620518 ธรรมะวันวิสาขบูชา โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/10bVEB_IBbt6EsnIUeEa-OUkLbh2vmbDZAd3zqOgp8Gg/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=11dtW0rgJg007vRHHP9fzERpCXn0dtttv
พ่อครูว่า…วันประสูติตรัสรู้ปรินิพพาน ก็มีนัยต่างๆกัน 15 ค่ำเดือน 6 มันคนละปีไม่ใช่ปีเดียวกันก็เป็นเรื่องของ กาละ
ประสูติคือเกิด ตรัสรู้คือรู้ ปรินิพพานก็คือตาย เกิดขึ้นแล้วก็รู้แจ้ง รู้ชัดรู้แจ้งรู้จบครบในวันนั้น แล้วก็ตาย ก็ขอพูดถึงความเกิดความตายก่อนส่วนความรู้มันลึกซึ้งซับซ้อนอีกเยอะ
ความเกิดก็มีความเกิด การเกิดถ้าเกิดร่างกาย คนเกิดอย่างวันแรกของขึ้น 15 ค่ําเดือน 6 เจ้าชายสิทธัตถะประสูติขึ้นมา ก็เป็นวันเกิด ของร่างกาย
และวันปรินิพพานก็เป็นวันตายของพระพุทธเจ้าที่ตายทั้งจิตวิญญาณและร่างกายจิตวิญญาณตายเป็นปรินิพพาน ปรินิพพานเป็นปริโยสาน พลังงานเสร็จก็แตกสลายเป็นอุตุนิยามเป็นดินน้ำไฟลม ไม่จับตัวหมุนเวียนมาเป็น จิตนิยามที่จะต้องตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายอีก ที่เป็นการเกิดการตายที่หมุนเวียนอย่างไม่สลาย ยังไม่บรรลุนิพพาน ก็จะเกิดจะตาย หรือบรรลุนิพพานแล้วเป็นพระโพธิสัตว์จะเวียนเกิดเวียนตายอย่างผู้ที่มีเจตนา เจตนาที่มีวสวัตตี มีอำนาจจิตที่จะทำให้เกิดการตายทางร่างกายอีก จนกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง หรือจะยอมปรินิพพานเป็นปริโยสานโดยที่ไม่บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าก็ตามด้วยตัวเอง
พวกเราฟังธรรมะอาตมาไปเรื่อยๆแล้วมาถึงบัดนี้ก็คงจะพอรู้ได้ในเรื่องเหล่านี้ ในเรื่องการเกิดการตาย
การตายปรินิพพานหรือตายทางร่างกายทางสรีระ มีนัยสำคัญที่ผู้ที่เข้าใจชัดเจนแล้วก็ไม่สงสัย ส่วนผู้ที่ไม่ชัดเจนก็ต้องศึกษาไป
การเกิดของร่างกายที่เป็นชราภุชโยนิ หรือ อัณฑชโยนิ หรือไม่เกิดจากมดลูกหรือไข่ ก็เกิดจากการแต่งตัวเหมือนแบคทีเรีย ก็เป็นการเกิดอีกอย่าง
ส่วนการเกิดที่เราอธิบายกันอย่างละเอียดคือ การเกิดทางจิตวิญญาณหรือโอปปาติกะโยนิ จนสามารถเป็นผู้ที่ทำใจในใจของตนเองได้โยนิโสมนสิการอย่างถ่องแท้ละเอียดพัฒนาจิตใจตัวเองให้เจริญขึ้น จนเป็นโลกุตระ พัฒนามาจนเป็นอรหันต์ จนมีจิตโพธิสัตว์ เป็นอนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์ จนเป็นพระพุทธเจ้า ก็เป็นความรู้ของศาสนาพุทธแท้ๆที่อาตมายืนยัน แล้วอาตมาก็ไม่เห็นใครจะยืนยันโพธิสัตว์ 9 ระดับอย่างที่อาตมาพูด ระดับที่ 10 ถ้าจะพูดกันแบบพราหมณ์ก็เป็น กัลกยาวตาร ส่วนพราหมณ์เขาไม่ชัดก็เลยไม่รู้ว่าปางที่10 สูญหรือไม่สูญ ที่จริงพุทธกับพราหมณ์ก็สลับกันไปสลับกันมา พระเวทอันเดียวกันนี่แหละ ถ้าพราหมณ์บรรลุเป็นสัจจะของพูดก็เป็นเก๊ เป็นสภาวะกับพยัญชนะที่สลับกันไปกันมาตลอด เราไม่สับสนแล้วก็เอาที่เนื้อหาสาระ ไม่ต้องไปเรียกชื่อพราหมณ์หรือเรียกชื่อพุทธเรียกใครถูกหรือใครไม่ถูก เอาเนื้อหาที่เป็นสภาวะ
การตายก็ไม่ยากนักเพราะเป็นการจบอัตภาพ ส่วนการเกิดจะต้องมีกันอยู่แล้วปรุงแต่งซับซ้อน พัฒนาการหรือเสื่อม อันนี้ต้องศึกษา การตั้งอยู่ก็จะต้องมีความรู้ การตั้งอยู่โดยไม่มีความรู้หรือมีความรู้ที่ผิดก็จะเสื่อม ก็จะต้องมีสัมมาทิฏฐิให้ได้
สัมมาทิฏฐิ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้เป็นหลักก็มี 10 อย่าง ถ้าเข้าใจ 10 อย่างนี้ ถูกต้องหมดเลย ปฏิบัติได้ถูกต้องหมดเลย สัมมาทิฏฐิ 10 ข้อสำคัญที่สุดก็คือข้อที่ 10 ต้องคบสัตบุรุษ แน่นอนถ้าหากพบพระพุทธเจ้าเองท่านก็เป็นสัตบุรุษแน่นอน ก็ปฏิบัติตามสัมมาทิฏฐิทั้ง 9 ก็บรรลุอรหันต์ได้แน่นอน แต่ถ้าคบสัตบุรุษผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิสัมมาปฏิบัติที่จริงที่ถูกต้อง แม้พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในยุคใดแต่ผู้ที่มีภูมิรู้ที่มีพยัญชนะถือว่าเป็นสยังอภิญญา หมายความว่ามีความรู้ยิ่ง อภิญญา ส่วน สยะ นี้คือตัวเอง (สก สว สย 3 คำนี้คือตัวเอง )เป็นพลังงานทางจิตวิญญาณของตัวเราเอง ที่เป็นของตนเองมีความรู้อภิญญาของตนเอง ติดตัวเราเอง เกิดมาในชาติใดยุคใดก็แล้วแต่ เกิดมาแล้วแม้จะไม่มีครูบาอาจารย์ไม่มีผู้รู้อื่นแต่มีของตัวเองรู้มาแต่ปางบรรพ์ แล้วก็เอามาเปิดเผยแล้วเอามาให้คนอื่นได้ศึกษาเรียนรู้ตาม ระลึกตามที่เราบรรลุ บรรลุตามที่เราบรรลุ
ซึ่งผู้ที่เป็น สยังอภิญญาจริง เป็นสัตบุรุษที่เป็นของแท้ก็เป็นของแท้ ของแท้เป็นอย่างไรของแท้คือเป็นผู้ที่บรรลุอรหันต์ สยังอภิญญา ต้องเป็นผู้บรรลุอรหันต์ได้เป็นโพธิสัตว์ ต้องเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เป็นต้นไปจึงจะเรียกว่าสยังอภิญญา แต่ระดับต่ำกว่านั้นเช่นระดับ 6 ก็เป็นได้ยัง เจโต แต่ปัญญายังไม่แตกฉานอธิบายให้คนอื่นฟังยังไม่ค่อยได้ ยังไม่ถึงสยังอภิญญา
โดยเฉพาะเดินมาทางสายเจโตก็อธิบายยาก หากสายปัญญาระดับ 5 ก็อธิบายพอได้ระดับ 6 ก็ดีขึ้นระดับ 7 ก็จะไม่ค่อยสับสนแล้ว ไม่ผิดเพี้ยน นอกจากตัวเองจะยังรู้ไม่ครบ สยังอภิญญาก็คือรู้ยังไม่ครบ จะต้องเป็นมหาโพธิสัตว์แล้วก็ไปเป็นพระพุทธเจ้า
Concept ของคนที่เพี้ยนมาแล้วตั้ง 2,500 กว่าปีก็เข้าใจอรหันต์ไม่ถูก ความรู้องค์รวมไปเข้าใจอรหันต์ว่าต้องไปนั่งหลับตา ไปเข้าใจว่าอรหันต์คืออย่างหลวงปู่เกษมสุสานไตรลักษณ์ นั่งหลับตาปี๋ หรืออรหันต์อย่าง ขออภัยที่ต้องกล่าวชื่อ อย่างอาจารย์มั่น เข้าป่าแล้วก็ปฏิบัติหลับตาเจอแต่ไม่เข้าใจไม่ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37 ไม่สามารถแยก ศีล สมาธิปัญญา ได้ชัดเจนเอาแต่นั่งหลับตาอย่างเดียว ศีลจะมาเป็นสมาธิจะมาเป็นปัญญาแล้วเกิดวิมุตติญาณทัสสนะเขาก็ขยายความไม่ออกหรอก อธิบายไม่ได้
สรุปง่ายๆก่อน เพราะเข้าใจอรหันต์ไปหลากหลายอย่าง แต่ไม่ถูกต้องสักอย่าง พอ 2500 กว่าปี อาตมาเอามาประกาศว่าอรหันต์ต้องเป็นอย่างนี้ อย่างอาตมานี้อรหันต์ concept ที่เขาเชื่อต่างๆนานายึดมั่นถือมั่นกัน เลยบอกว่าไม่ใช่อรหันต์เพราะว่าอรหันต์จะต้องเรียบร้อยนิ่งและช้า ไม่มายุ่งกับการเมือง ไม่มายุ่งกับสังคม ไม่มายุ่งกับอะไรต่ออะไร หรือแม้ว่าไปทางตรรกะก็แบ่งรับแบ่งสู้ รู้ตรรกะพูดได้มากหน่อยแต่สภาวะไม่ค่อยลึกซึ้งเขาเข้าถึงสภาวะไม่ได้ก็เลยต้องเชื่อ เพราะฉะนั้นผู้ที่เรียนรู้ทางภาษาเป็นเปรียญ 9 เป็นดอกเตอร์เรียนรู้ทางภาษาบัญญัติพูดได้ แต่เมื่อพูดถึงสภาวะจริงแล้ว ก็ไปถึงสภาวะไม่ได้ ยังไม่สามารถจับสภาวะตั้งแต่
สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส จนถึงขั้นกามราคะ ปฏิฆะก็ไม่ชัด อบายมุข อบายภูมิก็ยังไม่ชัดเลย
ยกตัวอย่างง่ายๆ เสพติดเครื่องเสพติดอย่างมหาบัวกินหมากปากเปรอะสายนั่งหลับตากินหมากกันทั้งนั้น เขาก็ไม่รู้เป็นสิ่งเสพติดทั้งที่มันไม่ได้ยากอะไรเลย แค่นี้เขาก็ยังไม่รู้เลย
เพราะงั้นรายละเอียดของผู้ที่ไม่เสพติดแล้วก็อยู่กับสังคม ช่วยคนที่เสพติดในสังคมให้ออกไปได้ยิ่งกว่าผู้ที่เขาไปหลงว่าเป็นอรหันต์ ก็เราหยุดไม่เสพติดในสิ่งอบายสูงกว่าอรหันต์ที่เขาเข้าใจผิดกันอีก
ความเข้าใจผิดในเรื่องอรหันต์ก็คือคนที่เข้าใจผิดเขากล่าวกัน พระพุทธเจ้าพยากรณ์เอาไว้ว่า คติของคนเหล่านี้เป็นไปได้สองทางคือตายไปแล้วเป็นสัตว์นรกและสัตว์เดรัจฉาน เพราะผู้นั้นกล่าวว่าผู้บรรลุธรรมแล้วบอกใครไม่ได้ บรรลุธรรมแล้วอย่าเอาไปบอกใครถ้าเอาไปบอกใครแล้วมันผิด ผู้ที่มีทิฐิกล่าวเช่นนี้มันน่าสงสาร ทั้งที่เป็นผู้ใหญ่ทางธรรมในศาสนาพุทธกล่าวคำนี้ออกมาชัดเจนก็ยืนยันอย่างนี้จริงๆ อาตมาก็ว่าท่านจะเปลี่ยนทิฏฐิหรือเปล่าก็ไม่รู้แต่น่าจะเปลี่ยนแล้วไม่น่ายึดมั่นถือมั่นในโลหิจสูตรไปอ่านให้ดีๆ
โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่… ฯลฯ ” .
พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 358)
มีหลักฐานอีกเยอะแยะ พระอรหันต์ท่านก็บอกด้วยจิตใจบริสุทธิ์อย่างพระพักกุละ ท่านก็บอกแค่ 7 วันท่านก็บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่มีกามสัญญา มีอีกหลายคนท่านก็บอกด้วยใจบริสุทธิ์ แล้วแต่นิสัยวิสัยของผู้มีวาสนา พวกซื่อตรงก็บอกอย่างโผงผาง ผู้ที่มีมารยาทมากน้อยก็จะบอกไม่โผงผาง
ศาสนาพุทธซวยตรงที่ว่า เมื่อไปเชื่อกันว่าผู้บรรลุธรรมแล้วบอกใครไม่ได้ ใครบอกว่าบรรลุธรรมคนนั้นไม่ได้เป็นคนบรรลุธรรม ก็เลยเกิดพระอริยะพระอรหันต์แบบไหน เกิดพระอริยะแบบเดา ก็เดาเอาเอง พอเกิดเดาก็เกิดแฝงสิ ฉันก็เต๊ะท่าให้คนเข้าใจว่าฉันเป็นอรหันต์ ฉันไม่ได้พูดไม่ได้บอกนะแต่ฉันเต๊ะท่าเป็นอรหันต์ ตามที่เข้าใจว่าท่าทางใดก็แสดงท่าทางให้คนรู้ว่าเป็นอรหันต์ก็เลยเป็นอรหันต์หลอก พออรหันต์จริงมาบอก เขาก็เข้าใจไม่ได้ แล้วไปเข้าใจว่าเป็นอรหันต์ไม่จริงอีก นี่คือความซวยมหาศาล เอาแต่ในวงการศาสนาพุทธในเมืองไทยก็แล้วกัน
อาตมาก็ขอยืนยันว่าอาตมานี่แหละเป็นคนจริง เป็นคนมีความรู้ ยังดีนะมีพระไตรปิฎกที่มีพระสูตรต่างๆ มีอะไรต่ออะไรที่บรรยายเป็นภาษาบัญญัติ อาตมาก็เอามาขยายความให้ฟังได้ ที่เอามาอธิบายเป็นหลักมากที่สุดทุกวันนี้แน่นอน อันต้นคือ ศีลสมาธิปัญญา นอกนั้นก็มีวิชชาจรณะ จรณะ 15 วิชชา 8 ที่ยาวหน่อยแต่ศีลสมาธิปัญญานี้สั้น หรือขยายเป็นโพธิปักขิยธรรมเครื่องชี้บ่งเช่นการมีวรรณะ 9 หรือหลักสำคัญรากเค้าของศาสนา เช่นมูลสูตร 10 เป็นต้นหรืออธิบายเชื่อมโยงเป็นปฏิจจสมุปบาท หรืออวิชชาสูตรต่อเนื่องกันเป็นอาหารที่พัฒนาการขึ้นมา
ถ้ามีอวิชชาแล้วแน่นอนคุณก็มีอวิชชาเป็นอาหารก็จะมีนิวรณ์ 5 มีกาม พยาบาท หรือกาม ปฏิฆะหรือวิหิงสา เป็นกิเลสสามกองใหญ่เกิดอยู่ตลอดเวลาสำหรับคนที่อวิชชา
คนที่ยังไม่เป็นอริยะก็พากเพียรให้มีธาตุของโสดาปัตติผล แล้วก็จะเกิดความก้าวหน้า นอกจากตนเองได้มรรคผลแล้วไม่ปฏิบัติต่อทำแบบลูบคลำเป็น สีลัพพตปรามาส แม้จะสัมมาทิฏฐิแล้วไม่เอาจริงเอาจังปฏิบัติให้เกิดผล คุณก็ไม่มีมรรคผลเจริญไปตามลำดับ ก็แช่อยู่ที่พระโสดาบัน ก็ไม่บรรลุโสดาบันเสียที
ถ้าเป็นโสดาบันจริงจะไม่ใช่ โสดาบันจริงจะต้องมีน้ำหนักถึงขั้นนิยตะ เที่ยงแท้เกินครึ่งเป็นต้นไปคุณธรรมของอารยธรรมเกินครึ่งเป็นต้นไปอย่างนี้เป็นต้น มันแบ่งเป็น 4
เข้ากระแสโสดาบัน อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ มี 4 ขั้น
ถ้าถึงนิยตะเที่ยงแท้ก็สูงขึ้น พ้นนิยตะก็มีอัตราเร่งทำให้ตัวเองบรรลุธรรมได้เร็วขึ้น ไปสู่ที่สูงถ่ายเดียว มันเป็นคุณสมบัติของโสดาบันเป็นคุณสมบัติ 8 อย่าง
คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ
สู่แดนธรรมท้วงว่า สี่อันแรกของโสดาบันไม่ใช่ทุกข์อาริยสัจะ แต่อันนั้นเป็นการดับนรกอบาย อบายมี 4 ดับ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน ก็ปฏิบัติให้เกิดมรรคผลก็เป็นโสดาปัตติผล เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
ติดตามฟังดีๆ ธรรมะของพระพุทธเจ้าลึกซึ้งละเอียดและเป็นจริงได้ ภาษามันมีเนื้อยา พวกเรานี้ได้ยามาใช้อาศัยในชีวิต มียาเป็นพุทธโอสถแล้ว แต่ชื่อยาตัวยาต่างๆนานายังแปะสลากไม่เก่ง ก็ต้องตามชื่อแท้ว่าสลากยาไปแปะให้ตรง แต่แค่โสดาบันก็ไม่ง่าย ยิ่งเป็นสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ก็ยิ่งละเอียดลออถ้าไม่มีมากพอ จะมาสาธยายวนเวียนให้ซับซ้อนลึกซึ้งสูงขึ้นได้อย่างไร
สูงกว่านี้ ผู้รู้มากกว่าอาตมา อาตมาก็ประกาศ ผู้ที่เป็นโพธิสัตว์ระดับสูงกว่าอาตมาจะเกิดอีกไหมอาตมาประกาศว่าตนเองเป็น สยังอภิญญา เป็นโพธิสัตว์ที่รู้เองในชาตินี้โดยไม่มีครูบาอาจารย์ เพราะฉะนั้นครูบาอาจารย์ทั้งหลายหรือลูกศิษย์ร่วมสำนักถ้ามีครูบาอาจารย์จะต้องมีลูกศิษย์ร่วมสำนัก อีกหลายคน ก็บอกมาสิใครเป็นอาจารย์ของอาตมาประกาศมาหรือใครเป็นลูกศิษย์ร่วมสำนัก มีแต่พูดว่าอาตมาไม่มีสำนักไม่น่าเชื่อถือ ก็ใช่สิเพราะว่าเป็น สยังอภิญญาไง มีของตัวเองแต่ชาติก่อนชาตินี้จึงไม่มีต้องไปเป็นลูกศิษย์ใครไม่มีสำนักไม่มีอาจารย์อาตมาพูดถูกต้องแล้วนะสับสนอะไร คนเข้าใจไม่ได้ก็สับสนคนเข้าใจได้ก็จบว่าท่านพูดถูกแล้วเราโง่เอง
แล้วการแสดงตัวเองว่าเป็น สยังอภิญญา มีหลักฐานยืนยันไหม 1. รู้จริง 2.เป็นจริง 3. ให้คนอื่นรู้จริงเป็นจริงตาม ได้มา 3 คน 5 คนร้อยคนพันคนมีไหม อาตมามี
ก็มียืนยัน อยู่ที่นี่นั่งอยู่ก็เป็นหลายร้อยคนจะถึงพันคนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่บ้านยกมือก็ไม่เห็นแล้ว อาตมาก็มั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้
-
พิสูจน์แล้วมันเป็นอย่างไร เอาหลักธรรมมาจับ เช่น หลักธรรมที่ชัดเจนที่อาตมาท้าทายไปทั่วโลก คือหลักธรรม สาธารณโภคี เป็นเศรษฐศาสตร์ที่สูงสุดของพระพุทธเจ้า หมู่กลุ่มชุมชนอย่างนี้ที่รวมกันอยู่อย่างเป็น คอมมูนที่สูงสุด คือ หมู่นี้ เงินกองกลางทุกคนเอารวมเข้ากองกลางหมด ทุกคนไม่คิดค่าแรงไม่เอาเป็นทรัพย์สินของตัวเองเลย เอาเข้ากองกลางหมด คนไม่เชื่อง่ายๆหรอก ทุกวันนี้เราก็เป็นมาแล้ว อาตมาทำมาตั้งแต่หมู่บ้านปฐมอโศกเป็นหมู่บ้านแรก ไม่เชื่อตัวเองนะว่าจะทำได้เป็นสาธารณโภคีได้ ก็พยายามจะยืดหยุ่น แต่สัจจะมันไม่ยอมให้ผิดเพี้ยนออกไป ตั้งแต่ปฐมอโศกในหมู่บ้านแรก มันก็เป็นสาธารณโภคีมาตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นหมู่บ้านอื่นๆจึงเกิดอีก จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ถือว่ากว้างที่สุดพิสดารที่สุดก็ต้องถือว่าหมู่บ้านราชธานีอโศก มีองค์ประกอบที่มากหลายแขนงหลายอย่าง ก็เป็นสาธารณโภคีชัดๆ