620428_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ธรรมาวุธ 3 คือ ความจริง ความสงบ ความถูกต้อง
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1ArrKvZAUwzwgcq6zQ7IkWNKoYXXN4Qr3CD__n06JmLA/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=1P-fcZ19eE7xmVfd4tYjjExQy8FyYiP17
สมณะฟ้าไทว่า…วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ชีวิตคนต้องมีเป้าหมายชีวิต ไม่อย่างนั้นก็อยู่ไปวันๆโดยไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเลย ในชาดกเป็นผู้ชายแล้วต่อมาต้องเป็นผู้หญิง อันนี้หาได้แต่จะหาผู้หญิงที่ต่อไปจะได้เป็นผู้ชายหาไม่ได้ (พ่อครูว่า…เป็นผู้หญิงแล้วจะบำเพ็ญบารมีจนกลายเป็นผู้ชายนั้นทำได้ยากกว่าเป็นผู้หญิงแล้วบำเพ็ญบารมีเป็นพระอรหันต์) ผู้ชายต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีให้เป็นผู้ชายไปได้ (พ่อครูว่า…ผู้เป็นกระเทยนี้ก็บอกให้ทราบว่า เข็ดให้ได้ เพราะว่ากระเทยนี้ใช้เวลานานมากกว่าจะได้ปรับปรุงตัวเองมาเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เอกธรรม ได้ กว่าจะเป็นได้ เพราะว่ามันเป็นภาวะที่ซับซ้อน ที่กินลึก จิตวิญญาณที่หลงงมงายในเรื่อง รส เรื่องเพศเรื่องโลกียรส มันหนักแน่น แล้วหนักมาก เป็นกระเทยนี่
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าผู้ที่เป็นกระเทยแล้วมาบวช มารู้ในภายหลังก็ให้สึกไป ต้องไปบำเพ็ญบารมีมาก่อนจะบวช ไม่อย่างนั้นมันจะทำให้เละ กระเทยไปอยู่ในวงไหน วงนั้นเละ
สมณะฟ้าไทว่า…ในหนังอินเดียจะรังเกียจกระเทยมาก
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 26 เม.ย. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครู)
_9454ทุกข์เหลือเกินหลวงปู่
พ่อครูว่า…ระบายมาแค่นี้ก็เอานะ แสดงว่าอัดอั้นมาก ก็ค่อยขยับมาระบายบอกกัน หรือว่ามาที่นี่
_เจน ฮู เชอร์ · ศรัทธาพ่อครูมากเจ้าค่ะ ฟังพ่อครูเทศ มาปี 41ค่ะ. แน่ใจว่าพ่อครู สอนให้คนลดละกิเลสได้จริงเจ้าค่ะ ในประเทศไทยนี้ไม่มีใครเทศน์เหมือนพ่อครูเลยสักคนเดียว.ค่ะ . น้อมกราบแทบเท้าเจ้าค่ะ
_ค่อยไท ไมตรีวงศ์ · กราบเคารพพ่อครูครับ
เมื่อวานได้ฟัง รายการ สุขใดที่ใจใฝ่หา โดยมีท่านเดินดินดำเนินรายการ และมีวิทยากร 3 ท่านพูดถึงเรื่องการได้เงินเยอะแล้วทุกข์ ผมว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆครับ ผมก็เคยทำงานได้เงินเดือนละเป็นแสนบางเดือนก็ถึงสามแสนด้วยครับ ตอนนั้นก็รู้สึกดีเพราะไม่เคยเห็นเงินล้านในบัญชี พอมีเงินล้านก็ดีใจดิ้นรนหาบ้านใหญ่รถใหม่ นั้นหละครับ รวยแล้วซวย ที่ท่านถักบุญพูดบ่อยๆกำลังมาเยือนผมละ
ซวยเรื่องแรกคือทำงานหนักมาก ขับรถตรวจงานทั้งวันเพราะทำหลายที่ ผมเคยบอกพ่อครูแล้วนะครับว่าผมรับทำบ่อปลาสวยงาม ทำเดือนหนึ่งอย่างน้อยๆก็สามบ่อ มากสุดเดือนละห้าบ่อ ผมจึงต้องวิ่งตรวจงานหนักมาก ผลจากความอยากได้เงินเยอะ
ซวยเรื่องสองพอเงินเยอะก็อยากได้บ้านใหม่ หาคนมาสร้างบ้านก็โดนผู้รับเหมาโกงไปอีกห้าแสน เพราะความใจดีเชื่อคนง่าย
ผลจากได้เงินมาเยอะ
ซวยเรื่องสามก็พอมีบ้านใหญ่ก็ค่าใช้จ่ายสูงทั้งค่าแต่งบ้านแต่งสวน พอทำบ้านเสร็จปี 53 อยู่มาปี 54น้ำท่วมใหญ่ รถจมน้ำไป 3 คัน รอด 1 คัน ข้าวของในบ้านเสียหายอีกเป็นแสน ผลจากความอยากได้อยากมี
ซวยเรื่องสี่ พอมีเงินพี่สาวก็มักจะมาขอยืมเงิน ยืมเอาไปซ่อมรถบ้าง ยืมเอาไปเรื่องส่วนตัวบ้าง จนวันนี้ก็ยังไม่ได้คืนสักบาท ล่าสุดหลานชายผมมาขอยืมเงินหนึ่งแสนเอาไปทำทุนจะคืนให้เดือนละ 5000 บาท พี่สาวบอกเดี่ยวค้ำให้ ขนาดตัวแม่ยังไม่คืน ตัวลูกยังมาขอยืมอีกแต่ผมก็ให้ไป ผลจากมีเงินและใจดี
สรุปการรวยไม่ทำให้สุขเลยครับ ต้องมาคอยห่วงเงินห่วงสมบัติ ต้องดิ้นรนหามาเยอะๆ ช่วงหลังๆมานี้ผมลดงานลง งานได้บ้างไม่ได้บ้างไม่คิดมากเลยครับ ตั้งแต่มาฟังธรรมจากพ่อครู เอาเวลาไปปลูกต้นใม้เยอะๆ ไปบ้านราชบ้าง ช่วยงานที่นั้นแล้วผมสุขใจมากครับ ครั้งหน้าผมจะมาเล่าเรื่องดีๆที่ไปบ้านราช งานพุทธาฯครั้งที่ผ่านมาให้ฟังอีกครับ ขอบคุณพ่อครูครับ สาธุครับ
พ่อครูว่า…นี่คือบทเรียนที่จะได้ไปเรื่อยๆคุณก็ยังดีนะที่มีรายได้น้อยเงินน้อยแล้วควักเงินออกไปให้มันขาดวิ่นไม่บริบูรณ์คุณยังซวยน้อย แต่คนที่มีเงินมากหนี้ ซวยมาก เพราะเงินมันไม่ขาดวิ่นมันก็เลยคิดว่าเงินมันเที่ยง ไม่ขาดไม่วิ่น ก็เลยเที่ยงอยู่อย่างนั้น คนที่มีเงินทองไม่ขาดไม่วิ่น เขาก็หลงจมอยู่กับกองเงินกองทองนั้น แล้วเขาก็หลงว่าเที่ยง หลงติดความเที่ยง เที่ยงโดยฐานะเที่ยงโดยเห็นว่าเป็นสวรรค์ ซึ่งมันไม่เป็นของจริงเลย
ความสุขความทุกข์นี้ยิ่งใหญ่มาก ผู้ที่จะพ้นไม่มีสุขหมดสุขหมดทุกข์ได้มีศาสนาพุทธศาสนาเดียวในโลก ศาสนาที่เขาทรมานกายไม่ติดความสุข ละสุขๆ ทรมานตนเอง ลัทธิทรมานตนเองเก่งที่สุด เดี๋ยวนี้ยังมีอยู่ในโลกคือลัทธิเชน ศาสนาเชนของพระมหาวีระ ที่ไม่เอาอะไรเลยนิ่งหยุด ข่มจิต ไม่มีกรรมวิธีแบบพระพุทธเจ้า ไม่มีมรรคมีองค์ 8 ไม่มีโพธิปักขิยธรรม 37 ไม่มีไตรสิกขา อย่างสัมมาทิฏฐิอย่างแท้จริง เขาก็จมอยู่อย่างนั้น ไม่เปิดจิตใจรับศาสนาพุทธ ยึดมั่นถือมั่น มันก็จะไปอีกนานไม่ใช่ธรรมดาไม่รู้กี่ล้านชาติ เขาทำได้ขนาดนั้นเขาจะต้องจมแข็งติดอยู่ในสมรรถนะในอีกเป็นล้านชาติ พวกสมถะเก่งๆซ้วยซวย
เพราะฉะนั้น สิ่งที่เอามาบรรยายทุกวันนี้ อาตมาเอามาบรรยายจึงเป็นเรื่องธรรมะพระพุทธเจ้า ที่มันยากจริงๆ 2500 กว่าปี กึ่งของศาสนาพระพุทธเจ้าสมณโคดม อันนี้เป็นบริบทของพระสมณโคดม คือ ศาสนาพระพุทธเจ้ามีอีกแค่ 5000 ปี แล้วเราก็พูดในกรอบบริบทของ 5,000 ส่วนศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์อื่นจะมีบริบทไปถึงแสนปีล้านปีหลายล้านปีก็แล้วแต่ แต่ละองค์ๆ ก็เป็นเรื่องของแต่ละเหตุปัจจัยองค์ประกอบที่เขาจะมีกันเป็นเรื่องอจินไตย ไม่ได้หมายความว่าพระสมณโคดมเป็นพระพุทธเจ้าที่ด้อยกว่าพระพุทธเจ้าองค์ที่มีศาสนานานถึงแสนปี หรือแปดหมื่นปีอย่างนี้เป็นต้น อันนี้แค่ 5000 ปี ไม่ต้องไปรับเลยไม่ต้องพูดถึงเป็นล้านปี แค่ 5000 ปีเรามาพูดถึงให้ถ้วน ไม่ต้องพูดถึง 1 ปีแสนปีหรือหลายหมื่นปี แค่ 5000 ปีนี้พูดกันให้เข้าใจ แล้วทำตัวเองให้บรรลุสูงสุดแล้วคุณจะรู้
คุณได้บรรลุอรหันต์แล้วคุณจะรู้ว่าอะไรมันเป็นอย่างนี้ อรหัตตผล มันเป็นอย่างนี้หรือ ซึ่งอรหัตตผลก็ดี พระพุทธเจ้าตรัสรู้ให้คนเอามาปฏิบัติได้ไม่ใช่เอาไปให้ช้างไปให้ไดโนเสาร์ปฏิบัติได้ไม่มี ไม่มีสัตว์โลก ได้ปฏิบัติได้นอกจากมนุสโสที่เป็นเวไนยสัตว์ เป็นสัตว์ที่สอนได้ทำความเข้าใจได้ ส่วนอเวไนยสัตว์ เป็นอจิณไตยอย่างหนึ่งคือคนที่สอนไม่ได้ สอนอย่างไรก็สอนไม่ได้เพราะโง่ดักดานจริงๆ หรือจะสอนเชื้อโรค ก็โง่ดักดานแน่ สอนไม่ได้
สอนโลกุตรธรรมนั้นสอนได้แค่ในมนุษย์ที่เป็นเวไนยสัตว์ แต่นอกนั้นเขาสอนโลกียธรรมได้บรรลุได้ บรรลุโลกียธรรมไปถึงขั้นเป็นศาสดา แล้วเป็นศาสดาอยู่หลายชาติด้วย วนเวียนอยู่หลายรอบ เป็นเทวนิยม เขาก็จะหลงจมอยู่อย่างนั้นแต่มันไม่เที่ยง
-
มันไม่เที่ยงวนอยู่อย่างนั้นไม่มีวันจบเป็นอนันตัง
-
ไม่มีทางรู้อีกโลกนึง ไม่มีทางรู้หรอกว่าจะทำที่จะเป็นทางไปหาศูนย์ ทางโลกีย์ไม่มีทางไปศูนย์ มีแต่ทางบานเป็นปากกรวย คำว่าปากกรวยไม่มีที่สิ้นสุด มันไปจนกระทั่งเอามาพูดไม่ได้เพราะมันมากจนกระทั่งไม่รู้เพราะฉะนั้นก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปสอนผู้ที่หลงหอบฟางหอบสารพัดอะไรต่ออะไรและไม่ยอมสละและเมื่อไหร่มันจะพูดกันรู้เรื่องก็ยังไม่ทิ้งเพราะฉะนั้นเราจะต้องมาสอนผู้ที่ทิ้งบ้างแล้วได้มากขึ้น เอาแค่นี้ก็เหนื่อยจะตายชักแล้ว คนที่ไม่ทิ้งเลย ไปพูดทำไมก็ไปที่ชอบๆเถอะ เพราะว่าเราไม่มีแรงงานไม่มีเวลา เราไม่สามารถจะไปช่วยเขาได้มันสุดวิสัย
สรุปมาสอนคนที่ยินดี เอาหลักมูลสูตร 10 มาพูดกัน มูลสูตรนี้ยิ่งใหญ่มาก
-
มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .
-
มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) . . . .
-
มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) . . .
-
มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) .
-
มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) . . .
-
มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .
-
มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด แต่ไม่ได้ไปข่มเบ่ง แต่อยู่เหนือโดยสัจจะ ไม่ได้ไปรังแกเบียดเบียน แต่เป็นสัจจะที่อยู่เหนือว่าสูงกว่าเจริญกว่าอย่างแท้จริง
-
มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
-
มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน ถ้าจะเอาแค่นี้ตายแล้วก็ไม่ตั้งจิตต่อ อัตตาก็แตกกระจายไม่มารวมติดอีก แตกเป็นอุตุธาตุส่วนใหญ่ ดินน้ำไฟลม ไม่มีชีวะ เป็นมหาภูตรูปไป มันไม่มีอะไรเป็นตัวของตัวเองได้เลย แล้วก็ไม่มีใครเป็นประธาน มีแต่พลังงานธรรมชาติ ที่เรียกว่าพลังงานฟิสิกส์ ความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า วิทยาศาสตร์ก็ใช้กัน ใช้กันมากซ้อนทำให้คนหลงติดทำลายซ้อนอีก
-
มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 58)
พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ผู้มีจิตนิยามก็สร้างกรรมนิยามสั่งสมเป็นธรรมนิยามให้อาศัย เป็นกุศลธรรม static ส่วนกุศลกรรม dynamic กุศลธรรมเป็นตัวบวกตัวตั้ง ส่วนกุศลกรรมเป็นตัวเดิน กรรมการงาน กุศลธรรมทรงอยู่ทรงไว้ static ส่วนกุศลกรรมคือ dynamic
มีตัวตั้งกับตัววิ่ง สมถะกับวิปัสสนา เป็นธรรมะ 2 ถ้าเรารู้จักหน้าที่รู้จักลีลาของมัน รู้จักความเป็นของมัน อย่างดี คุณก็ใช้มันถูก ใช้มันเป็น แล้วมันจะหลอกคนมากมันกลับไปกลับมากลับมากลับไป ธาตุรู้เฉโกที่ไม่เรียกปัญญา ส่วนมากเขาจะแยกไม่ออก ตีแตกแยกละเอียดไม่ได้ เพราะฉะนั้นแยกไม่ถึงขั้นแยกอุตุ พีชะ จิต สามหลักนี้ก่อนยังแยกไม่ได้ เขาก็ไม่สามารถจัดการกับจิตได้ ผู้ที่สามารถแยกธาตุจิต อันนี้เป็นพีชะ อันนี้เป็นจิต แล้วสังขารเอามาใช้ จนกระทั่งปรุงแต่งมามีความรู้สึก พีชะ มันก็รู้แต่ตัวมันเอง มันไม่รู้อะไรที่ออกนอกกรอบของตัวมันเองได้มันไม่รู้อะไรมากกว่านั้นมันรู้แต่ตัวมันเอง
ส่วนจิตนี้รู้นอกกรอบได้เป็น 4 5 6 อีกเส้าหนึ่ง กับตัวประธาน มีอิตถีภาวะปุริสภาวะ ก็สามารถดูแลควบคุมได้ เพราะจิตนี้สามารถมีความรู้เกินกว่านั้นออกไปรู้จักกรรมกริยาอะไรต่างๆนานาแยกแยะกรรมได้ กรรมนี้เป็นกรรมดีกรรมนี้เป็นกรรมชั่ว ก็สามารถจัดการกับกำได้ทำให้ทำจะดีไม่ทำชั่ว
สูงกว่านั้นเป็นกรรมที่เป็นโลกุตระ ทำให้หลุดพ้นทำให้ลดกิเลสที่จะวนอยู่ในวัฏฏะ วนในความเป็นโลกในความเป็นตัวตน สามารถรู้จักเหตุปัจจัยที่จะทำให้เป็นตัวตนที่จะทำให้เป็นโลก แล้วเราก็ไม่ใส่เหตุนั้น ถอนเหตุน้้นก็จะเหลืออัตตาเล็กลง โลกเล็กลง เหลือน้อยที่สุดแล้วเราก็ควบคุมได้ ที่สุดเราก็จะควบคุมได้แล้วสามารถที่จะเข้าใจ ว่าโลกที่เราเลิก โลกที่เราดับได้ ดับเหตุตรงไหน อัตตาที่เราดับได้ดับตรงไหน
เราก็รู้มาเรื่อยๆตั้งแต่หยาบ เหตุของโลก เหตุของอัตตาเป็นอย่างนี้ตั้งแต่หยาบ จนเล็กลง จนเหลือแค่ 3 รวมตัวเป็นอัตตาก็สร้างปัญญาเป็นโลกุตระเป็น 4 5 6 ก็รู้มากขึ้นเรื่อยๆจนสามารถเข้าไปรู้ทำลาย 3 ตัวนี้ได้
เริ่มต้นปัญญาที่มีขั้น 7 ก็จะสามารถก็รู้ทั้งรายละเอียดที่เป็นบัญญัติและสภาวะ ทั้งชื่อมันและตัวมันรู้แยกแยะได้ก็ไม่สับสน สามารถทำลายได้อย่างถูกต้องตัวจริงไม่สับสน
ความสับสนที่รู้ไม่ชัดเจนตั้งความละเอียดของพยัญชนะกับสภาวะ 2 อันนี้แหละสลับกันไปสลับมาอยู่ทุกอย่าง
อาตมายังแค่ชั้น 7 ยังไม่เก่ง แสดงธรรมตอนแรกๆพยัญชนะก็ไม่เก่ง ก็เพิ่งเริ่มแสดงธรรมเขียนหนังสือออกไป เขียนตามภูมิเดิม ผู้รู้ท่านรู้พยัญชนะเยอะ เช่นท่านประยุทธ์ สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ในปัจจุบัน ท่านก็ท้วงมาให้
ท้วงตอนแรกอาตมาก็ไปตามประสาก็ต้องพยายามศึกษาพยัญชนะมากขึ้นก็พอรู้ อาตมาไม่มีปัญหาหรอกอาตมาด้อยในพยัญชนะ แต่อาตมามั่นใจในสภาวะ ผู้รู้พยัญชนะแต่สภาวะไม่แม่นยำเท่าอาตมา อาตมาก็ยืนยันสภาวะนี้ไป คนที่จริงในสภาวะแล้วจะไม่ยึดมั่นถือมั่นในพยัญชนะ ส่วนคนที่ยึดมั่นถือมั่นในพยัญชนะจะ หยุดอยู่แค่นี้เข้าใจสภาวะไม่ได้ คนอื่นพูดสภาวะมากกว่านั้นคุณก็ยึดถือแต่พยัญชนะ จึงหลงว่าพยัญชนะเป็นสภาวะแต่คุณไม่มีสภาวะนั้น เขาก็เลยต้องเถียง อาตมาก็รู้แล้วว่าผิด ยาขวดนี้เอาชื่ออื่นมาแปะ อาตมาก็รู้ว่าเขาผิด แล้วเขาก็เถียงเพราะเขาไม่รู้ อาตมาจึงไม่เถียงกับคนไม่รู้
เถียงกับคนเมาหรือคนบ้า คนนั้นอาการหนักกว่าคนเมาคนบ้าอีก
คนไม่รู้ว่าเขาโง่ก็จะไปเถียงกับคนโง่ ส่วนคนที่รู้แล้วก็ไม่โง่แล้วก็ไม่เถียงกับคนโง่
มูลสูตร มูลคือเค้าคือต้น
-
มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .
-
มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) . . . .
-
มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) . . .
-
มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) .
-
มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) . . .
-
มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .
-
มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด แต่ไม่ได้ไปข่มเบ่ง แต่อยู่เหนือโดยสัจจะ ไม่ได้ไปรังแกเบียดเบียน แต่เป็นสัจจะที่อยู่เหนือว่าสูงกว่าเจริญกว่าอย่างแท้จริง
-
มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
-
มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน ถ้าจะเอาแค่นี้ตายแล้วก็ไม่ตั้งจิตต่อ อัตตาก็แตกกระจายไม่มารวมติดอีก แตกเป็นอุตุธาตุส่วนใหญ่ ดินน้ำไฟลม ไม่มีชีวะ เป็นมหาภูตรูปไป มันไม่มีอะไรเป็นตัวของตัวเองได้เลย แล้วก็ไม่มีใครเป็นประธาน มีแต่พลังงานธรรมชาติ ที่เรียกว่าพลังงานฟิสิกส์ ความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า วิทยาศาสตร์ก็ใช้กัน ใช้กันมากซ้อนทำให้คนหลงติดทำลายซ้อนอีก
-
มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 58)
พ่อครูว่า..สติ ปัญญา สมาธิ สามเส้า ที่ทำได้สมาธิ จิตหรืออธิจิตเป็นสมาธิได้อย่างไร ก็ทำมาจาก มนสิการ ผัสสะ เวทนา สามเส้านี้ จากการทำใจในใจ ก็คือเวทนา แล้วก็ทำให้มันเหลือ 1 หรือเป็น 0 ทำให้กิเลสหมดเหลือเป็น 1 หรือกิเลส 0 แต่ยังมีอยู่ก็มี 1
0 คือมันไม่มีแต่เรารักษาความมีอยู่ก็คือ 1 แต่ 1 เรารู้ทำ 2 3 4 5 …ต่อไปได้แล้วทำได้อย่างรู้แล้วจัดการได้ อย่าไปทำแบบไม่รู้การจัดการ รู้มากไป มากเท่าไหร่มันยิ่งมาเล่นงานให้เราหลงผิดหลงซับซ้อน
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าทุกอย่างต้องทำเป็นลำดับๆ อย่าตะกละ เรียนรู้ ทำ 2 เมื่อมันมี 3 แล้วทำ 3 ให้เป็น 2 เป็น 1 เป็น 0 ให้ได้ แล้วทำ 4 ได้ ทำ 5 ทำ 6 ก็เป็นสองเส้า ทำอีกเป็น 7 8 9 เป็นสามเส้าทำอีกก็เป็น 0 คุณจะ 0 ก็จบ อรหันต์คือจบรอบ ถ้าไม่จบรอบก็เป็น 11 12 13 ขยายซ้อนไปตามลำดับ อย่าตะกละ
คุณก็จะรู้ทุกอย่าง ซ้อนๆๆ จนถึงอนันตัง พระพุทธเจ้าถือว่าเป็นผู้ที่รู้มากนับไม่ถ้วนเป็นการสอดประสานไม่รู้กี่ซับซ้อน เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถรู้ถึงขั้นที่ เป็นสมาธิแล้ว อันที่ 6 7 8 มีสติ ปัญญา และวิมุติ เป็นสามเส้าหลัก พอได้มาถึงสมาธิแล้วคุณก็มีสูตรที่ทำสมาธิอื่นต่อไป สติ ปัญญ วิมุติ ก็ทำซ้อนจนกลายเป็นอมตะ จนกำหนดกาละเวลาได้
อย่างอาตมากำหนดเวลาตายเกิดของตนเองยังไม่ได้ บารมีของอาตมา อาตมาพูดความจริงอาตมารู้แต่พยายาม แต่รู้ว่าพลังงานของเรามีน้อยลง จนรู้ว่าอายุ 72 จะสิ้นอายุขัย อาตมารู้ก่อนแล้ว อาตมาก็นึกถึงพระพุทธเจ้า ท่านได้สร้างอิทธิบาท 4 สร้างโพชฌงค์หลักคือ สติ ปัญญา วิมุติ ให้แข็งแรงจนกระทั่งต่อการเกิด ขยายอายุขัย อาตมาก็มาสร้าง ก่อนอายุ 72 แล้วสร้างได้ให้เกิน 72 ปี ตอนนี้เกินมาได้สามเส้า เลย 12 มารอบหนึ่งเป็น 84 แล้วอาตมาก็มีความรู้เพิ่มเติมที่จะพยายามพิสูจน์ความรู้ของพระพุทธเจ้าต่อไปอีก ซึ่งจะพูดต่อไปอีกไม่ได้เพราะอาตมายังไม่เก่ง ว่าอาตมาจะทำอย่างไร แต่จะทำ จะทำอย่างไรจะเพิ่มจาก 84 ไป รู้นามธรรมแล้วแต่ยังไม่ชัดตัวเองที่จะมีชื่อ มันเป็นเพียงแค่ ปฏิฆสัมผัสโส ยังไม่ถึง อธิวจนสัมผัสโส
เป็นสภาวะที่เป็นปฏิ กับ ฆ คำว่าปฏินี้มีสองชิ้นแล้วทำงานรวมกันเป็นอีกชิ้นหนึ่งคือ ฆ
ปฏิฆะ ใช้พยัญชนะสื่อสภาวะ เพราะฉะนั้น ถ้าปฏิฆะ สามเส้าไม่สัมผัสกับอะไรก็จะรู้แต่ตัวเอง แต่ถ้าสัมผัสกับคนอื่นมันมีอีกอันนึงเกิดขึ้น บางอย่างคนรู้ชื่อมันก็จะมีชื่อเรียก บางอย่างไม่มีชื่อก็เป็นเพียงสภาวะ เรียกพยัญชนะลำลองว่า วจีสังขาร
วจี หรือวจ เป็นสภาวะที่เกิด ปรุงแต่งเป็น สภาวะแค่นั้น ยังไม่มีชื่อถ้ามีชื่อก็เรียกเป็น อธิวจนะ ตั้งโดยภาษาไทยจีนฝรั่งอะไรก็เรียกไป ถ้าไม่มีใครตั้งเลยคุณก็ตั้งเองได้ แต่ตั้งเองคนก็รู้แต่ตัวเองคุณไปสอนคนอื่นต่อไปอีก อาตมาไม่มีเวลาทำอย่างนั้นก็เอาของพระพุทธเจ้ามาอธิบาย เอาภาษาอื่นมาผสมผสานบ้าง
ใช้พยัญชนะสื่อสภาวะให้คนอื่นรู้ตาม พวกคุณรู้ตามจนกระทั่งมาสร้างสมาธิสร้างวิมุติ สร้างแก่น สร้างสาระ จนกระทั่งเมื่อมีสาระมีแก่นมากเข้าเป็นอมตะบุคคล รู้จนกระทั่งรู้การเกิดการตายทำความเกิดความตาย โดยเฉพาะความเกิดความตายของจิตเจตสิกต่างๆ
-
คุณทำให้อกุศลจิตมันตายได้
-
จิตสะอาดเป็นของเราคุณก็เป็นเจ้าแห่งจิตสะอาด ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนเป็นเจ้าของจิตสะอาดของเรา เราเป็นเจ้าของจิตสะอาดของเรา เพราะฉะนั้นเราจะเลิกทำลายถ้าจิตของเรา หรือถ้าเป็นจิตวิญญาณของเรา ทำลายไม่ให้มันเกาะกุมตัวขึ้นมาเป็นจิตนิยาม สลายมันไม่ให้มัน เกิดขึ้นมาก็สลายพลังงานดูด พลังงานยึดเป็นตัวกูของกู ยึดสามเส้านี้แหละ
I S H ประธานคือตัวกูนี่แหละ ถ้าเราไม่เอาแล้วประธาน ทำลายตัวกู ดินน้ำไฟลมก็แตกเลิกเป็นชีวะ ผู้สามารถเลิกอินทรีย์ของชีวะ ชีวิตินทรีย์ ทำให้พลังงานชีวะดับได้ แม้แต่แค่ชีวะขั้นพืชเราก็สลายได้ จิตเป็นตัวตนมากกว่าพืชต้องสลายได้ก่อน เราสลายจิตได้ก็มาสลายพลังงานพืช เมื่อสลายได้ก็ธาตุต่างๆก็แตกเป็นอุตุธาตุ
ผู้ที่ไม่ศึกษารายละเอียดของจิตจึงได้แต่สะกดจิตยึดถือเป็นพีชะ เขากดข่มไป ยึดเป็นพืชที่ยึดแก่นแข็งของตนเอง ยึดตนเองไม่ให้แตะ เพราะฉะนั้นยากมากเลยที่จะไปสอนมนุษย์ให้เขาเลือกตัวตนแล้วบอกปล่อยวางเถอะ เขาก็ทำไม่เป็นก็ยึดอยู่ ผู้ใดที่ทำเป็นแล้วรู้ว่าบางอย่างนี้หรือ
เช่นเราบอกหลวงพ่อถนอมคูณ ท่านยังสับสน ท่านวางจิตไม่ค่อยเก่ง ถ้าจะว่าไปแล้วท่านอยู่ในระดับอรหัตตมรรค ก็บอกว่าท่านปล่อยไม่ยึด เจ้าตัวต้องทำเอง แต่ท่านทำได้ พอบอกปล่อยวางท่านก็ทำได้แล้วก็ตาย
อาตมาพูดถึงบุคคล ท่านถนอมคูณ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เดียวกันจะรู้เลยว่าทำได้จริง ตายสงบไม่ดิ้น วาง อ๋อ อย่างนี้เอง มันเป็นนามธรรมที่เราเอาหลักฐานตัวจริง สิ่งเหล่านั้นที่เป็นผู้ที่มีเหตุการณ์ร่วม ผู้ที่เราได้ศึกษา ก็จะเป็นเรื่องจริงที่มีสิ่งที่สัมผัสจริงคบคุ้นจริง มีร่วมกันอยู่จริง จึงได้ศึกษาขึ้น ถึงได้เรียนรู้ความจริง
คนที่ไม่ได้มีบทบาทมีอะไรเลยมาเกี่ยวข้อง ไปนั่งหลับตาสะกดจิตน่าสงสารจริงๆ งมงายอยู่อย่างนั้น ไม่รู้เมื่อไหร่ผู้ที่อาตมาพูดถึงจะตื่น ชาคริยะ จะตื่นเสียที ๆๆ แดดออกแล้วฟ้าก็งามดุจเปลวทอง
แล้วเขาก็มีอุปาทานสร้างความมืดให้เป็นแสงสว่าง ปั้นสร้างจิตให้มีนิรมาณกายคือองค์ประชุมของธาตุ 2 กาย โดยมันไม่มีตัวจริงนิรมาณเอา แต่ก็เนรมิตขึ้นมาเองสร้างความไม่มีจนมีได้ แล้วก็หลงสิ่งที่ไม่มีเป็นของมี เรียกว่านิรมาณกาย คนที่โง่อย่างนี้มีเพื่อนก็เลยสร้างเรื่องอย่างนี้ร่วมกัน แต่ของใครของมัน แต่มันเหมือนกัน เหมือนอาตมาเล่นไสยศาสตร์ เจรจาพาทีกัน บอกว่าใช้ภาษา กูโบ๊ส ก็พูดไปเรื่อย แต่เขารู้กันที่จริงรู้จากกิริยา ไม่ได้รู้ด้วยภาษาแต่สมมุติภาษามา ต่างคนต่างไม่รู้แต่อาศัยเหมือนรู้ไปด้วยกัน นี่คือความหลอกซ้อนในตัวเยอะมาก อาตมาผ่านสิ่งเหล่านี้มา ทำมาทั้งนั้นเลอะเทอะ เพื่อนฝูงกันก็
อาตมามีบารมีเท่านี้คนถึงไม่เชื่อไม่มีอลังการรับรอง ไม่มีปริญญารับรองไม่มีประกาศนียบัตรอะไรรับรองไม่มีทั้งนั้น นอกจากไม่มีแล้ว งานการที่อาตมาทำ ก็เป็นงานการถ้าทางโลกอาตมาก็ไม่ได้พิสูจน์ตัวเองจนถึงขั้น เอาแค่เรื่องเงินก็ให้เป็นเศรษฐีแสนล้าน เขาก็จะเชื่อแล้วทิ้งมา ถ้าจะเอาศักดินาก็ให้เป็นอย่างน้อยเป็นพลเอก แล้วถึงมา เป็นถึงองคมนตรีก็แล้วแต่ แต่บารมีอาตมาไม่ได้ไปถึงขนาดนั้น พูดอีกทีนึง ไม่ใช่อาตมาบารมีน้อย ไม่ใช่ ไม่เคยเป็นอำมาตย์ ไม่เคยเป็นพระเจ้าแผ่นดินไม่เคยเป็นมหาอำมาตย์ใหญ่ ไม่ใช่ไม่เคยเป็น นี่พูดด้วยความจริงเป็นมาแล้ว แต่ว่าชาตินี้ต้องมาพิสูจน์ความไม่มี ยศศักดิ์ ไม่มีเงินทองไม่มีอำนาจโลกีย์เหล่านั้นเพียวๆ ธรรมะโลกุตระเพียวๆ เอามาแสดงให้คนเขาเชื่อได้นับถือเอาไปปฏิบัติมีผลได้แล้วเขาจะศรัทธาความจริงอันนี้ ไม่ต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นเลย สัจจะของโพธิรักษ์เพียว ผู้ที่มีดวงตาดีเห็นสัจจะที่ไม่ตกแต่งเลยบอกว่านี่ของแท้ คนที่เห็นแต่ของลวง แล้วติดของลวง กว่าจะไปหาความจริงก็ต้องแหวกของลวงอีก คนที่ไม่มีดวงตาเห็นสังข์ทองที่จริง ก็เลยติดอยู่ที่เงาะป่า ทั้งที่เป็นสังข์ทอง คนเห็นทะลุเนื้อเงาะป่าได้คนนั้นแหละมีดวงตาก็ได้มาบ้าง ผู้มีธุลีในดวงตาน้อย คนที่มีก้อนหินในดวงตาก็ไม่เห็น
อาตมาจะพิสูจน์เรื่องนี้ พิสูจน์สัจจะของพระพุทธเจ้าที่อาตมาพยายามอธิบาย มันเป็นเรื่องที่สุดยอดอจินไตยเชื่อยาก คุณธรรมของผู้ที่ไม่ทำร้ายคน เป็นความสงบเป็นคนมีความจริง มีความถูกต้อง มีความจริง มีความสงบ เอาสามเส้านี้ เอาไปใช้เป็นอาวุธ
ความจริงนี้เป็นอาวุธ เอาไปปฏิวัติ เอาไปรัฐประหาร คนไทยรู้แฮะ อาตมาเอาสามอาวุธ ความจริง ความสงบ ความถูกต้อง ไปเปิดเผยความถูกต้องความจริงแล้วสงบจริงๆ ฤทธิ์ข้อความสงบสยบความรุนแรงได้ อยู่ในกลุ่มคนไทย ประชาชนคนไทยเข้าใจ จึงห้อมล้อมแวดล้อมกันไว้ ศัตรูเข้าไม่ถึงทำร้ายมาไม่ได้
เพราะฉะนั้นผู้ที่เขาจะพยายามชนะ เขาบัญชาการ
1 ไปชนะทักษิณ กระเด็นออกไปนอกประเทศแล้ว แต่ก็ยังมีพลังงานสร้างให้เกิดมีสมัครขึ้นมา เราก็เอาสงบเอาความรู้ความจริง ความถูกต้องเข้าไปไล่อีก คนไทยก็ไปร่วมกันไล่เป็นพลังงานประชาชนรวมกัน จนกระทั่งชนะ แน่นอนมีเหตุปัจจัยองค์ประกอบว่าสมัครจะต้องไปทำรายการแล้วผิดกฎหมาย แต่จริงๆนั้นคือ เจตนาใช้อาวุธนี้ แต่มันจุดมุ่งหมายเดียวกัน ให้สมัครออก ต่างคนต่างทำแล้วสำเร็จผล แมวสีอะไรขอให้จับหนูได้ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) คนรู้เป้าหมายแล้วทำสำเร็จ โดยเหตุปัจจัยที่วิเศษ เราใช้ความสงบสยบหรือไล่ความรุนแรงชนะ ความสงบนี้จึงเป็นอาวุธใหญ่ที่หนังจีนก็ดี คุณธรรมของโลก ที่คนเข้าใจมาใช้ตรงกันหมด เป็นสุดยอดวรยุทธ ความสงบ เคล็ดวิชาสุดยอด จะทำได้ในคนมีภูมิธรรมแท้จริง คนไม่เข้าใจก็ฟันเข้าให้ก็จบ อาวุธเรานี้ต้องใช้ในคนมีคุณธรรมระดับหนึ่ง แต่คนที่ไม่มีภูมิก็เข้าใกล้ไม่ได้ เหมือนทศกัณฐ์เข้าใกล้นางสีดาไม่ได้ มันร้อนไปหมด
ที่เราไปปฏิวัติ เราใช้ความสงบปฏิวัติได้สำเร็จ ในโลกยังไม่มีใครใช้ สำเร็จถึง 4 รัฐบาล พูดย้ำให้คนเอาไปพิจารณา จะเห็นความจริงในปาฏิหาริย์ของธรรม ประหารรัฐบาลทรราช 4 รัฐบาลได้ มาถึงยิ่งลักษณ์ เป็นทาสทักษิณ ก็มีวิบากมาก
สรุป พวกเราใช้อาวุธ สงบสยบความรุนแรงจนถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นรัฐบาลสุดท้าย สงบเสร็จเรียบร้อยประชาชนปฏิวัติ รัฐประหาร เสร็จแล้วก็นักรบประยุทธ์ มารับช่วง อาตมาบอกว่าประยุทธ์ ไม่ได้ทำปฏิวัติรัฐประหารแต่ประชาชนทำการปฏิวัติรัฐประหาร คนไม่เชื่อแต่ไม่ถึง 100 หรอกเขาจะรู้ว่าอาตมาพูดจริงพาทำเรื่องจริง เพราะเขาไม่อยากยกอาตมา ก็เลยค้านอยู่อย่างนี้ อาตมาเลยเหมือนเป็นคนหน้าด้าน พยายามยกตนให้คนยอมรับ
กก แปลว่าต้น
ย ร ตัว ร.เรือเป็นพลังงานที่พร้อมจะ 0 ถ้า ย กับ ร นี้ยิ่งกว่าพลังงานแม่เหล็กจับติดแค่ระนาบ ล จะหยาบกว่า ร หากจะเอา ย.ยักษ์ตัวเดียวไม่มีพลัง จึงเป็น ย ร ล เป็นพลังงาน
อย คือ 0 ตัว อ คือวงวนวงกลม อยะ ถ้าอยะแล้วไปหา 0 แต่อาตมา ร เป็นพลังงานสัมประสิทธิ์ก้าวหน้า คือชื่อ รัก
เรื่องราวสัจธรรมการเมือง การเมืองไทยเป็นตัวอย่างของโลกของประชาธิปไตยที่สวยงามที่สุด ที่ประชาชนเป็นบทบาท ประชาชนเป็นใหญ่ ประชาชนทำงานสัจธรรมการเมืองมา ประชาชนเริ่มต้นทำมาโดยปฏิวัติ รัฐประหารรัฐบาลมาได้ ถึงจะเรียกว่าประชาธิปไตย เป็นพลังงานอำนาจของประชาชน และเป็นอำนาจที่สงบ เป็นการรบเป็นการประท้วง Neoprotest เป็นการประท้วงแบบใหม่
ไม่มุ่งแพ้ชนะไม่รุนแรงไม่หยาบคาย เพื่อยกระดับการต่อสู้สู่วิถีอาริยชน
มุ่งเอาความจริงเอาความรู้ออกมาตีแผ่
เป้าหมายการชุมนุมไม่มุ่งหาปริมาณเป็นเอก แต่มีปริมาณแสดงออกเป็นประชาธิปไตย
แสดงคุณภาพของความเป็นประชาธิปไตย ที่มีธรรมะ เพื่อแสดงสิทธิร่วมชุมนุม
แสดงความจริงความถูกต้องจนเขาจำนน ชนะด้วยความจริงคุณชั่วจริงทำผิดจริง ทำลายชาติจริง ตะกละขี้โลภจริง ต่างๆนานาทุกมิติ คนก็ฉลาดรู้รับความจริงความถูกต้องด้วยความสงบอันนี้ได้
อีกอย่างอาตมานำพาวิถีชีวิตความเป็นสาธารณโภคีเอาไปประกาศ ออกมาตั้งแต่สนามหลวง สวนลุมฯ ชุมชนดูไป คนก็เข้ามาร่วม พวกจรจัดก็มาอาศัยเราได้ หลายคนก็ได้ขึ้นมาเพราะเขามีบารมีในตัวก็มี มีบันทึกไว้ทั้งภาพและเสียง
เราสร้างสังคมสาธารณโภคีขึ้นมาซ้อนให้เห็นวิถีชีวิตมนุษย์ควรอยู่อย่างสาธารณโภคี เรื่องการรบปฏิวัติ ตามประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นประชาธิปไตย 2 ขา ประชาธิปไตยขาเดียว มันมีแต่ทางวัตถุ รูปธรรม ไม่มีจิตวิญญาณเป็นหลัก แต่ถ้าขาเดียวสร้างแกนจิตวิญญาณเป็นหลัก จะมีประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุข แต่ถ้ามีแกนวัตถุเป็นประมุข ติดตามภาษาสากลว่าเป็นวัตถุนิยมไม่ใช่จิตนิยม ของเราเป็นพวกจิตนิยม เขาพูดถูกว่าเรามีทั้งจิตนิยมและวัตถุนิยม แต่เรามีจิตนิยมเป็นแกนที่จะไม่ติดยึดในวัตถุ
วัตถุไม่เป็นธาตุรู้ได้แต่จิตนิยามมีปัญญาได้ อุตุ พีชะ ไม่มีปัญญา
คนศึกษารู้อุตุ พีช จิตก็พูดกันรู้เรื่องจนถึงกรรมกับธรรมะ
กรรมคือ dynamic ธรรมะคือ static (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สภาวะ 2 นี้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ขยายจากสภาวะสองนี้ออกไปจะเข้าใจโลก และทั้งมหาจักรวาล
ยุทธวิธีชุมนุมของเรา การรบคือประยุทธ หรือยุทธ ยุทธนาการ
รูปแบบการชุมนุม
-
สุภาพ สงบ และเรียบร้อย
-
ไม่มีความรุนแรง
-
เสนอ ความรู้ และ ความจริง
-
ไม่หยาบ ไม่ผิด กล่าวคำแรง เสียงดัง เท่าใดก็ได้