้เธอทั้งหลายนั่งประชุมสนทนาอะไรกัน และเรื่องอะไรที่พวกเธอพูดค้างไว้ เมื่อตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า ณ ที่นี้ เมื่อพวกข้าพระพุทธเจ้าลุกขึ้น ณ เวลาใกล้รุ่ง นั่งประชุมกันอยู่ที่ศาลานั่งเล่น เกิดสนทนากันขึ้นว่า ท่านทั้งหลาย เท่าที่พระผู้มีพระภาคผู้รู้เห็นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงทราบความที่หมู่สัตว์มีอัธยาศัยต่างๆ กันได้เป็นอย่างดีนี้ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา ความจริงสุปปิยปริพาชกนี้ กล่าวติพระพุทธเจ้า ติพระธรรม ติพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย ส่วนพรหมทัตตมาณพอันเตวาสิกของสุปปิยปริพาชก กล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์โดยอเนกปริยาย อาจารย์และอันเตวาสิกทั้งสองนี้ มีถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันโดยตรง ฉะนี้เดินตามพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไปข้างหลังๆ พระพุทธเจ้าข้า เรื่องนี้แลที่พวกข้าพระพุทธเจ้าพูดค้างไว้ พอดีพระองค์เสด็จมาถึง.
พ่อครูว่า…ก็มาดูพวกเรา เมื่อถูกติแล้วจะขุ่นเคืองหรือไม่? คนที่โกรธหรือขุ่นเคืองเป็นคนที่โง่ ได้โง่ไปแล้วทีหลังอย่าทำ ใครจะตำหนิเราอย่างไรจะชมเราอย่างไร เราจะเป็นจริงอย่างไรก็ใช้ประโยชน์จากการถูกตำหนิ ถ้าหากเขาตอนนี้ยังมีภูมิปัญญาอย่างผู้รู้ ติอย่างผู้มีภูมิธรรมอาจจะสูงกว่าเรา เราก็จะได้ประโยชน์มาก ส่วนคนที่เขาติผิด ก็เพราะเขาไม่มีภูมิปัญญา เมื่อเราฟังเนื้อหาสาระที่เขาตำหนิ ไม่ใช่ว่าฟังแล้วไม่ชอบใจเราจะซวยเปล่าๆ ใครจะติหรือจะชมจิตใจเราก็ไม่หวั่นไหวไม่เปลี่ยนแปลง เราจะรู้ความจริงตามความเป็นจริง จิตใจของเราจะผ่องใส จิตใจผ่องใสเป็นกระจกเงาชั้นดีไม่มีภาพลวงจะรู้อะไรได้ชัดเจน เพราะฉะนั้นใครจะตำหนิอย่างไรก็ตาม ไม่ต้องไปอาฆาตไม่ต้องไปโทมนัสไม่ต้องแค้นใจอะไรเขา
(อ่านต่อ) …พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรมติพระสงฆ์ ก็ตาม เธอทั้งหลายไม่ควรอาฆาต ไม่ควรโทมนัสน้อยใจ ไม่ควรแค้นใจในคนเหล่านั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคืองหรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นเป็นแน่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคืองหรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น เธอทั้งหลายจะพึงรู้คำที่เขาพูดถูก หรือคำที่เขาพูดผิดได้ละหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้ทีเดียว พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ในคำที่เขากล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความไม่เป็นจริงว่านั่นไม่จริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย
พ่อครูว่า…อย่างที่เขาตำหนิอาตมามา หากไม่จริงอาตมาก็บอกไป อย่างไม่อวดโอ่ อาตมาเข้าใจอาการของการ อวดโอ่ เราไม่ได้เป็นจริงก็อยากจะพูดไปให้เขารู้
ตอนนี้พวกฑูตที่มาในข่าว มาด้วยสาเฐยจิตหรือไม่ คือมีจิตไม่มุ่งหมายดี เป็นอกุศลจิตจะมาสอดแนม มาละเมิดอะไรก็แล้วแต่ จะมาโชว์พาว เบ่งอะไรต่ออะไร มีสาเฐยจิตก็ไม่รู้ (ส.เดินดินว่า เขาบอกว่าตั้งใจจะมาแทรกแซงกิจการภายในของประเทศ) สังคมเกิดพวกนี้ขึ้นมาก็ลึกซึ้งละเอียดขึ้นแล้วก็เอามาให้ศึกษา พวกที่มีภูมิปัญญาก็เอามาสอนกันเรียนรู้กันอย่างลึกซึ้งในประเทศไทย (ส.เดินดินว่า วันนี้ก็เลยไม่มีใครมา แสดงว่าที่ประเทศไทยตอบโต้ไปก็มีผล วันนี้เป็นคิวของนายปิยบุตร แสงกนกกุล ไปศาล) เป็นการสอนกันในที ถึงมารยาท ส่วนดร.ปิยบุตรก็ยังนึกว่าตนเองจะแน่ นึกว่าฑูตจะมาอีกแต่ก็ไม่มาก็หมดหน้า ขายไม่ออกเลย
เรื่องการติเตียนเป็นเรื่องดีเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญ คนจะติเตียนคนอื่นได้คนนั้นต้องมีความรู้ต้องมีความจริงที่จะติเตียนเขา หากติเตียนโดยไม่รู้ก็เละ จะไปติอะไรเขา ก็เลยติไปเรื่อยๆอย่างนั้นไม่มีเหตุมีผลไม่มีหลักฐานไม่มีความรู้อะไรเลย มันจะได้เรื่องอะไร จะต้องเป็นคนมีภูมิปัญญามีความรู้มีความจริงจึงจะ ติ แล้ว ติได้แล้วมีผล ติดี แล้วมีผลความเจริญ
เหตุการณ์ของสังคมมนุษยชาติถ้ามีสิ่งที่ผิดเยอะก็ต้องถูกตำหนิเยอะ อย่างเช่นในยุคนี้อาตมาก็ต้องตำหนิเยอะ มันไม่มีให้ชม คนที่ถูกมันมีน้อยจนกระทั่งไม่รู้จะไปชมตรงไหน โดยเฉพาะอาตมาพูดแล้วพูดอีกว่าถ้าไม่มีโลกุตตระเลย ในเถรสมาคมไม่มีโลกุตระ เขาพูดผ่านๆแต่เนื้อแท้ไม่ใช่โลกุตระ เขาเข้าใจไม่ได้
อาตมาเน้นนิยามโลกุตระ ประเด็นหลักชัดๆคือ โลกุตระนั้นคือ จิตมีกิเลส แล้วผู้รู้มีภูมิปัญญารู้ว่ามีกิเลสในจิต แล้วจัดการกิเลสให้ลดหรือหมดลงไปได้ นี่คืออาการของโลกุตระ นิยามให้ชัดเจนแล้วนะ คนจะต้องมีญาณปัญญาอ่านว่ากิเลสมันมีก้อนอย่างนี้หน่วยเท่านี้ หน่วยนี้มันได้พร่องลงไปด้วยจางคลายลงไป หรือดับ คุณก็จะต้องรู้สภาวะของอกุศลจิตนั้นว่ามันต้องลดไปหรือมันดับลงไปด้วยฝีมือเราทำ ให้มันดับลงไปจริงๆ นั่นคือลักษณะของโลกุตระของพระพุทธเจ้า สำคัญมากเลยยิ่งใหญ่ศาสนาในยุคนี้ ไม่รู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน
เริ่มตั้งแต่ สักกายะ องค์ประกอบรูปนามของจิต ที่รู้จักแยกแยะมีวิธีทำให้มันลดลงไป มีไฟฌาน ไฟปัญญา สลายกิเลส เป็นวิธีของพระพุทธเจ้า สลายให้มันหายได้จริง ถ้าสะกดไว้มันก็จะคืนมาใหม่ หากกดได้นานหน่อยก็แน่นแข็ง แต่มันไม่ได้สูญหายไป นี่คือประเด็นที่สำคัญยิ่งใหญ่มากเลยของศาสนาพุทธ
ขออภัยศาสนาอื่นไม่ได้เรียนรู้จิตเจตสิกรูปนิพพาน ว่าตัวกิเลสเป็นอย่างไรและมีวิธี ดับกิเลสฆ่ากิเลสจนสูญได้มีศาสนาพุทธทำได้เท่านั้น
ในยุคพระพุทธเจ้านั้นศาสนาทั้งหลายมีแต่เดียรถีย์ ไม่มีเนื้อหาโลกุตรธรรมเลย ศาสนาพุทธอุบัติขึ้นมาเพื่อเผยแพร่โลกุตรธรรม ส่วนโลกียธรรมที่เขามีความดีความชั่วนั้นเป็นสามัญดีชั่วก็สมมุติกันไปโยนกันไปโยนกันมาหมุนกันไปหมุนกันมา ดีเป็นชั่วชั่วเป็นดีมันเป็นไปตามยุคสมัย สลับกันไปไม่เที่ยงหรอก
แต่ศาสนาพุทธนักเรียนรู้เรื่องจิตเจตสิก แล้วเรียนรู้ที่สำคัญคือสุขกับทุกข์
สุขกับทุกข์ เป็นตัวต้นทางและ ตัวสุดท้าย หากคุณรู้จักสุขกับทุกแล้วดับสุขกับทุกข์ได้คุณก็อยู่เหนือโลกได้ จะอยู่กับโลกที่มันปรุงแต่ง เป็นลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข คุณก็ไม่มีความทุกข์ความสุข คุณก็จะอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้โดยคุณไม่เป็นทาส ดูมันไม่ใหญ่ยิ่งเลยเรื่องสุขเรื่องทุกข์ แต่มันใหญ่ยิ่งเลย
ความสุขความทุกข์เป็นภาวะ 2 ที่เป็นเทวะ ศาสนาพุทธไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ดับเทวะทิ้งเลยไม่เหลือเทวะ ไม่มีเทวะ ศาสนาพุทธไม่มีเทวะเป็นอเทวนิยม
ศาสนาพุทธเกิดมา 2000 กว่าปีโลกุตรธรรมได้เสื่อมไปหมดอาตมาก็ได้หยิบให้ฟื้นคืนและพวกนี้ก็ผยอง พอดีอาจารย์บอกว่าเรียนรู้มาจากพระพุทธเจ้าและโพธิรักษ์มาจากไหนแล้วบอกว่าของตัวเองถูก แล้วบอกว่าไม่มีครูบาอาจารย์อีก แล้วยืนยันว่าถูกต้อง อาจารย์ทั้งหลายที่สอนกันนั้นผิดด้วย อาตมาลำบากใจจริงๆที่จะทำให้เขาได้เชื่อ อาตมาไม่มีเครื่องยืนยันเลย ไม่มีนักธรรมตรีโทเอก เปรียญ 3 4 5 6 7 8 9 เรียนปริญญาตรีโทเอกทางโลกทางธรรมไม่มีเลย ไม่มีสำนักไม่มีครูบาอาจารย์ แล้วมาสอนธรรมะในระดับโลกุตระ ใครรับรอง(สู่แดนธรรมว่า กรอ. กูรับรองเอง)
อาตมาบากบั่น เอาความรู้คำสอนพระพุทธเจ้ามาสอนก็ต่างจากที่เขาสอนกันมายืนยันความจริง ถ้าคุณถูกศาสนาพุทธไม่เป็นอย่างนี้หรอก มันก็เป็นอย่างที่คุณสอนกันมาเลยเป็นอย่างนี้ เน่าเละอยู่อย่างนี้ อาตมามาอธิบายไม่เหมือนกับพวกโน้นจึงถูกต้องแล้ว ฟังดีๆ อาตมาพูดธรรมไม่ได้ข่มไม่ได้ดูถูก หากอาตมาพูดแล้วหากเหมือนของเขาก็ถูกเหมือนกันสิ แต่นี่มันต่างกัน
อาตมาพยายามดึงกลับมาให้พยัญชนะถูกต้องตรงตามสภาวะเช่นคำว่าบุญคำว่ากายคำว่าสมาธิ คำว่าฌาน คำว่าศีล อาตมาดึงกลับมาสู่ความหมายที่ควรจะเป็น พวกคุณเป็นคนที่มีศีลไม่เหมือนกับศีลที่พวกเขาเป็นกัน เพราะเขามีศีลแค่กายวาจาสำรวมสังวรได้ แต่ใจนั้นไม่เกี่ยว เขาบอกว่าถ้าใจเป็นสมาธิต้องไปนั่งหลับตา แต่ของเราไม่ใช่ ของเรานั้นศีลนี้แหละจะทำให้จิตเป็นสมาธิ
ศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์เราเกี่ยวข้องกับสัตว์ในชีวิตเราก็ไม่ฆ่า จิตใจเราก็ไม่ทำร้ายไม่มีอาวุธ มีจิตใจเอ็นดูปราณีหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า เป๊ะเลย เถียงไม่ขึ้น เขาก็ใช้เล่มเดียวกันกับอาตมา ก็จะต้องยืนยันความจริงนี้ไปอีกนานเพราะว่าอาตมานั้นหัวเดียวกระเทียมลีบ กระเทียมโทนลีบๆด้วยไม่เต่ง แต่จริงๆอาตมาเต่งนะ แต่เขาบอกว่าอาตมาลีบ
(อ่านต่อ)ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรมชมพระสงฆ์ เธอทั้งหลายไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ ดูกรภิกษุทั้งหลายถ้าเธอทั้งหลายจักเบิกบานใจ จักดีใจ จักกระเหิมใจในคำชมนั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลายเพราะเหตุนั้นเป็นแน่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือชมพระสงฆ์ ในคำชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นจริงแม้เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้คำนั้นก็มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาได้ในเราทั้งหลาย.
พ่อครูว่า…เขาชมจิตเราก็ไม่ฟู เขาติเราจิตเราก็ไม่แฟบ จิตเราก็กลางๆ
จุลศีล
[2] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใดนั่นมีประมาณน้อยนักแล ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปุถุชนกล่าวชมตถาคตจะพึงกล่าวด้วยประการใด ซึ่งมีประมาณน้อย ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีลนั้น เป็นไฉน?
พ่อครูว่า…คำว่าศีลหมายถึงเป็นเบื้องต้นอย่างต่ำยังมีมากกว่านี้อีกเยอะ แต่ตอนนี้ชมเราว่ามีศีลก่อน สมัยนี้ก็ต้องพูดสมัยนั้นของพระพุทธเจ้าแน่นอน ถ้าเป็นคนบัญญัติ มันเคยมีมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์ก่อนแต่มันหายไปแล้ว เมื่อพระพุทธเจ้าองค์นี้มาอุบัติก็ประกาศศีลอีก แต่ก็เป็นศีลของพระพุทธเจ้าองค์เดิมนั่นแหละเป็นไฉน
[3] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า
-
พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรามีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่.
พ่อครูว่า หมายถึงว่า จิตเรามีเจตนาร้ายต่อสัตว์ เจตนาฆ่า จนใช้การฆ่าโดยใช้อาวุธฆ่าใช้ศาสตราฆ่า โอ้โห แน่จริงก็มือกับมือเขี้ยวกับเขี้ยวสิ แต่นี่ไปเอาเปรียบเอาอาวุธมานี่ ไม่แน่จริง พวกมีอาวุธร้ายไม่ได้เก่งอะไร เก่งก็มาเขี้ยวต่อเขี้ยวฟันต่อฟัน แต่นี่เอาดาบง้าวปืนมาฆ่าเขา โลกก็ไม่ได้เจริญไม่ได้ยิ่งใหญ่เลย เพราะฉะนั้นประเทศที่สร้างอาวุธได้มากได้เก่งได้ร้ายแรงเท่าไหร่ ยิ่งแสดงถึงความต่ำ แสดงถึงความไม่เก่งเลย ประเทศชาตินั้น ขี้กลัวมาก อาตมาไม่ได้พูดผิดนะ คนที่ไปนิยมชมชื่นประเทศที่สร้างอาวุธร้ายได้เก่งมีประสิทธิภาพสูง ไปนิยมชมชื่นอย่างนั้นโง่จัง ต้องมานิยมชมชื่นคนที่สู้กับคนอื่นด้วยความสุขด้วยความสงบ ด้วยความเอ็นดู ด้วยความไม่ประมาทถนาร้ายต่อเขาเลยอย่างพวกเราทำสำเร็จ อาตมาพูดประโยคนี้เพราะได้ปฏิบัติมาแล้ว เราได้พากันไปประหาร รัฐ ใช้คำชัดๆ ได้ไปทำรัฐประหาร ประหารรัฐบาลมาหลายรัฐบาลโดยไม่ใช้ศาสตราไม่ใช้ทัณฑะไม่ใช้อาวุธไม่ฆ่า แต่ใช้ความสงบสยบความรุนแรงจนชนะ เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่คนฟังไม่ขึ้น
อาตมาอธิบายเรื่องรัฐศาสตร์ ชาวไทยมาร่วมกัน อาตมาก็เป็นคนหนึ่งไปร่วมเป็นประชาชนไปประหารรัฐบาล ซึ่งในโลกเขามีแต่ทหารไปทำรัฐประหาร หรือแม้เป็นประชาชนก็ต้องมีอาวุธมีกองทัพ ยิ่งทหารเขามีอาวุธมีเครื่องมืออยู่แล้ว เขาก็ทำการปฏิวัติ การปฏิวัติในแต่ละประเทศก็เป็นคณะทหารทำเสียส่วนใหญ่ ประชาชนจะมีกองอาวุธไปปฏิบัตินั้นมีบ้างแต่น้อย แต่ก็เป็นการปฏิวัติด้วยการใช้แรงใช้อาวุธ แต่คนไทยนั้นใช้ความสงบใช้คุณธรรมความจริงความรู้เอาความจริง เข้ามาประหารรัฐบาล สำเร็จไป 5 รัฐบาล
เอาปรากฏการณ์สิ่งที่ผ่านมาแล้วมาพูด ประเทศไทยมีรัฐศาสตร์การเมืองที่ยิ่งใหญ่ ทำปรากฏการณ์รัฐประหารโดยประชาชนเพื่อประชาชนของประชาชนสำเร็จอย่างสวยงาม ถือว่าสวยงามมาก ใช้เวลานาน เอาความจริงเข้ามาเป็นอาวุธ ความจริงนั้นจนกระทั่งรัฐบาลจำนนต่อความจริง ประชาชนเข้าใจความจริงเห็นความจริงได้ออกมารวมกัน เอ็งไปๆ ไม่ได้ไปรุนแรงกับเขา จนเขาต้องเป็นสัมภเวสีอยู่นอกประเทศในปัจจุบันนี้ นี่เป็นฝีมือของประชาธิปไตยของประชาชนคนไทย แล้วอาตมาก็พยายามอธิบายส่วนต่อ
โดยที่เขาใช้คำว่าสืบทอดอำนาจเผด็จการ พวกนี้ไม่มีปัญญาเลย จบดอกเตอร์มาและบอกว่าสืบทอดอำนาจเผด็จการใช้คำนี้ผิด ถ้าบอกว่าสืบทอดอำนาจจากประชาชนที่ได้ทำรัฐประหารสำเร็จด้วยความสงบ อันนั้นได้ถูกต้อง สืบทอด เพราะฉะนั้นการสืบทอดอันนี้เป็นการยื่นไม้ผลัดกันระหว่างประชาชนที่ยึดอำนาจได้ รัฐประหาร ประชาชนไปทำรัฐประหารรัฐบาลตั้ง 5 รัฐบาลเสร็จเรียบร้อย แล้วผู้ที่อยู่ในอำนาจรักษาความสงบจะรับอำนาจไปทำงานต่อ อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ เป็นผู้รักษาความสงบแห่งชาติเป็นหัวหน้าก็มารับผิดชอบต่อไป รับไม้ผลัดใบและประชาชนก็ยินดี ไม่ได้หมายความว่ามาปฏิวัติประชาชน ไม่ได้มาประหารประชาชน พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ประหารประชาชนไม่ได้มาเผด็จการกับประชาชน ไม่ได้เอากองทัพมาทำรัฐประหารหรือว่าเผด็จการอะไรเลย เป็นการรับไม้ผลัดต่อจากอำนาจประชาชน และอำนาจนั้นไปบริหารปกครอง ซึ่งก็ดีเข้าตาประชาชนทุกวันนี้ก็ยังเรียบร้อยดี อาตมาก็พยายามดัดจริตใช้ภาษาว่านี่เป็น เดโมเครซี่ คอริดอร์ เป็นประชาธิปไตยที่เชื่อมต่อเป็นการสืบทอดจริงๆแต่เป็นอำนาจที่ไม่ใช่อำนาจเผด็จการ เป็นการสืบทอดอำนาจของประชาชนที่รัฐประหารได้ด้วยความสงบ ด้วยความเรียบร้อยง่ายงามสวยสดงดงามมาก สำเร็จเด็ดขาดด้วย จึงบริหารได้โดยไม่มีอะไรวุ่นวายเท่าไหร่
มีพวกเห่าบ๊องๆๆอยู่เป็นเศษกากที่เหลือ มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติเป็น Error สามัญ พวกไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เขาเสร็จไปตั้งนานแล้วยังหลงโลกมืดบอดอยู่ ยังไม่รู้จักกาละ จนถูกไล่ไปเป็นคนชาติอื่นเสียเพราะว่างมงายไม่รู้เรื่อง คนไทยก็รู้ดีแล้วว่าประเทศไทยสงบแล้วและเป็นประชาธิปไตยโดยไม่ต้องใช้การเลือกตั้งเป็นตัวตัดสิน แต่ใช้สารัตถะแท้ๆของความเป็นประชาธิปไตยยืนยัน
จริงๆแล้วศีลข้อ 1 2 3 ใน 5 ข้อนี้ จริงๆแล้วมารวมไว้ทั้งหมดตั้งแต่คนสัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ เรามีชีวิตอยู่กับสัตว์เหล่านี้หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ หรือว่าเราจะมีความกรุณามีความเอ็นดู เราจะมีความละอาย ละอายที่เรามีจิตไม่ปรารถนาดี ไม่หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง แม้สัตว์อื่นแม้คนอื่นเขาปรารถนาร้ายต่อเรา เขาจะทำร้ายเราด้วยซ้ำไป แต่เรากลับไม่มีความคิดที่จะไปปรารถนาร้ายกลับ ไม่คิดจะโต้ตอบด้วยความร้ายมีแต่ความเอ็นดู มีแต่ความปรารถนาดีความเมตตากรุณา อยากให้เขาเปลี่ยนแปลงจากที่มันไม่ดีมาเป็นดี เป็นต้น ซึ่งเป็นจิตที่สุดยอด
ถ้าผู้ใดปฏิบัติธรรมะเข้าใจไหมแค่นี้ ศีลข้อ 1 ใจของคนเป็นเช่นนั้นปรารถนาดีต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ อาตมาพูดไปแล้วคนเข้าใจยาก เพราะเป็นภาษาสิริมหามายาเหมือนกับอาตมารุนแรง เหมือนกับอาตมาดุเดือด คือตำหนิเขาแรงๆ ตำหนิหยาบ บ่อยซ้ำ คนก็รู้สึกว่าอาตมาแค้นเคืองโกรธหรือเปล่า อาตมาก็บอกว่าอาตมาไม่มีจิตอย่างนั้น ซึ่งมันตรงตามพระพุทธเจ้าบอกว่า ใครมาว่าจะมาเป็นเช่นนั้นอาตมาก็บอกไปว่าอาตมาไม่มี แม้แต่อยากจะโอ่อวด จิตอยากอวดโอ่ไม่มี จิตที่จะไปประสงค์ร้าย กล่าวตำหนิติเตียนโจมตีเขามากมาย ก็ไม่ได้มีจิตใจร้ายแรงอะไรไม่มี มันเป็นพยัญชนะเป็นภาษาที่ใช้สื่อ ที่อาตมาคิดว่า ตอนนี้เขาจะรู้ว่ามันหนักมันหนามันแรงมันร้ายนะ ฟังให้เข้าใจสิว่าเราเป็นคนร้ายคนแรงคนแย่ขนาดนี้แล้วหรือ ก็ใช้ภาษาเพื่อจะสื่อให้เขาเข้าใจ โดยใจของตัวเอง อาตมาไม่มีความหนักความร้ายความแรงความถือสาหรือแม้แต่อยากอวดว่าตัวเองรู้ดีตัวเองเก่งเอาความดีมาโชว์เพื่อที่จะ ข่มคนอื่น มันเลี่ยงไม่ออกเท่านั้นเอง สิ่งที่ดีต้องข่มสิ่งชั่ว ความถูกต้องข่มความผิด เท่านั้นเอง เขาก็ยัดเยียดให้แต่อาตมาไม่ถือสา
สัตว์ทั้งหลายก็อยู่ไปตามวิบาก ปล่อยเขา อย่าไปยุ่งเกี่ยวอะไรเขาเขาจะเป็นจะตายอย่างไร เห็นงูกินเขียดจะไปแย่งเขียดออกจากปากงู ไปแย่งเขาทำไม จะไม่ให้งูมันกินเขียดแล้วจะให้งูมันกินหญ้าหรือยังไร มันเป็นอาหารของมัน ไม่เป็นวัฏจักรของมัน
คนที่เป็นสัตว์ด้วยกันนี่แหละที่เราจะต้องสัมพันธ์กันอย่างไรอยู่ร่วมกันอย่างไร ที่จะให้เกิดการกระทบกันแล้วเกิดปฏิกิริยาที่เปลี่ยนแปลงจากไม่ดีให้มาเป็นดีได้ นี่คือจุดหมายของการเป็นอยู่ในชีวิต กายกรรมก็ดีว่าใช้กรรมก็ดีโดยเฉพาะมโนเป็นประธาน
อาตมามีชีวิตอยู่เพื่อที่จะให้สัตว์ แต่ว่าสัตว์เดรัจฉานนั้นสอนไม่ได้ ขนาดมนุษย์อาตมาก็สอนเวไนยสัตว์ สัตว์ที่สอนได้อย่างพวกคุณ สัตว์ที่สอนไม่ได้นี้มีไหม สัตว์ที่เป็นคนนะ ที่สอนไม่ได้มีไหม ก็มีเยอะ ที่สอนได้มีน้อย ที่สอนไม่ได้มีเยอะ อาตมาไม่ไปบังอาจจะสอนเขา สอนเขาไม่ได้ ต้องสอนคนอย่างพวกเรา ทุกวันนี้อาตมาบรรยายธรรมะสอนธรรมะจึงกลายเป็นธรรมะที่สอนยาก เอาธรรมะยากๆธรรมะสูงมาสอนมาบรรยาย เพราะคุณรับได้มีจิตวิญญาณเจริญสูงขึ้น เลยกลายเป็นว่าทิ้งเลย ทิ้งพวกคนอื่นที่เขารับไม่ได้ ก็จำนน อาตมาจะมัวแต่กังวลเพราะเขาก็เอาไม่ได้มันเป็นโลกุตรธรรม แต่โลกุตรธรรมพวกคุณได้ ได้แล้วก็มาต่อยอด เติมสูงขึ้นเรื่อยๆ มันก็ต้องเป็นเช่นนั้น แล้วพวกเราก็รับช่วงต่อ ไปให้คนอื่นๆด้วยเรื่อยๆ
ศีลข้อที่ 1 2 3 สรุปแล้วหมดเลย หยาบ กลาง ละเอียดจบเลย ศีลข้อที่ 1 หมายถึงสัตว์เป็นจิตนิยม ศีลข้อที่ 2 หมายถึงของ พืช ของที่ไม่ใช่ของๆเรา คุณอย่าไปละเมิดด้วยความเป็นขโมย ถ้าไม่ใช่การขโมยหยิบยืมกันได้ใช้ร่วมกันได้ วิสาสะบ้างก็แค่นั้น แต่ถ้ารู้ว่าไม่ใช่ของเราอย่าไปละเมิด อย่าไปวุ่นวายของเขามา อย่างนี้เป็นต้น
ถ้าศีลข้อ 1 เราพยายามปรารถนาดีต่อสัตว์โดยเฉพาะคน ทีนี้ส่วนของ เราก็สร้างสรร เราไม่ละเมิดเอาของใคร เราก็มีสิทธิ์ในของส่วนตัว คุณจะได้ด้วยสิทธิของการซื้อหาครอบครอง สร้างขึ้นมาเองเป็นสิทธิที่เราสร้างขึ้นมา มีสิทธิเต็มที่ ก็มีของเราได้ เรามีแล้วได้อาศัยสร้างสิ่งที่กินใช้ เราไม่สร้างอาวุธจะไปฆ่าคน สัตว์ เราไม่ฆ่า เราจะเอาเวลาทุนรอนแรงงานมาสร้างสิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญของชีวิต แค่นี้ก็เป็นการสร้างเศรษฐกิจที่วิเศษแล้ว ไม่ต้องเอาเวลาไปเสียหายสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ ปล่อยให้คนโง่คนบาปเขาสร้าง
เราสร้างแต่เครื่องกินเครื่องใช้ที่เราเองถนัดในเครื่องกินเราก็สร้าง เครื่องกิน พืชพรรณธัญญาหารผลไม้รากไม้ เราไม่ได้ถนัดสร้างเครื่องใช้ ไม่เก่งเท่าไหร่ คนที่เขาสร้างเครื่องใช้ได้เก่งขนาดใช้คอมพิวเตอร์ก็ว่ากันไป เราไม่เป็นเราก็ทำแต่สิ่งที่เราถนัด เรื่องที่สำคัญ
คอมพิวเตอร์ทำให้ชีวิตไม่ตายไม่ได้หรอก คุณไปตกอยู่ในกลางทะเลมีคอมพิวเตอร์กับมีผลไม้ อยู่ในกลางทะเล ใครจะตายก่อนกัน เขามีคอมพิวเตอร์เขามีเครื่องมือวิทยาศาสตร์ไอทีวิเศษเลยนะ แต่เรามีพวกนี้อยู่กลางทะเลเวิ้งว้างเหมือนกัน ใครจะตายก่อนกัน
อาหารการกินราคาแพงไม่ได้ เพราะคนจนที่สุดก็ต้องกินอาหาร คนจนไม่ต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือเหล่านั้นก็ไม่เป็นไรไม่มีปัญหาเลย แต่ไม่มีอาหารกินนี่มันมีปัญหานะ คนจน คนรวยไม่ต้องพูดหรอก เพราะฉะนั้นอาหารนี่ คนขายอาหารแพงที่บาป ส่วนคนสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์และไปขายแพงพวกนั้นมันโง่มันบาปนะ มันก็โง่หนักได้บาปหนักบาปมาก นอกจากสร้างของทำลายชีวิตมาแล้วก็ยังขายราคาแพงอีกเอาเปรียบเอารัดเขาและอำนาจบาตรใหญ่ ข้าสร้างอาวุธได้เก่งกว่าเองนะ เป็นความซับซ้อนบาปไม่รู้กี่บาป
ประเทศมหาอำนาจที่เจริญด้วยอาวุธได้อำนาจปัจจัยประเทศนั้นบาปมหาศาล เขาไม่ได้ศึกษาศาสนา น่าสงสารมากเลย เป็นประเทศที่น่าสงสาร แต่ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไรเพราะพูดกับเขาไม่รู้เรื่องหรอก มันคนละภาษาดาวคนละดวงอันนั้นมันดาวโลกียะของเรามันดาวน์โหลดแต่ละคนโลกต่างดาว พูดภาษากันคนละภาษา
แม้เครื่องมือไอทีมันแปลภาษาให้ได้หมดเลย แต่ภาษาโลกุตตระมันแปลไม่ได้ กดให้ตายมันก็แปลไม่ได้
คนที่พูดภาษาโลกุตระกันรู้เรื่องนี่โอ้โห นี่คือดาวโลกุตระ สุดยอด
ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับทวารตาหูจมูกลิ้นกาย เรียนรู้โลกกับอัตตา เราก็สัมผัสกับ คนสัตว์สิ่งของ พืชพรรณธัญญาหาร สรุปรวมแล้วก็มีอยู่เท่านี้ ถ้าเราเรียนรู้สาระของชีวิตที่เราจะสัมผัสเกี่ยวข้องกับอะไรเหล่านี้แล้ว
สัมผัสกับสัตว์ เราหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ สัมผัสกับข้าวของ คุณมีวัตถุ พืชพันธุ์ธัญญาหารคุณก็สร้างขึ้นมาเอง
ข้อที่ 3 ทางตาหูจมูกลิ้นกายอันนี้ลึกซึ้งมาก มันหลงความสุขความทุกข์ หลงความมีตัวตน มีสุขมีทุกข์ก็คือความมีตัวตน คนที่หมดสุขหมดทุกข์คือความหมดตัวหมดตัว เป็นคนรู้ความจริงตามความเป็นจริง สัมผัสรูปก็รู้รูป สัมผัสเสียงรู้เสียง สัมผัสกลิ่นรู้กลิ่น สัมผัสรสรู้รสสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง รู้ความจริงตามความเป็นจริงเท่านั้น ไม่มีเวทนา 2 ไม่มีเวทนาชอบหรือไม่ชอบ ไม่มีผลักหรือดูด ไม่มี ทุกข์สุขไม่มี นี่เป็นคนสมบูรณ์แบบในโลก หมดปัญหาในชีวิต จึงเป็นชีวิตที่อยู่กับทุกอย่าง อยู่กับสัตว์ อยู่กับตาหูจมูกลิ้นกายใจ No Problem ไม่มีปัญหา มีแต่ปัญญาที่จะอยู่ร่วมกับสัตว์ทั้งหลาย อยู่ร่วมกับข้าวของทั้งหลาย อยู่กับพืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งหลายแหล่ อยู่กับสัตว์ที่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ สัมผัสกันแล้ว ก็รู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้ จัดสัดส่วน ปราณีประนอมมีมัตตัญญุตา ทำงานให้ได้สัดส่วนดี
คนนี้เขายึดถือมากก็ต้องอนุโลมเขาเยอะ คนนี้เขายึดถือน้อยหน่อยก็อนุโลมน้อยหน่อย เราก็ยืดหยุ่นกับเขาไปตลอดเวลา จึงเป็นผู้ที่อยู่กับโลกเขาอย่างไม่เป็นศัตรูกับใครในโลก มีแต่อยู่อย่างเป็นประโยชน์ เสริม ด้วยการมีความรู้ซ้อนที่จะทำให้เขารู้จักการยึดตัวตนยึดอัตตายึดในของกูตัวกู สองคำนี้ ยึดตัวกู กับยึดของกู มันหนักหนาสาหัส ให้เขาล้างจากความยึดถือเป็นตัวกูของกูไปได้เรื่อยๆสรุปง่ายๆสั้นๆแค่นี้ ขยายความก็ทั้งนั้นและในเหตุปัจจัยต่างๆหมดเลย
เพราะฉะนั้นควรศึกษาศาสนาพุทธแล้วจึงจะรู้จักสิ่งที่สัมพันธ์กัน เมื่อมาเกี่ยวข้องกันแล้วก็มีชีวิตรู้ว่าสิ่งที่ถูกรู้ เรียกว่ารูป มันก็ชัดเจนในรูป 28 ดินน้ำไฟลม มหาภูตรูป 4 นอกจากนั้นก็เป็นอุปาทายรูปอีก 24 โดยเรามี นาม 5 มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
ปฏิบัติกับรูป 28 นี้จัดการให้ได้สำเร็จเรียบร้อย สมบูรณ์แบบ ด้วยการรู้นามรูป
รูป 28 นาม 5 แล้วก็เป็นเทวะ คือเป็นรูปนามเป็นคู่สัมผัสกันเกี่ยวข้องกันอยู่ในโลก แล้วจัดการได้เรียบร้อยเลย จนกระทั่งสามารถทำให้เกิดสภาพที่ มี วิการรูป 5
วิการรูป 5 คือ
ลหุตา คือมีการงาน วิการ คือการงานที่สุดยอดไม่มีเศษเหลือ วิเศษหรือไม่ต้องการให้มีวิบัติ วิมุติทุกอย่าง ทำสำเร็จเสร็จจบที่ ลหุตา
มุทุตา กัมมัญญตา กายวิญญัติ วจีวิญญัติ 5 สภาพ
อาตมาแสดงธรรม เบาที่สุดแล้วสำหรับยุคนี้ อาตมาแสดงธรรม กัมมัญญตา แต่เขาจับไม่ทัน เป็นสิริมหามายาเดี๋ยวเที่ยงเดี๋ยวไม่เที่ยง พวกเราฟังมานานแล้วก็ฟังได้ประโยชน์ เมื่อได้ประโยชน์ คุณก็มีความรู้เอาไปเปลี่ยนแปลงตัวเอง จนกลายเป็นคนที่มี กัมมัญญตา เป็นคนที่ทำกรรม มีกรรมกิริยาต่างๆอย่างเป็น อัญญา อัญญา เป็นปัญญา ทำกัมมัญญา ทำกรรมด้วยอัญญา
อัญญา เป็นธาตุรู้โลกุตระซึ่งมาจาก อัญญะ คือธาตุรู้อันอื่นแล้วมาเป็นอัญญา ก็เป็นความรู้โลกุตระหรือเป็นปัญญา เป็นการกระทำที่มีความรู้ขั้นปัญญาทำได้อย่าง มุทุ ทำได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวเร็วไว แล้วการงานที่ทำได้นั้นไม่บกพร่อง ทำได้ดีทำได้เหมาะควรได้สมสัดส่วนเรียกว่า กัมมัญญตาหรือกัมมัญญาทำได้เหมาะควร
นี่คือลักษณะแล้วก็กลายเป็น กายวิญญัติ วจีวิญญัติ ออกไปเป็นองค์ประชุมด้วย วิญญัติ เคลื่อนไหวทางการเคลื่อนไหวทางรูปนาม .เป็นสภาพของที่ปรุงแต่งออกไป ให้คนอื่นได้รู้ตาม
ไหวทางกายกับไหวทางวจี ให้คนอื่นได้รู้ตามที่เราสื่อสารออกไป อาตมาได้เอาพยัญชนะเหล่านี้มาขยายความให้ตรงสภาวะ พวกคุณพอจะจับจิ๊กซอว์ต่อได้ถูกหรือไม่ หรือว่าสับสนเอาแพะชนแกะหรือต่อได้ถูก อาตมาพูดไปแล้วคงต่อได้
จริงๆในรูป 28 หรืออุปาทายรูป 24 คุณต้องดูสภาพต่างๆ ตั้งแต่
ปสาทรูป 5 โคจรรูป เริ่มต้นจากคนมีประสาทมีธาตุรู้ คุณก็จะต้องทำให้ถ้ารู้นี้ออกไปเป็นโคจรรูป ออกไปสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับอันอื่นๆที่อยู่ในโลก พอมันออกไปสัมผัสเกี่ยวข้องแล้วเป็น กาย เป็น 2 หรือเป็นเทวะ แล้วคุณก็แยกเทวะได้แยกสวรรค์นรกได้มันเป็นต่างกันอย่างไรเป็นสังขาร สังขารเป็นวัตถุทั้งโลกก็ศึกษากัน ทางวิทยาศาสตร์ทางโลกสังขาร หรือที่เขาเรียกว่าธาตุบวกธาตุลบ เขาก็ทำการศึกษากันก็คือเทวนั่นแหละ แต่มันไม่เป็นเทวตรงที่ว่า ธรรมะ 2 นั้นมันเป็นแค่อุตุเท่านั้น มันไม่ใช่จิตนิยาม ของเราธรรมะ 2 นี้เป็นนามรูปเป็นจิตนิยาม เราก็เลยมาทำงานด้านจิตนิยาม ทางด้านวัตถุก็ปล่อยเขาไป เขารอก็จะทำเป็นได้เพราะวัตถุมันหยาบกว่านามกว่าจิตวิญญาณ แต่เราไม่เก่งก็ได้เราไม่ไปแย่งงาน
ถ้านามธรรมทำได้สำเร็จบรรลุธรรมสูงสุดเป็นคนมีจิตสะอาดแล้ว คนที่มีภูมิธรรมเป็นอรหันต์ เป็นคนที่หมดโทษภัยในโลก เพราะฉะนั้นจะมีชีวิตอยู่ คุณอยู่ไปเลย ตายเกิดเกิดตายเท่าไหร่ก็ได้ศาสนาพุทธเรารู้จักการเกิดการตาย แม้ว่าคุณจะเป็นอรหันต์แล้วก็เวียนเกิดเวียนตายอย่างอาตมาเป็นพระอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ เพราะฉะนั้นเถรวาทเขารับไม่ได้เลย บอกว่าอาหารตายแล้วสูญ เป็นอะไรหันตายแล้วก็ต้องสูญ อรหันต์เกิดอีกไม่ได้เป็นพวกอุจเฉทิฏฐิชนิดหนึ่ง อาตมาเคยวิเคราะห์ไว้บอกว่าถ้าเป็นอรหันต์แล้วตาย ตกลงก็เลยไม่เหลือเลยอรหันต์ สุดท้ายก็เหลือแต่อนาคา อนาคามีตายแล้วไม่กลับมาในโลกอีกก็เลยเหลือแต่สกิทาคามี กับโสดาบัน แล้วสกิทาคามีกับโสดาบันก็ยังพูดกันไม่รู้เรื่อง อธิบายอะไรให้เป็นความวิจิตรพิสดารสูงส่งก็ยังไม่ได้ ก็เลยเท่ากับค่าศาสนาพุทธเลย พูดว่าศาสนาพุทธนั้นอรหันต์ตายแล้วสูญพวกนั้นเป็นอุจเฉทิฏฐิ
อรหันต์ที่ต่อภพภูมิเป็นมหาโพธิสัตว์ไปนั้นอย่างที่อาตมาพูด ต้องมีไม่งั้นศาสนาพุทธต่อไปไม่ถึง 5,000
(อ่านต่อ) 2. พระสมณโคดม ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่.
-
พระสมณโคดม ละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกล เว้นขาดจากเมถุนอันเป็นกิจของชาวบ้าน.
[4] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า
-
พระสมณโคดม ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์มีถ้อยคำเป็นหลักฐาน ควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก.