620421_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ คนปฏิบัติธรรมทำประโยชน์ให้แก่ประชาชนแต่มิใช่รับใช้
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1CPCuMyrKd6IFmaVI9-Aj_xdrD7mEwm3f4jE7Kqwl9eI/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1AADKHwtbj-TdBhA5iao-v5Q_zD_tO3oT
สมณะฟ้าไทว่า…มีวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2562 ที่บวรราชธานีอโศก รายการนี้เป็นรายการธรรมะโลกุตระ ประเทศไทยก็เป็นดินแดนแห่งโลกุตระ มีดัชนีความทุกข์ยากน้อยที่สุดในโลก พ่อครูก็ได้สร้างสถานที่สัปปายะให้คนมาปฏิบัติธรรม ท่านจะเรียกคนมาให้มากเท่าไหร่ก็ได้ แต่ท่านมีจังหวะในการสร้าง ให้เหมาะกับกาละให้คนเข้ามาตามจังหวะตามความเข้มแข็งของคนภายในเรา
พ่อครูว่า…
_เห็นภาพอาฟเตอร์ช็อคหลังงานตลาดอาริยะล่าสุดนี้ มีร้านค้าจากนอกพื้นที่เข้ามาขายกันถึงเฮือน บวร หนาแน่น ดูภาพในไลน์แล้วบรรยากาศดูดี ตลาดประชารัฐเกิดแน่เลย ชาวบ้านร้านตลาดมีน้ำอัดลม ผลไม้พเนจร กาแฟ ไอติม มะพร้าวสกัดเย็น ดูหน้าตาพ่อค้าแม่ค้ามีชีวิตชีวาไม่มีการเก็บค่าที่ไม่มีพวกเกเรมาแบ่งหัวคิว น่าจะเป็นอนาคตใหม่ที่สดใส
พวกร้านค้าซอย 46 (หน้าสันติอโศก) หากจะมาขอร่วมขายด้วย แต่ยังผลิตของไร้สารพิษมาขายไม่ทัน ขอเอาสินค้าที่ยังไม่ไร้สารพิษมาขายได้บ้างไหม (พ่อครูว่า ไม่ได้) อยากมาเป็นหนึ่งในพันด้วย เชื่อว่าลูกๆหลายคนยังอยู่ฐานนี้ (พ่อครูว่าฐานนี้ก็ยังอยู่ข้างนอกอยู่) หากราชธานีอโศก จัดโซนขายทั้งบุญนิยม 4 ระดับ และอัตลักษณ์ของชาวอโศกนิยม ไร้สารพิษ กับปลอดสารพิษ(พ่อครูว่า…ไร้สารพิษคือไม่มีสารพิษสารเคมีใดๆ ปลอดสารพิษเขาจะใช้สารเคมีบ้าง เสร็จแล้ว เขาก็ปฏิบัติตามเกณฑ์ในช่วงเวลาไหนที่จะได้สัดส่วนในความปลอดภัยที่เขากำหนดไว้ ก็เรียกว่า ปลอดสารพิษ เพราะเขายังมีพวกสารพิษเจือปนอยู่ แต่ใช้ไปแล้วก็ต้องให้สารพิษเจือจางลงจนไม่เป็นพิษ อาจจะเหลือตกค้างอยู่บ้าง แต่ถ้าทำได้อย่างไม่มีสารพิษใส่ลงไปเลยอันนั้นมันแน่ใจได้ ไม่มีสารพิษเหยาะลงไป เป็นธรรมชาติเป็นกสิกรรมอินทรีย์ ก็เป็นไร้สารพิษเด็ดขาด ก็ต้องมีการตรวจสอบการมีการวัดค่าสารพิษ หากไม่เป็นสารที่มีพิษรุนแรงเกิน เขาก็มีการศึกษา ว่ามันเกินขอบเขตเกินขนาดที่มันจะเป็นพิษ เขาก็ไม่เอากัน แต่ถ้าอยู่ในเกณฑ์ไม่เกินขนาด มันก็เจือจาง แล้วนับวันมันก็จะหายไปสู่ภูมิคุ้มกันของคนไม่ได้อย่างนี้เป็นต้น ก็ตรวจสอบกันไป) อาหารทำร้ายทำลายสุขภาพ แบ่งพื้นที่สีแดงคือโซนอันตราย สำหรับพวกจะลงแดงตายซะ สีแดงนี้งดไม่เอา สีเหลืองคือปรับตัวพัฒนาขึ้นแล้ว แต่มากไปไม่ดีต้องควบคุม ส่วนใบเขียวคือพวกไปรอดแข็งแรงไปได้ดีก็ยกให้เลย ชื่นชมชื่นชอบ ส่วนสีรุ้ง คือสีที่ผ่านปริซึ่มคือผ่านเกณฑ์ชาวอโศก สามารถเสียสละพร้อมร่วมมือพัฒนาไปกับองค์กรชาวอโศกตลอดเวลาที่มี แกน เท่าทุน ต่ำกว่าทุน หรือต่ำกว่าราคาตลาด ได้ทุกเมื่อครับ อย่างนี้เป็นอย่างไรบ้างได้ไหมครับ
พ่อครูว่า…เขาก็บอกว่าจะอนุโลมให้บ้างไหม ส่วนพวกที่อันตรายก็ไม่ต้องเอามาขายปล่อยให้ลงแดงตาย จะทำให้เกิดการทำร้ายทำลายคนได้อย่างไร น้ำอัดลมก็ไม่กะไรเท่าไหร่แต่พวกที่มีสารมอมเมาเสพติด ขนาดต่างๆ เราก็พอมีความรู้คัดเลือกกัน เราก็จัดการดูแลกันไปเรื่องสงสัยทำไมมีเยอะจังเรื่องเข้าใจทำไมไม่ค่อยมี มันบังคับกันไม่ได้มันยังไม่พ้น วิจิกิจฉา ตัวกังขา วิจิกิจฉาจึงเป็นตัวกลางของอนุสัย 7 จะต้องตรวจสอบทั้งล่างบน ให้พ้นวิจิกิจฉาให้ได้
_มาอ่านจากไทยโพสต์นี้ก่อน
นายกฯบิ๊กตู่สุดปลื้ม!บลูมเบิร์กยกไทยอันดับ1ประเทศที่มีความทุกข์ยากน้อยที่สุด
20 เม.ย.62 – พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พอใจที่ประเทศไทยรั้งอันดับ 1 ประเทศที่มีความทุกข์ยากน้อยที่สุดจากการจัดอันดับดัชนีความทุกข์ยาก (Misery Index) ครั้งล่าสุด ปี 2019 ของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก
“ไทยมีค่าคะแนนความทุกข์ยากที่ระดับ 2.1 ต่ำสุดเป็นอันดับ 1 ในปี 2018 ขณะที่ผลสำรวจคาดการณ์ดัชนีปี 2019 ของบลูมเบิร์ก พบว่า ไทยยังคงรั้งอันดับ 1 ด้วยคะแนน 2.1 เช่นเดิม”
รองโฆษกฯ กล่าวว่า ดัชนีความทุกข์ยากดังกล่าวคำนวณจากตัวเลขเงินเฟ้อและอัตราว่างงานใน 62 ประเทศ ขณะที่ตัวเลขคาดการณ์ของปีนี้มาจากการสำรวจความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์เปรียบเทียบกับปีที่แล้ว สิ้นสุดเมื่อ 11 เม.ย.62
พล.ท.วีรชน กล่าวว่า ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า ไทยมีอัตราว่างงานที่ระดับต่ำเพียง 0.9 ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ระดับ 1.1 ในปี 2018
“นายกฯ เน้นย้ำว่า นอกจากเรื่องการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อที่รัฐบาลให้ความสำคัญแล้ว ยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่ต้องทำควบคู่กันไปด้วย เช่น ดูแลการครองชีพ ปราบปรามการทุจริต และปัญหาอาชญากรรม ฯลฯ เพื่อให้สะท้อนถึงความสุขที่แท้จริงของคนในประเทศ”
ทั้งนี้สำหรับ 5 อันดับของประเทศที่มีความทุกข์ยากน้อยที่สุด คือ 1) ไทย 2) สวิตเซอร์แลนด์ 3) ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ 4) ไต้หวัน 5) มาเลเซีย.
พ่อครูว่า…เขาเอาประเทศที่พอจะนับได้เลือกได้มา เลือกจากแค่ 62 ประเทศคัดมา ซึ่งไม่ใช่น้อย เพราะความสุขนั้นดูง่าย ทรมานทรกรรมเดือดร้อนไม่พออยู่พอกินวุ่นวายกันอยู่มันดูง่าย แต่ที่สงบเรียบร้อย ไม่ใช่ง่ายๆ จะได้ขยายความต่อ
_คุณกระบี่ไร้ตา เมื่อคนไร้หัวใจ..ผีบ้า แนวทางปฏิบัติไม่มี มีแต่ราคาคุยกิเลสมันจะลดจะหมดได้อย่างไร ก้าวแรกของการบวชก็ผิดแล้ว อย่างอื่นมันจะถูกได้อย่างไร มานะทิฏฐิเต็มหัวใจ แค่พูดว่าศาสนาพุทธไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ก็ผิดแล้ว มันบ้า อย่ามาออกสื่อเลย พาคนให้หลง อริยสัจ4ขึ้นต้นข้อแรกว่าอะไร…ถ้าว่าทุกข์ไม่มี ในหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิพพานัง ปะระมัง สุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ท่านก็ตรัสไว้อย่างชัดเจน ว่าสุขมีผู้ให้ทานผู้รักษาศีลผู้ภาวนา ผู้ได้สมาธิและผู้หลุดพ้นได้บรรลุธรรมในชั้นต้นจนถึงที่สุดต่างก็ได้รับความสุขจากการปฏิบัติและให้ผลเป็นความสุขความร่มเย็น…ทั้งนั้น คุณมันความเข้าใจถูกในธรรมไม่มีในหัวใจเลยโพธิรักษ์มีแต่มานะทิฏฐิและความบ้าเต็มหัวใจ พาคนให้หลงไปด้วย ใครอยากสมัครใจหลง เชิญเลยครับ ตามสบาย…ผมคนหนึ่งละไม่เอาด้วย
พ่อครูว่า…นิพพานัง ปะระมัง สุขัง คุณแปลเองว่าสุขอย่างยิ่ง แต่อาตมาแปลว่า ยิ่งกว่าสุข คุณไปแปลว่าสุขอย่างยิ่งก็จมอยู่อย่างนั้นสิ ก็สมกับหน้าของคุณที่มีน้ำ ก็สมกันอยู่แล้ว
ดีแล้วล่ะคุณไม่ตามก็อย่าเพิ่งเข้ามา เข้ามาแล้วพวกอาตมาคงป่วน ท่าทางรุนแรงด้วย กระบี่ไร้ตา เมื่อคนไร้หัวใจ พวกคนไร้หัวใจจะพูดกันรู้เรื่องได้อย่างไรเพราะเราเป็นคนมีหัวใจทั้งนั้น
คำว่าสุขคำว่าทุกข์เป็นบัญญัติภาษาที่สื่อถึงสภาวะธรรม อาการสุขอาการทุกข์พวกนั้นไม่ได้รู้ได้ง่ายมันรู้ได้ยากมาก คำว่าสุขกับคำว่าทุกข์ พระพุทธเจ้าถึงเลือกเอาคำว่าทุกข์มาเป็นตัวหลักในการเรียนรู้ เพราะคำว่าสุขมันไม่มี มันหลง บอกว่าเราจะหมดสุข จะเอาออกหมดได้อย่างไรมันก็ยาก แต่เมื่อมาเอาทุกข์ อาการทุกข์เอามันออกๆๆ อย่าให้มันมีอาการนี้มันดูง่าย รักใครก็ไม่อยากได้ในความทุกข์ แต่ความสุขนี่มันจะมีหรือไม่มี ถ้าไม่มีแล้วมันจะอย่างไร ยังไงยังไง มันยากก็เอาตัวทุกข์ก่อน มาเป็นตัวอ่านอาการอ่านความรู้สึก
คำว่า ความรู้สึกหรือภาษาพยัญชนะที่เป็นวิชาการบอกว่าเป็นเวทนา
ความรู้สึกหรืออารมณ์ มันรู้สึกก็ต้องอ่านอาการ รู้สึกๆ คนที่จะมีญาณปัญญาจับอาการรู้สึกนี้ได้ แล้วก็จัดเข้าในเกณฑ์ทุกข์ เข้าในเกณฑ์สุข หยาบ กลางละเอียดจนเหลือน้อย จนน้อยที่สุดจนรู้สึกว่ามันไม่มีแล้วนะกับน้อยที่สุด แยกยากแล้วนะ เหลือน้อยที่สุดกับไม่มีเลย คุณก็จะต้องเอาตรงนี้แหละ จึงชื่อว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะกับอสัญญี คือสัญญากำหนดรู้ว่าไม่มีแล้ว
เนวสัญญา จะว่ารู้ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่รู้ก็ไม่เชิง เนว เป็นการภาคเสธ นาสัญญาก็คือต่างๆนานา การกำหนดรู้ต่างๆ ใช้การกำหนดรู้โดยธาตุสัญญาของเราใครจะมีความเฉียบแหลมของสัญญา ก็ของใครของมัน ความเฉียบแหลมคมชัดแม่นของแต่ละคนกำหนดเอา กำหนดรู้ว่าอาการนี้มีหรือไม่มีของใครของมันตอนนี้แหละ ไม่รู้ของใคร ของใครก็ของใคร บางคนกำหนดรู้ได้แต่หยาบๆ บางคนก็ละเอียด ก็ต้องรับผิดชอบของตัวเอง ผู้ที่สามารถฝึกฝนเรียนรู้ สิ่งเหล่านี้มันก็จะดีขึ้นเก่งขึ้น วิเศษขึ้นเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นจึงพูดด้วยปากก็ได้แต่พูดถึงพยัญชนะ สู่กันฟัง แต่มาปฏิบัติจริงแล้วถึงจะรู้ว่าบางทีเรานึกว่าเราหมดแล้ว แต่มันมีอีกนิดๆ แสดงว่า ภูมิปฏิภาณปัญญาของเราแหลมคมสัญญาก็แหลมคมลึกละเอียดขึ้น แต่มันน้อยๆจุ๊กจิ๊กๆก็ดีแล้ว ดีกว่าที่มันยังหยาบยังแรง ก็แสดงว่าเราเจริญขึ้น ถ้าเรารู้ว่ามันยังเหลืออยู่อีกนิดนึง เราก็พยายามที่จะ ทำปัญญาให้แจ้ง สลัดออกๆ ให้มันบางเบา สุดแห่งที่สุดที่ พระพุทธเจ้าใช้เป็นตัวตัดสินก็คือ ลหุตา บางเบาที่สุด
สุดแห่งที่สุดเป็นลหุตา ลหุคือเบา ตาคือคำนาม ลหุ
ก็ขออธิบายพยัญชนะ ล.ลิง กับ ห. เอาสระสั้นเลย สระอุ ใน อะ อิ อุ ก็เป็นสามเส้าหนึ่งเป็นนามธรรม บางเบาอย่างยิ่ง หะคือความจริงแท้ ความจริงแท้ สามเส้าจะมีพลังงานบวกพลังงานลบและประธาน
พลังงาน 2 ที่ละเอียดขนาดไหนก็แล้วแต่ปรมาณูนิวเคลียส แล้วคุณก็มีธาตุเป็นประธานเป็นสับเซตรู้อันนึงได้ ของใครของใครก็ต้องรู้เอง คนก็มีแต่คนกับสิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกรู้ก็มี 2 อย่างคืออิตถีภาวะกับปุริสาวะ บวกหรือลบ เล็กที่สุดเท่าไหร่ก็คือ ลหุ
ย ร ล พลังงานเริ่มต้นที่สุดเลย เพิ่มเป็นพลังงานตัวต้น คือ ย มา ร ก็มีสองหน่วย ล ก็เป็น 3 หน่วยจับตัวเป็น 1 ตัว ตน
คุณ กระบี่ไร้ตาฟังแล้วจะพอรู้เรื่องไหม ถ้าพอรู้เรื่องได้ก็ดี ถ้าฟังไม่รู้เรื่องก็จะหาว่าอาตมาเป็นผีบ้าแน่นอน ไม่มีปัญหาหรอกเพราะว่าคุณเองจะไปรู้เรื่องอะไร ก็มันไม่รู้เรื่องก็ต้องเป็นผีบ้า ถ้ามันรู้เรื่องก็จะบอกว่าเข้าท่า ก็อาจจะบอกว่านี่ไม่ใช่ผีบ้า เป็นสิ่งที่จะให้เล่าเรียนได้
คำว่าสุขคำว่าทุกข์นั้น อาตมาย้ำหลายทีแล้วว่าศาสนาพุทธไม่ได้เรียนอะไรยิ่งใหญ่นอกจากสุขทุกข์ เรื่องดีชั่วนั้นเป็นเรื่องสมมุติ หยาบ
ไม่ทำชั่ว ทำแต่ดี นัยยะบาปกับบุญ กุศลกับอกุศลที่ไขว้เอา คนที่ชัดเจนก็ไม่สับสนก็แยกบาปบุญ กุศลอกุศล แล้วชัดเจนได้ว่า อะไรเหลืออะไรไม่เหลืออะไรจะมีใช้อะไรจะไม่มีใช้ เพราะว่าบาปบุญสุดท้ายแล้วบาปหมดบุญก็หมด มันสูญได้เลย แต่กุศลอกุศลไม่มีสูญ
ในโลกนี้มีสิ่งที่มีกับไม่มีมีสิ่งที่สูญกับไม่สูญ เท่านั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ43 สูตรที่ว่ามีกับไม่มี
พระไตรปิฎกล. 16 ข. (43) [43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี 1 ความไม่มี 1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก นตฺถิตา สา น โหติฯ) เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก อตฺถิตา สา น โหติฯ)
พระพุทธเจ้าเอาเรื่องทุกข์มาเป็นตัวหลักให้ศึกษาเรียกว่าทุกข์อาริยสัจ เป็นความจริงที่คนที่ถึงขั้นอาริยะจึงจะพูดกันรู้เรื่อง ถ้าคนไม่ถึงขั้นอาริยะพูดกันไม่รู้เรื่อง
พระพุทธเจ้าเอาจิตเจตสิกที่มันยึดถือในอารมณ์นั้นอยู่มาเรียนรู้ ส่วนโลกีย์นั้นมันติดอยู่น้อยมากอย่างไรมันก็ไม่ได้เรียนรู้ ส่วนคนที่ยังพอมีความเข้าใจ ถ้าเราอย่าไปมีมากเลยให้คนอื่นเขาเถอะคนนั้นก็ดีไป ยอมรับเป็นผู้แบกความทุกข์ เช่น พระเยซูแบกความทุกข์แทนประชาชน ตนเองยอมสละเพื่อรักษาศาสนาตายแทนได้เลย มันก็ชัดเจน
ทีนี้ ทุกข์ พระพุทธเจ้าก็แยกออกไปอีก เป็นทุกข์ที่เลี่ยงได้กับทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้
ทุกข์เลี่ยงไม่ได้คือจำนน กับขันธ์ 5 อาการ 32 มันไม่สมดุลเมื่อไหร่มันก็เป็นทุกข์ทางสรีระทุกข์ทางอาการ 32 ที่สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ต้องแยกออกไปอีก ที่มันเกี่ยวเนื่องกับสรีระเราคือผมขนเล็บฟันหนัง ต้องเรียนละเอียด ในความรู้สึกที่ทุกข์สุขจากผมขนเล็บฟันหนัง จะแยกอุตุธาตุ พีชธาตุ จิตธาตุนี้ได้ มีความรู้สึกกับไม่มีความรู้สึก
อุตุธาตุ ไม่มีความรู้สึก ไม่มีธาตุรู้ทางวิญญาณ มีแต่พลังงานฟิสิกส์ความร้อนแสงสีเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า ไม่มีนามธรรม เมื่อหมด พีชะ มันมีธาตุรู้สึกแต่รู้สึกในตัวเอง จะบอกว่าไม่มีรู้สึกก็ได้แต่มีธาตุรู้ รู้ว่านี่เรามันมีตัวตนแล้วมันไม่เกี่ยวกับตัวตนอันอื่น อันไหนที่ไม่ใช่ตัวตนของมันมันไม่เกี่ยวเลยใครจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ แม้อันอื่นจะมาทำร้ายมันมันก็ไม่สู้ ไม่ทำร้ายต่อ อะไรอื่นมาทำร้ายมันไม่ทำร้ายต่อ นี่คืออาการที่ยิ่งใหญ่ที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบยิ่งกว่านักวิทยาศาสตร์ใดๆ ความเป็นพืชนั้นไม่เป็นโทษเป็นภัยแก่ใคร มันจะไม่ก่อเวรก่อภัย ไม่มีการผูกพัน ไม่ก่อเวรผูกพันกับใคร เป็นการหลุดพ้น พ้นจากสิ่งที่จะเป็นบาปเป็นเวรต้องใช้หนี้ไม่มีเลย นี่เป็นอริยสัจที่สุดยอดในศาสนาพระพุทธเจ้า
ไปดูอาการพวกนี้ได้ชัดแล้วก็ทำออกไม่ให้มีธาตุที่มันจะไปทำร้าย อย่างจิตนิยามผู้ประเสริฐที่เป็นอาริยะก็มีพลังงานที่ของตนสะสมมาแล้วแล้วจัดสรรให้เป็นพลังงานที่สะอาดบริสุทธิ์ไม่เป็นพิษภัย มีแต่กุศลมีแต่สิ่งที่ประเสริฐให้แก่คนอื่น ถ้าจะใช้ศัพท์คำว่ารับใช้อาตมาก็ได้คิดเมื่อคืนนี้เอง เราใช้คำศัพท์คำว่า รับใช้ นี่มันหยาบไป ต้องใช้คำว่า ทำประโยชน์ ไม่ใช่รับใช้ เราทำประโยชน์ให้คนอื่น ให้ดินน้ำไฟลมให้สัตว์ให้มนุษย์ให้อื่น เราทำประโยชน์ให้เขา ไม่ใช่ไปรับใช้ การรับใช้บางทีได้ค่าแรงงานได้สิ่งแลกคืน ถ้าทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นจบเลย เราทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นก็ไม่ได้รับอะไรตอบแทน เป็นแต่การทำประโยชน์แก่ผู้อื่น เราใช้คำศัพท์ว่าทำประโยชน์ละเอียดกว่ารับใช้ ยังมีคำว่ารับใช้ในหนังสือในข้อเขียนก็ใช้คำว่า ทำประโยชน์ แทนคำว่า รับใช้
ทีนี้ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้
ก. ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ (ทุกข์อันเกิดจากกาย) .
-
สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร เกิด แก่ เจ็บ ตาย คุณหลีกไม่พ้นตราบใดที่ไม่หมดอัตภาพ ต้องเกิดแก่เจ็บตาย บางคนบารมีดี ไม่มีเจ็บป่วย แต่เจ็บถูกทิ่มแทงก็อาจมีแต่ไม่เจ็บป่วยเลยก็มีได้ สัตว์เดรัจฉานไม่รู้เรื่องสัตว์คนที่เป็นอาริยะก็รู้เรื่อง ไม่ติดใจอะไร สูงสุดขนาดพระพุทธเจ้าก็ยังมีทุกข์เหล่านี้เลย
-
นิพัทธทุกข์ ทุกข์อยู่เนืองนิตย์ คือ หนาว ร้อน หิว กระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ เป็นทุกข์ที่คุณเอาทิ้งไปจากชีวิตคุณไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้สูงสุดแล้วก็ยังต้องปวดปัสสาวะอุจจาระหรือหิวกระหาย ร่างกายมันต้องการได้โดยนามธรรมนั้นไม่หิวกระหายหรอก อาตมาใช้คำว่าโหย จะต้องเอามาเติมให้มันอยู่ได้สมดุล ไม่อย่างนั้นก็จะหมดแรงไปไม่ไหว
-
อาหารปริเยฏฐิทุกข์ ทุกข์ในการหากิน-การทำงาน ทุกข์ในการต้องหาเครื่องอาศัยในชีวิต หางานที่เป็นประโยชน์คุณค่าเป็นเครื่องอาศัยอย่างยิ่ง
-
พยาธิทุกข์ อวัยวะเจ้าการทำหน้าที่ไม่เป็นปกติ
-
วิปากทุกข์ ทุกข์เพราะผลกรรม เลี่ยงวิบากเก่าไม่ได้ ทุกข์จากผลของกรรมวิบาก แต่ละคนแม้พระพุทธเจ้าก็ไม่พ้นอันนี้ วิปากทุกข์ ทุกข์ด้วยวิบากที่เคยทำมา
-
ยกตัวอย่างมีคนมอมเมาช้างนาฬาคิรีให้มาไล่ฆ่าท่าน ให้นางจิญจมาณวิกามาหลอกให้คนเกลียดพระพุทธเจ้า พระเทวทัตต้องมากลิ้งหินทับพระบาท ต้องปวดหัวเพราะมีวิบากที่เคยยินดีในการเห็นชาวประมงจับปลาได้เยอะ อาการแค่ยินดีกับสิ่งที่เป็นบาปก็ทำให้เกิดความรู้สึกปวดศีรษะในสมัยเป็นพระพุทธเจ้า วิบากมันตามมาทัน ได้ยินดีที่ชาวประมงจับปลาได้เยอะ ใจแวบยินดีว่าได้เยอะ ก็ไปยินดีในการฆ่าสัตว์ทำบาปเยอะ แค่นี้ ยังเป็นวิบากขนาดตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ยังมีหนี้บาปตามมาให้ปวดหัว ต้องใช้หนี้ วิปากทุกข์เป็นผลกรรมที่ตามทันไม่เว้นแม้แต่พระพุทธเจ้า จะมีทางรอดทางเดียวคือ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไปเสีย สูญสิ้นอัตภาพ จะเหลือแต่ พีชธาตุบ้างก็ไม่ฟื้นเป็นจิตนิยามได้แล้ว
-
ทุกขขันธ์ ทุกข์รวบยอดเพราะการประชุมแห่งขันธ์ 5 อันยังอาศัยมีชีวิตอยู่ มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เริ่มตั้งแต่เซลล์เดียวมีครบหมดในขันธ์ 5 ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวก็ไม่รู้ตัวเห็นแก่ตัวสะสมวิบากไว้เยอะ แบคทีเรียมันจะรู้มั้ยว่าทำร้ายคน มันเข้าไปในร่างกายพระพุทธเจ้ามันจะไปรู้ไหมว่าอย่าไปทำร้าย พระพุทธเจ้ามันจะบาป ไปบอกไปทีเดียวยังไงมันก็ไม่รู้เรื่อง ก็ต้องสะสมบาปไปเรื่อยๆตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวเป็นอวิชชา กว่าจะเป็นมนุษย์แล้วรู้เรื่องว่าอันที่ทำมามันแก้ไขไม่ได้แล้วต้องทำตัวใหม่ปัจจุบันนี้ทำคืนทำให้หมดให้มีมากพอจนกระทั่ง ทุกข์ปัจจุบันมาใหม่นี้สู้กันได้เลย ไอ้เก่านี่หากเราทำใหม่ก้าวหน้ากว่าสั่งสมกุศลมากกว่าอกุศล มันก็ไล่ไม่ทันเพราะอัตราก้าวหน้าเราเป็นปฏิภาคทวี ได้ส่วนดีมากกว่าส่วนไม่ดีก็พัฒนาไป
ส่วนของโลกุตระทำให้ 0 ได้เลย ซึ่งยาก แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ต้องจมอยู่ในทุกข์ เพราะกว่าจะรู้กว่าจะแยกแยะอันนี้ได้ มันต้องมีภูมิปัญญาที่แท้จริง
เกิดมาต้องมาจากสัตว์เดรัจฉานสัตว์เซลล์เดียวที่ไม่รู้มีมากเยอะกว่า พวกที่จะถึงยอดพีระมิดจึงจะได้ทางยอดส่วนสัด พวกนี้มันก็ต้องมี เป็นทางของสัตว์โลกนิรันดรเปลี่ยนแปลงไม่ได้มันก็จะอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นโลกุตรธรรมจึงมีน้อยไม่ว่าจะในยุคไหน โลกุตรธรรมมีมากไม่ได้ นอกจากว่าประเทศนี้แคว้นนี้ มีอาริยบุคคล อย่างประเทศไทยเป็นต้น จะมี อาริยบุคคลมากขึ้นๆ จนมากกว่าประเทศใดๆ
ทีนี้คุณสมบัติคุณธรรมของโลกุตระ แปลว่าจะมีน้อย มันก็จะคุ้มครอง ผู้ที่ต้องอยู่ใต้การปกครองจะต้องอาศัยผู้ที่สูง ด้านล่างต้องอาศัยด้านบน ยอดพีระมิดก็คุ้มฐานคุ้มครองพีระมิดได้
ทางออกที่พระพุทธเจ้าสอนก็ให้คนมาประพฤติมีจิตวิญญาณเป็นอย่างนี้ แล้วก็สามารถควบคุม รูป เวทนา สัญญา สังขาร ได้หมด แบ่งกันอยู่รวมกันอยู่ เป็นกระบวนการเป็นองค์รวม ของรูป เวทนา สัญญา สังขาร ธาตุ หรือขันธ์ก็แล้วแต่
ธาตุกับธรรมะ เป็นต้นธาตุต้นธรรม อธิบายใน เราคิดออะไร ไปแล้ว
ธาตุกับธรรมมีสภาวะต่างกันอย่างไร ก็ติดตามอ่านดู
ทุกข์ที่เลี่ยงได้
ข. ทุกข์ที่เลี่ยงได้ (เจตสิกทุกข์ อันสามารถดับเหตุได้แท้)
-
ปกิณกทุกข์ (ทุกข์จรแห่งกิเลส คือ โศก ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ เมื่อพรากจากคนที่รัก หรือพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นต้น)
-
สันตาปทุกข์ (ทุกข์ คือ ความร้อนเผาใจ อันนื่องมาจากกิเลสไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ แผดเผา)
-
สหคตทุกข์ (ทุกข์ไปด้วยกันกับโลก เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข)