620419_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พรหมชาลสูตร ตอนที่ 2 และเรื่องทาน
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1xvTQ0_lWRGCj_gl8P374dois5T8B0cGiyAJyZ6NKgZM/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1HtpDCLv4ga36ttMavBZhWlEFDC6XItTJ
สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้วันศุกร์ที่ 19 เมษายน 2562 บวรราชธานีอโศก เดือนนี้เป็นหน้าร้อน ซางไหลเด้อ ก็เป็นที่นิยม ท่านคมคิดบอกว่าจะหยุดซ่อม ก็ต่อรองว่า หมดเดือนเมษายนค่อยปิดได้ไหม คนมามากตลาดเฮือนบวรก็คึกคักไปด้วย แต่ที่โรงปุ๋ยก็ต้องใช้แรงงานไม่น้อย ผลิตปุ๋ยไม่ทันคนมาซื้อ ตอนนี้มีแค่เด็กอาชีวะฯเท่านั้น เด็กสามัญปิดหมดเลย อาชีวะจะไปเข้าเวรตอนเช้า ผู้ใหญ่ก็ไปรับช่วงต่อแล้วเด็กก็จะมาเข้าเวรทำอีกช่วงเย็น ก็ง่ายขึ้นเพราะกระสอบปุ๋ยใหญ่หมด เหลือแต่กระสอบ 25 กก.
คนมามากพ่อครูให้เราทำสองเรื่องเพิ่ม คือ การปฏิสันถาร ทักทายยิ้มให้คนที่มาเยี่ยมเยือน อีกสิ่งหนึ่งก็คือให้พวกเรามีคุณราศีมากขึ้น คือให้สำรวมกันเหมือนยุคสมัยอโศกแต่ก่อน เดิมกุมมือ แต่ก่อนก็กดข่มกิเลสไว้ แต่ตอนนี้กุมมือจะดูเท่ ดูหน้าตาเบิกบานแจ่มใส มีรัศมีแห่งธรรมเปล่งประกาย มันผ่านการกดข่มก็จะเป็นการวิปัสสนาตามภูมิ
พ่อครูว่า…
_จากคุณใบฟ้า….กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้า
กราบขอพิจารณาตามสมควรค่ะ ใบฟ้า อังคารที่ 16/4/62
“การให้”ที่ยิ่งใหญ่ตามรอย “พุทธะ” ณ.. “แผ่นดินพุทธ”
พ่อครูสมณะโพธิรักษ์พระนิยตโพธิสัตว์ระดับ 7 ผู้รับหน้าที่ถ่ายทอดคำสอนเพื่อสืบสานพระพุทธศาสนาให้ครบ 5000 ปีจากพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็น “โพธิกิจ”ในระดับ “ปรมัตถ์บารมี”ที่ได้ลุล่วงเข้าสู่ปีที่ 49 ในปี 2562 นี้
43 ปีของยันต์พิธี “พุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์”และ “ปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ”โดย พ่อครู สมณะ และสิกขมาตุ แทรกช่วงวิถีชีวิตของ “ชาวอโศก” อันประกอบด้วย กิจวัตร กิจกรรม กิจการ ในกรอบของ ไตรสิกขา(ศีลสมาธิปัญญา)สามารถสร้างชุมชน “บวร”และคนที่เป็น “อาริยะ”ในระดับโสดา สกทา อนาคาและอรหันต์ เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ เพื่อ “รับใช้สังคม”ตามอุดมการณ์อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติให้เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลก
ปีที่เมืองไทยดี๊ดีณ..พ.ศ.นี้ หลังจากที่เพาะบ่มมาร่วม 48 ปี พ่อครูได้ “เปิดโลกบุญนิยม”อย่างเป็นทางการในด้าน “ปริยัติ”ในงานปลุกเสกฯและด้าน “ปฏิบัติ-ปฏิเวธ”ในงานตลาดอาริยะครั้งที่ 40 ปรากฏเป็นรูปธรรมเต็มรูปแบบ(ครบเครื่อง)เชื่อว่า ภาพที่ปรากฏแก่สายตาผู้คนทั่วประเทศและทั่วโลกที่ชมผ่าน “สื่อบุญนิยม”ทุกแขนงได้สัมผัสถึง “ความมหัศจรรย์”ของมหกรรมการ “ให้”ที่ยิ่งใหญ่ของ “ชาวอโศก”แก่สังคมตามรอย “พุทธะ”นำพาโดยพ่อครูที่ “ชีวิตนี้มีแต่ให้” แสดงตัวอย่างของการ “ให้”ที่เป็นสัมมา สละอย่างบริสุทธิ์ปราศจากความ “ฝัน – เพ้อ – เฟ้อ – ฟุ้ง” ถึงสวรรค์ – วิมาน – การตอบแทน ก่อประโยชน์ตน(บุญ)และประโยชน์ท่าน(กุศล)ตามภูมิ
กราบขอบพระคุณพ่อครูอย่างสูงสุด ขอบพระคุณพระองค์ประกอบทุกส่วนของ “องคาพยพ” งานตลาดอาริยะครั้งสําคัญนี้ค่ะ
พ่อครูว่า…เขียนมาดีเรียบเรียงกันมาดี พวกเราฟังกันก็พอเข้าใจในภาษา อาตมาอ่านแล้วสะดุดแต่ละคำแต่ละช่วงแต่ละประโยคที่ควรจะได้ขยายความ อธิบายให้แก่ผู้ที่ยังเข้าใจไม่ค่อยทัน ก็อ่านของเจ้าอื่นให้จบก่อน
_จาก ชานติ คำว่า อานิสงส์ กับ คำว่าประโยชน์ในทานสูตรนั้นมีความหมาย เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า…อานิสงส์ก็คือประโยชน์ การปฏิบัติทานที่ไม่เกิดผลอานิสงส์ ไม่มีประโยชน์ คือ นัตถิทินนัง (สู่แดนธรรมว่า ในทานสูตรไม่มีคำว่าประโยชน์มีแต่คำว่าผลกับคำว่าอานิสงส์ บางอย่างทานแล้วมีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์)
ผลของการทำทานที่พระพุทธเจ้าท่านหมายนั้นคือคนจะต้องชำระกิเลส ให้แล้วก็ต้องสละออก จิตใจก็ต้องไม่รับอะไรมา ในทานสูตร ผู้ทำทานที่มีผลมีอานิสงส์
คำว่า ผลนั้นเป็นคำรวม ผลทางโลกียะหรือโลกุตระก็ได้
คำว่า อานิสงส์แปลว่าประโยชน์ มันก็มีประโยชน์ แต่บางทีแล้วมันเป็นโทษ เช่น คุณทานแล้ว ควรจะมีประโยชน์ ควรจะเกิดประโยชน์ให้คุณละกิเลสได้ แต่คุณทานแล้วกลับมีกิเลสโลภมากขึ้น ถามจริงๆที่ผ่านมาแล้วใครทานแล้วยิ่งโลภจากกิเลสมากยิ่งขึ้น…ยกมือกันหมด
ทานนั้น กายให้ วจีให้ แต่ใจนั้นโลภจัดขึ้น ต้องการได้กลับมามากเกินกว่าที่ลงทุนไป ทั้งนั้นเลย ราคาหรือค่าสิ่งที่ต้องการตอบแทนกลับมาให้ได้ยิ่งกว่าของที่เราได้ให้ไปอย่างนี้เป็นต้น เป็นการทานที่ไม่มีประโยชน์ทางโลกุตระ มีกุศลก็มีกุศล การทานการให้ แม้ใจเป็นกิเลสแต่ผลทางโลกียะมี แก่ชีวิตต่อชีวิตวิบากกรรมวิบาก ในจิตใจจะขี้โลภอย่างไรก็ตามแต่การกระทำนั้นก็เป็นกุศล
SMS วันที่ 13-18 เม.ย. 2562
_7630ดูจากทางบ้านก็มีความสุขครับ
_2166ไม่มีคำพูดอื่นใด ครูโยสุดยอดจริงๆครับ ขอบคุณครับ
พ่อครูว่า…หากไปติดมากจิตจะเป็นขิฑฑาปโทสิกะ เป็นสวรรค์เก๊ สวรรค์ของคนโลกๆ ถูกหลอกลวง หากคุณได้สวรรค์ก็ได้นรกไปด้วย ยิ่งติดมากนรกก็ยิ่งลึก อย่างในโลกที่ปรุงแต่งกันอยู่ ดีดสีตีเป่าสนุกสนานบันเทิงเริงรมย์กัน ทางเราไม่มีรื่นเริงแบบประโลมโลกหลอกทางตาหูจมูกลิ้นกายใจกัน ชาวอโศกถือว่าง่าย เราจะมีบ้าง เป็นการผ่อนคลายอนุโลมแก่คนที่ยังมีกิเลสพวกนี้ ให้เขาบ้างนิดๆหน่อยๆ เป็นเรื่องของ ชั่วคราว ท่านเรียกว่าเป็นเรื่องของ มือสมัครเล่น ชั่วครั้งชั่วคราว amateur ก็เป็นครั้งคราว คนที่ไม่ได้ยินดียินร้ายด้วยก็ไม่ต้องหรอก ก็อนุโลมให้เขาบ้างอาตมาก็ไปนั่งดูเขาเล่นบ้างไปเคาะจังหวะตามเขาบ้างอนุโลมไปตามเรื่อง เหมือนที่อธิบายประกอบเสมอว่า เหมือนกับแม่ เห็นลูกเล่นหม้อข้าวหม้อแกงคนเดียวก็สงสารก็ไปเล่นกับลูก แต่จริงๆแล้วจะไปสนุกสนานอะไรกับลูกก็ไม่ ถ้าหากเข้าใจแล้วคนที่ถือสา ไปติดยึดตามอาการ ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
อาตมานี้แสดงออกอนุโลมกับโลกทั้งนั้น แสดงอย่างแรงแสดงอย่างดุไปบ้างอะไรต่างๆนานา เป็นเชิงที่ ปราบกำราบติเตียนดุว่า มาก เขาก็หาว่ามีใจโกรธเคืองถือสา ใจไม่ชอบ แต่จะให้ไปชอบสิ่งที่ไม่ดีได้อย่างไร แต่พูดโดยสัจจะว่าใจอาตมาไม่มีความชอบความไม่ชอบ พูดไปแล้วคนที่เขาไม่เชื่อ เขาไม่ได้เข้าใจสัจธรรมเขาฟังแล้วก็หาว่า พูดโกหกอยู่ได้ ไม่เชื่อหรอกว่ามีจิตใจไม่ชอบไม่ชัง เขาไม่เชื่อ ซึ่งก็น่าเห็นใจเขา เขาไม่ศรัทธา เราพูดว่าไม่มี แต่เขาดูพิจารณาตามอาการ ดูว่าดุเขาว่าเขากระหน่ำเขาก็ต้องไม่ชอบใจ แต่ลึกๆจะให้อาตมาไปชอบใจกับสิ่งที่ไม่ดีสิ่งที่ควรตำหนิ อาตมาว่าอาตมายังไม่ได้บ้าอย่างนั้น แต่จิตใจเราได้อ่านอาการจิตใจเราที่ได้ฝึกได้ดีแล้ว ก็มีจิตสงบ
คำว่าจิตสงบของพระพุทธเจ้าจึงลึกซึ้งอย่างยิ่ง จิตสงบของพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่ว่าไม่มีสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจไปนั่งสะกดจิตก็ไม่ใช่ จิตสงบของพระพุทธเจ้านั้นสัมผัสอยู่ทุกอย่าง จะร้อนแรงเร็วมากหนักอย่างไรอยู่ก็ตาม มีโลกธรรมหนักอย่างไรก็ตามจิตของเราก็ยังนิ่ง ไม่มีเพื่อน 2 นี่เรียกว่าจิตคนนิ่งเป็นผู้หลีกเร้น คนที่ไปอ่านพระไตรปิฎกไม่แตก ว่าหลีกเร้นไม่นานก็ได้เป็นพระอรหันต์ เข้าป่าหามุมเงียบ ไม่นานก็ได้เป็นอะไร สุญโญ ไม่ได้เกิดผลอะไรเลย คนเข้าใจผิดอย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกชัดเจนในพระสูตรที่ยืนยัน มิคชาลสูตร
ไปนั่งหลับตานั้นผิดแนวเลย ถ้ามีการสัมผัสแล้วมีเหตุการณ์ใดตามลำดับ หากเหตุการณ์อะไรแรงเราไปคลุกคลีเกี่ยวข้องไม่ได้ ก็อย่าไปเกี่ยวข้อง อสังคณิกะ อย่าไปลัด เหมือนกับการพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำ เราไปแตะสัมผัสเกี่ยวข้อง ภูมิคุ้มกันเราไม่มีเลยตกเป็นเหยื่อของกิเลสก็อย่าไปเข้าใกล้ จนกว่าเราจะมีอินทรีย์พละ สามารถที่จะไปสัมผัสและมีสติมีพลัง 5 อินทรีย์ 5 สามารถจะมีสติปัญญาพิจารณาได้ด้วยจิตของเรา สามารถทำให้จิตของเราไม่หลงไปตาม ไม่มีกิเลสฟูเฟื่องตาม แล้วก็มีสติรู้ทันพิจารณาสู้ได้ ได้ทำสงคราม ได้ปฏิบัติ เราอยู่เหนือจิตของเราไม่ตกไปตามมันจะมีพลังปัญญาที่สามารถที่จะสู้ กับโลกธรรม ไม่ให้เกิดกิเลส ผลักหรือดูด ชอบหรือชัง ยินดีหรือไม่ยินดีได้ นี่คือสัจธรรมของศาสนาพุทธที่ยิ่งใหญ่มาก ถ้าเข้าใจฝึกทุกวันฝึกเสมอที่มีผัสสะต่างๆตามควร คุณจะได้จริงๆ เป็นอรหันต์ ฝึกอย่างนี้แหละมันไม่ใช่ไปนั่งหลับตา ไปหนี แต่ต้องรู้สิ่งที่ควร ต้องอยู่ในกรอบขอบเขตที่มีภูมิคุ้มกันได้
_1941ทุกคนไม่แต่งหน้าทุกคนสวยอริยทรัพย์ค่ะ
_เพาะพุทธ จันทเสฏโฐ · พุทธแท้ ทุกถิ่นที่ ไม่มีสวรรค์ ไม่มีนรก ผกผัน หลุดพ้นผ่าน พุทธแท้ ย่อมถึง ซึ่งนิพพาน โพธิสัตว์ สืบสาน สยังอภิญญา
_ปาลิตา ทองสุขนอก · คนที่ 30. (เข้าดูในเฟสบุ๊ค) เราจะต้องรู้ที่ตายเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกตายได้ใช่มั๊ยเจ้าคะ จบ สาธุจ้า
พ่อครูว่า…คำว่าเลือกที่ตายไม่ได้หมายถึงสถานที่ เลือกอาการที่ตาย จิตของเรานั้นสำคัญ ตายอย่างมีสติสัมปชัญญะ ตายหมายถึงเราจะสิ้นใจ ร่างกายชีวิตจะหมดลมหายใจตายก็ต้องรู้ แต่ถ้าบอกว่าตายเลือกที่ตาย เราจะต้องปฏิบัติธรรมทางจิตของเราเลือกเอากิเลสมาฆ่าให้ตาย นี่คือเป้าหมายหลักของศาสนาพุทธ เป็นหัวใจหลักของศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้นทำให้ตายนี่แหละ ที่จะทำให้ตายก็คือ ความรู้สึก เวทนา ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 นี่คือหัวใจของศาสนาพุทธ ผู้ใดเข้าใจอันนี้แล้วทำอย่างนี้จริงๆเลย อ่านเทวธัมมา สัมผัสอะไรก็รู้รูปนามแล้วคุณก็จับคู่ จิตของคนมีกิเลสแล้วก็แยกกิเลสให้ได้ฆ่ากิเลสให้ได้ลดกิเลสให้ได้แล้ว ด้วยการฝึกให้รู้เท่าทันว่าอย่างนี้คือกิเลส แล้วก็ต้องบอกตัวเองเลยว่า ไอ้กิเลสมันเป็นของไม่เที่ยงเป็นของทำให้เป็นทุกข์ มันไม่มีตัวตน นี่คือภูมิปัญญาที่จะเกิดอย่างฉลาด คุณเมื่อเห็นจริงเลยว่ามันไม่เที่ยงมันแวบมาเข้ามา เดี๋ยว ถ้าเราโง่ไปกับมันก็จะพาเราทุกข์เสร็จมันเป็นทุกข์ จริงๆมันไม่มีตัวมีตนไม่มีของจริงไม่มีความจริงเลยมันเป็นของศูนย์ แต่เราไปยึดเป็นเพื่อน เป็นตัวเราด้วยอย่าว่าแต่เป็นเพื่อนเลย เราโง่มานานอวิชชามานานต้องพิจารณาให้จริงๆ จงพิจารณาให้เกิดทุกทีก็จะมีธาตุรู้มีอินทรีย์พละ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละมากขึ้น
หากคุณปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ ตามที่อาตมาว่านี้ก็จะสร้างปัญญาปัญญินทรีย์ปัญญาพละ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกคุณก็จะมีความสมบูรณ์แบบถ้าเข้าใจ ปัญญาจะเกิดได้ต้องมีผัสสะ ต้องมีมรรคมีองค์ 8 ต้องมีการทำงานอาชีพต้องมีกำลังจะต้องมีการพูดจาต้องมีการนึกคิด ไม่ใช่ว่าปฏิบัติแล้วจะเกิดปัญญาจากการไปนั่งหลับตา หลับตาทำให้เกิดสมาธิไม่มีความคิดนึกเลยเดี๋ยวปัญญาจะพุ่งขึ้นมาเอง มันน่าสงสารจริงๆคนที่มีทิฏฐิเข้าใจอย่างนี้
อย่างอาจารย์บูรพา ผดุงไทย หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์เขียนคอลัมน์ศาสนา อาตมาตีก็ไม่สะเทือนยั่งคงมุ่งมั่นอยู่อย่างนี้ ไปสร้างภพชาติเป็นเดียรถีย์ มีสำนักงานมีลูกศิษย์ลูกหาเยอะแล้วก็แทรกอยู่ในวงการศาสนาพุทธ ขออภัยอาจารย์บูรพาที่ยกชื่อขึ้นมา เพราะเป็นผู้รู้แสดงชื่อเป็นเจ้าสำนักขึ้นมา อาตมาก็ต้องขอวิจารณ์ด้วยใจบริสุทธิ์ด้วยความจริงใจ ไม่ได้มีเจตนา ข่มเบ่งหรือลบหลู่ แต่บอกความจริงตามความเป็นจริง ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นบาปกรรม เรายิ่งทำไปอีกก็ยิ่งทำลายศาสนาพุทธมันบาปนะ หากสำนึกดีเปลี่ยนแปลงได้จะมีคุณประโยชน์ต่อศาสนามาก
_แก้วลา ไชยวงค์ · ขอให้ปิยบุตรแพ้ภัยตัวเองเพราะเขาเนรคุณแผ่นดิน
พ่อครูว่า…ไม่ต้องไปกระหน่ำย่ำยีเขาหรอก เขาทำเขาก็จะแพ้ภัยของเขาเองถ้าเขาทำไม่ดี
_เจน ฮู เชอร์ · พ่อครูพูดการเมืองก็ดีเจ้าค่ะ เทศก็ดีเจ้าค่ะ. ฟังได้ไม่เบื่อเจ้าเลยสาธุเจ้าค่ะ
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ · ถ้าปลูกกัญชารักษาโรคจะผิดศีลมัยครับ
พ่อครูว่า…อาตมาเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร คุณเป็นฆราวาสคุณปลูกพืชผักอะไรได้บ้าง แต่ในสังคมเขาก็มีกฎหมาย กฎหมายก็เหมือนศีลอันหนึ่งในสังคม คุณจะไปปลูกกัญชารักษาโรคแล้วมันผิดศีลไหม กฎหมายก็เหมือนกับศีลอันหนึ่งของชาวโลก ถ้ากฎหมายเขาห้ามก็ผิดศีล ถ้ากฎหมายเขาไม่ห้ามแล้วคุณก็มีเจตนารักษาโรคและคุณก็ระมัดระวัง อย่าให้กลายเป็นเรื่องที่จะบานปลาย เพราะเป็นสิ่งที่เสพติดแรง มันได้ผลแต่ก็มีสิ่งที่จะทำให้ติดยึดเสียหายเพิ่มเติมทำให้คนต้องระมัดระวังกัน สิ่งที่มีคุณอนันต์ก็มีโทษมหันต์ เป็นคู่กัน ระวังก็แล้วกัน
_6346 กราบนมัสการค่ะพ่อครู โดนจังๆค่ะฆ่านรกสวรรค์ตายเป็นอรหันต์จ้อย555
พ่อครูว่า…คงไปซาบซึ้งคำว่า ใครฟังคำนี้แล้วเข้าใจสรุปอย่างที่คนๆนี้พูดมาก็จะรู้จักจุดสำคัญของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียว ที่ฆ่านรกฆ่าสวรรค์ ไม่เอานรกไม่เอาสวรรค์ไม่มีนรกไม่มีสวรรค์ พระอรหันต์ คือคนที่ไม่มีนรกไม่มีสวรรค์ นี่เป็นศาสนาพุทธแท้ๆเพียวๆเลยบริสุทธิ์สะอาด อาตมาพูดทั้งขยายความทั้งสรุป เตะเข้าโกลเปรี้ยงเลยเป็นอย่างนั้น
ถ้าเราอ่านใจเข้าใจจริงๆแล้วรู้อาการของสวรรค์อาการของนรกในจิต สัมผัสอะไรแล้วเราก็รู้ว่านี่ยินดียินร้าย อันนี้เป็นแนวทาง อะไรอันนี้เป็นทางติดยึดทางดี คนอาการอย่างนี้แล้วทำจิตให้เป็นกลางๆ รู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่มีเวทนาที่ 2 มีแต่เวทนาเดียว คือ รู้ เวทนาคือธาตุรู้ ดูความจริงตามความเป็นจริง
เห็นทุเรียนพวงมณี เห็นแล้วชอบใจหรือไม่ชอบ แต่เห็นแล้วทุเรียนก็คือทุเรียนลูกกลมๆดูน่าเอ็นดู เหมาะเจาะ เราก็ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร อาการของจิตที่มันละเอียดนะ มันอย่างหยาบก็รู้ มันชอบใจไม่ชอบใจแรง มันอยู่กลางๆก็ไม่ค่อยรู้มากขึ้น มันละเอียดลงไปอีก หัดอ่านแค่นี้ศาสนาพุทธ สัมผัสอะไรก็รู้ว่ายินดีหรือไม่ยินดีแต่รู้ความจริงตามความเป็นจริงว่าอันนี้คืออะไร อันนี้คือทุเรียนคือสิ่งที่กินได้ ควรกินหรือไม่ควรกิน พิจารณาให้เป็นสิ่งที่เราสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องแล้วเป็นประโยชน์ก็เอา เป็นโทษก็ไม่เอา สัมผัสได้กับทุกสิ่งในโลกจะอยู่กับข้าวของกับพืชพรรณธัญญาหารจะอยู่กับมนุษย์ด้วยกันอยู่กับสัตว์โลกด้วยกัน เราก็สัมผัสแล้วเราก็รู้ว่า อะไรคืออะไรและจิตใจเราก็ไม่มีความสุขความทุกข์ไม่มีนรกไม่มีสวรรค์ แต่เรามีกรรมกิริยาสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างมีประโยชน์คุณค่า อะไรไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่เกี่ยวข้องหรือแสดงออก ให้เขารู้ว่าอย่าทำเลยมันไม่ดีงาม ชีวิตคนก็ไม่มีโทษภัยอะไร ชีวิตเราก็จะมีแต่ประโยชน์คุณค่า เป็นคนสูงสุด
พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ทำงานอื่นเลย ท่านทำงานนี้งานเดียว ยิ่งใหญ่ที่สุดในมหาจักรวาล ท่านเองเกิดมาไม่รู้กี่ชาติกว่าจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเพื่อค้นหาชีวิต ชีวิตจะต้องทำอะไร สุดท้ายก็รู้ว่าชีวิตจะต้องมาทำงานเป็นครูสอนธรรมะ เหมือนอาตมา
อาตมาค้นหาแล้วก็เจอว่าตนเองเป็นโพธิสัตว์ แล้วอาตมาก็จะเป็นครู จนกว่าจะเป็นครูใหญ่มีสัมมาสัมโพธิญาณอย่างพระพุทธเจ้า
อาตมาทำงานนี้ตั้งแต่เริ่มรู้ว่ามีหน้าที่นี้ก็รู้ว่าไปหลงลาภยศสรรเสริญ แย่งเศษกากของชีวิตตั้ง 36 ปี รู้ตัวตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ไม่เคยมี แวบวาบว่าจะต้องเลิกงานนี้ไปทำงานอื่น รู้ว่างานนี้เป็นงานที่ดีที่สุด พระพุทธเจ้าท่านหางานที่ดีที่สุดมาไม่รู้กี่ล้านชาติ สุดท้ายท่านก็มาทำงานนี้งานเดียวเชื่อไหม แล้วก็เป็นจริงด้วย แล้วทุกคนมีงานอะไร งานท่องเที่ยว งานไปช้อปปิ้ง งานไปอะไรอะไรต่างๆนานา งานเก็บผักเบี้ย มาอยู่ที่นี่ก็มีงานที่เป็นประโยชน์ ไปช่วยขนปุ๋ยไปช่วยทำงานกสิกรรม เป็นงานสามัญที่อยู่กับชีวิตที่เป็นประโยชน์คุณค่า เป็นประโยชน์ต่อตนเองและหมู่กลุ่มที่เราอยู่ด้วย งานอะไรที่ไร้สาระเสียพลังงานแคลอรี่ไปกับกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม รู้ตัวแล้วเราก็ไม่ไปเสียแคลอรี่กับสิ่งเหล่านั้นจึงเป็นคนที่มีประโยชน์คุณค่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ไม่สูญเสียสิ่งที่ควรสูญเสีย เอาความสูญเสียของข้าคืนมา ความสูญเสียของคนคือ 1. เวลา 2. แรงงาน 3. ทุนรอน ทุนรอนมีเงินทองข้าวของวัตถุจนกระทั่งถึงอารมณ์ เอาคืนมา ผู้ที่เอาความสูญเสีย 3 ประการนี่คืนมาได้ถือว่าเป็นอรหันต์ เวลา แรงงาน ทุนรอน อาตมาสรุปมานานแล้ว
เสร็จแล้วเราก็เป็นคนที่มีเวลาวันๆนึงเสียดายเวลาที่จะเป็นประโยชน์ เสียดายแรงงาน หรือแม้แต่ทุนรอนที่เราจะต้องจ่ายไป เป็นวัตถุก็ตามเป็นแรงงานทางกายกรรมแรงงานทางความคิดก็ตาม เป็นทุนรอนด้วย เราก็เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สูงสุด ไม่ให้มันเป็นโทษไม่ให้มันเป็นภัย ให้เป็นแต่คุณค่าประโยชน์ไป คนผู้นี้จึงเป็นคนที่จะไม่เกิดโทษภัย มีแต่คุณค่าประโยชน์ทุกวินาทีทุกวินาที นี่คือคุณสมบัติอันเลิศ เป็นคุณสมบัติวิเศษคุณธรรมอันประเสริฐของความเป็นมนุษย์ พระพุทธเจ้ารับผิดชอบความเป็นมนุษย์แล้วก็มาสอนมนุษย์ให้เป็นคนอย่างนี้เท่านั้น อาตมาก็มาทำงานเดียวกันแต่อาตมายังไม่ใช่พระพุทธเจ้า ทำเท่าที่อาตมาจะมีภูมิธรรม นี่คือสัจจะที่ยิ่งใหญ่ในโลกว่าเกิดมาแล้วจะทำอะไร เกิดมาแล้วจะอยู่ตรงไหน อาตมาเจอแล้วได้แล้วเป็นแล้วอยู่แล้ว ถ้ายังหาไม่เจอว่าตัวเองคือใครตัวเองจะทำอะไรตัวเองจะจบตรงไหนจะอยู่กับอะไร คุณก็ต้องแสวงหาไปอยู่อย่างนั้นแหละ ยังไม่มีที่จอดยังไม่มีที่ลง
อาตมานั้นแน่ใจและไม่วอกแวก ไม่ตื่นเต้นไปกับอะไรอย่างอื่น ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงอาตมาไปทำงานอื่นได้ ไม่มี ถ้าจะมาทำงานนี้ตลอดกาลจนตายแล้วไปเกิดมาอีก จะมีลิงลมอมข้าวพองหรือไม่ก็แล้วแต่ พระพุทธเจ้าท่านอุบัติขึ้นมาก็ยังไปเป็นฆราวาสตั้ง 29 ปี จะไปทางธรรมก็ยังถูกลิงลมอมข้าวพองหลอกไปออกป่า อีกตั้ง 6 ปี รวมแล้ว 35 ปีกว่าจะรู้ตัว ว่า โอ้ ขนาด พระพุทธเจ้านะ ส่วนอาตมานั้นไปอยู่กับโลกจริงๆไม่เต็ม 36 ปี แต่อาตมาเป็นโพธิสัตว์ที่รู้ดีไม่ออกป่า ไม่ไปปฏิบัติในป่า ที่จริงไปป่าเหมือนกัน ไปอย่างมีสติ ไปอย่างไปทดสอบไปดูเลย ออกป่าไม่นาน ตอนนั้นไปเดือนหนึ่งมั๊ง ไปอยู่กลางคืน สัตว์มันออกมาหากินเหม็นกลิ่นมัน เราก็ไปดูให้รู้ว่าเราเป็นโพธิสัตว์ เดี๋ยวจะไม่รู้ เขาก็จะหาว่าเหมือนหมาเห็นองุ่นเปรี้ยว
ออกป่าตอนนั้นอาตมายังชิมขี้ตัวเองเลย ก็ขี้เป็นก้อนดีนะยังจำได้ตอนนั้น ขี้เราตอนนั้นมีรสขมนิดๆ พระพุทธเจ้าท่านก็ไปบำเพ็ญกินขี้ตัวเอง แต่พวกคุณยังไม่อยู่ในฐานะที่ต้องทำอย่างนั้นไม่จำเป็นต้องทำมันเกิน ปฏิบัติธรรมไปตามธรรมดาอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนตามมรรคมีองค์ 8 ไปตามลำดับก็เป็นพระอรหันต์ได้ตามควร ไม่เห็นประหลาดอะไร
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…
สมณะแสนดิน เล่าว่า เราเคยเป็นหมอมาก่อน ทีนี้ ในมหาศีลก็มีห้ามการรักษา แต่เมื่อคืนมีเด็กป่วยมา จึงได้ให้ยารักษาเขาไป..
พ่อครู ว่า มันไม่ใช่ทำเป็นอาชีพ และอธิบายเสริมเรื่องการทำเป็นอาชีพ อย่างเช่น พระทุกวันนี้ ไปกิจนิมนต์ สวดมนต์ มีรายได้เป็นอาชีพเลี้ยงตัว
อาตมาเห็นแล้วจะทำอย่างไรศาสนาพระพุทธเจ้าจะเข้าร่องเข้ารอยได้มันเกินกว่าเรียกว่าแก่เกินแกงไม่รู้จะพูดอย่างไรก็ต้องพูดกับผู้ที่พอเข้าใจแล้วก็เปลี่ยนแปลงมาทำอย่างนี้ได้
อาตมาว่าจะกลับมาอธิบายที่คุณใบฟ้าเขียนมา
จริงๆแล้วเรื่องการทานก็เป็นบารมี 10 ทัศข้อแรกข้อเดียว ชีวิตนี้มีอย่างเดียวไม่ได้เอาอะไรจากใครมีแต่ให้ ยังชีพเพื่อกินอยู่ไปตามประสา เราให้อะไรใครได้มากที่สุดแล้วก็ทำ อย่างอาตมาไม่มีวัตถุที่จะให้แล้ว มันก็มามีสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน มันมีวัตถุอยู่ อาตมาสร้างสถานที่ให้เป็นธรรมชาติ ให้มีคนได้มาใช้อาศัยพักผ่อน แม้แต่มาทำอาชีพเช่น สร้างอาคารบวรเพื่อจะให้คนมาค้าขาย เจตนาเลย อยากจะมาขายมาไม่ต้องเช่า ไม่ต้องเสียเงิน อาคารบวร ในเนื้อที่ 11 ไร่ รวมชั้นที่ 2 ด้วยก็เป็น 27 ไร่
ทำเพื่อไม่ใช่ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนได้ค่าเช่าหรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่เลยไม่เคยคิด คิดแต่ว่าจะให้มาใช้ประโยชน์ โดยที่อาตมามีความคิดในสิ่งที่จะช่วยเหลือมนุษย์ด้วยการทำตลาดอาริยะ แต่ก่อนคนมาเยอะเราก็ต้องตั้งเต็นท์ พวกเราก็มาออกร้านค้า แต่ละปีแต่ละปี แล้วก็จะได้ขายสินค้านี้ให้แก่ประชาชนตามที่เห็น เขาก็รู้เป็นคนที่น่าสงสารเป็นคนที่ต้องการ แต่มีคนที่แฝงเป็นคนฐานะดีเอาคนงานมาเข้าคิวซื้อแล้วเอาไปขาย แต่ก็น้อยลงแต่ก่อนมีเยอะ เดี๋ยวนี้ก็ละอายแล้ว เขารู้ว่าเราทำให้เขา คนที่มานี้ก็จะเป็นคนที่อยู่ในฐานะที่เขาจะได้รับการช่วยเหลือเหมือนกับรัฐบาลจะช่วยเหลือคนจน ช่วยเหลือคนฐานะพวกนี้ เราทำมา 40 ปีแล้ว ลงทุนไปแต่ละครั้งหลายล้านบาท เพื่อที่จะให้เขาได้รับประโยชน์ สร้างอาคารนี้ขึ้นมาเพื่อให้เป็นร่มเงา สงสารพวกเราต้องตั้งโต๊ะตั้งเต็นท์ ตั้งแล้วก็คงต้องรื้อ ก็เลยสร้างอาคารถาวรขึ้นมา ชั้นล่างข้างหนึ่งขายของสดข้างหนึ่งขายของแห้ง เป็นร้านค้า ให้เป็นตลาดใหญ่เลยไม่ได้คิดจะเอาเงินทองอะไร ส่วนข้างบนก็เป็นที่อาศัยเป็นสำนักงานเป็นที่ที่จะทำอะไรก็ได้ที่จะเป็นประโยชน์ในการใช้สอย ที่ไม่ใช่ร้านค้าอย่างนี้เป็นต้น สร้างแล้วเสร็จก็ยังไม่มีใครมาใช้เท่าไหร่ ด้วยความจริงใจแล้วอยากจะให้มีที่ที่มันเป็นสำหรับคนที่เดือดร้อน ตอนนี้มีคนมาขายเยอะขึ้นแล้วนะ
สิกขมาตุกล้าข้ามฝันว่า… คนที่มาขาย เราก็ไปถามเขาว่าใครให้มาขาย เขาก็บอกว่าหลวงพ่อใหญ่ให้ขาย แล้วหลวงพ่อใหญ่ก็เดินมายิ้มให้เขาทุกวัน
พ่อครูว่า…เขาก็หากินบริสุทธิ์ เป็นแต่เพียงว่าอย่าเอาเนื้อสัตว์ เอาของเป็นพิษของมอมเมาเอามาขาย น้ำอัดลมก็ได้เอาพอสมควร
สมณะฟ้าไทว่า…สำหรับพวกเราเองไม่ให้ขายน้ำอัดลม
พ่อครูว่า…พวกเราควรจะเป็นตัวอย่างเราไม่ให้ขาย เราจะไปเป็นตัวอย่างให้เขาในการขายทำไม เราก็เป็นตัวอย่างในการไม่ขาย หากมาขายสิ่งที่เป็นพิษมอมเมาเกินไปมันก็มีขีด หยาบกลางละเอียดก็ต้องดูว่า เห็นควรต้องเลิกไม่ให้ขายก็ต้องเลิก แต่ตอนนี้คนก็ยังน้อยที่ทางก็ยังมีมากแต่ต่อไปที่น้อยลงก็ควรให้หยุดก็ค่อยว่ากันไป ถ้าหากเกินกว่าที่เราอนุโลมได้ก็ไม่ให้มาอยู่แล้ว ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นเกินไปอนุโลมปฏิโลมไปตาม กาละ อาตมาจะเอาปัจจุบันเอาสิ่งที่ควร เอามหาปเทส 4 เป็นหลัก ก็ดูดี มันไม่มีปัญหา คนจะมาซื้อกินเป็นที่เป็นทาง เก็บขยะข้างๆ หากจะไปกระจายกันขยะมันก็เก็บไม่ไหว เป็นที่เป็นทางเป็นหลักเป็นแหล่งมันก็ดี สรุปแล้วใช้ได้
ที่คุณใบฟ้าบอกว่า การให้ที่ยิ่งใหญ่ ณ แผ่นดินพุทธแห่งนี้
ในบารมี 10 ทัศนี้ไม่ได้บำเพ็ญอะไรเลยบำเพ็ญเป็นผู้ให้ เพราะฉะนั้น ปางสุดท้ายของพระพุทธเจ้าคือพระเวสสันดรให้อย่างเดียว ให้ มาที่สุดลูกก็ต้องให้ เมีย ก็ให้ ถึงขนาดนั้น ลูกคือกัณหากับชาลี ให้ไปกับชูชก เมียก็มีพระอินทร์มาขอ ให้แล้วก็ฝากคืน จะลองใจว่าให้ไหม อย่างนี้เป็นต้น ไม่มีอะไรหรอก ให้อย่างไม่มีตัวตน ให้อย่างไม่สาเปกโข
อาตมานี่เข้าใจ อาตมาทำเหมือนเตี้ยอุ้มค่อม ให้อย่างที่เขาก็เห็นว่ารวย แต่คนเขามองความซับซ้อนนี้ไม่ออก เข้ามาดูที่นี่ว่าอุดมสมบูรณ์ร่ำรวยข้าวของเครื่องใช้อะไรต่ออะไร ที่อื่นเขายังไม่มีเลย หมู่บ้านอื่นยังไม่มี ที่นี่มีโรงงานอะไรหลายอย่างที่ขนาดระดับอำเภอเขาก็ไม่มีใช้ เราไม่มีเงินเขาก็ไม่เชื่อ 1 เราไม่เรี่ยไร ดีไม่ดีขาดทุนๆ แล้วไปเอาเงินมาจากไหน เงินจากพวกเราเองเลย เลือดสดๆของพวกเราเองบริจาคมา นอกนั้นก็คือแรงงาน แรงงานของพวกเราสร้างได้อย่างซับซ้อนอยู่ในนี้ เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่มาก
ถ้าหากนักเศรษฐศาสตร์ที่บริหารประเทศเข้าใจเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้าดีขออภัยเหมือนอย่างที่อาตมาเข้าใจ แล้วมาดำเนินทฤษฎีอย่างสัมมาทิฏฐิ ตามแบบของพระพุทธเจ้านี้ โอ้โห ประเทศไทยจะเจริญมหาศาลเลย จะยิ่งใหญ่เป็นมหาอำนาจในโลกที่ยิ่งใหญ่
เหมือนกับเราไปปฏิวัติ ไปทำรัฐประหารด้วยมือเปล่า ไปประท้วงไล่รัฐบาลด้วยมือเปล่า ไล่รัฐบาลด้วยความสงบเรียบร้อย จนรัฐบาลต้องออกไปจริงๆตั้ง 3-4 รัฐบาล ซึ่งเป็นพฤติกรรมของรัฐศาสตร์เป็นพฤติกรรมของการเมืองที่ยิ่งใหญ่มาก คนในประเทศไทยทำได้ร่วมมือกันทำสำเร็จนี่เป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทย คนไทยยังไม่ค่อยจะรู้ตัวเลย แม้ที่สุดประชาชนปฏิวัติสำเร็จเรียบร้อยแล้ว รัฐประหารสำเร็จเรียบร้อยแล้วเราก็ corridor ส่งไม้ผลัดให้แก่พลเอกประยุทธ์ ประชาชนให้พลเอกประยุทธ์บริหารต่อเป็นการยื่นไม้ผลัดให้ทำหน้าที่ นี่เป็นรายละเอียดของรัฐศาสตร์การเมืองที่งดงามที่สุดที่ประเทศไทยทำได้โดยใช้ศัพท์ จะบอกว่ามาสืบทอดอำนาจจากประชาชนก็ได้ถูกต้อง เพราะประชาชนไม่ได้ขัดขวางเดือดร้อน เห็นดีเห็นงามก็ส่งเสริมพลเอกประยุทธ์ด้วย ไม่ได้ไปประท้วง ถ้าหากพลเอกประยุทธ์กบฏจะไปกันไหม อาตมาจะออกไปประท้วงพวกเราจะไปกันไหม …พูดจริงนะไม่ได้ขู่ หากพลเอกประยุทธ์ทำงานไม่ได้เข้าตา ตอนนั้นนายทักษิณ บริหารประเทศเราก็ออกไปไล่ ก็เหมือนกันเราก็ไปไล่ได้อีก เราไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอะไร หากว่าคุณดีก็ทำต่อหากว่าคุณทำไม่ดีเราก็ออกไปไล่ เราก็ให้สัญญาณว่าหากเขาทำไม่ดีก็ต้องให้สัญญาณ แต่ตอนนี้ทำได้สมควรแก่ธรรม ดีอยู่ก็เลยไม่มีปัญหาอะไร
ความหมายของสิ่งที่สุดยอดแล้วไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่าทานคือการให้ สุดจบ คือทาน เหมือนกับพระพุทธเจ้าที่มาในปางสุดท้ายจะบำเพ็ญบารมี คือการทานอย่างยิ่งใหญ่ ในปางพระเวสสันดรนี่แหละ เริ่มต้นคือการได้ให้ ปฏิบัติธรรมก็มีการบริจาคในวัตถุแล้วก็ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ที่สุดก็จบด้วยการให้อีก คนที่ชีวิตนี้มีแต่การให้สุดยอดแล้ว อาตมาเองภูมิใจชีวิตตนเองที่ว่าเราไม่มีอะไร แต่เราก็ได้ให้ เรามีอะไรที่จะพอทำให้มีคนมาบริจาค เราก็เอามาทำในสิ่งที่จะให้เขาตอบได้เราก็ทำ
ที่ได้มาอยู่นี้อาตมาไม่ได้หาเงินไม่ได้เรี่ยไร จากคนภายนอกที่ไม่ใช่สมาชิกชาวอโศกให้เขาเอาเงินมาถวายเอามาบริจาคซึ่งเราก็ไม่รับ ต้องอยู่ในกติกาอย่างน้อยมาศึกษาที่นี่อย่างน้อย 7 ครั้งมาสัมผัสสัมพันธ์หรืออ่านหนังสือเราอย่างน้อย 7 เล่มเป็นอย่างน้อย ว่าเราคือใครอย่างไรคุณจะเอาเงินมาบริจาคเป็นใครคุณศรัทธาเลื่อมใสแบบหลอกลวงไม่มีปัญญารู้ แล้วคุณให้ใคร คุณก็ต้องรู้ว่าคนนี้ควรให้ ฉันให้ คุณรู้ว่าให้คนที่ควรให้ต้องมีปัญญา อาตมาอธิบายไม่เก่ง อธิบายลึกซึ้งให้คุณเข้าใจเองได้ก็แล้วกันว่ามันมีความลึกซึ้งกว่านี้
หากใครที่มาทำทานมาบริจาคที่นี่ อย่างน้อยต้องมาที่นี่ 7 ครั้ง ศึกษาให้ดีที่นี่คืออะไรอย่างไรหรืออ่านหนังสือเราถึง 7 เล่มแล้วก็บริจาคได้ ไม่ใช่แอ๊คนะ ต้องให้ชัดเจนตั้งแต่ต้นแล้วเป็นกติกาของเรา ที่นี่จึงจะได้เงินจากคนข้างนอกแทบจะเรียกว่าไม่ได้เลย มีผู้ที่บริจาคให้ก็คือพวกเรา แล้วคนบริจาคก็ไม่ได้ไปบริจาคใครอื่นนอกจากบริจาคส่วนกลางหรือให้โดยตรงกับอาตมา สมณะก็ดี สิกขมาตุก็ดี ก็ไม่ได้ให้บริจาคสักเท่าไหร่ เพราะรู้ว่าท่านก็เอามาให้แก่ส่วนกลางอยู่ดี มีแต่อาตมาเท่านั้นเป็นจุดกลางที่รับมา คนงเขาก็ไม่รู้ก็บอกว่าทำไมยังรับเงิน ก็ถ้าไม่มีทายก ปฏิคาหก แล้วจะเกิดการทานได้อย่างไรในโลก คนที่ไม่รู้ก็ตอนนี้อย่างโง่ เราก็เข้าใจแล้วแต่คุณเองไม่เข้าใจอะไรเลย คุณมาดูรายละเอียดสิว่าเราปฏิบัติอย่างมีรายละเอียดลึกซึ้งซับซ้อนอีกเยอะแยะ ที่คุณควรจะศึกษา
ขออภัยจริงๆ คนอย่างชาวอโศกคนอย่างโพธิรักษ์คนอย่างสมณะสิกขมาตุ หรือแม้แต่ฆราวาสชาวอโศกที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่เป็นผู้ให้แก่สังคมมากกว่าเป็นผู้เอา นี่แหละคือนักเศรษฐศาสตร์ตัวแท้ นอกจากให้แล้วยังไม่สะสมด้วย มีไว้พอกินพอใช้พอใช้พอควรตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านได้ตรัสไว้ ไม่สะสมหวงแหน มีแต่สะพัด เป็นนักเศรษฐศาสตร์เบอร์ 1 ของโลกไม่ได้พูดอย่างเล่นลิ้นหรือหลงตัว แต่พูดความจริง
จะเรื่องรัฐศาสตร์ก็ตาม เป็นนักการเมืองที่มีคุณค่า เป็นนักการเมืองที่ผู้ปกครองบริหารอย่างไม่ต้องบริหาร เพราะพวกเรามีสำนึกพวกเรามีศีลมีธรรม ซึ่งสูงกว่ากฎหมาย เพราะฉะนั้นคนมีศีล 5 นี่แหละ กฎหมายต่างๆไม่ต้องไปพูดกัน ศีลทั้ง 5 ข้อนี้ กฎหมายมีในนี้จบ มีกฎหมายร่างมาไม่รู้กี่มาตราไม่มีปัญหากับคนที่มีศีล 5 บริบูรณ์ กายกรรม 3 วจีกรรม 4 หรือ 1 ไม่โกหกอย่างเดียวก็ได้หรือไม่ต้องโง่ในสิ่งที่เป็นพิษภัยกับโลกเป็นพิษภัยในโลกก็ไม่หลงแล้วจบเลย มีชีวิตอยู่ในโลกปล่อยได้เลยคนอย่างนี้อยู่ในสังคมอยู่ในโลกปล่อยได้เลย
นี่เป็นงานที่ศาสดาของโลกแต่ละคนต้องมาทำให้คนเป็นแบบนี้ นี่คืองานหลักของมนุษยชาติในโลก เป็นงานพิเศษเป็นงานหนึ่งเดียวเป็นงานสุดยอดประเสริฐที่สุด เพราะฉะนั้นอาตมาที่พูดนี้เกิดมาทำงานนี้เพราะรู้ว่าเกิดมาต้องมาทำงานนี้อย่างเดียว จะเป็นโพธิสัตว์เพื่อที่บำเพ็ญบารมีไปถึงขั้นสูงสุดเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ก็พูดได้อย่างชัดเจน เพราะอาตมามีความจริงมีความรู้อันนี้ แล้วก็มาทำงานนี้ตั้งไม่รู้กี่ชาติ ๆแล้วบำเพ็ญโพธิสัตว์มา นอกจากไปหลงลิงลมอมข้าวพองอย่างที่ว่า มันเป็นธรรมชาติก็เป็นการซ้อน ซ้อนในสัจธรรมของพระพุทธเจ้ามันก็จะเป็นเช่นนั้น นี่คือการอธิบาย
สรุปการให้อธิบายความไปอีกกี่วันกี่คืนก็ได้ เอาล่ะพอ
บอกว่า เป็น “โพธิกิจ”ในระดับ “ปรมัตถ์บารมี”ที่ได้ลุล่วงเข้าสู่ปีที่ 49 ในปี 2562 นี้ คนใหม่ก็จะมางานปลุกเสกฯพุทธาฯ มีบ้างแต่น้อยลก็น่าจะมีคนเพิ่มขึ้นมาปีที่ 43 แล้วเราทำไปอยู่ตลอดเวลา หัดฝึกเรียนรู้ศีลสมาธิปัญญา เรียนกับปริยัติปฏิบัติปฏิเวธไปในตัวด้วย เกิด บวร เกิดคนเป็นอาริยะ มี บ้าน วัด โรงเรียน อยู่รวมกันเป็นองค์รวม เป็นบ้านเป็นชุมชนแล้วก็มีวัดอยู่ในนี้มีโรงเรียนมีการศึกษาพร้อม เป็น 3 ใน 1 เป็น 1 ใน 3
43 ปีของยันต์พิธี “พุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์”และ “ปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ”โดย พ่อครู สมณะ และสิกขมาตุ แทรกช่วงวิถีชีวิตของ “ชาวอโศก” อันประกอบด้วย กิจวัตร กิจกรรม กิจการ ในกรอบของ ไตรสิกขา(ศีลสมาธิปัญญา)สามารถสร้างชุมชน “บวร”และคนที่เป็น “อาริยะ”ในระดับโสดา สกทา อนาคาและอรหันต์ เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ เพื่อ “รับใช้สังคม”ตามอุดมการณ์อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติให้เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลก
ปีที่เมืองไทยดี๊ดีณ..พ.ศ.นี้ หลังจากที่เพาะบ่มมาร่วม 48 ปี พ่อครูได้ “เปิดโลกบุญนิยม”อย่างเป็นทางการในด้าน “ปริยัติ”ในงานปลุกเสกฯและด้าน “ปฏิบัติ-ปฏิเวธ”ในงานตลาดอาริยะครั้งที่ 40 ปรากฏเป็นรูปธรรมเต็มรูปแบบ(ครบเครื่อง)เชื่อว่า ภาพที่ปรากฏแก่สายตาผู้คนทั่วประเทศและทั่วโลกที่ชมผ่าน “สื่อบุญนิยม”ทุกแขนงได้สัมผัสถึง “ความมหัศจรรย์”ของมหกรรมการ “ให้”ที่ยิ่งใหญ่ของ “ชาวอโศก”แก่สังคมตามรอย “พุทธะ”นำพาโดยพ่อครูที่ “ชีวิตนี้มีแต่ให้” แสดงตัวอย่างของการ “ให้”ที่เป็นสัมมา สละอย่างบริสุทธิ์ปราศจากความ “ฝัน – เพ้อ – เฟ้อ – ฟุ้ง” ถึงสวรรค์ – วิมาน – การตอบแทน ก่อประโยชน์ตน(บุญ)และประโยชน์ท่าน(กุศล)ตามภูมิ
พ่อครูว่า…มาทวน พรหมชาลสูตรต่อ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรมติพระสงฆ์ ก็ตาม เธอทั้งหลายไม่ควรอาฆาต ไม่ควรโทมนัสน้อยใจ ไม่ควรแค้นใจในคนเหล่านั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคืองหรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นเป็นแน่
(พ่อครูว่า..หากนักปฏิบัติธรรมเกิดจิตน้อยใจอะไรพวกนี้เป็นการเสียท่าเสียเชิงสำหรับนักปฏิบัติธรรม)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคืองหรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น เธอทั้งหลายจะพึงรู้คำที่เขาพูดถูก หรือคำที่เขาพูดผิดได้ละหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้ทีเดียว พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม
ติพระสงฆ์ ในคำที่เขากล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความไม่เป็นจริงว่านั่นไม่จริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลาย และคำนั้น จะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ เธอทั้งหลายไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเธอทั้งหลายจักเบิกบานใจ จักดีใจ จักกระเหิมใจในคำชมนั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลายเพราะเหตุนั้นเป็นแน่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือชมพระสงฆ์ ในคำชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นจริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้คำนั้นก็มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาได้ในเราทั้งหลาย.
พ่อครูว่า…คนข้างนอกเขาจะชมเราก็มีน้อย เขาชมมาเราก็ดูเหตุว่ามันเป็นอย่างไร เช่นเขาชมว่าเป็นอรหันต์ ก็ยังไม่มีเลยคนข้างนอกมาชมอย่างนี้ เราก็จะได้บอกว่าจริง เราเป็นพระอรหันต์เพราะเหตุนี้ก็จะได้บอกเขา แม้ไม่ชมก็จะบอก
ที่อาตมาบอกอาตมาเป็นอรหันต์นั้น อย่ามองตามอาการว่าไม่ใช่พระอรหันต์ซึ่งเป็นพระอรหันต์ตามภพของเขาเอง แต่อย่างอาตมานี้อรหันต์จริง
โดยเฉพาะคนจะเข้าใจผิดใจอาตมาได้ไหมว่าไม่มีกิเลส อรหันต์คือผู้ไม่มีกิเลส เปิดตำราให้ดูเลย
คุณสมบัติของผู้ที่เป็นอรหันต์ ในหนังสือธรรมพุทธสุดลึก
มี 8 ข้อ
มาสู่อวิชชา 8 ประการ
-
ไม่รู้..ทุกข์ (ทุกฺเข อญฺญาณํ)
-
ไม่รู้..ทุกขสมุทัย (ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ)
-
ไม่รู้..ทุกขนิโรธ (ทุกฺขนิโรเธ อญฺญาณํ)
-
ไม่รู้..ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (มรรคมีองค์ 8)
-
ไม่รู้ในส่วนอดีต (ที่ไม่เที่ยง) ปุพพันเต อัญญาณัง
-
ไม่รู้ในส่วนอนาคต (ที่ไม่เที่ยง) อปรันเต อัญญาณัง
-
ไม่รู้ทั้งส่วนอดีต-ส่วนอนาคต (ไม่รู้สิ่งที่เที่ยงแท้เท่ากันหมดแล้ว) (ปุพพันตาปรันเต อัญญาณัง) .
8.ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นห่วงโซ่แห่ง การเกิดทุกข์ หรือดับทุกข์ ตามหลักปฏิจจสมุปบาท (หรืออิทัปปัจจยตา)
(พตปฎ. ล.34 ข.691 ว่าด้วย อกุศลเหตุของโมหะ)
พ่อครูว่า…อาตมาว่า อาตมาเป็นอรหันต์นั้นเพราะอาตมาเป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้พ้นอนุสัย ไม่มีเครื่องหมักดองเหลือ เป็นผู้จบพรหมจรรย์แล้ว เถรวาทไม่เข้าใจเรื่องโพธิสัตว์ อาตมาก็อธิบายว่าคือผู้ที่บรรลุธรรมมาตามลำดับ โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในชีวิตนี้อาตมามีความจริงเท่านั้นในตัวเองเปิดเผยความจริงหมดก็ไม่มีอะไรที่จะเปิดเลยจะบอกจะเล่าจะให้ อาตมามีแต่ความจริงอย่างเดียว คนไม่เข้าใจอาตมาว่าทำไมไม่จริงอ่ะทำไมไม่ใช่อรหันต์ เขาไม่เชื่อหรอกว่าอรหันต์จะต้องมาเป็นอย่างอาตมา อรหันต์จะต้องไปนั่งนิ่งเงียบสงบไม่ว่าใครไม่กระดุกกระดิกเชื่องๆเซื่องๆเนือยๆ เป็นมนุษย์ innert ไม่ใช่หรอก อรหันต์ของพระพุทธเจ้าต้องคล่องแคล่วว่องไว Activeเร็วยิ่งกว่าแสง เร็วไวประมาณแสง
อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งอาตมาเองอาตมาได้ บอกคุณสมบัติหรือคุณธรรมแบบอาตมาเอง เคยกำหนดความเป็นอรหันต์อยู่ 12 ประการ เป็นความเข้าใจความรู้สึกของอาตมาเอง เคยพูดว่า 12 อย่างมีอะไรบ้าง
-
เป็นคนหมดทุกข์ . (ดับทุกข์อริยสัจ)
-
เป็นคนไม่มีภัย
-
เป็นคนมีคุณค่า
-
เป็นคนทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นถ่ายเดียว
-
เป็นคนไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง
-
เป็นคนมีเมตตาจริง
-
เป็นคนมีอุเบกขาจริงแท้
-
เป็นคนไม่ทำบาปแล้ว
-
เป็นคนทำแต่กุศล
-
เป็นคนได้ประโยชน์ตนครบแล้ว
ไม่มีประโยชน์ตนที่ต้องทำให้ตนอีกแล้ว
-
เป็นคนรู้จักสวรรค์ นรก นิพพาน ถูกถ้วน
-
เป็นคนรู้จักและมีนิพพานสัมบูรณ์
ถ้าหากว่ามีคุณสมบัติ 12 ประการคุณจะ approve ไหมว่าเป็นอรหันต์ สิ่งที่อาตมาพูด
อาตมาทำงานอย่างเบิกบานร่าเริงเสียดายเวลาที่ไปหลงทางโลกอยู่ 36 ปี ทำงานมาตอนนี้ที่ 48 ปีแล้ว อาตมาว่า อาตมาไม่ได้พูดเล่น ไม่ได้พูดหลอกลวงโกหก พูดจริงทุกอย่างไม่และเล็มเลียบเคียงไม่เหลาะแหละไม่กระมิดกระเมี้ยนพูดเปรี้ยงตรง เขาก็ว่าอรหันต์อะไรพูดซื่อๆ ว่าตนเองเป็นอรหันต์ คนจะพูดอรหันต์จะต้องมีท่าที dramatic อาตมาเป็นคนไม่มีท่า ตรงๆซื่อๆอย่างนี้ ไม่พอใจหรือไง? ไม่ได้สะดุดอะไร คืออาตมาต้องการแสดงความจริงที่บริสุทธิ์สะอาดไม่มีอะไรแฝงปนพอก เนื้อยาดุ้นๆไม่มีสีไม่มีน้ำตาลเคลือบ ต้องการแสดงแบบนี้ แต่คนที่ต้องการสี ต้องการน้ำตาลหุ้มหน่อย ไม่อย่างนั้นมันกินไม่ลง มันขื่นขมไม่น่ากินไม่สวยเลย อาตมาไม่พยายามทำอย่างนั้นเพราะคนทุกวันนี้มันพรางมันหลอกกัน แต่ต้องการให้เปรี้ยงๆตรง
ศาสนาพุทธทุกวันนี้เราพูดกันถึงขั้นพระอรหันต์ จริงๆแล้วศาสนาพุทธหมู่ใหญ่มีแต่เดรัจฉานวิชากับไสยศาสตร์กับโลกธรรม หลงอยู่กับลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอย่างนั้น ขออภัยที่อาตมาพูดตรงเกินไป ที่จริงมันยิ่งกว่านี้ มันไม่เกินหรอก พูดยังไม่ตรงตามจริงทั้งหมดด้วยซ้ำไปมันไปกันใหญ่มันไม่เหลือ อาตมาจึงต้อง ฉุดอย่างแรงดึงกลับเปรี้ยงๆ หากชักเย่อ อาตมา 1 ต่อล้าน กับเถรสมาคม แล้วจะให้ทำแบบยืดหยุ่นมันก็ไม่เหลือซากอะไรก็ลากกันลงทะเลหมดสิ เพราะฉะนั้นอาตมามาจึงต้อง ยึด ต้องแรงต้องดึง เพื่อจะดึง 1 ต่อล้านนี้ให้สู้ได้ สิ่งที่อาตมาทำอยู่เป็นเช่นนั้น แล้วอาตมาก็ยังอบอุ่นใจตรงที่ว่า
เอาธรรมะที่เป็นโลกุตระมาประกาศในโลกยุคนี้ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้ว ในอาณิสูตรว่า กลองอานกะไม่เหลือซากแล้วไม่ว่าจะเป็นหนังเป็นเชือกไม้ ก็ไม่มีกลองเก่าแล้วแต่เป็นของใหม่หมดเลยก็ยังเรียกเป็นชื่อกลองอานกะอีก แต่เนื้อเก่าไม่เหลือ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าผู้ที่ไปแสวงหาแก่น ทุกวันนี้ไม่ได้เลย
สะเก็ดคือศีล เปลือกคือสมาธิกระพี้คือปัญญาวิมุติคือแก่น
คนที่ไปแสวงหาแก่นไม้อย่างที่ว่านี้ ทุกวันนี้ศาสนาพุทธไม่มีแม้แต่สะเก็ดคือศีล
ทุกวันนี้จะไปถามว่าพระมีศีลเท่าไหร่ เขาก็จะบอกว่า 227 ข้อ ส่วนจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลไม่รู้เรื่อง
ถ้าเอาศีล 3 หมวดนี้ ว่า ศาสนาต้องมีศีลอย่างนี้ก็จะไม่เหลือเลยเพราะว่าไม่มีที่ไหนไม่จุดธูปจุดเทียนบูชาไฟไม่สวดมนต์แบบเดรัจฉานวิชา วัดวาอารามที่ไหนก็ไม่เหลือ อาจจะมีวินัย 227 ก็ถือว่ายังพอถูไถ แต่ก็ถ้าหากจับเรื่องปาราชิกเกี่ยวกับเงินไม่เหลือหรอก มีเงินหากไม่สละออกก็ปลงไม่ตก เป็นพระที่ด่างพร้อย หาได้ยากที่จะไม่มีเงินในบัญชีเป็นของส่วนตัวหาได้ยาก จะใหญ่จะเล็กขนาดไหนก็แล้วแต่
แต่อาตมาก็ได้ทราบว่าสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันนี้หรือสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ท่านพุทธทาส ท่านประยุทธ์อยู่ในศีลอยู่ในวินัยบริสุทธิ์อยู่ หรือว่าพระปฏิบัติที่ออกป่าหรือพระบ้านก็ตามก็มีบ้าง แต่มันมีเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมันไม่ไหว จะกลบไม่เหลือ มาดึงกลับแม้แต่แค่ ศีลไม่มี สะเก็ดไม่มี สมาธิก็เป็นมิจฉาสมาธิ ปัญญาก็เป็นปัญญาที่ เฉโกไปหมด คือเฉลียวฉลาดแบบโลกีย์ ถ้าหากเป็นโลกุตระต้องมี อัญธาตุอัญญา อัญญาสิวตโพโกญทัญโญ เป็นความรู้แบบใหม่ของมนุษย์ต่างดาว
เริ่มต้นพระพุทธเจ้าเทศนา โกณฑัญญะเข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าได้ พระพุทธเจ้าท่านอุทานว่า โอ้ อัญญาสิวตโพโกญทัญโญ เกิดธาตุใหม่ อัญญา ธาตุรู้อื่นที่ไม่ใช่ธาตุรู้เก่าที่เป็นเฉโก เฉกตา เกิดความรู้ใหม่ที่เป็นความรู้เข้าหาโลกุตระ พระพุทธเจ้าท่านหยั่งรู้จิต เทศน์เสร็จใน5 รูป โกณทัญญะรู้ได้แล้ว
เป็นเรื่องที่ชัดเจนในการแยกโลกุตระกับโลกียะ อาตมาเอามาพูดนี้ขยายจากภูมิรู้ของอาตมา คนจะอธิบายอย่างอาตมานี้มันจะต้องมีภูมิจริงถึงจะต้องอธิบายได้ ตำรานี้ไม่ได้พูดอย่างนี้ไม่ได้ลอกมาจากตำรา แต่พูดโดยความรู้ตนเองอย่างแท้จริงอย่างนี้เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้อาจจะมายืนยันว่าจะมามีสิ่งเหล่านี้อาตมาเป็นอรหันต์ก็แสดงออกอยู่อย่างนี้ อะไรไม่อะไร อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาประกาศ แล้วพวกเราฟังโลกุตรธรรมรู้เรื่อง เข้าใจ ยินดี ละทิ้งทางโลกมา แล้วพวกเรา ชาวอโศกที่มีอยู่ทั่วไปเป็นชุมชนในประเทศก็ล้วนแล้วแต่เข้ากระแสมากบ้างน้อยบ้างมีอยู่ทุกชุมชน เป็นคนที่มีจิตใจเป็นพระโสดาบันเป็นต้นไปเป็นพระสกิทาคามีเป็นพระอนาคามีก็ไม่น้อย เป็นพระอรหันต์แต่ยังไม่รู้ตัวสรุปตัวเองไม่ลง จริงๆแล้วบรรลุอรหันต์แล้ว แต่สรุปตัวเองไม่ลงมันวนเวียนซ้ำซ้อน เพราะฉะนั้นแต่ละคนไปตรวจสอบตัวเองให้ดีแล้วจะรู้ว่า ปัดโธ่ กิจจบแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้วเราไม่มีแล้ว นอกนั้นก็จะเป็นความจำสัญญาที่จำ แต่ก่อนเคยมีอาการ โลกๆ ยังหลงโลกติดยึดมีรสโลกๆอยู่ แต่ตอนนี้ควรตรวจสอบตัวเองดีๆ รสโลกๆ แม้แต่เรื่องลึกซึ้ง
เป็นพระอรหันต์นั้นท่านนับตั้งแต่มีอาสวะสิ้น ยังไม่ได้เป็นผู้ที่สิ้นอนุสัย มีปัญญาวิมุติ สิ้นอาสวะ ท่านนับเป็นอรหันต์ ยิ่งสิ้นอนุสัยเป็นอุภโตภาควิมุติ แน่นอนเป็นอรหันต์สมบูรณ์ เป็นรายละเอียดของจิตเจตสิกคุณจะต้องรู้ของตัวเองจะมาพูดนี้รู้อย่างที่เอาสภาวะของจิตพูดถึงความต่างของอาสวะกับอนุสัย
อาตมาพูดด้วยความรู้ความจริงของอาตมา อาตมารู้ความต่างของอาสวะและอนุสัย คนที่ไม่มีความรู้ที่จะรู้รายละเอียดของความต่างนี้เขาพูดไม่ได้หรอก ให้อธิบายเสร็จก็ไม่ได้ แต่ว่าอาตมาอธิบายได้ วันนี้ยังไม่มีเวลาจะอธิบาย แต่เคยอธิบายมาบ้าง
เอาสังโยชน์ 10 ที่มีอาสวะ แล้วก็เอาอนุสัย 7 มาเทียบให้ฟัง
สังโยชน์ 3 ข้อเป็นตัวตั้งรู้จัก สักกายะ วิจิกิจฉา พ้นสีลัพพตปรามาส ปฏิบัติลดกิเลสได้ไม่เหลาะแหละ ผู้ที่ทำได้ก็เข้ากระแส เสร็จแล้วก็จะต่อจากนั้นเป็นต้นไป
เป็นกามราคะ ปฏิฆะ เป็นรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ จนบริบูรณ์สมบูรณ์ได้ ก็ผ่อนสังโยชน์ 10
พอไปอนุสัยก็ไม่ต้องพูดถึงสังโยชน์ 3 เลย ก็เริ่มที่กามเลย
-
กามราคานุสัย (ความดึงดูดกำหนัดในกาม)
2.ปฏิฆานุสัย (ความผลักไส ขัดเคือง ขึ้งเคียด)
3.ทิฏฐานุสัย (ความยึดถือความเห็นเป็นตนของเรา)
4.วิจิกิจฉานุสัย (ความลังเลสงสัย ทำให้เนิ่นช้า)
-
มานานุสัย (ความถือตัวทั้งหลาย)
-
ภวราคานุสัย (ความใคร่อยากในภพละเอียด)
-
อวิชชานุสัย (ความไม่แจ้งในอริยสัจ)