620520_รายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 50
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1HMkGK6IRgtDzrJOl0mVvbkuFEkPJKPIhQnDbRdoJZSs/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1vE78WLBhz0ZF6hwahSKHRUHbqVk5OcTR
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม 2562 ที่ บวร ปฐมอโศก เด็กชาวอโศกเป็นเด็กที่สาธารณะไม่จำกัด เหมือนอย่างที่เขาให้ Concept กับเด็กว่าไม่ควรไปที่นั่นที่นี่อย่างไร เด็กของเราที่นี่ไม่ให้กลัวใครให้เป็นมิตรกับทุกคน ใครก็เป็นพี่น้องปู่ย่าตายายกันไปหมดเลยทุกที่เลยเด็กๆชาวอโศกไม่เหมือนกับเด็กข้างนอกเขา เด็กข้างนอกเขาบอกว่าอย่าไปใกล้นะอย่าไปแตะต้อง แต่ที่นี่เราไม่มี จิตใจของเด็กจึงต่างกัน Concept ของเด็กก็ต่างกัน อันนี้เป็นเรื่องลึก จิตวิญญาณเป็นเรื่อง ญาติทางธรรม ญาติธรรม จิตวิญญาณเป็นญาติกันเป็นที่พึ่งพากันเป็นที่สมานกัน จิตใจมันต่อเนื่องกันไปหมดไม่มีการแบ่งแยก
พวกเราเป็นพวกไม่มีทุกข์ไม่มีสุขสูงสุด ตอนนี้ก็เน้นเรื่องนี้ มาหลายปีพยายามเชื่อมต่อไปให้ถึงขั้นนี้ ถ้าจะเอาตั้งแต่ต้นเลยไม่เอาทุกข์ สุข ไม่มีสวรรค์นรกเลยเขาไม่เอา มันอุจเฉททิฏฐิไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก แต่ตอนนี้ได้แล้ว พวกเรารู้จักขั้นตอนแล้ว ผู้ที่ยังต้องใช้สวรรค์นรกอยู่ก็ว่าของเขาไป แต่ของเราเอง ไม่มีสวรรค์นรกได้ รู้แต่ว่าเป็นแดนที่อาศัยเท่านั้นเองอยู่ได้ตามเหตุปัจจัยไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น ถ้าจะต่อภพชาติเราก็ต่อไป ถ้าไม่ต่อก็ไม่มีปัญหา
_ส.กรรมกร…วันนี้เป็นวันเปิดเรียนของเด็กใหม่อยากให้พ่อท่านให้ธรรมะแก่เด็กใหม่
_คู่ฟ้า…ถ้าผมเป็นเด็กผมจะทำอย่างไรในการประสบความสำเร็จในการเป็นนักเรียน
พ่อครูว่า…เป็นปัญหาใหญ่นะ ถ้าเราเป็นเด็กหรือเราเป็นใครก็ตามที่เราจะเดินไปสู่ความสำเร็จ จะเป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่ก็ตาม เราจะทำอย่างไรถึงจะสำเร็จในสิ่งที่เรามุ่งหมาย สำเร็จในความเป็นเด็กของเราก็ต้องโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ที่จะต้องรู้โลกกว้างมากขึ้นรู้หน้าที่มากขึ้น รู้ความดีงามความถูกต้องที่เราควรจะต้องประพฤติเราจะต้องกระทำเพิ่มขึ้นๆอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งชีวิตเราจะต้องก้าวหน้าไปสู่ความกว้าง ความกว้างของสังคมความกว้างขวางของผลผลิต ความกว้างขวางของความสามารถของเราที่เราจะมีความสามารถ สร้างสรรค์ทำงานแล้วความรู้ของเราก็จะต้องเพิ่มขึ้นตาม เพื่อที่จะได้รวมทั้งการผลิตการสร้างสรรค์ ให้มันเกิดการพัฒนาเจริญก้าวหน้าไปได้ด้วยดีเป็นความสุขสงบมีประโยชน์คุณค่า ไม่เกิดการแย่งชิงมีแต่สิ่งที่ไม่บกพร่องมีแต่สิ่งที่ประเสริฐเลิศเลอ
พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้ความรู้ ในความเป็นมนุษย์ที่จะต้องมีกรรมกิริยามีการกระทำที่เราเองเป็นประธานเป็นเจ้าของจิตวิญญาณ ที่จะเป็นตัวบัญชาการเป็นตัวบงการให้เกิดกรรมกิริยาต่างๆออกมา กับรู้เรื่องสังคมมนุษยชาติที่เราจะต้องอยู่ร่วมตั้งแต่ที่ใกล้ชิดจนกระทั่งขยายออกไปกว้างขึ้น ก็รู้ลำดับที่เราจะต้องทำขนาดนั้นขนาดนี้ขนาดไหน ให้มันได้สัดส่วนพอเหมาะพอดี แล้วก็ทำตามที่เราเข้าใจทำให้ได้ ได้มีส่วนสร้างส่วนผลิตนั้นๆ สมบูรณ์ เป็นประโยชน์คุณค่า เต็มๆ
_SMS วันที่ 15 พ.ค. 2562 (สำมะปี๋ ซี๋วิต พ่อครู)
_5711 มีเรื่องขอความกรุณาสอบถามครับ ความแตกต่างระหว่าง การตั้งตนอยู่ในความลำบากกุศลเจริญยิ่ง กลับ การกระทำตนเป็นผู้ไม่ลำบาก ต่างกันยังไงครับแล้วควรทำแบบไหนครับ ขอบพระคุณครับ
พ่อครูว่า…การตั้งตนบนความลำบากคือเราเองไม่ไปติดสบายไม่ไปติดในความมักง่ายมันจะต้องมีอุปสรรคในสิ่งที่ให้เราต้องพากเพียรอุตสาหะขวนขวายอดทน แล้วเราก็รู้ว่าอดทนทำไปแล้วมันจะเกิดผลดีเราจึงเอา ถ้ามันจะเกิดผลไม่ดีไม่ต้องไปเสียเวลาอดทนเสียแรงงานเลย ตีทิ้งไปได้ แต่ถ้ามันจะเกิดผลดีเราก็อดทนขวนขวายอุตสาหะ มันต่างกันที่การทนได้ด้วยความลำบากกับทนได้ด้วยความไม่ยากไม่ลำบาก
ผู้ที่ทำตนตามสบายไม่ลำบาก พระพุทธเจ้าตรัสต่อไปว่าอกุศลธรรมเจริญยิ่ง การตั้งตนบนความสบายบนความไม่ลำบาก อกุศลธรรมเจริญยิ่ง อันนี้เป็นสัจจะที่คนจำนวนมากที่คนไม่เข้าใจแล้วบำเรอกิเลสตัวเอง อกุศลกรรมก็เจริญ
มีเงื่อนไขว่าที่เราจะต้องอดทนนั้นผลที่มันจะเกิดขึ้นจะมีผลดีหรือไม่ดีต้องมีปฏิภาณรู้ ถ้าผลมันจะออกมาดีก็ทำ ถ้าผลมันไม่ดีก็อย่าไปทำจะไปอดทนเสียเวลาไปลำบากลำบนทำไมเสียเวลาแรงงานแคลอรี่ จะต้องมีปฏิภาณความรู้อันนี้ด้วยถ้ามันดีเราก็ต้องอดทนทำ มันต่างกัน อันหนึ่งมันลำบากอันหนึ่งมันไม่ลำบาก อันนึงมันสบายๆ อันนึงไม่สบายแล้วได้ผลดีกับคนไม่ดี
พระพุทธเจ้าตรัสว่าการอดทนตั้งตนบนความลำบากกุศลธรรมเจริญยิ่ง ถ้าไม่อดทนไม่ตั้งตนบนความลำบากปล่อยปละละเลยอกุศลธรรมก็เจริญ
_0499อโศกสอนดิฉันให้รู้จักอภัยและปล่อยวาง จนว่างเบาเจ้าค่ะ(ศีล ๘ รุ่น ๑ ถึง ๙ สันติอโศก)
พ่อครูว่า…ดีได้ผลขึ้นมาอย่างนี้
_สรรพศิริ · ชาวพุทธที่มุ่งจุดหมายปรินิพพาน ต้องเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ทุกคำสอนไหมครับ ถ้าไม่ต้องควรปฎิบัติแบบไหนถึงจะไปถึงจุดหมายครับ
พ่อครูว่า…คุณจะไปทำที่เดียวทุกคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าบอกว่าต้องทำคุณก็ทำไม่ได้หรอกทันทีหมดทุกคำสอนของพระพุทธเจ้าทำได้อย่างไรทีเดียว ต้องทำไปตามลำดับ จับทีละคู่ด้วยซ้ำ
ศีลข้อ 1 แล้วก็ทำไป หรืออย่างเก่งจะศีล 3 ข้อ ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของเกี่ยวกับพืช พืชนั้นไม่เหมือนกัน ยังไม่มีกรรมวิบาก สัตว์มันมีกรรมวิบากแล้ว
3 ระมัดระวังตาหูจมูกลิ้นกาย กามคุณ 5 ซึ่งมันจะเกิดปฏิกิริยาความชอบความชังในจิตใจอันนี้เป็นความสำคัญความดูดความรักความชอบความชังในจิต ต้องเรียนรู้อย่าให้มันเกิดอาการนี้ในจิต ถ้ามันเกิดอย่างหยาบอยู่ก็ต้องลดมันจนไม่มี ไม่มีความผลักความดูดอย่างนี้เป็น ฟังให้ดีแล้วทำตามด้วยความเข้าใจจะได้เสมอๆแล้วจะค่อยๆเข้าใจ ทำไปตามลำดับจะได้นิพพานได้จุดจบสำเร็จไปตามทีละขั้นทีละลำดับ ไม่ใช่มีลำดับเดี่ยวชั้นเดียวอันเดียว
_สีเหลือง ตามที่พ่อครูเคยสอนว่าเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้ว อัตภาพของพระองค์ก็จะถูกทำลายกลายเป็นอุตุธาตุ หรือจะมีเศษเล็กเศษน้อยเป็นพีชธาตุอยู่บ้าง ก็ไม่ฟื้นมาเป็นจิตธาตุแล้ว สงสัยว่าพีชธาตุที่เหลือจากการถวายพระเพลิงพระสรีระของพระองค์ไปแล้วนั้นคือะไร
พ่อครูว่า…ปรินิพพานเป็นปริโยสานหมายความว่าต้องเป็นพระอรหันต์เป็นต้นไปถึงจะทำได้ รู้กิเลสในตนจนถึงอาสวะแล้วก็ทำให้สิ้นอาสวะได้ ถึงจะเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสานคือการตายอย่างแยกธาตุของตัวเองไปเป็นอุตุ ไปเป็นดินน้ำไฟลม ธาตุที่มันรวมตัวเป็นจิตนิยามไม่เหลือแล้วแตกธาตุนี้ออกไปเป็นวัตถุ แม้แต่พีชะก็ไม่เหลือ หรือเหลือเศษพีชะก็รวมตัวเป็นจิตนิยามเป็นอัตภาพไม่ได้อีกแล้วมันน้อยไปต้องสลายทิ้งไปในอนาคตต่อไป จับตัวเป็นอัตภาพของจิตนิยามไม่ได้อีก
ผู้ที่สามารถรู้ความหมายของ อุตุธาตุ พีชธาตุ จิตธาตุ จนถึงกรรมธาตุ ธรรมธาตุ คุณก็จะต้องรู้อาการของจิตที่มันรวมตัวกันเป็นพลังงาน รู้เข้าใจตั้งแต่พลังงานของอุตุของวัตถุธรรมดา วิทยาศาสตร์ทางฟิสิกส์เขาก็เรียนพลังงานทางวัตถุ ทางชีววิทยาก็จะเรียนรู้พีชะเพิ่มเติมขึ้นมาบ้างเรื่องของสัตว์ ซึ่งยังไม่เจริญขึ้นมาเท่าไหร่ พระพุทธเจ้าจะรู้ละเอียดจนสามารถทำได้จนสามารถจัดการเรื่องของจิตนิยาม ทำให้มันเกิดอย่างนี้ซึ่งจะได้อย่างนี้จนสามารถปรินิพพานได้ ขออธิบายอย่างรวบรัดไว้เช่นนี้
การดูพลังงานของธาตุต่างๆตั้งแต่อุตุธาตุ พืชหรือพีชธาตุ จนเป็นจิตธาตุ เป็นสัตว์ สามารถที่จะจัดการจิตให้เกิดกรรมกิริยาอย่างไรๆ เป็นผู้กำหนดกรรม ให้ทำกรรมที่เรียกว่ากรรมดีกรรมชั่วกุศลอกุศล โลกียะ จนถึงโลกุตระ
พยัญชนะที่อาตมากล่าวไปเป็นตัวจริงเป็นของจริงเป็นสิ่งที่เกิดจริงเป็นจริงได้ ไม่ใช่ว่าพูดไปแล้วมีแต่ภาษา แต่มันมีความจริงเป็นจริง อาตมาที่พูดออกมาพูดมาจากของจริงที่ตัวเองมีตัวเองเป็นตัวเองผ่านมาแล้วได้มาแล้วทำให้เกิดให้ดับมาได้จนกระทั่งอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็พูดเปิดเผยความจริงนี้ไปคนที่อาจจะหมั่นไส้ว่าอวดตัวตน ก็เห็นใจ ที่จริงแล้วพูดความจริงให้ฟัง มัวแต่ปิดบังอำพรางอยู่เลี้ยวลดมันเสียเวลา เวลาก็มีไม่มากนักอาตมาจึงตัดทิ้งพวกนี้เอาความตรงเข้าว่าเลย ทำให้ได้ผลสูงสุดดีที่สุดจะได้เร็วที่สุดมากที่สุด
_ใบฟ้า อัง.14 /5 / 62
กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าฯ กราบขอพิจารณาตามสมควรค่ะ
“ พฤษภา…มหาปิติ” ด้วยเรื่องราวที่เป็น “มงคล”ยิ่งดังนี้
-
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก2562 เสร็จสิ้น ลงอย่างทรงคุณค่าและสง่างามในระดับ “โลก” สืบสานรักษาและต่อยอด สถาบันพระมหากษัตริย์ให้ยืนยงสถาพรตลอดไป เป็น “ศูนย์รวมใจ”และความ “ภาคภูมิใจ” ของ “คนไทย” ทุกคน
ชาวบวรราชธานีอโศกได้มีโอกาสที่น่าปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับใช้งานของพระองค์ท่าน ในฐานะ “โรงครัวพระราชทาน” ณ ทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
พ่อครูว่า…ขอวิจารณ์เรื่องนี้สำหรับพวก Progressive หน่อย การที่เมืองไทยเรามีราชพิธีฉลองใหญ่โตขนาดนี้ ก็คือเป็นการถ่วงดุลสังคมที่กำลังเห่อสมัยใหม่ เหมือนพวกอนาคตใหม่เหมือนพวกที่บ้าๆบอๆใหม่ๆพวกนี้ เลยต้องถ่วงดุลเอาไว้ เพราะว่าไอ้ใหม่ๆนี้มันมักง่าย มันเป็นอัตตาความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว เป็นความเร็วความมักง่ายที่มันไม่มีแกนของความอดทนไม่มีรูปร่างไม่มีสังคม ไม่มีสิ่งที่เป็นพิธีพระราชพิธี มีกฎเกณฑ์มีหลักการ มีประเพณีจารีต มันไม่มีเลย มันสั้นและลัดๆหลวมๆเร็วๆเลิกแล้วทิ้งๆ คนไม่มีแกนไม่มีแก่น เป็นพวกมักง่ายก็เลยมาดูถูกพวกคนที่มีแกนมีแก่น
แกนแก่นเขาเป็นรูปธรรมที่มีคำอธิบายได้ มีจิตวิทยาสังคม แต่เขาเข้าใจจิตวิทยาสังคมนี้ไม่ได้เลย คนพวกนี้ไม่รู้เรื่องของจิต พวกสมัยใหม่ไม่รู้เรื่องของจิตวิญญาณ รู้แต่เรื่องจิตวิญญาณที่จะบำเรอความพอใจต้องการของตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้วต่างคนต่างมีของตัวเอง มีจุดร่วมจุดเดียวกันตรงที่ว่ามักง่ายและรวดเร็ว เป็นจุดร่วมของคนพวกนี้
สิ่งที่จะเป็นไปได้มันต้องมีรูปร่างมีความต่อเนื่องมีฐานมีชั้นมีตอนมีขั้นวรรณะ ที่ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ปัจจุบัน status quo พวกนี้กำลังโวยวายอย่างแรง การประท้วงพวกนี้จึงค้านกับ พระราชพิธีที่นานช้าหรูหราเขื่องเพื่อถ่วงดุลเอ็งนี่แหละ รู้ตัวไว้ด้วยแต่เขาไม่รู้เรื่องหรอก แล้วเขาจะไม่ฟังอาตมาพูดด้วย เขายึดถือแต่จุดที่ตนเองพอใจว่าจะเอาอย่างนี้ๆ
เพราะฉะนั้นเราจะปล่อยปละละอนุญาตเลยให้เขาเอาก็ไม่ได้ทำให้สังคมประเทศไทยพัง เขายังไม่มีฝีมือยังไม่มีสิ่งที่ปลูกฝังมาเป็นราก root ของหมู่กลุ่มสังคมโดยเฉพาะความเป็นคนไทยประเทศไทยวัฒนธรรมไทยจิตวิญญาณไทย เขายังไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก
เพราะฉะนั้นจึงจำเป็น เป็นอะไรละเอียดที่คนไม่รู้เขาก็จะไม่รู้ แต่ว่าอาตมาพอรู้ก็เลยเอามาขยายความให้ฟัง ก็ฟังบ้าง เพราะทุกอย่างไม่ได้เกิดจากกลุ่มเล็กๆหรือคนคนเดียว พวกคุณเองอย่านึกว่าตนเองเป็นกลุ่มใหญ่มันดูวูบวาบเลยดูเหมือนใหญ่ มันมีความซับซ้อนที่มีกิเลสตัวรำคาญความซ้ำซาก ความซ้ำซากนี้คือของเดิม ซ้ำๆซากๆ อาตมาเขียนบทเพลงแห่งความซ้ำซากไว้ถึง 10 บทเพลง
ความซ้ำซากต้องอาศัย หากไม่อาศัยกลุ่มก้อนที่แข็งแรงประเทศไทยก็แตกสลายชิบหายวายป่วงแหลกเหลวกระจายไม่เกาะกลุ่มกันแล้ว แต่นี่เพราะความรู้ของบุพชน สามารถมีความรู้นี้แล้วรักษาสิ่งนี้ไว้ด้วยความสงบด้วยความเบิกบานสดชื่นไม่รุนแรงเดือดร้อนวุ่นวายเหมือนกับประเทศอื่นที่ตีรันฟันแทงฆ่าแกงกันมากมาย โดยตัวคนไทยเองยังรักษาได้อยู่
ตั้งแต่ในยุคของทักษิณเป็นต้นมามันจึงยุ่งยากมากมาย แต่ก่อนก็มีน้อยเดียวเดี๋ยวก็เปลี่ยนแปลงเป็นความสงบ เยอะก็มี แน่นอนก็ต้องมี Error ความเดือดร้อนวุ่นวายชั่วคราวนิดหน่อยมาคั่น แต่โดยค่าเฉลี่ยแล้วประเทศไทยมีความสงบเรียบร้อยมาจนถึงทุกวันนี้ได้
เรื่องของความเป็นกษัตริย์เป็นเรื่องของความเป็นจิตวิญญาณที่คนจะยังไม่เข้าใจ ประชาธิปไตยขาเดียวที่ไม่มีกษัตริย์มันไม่ยั่งยืนหรอก คอยดูเถอะ หัวโจกใหญ่ของประชาธิปไตยขาเดียวขณะนี้ในโลกก็คงพอรู้พอยืนยันได้ ก็คืออเมริกา หัวโจกใหญ่ที่เป็นประชาธิปไตยขาเดียว อเมริกาเกิดมาได้ไม่ถึง 300 ปี ดูไปแล้วก็จะเห็นความจริงเองไม่ต้องไปยุ่งยากมากเรื่องแล้วก็จะรู้ จะอยู่ยืนยาวหรือไม่ยืนยาวกันอย่างไร นี่ไม่ได้แช่งนะ แต่มันเป็นสัจจะของสังขารธรรมของโลก เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เทวดาไม่ใช่ 2 เกิดเป็นสังคมมนุษยชาติที่มีจิตวิญญาณจะต้องมีทั้งรูปและนามจะต้องมี 2 มีทั้งวัตถุและมีจิตวิญญาณ คุณจะมาเอาแต่ทางวัตถุเอาแต่วัตถุ ไม่เอาจิตวิญญาณไม่เป็นสภาพคู่เป็นขาเดียวมันก็ไม่ใช่สังคมมนุษย์มันเป็นเรื่องของวัตถุ มันไม่ทนนานหรอก
-
พระนิยตโพธิสัตว์เจ้า พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ได้กล่าวเป็นวาจา “สิริมหามายา” ว่า “จะกลับมาเกิดอีกเพื่อสืบสานพระพุทธศาสนาให้ถึง 5,000 ปี” และมีเมตตากรุณา จะตามหา ลูกๆ ที่ร่วม “โพธิกิจ” ที่ไม่ได้ตามติดๆ ทั้งนี้เพราะเป็น… พวกเดียวกัน ลูกคนนี้ “อุ่นใจ” จริงๆค่ะ
พ่อครูว่า…เรื่องของสิริมหามายา ไม่ง่ายที่จะเข้าใจมันเหมือนความหลอกมันเป็นมายาแต่ที่จริงแล้วเป็นเรื่องสุดยอดยิ่งใหญ่เป็นเรื่องสิริ
สิริ = ดี ,มายา = หลอก
2 ตัวนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก รวมแล้วไม่ใช่เรื่องหลอกแต่เป็นเรื่องดีที่ดูเหมือนเรื่องหลอก เป็นสิริมหามายา
ความเป็นแม่ของพระพุทธเจ้า ที่จริงแล้วพระพุทธเจ้าเกิดเองเป็นเองก็ได้ไม่ต้องมีแม่ก็ได้แต่มันไม่ลงตัวของสังคมมนุษย์ จะต้องมีแม่มาเกิด เพราะฉะนั้นแม่พอเกิดมา ผู้ที่จะเป็นแม่ให้สำหรับเป็นคู่ของพ่อ ก็มีฐานะคู่จึงจะได้มีลูกเกิดมา จึงอาศัยแม่มาเกิดแค่ 7 วัน ก่อนสิ้นพระชนม์ไปเกิดลูกให้เท่านั้นเอง นี่เป็นความลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นแม่ของพระพุทธเจ้าอายุสั้น 7 วันเอง อย่างนี้เป็นต้น ทำไมต้องเลข 7 ไม่ขยายความต่อ เป็นความซับซ้อนลึกซึ้งที่อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เข้าใจที่พูดวันนี้ไม่ได้อ่านตำรามา ไม่ได้เอาคำพูดคำสอนหรือคำอธิบายของใครไม่ได้เอาขี้ปากใครมาพูด ของตัวเองทั้งนั้นที่มีภูมิธรรมรู้ขยายความให้ฟังบ้าง
คำว่า สิริมหามายาว่า จะกลับมาเกิดอีก เพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาให้ถึง 5000 ปีและมีเมตตากรุณาจะตามหาลูกที่รวมโพธิกิจ ลูกคนนี้อุ่นใจจริงๆเจ้าค่ะ ก็ดี คุณฟังแล้วคุณเข้าใจก็สบายใจอุ่นใจ
-
คุณลุงจำลอง “ปูชนียบุคคล” ของชาวอโศก คนดีคนกล้าสามารถของสังคม การันตีด้วยฉายาMr. Clean และรางวัล “แมกไซไซ” เป็นไทแล้ว พร้อมกับแกนนำพันธมิตรอีก 4 ท่าน ส่วนคุณสนธิ ลิ้มทองกุลต้องอยู่ต่อด้วยคดีอื่น
“วิบากกรรม” ของ 5 ท่านนี้ ย่นย่อลงเป็น “3 เดือนหย่อน 3 วัน”
กราบขอโอกาสร่วมน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงคืนคนดีให้สังคม กราบขอทรงพระเจริญยั่งยืนนานตลอดกาลแห่งรัชสมัยเทอญ
_กูรูเอ๊กซ์ ปุจฉา: ขอคำสรุปสั้นๆ จากคุณสู่ ได้ไหมว่า
คำว่า สมาธิ ในความเป็นพุทธ ที่สัมมานั้น คืออย่างไร?
_วิสัชนา: สมาธิก็คือ ความไม่วอกแวกของการปล่อยวางอารมณ์
คือ ความตั้งมั่นของอารมณ์ที่ปล่อยวางความสุข ความทุกข์
ออกไปอย่างชนิดที่ว่า.. จะมีอารมณ์ใดๆ ก็มีแต่อารมณ์แท้ๆที่เป็น๑
ไม่มีอารมณ์ของทุกขอริยสัจมาวอกแวกให้จัดการอีก
พ่อครูว่า…ใช้ได้ ถ้าเราสามารถทำความเป็นสมาธินี้ให้ตั้งมั่นจนจบใช้ภาษาว่า สมาหิตะหรือสมาหิโต แปลว่าความตั้งมั่นที่สำเร็จจบสมบูรณ์แบบแล้ว ซึ่งเป็นคู่สุดท้ายของเจโตปริยญาณ 16 เกือบสุดท้ายแล้ว อันสุดท้ายคือวิมุติ กับ อวิมุติ
อสมาหิโต คือยังไม่ถึงสมาหิตะสมบูรณ์ แบบ หากสมบูรณ์ก็เป็นสมาหิโต
_ในชุมชนปฐมอโศกมีผู้หญิงคนหนึ่ง ปากร้าย เที่ยววิจารณ์ระเบิดอารมณ์กับคนที่ตนเองไม่พอใจ เวลาของขึ้นเธอจะต่อว่าแบบไม่ไว้หน้าใคร ไม่คำนึงถึงความถูกต้อง (เพราะเธอคงคิดว่าที่เธอว่ามาถูกต้องแล้ว) เธอเป็นผัสสะที่ดี ในการทดสอบอารมณ์ของผู้ปฏิบัติธรรม เวลาโดนเธอด่า คนในชุมชนก็ไม่ถือสาเธอ ไม่เอาเรื่องเธอ เพราะเธอก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว อย่างไรก็ตามเธอมีน้ำใจช่วยเหลือการงาน (พ่อครูว่า มีตัวถ่วงไว้ ด่าเก่งด่าไม่รู้เรื่องแต่เขาช่วยการงานดี) เขียนแค่นี้ทุกคนก็รู้ว่าคือใคร การที่ไม่มีใครขัดเกลาเธอ เพราะที่เธอพูดมามันมีส่วนจริงอยู่บ้างในส่วนใส่ไข่ ในส่วนเกินจริงก็รอให้วิบากกรรมสุกงอมก่อน ก็แล้วกัน ให้วิบากจัดการเอง เมื่อเจ้าทุกข์คิดเช่นนี้เธอก็ยิ่งได้ใจ และเป็นผู้ยิ่งใหญ่อยากจะว่าใครก็ว่า คนเก่าคนใหม่เธอก็ฉีกหน้าได้โดยไม่ดูคนรอบข้าง ไม่ดูอินทรีย์พละของคนเลย นี่แหละคือปัญหา เวลาคนใหม่ๆเข้ามาเจอสถานการณ์เช่นนี้เธอไม่เคยคิดถึงชื่อเสียงของปฐมอโศกและลบหลู่ผู้ปฏิบัติธรรมทำให้คนอื่นได้ยินอย่างไม่ไว้หน้า (จำนวนมาก)
คำถาม..
-
การคิด ไม่เอาเรื่องเธอ แม้ว่าเธอจะผิดศีลข้อ 4 อย่างเห็นชัดเจนอย่างนี้ไม่เป็นการโหดร้ายกับเธอหรือคะ
พ่อครูว่า…โหดอยู่นะ ใครจะพยายามดูแลช่วยกันใช้ศิลปะช่วยกันหน่อย ไม่อย่างนั้นอาการจะหนักขึ้นจะย่ามใจจะติดใจตัวเอง ก็จะเสียหายแก่ตัวเขาเองและทั้งสังคมด้วย ช่วยกัน เป็นใครอาตมาก็ยังเดาไม่ออก ตอนนี้อาตมาไม่รู้
-
ถ้าคนที่ถูกเธอว่าเก็บหลักฐานไว้ (มีคนถวายซอง พ่อครูว่า…เงินคือกระดาษชำระที่ใช้หนี้ได้ตามกฎหมายธนบัตรคือกระดาษชำระทั้งนั้น จริงๆนะ กระดาษชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ธนบัตรนี้ ของจริงเลย เพราะฉะนั้นใครอย่ามาเกลียดโกรธกันนะ อาตมาบอกว่าไปหลงอยู่ได้กับกระดาษชำระอย่ามาโกรธอาตมานะเป็นของจริงกระดาษชำระ)
ถ้าคนที่ถูกเธออัดเสียงไว้เอามาฟ้องร้องหมิ่นประมาทจะได้ไหมคะ ให้กฎหมายจัดการไปเลยจะดีกว่าจะได้สำนึก
พ่อครูว่า…มันแรงหนักขนาดนี้หรือ ก็ช่วยกันหน่อย ยังไม่ถึงขั้นนั้นก็อย่าเพิ่งทำเลยถ้าถึงขั้นนั้นจริงๆจังๆก็ค่อยว่ากัน
-
การที่จะแก้ปัญหาทั้งสองฝ่ายทั้งผู้กล่าวร้ายและผู้ถูกกระทำอย่างสันติควรจะเป็นเช่นไร
พ่อครูว่า…ก็บอกกันหลายๆคน บอกคนที่เขามีบารมีที่จะให้เขาเชื่อฟังบ้างก็น่าจะได้ ก็ต้องช่วยกันแหละถ้ามันสุดวิสัยไม่มีใครช่วยได้จริงๆก็ค่อยว่ากัน มันก็เป็นขั้นสุดท้าย มันก็ต้องทำเช่นนั้น
_กระถิน…โจทย์อันนี้เป็นกระถินเองค่ะ ก็ขอบอกพ่อท่านว่า ที่ผ่านมา ปฐมอโศก ปล่อยให้วิบากกรรมจัดสรรแต่สุดท้ายก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ต้องโดนให้ออกบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่เราแสดงออก ถามว่าทำไปนี้ผู้ใหญ่รับรู้ไหม ผู้ใหญ่ในชุมชนรู้ว่าเขาทำอะไรเขาก็เห็นด้วยว่าจริง ถามอาต้อยสิ เวลากระถินระบายกับใครก็จะมาบอกกับอาต้อย อาต้อยก็จะไปตามต่อ ก็จะรู้ว่าใช่ แต่เรื่องที่ปฐมอโศก คนเก่าไม่ยอมรับรู้กฎระเบียบ คนใหม่มาเขาก็อยู่กันอย่างผิดๆ แต่อันที่ไม่จริงนี่ยอมรับว่าน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่เป็นเรื่องจริง และบางคนเป็นคนวัดที่ถือศีล 8 สมบัติต้องน้อย พ่อท่านคะ คนวัดสมบัติมากเก็บไว้ที่บ้าน แล้วจะเป็นคนวัดหรือคนบ้าน
คนวัดครองพื้นที่ตึกไว้หมด สมณะอาพาธก็นอนไม่ได้
พ่อครูว่า…ก็ช่วยไป ทุกคนก็พอมีปฏิภาณปัญญามีความรู้กันทุกอย่างมันจะให้ได้เร็วตามใจ เร็วรวด ตามใจก็คงยาก ได้ขนาดนี้ก็พอเป็นพอไปแล้วล่ะใจมันอยากให้ดีเร็วๆมันก็ดี แปลว่าต้องรู้ว่าระยะเวลาของมันอย่างไร
_พ่อครู เคยประกาศนโยบายไม่ให้เอาสัตว์เลี้ยงมาเลี้ยงในชุมชนและในวัด การบรรยายแสดงธรรมก็แสดงอีกหลายครั้งหลายคราวแต่ก็ยังมีคนไม่เชื่อฟัง ปัจจุบันนี้ลูกได้รับความทุกข์มาก ๆๆๆ จากแมวที่คนเขาเลี้ยงไว้มันมาถ่ายและเยี่ยว ที่บ้านของลูก ทั้งๆที่เราไม่ได้เลี้ยงแต่คนอื่นเลี้ยงจะทำอย่างไรดีคะ ตอนนี้แมวในชุมชนปฐมอโศกมีประมาณ 10 ตัว บางทีเขาก็เบิกอาหารแมว ใช้เงินส่วนกลางด้วยค่ะ ที่อยากจะเรียนให้ทราบว่ามันเดือดร้อนจริงๆด้วยช่วยบรรเทาทุกข์ให้ลูกด้วย
พ่อครูว่า…ก็บอกผู้ใหญ่ เรื่องนี้พูดไปแล้วคนไม่เข้าใจก็จะหาว่าอาตมาเป็นคนไม่มีเมตตา แมวมันจะอยู่ด้วยบ้างก็เลี้ยงมันไม่ได้บ้างหรืออย่างไร อาตมาไม่ได้คิดสั้นเหมือนที่คนคิดเช่นนั้น คนคิดเช่นนั้นมีเมตตาคิดสั้นๆก็จริงมันก็ถูกในความคิดสั้นๆ แต่ว่าอาตมาคิดไปถึงวัฏสงสารเยอะแยะ อีกยาวไกล ด้วยกรรมวิบากของสัตว์ที่เกี่ยวเนื่องกันมันต่อเนื่องกันไปนับชาติไม่ถ้วน สัตว์แต่ละตัว มันจะอยู่กับเราก็มีวิบากแล้วและจะต่อเนื่องวิบากไปอีกนานเท่าไหร่ สัตว์มันไม่รู้ก่อนเราง่ายๆเราต้องรู้ก่อนสัตว์ การที่เราไม่ไปเกี่ยวข้องอะไรกับสัตว์
อาตมาก็บรรยายมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว สัตว์ทุกตัวตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวจนถึงสัตว์ที่เป็นมนุษย์ มันมีวิบากของตนของมันเอง ที่อาตมาพูดเป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้า คนทุกคนมีการเป็นทายาทของกรรมตนเองทั้งนั้นปล่อยให้มันเป็นไปตามวิบากเถิด
ในศีลข้อที่ 1 สัตว์ทุกตัวมันเกิดมาตามวิบากของมัน ปล่อยมันไปตามวิบาก มันจะมาเกี่ยวกับเราเราก็ต้องพยายามตัดลัดให้มาเกี่ยวกับเราได้ดีที่สุด หากมันเข้ามาแล้วคุณไม่ป้องกันออกไปมันก็จะเกี่ยวเนื่องอีกไม่รู้กี่ชาติ เพราะคุณไม่รู้สึกและไม่ป้องกัน แล้วสัตว์มันก็ไม่รู้กับคุณด้วยมันก็จะไปอีกยาวนาน ถ้าคุณไปเกี่ยวอย่างนี้คนไม่ไปนิพพาน เราที่จะไปนิพพานก็ต้องตัด เราไม่ได้ทรมานมันเราปล่อยมันไปตามวิบาก เราไม่ได้ทำร้ายอะไรมันเลย เป็นแต่เพียงป้องกันไม่ให้มันมาเกี่ยวกับเรามันจะมีวิบากกับเรา มันจะมาทำร้ายเรา เราไม่ทำร้ายมันดีแล้ว หรือสัตว์บางอย่างมันจะมาทำดีกับเราเราก็ไม่ต้องเกี่ยวกับมันจะเป็นวิบากกรรมใช้หนี้ใช้สินกันต่อไปอีก ใช้หนี้กันไปใช้หนี้กันมาทั้งนั้นเพราะฉะนั้นตัดวงจรวิบากตรงนี้เลย สัตว์ทุกตัวไม่ต้องเกี่ยวข้องไม่ต้องเอามาเลี้ยงดูไม่ต้องไปทำอะไรต่ออะไร แม้แต่ที่สุด
ใครจะหาว่าอาตมาพูดเหมือนไม่มีเมตตาเลย ไม่ต้องกลัวเลยว่ามันจะอดอยากตาย มันจะอดอยากตายก็ต้องปล่อยให้มันตายไปไม่ต้องไปให้อาหารมัน ให้มันตายไปเลยเพราะเป็นวิบากของมัน ใครจะบอกว่าอาตมาใจดำอำมหิตไม่มีเมตตาก็ว่าไป แต่อาตมาจะช่วยคนที่ไปนิพพาน เพราะฉะนั้นคุณจะไม่ไปนิพพานคุณจะนัวเนียไปอีกกี่ชาติก็ว่ากันไป อาตมาก็เข้าใจคุณทำได้ของคุณก็ไม่มีปัญหา แต่อาตมาก็แนะนำว่าถ้าคุณจะไม่แล้วก็ต้องใจแข็ง แล้วก็ต้องยอมให้คนเข้าใจผิด ว่าเราไม่มีเมตตา
เรามีเมตตาคือเราขีดไว้ว่าเราไม่ไปทำร้ายเขา พระพุทธเจ้าสอนเรื่องศีลข้อที่ 1 เป็นผู้ที่ไม่ฆ่าไม่มีอาวุธไม่ทำร้ายแล้วก็ต้องมีใจเอ็นดู มีใจปรารถนาดี หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวง จบ เราก็ให้เขาเกิดประโยชน์คือตัดวงจรที่จะต้องไปเกี่ยวข้องกับใครนั่นแหละ เขาจะมาเกี่ยวกับเราด้วยความรักหรือความชังเราก็ต้องช่วยเขาตัด เขาไม่ตัดเราก็ตัดมันถึงจะสั้นลง ถ้าเราไม่ตัดเขาก็ไม่ตัดแล้วเมื่อไหร่มันจะจบ ฟังแค่นี้ไม่ใช่ใจดำนะ แม้แต่อาตมานี่ยังมี กุศลอะไรอีกเยอะที่จะช่วยได้ อาตมาจะอนุโลมบ้างก็ได้ แต่ขนาดนั้นอาตมาก็ไม่ไปเสริม เพราะว่าจะไปเป็นพระพุทธเจ้าแล้วมันก็จะมาเสริมอีกมันก็จะช้าอาตมาต้องไปเสียเวลาเท่านั้นสำหรับคำว่าไม่เอาแล้ว ใครจะเห็นว่าใจจืดใจดำก็ไม่เป็นไรจะพูดสั้นๆว่ าเห็นแก่ตัวเอาแต่ตัวในทางให้บรรลุสูงสุดจุดหมายปลายทางของอาตมา คืออรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าของอาตมา ของคนอื่นก็เป็นอรหันต์แต่ละลำดับ อรหันต์ของโสดาฯ สกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ โพธิสัตว์อีก 10 ระดับไป
_เห็นพ่อครู ออกกำลังกายเป็นปกติต่อเนื่องเก่งมากทำอย่างไรลูกๆจะมีจิตใจที่เห็นประโยชน์ต่อการออกกำลังกายเช่นนี้
พ่อครูว่า…ต้องมีความอุตสาหะวิริยะจริงๆ ออกกำลังกายอาตมานี่ก็เข้าใจเห็นใจคนที่เขาขี้เกียจไม่อยากทำ อาตมาจะว่ามีความรู้สึกตรงนี้ไหม พอถึงเวลาจะออกกำลังกายแล้วจะมีความขี้เกียจไหม จะว่าไม่มีมันก็มี แวบๆหน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้มากมายนอกจากบางครั้งคราวที่มีงานต่อเนื่องที่ควรทำและเห็นว่าไม่ถึงขั้นปล่อยปละละเลยทิ้งไปจนเสียประโยชน์ไม่ออกกำลังกายนานเกินควร ก็ดูองค์ประกอบด้วย จริงๆแล้วอาตมาก็รู้สึกบางทีมันมีแวบ ก็ไม่ถึงกับขี้เกียจหรอกแต่มันเสียเวลาเรานะ แต่มันก็ต้องทำถ้าเผื่อว่าเห็นสมควรมันทิ้งไม่ได้ ไม่เช่นนั้นมันก็ขาดสมดุล มันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องให้มันได้ 8 อ.ที่อาตมาเรียบเรียงเอาไว้นั้นครบแล้วในการที่จะทำให้อายุไขของเรายืนยาวด้วย 8 อ. ศึกษาให้ดี ออกกำลังกายก็ตัวสำคัญ
_อยากถามว่าการเป็นคุรุ กับ การเป็นพ่อค้าแม่ค้าควรเลือกเป็นอะไรดีถึงจะทำให้เราได้ประโยชน์มากกว่ากัน
พ่อครูว่า..สั้นๆง่ายๆ พ่อค้าแม้ค้ากับคุรุ ไม่น่าจะคิดยากเลย คุรุ คุณจะมาหากินทางเป็นครูเหมือนกับพ่อค้าแม่ค้าหรือ คุรุจริงๆแล้วไม่สอนเอาเงินเอาทองหรอก แต่ว่าพ่อค้าแม่ค้าต้องแลกเปลี่ยนกลับไปกลับมา ช้านานกว่าเยอะ เป็นคุรุดีกว่า นอกจากคนจะมีเงื่อนไขว่าเอาค่าจ้างการเป็นครูอันนั้นก็เหมือนกับพ่อค้า เลือกอันไหนก็ได้ถ้าคุณยังเอาสิ่งแลกเปลี่ยน
ไม่อยู่ในข่ายที่พระพุทธเจ้าสอนว่าอาชีพที่สูงสุดคือต้องพ้นจากการเอาลาภแลกลาภ ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ไม่เอาสิ่งตอบแทนแลกเปลี่ยน จึงเป็นอาชีพที่ดีที่สุดสูงที่สุดทำงานฟรีไม่ต้อยงการอะไรแลกเปลี่ยนสักอย่างเลย นี่เป็นสิ่งที่สุดยอด อาตมาก็ภูมิใจที่สามารถพาพวกเรามาทำงานถึงขั้นพ้นมิจฉาชีพข้อที่ 5 ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ทำงานฟรีไม่รับรายได้แลกเปลี่ยนเลยเอาเงินเข้ากองกลางหมดไม่หักเข้าเป็นส่วนตัว จ่ายเป็นภาษีให้แก่ส่วนกลาง 100% เลย ทำให้อย่างหมดเนื้อหมดตัวซึ่งสุดยอดแล้วไม่มีสูงกว่านี้หรอก แล้วมันเป็นความจริงด้วยที่คนเขาก็ไม่เชื่อเรา ยังมีคนข้างนอกที่เขาไม่ค่อยเชื่อก็ไม่เป็นไร เราก็ไม่ได้ทำเพื่อจะให้คนเชื่อแต่เราทำความจริงสำเร็จก็สมบูรณ์แล้ว เราทำได้แม้ในยุคนี้ ในยุคก่อนก็ทำได้ยากได้แต่ในวงการของพระสงฆ์ซึ่งมันเป็นข้อจำกัดอาตมาก็อธิบายไปหมดแล้ว ในยุคนี้เป็นยุคแห่งอิสรเสรีภาพไม่ใช่ยุคของทาสไม่ใช่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ราชะ จะเอาภาษี เพราะฉะนั้นในยุคนี้เป็นยุคที่ทำได้สูงสุดดีที่สุด
สรุป ตอบ..มาเป็นคุรุนี่แหละสูงสุดแล้ว การจะไปเป็นพ่อค้าแม่ค้ายังไม่แลกเปลี่ยนต้องมาทำในวงการของพวกเราโดยมีส่วนกลาง ถ้าคุณไม่มีส่วนกลางไปไม่รอดหรอก หากทำอย่างไม่เอาสิ่งตอบแทนอยู่ไม่ได้ มีทุนเท่าไหร่เดี๋ยวก็หมด อยู่ไม่รอดหรอก
_พ่อครูพูดน้ำ 5 แก้ว ดื่มตอนเช้า ลูกไปทดลองดูแล้วดีมากค่ะ Dtox ลำไส้เบาโล่งมากค่ะ (ดื่มน้ำปัสสาวะก่อน)
_ศีลเกื้อ….ดิฉันเคยฟังพ่อครูเทศน์ คนเราฟังธรรมถึงขั้นเหนื่อยจึงจะเข้าเขตโลกุตระ อยากให้พ่อครูอธิบาย
พ่อครูว่า…การที่เราทำงานแล้วยังไม่เหนื่อย เราทำได้อยู่แล้วงานนั้นควรทำอยู่ก็ทำต่อไปยังไม่เหนื่อย แต่หากคุณยังไม่เหนื่อยเลยงานก็ยังมีให้ทำอยู่คุณก็หยุดเสียก่อน มันก็เป็นตัวเองไม่เป็นโลกุตระ เป็นการบำเรอตัวเอง ถ้าเผื่อว่างานมันมีอยู่ แต่เราเหนื่อยเราก็ควรพัก ถ้าทำต่อไปอีกสุขภาพก็จะเสีย ถ้าเผื่อว่า งานมันไม่มีแล้วเราจะไปทำอะไรอีกล่ะ มันก็ไม่ต้องทำ แต่หากว่างานยังมีอยู่แต่เราเหนื่อยเราก็ควรพัก ก็รู้ควรพักควรเพียรจึงจะเรียกว่าโลกุตระ หากว่างานมันมีอยู่แต่เราไม่พักเอาแต่พากเพียร คุณก็ตายไวเท่านั้นเอง ไม่เข้าถ้าไม่ได้สัดส่วนไม่สมดุลก็ไม่เห็นจะยากอะไร
_ช่วยบุญ…การเป็นพ่อค้าแม่ค้ากับคุรุ ..ดิฉันคิดว่าการเป็นพ่อค้าแม่ค้าในชาวอโศกเรา คนพูดว่าชาวอโศกโดยเฉพาะปฐมอโศกมีการค้าขายการพาณิชย์หมาย การเป็นครูก็มีหลายคนที่ไปทำการค้า การค้ามากหรือน้อย ช่วยบุญเคยคิดว่า อย่างสันติอโศกมีคนไปทำบุญหรือเอาเงินไปบริจาค แต่ที่ปฐมอโศกตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วไม่มีญาติโยมมาบริจาค
ทีนี้เราก็เลยมีการพาณิชย์ทำแล้วก็ขาย ต่อมาคือการค้าที่เราขายเอาเงินเข้าชุมชนไม่ได้ค้าส่วนตัว ต่อมาคุรุก็มีน้อยลงๆ
พ่อครูว่า…มันก็ดูที่ความจริงไง ความจริง ความจำเป็นทีต้องมีคุรุ แล้วเราก็เป็นคุรุได้ เราอยู่เรารู้ว่าจำเป็นหรือไม่ เราก็เป็นได้ควรจะมาเป็น หากไม่มีความจำเป็นคุรุพอเพียงแล้วเราก็ไปช่วยการค้า
_น้ำดิน..อย่างช่วยบุญว่า การพาณิชย์เรามีเยอะ อย่างป้าศีลเกื้อก็เอาเด็กไปฝึกเป็นพ่อค้าแม่ค้าได้ เป็นการบูรณาการให้เด็กเป็นงาน ศีลเด่นเป็นงานชาญวิชา อย่างร้านค้า 1 2 3 ก็เอาเด็กไปฝึกเสริมทักษะในการทำอาชีพตัวเองจบไปจะได้มีความรู้ตรงนี้ไปเลี้ยงชีพตัวเองได้ อยากจะสื่อสารว่าถ้าให้เลือกเลยว่าค้าขายกับครู ครูต้องดีแน่นอนแต่เราเป็นลักษณะบูรณาการก็ต้องประยุกต์เข้าด้วยกัน
พ่อครูว่า…เอาตามความเหมาะสมพิจารณาจากเรื่องจริงเหตุปัจจัยจริงบัดนั้นและในส่วนประกอบของพวกเราอะไรควรจะไปเติมไปเสริมอะไรขาดก็ไปเสริม อะไรที่มันล้นแล้วเราจะไปเสริมทำไม ก็เอาความจริงตามความเป็นจริง ส่วนมากพวกเราขาด ก็ดูว่าอันไหนจำเป็นมากกว่าเราก็เอาตามจริง
_ตามคำทำนายเขาว่า รัชกาลที่ 10 จะเป็นยุคของชาววิไล
พ่อครูว่า..อาตมาก็ว่าจริงเพราะว่ารัชกาลที่ 9 ได้ปูรากฐานเอาไว้อย่างแข็งแรงแล้วเพราะฉะนั้นก็มาเสริมกัน รัชกาลที่ 9 ทรงงานชื่อว่าศาสตร์พระราชา ดูตามที่ท่านทรงงานเรื่องที่ควรทำควรเป็นต่างๆนานา โครงการท่านมี 4 พันกว่าโครงการ แล้วก็ไปสืบทอดต่อยอดที่ท่านทำไว้อีกไม่รู้กี่โครงการ พัฒนาต่อไปได้หมดเลย เพราะฉะนั้นถ้าจะพูดกันให้ชัดก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ 9 สร้างฐานความเจริญไว้แล้ว ในการพัฒนาสังคม สังคมไทยเป็นสังคมเจริญ ความเสื่อมหรือความไม่เจริญไม่ทันสมัยทางโลกเขาไม่มีแล้ว มีหลงเหลืออยู่กับพวกตามืดบอด พวกตกยุค พวกที่มีกิเลสส่วนตัวของเขา ส่วนแกนแก่นองค์รวมของประเทศไทยมันเจริญแล้วเพราะฉะนั้นในหลวงรัชกาลที่ 10 จึงมีพระราชปณิธานชัดเจน สืบสาน ต่อยอด รักษา ศาสตร์พระราชา จึงถือว่าเป็นรัชกาลที่เจริญ ชาววิไล วิไล แปลว่าเจริญ ต่อยอดความเจริญจากที่เจริญมาแล้ว
คนเข้าใจยากว่าเจริญอะไร เขาดูแต่เรื่องปลีกย่อยว่าเอาขี้หมามาแลกทองคำเขาไม่ได้ดูแก่นแกนว่า มีเศษขี้หมา แล้วเอามายืนยันว่าเป็นเศษขี้หมาแต่แท้จริงแล้วมีแกนเป็นทองคำ มันไม่ใช่มีขี้หมาอย่างเดียว อาตมาใช้สำนวนว่าอย่าเอาขี้หมามาแลกทองคำ แต่อย่าประมาทเท่านั้นเองต้องต่อยอดสืบสานรักษาให้ยาวยืนต่อไป อย่าปล่อยปละละเลย พยายาม ท่านก็เสริมหนุนใช้จิตอาสาให้ผู้ที่เข้าใจมาร่วมกันเพิ่มเติมทำสิ่งเหล่านี้
คำว่าจิตอาสาก็เป็นคำที่สูงแล้ว เป็นการทำงานโดยไม่ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยน เป็นการเต็มใจที่จะมาช่วยจริงๆเลยแล้วก็สืบสานการงานที่เป็นงานดีและงานเจริญต่อไป เพราะฉะนั้นก็เร่งรัดพัฒนาเอาคนที่เข้าใจ แล้วคนที่เข้าใจเต็มใจจะทำอันนี้ งานนี้ก็จะไปได้ทั้งความจริงใจทั้งความพอใจเต็มใจ งานก็จะไปได้ไม่สะดุด นี่เป็นความฉลาดทั้งในหลวงรัชกาลที่ 10 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้สร้างฐานไว้แล้ว
สรุปแล้วเป็นความเจริญของประเทศชาติประเทศไทย เพราะฉะนั้นขณะนี้ แก่นแกน การดำเนินไปของสังคม เรามาดูที่ ในหลวง คณะผู้บริหาร นายกฯแย่หรือไม่แย่ แน่นอนต้องมีผู้เลื่อยขานายกฯแน่นอนไม่ว่าจะในยุคไหนในโลก เพราะฉะนั้นดูให้ดีว่ามันจริงหรือเปล่า ประเมินให้ดีๆ พวกที่จะเลื่อยขาจะแย่งชิงอำนาจก็เป็นธรรมดาเขาก็ต้องหาเรื่อง จะพากันเลื่อยขา หาเรื่องมาถล่มทลายนายกแน่นอน เราก็ต้องตรวจสอบความจริงให้มากให้ครบให้ลึกและบริบูรณ์เราก็จะรู้ผลค่าเฉลี่ยจริงๆว่ามันเป็นไปได้ไหม อาตมาไม่อยากจะพูดไม่อยากเสริม เพราะเขาก็ไม่ค่อยชอบนายกฯอยู่ก็มี
อาตมาไม่มีบารมีเท่าไหร่หรอกไม่ใช่ว่าเสริมมากจะมีค่าอะไร อาตมาก็ว่า แต่ในชาวอโศกเท่านั้นแหละไม่มีความกว้างขวางของคนอื่นหรอก ขนาดนั้นคนยังหาว่าส่งเสริมมากไป อาตมาก็ว่าคนดีที่จะส่งเสริมก็มีน้อย ก็จะหาคนอื่น ก็มาดูชาวอโศกก็หาว่าชมพวกตนเองอีก ก็เลยติเป็นหลัก อาตมายอมให้เขาติที่อาตมาไปว่าไปตำหนิ ไปด่า ดีกว่า เขาตำหนิว่าช่างชมอีก เขาว่าอาตมาปากจัด ข้อสำคัญอาตมารักษาที่ว่าติผิดหรือถูก หากอาตมาติถูกแล้วก็ใช้ได้จบตรงนี้
_ถ้ามีแฟนในตอนวัยรุ่นแล้ว จะทำไงดีครับ
พ่อครูว่า…มีแฟนตอนวัยรุ่น มันเป็นธรรมดาของสรีระที่มีฮอร์โมน จะทำอย่างไร ข่มมันไว้ พิจารณาให้เห็นด้วยปัญญาว่ายังไม่ใช่เวลา ยังมีเวลาอีกยาวนานตอนนี้เราอยู่ในวัยที่ต้องเรียนรู้ต้องใช้เวลาไปตามฐานะของเด็กยังไม่ใช่วัยที่ต้องมาวุ่นวายเรื่องคู่เรื่องเพศยังไม่ใช่ คนที่วุ่นวายเรื่องที่ไม่ใช่ กาละ โอกาส ไม่ใช่ตอนที่เราจะสมควรแล้วไม่เหมาะสมกับวัยกาลเวลาคนนั้นยังโง่ก็ต้องรู้ว่าตัวเองโง่ ว่าตัวเองเลยจริงๆไม่ได้พูดผิดหรอก เราโง่จริงๆมันไม่ใช่วัยไม่ใช่เวลาไม่ใช่กาลอันควรก็อย่าไปยุ่งไม่ต้องกลัวหรอกนะอนาคตเราจะไม่มีคู่วิบากไม่มีกิเลสพวกนี้อีกเราต้องมีแน่นอน เพราะฉะนั้นจะต้องเจออีกเพราะฉะนั้นมีเวลาอีกยาวนานนัก ต่อเมื่ออายุ ไปถึง 50 ปีแล้ว มันไม่ค่อยอยากมีแล้ว ถ้ายังไม่ถึง 50 ก็กดข่มไปก่อน
ทุกวันนี้มันโด๊ปฮอร์โมนกันมากยังไม่หมดฮอร์โมนหรอก
_ขอให้พ่อครูขยาย กายคตาสติ ของพุทธหน่อย จะใช้ธรรมะข้อไหนในการปฏิบัติให้บรรลุโสดาปัตติผลได้เร็วที่สุด
_จะใช้ธรรมะข้อไหนในการปฏิบัติให้บรรลุโสดาปัตติผลได้เร็วที่สุด
พ่อครูว่า…ธรรมะข้อ ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่มีข้ออื่นหรอก
ศีล 1 ข้อก่อนก็ได้ แล้วก็เรียนรู้ สิ่งที่เกี่ยวข้อง ข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ข้อที่ 2 เกี่ยวกับข้าวของ ข้อที่ 3 เกี่ยวกับทวารทั้ง 5 ของเราทวารทั้ง 6 ของเรา (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลักสำคัญของการปฏิบัติ หรือจะเป็นจรณะ 15 โพธิปักขิยธรรม 37 จนกระทั่งมูลสูตร 10 มาเป็นหลักใหญ่ แล้วก็มีซอยลำดับ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา แล้วจะมีการปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา แล้วเกิด สัทธรรม 7 เป็นผลขึ้นมาแล้วเกิดปฏิกิริยาของ ฌาน 1 2 3 4 แล้วจึงเป็นผลวิมุติ มีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นตัวปัญญาที่รู้ว่ามีเกิดวิมุติ ก็จะเติมๆๆไปตามสัจจะจริง ก็ค่อยติดตามที่อาตมาขยายความ
_ขอให้พ่อครูขยาย กายคตาสติ ของพุทธหน่อย
พ่อครูว่า…กายคตาสติ เป็นคำที่ได้ยินกันบ่อยและมากแต่เป็นคำที่เข้าใจผิดกันเยอะเข้าใจถูกไม่ง่ายเลย
กาย เขาอธิบายว่าแค่อิริยาบถทางกายการก้าวการเดินการย่าง เอี้ยวแขน ไกวขา คือกายวิญญัติ การเคลื่อนไหวภายนอกซึ่งแยกเป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ส่วนมโน ก็ต้องเป็นแรงเคลื่อนจึงจะเกิด กายวิญญัติ วจีวิญญัติ ได้
กายคตาสติ อธิบายกันแค่ว่าเป็นการเคลื่อนไหวการเดินทางการมีกิริยาอาการของกายกรรมเท่านั้น ซึ่งความจริงแล้วมันต้องคำนึงถึงจิตเป็นหลัก จิตนี่แหละ เป็นตัวทำให้กายของเราเคลื่อน เพราะฉะนั้นเมื่อจิตของเราทำให้กายเราเคลื่อน แน่นอน คุณจะต้องให้กายเคลื่อน คุณยังไม่ตายก็ต้องมีคำกริยาให้ กายเคลื่อน แต่ที่จะต้องเรียนรู้เอาสติสัมปชัญญะมาตรวจสอบดูแลกายคตาการดำเนินไป ดูอะไร? ดูจิต
การเคลื่อนไหวของจิตตัวไหนที่ไปบงการบัญชาให้กายมันเคลื่อนไปอย่างนั้นให้วจีมันเคลื่อนไปอย่างนั้น แล้วตัวที่มันบัญชาบงการมันมีผีแทรกอยู่ในตัวบงการไหม
กายคตาสติไม่ใช่แค่ควบคุมกายภายนอกเท่านั้นมันเป็นการ กดข่มเท่านั้น เลยกลายเป็นว่าอยากให้กายมันเคลื่อน ก็แข็งๆช้าๆ การขาดสติคือทำให้หยุดนิ่งทำให้ช้า ก็เลย ก้าวหนอ ย่างหนอ จะย่างไปอีก หลายร้อยหลายหมื่นหลายชาติเลยเพราะมันไม่เจริญจริงมันเป็นสมถะ ดีไม่ดีก็ไปเอารายละเอียดที่ปลายเท้าแตะหนอ ส้นเท้าแตะหนอ กลางเท้าแตะหนอ ยกเท้าหนอ ไปอยู่ที่แก่นแกนสัมผัส ได้แต่สมถะ นาน อีก นานนนนนน ตามที่คุณเคลื่อน น่าสงสารจริงๆ
ต้องเข้ามาหาจิต จิตที่ทำให้กายเคลื่อน มีสติสัมปชัญญะควบคุมการเคลื่อนของกาย ถ้าการควบคุมการเคลื่อนของกายยิ่งทำได้เร็วก็ยิ่งเจริญ ยิ่งทำได้ช้ายิ่งเสื่อม มันกลับกันเลย ผู้ที่เข้าใจถูกแล้วก็จะเก่ง การเคลื่อนไหวก็จะเร็ว มุทุภูตธาตุ กายกรรมคล่องแคล่วปราดเปรียว เป็นกายมุทุตา เป็นกายปาคุญญตา เป็นการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่ว คล่องแคล่วถึงจิต เวทนา สัญญา สังขาร คล่องแคล่ว ออกมาเป็นกายสังขารวจีสังขารที่คล่องแคล่วปรุงแต่งเป็นวจีกรรมที่คล่องแคล่ว เร็วไว ไม่ใช่ไปช้า กายคตาสติจะต้องดึงให้ช้านั้นมันไม่ใช่ นี่คือยากที่จะเข้าใจ
กายคตาสติคือการไปศึกษาจิตที่เข้าไปควบคุมกาย ไม่ใช่ไปควบคุมแต่กายภายนอกโดยไม่เข้าใจในจิตว่ามีกิเลสมาผสมหรือไม่ ต้องอย่าให้กิเลสเข้ามาผสมบงการกาย การเคลื่อนไหวของกายและวาจาดีมันมีกิเลสร่วมหรือไม่ ดังนี้ต่างหาก ถ้ามันมีกิเลสก็เอากิเลสออก ถ้ากิเลสออกหมดมันจะเคลื่อนไหวอย่างไรมันก็ยิ่งเร็วยิ่งคล่องแคล่วก็ทำกายให้คล่องแคล่ว มันไม่มีตัวผีอะไรไปผสมก็จะมีแต่ความชัดเจนเป็นความจริงที่ถูกต้องมันมีแต่ความดีงามมันจะยิ่งเร็วยิ่งเป็นการงานที่ดี
กายกรรมเร็ว ก็ยิ่งดีมันไม่มีกิเลสมาผสมมันเป็นความบริสุทธิ์สะอาดกายกรรมก็สะอาดวจีกรรมก็สะอาดไม่มีกิเลสเป็นตัวบงการ มันก็มีแต่ความจริงความซื่อความตรงความถูกต้องตามที่ควรจะทำเป็นกายกรรมวจีกรรมทั้งนั้นออกไป จบ เห็นไหม
นี่เป็นความลึกซึ้งของธรรมะพระพุทธเจ้าต้องฟังให้ดีฟังธรรมะให้ดี ไม่ได้ชมตนเองนะ แต่อธิบายธรรมะอย่างลึกซึ้งจริงๆ หากฟังไม่บริบูรณ์ ก็ไม่ได้รับความรู้ที่บริบูรณ์ ต้องพยายามคบสัตบุรุษบริบูรณ์ แล้วก็ฟังธรรมที่บริบูรณ์ก็จึงจะมีศรัทธามีความรู้ความเชื่อที่บริบูรณ์ แล้วถึงจะมาปฏิบัติธรรมใจในใจมนสิการโยนิโสได้ถ่องแท้ถูกต้องได้บริบูรณ์ ในอวิชชาสูตรว่าอย่างนั้น ถ้าตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าก็ถูกต้องถ้าไม่ตรงมันก็ไม่ครบไม่ถูกต้อง
_แก่นสารที่แท้จริงของการเป็นคนคืออะไรคะ
พ่อครูว่า..เอาตามพยัญชนะของพระพุทธเจ้าก็คือวิมุติ แก่นสารคือวิมุติ เอาตามพระพุทธเจ้าสอนธรรมดาเลยจะอยู่ในพระสูตรอะไรที่บอกว่ามีแก่นมีกระพี้มีเปลือก
-
ลาภสักการะชื่อเสียง เปรียบเหมือนกิ่งไม้ใบไม้
-
ความสมบูรณ์ด้วยศีล เปรียบเหมือนสะเก็ดไม้
-
ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ เปรียบเหมือนเปลือกไม้
-
ญาณทัสสนะ หรือปัญญา เปรียบเหมือนกะพี้ไม้
-
ความหลุดพ้นแห่งใจอันไม่กลับกำเริบ ซึ่งใช้คำภาษาบาลี “อกุปฺปา เจโตวิมุตฺติ” เปรียบเหมือนแก่นไม้