620422_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 47
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1RzvUSVfFAMOD7uomgFVWGPXviP3aUokKdE5vEf-NEq8/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1QNcYmdkcLv5JjptPSe1ls92DA5AIbe7z
พ่อครูว่า…วันจันทร์ที่ 22 เมษายน 2562 ที่บวรราชธานีอโศก เดือน 5 แรม 3 ค่ำฝนก็มาแล้ว ก็เป็นไปตามเหตุการณ์ ฤดูกาล
_SMS วันที่ 19-21 เม.ย. 2562
_7630 พล.อ ประยุทธคือจอมเผด็จศึกที่จัดการขับไล่พวกเผด็จการต่างหาก / แก่น วาสมาด
_3867 พ่อครูเทศน์จบตรงเวลาอรหันต์เป๊ะ!น่าจะมีแถมๆเพิ่มสักหน่อย!ฟังเต็มอิ่ม แต่บ่จุใจไกลอรหัตตผลสาธุ! กบสิ้นโศก
จำโศลกธ.พ่อครูฯถ้าอาตมาจะทุกข์!ขอให้ทุกข์เพราะอดีตวิบากเถิด! อย่าได้ทุกข์เพราะกรรมใหม่อีกเลย! ถ้าวิบากเก่าทำให้เราหนีทุกข์ไม่พ้น! ทำกุศลกรรมใหม่พาจิตตนพ้นทุกข์ใจตัวสาธุ!จรธ.
พ่อครูว่า…กุศลใหม่วิ่งไปข้างหน้า อกุศลเก่าก็จะตามไม่ทัน กุศลมากก็นำพาไป อกุศลมากก็มาเล่นงานเรา เป็นสัจจะเช่นนั้น
_6218 ผมขอถาม พระโพธิสัตว์ว่า บทสวด มนต์ ที่พระสงฆ์ ใช้สวดอยู่นั้นเป็น ของศาสนาพุทธ หรือของ ศาสนา พราหม อธิบายด้วย ท.ท่าชนะ
พ่อครูว่า…เป็นของศาสนาพุทธ พราหมณ์ คือ จริงๆแล้วศาสนาพุทธหรือศาสนาพราหมณ์นับย้อนไปหลายล้านปี พุทธกับพราหมณ์ก็สลับกันไปสลับกันมาตามเหตุปัจจัย ยุคสมัยนี้ก็ใช้พุทธยุคสมัยนี้ก็ใช้พราหมณ์เป็นเทวะชนิดหนึ่ง เป็นธรรมะ 2 ชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง หากเข้าใจได้ก็ไม่วุ่นวายจะปนเปกันไปก็ปนเป หากเข้าใจสารัตถะธรรมะที่แท้ภาษามันจะสลับกันไปมาอย่างไรก็ไม่มีปัญหา ก็อยู่กับเหตุปัจจัยอะไรขณะนี้ มีอันนี้กับอันนี้ มีอันนี้มาร่วมด้วยเหมาะสมดี ถ้าอันนี้มาแล้วไม่เหมาะสมเราก็เอาอันนี้ที่เหมาะสม อันที่ไม่เหมาะสมก็อย่าให้มี ก็รู้ความจริงตามมหาปเทส 4 เท่านั้นเอง หรือสัปปุริสธรรม 7 ถ้าในสมัยที่ไม่มีคำห้ามหรืออนุญาตของพระพุทธเจ้าเราก็ตัดสินตามเหตุปัจจัยอันควรหรือไม่ควร
_2699 วันนี้ฟังพ่อครูเทศน์ไม่รู้เรื่อง 80 เปอร์เช็น ต้องฟังรีรันวันจันทร์อีกครั้ง ปิ่นทองอโศก
พ่อครูว่า…เอาเลย
_0938 ไม่อยากให้สันติอโศกจัดงานวันคริสมาส
_จุ๋ม สุมาลี · กราบนมัสการพ่อครูเจ้าค่ะ ท่านอธิบายได้ละเอียดลออลึกซึ้งมากเจ้าค่ะ
_ค่อยไท ไมตรีวงศ์ · อยากจะถามพ่อครู ผมเคยบอกว่าผมฟังเพลงของพ่อครูทุกวัน ในวันที่ผมไปงานพุทธาที่บ้านราชผมก็ฟังตอนว่างๆ และที่พักตรงเฮือนบวรตอนไปอาบน้ำผมก็เปิดฟังไปอาบน้ำไป ช่วงฟังได้ยินเสียงห้องน้ำข้างๆบ่นขึ้นมาว่า เปิดเพลงทำไม ผมนี้ขวัญเสียเลย ว่าผมผิดหรือนี่ที่ฟังเพลงพ่อครูแบบขวางโลกไขโลกุตระ และเพลงที่เปิดฟังนั้นคือเพลง ขวัญ ร้องโดยวง ฆราวาส ฟังแล้วทำให้ขวัญผมเข้มแข็งไม่หลุดไปกินเนื้อสัตว์ ไม่ให้ผมใจเขวไปอยากกินอีก ตกลงผมผิดไหมครับที่ฟังเพลงแล้วอาบน้ำไปด้วยครับ
พ่อครูว่า…ไม่ผิดหรอก ระวังจะถูกไฟฟ้าดูด
_เจน ฮู เชอร์ · ถ้าใครอยากรู้ว่าพ่อครู เป็นพระอรหันต์ ต้องอ่านหนังสือทางเอก และสมาธิพุธค่ะ (พ่อครูเขียน)
พ่อครูว่า…มีท่านหนักแน่นขยันอ่านมาก แต่ก่อนอ่านเพราะว่าจะได้อ่านภาษาไทยได้ดี เพราะท่านเป็นคนลาว
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ · กราบนมัสการพ่อท่าน ขอเรียนถามว่า นับวันอากาศร้อนมากขึ้น พ่อท่านจะแนะนำอย่างไรดีครับ
พ่อครูว่า…ก็หาทางทำให้เย็นก็แล้วกันอย่างน้อยก็ทำใจให้เย็นไว้ก่อนช่วยได้ก่อน นอกนั้นก็ค่อยๆหาทางแก้ไขบำบัดภาวะที่มันร้อนมากขึ้นไปตามลำดับได้เท่าไหร่ก็ทำใจวาง ปลง ได้เท่านี้ก็เท่านี้ก็จบ มันอยู่ที่ใจเรา
_บ้านเล็กเมืองน้อย
กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง
ศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น เป็นหลักวิทยาศาสตร์ ที่เป็นเหตุเป็นผลกัน
ทุกคนสามารถจะพิสูจน์สัจธรรมได้ด้วยตนเอง (ปัจจัตตัง)
โดยต้องพร้อมที่จะเรียนรู้ – ยอมรับฟัง (ปรโตโฆสะ)
และต้องรู้จักคิดให้เป็นเหตุเป็นผล (โยนิโสมนสิการ) จึงจะเกิดความเห็นที่ถูกตรงที่เป็นสัมมาทิฏฐิ
ความเห็นที่ถูกตรงจะทำให้คนถือกระบี่ได้เห็นแสงอรุณ เมื่อใด..ที่ผัสสะกับคนไร้หัวใจ ก็จะแยกโลกกับอัตตาได้ เมื่อสลายอัตตาได้ ก็จะเห็นโลกตามความเป็นจริง จะเข้าใจ เห็นใจ และเมตตาแก่คนที่ไร้หัวใจได้ในที่สุด
พ่อครูว่า…เรื่องเห็นแสงอรุณ อย่างน้อยต้องมีองค์ประกอบทั้ง 7 อย่าง ในสุริยเปยยาลสูตร และผู้จะทำใจในใจได้ต้องมีเหตุที่มา ในอวิชชาสูตร ก็ต้องเริ่มคบสัตบุรุษ ได้ฟังธรรมที่บริบูรณ์แล้วจึงได้มีการโยนิโสมนสิการที่บริบูรณ์หรือในปัญญาวุฑฒิ ๔ (ความเจริญด้วยปัญญา)
-
สัปปุริสสังเสวะ (รู้จักคบบัณฑิต คบหาสัตบุรุษ) .
-
สัทธัมมัสสวนะ (ฟังสัทธรรม)
-
โยนิโสมนสิการ (กระทำลงในใจโดยแยบคาย) . .
-
ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม)
(พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 248)
หากไม่มีปรโตโฆษะก็จะโยนิโสมนสิการไม่เป็น ไม่เกิดสัมมาทิฏฐิ การจะได้พบสัตบุรุษ คือผู้ที่บรรลุธรรมะพระพุทธเจ้าจริง ถ้าจะนับจริงๆควรจะเป็นพระอรหันต์เป็นต้นไป แต่ถ้าจะนับกันตั้งแต่พระโสดาบันสกิทาคามีแล้วก็เป็นพระอรหันต์ พระโสดาบันก็ยังไม่เต็ม พระสกิทาคามีก็ยังไม่เต็ม แต่มากขึ้นก็เป็นอนาคามี จากพระอรหันต์เป็นต้นไปก็เต็ม แม้แต่เป็นพระอรหันต์แล้วก็ใช่จะมาสาธยายแนะนำผู้อื่นได้เลย เป็นอะไรกันใหม่ๆต้นๆยังไม่เชี่ยวชาญ ยังไม่คร่ำหวอดก็จะรู้ไม่เต็มไม่ถ้วนทั้งภาษาและสภาวะ มันก็ยังจะยาก จนกว่าจะพบสัตบุรุษ ที่สูงขึ้นๆ
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัส สัตบุรุษคือบุคคลที่อยู่ในระดับสยังอภิญญา หมายความว่าเป็นพระอรหันต์มาแล้วไม่ใช่แค่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี จะเป็นพระอรหันต์ที่บำเพ็ญเป็นโพธิสัตว์ พ้นอนิยตโพธิสัตว์ก็สองรอบ พ้นระดับที่ 5 ที่ 6
โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ระดับ 7 จึงเป็นสยังอภิญญาหากพบสัตบุรุษเช่นนี้จึงสมบูรณ์ เช่นอธิบายสัมมาทิฏฐิ ให้เราเอาไปปฏิบัติได้ผล เช่นการทำทานอย่างไรจึงมีผลเป็นโลกุตระ ปฏิบัติศีลปฏิบัติอย่างไรมีผลเป็นโลกุตระ
ผลโลกุตระเป็นอย่างไร ก็อัตถิหุตัง แล้วจะต้องได้มาจากการกระทำของตนเองทั้งสิ้น คนอื่นคนใดพระพุทธเจ้าทำให้ไม่ได้ ยิ่งพ่อแม่หรือใครก็แล้วแต่ทำให้ใครไม่ได้ ทุกคนต้องทำเองทั้งนั้น นี่เป็นสัมมาทิฏฐิข้อที่ 4
ข้อที่ 5 ก็จะรู้โลก โลกโลกียะ อยังโลโก โลกนี้ โลกอีกโลกเป็นโลกอื่น ปโรโลโก โลกอื่นที่ไม่ใช่โลกโลกียะแล้วมันต่างกันอย่างไร
เช่นให้เรียนรู้จิตเจตสิกต่างๆที่จะแยกเวทนาได้อ่านอาการของเวทนาที่เป็นเคหสิตะ กับเนกขัมมะ หากเรามีภูมิปัญญาทำให้กิเลสลดลงจิตใจก็เปลี่ยนได้ ก็จะรู้จักเนกขัมมสิตเวทนา อ่านจิตในจิตหรือเวทนา แยกย่อยเป็นเวทนาในเวทนา ตรงนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงผู้จะไปถึงพระอรหันต์ได้แน่แท้ หากผู้ใดแยกเวทนาในเวทนา เนกขัมมะกับเคหสิตะได้
ตั้งแต่มีองค์ประกอบกายจิต แล้วแยกแยะ สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ แล้วแยกเป็นเวทนา 5 ภายนอก ภายใน สุข ทุกข์ โทมนัส โสมนัส และอุเบกขา คุณได้ฟังอุเทสจากอาตมาก็ไปอ่าน อาการ ลิงค นิมิต
อาการเป็นการเคลื่อนไหวที่แรงเบามากน้อยอย่างไร เราจึงต้องเป็นผู้ที่รู้อาการต่างๆในจิตของเราเอง เป็นการเคลื่อนไหวเป็นอาการ ท่านจึงบอกรู้รูปนามด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส
ผู้ที่สามารถรู้ 6ระดับ 1ต้องมีมวลมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี อย่างสังคมชาวอโศกเป็นบวรครบครัน มีผู้เป็นสัตบุรุษในระดับต่างๆทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มีจริตต่างๆนานา อยู่กันอย่างสมบูรณ์แบบมิตรสหายดี แล้วก็จะต้องมีศีล อยู่ในสังคมใดเป็นสังคมที่มีศีลเป็นสังคมไว้ใจได้ สังคมใดไม่มีศีลไม่มีสัมมาทิฏฐิก็ไว้ใจไม่ได้ หากสังคมมีศีลก็จะเป็นสังคมที่เจริญแน่
มีฉันทะมีความยินดีในโลกุตระ ในมูลสูตรมีฉันทะเป็นมูล เริ่มต้นยินดีเป็นตัวไข มีศีลมีความยินดีก็เรียนอัตตะ ในอัตตา 3 โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา
อย่างหยาบต้องเกี่ยวข้องกับภายนอกปรุงแต่งอะไรต่างๆกับภายนอกเป็นอัตตาจนพ้นอัตตาเนื่องจากภายนอก ก็มาเรียนรู้อัตตาที่เราปรุงแต่งเอง ลดจนหมดมโนมยอัตตาอีก ลดอรูปอัตตาต่ออีก อรูปอัตตาเป็นอัตตาขั้นปลาย
ที่พูดไปมีสภาวะของเราจริงเรียนรู้จริง ผู้ใดมีทั้งสภาวะและพยัญนะก็มีสิทธิบรรลุธรรม
ผู้รู้อัตตามีทิฏฐิที่สัมมา มีความรู้ความเข้าใจ มีทิฏฐิหยาบกลางละเอียด เช่นสัมมาทิฏฐิตั้งแต่ข้อ ปรโตโฆษะกับโยนิโสมนสิการ หรือ ทาน ศีล ภาวนา โดยเฉพาะศีลสมาธิปัญญาชัดเจนมาก แล้วคุณก็ปฏิบัติได้ ทิฏฐิก็จะละเอียดขึ้นอีก จะมีปัญญา 6 ก็มีทิฏฐิ 6 มีปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มรรค 8
คนฟังธรรมะอาตมาได้ต้องนับถือ คนเอาไปปฏิบัติได้ด้วยยิ่งจะนับถือนับถือ มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ในความเป็นมนุษย์เพราะมันเป็นประโยชน์ตนเป็นประโยชน์ต่อสังคมเป็นประโยชน์มนุษยชาติทั้งนั้นเลย มันสุดประเสริฐไม่มีอะไรดีกว่า พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วไม่ได้เรียนรู้อะไรท่านให้มาเรียนรู้เรื่องความเป็นคนความเป็นสังคม เท่านั้นแหละท่านรู้หมดเลย คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก จบ แล้วรู้สังคมโลก อย่าไปเป็นผีตองเหลืองกลุ่มน้อยจนเป็นเผ่าต่างๆในป่า จนออกมาในเมืองในกรุง จนออกมาระดับประเทศเป็นสังคมโลก ให้มันสร้างสรรเป็นไปด้วยดีด้วยเจริญ มีความจริงใจมีความรู้ความสามารถช่วยโลกได้ โลกานุกัมปายะ
คนที่สามารถรู้ทิฏฐิดี แล้วไม่ประมาท เป็นสุริยเปยยาลข้อ 6 อันที่ 7 ก็โยนิโสมนสิการ
ต้องมีแสงอรุณ 7 ก่อนที่จะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ได้ อยู่ดีๆจะไปปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 เลย หากอาตมาไม่มาเกิด สุริยเปยยาลนี้ไม่เกิด หายไปกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าไปเลยไม่มีฟื้น อาตมาไม่ได้พูดเล่น เพราะเขาจะไม่เข้าใจว่ามันมีความสำคัญอย่างไรหมายถึงอะไร ธรรมะพระพุทธเจ้าได้หลุดผิดเพี้ยนไปมาก อาตมาเก็บมาละเอียดก็ยังไม่รู้ว่ามันเหลืออะไรมันเยอะแยะแม้แต่คำว่ากาย คำว่าบุญ หรือศีล สมาธิ ปัญญา คำว่าทาน คำว่ากุศลกับบุญต่างกันอย่างไร แต่นี่มันเพี้ยนไปหมดเลยมันจึงไม่มีมรรคผลอะไร
ขนาดนั้นก็ยังเหลือเชื้อ ประเทศไทยประชาชนคนไทยก็ยังมีเชื้อที่ดีกว่าประเทศอื่นอยู่ ในถึงวันนี้บลูมเบิร์ก ว่าเราคือประเทศที่มีความทุกข์น้อยที่สุดในโลก ไม่ใช่ว่าเราเหลิง แต่เราก็ได้รู้ความจริง แม้เขาจะใช้เกณฑ์นามธรรมมาวัดนะ เราก็เป็นเบอร์หนึ่งอีกปี คือดัชนีทุกข์น้อยที่สุด อาตมาเชื่อว่าตั้งแต่ 70 ปีก่อนมาจนถึงวันนี้อาตมาขอยืนยัน แม้จะมีเรื่องวุ่นวายในเมืองไทยก็ยังไม่เหมือนเรื่องอื่นหรอก ยิ่งมาถึงวันนี้แล้วสุดยอด แต่คนเข้าใจเกินไป มีอภิชัปปา ความต้องการ ที่เลยเถิดความเป็นจริง คนไม่เข้าใจความสมบูรณ์ที่แท้จริงก็มีเยอะ จึงเข้าใจความเหมาะพอดี กลางๆนี้ยาก
อย่างเศรษฐศ าสตร์อย่างที่ในหลวงตรัส เราไม่เอาแบบประเทศรวยที่ก้าวหน้าแต่ก้าวหน้านั้นถอยหลังอย่างน่ากลัว เรามีรายได้มีผลผลิตไม่ต้องกอบโกยสะสมแต่ช่วยเหลือประเทศอื่นนั่นแหละคือความเจริญ ประเทศใดที่ขูดรีดเอามาจากประเทศอื่นได้มากก็ถือว่าเป็นคนที่บาปมาก เป็นคนกอบโกยสะสม ซึ่งไม่ควร
คนที่ไม่มีภูมิปัญญารู้ว่า ความรวยนี้เป็นความซวยมหาศาล เขาไม่รู้จริงๆ ก็สะสมรวยๆๆ จนกระทั่งสุดท้ายเขาตายจากก็ยังรวยอยู่ คนที่รวยแล้วรู้ว่ากำลังจะตายก็สละเอาไปก็ยังดี ตอนนี้ยังเหลืออีกตั้งเยอะ
ผู้ที่จะเข้าใจได้ต้องมีธาตุรู้ที่มีความเฉลียวฉลาดลึกซึ้งเป็นโลกุตรธรรมทวนกระแสโลกอย่างแท้จริง ก็พยายามไป คนใฝ่หาแสวงหาเดี๋ยวนี้มี ว่าความจริงสูงสุดในโลกคืออะไร ทำให้สังคมเจริญได้อย่างแท้จริง สังคมไทยอาตมาว่าเจริญที่สุดในโลกขณะนี้ แต่คนเข้าใจได้ยาก มันเจริญอะไร สร้างอาวุธฆ่าคนก็สู้เขาไม่ได้หรือแม้แต่ความเจริญทางเทคโนโลยีเราก็สู้เขาไม่ได้ แต่ในหลวงเราบอกว่าไม่เป็นไรเราทำให้เพียงพอแก่ประเทศเรา ประเทศคุณจะกินระเบิดไม่ได้หรอก จะกินคอมพิวเตอร์เครื่องมือเทคนิคที่เก่งกาจลึกซึ้งอย่างไรก็กินไม่ได้ คนรวยให้ตายแต่ไม่มีอาหารไม่มี กวฬิงการาหาร ตายอย่างเขียดเลย มีวิหารอื่นๆอาศัย
วิหารคือเครื่องอาศัยอุปโภคบริโภค ส่วนอาหารคือสิ่งที่กินเข้าไปซึ่งก็เป็นร่างกาย แต่ถ้าวิหารก็แปลว่าเครื่องอยู่เหมือนกันรวมทั้งอุปโภคบริโภค สถานที่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อุปกรณ์ต่างๆมันกำหนดหมายต่างกันเท่านั้นเอง
ถ้าเราสามารถดูชัดเจนในคำสอนพระพุทธเจ้าเราจึงเป็นคนที่จะอยู่ในโลกแล้วถ้าคุณตาย ตายแล้วเกิดเป็นโพธิสัตว์อย่างอาตมา จะอีกกี่ชาติคุณก็มีความจริง คุณยิ่งจะเป็นผู้รู้ในวัฏสงสารได้อย่างแท้จริง ไม่รู้กี่ล้านกัปป์ ก็รู้ว่าสิ่งที่เกิดในมหาสมุทรจักรวาลเอกภพวนเวียนว่ายเกิดตายอยู่อย่างนี้ เราก็จะรู้ว่าสัตว์โลกมีแตกต่างกันมากมายอย่างแท้จริงก็จะช่วยคุณได้มากขึ้นตามเป็นจริง
ศาสนาเทวนิยมเกิดชาติเดียวแล้วก็จบไม่มีความรู้ต่อ เขาจึงไม่รู้โลกอย่างแท้จริง ไม่รู้ตัวเองด้วย ตีตัวเองไม่แตก โลกก็ไม่รู้ โลกที่เปลี่ยนแปลงแต่ละยุคสมัย เพราะมันวนเวียน ก็เรียนรู้กรรมกับวิบากที่เป็นอจินไตย
-
พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
-
ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน .
-
วิบากแห่งกรรม
-
ความคิดเรื่องโลก (จักรวาล เอกภพ)
(พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 77)
ขออภัยที่เหมือนตำหนิข่มศาสนาเทวนิยม ซึ่งก็เป็นคุณงามความดีในทางหนึ่งของคน ถ้าเราไปทำทั้งหมดเลยเราก็ทำไม่ได้ ให้เป็นอเทวนิยมหรือชาวพุทธจะไปช่วยคนทุกด้านเลยก็ไม่ได้เราก็ต้องทำในสิ่งที่เป็นคุณค่าประโยชน์มากละเอียดครบ คุณก็ทำได้ระดับหนึ่งก็แบ่งกัน จะว่าไปแล้วคุณก็มีคุณประโยชน์มากใหญ่หนักกว่าคนละระดับ ด้านหนึ่งเราก็ช่วยอีกด้านหนึ่งเท่านั้นเอง
_อ่านต่อ …… แต่ถ้าไม่ยอมรับฟัง ทั้งทำใจในใจไม่เป็น ความเห็นก็จะไม่ถูกตรง ไม่สามารถจัดการกับกำหนดหมาย ที่เป็นตัวต้นเหตุแห่งทุกข์ ทั้งยังปรุงให้เกิดเป็นความชัง ผู้ถือกระบี่จึงหน้ามืด ตามัว ก่อเกิดเป็นกระบี่ไร้ตา “เอ็งแรงมา ข้าก็แรงไป” แล้วสันติสุขจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
สุข-ทุกข์ แท้จริงแล้วเป็นเพียงสภาวะของ ความไม่ต้องทน กับ ความทนได้ยาก แต่คนไปหลงยึดเอาเป็น สวรรค์-นรก จึงทำให้เกิด โสมนัส-โทมนัส ขึ้นในจิต แล้วปรุงแต่งเป็นทุจริต ๓ จึงเป็นพิษเป็นภัย ไปทำร้ายทำลายผู้อื่น
พ่อท่าน ถอดรหัสสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้เข้าใจง่าย มีแนวทางปฏิบัติชัดเจน โดย focus ที่สุข-ทุกข์ ให้เรียนรู้แยกแยะเทวะ ทำลายสวรรค์-นรกได้ โสมนัส-โทมนัส ก็ไม่เกิด…. จึงมีโลกวิทู รู้เห็นโลกตามความเป็นจริง…..เป็นโลกุตระ อยู่เหนือโลกเพราะหมดสุขสวรรค์ สิ้นทุกข์นรก หมดความเห็นแก่ตัว มีแต่เห็นแก่ผู้อื่น สงเคราะห์คน อนุเคราะห์โลก เป็นโลกานุกัมปาย
เมื่อรู้ ตื่น เบิกบาน เป็นพุทธะกันมากๆ สันติสุขจะเกิดขึ้นต่อมวลมนุษยชาติอย่างแน่นอน
ลองใช้ใจที่ชอบตำหนิผู้อื่น….. มาพิจารณาตนเองดู
แล้วลองใช้ใจที่ชอบอะลุ่มอล่วยตัวเอง…. มาให้อภัยผู้อื่นบ้าง ก็น่าจะดีนะ
พ่อครูว่า…นี่ก็เป็นคำแนะนำที่ดีมาก ผู้ใดสามารถทำได้ตามที่ว่านี้ได้ผลแน่นอน ภาษาสื่อสภาวะองค์ประกอบต่างๆให้เราได้ไปปฏิบัติได้ดี
_ใจแก้ว…งานปลุกเสกฯที่ผ่านมาที่พ่อท่านสอน 3 ข้อนี้ใช้ได้ดี เช่น 1.พีชะ คือ แตงโม คือพืช แล้วก็สัตว์คือคนกินแตงโม แล้วก็ทวารทั้ง 6 คือวิญญาณและความรู้สึกของดิฉัน เอามาใช้ตอนงานนี้สุดแสนเหนื่อย แต่ก็ไม่ได้ทุกข์ มันมีจิตใจตัวหนึ่งที่ว่า กลุ่มที่ปลูกแตงโม เขาบอกว่า อย่าให้คนเอาไปเยอะและให้กินได้จนครบงาน เขาก็เอามาให้จำกัดทุกวัน คนก็ไปที่ริมมูลไปขอ เขาก็ผลักมาที่ดิฉัน ดิฉันก็เลยหนัก เขาขอหลายลูก และเอากระสอบมาใส่ เขาก็หาว่าหวงของ ทั้งที่กินก็กินชิ้นเดียว สู้อยู่สองวันกับตัวเอง จิตใจไม่ได้เป็นคนตระหนี่อยากจะให้ แต่เมื่อคิดถึงกฎระเบียบที่เขาบอกว่าให้ถึงวันสุดท้ายก็เลยจะรักษากฎตรงนี้ ก็เลยสู้กับตัวเอง พอวันที่ 2 ก็มาทบทวน พอเจออีก เราก็ถามเขาว่าไม่เบื่อเหรอเขาก็บอกว่าเย็นอร่อย ก็เลยทำใจตามที่พ่อท่านสอน ถึงได้ปฏิบัติเต็มที่ มาพิจารณาว่าแตงโมไม่มีวิญญาณเป็นพืช แต่ทำไมเขาโตขึ้นมาให้คนกินอร่อย แต่เขาไม่ได้หวงตัวเลย คนที่กินก็ไม่รู้ว่าคนดูแลกับคนปลูกลำบากแค่ไหน ก็เลยต้องทำใจเราว่าเราจะมาทำหน้าที่ดูแลงานนี้ ขนาดแตงโมยังไม่หวงแขนตัวเองเราก็ไม่ได้เป็นคนปลูก ไม่ได้ขนมาด้วย แต่เรื่องกฎระเบียบต้องรักษา การปฏิบัติธรรมหากพ่อท่านไม่มาสอนให้เราย่อลงมา เราจะไปทำใจกับผัสสะไม่ได้ อย่างเป็นชิ้นเป็นอัน
พ่อครูว่า…ก็มีทั้งย่อและขยาย แม้แต่ปฏิบัติศีล เหลือ 3 ข้อ ให้เข้าใจแล้วจะมีมรรคผลคุณจะเกิดทุกอย่างเลยเจริญทั้งเจโตและปัญญา
คนที่มีจริตมีปฏิภาณดีจะอธิบายได้ดีขึ้น บางคน คนที่มีปฏิภาณดีกว่าอาตมาจะอธิบายได้ดีกว่าอาตมาเลย ก็ช่วยกัน
_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…วันนี้ได้ดูรายการท่านประยุทธ์พบกับท่านฮุนเซน ที่สะพานมิตรภาพไทย- เขมร ตอนพบกัน ท่านฮุนเซนว่า ตั้งแต่มีนายกมานายกประยุทธ์นี้ดีที่สุดเลย ทำงานได้เยอะ เขาสามารถทำงานกับนายกประยุทธ์ได้หลายอย่าง เป็นนายกที่พัฒนางานได้มาก แล้วเขาก็บอกว่าอยากให้เป็นนายกต่ออีกสมัยนี้ ท่านประยุทธ์ก็บอกว่า มันอยู่ที่ประชาชนมันเป็นเรื่องของการเมือง ใจของดิฉันก็เคยมีอุปาทานกับท่านฮุนเซนก็คิดว่านี่เจ้าเล่ห์ เราคิดอย่างนี้ก็เลยรู้ว่าไม่ถูกต้อง พ่อท่านว่าให้เวลาปัจจุบันใครดีก็ให้ดีกับเขา แต่สัญญาเก่ามันขึ้นทันที มันก็เลยต้องมารู้ว่านี่คือการอยู่กับปัจจุบันมันไวมาก ขนาดนั่งดูข่าวก็คิดไปว่าคนนั้นเจ้าเล่ห์ ทั้งที่มันเป็นอดีต คนเราอาจเปลี่ยนแปลงกันได้ แต่ฉันไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนหรือไม่แต่ลีลาเขาแสดงออกอย่างจริงจังเราก็น่าจะจริงจังกับปัจจุบันของเขา ส่วนอดีตก็จะจำเอาไว้ก็พอไม่น่าจะเอามาสังขาร
พ่อครูว่า…ก็ดีเป็นแง่ของการศึกษา มีเหตุปัจจัยที่แท้จริง เราได้พิจารณาตัวเองแล้วได้ทำใจในใจของเราจริง อันนี้เป็นการปฏิบัติที่จริง อาตมาสรุปเน้นที่ว่า ความจริงมีอยู่แค่ปัจจุบัน ผ่านปัจจุบันไปแล้วหมดความจริง กลายเป็นอดีต ยังมาไม่ถึงเลย จ่ออยู่แล้วอนาคตก็ยังไม่ใช่ความจริงคุณจัดการกับปัจจุบันก็เหลือกินเหลือใช้แล้วไม่ต้องไปตะกละมากมายเกิน ปฏิภาณปัญญาเราจะรู้มีอนาคตังสญาณรู้ข้างหน้าอยู่บ้าง มันก็ต้องมีอยู่แล้ว จะไปปิดอย่างไรมันก็ไม่หยุดหรอก จะโง่แต่รู้ปัจจุบันอย่างเดียวไม่เอาอย่างอื่นเลยไม่มีหรอกในโลก มันจะต้องมีทางข้างหน้าอนาคตที่จะมาไม่ถึงแต่มันก็พอรู้ล่วงหน้าอนาคตังสญาณ เป็นอดีตที่จำได้มันก็มีอยู่ เราก็ใช้มัน มันมาถึงเราแล้วเราก็ใช้ปัจจุบันนี้เป็นเหตุเป็นองค์ประกอบทั้งอดีตและอนาคตเป็นองค์ประกอบใช้พิจารณาเพื่อที่จะทำ ตัดสินให้มันเป็นไป มันก็จะเป็นไปกับอนาคตที่ดีขึ้น อดีตที่ผ่านมาแล้วมันมีผลมีฤทธิ์ให้เรา เราก็จะต้องเอามันมาช่วยด้วย เราไม่มีต้นทุนเลยก็ไม่ได้ ก็ปฏิบัติอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
_เข้มข้น…ในหนังสือคนจนที่มีแบบ ได้อธิบายเรื่องการจัดการขยะเป็น 0 ขอจงมีความเพียรที่บริสุทธิ์ มีปัญญาที่เฉียบแหลม มีพลังกายที่สมบูรณ์
พ่อครูว่า…ก็ขอให้แต่ละคนๆเจริญ มีความเพียรที่บริสุทธิ์ปัญญาที่เฉียบแหลม กำลังกายที่สมบูรณ์ ก็เต็มแล้ว กำลังกายสมบูรณ์ ความเพียรและปัญญาใช้ที่เรามี อย่าให้เพียรจนเกิน เนื้อหลุดแขนหลุดไม่ได้ ไม่มีใครโง่เกินกว่าตัวเองที่ฉลาด ไม่มีใครฉลาดเกินกว่าตัวเองที่โง่ เราฉลาดรู้ได้แค่นี้แหละจากนั้นไปก็โง่ เราก็ใช้เท่าที่เรามีในตัวเราแล้วเอามาใช้
_สมณะหนักแน่น…อยู่ในเมืองอุบลเขาก็เมาน้ำสุรา มาอยู่บ้านราชฯคนก็เมาน้ำตก อย่างเฮือนบวร มีเนื้อที่ 11 ไร่ ถ้าภาษานักการพนันว่า กินทั้งสูงทั้งต่ำ แต่ของพ่อครูนี้ให้ทั้งสูงและต่ำคนจนและคนรวย นั้นคือโลกีย์ แต่พอเดินมาตรงนี้คุณเดินผ่านเฮือน 0 ไปหน่อยก็เป็นเฮือนสวยเหมิด เป็นเหมือนปั๊มน้ำมัน อยากจะถามว่า คนในเมืองเป็นลูกเจ้าเมือง คนเหล่านั้นมาอยู่ที่นี่ได้ไหม หากทำตามกฎระเบียบได้
พ่อครูว่า…ได้สิ มีพื้นฐานศีล 5 หากปฏิบัติ 1.ศีล 5 ไม่ได้ถึงเกณฑ์เขาก็ให้ออกหรือมีอบายมุข หากคุณมีหยาบเกินเกณฑ์เขาก็ให้ออกไป 2.ไม่กินเนื้อสัตว์ 3.ไม่มีอบายมุข
ก็จะเป็นคนเจริญไปได้เรื่อยๆ พื้นฐานแค่นี้แหละยินดีต้อนรับ คนมีเงินก็มาสร้างที่อยู่ คนไม่เงินก็อยู่ได้ ไปอยู่ร่วมกันคนอื่นได้ หากจะมาสัก 777 คนก็ได้ไม่กระเบียดกระเสียรหรือแม้เบียดเสียดจะได้ฝึกลดความเห็นแก่ตัว แต่จริงๆแล้วยังมีที่เยอะ
_ช่วงนี้หินมาเยอะ หินหมายถึงอะไร
พ่อครูว่า…โดยธรรมชาติแล้ว หินเป็นความแน่นของธาตุดิน ที่ถูกที่สุด ดินมันแน่นมันก็สู้หินไม่ได้ โลหะนั้นก็แน่นกว่า บางอย่างก็เบากว่าบางกว่าหรือแน่นกว่า โดยเฉลี่ยแล้วเป็นแบบนี้ หินจะเป็นธรรมชาติที่เป็นการแน่น เป็นที่อาศัยเป็นแกนของกันแน่น ของสถานที่ สถานที่ใดมีแกนแน่นแล้วราคาถูกสุดเทียบกับอื่นๆ เราอยู่อย่างคนจนก็ใช้ธาตุที่นั่นที่แข็งเป็นแกนหลัก ไม่สลายไปง่าย แล้วมีคุณสมบัติอะไรหลายอย่างที่เราอาศัย ทั้งถูกความเย็นความร้อน ก็เป็นสิ่งที่จะต้องประกอบในสังคมมนุษย์ หากสังคมมนุษย์ในยุคโบราณ เขาก็ใช้เป็นที่พักอาศัยตามถ้ำ แต่เราก็ไม่ได้อย่างนั้นเราไม่ได้ไปแย่งใคร เราสร้างสถานที่ก็เป็นสถานที่ที่เขาไม่เอาแล้วทิ้งแล้ว เราก็พัฒนาเพิ่มเติมขึ้น จนที่ทางที่อยู่ใกล้เราแพงขึ้น คนเขารู้เลยว่าอโศกไปอยู่ที่ไหนที่นั่นมีราคาที่ดินแพงขึ้น หินต่างๆเราก็เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ ให้รู้สึกว่าเป็นที่ที่น่าอยู่น่าเล่นน่าอาศัย อย่างนี้เป็นต้น
_คนที่มานี้เขาอยู่ตามกฎระเบียบนี้ อยู่ได้แล้วหินหมายถึงศีลหรือไม่
พ่อครูว่า…ศีลเป็นศิลาเป็นหลักแก่นเบื้องต้น ถูก ง่าย ศีลเป็นขั้นต้นและขั้นสุดท้าย พระอรหันต์ สีลบุคคล ในจำนวนมวลคนด้วยกันเป็นคนที่มีศีลนี่เป็นอรหันต์ได้บริบูรณ์ คนถือศีล 8 อรหันต์ก็ได้เกินกว่าเขา ศีล 10 ศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลก็ได้อรหันต์มากไปอีก
_สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 เกิดจากอะไรครับ และจบอย่างไรครับ
พ่อครูว่า…อาตมาไม่เป็นคนรู้ประวัติศาสตร์เท่าไหร่ ประวัติศาสตร์ของตัวเองก็เอามาใช้พอสมควร ขนาดนั้นก็ยังกระพร่องกระแพร่ง ประวัติศาสตร์อาตมาก็ลืมเลือนไป ขอยืนยันว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 อาตมายังไม่เกิด สงครามโลกครั้งที่ 2 อาตมาเกิด ก็ตอบไปว่าอาตมาไม่ได้รวมทั้ง 2 ครั้ง ไม่ทราบไม่รู้เรื่องก็เลยตอบไป
สู่แดนธรรมว่า สงครามโลกเกิดจาก คนไม่ยอมกัน
เขาจะมาฆ่าเราแล้วเราก็จะทำอย่างไรต้องให้เขาฆ่า เพราะเขาชั่วสุด หากชัดเจนแล้วว่าตายไม่มีปัญหา ไม่เป็นพระอรหันต์ตายแล้วก็เกิดอีก เป็นพระอรหันต์แล้วจะตายไม่เกิดหรือจะตายแล้วเกิดอีกก็ได้ แต่คนตายแล้วไปสร้างอกุศล แต่หากเรามีแต่กุศลไม่เป็นอกุศล เขาฆ่าเราก็เป็นอกุศลของเขา เราตายแล้วก็เจริญขึ้นอีก คนชัดเจนอย่างนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร ศึกษาให้ดีแล้วจะเป็นอมตะบุคคล ควบคุมการเกิดการตายได้โดยที่มีร่างกายเป็นจิตนิยาม จนสุดท้ายแยกจิตนิยามออกเป็นอุตุนิยามหมดอัตภาพเลยก็ทำได้นี่คือศาสนาพุทธทำได้ขนาดนี้
_คนอย่างฮิตเลอร์ฆ่าตัวตาย ฆ่าคนก็มากมีวิบากขนาดไหน
พ่อครูว่า…ตอบไม่ไหว เป็นนักมังสวิรัติด้วยนะฮิตเลอร์
_รอนแสง…ช่วงตลาดอาริยะได้อธิบายเด็กๆเรื่อง พาณิชย์บุญนิยม ว่าชาวอโศกไม่มีเงินเฟ้อ ค่าเงินไม่ตก เราไม่มีเงินเหลือจนล้น ทำให้เด็กๆเข้าใจว่า ทำไมเรามาทำตลาดอาริยะ เมื่อเราได้มาทำร้านจิตอาสา แล้วเราได้แบ่งปันเสียสละให้คนมีเงินน้อย ทำให้เห็นว่างานทุกงานที่ทำนี้มีอะไรแฝงแต่ด้วยความดีที่เราช่วยกันทำแม้จะมีคนน้อยทำให้เห็นแววตาของคนมาซื้อของ เราเห็นใจเขา ทำให้เราเสียสละแรงงาน สรุปงานให้เด็กฟังทุกวันทำให้ได้ช่วยเราช่วยเขาด้วย
พ่อครูว่า…อธิบายถูกลึกซึ้ง เขาแววตาซื่อๆ เคารพบูชาพวกเรา แต่เขาไม่แสดงออกมากมาย แต่ใครมองซึ้งในสายตาก็รู้ใจได้ บางคนเป็นคนแรงหยาบก็ไม่กล้าหยาบไม่กล้ารุนแรง เพราะสัจจะอย่างนี้ การชนะความโกรธด้วยการไม่โกรธแล้วก็เป็นผู้ให้ เป็นผู้ที่ชนะอย่างชัดเจน ใครจะแค้นเคืองใครจะหยาบเราก็อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนมีประโยชน์ต่อเขา อาตมาได้คิดถึงภาษาคำว่า “รับใช้” กับคำว่า “ทำประโยชน์ให้เขา” คิดว่าคำว่ารับใช้ไม่ค่อยสวย สู้คำว่าทำประโยชน์ให้เขาดีกว่า แต่บางทีก็มองเหมือนว่าเรายกตัวอย่างตนทำประโยชน์แก่เขาเป็นคนมีประโยชน์ ก็ได้ แต่คิดว่า ก็ดูบุคคลดูโอกาส เราใช้คำว่าทำประโยชน์จะดูดีกว่าคำว่ารับใช้ คำว่ารับใช้มันซ้อน มันก็เป็นคนไม่เจริญ แต่คนทำประโยชน์นี้เป็นคนเจริญ
_รอนแสงว่า อย่างเวเนซุเอลา เงินเฟ้อเพราะถูกหลอกถูกมอมเมาใช้จ่ายจนเกิน ถ้าไม่ใช่ชาวอโศก เคยถามชาวบ้านเขา เขาบอกว่าอีกหน่อยจะไม่ใช้บัตรเครดิต ยิ่งจะทำให้ชาวบ้านใช้เงินอย่างตามใจฉัน แต่พวกเราไม่มีโอกาสทำอย่างนั้น เราทำงานฟรีเราจะไม่ไปทำกับเขาอย่างนั้น ทำไมเราต้องมาเป็นคนจนมาทำแบบนี้
พ่อครูว่า..ค่อยๆมีความเข้าใจกันไปให้ดีให้เราก็จัดสรรประมาณให้ได้สัดส่วนที่พอเหมาะพอดี ไม่ว่าด้านเศรษฐกิจ อาตมาบอกแล้วทรัพย์ของคนอยู่ที่ความรู้ความสามารถและความขยัน มีความสามารถแต่ขี้เกียจก็ไม่ได้ แต่ถ้ามีความรู้ความสามารถและความขยันก็ไม่มีหมด ทรัพย์อันนี้ คุณมีเท่าไหร่ก็ตกน้ำไม่ไหลไฟไม่ไหม้ใช้ไม่หมด ไม่จำเป็นต้องสะสมทำให้เศรษฐกิจลำบากต่างคนต่างแย่งอวิชชาเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ เราก็จะเป็นคนที่ต้องช่วยสังคมอย่าไปเป็นคนที่ถ่วงโลก หากไม่มีตัวอย่างพวกเราถ่วงไว้เขาก็แย่งกันตลอดกาล มีคนแบบพวกเรามากขึ้นโลกก็แย่งกันน้อยลงโลกก็สงบสุข
_ผู้ให้ชีวิตและจิตวิญญาณใหม่ให้แก่ลูก…ลูกอยากถามว่า ลูกไม่เข้าใจเรื่องภาษาแต่จะเน้นตั้งศีล เช่นตั้งศีลไม่กินมื้อเย็น จนชิน เห็นใครกินก็ไม่อยากกินแล้ว แต่ผัสสะบางอย่างเราไม่เคยล้าง พอเจอโจทย์ก็ร้อง ตัวนี้เราไม่เคยมีปรากฏให้เราได้ล้าง แต่เมื่อรู้แล้วก็ถอย บางครั้งพลังไม่พอ ก็เลยต้องกิน ถูกต้องไหมคะ
พ่อครูว่า…ตามอินทรีย์พละ ต้องรู้ท่าที ชนะก็ให้รู้ ตอนนี้ชนะไม่ได้เสียท่าก็จะรู้
_แม่ชี CNN ฝากถามว่า…ตีแตกเทวะจึงรู้โลกุตระ หมายถึงอะไร
พ่อครูว่า..คำนี้กำลังอธิบาย จะไปรีบร้อนรีบรู้ไม่ใช่เรื่องแต่เป็นเรื่องทางโลกเลย เป็นเรื่องครอบโลกทั้งโลกและตลอดนิรันดร์กาลช่วยอธิบายตอนนี้ไม่จบหรอกค่อยๆรู้ไป
เทวะ หมายความว่า 2 เพราะฉะนั้นคุณจะต้องปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า ต้องเรียน เทวธัมมา ธรรมะสองเสมอ คู่นี้มาปฏิบัติได้ผลแล้ว แล้วก็มีคู่ใหม่มา มันจะซ้อนเหลื่อมกันบ้างของเท่าที่เรามีอินทรีย์พละ ก็จะเกิดการตีแตกกับเทวดาแล้วจัดการธรรมะ 2 โดยไม่เป็น 1 ตีไม่แตกเลยอย่างเทวนิยม ตัวเองเป็นธรรมะ 2 รูปนาม ตีไม่แตกเลยไม่รู้ตัวไม่รู้เรื่อง จมอยู่กับเทวะ จมอยู่กับธรรมะ 2 ขยายไม่ออก
เช่น สุขทุกข์ เป็นธรรมะ 2 มันแกะไม่ออก เหมือนเหรียญสองด้าน คุณได้ทุกข์ก็ต้องได้สุขคุณได้สุขก็ต้องได้ทุกข์ ต่อไปคุณจะต้องลดลง ลดสุขหมดทุกข์ ลดทุกข์หมดสุข แต่เขาตีไม่แตกก็จมอยู่กับอย่างนั้นแล้วก็กดข่มไว้ แต่แบ่งแจกกันบ้าง แต่จิตวิญญาณสุขไม่เคยพอก็แสวงหาก็ทุกข์ กดข่มใจตนได้ก็พอ แต่กดข่มไม่ได้ก็แย่งไม่จบ
หากไม่ปฏิบัติทีละ 2 เริ่มโลกุตระ คู่แรกต้องรู้ว่า จิตเรา จับที่เวทนาในเวทนาเป็นความรู้สึก ความสุขความทุกข์เป็นความรู้สึก ในจิตเป็นความรู้สึกหรืออารมณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าหาคู่อาการนี้ของจิต แล้วก็ลดเหตุ
อะไรหยาบที่สุด เช่นเราชั่วที่สุดจมกับเรื่องนี้จะเรื่องอะไรก็แล้วแต่ มันจะต้องรู้สึกว่ามันเป็นการได้ในความชั่วนั้น ได้วัตถุ ได้รสชาติ ได้ความมีศักดิ์ศรีอะไรก็แล้วแต่ คุณได้เอามาเป็นตัวตนของคุณมันก็ไม่มีจริงหรอก ยิ่งหยาบจะเอามาเป็นตัวตนเราทำไมได้อะไรได้เป็นนักเลงหัวไม้ ได้นักเลงหัวปรมาณู นักเลงนิวเคลียร์ อาวุธที่มันยิ่งกว่านิวเคลียร์ก็มีแล้ว อย่างนั้นมันเลวร้ายที่สุดแล้วถ้าคนรู้ตัวก็เลิกคุณหยุดได้ไม่ต้องมีสุขมีทุกข์กับมันไม่ต้องมีอำนาจบาตรใหญ่ที่จะเอาชนะคนอื่น ต้องชนะด้วยความเสียสละชนะด้วยความยอม ชนะด้วยความมีประโยชน์และคุณค่าแก่ผู้อื่น มันเป็นคุณธรรมที่ซับซ้อนๆๆ กว่าคนจะรู้ตัวว่า อ๋อ ต้องมาเป็นคนเสียสละ แทนที่เราจะเป็นคนเอาเปรียบ ต้องมาเป็นคนเสียสละ โดยที่เราอยู่ได้ ตัวเองก็มีการเสียสละ แม้ว่าตัวเราเองไม่มีเสียสละ คนอื่นก็มาร่วม เราจะต้องเสียสละ แต่เราไม่มีคนอื่นก็มาร่วม มันจะหมุนเวียน
อย่างอาตมาไม่ต้องสะสมแต่เสียสละ คนอื่นก็เอามาให้หมุนเวียนเท่าที่มีบารมีไม่ขาดแคลน แต่ก็ไม่เคยมีมาก หมุนเวียนมาใช้ ไม่เหลือมากจนต้องเป็นก้อน คงคลังร้อยล้านก็ไม่เคยเจอในชีวิตมา 5 ล้าน 10 ล้านสูงสุด 20 ล้าน ก็หมุนไป ในวงไม่เกิน 10 ล้านทำงานทุกวันนี้ก็หมุนอยู่อย่างนี้ จะสร้างหลักฐานได้เป็นรวมแล้วหลายพันล้านนะของอโศก มันก็เป็นไปได้โดยที่เราไม่ต้องไปเรียกร้องไม่ต้องเรี่ยไร ประเหลาะหลอกลวงเลย
ในสภาวะหมุนเวียนไปมานี้ คนแต่ละคนมีภาวะแรงงานผลผลิตสร้างสรรค์เกินกว่าตัวเองกินตัวเองใช้ วันนึงกินใช้ประมาณ 200 บาท บางคนได้วันละเป็นพันบางคนเป็นหมื่น เป็น 500 คุณก็มีส่วนเหลือ แล้วก็ไม่ใช่คนเดียวมีเป็นร้อยคนพันคนรวมกันมีมากมาย แต่ละคนมีพื้นฐานกินใช้น้อยแค่นี้ก็พอ อัปปิจฉะแค่นี้ แต่คุณขยันทำประโยชน์ได้มากขึ้นมันก็เหลือมาก แต่ยิ่งปฏิบัติธรรมแล้วยิ่งใช้มากก็ยังไม่เจริญ แต่ถ้าใช้น้อยโดยไม่ทำลายตัวเอง ไม่ทำลายสุขภาพมันก็ยิ่งแข็งแรง คุณก็ยิ่งมีส่วนเหลือส่วนเกิน เป็นปฏิภาคทวีซับซ้อน มันก็ไม่มีวันบกพร่องไม่มีวันหมด มีแต่วันที่จะมากขึ้นๆ ก็ช่วยคนได้มากขึ้นๆ อาตมาไม่กลัวหรอกหากที่อาตมาพูดไปไม่จริง คนพวกเราไม่จริง แน่นอนวันหนึ่งก็ต้องสูญ แต่หากว่าจริงอย่างอาตมาว่ามันก็จะเจริญไปอย่างที่เห็น กาลเวลาพิสูจน์คน ติดตามไปดูก็แล้วกัน
_อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ ให้เปลี่ยนเป็น อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนทำประโยชน์
_มาอยู่วัดนานๆ ฟังธรรมพอเข้าใจบ้าง เหตุไฉนมักจะไม่ค่อยมีคำถาม
พ่อครูว่า…เป็นคนไม่ค่อยมีไหวพริบปฏิภาณมาก แต่ฟังแล้วเข้าใจนะ รู้เรื่องเข้าใจตามลำดับ แต่เป็นคนไม่ค่อยมีปฏิภาณไหวพริบที่จะอยากรู้ไอ้นั่นไอ้นี่มาก แต่มันก็ไม่ขาดการได้รู้ ก็ได้รู้เพิ่มก็เจริญเหมือนกัน แต่ถ้ามีไหวพริบก็จะขวนขวายว่าอันนี้น่าจะรู้เพิ่มขึ้น แต่ระวังนะจะมากเกิน อยากรู้มากๆจนกระทั่งเราก็มีเยอะ หลายคนพวกเราจนกระทั่งอาตมาบอกว่า เพลาๆบ้างถามจังเลย จะรู้แล้วอะไรกันนักกันหนาส่วนการปฏิบัติก็ไม่ค่อยทำเท่าไหร่เอาแต่ถามไปรู้ รู้แล้วก็เอาไปฟุ้งเฟ้อไปคุย ไปขยาย เกิดการสร้างอิทธิพลของตัวเองขึ้นไปอีก ก็เลยกลายเป็นคนซวย เอาแต่แค่วาทกรรมภาษาพูดเก่ง แล้วเอาไปได้เปรียบคนอื่น คนอื่นก็ยอม ขาดทุนนะ รู้เท่าที่เราทำ ทำเท่าที่เรารู้ รู้ว่าขนาดนี้พอเหมาะแก่เราทำ ทำแล้วก็รู้แล้วก็ทำ อาจจะรู้นำหน้าทำ ใช่ ดี รู้นำหน้าทำ ทำได้แล้วก็รู้เพิ่ม ไม่ต้องไปรู้เกินไว้มากมายแล้วทำไม่ทันเลย ดีไม่ดี แบกไอ้รู้นี่แต่ทำไม่ไหว หมดแรงเพราะรู้มาก แต่ทำไม่ไหวไม่เข้าท่า
_นักรบธรรม…คือผมคิดว่า การได้มาอ่านหนังสือพ่อครู แม้แต่กวี ก็รู้สึกลึกซึ้ง ถึงจิตวิญญาณ มันเพียงพอต่อการหาความรู้แล้วแต่เมื่อมาอยู่ตรงจุดนี้ คิดว่ายอมรับว่าเรื่องการพูดมันสำคัญ ที่ใช้ชีวิตได้ขนาดนี้เพราะคำเทศน์ของพ่อครูแต่ว่า คำพูด คำกวี คนโลกๆ ทำไมเขาถึงมีสถาบันหรือคนยอมรับมาก นั้นเป็นคำคม เอาไปทำตามดำเนินชีวิตได้ ก็อย่างวันนั้น พ่อครูติดคำคม ที่มีนักเรียนถามว่า…ทำไมต้องมีความรัก พ่อครูก็ว่า มีคำคมอะไรประมาณนี้ผมก็เร่งในวิชาการการพูด ผมเลยไปเจอในบทสุนทรภู่ อยากจะเอามาเสริมพ่อครูตอนนั้นว่า
“เขาย่อมเปรียบเทียบความว่ายามรัก แต่น้ำต้มผักเขาชมว่าหวาน
ครั้นจืดจางห่างเหินไปเนิ่นนาน แต่น้ำตาลก็ว่าเปรี้ยวไม่เหลียวแล”
“เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา จะพูดจาพิเคราะห์ให้เหมาะความ
แต่อ.สุริยันต์ว่าไม่ใช่ของดีสุด ผมก็ว่าไม่ใช่ (พ่อครูว่า แล้วเอามาพูดทำไม)
พ่อครูว่า…อย่าทำอะไรให้ขายหน้าตัวเอง
มันเป็นเรื่องโลกีย์ผสม อาตมาหัดแต่งกวีตั้งแต่อายุ 12 ปี เคยแต่งกลบทนาคบริพันธ์ อวยพรให้นสพ.ไทยโพสต์ มันก็ดูเราเก่ง ดูเราเฟื่อง เรารู้ทั้งศัพท์แสงเอามาร้อยเรียงมีสัมผัสสำเนียงพยัญชนะสระ ต่างๆนานา มันดูดี แต่ทุกวันนี้ก็แต่งโคลงเป็นหลัก อาตมาแต่งได้หมด กาพย์ กลอน อาตมาแต่งโคลง 4 สุภาพเป็นหลักซึ่งจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ไม่ง่ายกว่าแต่งร่าย แต่ฉันทลักษณ์ก็มีอีกเยอะ
ทุกวันนี้คำนึงถึงเนื้อหาสาระมากกว่าความไพเราะ เอาสาระเป็นเหตุความไพเราะเป็นรอง แต่ถ้าคนที่ยึดติดกับความไพเราะเป็นเอกสาระเป็นรอง อันนั้นไม่ใช่ศิลปะ ศิลปะต้องเอาสาระเป็นเอกเอาความไพเราะความน่าดึงดูดคนเป็นสุนทรียศิลป์
ศิลป์มีสองอย่างสารศิลป์กับสุนทรียศิลป์ สุนทรียศิลป์นั้นต้องไม่มากจนไปกลบสารศิลป์ จนไม่ได้สาระ ต้องให้ได้สาระแต่สุนทรีย์ก็มีพอดึงดูดให้เขาเข้ามาพอสมควร คนจะติดรสชาติกว่าสาระเราก็ต้องใช้
ศิลปะจะมีสุนทรีย์ประกอบ แต่ถ้าสารคดีก็ไม่มีสุนทรีย์ เป็นวิชาการไม่คำนึงสุนทรีย์ก็ทำไปแต่คนมีศิลปะก็จะมีสุนทรีย์ในการสร้างประโยคภาษาด้วยอาตมาก็ติดเป็นนิสัยมันทำมานานจนชิน
_พิมพ์เพชรรุ้ง ..แต่ก่อนอยู่บ้าน มีผัสสะก็หนีกลับบ้าน แต่ทุกวันนี้ไม่ได้กลับบ้านก็มีผัสสะ แต่ได้เรียนรู้เทว คือธรรมะ 2 เรียนรู้ความชอบกับไม่ชอบที่เป็นกิเลสของตัวเอง แสดงออกทางกายวิญญัติวจีวิญญัติไม่ค่อยดี หากมีกิเลสก็พยายามทำให้เป็นหนึ่ง
พ่อครูว่า…ก็ทำทีละสองนี่แหละเปรียบเทียบกัน โดยไม่มีอคติไม่ลำเอียงเอาสาระตรงๆเป็นกลาง ไม่มีชอบไม่มีชังไม่มีอคติ จัดสรรเลือกเอาอันที่ดีที่สุดเหมาะควรที่สุด ก็ต้องฝึก อาตมาว่ามันเป็นนามธรรม มันมีรูปธรรมเป็นองค์ประกอบด้วยแต่จริงๆแล้วอยู่ที่นามธรมที่เราจะรู้และเราตัดสินว่าจะเอาอันนี้ รู้แล้ววินิจฉัยตัดสินก็จะเจริญขึ้นเอง มันมีเหตุปัจจัย เรารู้เราวินิจฉัยตัดสินก็เป็นองค์ประกอบ สามเส้าแต่หากไม่รู้เลยก็วินิจฉัยไม่ได้ไม่มีคู่เปรียบเทียบก็วินิจฉัยไม่ได้ หากรู้แล้วก็มีคู่เปรียบเทียบทีละ 2 ทีละ 3 จะตัดสินได้ก็ดี มันก็มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย แต่ทีละ2 นี้ตัดสินได้ง่าย สามารถเลือกสิ่งที่มีสิ่งที่ควรเป็นได้ตลอดเวลา นี่คือความเจริญที่ฝึกฝนปฏิบัติไปตลอดเวลา เราจะเจริญได้อย่างนั้น
_สมณะหนักแน่น …ถามต่อ ..อยากให้พ่อครูอธิบายคำว่า สุรา มีต้น กลาง ปลาย ปลายคืออัตตา
พ่อครูว่า…แล้วมาบอกว่าตัวปลายอยู่ที่คำว่า อัตตามันจะไปตั้งต้นตัวไหน
เริ่มตั้งแต่ อบาย กาม และ อัตตา สามหลัก
อบายคือข้างนอกองค์ประกอบทุกอย่างในโลก รวมแล้วหยาบร้ายต่ำที่สุด เราก็รู้สภาวะอันนั้น พฤติกรรมเข้าไปร่วม ไปหลงเสพหลงได้หลงมีหลงเป็นเราก็เลิกเสีย คำว่าอบายนี้ สำหรับโลกเขาก็ถือว่าอะไรต่ำสุดก็มี แต่สำหรับตัวเราเองก็เอาตัวเราเองเป็นตัวหลัก ยกตัวอย่างง่ายๆ ตื้นๆ อาตมาไม่เคยรวยร้อยล้านในชีวิต ขณะมีชีวิตอยู่ทางโลกก่อนบวชก็มีเงินไม่ถึง 10 ล้าน สองล้านก็หมุนไปมา เป็นสมบัติวัตถุด้วย จะเป็นเงินสดอยู่ในตัวไม่มีนิสัยที่จะเก็บเงินสด มาตั้งแต่เป็นฆราวาสมีแต่กระดาษหมุนเงินเก่ง จนได้รับคำชมจากธนาคาร เขาจะจีบให้เราเป็นหนี้เขาอีก ก็เป็นคนไม่สะสมกักตุนไว้ นี่มันเป็นบารมีนะ แล้วก็ไม่เดือดร้อน หนี้ก็หนี้หมุน แล้วหมุนไม่ขาดตอนไม่เสียหาย ถึงเวลาก็ชำระตามระบบทุนนิยม ก็อยู่กับสังคมเราได้อย่างดี เมื่อมาอยู่ที่นี่แล้วเมื่อมาทำงานศาสนาแล้วก็มีต้นทุน เราก็รู้ว่าบารมีของเรา หาเองยังไม่ได้มากเท่าไหร่ คนเอามาบริจาคมาให้เราทำงานได้มากกว่า มีจำนวนหลายล้านมากขึ้น ก็ดีก็ได้ทำ แต่ก็อย่างนั้นเอง มันก็ได้ตามบารมีตามขนาด ซึ่งมันมีความซับซ้อน จะไปเอาตัดสินทีเดียวว่าเรามีบารมีมากเพราะมีคนหมุนเงินมาให้มาก แต่เราก็ทำไม่ทัน กลายเป็นการกักตุนให้เกิดการติดขัด รันช็อตของสังคมก็เป็นบาป จะเทียบไม่ได้ก็เทียบกับคนอื่นที่มีมากกว่าเรา เราก็ชนะ แต่ไปเทียบกับคนอื่นที่ไม่รวย อาตมาระดับ 10 ล้านก็เยอะเราไม่กักตุนก็ไม่บาปกว่าคนที่กัก 100 ล้าน ยิ่งเราไม่กักมาก 10 ล้านเราก็ไม่กัก เราก็ไม่บาปเท่าคนกัก 10 ล้าน การสะพัดเงิน อาตมาก็พยายามอธิบายว่า สาธารณโภคีนี้สุดยอดจริงๆเลยในเรื่องของเศรษฐศาสตร์ ที่รวมคนทำงานฟรีให้ส่วนกลางแล้วกักตุนไม่มาก
-
ไม่เป็นหนี้ 2. มีเงินสะพัดหมุนแล้ว เราก็ได้ประมาณนั้น ทีนี้ไปเกี่ยวกับประโยชน์ที่เราสร้างกระแสสังคมได้มาก แทนที่จะเป็นประโยชน์เอามาให้แก่ตน ถ้าหากเป็นผลประโยชน์มาให้แก่ตนคนนั้น ซวย บาป แต่หากทำประโยชน์ให้แก่คนอื่นได้มากกว่านั้นก็มีคุณค่าประโยชน์อยู่ในสังคมเป็นคนมีคุณค่าประโยชน์
ลักษณะเงินที่กักตุนเอาไว้ก็ดี เงินที่ออกไปหมุนก็ดี ผู้ใดทำให้เหลือเงินคงคลังกักตุนของเราน้อยที่สุด ไม่ให้เป็นหนี้ แล้วทำได้คล่องสะพัดได้มากเท่าไหร่ได้ก็คือสุดยอดนักเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ สรุปง่ายๆอย่างนี้
คุณจะต้องเก่งมีบารมีเชี่ยวชาญในการจัดสรรกับผู้คนที่เกี่ยวข้องแล้วคุณก็จัดสรรไป ถ้าเกิดว่าเราไม่เอาของเขา เราได้แต่เป็นผู้ให้ มันจะง่าย แต่ถ้าเราจะเอาของเขานี้ มันจะยาก
เพราะฉะนั้นผู้ที่มีความเข้าใจมีความรู้อย่างที่อาตมาพูด แล้วเข้าใจอย่างที่อาตมาพูดถูกต้องแล้วประพฤติ จริงตามนี้ คนจะไม่มีความเดือดร้อนมันจะมีความสะพัดแก่กันไปหมดเลย มหาตมะคานธีบอกว่าทรัพยากรในโลกนี้มีมากพอที่จะแจกจ่ายแก่คนทุกคนในโลก แต่มันไม่เพียงพอสำหรับเศรษฐีขี้ตะกละเพียงคนเดียวเลย เพราะคนไม่งอมืองอเท้าผลิตได้เอง แต่หากผลาญใช้มากเกินก็ไม่ทัน
เราประพฤติปฏิบัติอย่างเป็นจริง อาตมาจึงได้ภาคภูมิใจเป็นสุขใจ อบอุ่นใจกับพวกเราที่มาอยู่เป็นนักเศรษฐศาสตร์บุญนิยม ที่สามารถที่จะเป็นสาธารณโภคีแล้วก็รวมกันขยันหมั่นเพียรสร้างสรร เอามารวมกันแล้วสะพัดออกไปขนาดนี้ รักษาสถานะได้จริงๆว่า
-
ไม่เป็นหนี้
-
พึ่งพาตนเองรอดหมุนเวียนสร้างสรร
-
มีเหลือพอ
-
แจกจ่ายได้โดยไม่ขาดตอน มีเหลือพอที่จะแจกจ่ายได้จนตนเองไม่สะดุด