620522_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เศรษฐกิจที่ดีที่สุดคือเศรษฐกิจคนจนแบบอโศก
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1edcyeEqdCvj2g7puum5ShVWjdU8tn6l8jW-mVg0JZD8/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=191XyswSk7HtJ20wA6QziixKjvKS6b3ou
สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้วันพุธที่ 22 พฤษภาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้เข้าสู่ฤดูฝน ฝนจะตกเป็นช่วงๆ พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตกหนักติดกัน 7 วัน แต่ที่แน่ๆคือโรงปุ๋ยที่ราชธานีอโศกขายดี วันพรุ่งนี้เป็นวันหยุดของเด็ก พรุ่งนี้ก็เชิญผู้ใหญ่ไปช่วยกันทำปุ๋ย
พ่อครูว่า…พูดถึงสถานะอันนี้ให้ฟังเรื่องน้ำ จะเรียกว่าเป็นบารมีก็เป็นเรื่องที่คิดไม่ถึงกัน บ้านราชฯนี่เริ่มต้นเข้ามาอยู่ที่บ้านราชฯ พยายามจะหาน้ำใช้ ก็เลยจะเอาน้ำบาดาล เจาะบาดาล แต่น้ำใช้ไม่ได้ เหลืองเหมือนมีสนิมโลหะ ไม่ได้เรื่องเลย ตอนแรกนึกว่าเราอยู่วารินชำราบน้ำเยอะ แต่ที่นี่น้ำใช้ไม่ได้ ก็ไปได้ที่ดินฝั่งหมู่บ้านคำกลาง ข้ามช่องของแม่น้ำมูลไปฝั่งโน้น อยู่หมู่บ้านคำกลาง เป็นที่มีน้ำซับไหลตลอด เราเอาน้ำไปตรวจค่า ปรากฏว่าเป็นน้ำสะอาดเป็นน้ำแร่ชั้นดี ก็เลยลงทุนทำท่อน้ำยาวลอดใต้แม่น้ำมูนมาเลย เสียค่าท่อเป็นล้านบาท ตั้งแต่นั้นมาเราก็ได้ใช้น้ำนั้นมาในที่นี้ทั้งหมู่บ้าน ทั้งเป็นน้ำใช้น้ำกินน้ำล้างก้นน้ำล้างส้วม ที่นี่เลยกลายเป็นหมู่บ้านที่มีท่อประปาหมู่บ้านเปิดท่อไหนก็ใช้ดื่มอาบกินทำกับข้าวได้หมด เป็นน้ำแร่น้ำบริสุทธิ์ทั้งนั้นเลย ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ เราก็เลยมีน้ำมีใช้ตลอดเวลา แล้วมีการไปตรวจสอบดู มีภาพถ่ายทางอากาศเห็นเลยว่ามีน้ำเป็นแอ่งอยู่ใต้ดินใช้ได้เป็นร้อยปีพันปี เป็นกุศลที่ชาวบ้านราชได้ใช้อาศัยตลอดเวลาเลย
สิ่งนี้อาตมาถือว่าเป็นเรื่องดี เราเคยเสนอให้อบต.ของหมู่บ้านคำกลางใช้ แต่เขาก็บอกว่าไม่ต้องการ เราไม่ได้คิดเงินทองอะไรเลยเรามีเผื่อแผ่ ก็ที่เล่าสู่กันฟังเป็นความจริง ให้เห็นถึงจิตใจมนุษย์ที่มีความถือดีถือตัว มันก็ไม่เข้าท่า แต่ก็เอาเถอะ
สมณะฟ้าไทว่า..เป็นเรื่องแปลกที่น้ำเป็นน้ำที่ดีและบริสุทธิ์เขาควรจะแย่งกันใช้ แต่เราให้เขาก็ไม่เอา เป็นเรื่องตลกที่สุดเลย เป็นเรื่องวิบากกรรมของมนุษย์ หยิบยื่นสิ่งที่ดีให้แก่คุณแล้วแต่คุณไม่เอา
พ่อครูว่า…หมู่บ้านคำกลางนี้ อาตมาว่าอาตมาเป็นชาวประชาธิปไตยสามารถแบ่งสาธารณูปโภคให้กันได้ เหมือนกับรัฐบาล เราเคยเสนอถนนให้หมู่บ้านนี้เขาก็ไม่เอา แต่ทางหมู่บ้านกุดระงุมนี้ไม่มีปัญหาเขาเอาเราก็ไปช่วยเขาได้หลายอย่าง
สมณะฟ้าไทว่า..วิบากกรรมเป็นเรื่องอจินไตยที่เราคิดไม่ออก
พ่อครูว่า…จริงๆแล้ว มีชาวหมู่บ้านคำกลางเคยมาฟ้องร้องเรา ด้วยเขามายึดครองที่สาธารณะที่เป็นพื้นดินในบ้านราชฯเขาก็ยึดครองก็ไม่มีปัญหา
สมณะฟ้าไทว่า..พ่อครูเคยพูดว่า คนดีที่เป็นอาริยชนไปอยู่ที่ใดจะมีสายน้ำใส่ทองไปอยู่ น้ำนี่มันอยู่ไม่ใช่หมู่บ้านเรา แต่เราไปซื้อที่เหมาะพอดีเลย (สม.กล้าฯว่าตอนซื้อจะใช้เป็นที่จอดเรือ)
พ่อครูว่า…มีที่สวนวังไพรก็มีน้ำแบบนี้
สมณะฟ้าไทว่า..คนที่เสียสละทำความดี ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เป็นผู้ที่ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ประชาชน เหมือนเรื่องบริจาคเรือ เขากู้เรือกันทั้งคืนไม่ได้นอนเลย กว่าจะได้เรือมา ค่าขนมา ลำละเป็นล้าน
ชีวิตของคนดีโลกุตระไม่เหมือนปุถุชนทั่วไป คนดีเราก็จะมาเป็นคนจน จนสุดๆ จนหมดตัวหมดตน แต่ก็กลับอีกด้านหนึ่งมีทุกอย่างเลย ลดจนหมดแล้วก็มีได้ทุกอย่าง มีก็เอาไว้ให้ คนคิดเอาไม่ได้ แต่ต้องปฏิบัติจริงจึงพบเจอ
คนรวยเป็นพันล้านหมื่นล้าน ไม่มีน้ำตกรอบบ้านหรอก แต่ที่นี่มีน้ำตกรอบทิศเลย ร้อนขนาดนี้คนก็ยิ่งมา เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เราทำได้ เป็นการเสียสละแก่ผู้อื่นช่วยเหลือเกื้อกูลเขา พ่อครูก็พาพวกเราทำ ในยุคคนเห็นแก่ตัวมากร้อนแรงรุนแรง เหมือนการเมืองทุกวันนี้คนก็จ้องแต่จะเอาตำแหน่ง อยากจะได้เป็นของตัวเองก็ว่าคนอื่นให้เสีย ให้กับตนเองได้ แต่โลกุตระมีแต่เสียสละให้คนอื่น
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 17-20 พ.ค. 2562
_1614ทำอย่างไร จะประคองจิตให้ผ่องใส ไม่ขุ่นมัว
พ่อครูว่า…ก็จะทำยากอะไร ก็ทำจิตให้ผ่องใส ไม่ขุ่นมัว ก็ต้องฝึก พระพุทธเจ้าตรัสสอนมนสิการการทำใจในใจของตนเองให้ได้ ทำให้มันผ่องใสไง ประคองก็เป็นศัพท์ภาษาที่บอกว่า หัดทำให้มีจิตแบบนี้ ประคองมัน ช่วยให้มันอยู่ในอาการที่เราต้องการให้ผ่องใส
พระพุทธเจ้าไม่ใช่ให้ ประคองไว้เฉยๆทื่อๆ อย่างนั้นสมถะ พระพุทธเจ้าสอนให้รู้เหตุ ไม่ใช่ไปประคองบังคับมันไว้ แต่เราต้องดูที่เหตุของสิ่งที่ทำให้จิตใจไม่ผ่องใสไม่ขุ่นมัว เราก็ดูว่ามันไม่ผ่องใสมันขุ่นมัวจริงๆ อาตมาก็บอกความจริงของตัวเองให้ฟังเสมอ อาตมาไม่มีจริง โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ ก็คือจิตขุ่นมัวไม่ผ่องใส
โศกเศร้า ปริเทว พิรี้พิไร ทุกข์ อยู่ตลอด
อาตมาบอกความจริง บอกอุตตริมนุสสธรรมของตัวเอง บอกไปแล้วก็ไม่มีกิเลสอยากอวด ความดีความเก่งความพิเศษของตัวเองไม่ได้มีจิตตัวนั้นเลย แต่ที่พูดที่บอกก็คือยังไม่รู้กี่ครั้ง แต่คนฟังแล้วเขาไม่เชื่ออาตมาไม่มีสิทธิ์บังคับใครให้เชื่ออาตมามีสิทธิ์ที่จะพูดความจริงส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ศีรษะใครศีรษะมัน ไปบังคับได้อย่างไรจะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่
อาตมาไม่ได้มีจิต โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ จิตใจมันผ่องใสบริสุทธิ์ตลอดฐานของจิตที่บริสุทธิ์ผ่องใสเป็นจิตที่สมบูรณ์แบบ เป็นโลกุตระเป็นฐานการทำจิตในจิต เมื่อปฏิบัติเป็นท่านเรียกว่าเนกขัมมะ คือ กิเลสมีในจิตก็ทำให้กิเลสออกไปจากจิต
ก็ต้องรู้จักตัวอาการของกิเลส เมื่อรู้จักแล้วก็ต้องมีวิธีทำให้กิเลสมันจางคลายมันออกไปจากจิตใจเราจนกระทั่งมันออกไปหมด เป็นจิตสะอาด เป็นจิตผ่องใสด้วยการรู้กิเลส หยาบ กลาง ละเอียด แล้วก็ให้มันออกไป จนบางเบา จนหมดเกลี้ยง จิตก็ผ่องใสบริสุทธิ์สะอาด
ปริสุทธา แม้จะมีเหตุปัจจัยองค์ประกอบปรุงแต่งกันอยู่เป็น อปุญญาภิสังขารเป็นอเนญชาภิสังขาร จิตเราก็ทำการปรุงแต่ง โดยไม่ต้องกำจัดกิเลสอีกแล้ว
พลังงานจิตเป็นฌานมีพลังไฟเผาไฟราคะโทสะโมหะได้
ผู้ที่ทำได้ดีทำได้แล้วก็ยิ่งมีจิต มุทุตา กัมมัญญตา จิตปรุงแต่งก็เร็วเป็นฐานที่ตั้งมั่นก็ดี อเนญชาภิสังขาร เอาไปปฏิบัติประพฤติเกี่ยวข้องทำกิริยาอะไร แม้จะเจอกับเหตุที่มันเคยทำให้เรามีกิเลสแต่เดี๋ยวนี้มันก็ไม่มี มีอำนาจทั้งมีสติและมีอำนาจปัญญาเป็นอธิปไตยเป็นอุตระ อยู่เหนือมันได้จริง
พระพุทธเจ้าท้าทายให้พิสูจน์ตามที่ท่านตรัสไว้ เช่นจากมูลสูตร สติเป็นอำนาจอธิปไตย ปัญญาเป็นอุตระเป็นต้น
อาตมาขยายความจากพระพุทธเจ้า อาตมาทำได้ตรงตามนั้นด้วย อาตมาก็สบายใจที่อธิบายสิ่งที่เป็นโลกุตระจิต เป็นสิ่งที่เหนือธรรมดาของปุถุชนเขา ปุถุชนเขาทำไม่ได้แต่เราทำได้เราก็บอกความจริงยืนยันเปิดเผย ให้ยืนยันว่าเราเป็นอาริยะเป็นพระอรหันต์ก็มีคุณธรรมอย่างนี้ มีกรรมกิริยาอะไรอยู่ในสังคมเป็นคนที่ไม่ใช่หนีออกจากสังคม ตามที่เขามีความเข้าใจผิดเป็น Concept ความวิปลาส เป็นมิจฉาทิฐิต่างๆที่มันผิดไปนานแล้ว อาตมาก็จำเป็นต้องมาอธิบายยืนยัน ต้องดูอย่างที่อาตมาพาทำอย่างนี้ ประกาศอย่างไม่ได้อวดตัวเอง แต่ยืนยันว่าอรหันต์ของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ไม่ใช่เป็นอย่างโน้น และเป็นไปได้จริงเป็นไปได้ในยุคนี้ว่าอย่างนี้ถูกต้อง อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ
อธิบายธรรมะอย่างที่เป็นจริงเป็นสภาวะ ตามคำสอนพระพุทธเจ้าซึ่งอาตมาอธิบายไม่เหมือนกัน ตามที่มีปัจจัตตัง ปัจเจกของตน พูดอย่างนี้ทำได้อย่างนี้ ทำได้อย่างนี้ก็พูดได้อย่างนี้ ยถาวาที ตถาการี เพื่อยืนยันว่าธรรมะพระพุทธเจ้าไม่สูญเป็นโมฆะยังไม่ว่างจากโลกุตรธรรมจริงๆ แต่คนถือสาคนอวดโอ่จนไม่ไว้ใจ เพราะมันหลอกคนอื่นมามาก เลยไม่เชื่อใครเลย จนไปพูดว่า ผู้บรรลุธรรมแล้วไม่มาอวดหรอก หากอวดก็ผิด พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่าคนบรรลุธรรมแล้วบอกคนอื่นไม่ได้ ในโลหิจสูตร
ผู้ที่บรรลุแล้ว โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่… ฯลฯ ”
พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 358) มีนักปราชญ์ทางศาสนาของเมืองไทยคนหนึ่งพูดเช่น
พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนที่พูดเช่นนี้พูดไปแล้วมีภัยต่อศาสนาเป็น 2 ข้ออย่างนี้
_3867ผู้รู้ธรรมจริงโกรธใครไม่เป็นทุกปัจจุบันขณะ! ผู้เข้าถึงธรรมแท้ไม่โลภทุกปัจจัย! ผู้บรรลุธรรมโลกุตระไม่หลงติด อำนาจลาภยศสักการะสรรเสริญโลกียะสุขทุกกรรมทุกกาล! กราบอนุโมท นาพ่อครูฯ ผู้พิสูจน์แล้วถึงธ.ตถาคตฯ ดับสิ้นแล้วซึ่งโลภโกรธหลงชัดจิตอาริยะชนชัดแจ้งใจมวลชนจริงแท้สาธุ!
_1045ขอนมัสการพ่อครูสมณะครับผมชอบฟังธรรมของพ่อครูเป็นประจำครับ/กาญจน์
พ่อครูว่า…อาตมาไม่มีพวกหมู่ครูบาอาจารย์เลย คนก็เลยเชื่อยากจะมีคนที่มีภูมิปัญญาปฏิภาณเองว่านี้ใช่ก็จะมีมา นอกนั้นคนที่ถูกครอบงำทางความคิดไปเชื่อถือสิ่งที่ผิด ก็น่าสงสาร พูดด้วยความจริงใจทั้งนั้นได้แต่พูด ให้ชัดเจน เขาพูดอย่างซ่อนแฝงคนกลับเชื่อแต่อาตมาพูดความจริงคนกลับไม่เชื่อ ก็เอาคนที่มีปฏิภาณตาแหลม อาตมาเป็นสยังอภิญญามีความรู้เดิมของตัวเองมาแต่ชาติก่อน พูดไปแล้วก็ไม่เหมือนคนอื่น ถ้าหากอาตมาถูก คนอื่นเขาก็ผิด ถ้าหากอาตมาผิดคนอื่นเขาก็ถูก ถ้าเขาถูก ศาสนาพุทธคงไม่มีคดีเงินทอนวัดเอาพระใหญ่โตไปติดคุกตาราง ยังคลุมเครือกันอยู่ตอนนี้นะ ทำอะไรกันไม่ได้มากมาย อาตมาก็ต้องยืนยัน พูดสัจจะความจริง ใครจะชังอาตมาห้ามไม่ได้ ใครจะรักหรือชังอาตมาไม่มีปัญหา อาตมามีปัญหาคือเรื่องจริงกับไม่จริง แล้วอาตมาจะนำเสนอเรื่องจริงนี้ จะตายจะเป็นก็ไม่มีปัญหาขอเสนอความจริง จะรักหรือชังก็ยิ่งไม่มีปัญหาใหญ่ ใครจะรักจะชังก็เรื่องของเขา แต่อาตมาไม่ได้รักไม่ได้ชังใครอาตมากลางๆ เพราะอาตมาเข้าใจแล้วเรื่องรักเรื่องชังเป็นเรื่องโง่อวิชชา
สรุปแล้ว ทำอย่างไรให้จิตใจผ่องใสไม่ขุ่นมัวก็คือทำ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วจิตใจก็จะได้เป็นจิตที่ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นจิตใจที่มีวิชชา แล้วโศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ ก็จะไม่มี อาตมามีจิตใจผ่องใสไม่ขุ่นมัวตลอดเวลา สังคมเขาวุ่นวายเราก็ไม่ได้วุ่นวายไปกับเขา เราก็ดูว่าจะช่วยแก้ได้ขนาดไหนตัวเราก็เท่านี้
_2166พ่อท่านเทศน์ วิสาขะ สุดยอดจริงๆครับ
_3517ผมชอบประวัติท่านเหมือนขุนพันธ์ พันตำรวจโท รุ่งโรจน์เรื่องแรกประวัติท่าน คล้ายขุนพันธ์
_3867ขออนุญาตลุงบก.พตท.รุ่งโรจน์ศิษย์เก่ารัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์ม.รุ่น14 กับคอลัมณ์คิดนิดคิดหน่อยกับคำกล่าวป๋าเปรมฯ รบ.ของนายก(ลุงตู่)ไม่โกงเพราะเป็นคนที่เห็นแก่ส่วมรวมจริงๆ!กองหนุนลุงคนดีตามรอยคำสอนพ่อฯ ก็คิดตรงกันกับลุงบก.!นับถือฯลุงบก.
พ่อครูว่า…ก็จริงนะ มี error อยู่บ้าง คนก็จับเอา error มาตี แต่องค์รวมแล้วในยุคนี้ทำเรื่องการไม่โกงไม่คอรับชั่นได้ดีกว่ารัฐบาลอื่น หากหัวไม่ส่ายหางไม่กระดิก ก็หากหัวไม่โกง รับรองไปได้
_0499การนอน(ที่ไม่เคยอิ่ม) พุทธเจ้าตรัส ว่า:- พระ(สมณะ)…๔ (ชม.) เศรษฐี…………๖(ชม.) ยาจก(น่าจะหมายถึงคนขี้เกียจ)..๘(ชม.) แปลว่า นอนแค่พอดีกับร่างกายอย่าติดนอนๆๆ!!
พ่อครูว่า…เรื่องติดนอนนี้อาตมาเคยบรรยายไว้ มันเป็นนิทรารามตา ติดยึดรสอร่อยในการนอนหลับ อาตมาอธิบายอีกภาษาว่า เรื่องนี้มันเป็นอาการอารมณ์ อารมณ์ติดนอนมะลำมะเลือง เป็นถีนังมิทธัง จับอาการนั้นให้ได้แล้วอย่าให้มันเป็นอาการนั้น อาการหรี่หลับมันอร่อย เสร็จแล้วก็จมอยู่กับอาการนี้โดยไม่รักษาไม่เปลี่ยนแปลงอารมณ์นี้ เพราะฉะนั้นเมื่อใดก็แล้วแต่คุณนอน ถ้ารู้สึกตัวปรับแล้วมีอารมณ์อยากจะหรี่หลับอร่อย ก็อย่าปล่อยให้มันเกิดขึ้นในจิต ทำจิตให้ตื่นโพลงตื่นเต็ม อย่าให้มีอาการในจิต แล้วคุณต้องรู้ตามด้วยปัญญาว่าอาการทำจิตให้ตื่นใส ชาคริยา ตื่นโพลง ในขณะนอนหลับ เมื่อใดก็แล้วแต่ที่มีอาการ ถีนังมิทธัง ก็ทำให้เกิดอาการจิตที่แจ่มใสเสีย แล้วก็ให้เปรียบเทียบอาการจิตที่แจ่มใสมันดีกว่าได้ประโยชน์กว่าอาการจิตที่ซึมหรี่หลับ หากปัญญามันเห็นชัดเจนว่าอารมณ์แจ่มใสนี้มันดีกว่าอารมณ์ สะลึมสะลือเอร็ดอร่อย โง่ตายชักเลยไปหลงติดกับความเอร็ดอร่อยแบบนั้น ถ้าจิตใจแจ่มใสตื่นเต็มนี้ดีกว่า ถ้าจะไปติดยึดกิเลสแบบนี้อารมณ์แบบนี้ดีกว่าไปติดยึดอารมณ์แบบนั้นมันโง่ เข้าใจไหมอธิบายแล้วเปลี่ยนเสีย ทำจริงๆแล้วควรจะเห็นจริง เสร็จแล้วเมื่อปัญญามันเกิดจริง แต่เดิมไปเข้าใจผิดที่ไปเห็นดีในอารมณ์ ถีนมิทธะ มันจะหายไปหมดเลย แล้วมันจะแจ่มใสตลอดตั้งแต่อาตมาบรรลุธรรม ไม่เคยมะลำมะเลืองไม่มีเลย จะเห็นได้เลยว่าอาตมาจะหลับจะตื่นก็สดชื่นแจ่มใส นี่เป็นการพูดความจริงไม่ใช่อุตริที่ไม่มีในตน
_คอยไท · กราบเคารพพ่อครูครับ เมื่อวานวันที่17 ผมดูข่าวช่องเนชั่นเห็นนายกลุงตู่กินข้าวกับนักข่าวรวมโต๊ะกัน พอลุงตู่ตักข้าวเข้าปากผมเห็นแว๊ปๆว่าลุงตู่ใส่ริชแบนด์สีส้มแบบผมเลย ริชแบนด์สีส้มคือริชแบนด์ ฉลองสิริราชสมบัติครบ60ปี และผมก็ใส่มาถึงทุกวันนี้ครับ ถ้าผมตาไม่ฝาดลุงตู่ใส่ริชแบนด์ที่ผมว่าจริงๆแสดงว่าลูงตู่รักในหลวง ร9 อย่างจริงใจเหมือนผมเลยครับ
ทุกวันนี้ผมใส่อยู่สามเส้นครับ สีส้มคืออันที่กล่าวไปแล้ว และอีกสองสีคือ สีดำ และสีม่วงครับ
สีดำคือวันสิ้นพระชนในหลวง ร9 ส่วนสีม่วงเป็นฉลองครบ 60 พรรษาของสมเด็จพระเทพฯ ครับ และผมจะใส่แบบนี้ตลอดไปจนวันตายเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันครับพ่อครู
ขอถามครับถ้าผมเป็นชาวอโศกแล้วผมใส่ริชแบนด์แบบนี้ผมผิดกฎชาวอโศกข้อไหนไหมครับ ขอบพระคุณพ่อครูครับ
พ่อครูว่า…ยังไม่มีกฎเกณฑ์ข้อไหนว่าจะผิดข้อนี้
_สติพล จนพัฒนา · ถ้าอยากเป็นคนทันสมัย ต้องใส่ใจในการเวียนธรรม…เพราะเวียนเทียนล้าสมัยแล้วโยม!!!.
พ่อครูว่า…เรื่องความจนนี้สุดยอดจริงๆ เวียนเทียนเป็นเดรัจฉานวิชาพระพุทธเจ้าห้ามไว้ในศีลชัดเจนไม่มีการจุดธูปจุดเทียนบูชาไฟ ซึ่งทุกวันนี้พูดกันไม่รู้เรื่องหรอก เพราะเขาได้หลงผิดไปยึดถือความผิดกลายเป็นความถูก แล้วเราพูดไปก็เหมือนไอ้เข้ขวางคลอง เขาพูดผิดเราก็ต้องขวางอยู่อย่างนั้น ไม่ใช่ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เรื่องดีๆเราก็ตาดีทำตาดีให้พวกตาเขามาทำตาดีอย่างเรา
เรื่องพวกนี้อาตมาเกิดมาในยุคนี้มาต่อต้านเดรัจฉานวิชาที่ผิดไปจากพระพุทธเจ้ามากมายเลย จนกระทั่งคนฟังซ้ำซากเบื่อว่าได้แต่พูดว่าเขา แต่จะให้ชมได้อย่างไรมันเป็นเรื่องผิดก็ต้องว่าอยู่อย่างนี้แหละ ได้ผลบ้างไม่ได้ผ่อนบ้างก็ต้องเอาก็ต้องพูดแต่สิ่งที่ถูกต้อง ต้องว่าแต่สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ถูกต้องจะให้ดีขึ้นมาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง จะชมก็ไม่ต้องมากหรอก หากชมไปชมมาก็มาชมพวกเรา จะตำหนิก็กลายเป็นตำหนิพวกเขา แล้วคนก็เลยหาว่าไปตำหนิไปก่อความแตกแยก
คนที่ไม่แยกแยะความผิดความถูกคือคนโง่ดักดาน แล้วอย่ามาอ้างว่าการบอกแยกแยะถูกผิดอันนี้ควรหรือไม่ควร เป็นคนทำความแตกแยกนะ คุณไปอยู่ในวงการชาวนรกของคุณไปเถอะ บื้อ มันถูกก็ไม่รู้ผิดก็ไม่รู้ ก็จงเป็นหนึ่งอยู่อย่างนั้นถูกก็ทำผิดก็ทำแยกไม่ออกเลย คุณจะโง่ไปถึงไหนก็โง่เองเถอะ อาตมาไม่ยอมให้คนโง่อย่างนี้ อย่ามาพูดโง่ๆ ว่าอย่ามาสร้างความแตกแยก มันเป็นวาทกรรมเป็นโวหารปรัชญาขี้หมูราขี้หมาแห้งพวกนี้อาตมาไม่สนใจ
_จุ๋ม สุมาลี · กราบนมัสการด้วยความเครารพอย่างสูงสุดเจ้าค่ะ พ่อครูคือผู้รู้ที่ไม่มีใครเสมอเหมือนในยุคนี้ นับเป็นบุญมากที่ได้เกิดมาพบท่านในชาตินี้
พ่อครูว่า…อาตมาพูดจริง แต่ชวนหมั่นไส้ คนอะไรหลงตัวตนยกตัวอย่างตน อาตมาว่าอาตมาไม่ได้หลงตัวตน แต่พูดความจริงสิ่งที่ควรยกควรชมก็ควรยกสิ่งที่ควรตำหนิก็ควรตำหนิ อาตมาก็พูดความจริงอย่างนี้ทำจริงตามที่พูดอย่างนี้ ยถาวาที ตถาการี จะให้อาตมาทำอย่างไร อาตมาทำและสอนตามพระพุทธเจ้าทุกอย่างจะไม่ให้อาตมาสอนตามพระพุทธเจ้าก็แล้วไปตัวใครตัวมันศีรษะใครศีรษะมัน อาตมาไม่มีทางเลี่ยงก็ต้องทำอย่างนี้ คุณจะไม่สนใจจะหมั่นไส้ก็ช่วยไม่ได้ แต่ถ้าใครเห็นว่าอาตมาเป็นคนตรงเป็นคนซื่อ เป็นคนจริง เป็นคนทำงานอย่างมุ่งมั่นก็เอา แต่ถ้าใครไม่เห็นความจริงที่อาตมาพูดไป 3-4 วลีนี้ อาตมาเป็นคนตรงเป็นคนจริงเป็นคนมุ่งมั่นมีสิทธิ์ที่จะทำความจริงความดีอันนี้แล้วอาตมาจะทำหน้าที่นี้ไม่ทำงานอื่นหรอก จนตายอาตมาก็ทำงานนี้ อาตมาทำงานฟรีเอาก็ไม่เอาไม่เอาก็แล้วไป
_พอดี พอดี · นมัสการค่ะพ่อท่าน สถานการณ์ลูกต่างคนต่างฟ้อง เห็นสีหน้าพ่อท่านแล้ว ลึกซึ้งเข้าไปในจิตใจเลย จิตใจคนแรงกว่าการกระทำจริงๆ
วันนี้พ่อท่านเจอศึกคนวัดคนบ้านปฐมอโศก หึหึ (รายการสำมะปี๋ซี๋วิตที่ปฐมฯ)
พ่อครูว่า…ดี คุณอ่านออกก็ดีแล้วเป็นตัวอย่าง
_นันท์มนัส · ตั้งเป้าหมายในชีวิตได้อย่างไร ทำอย่างไร จะสำเร็จ ถึงเป้าหมาย
พ่อครูว่า…เริ่มต้นจุดที่จะเริ่มต้นให้ได้ก่อน อย่าไปมองถึงเป้าหมายที่มันไกล เอาเป้าหมายถึงจุดหนึ่งเริ่ม 1 แล้วปฏิบัติให้ได้เป้าหมาย 1 เรื่อง จะได้เป็นฐานแห่งชีวิต 2 เรื่อง 3 เรื่อง อย่าไปคิดไกลจนกระทั่งโอ้โหไปถึงเป้าหมายสูงสุด เอาเป้าหมายที่เป็นจุดหมายของเรื่อง เช่น ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ
ศีลข้อ 1 ก็ทำให้เกิดวิมุติให้ได้ก็แล้วกัน ศีลข้อ 2 ก็ทำให้เกิดวิมุติให้ได้ก็แล้วกัน ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวข้องกับของและพืชซึ่งอย่าไปทุจริต สร้างสรรค์ของสร้างสรรค์พืช เรื่องสัตว์อย่าไปยุ่งกับมันเลย ให้มันไปตามวิบาก โดยเฉพาะสัตว์มนุษย์เราต้องเกี่ยวข้องอยู่ แต่สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายอย่าไปเกี่ยวข้องกันเลย แม้จะต้องเอามากินมาใช้ก็ไม่ต้อง มีศีลจุลศีล ท่านห้ามไว้หมด อย่าเอาสัตว์มาใช้มากิน มาเกี่ยวข้อง ในจุลศีล ท่านห้ามไว้ชัดเจน
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร.
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา
ท่านแบ่งสามข้อใหญ่ พูดถึงฝ่ายโน้นเขาเมืองไทยไม่ค่อยมีแพะหรือแกะ แต่ทางโน้นเขาเยอะ แพะแกะ คือสัตว์ที่เอามาเลี้ยงเพื่อกินนมหรือเอาขนของมัน ส่วนรับไก่ สุกร คือกินไข่ไก่ ส่วนอันที่สามรับช้างโค ม้า ลา เอามาใช้แรงงานเป็น 3 หมวดหมู่ใหญ่
นอกนั้นสัตว์อื่นไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ แต่ 3 อย่างนี้คนเอามาใช้ประโยชน์กันมาก มีนัยสำคัญตามที่อาตมาหมาย สิ่งที่มีประโยชน์คุณค่ายังไม่ให้เกี่ยวข้องเลย แต่เรื่องที่สัตว์อื่นมันไม่ได้มีประโยชน์คุณค่าอะไรอย่ามาเกี่ยวข้องกับเราเลย ดีก็ไปเอาหนูมาเลี้ยง ไปเอาสัตว์ประหลาดมาเลี้ยง ซื้อสัตว์ที่แพงมาเลี้ยงสร้างวิบากผูกพันทางจิตวิญญาณ
ในคนด้วยกันก็มีวิบากด้วยกันกว่าจะพ้นกันได้ก็ต้องเรียนรู้อย่างมาก ยังไม่พอหรือต้องไปสร้างวิบากจากสัตว์ วิบากที่เกี่ยวกับคนเกี่ยวกับสังคมตัวเองก็ยังไม่เรียนยังไม่มีธรรมะแล้วแถมอันนี้อีกก็จะจมไปหนักอีกเท่าไหร่ หากฟังธรรมะที่อาตมาพูดนี้รู้ คุณอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ใดๆเลย สัตว์ทุกตัวเกิดมาตามวิบากก็ปล่อยไปตามวิบาก แม้แต่จะอ้างมาใช้เพื่อกินเพื่อใช้ จะกินเนื้อกินไข่กินตัวของมันหรือจะเอามาใช้แรงงานเอามา ทำอะไรก็แล้วแต่ ยิ่งไม่มีประโยชน์แล้วอย่าไปยุ่งกับมัน ควรจะปลดปล่อยตัวเอง คุณจะได้ไม่มีวิบากความผูกพันเกี่ยวข้องซึ่งไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติที่มันมีวิบากเกี่ยวพันเกี่ยวข้องกันมา สัตว์ทุกตัว ในมหายาน เขามีพระสูตรลังกาวตารสูตร บอกไว้ว่าไม่มีสัตว์ตัวใดไม่เคยเกิดเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูก โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยทั้งนั้นเลย มันเกิดมานานนับชาติไม่ถ้วน พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตัดเกินไป เพราะฉะนั้นตัดสิ่งที่จะต้องมีวิบากแก่กันและกัน ที่มีอยู่นั้นก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว เริ่มต้นก็ยังไม่ได้เลยแล้วจะเติมเข้าไปอีก มันน่าสงสารไหมคน นี่มันไม่ฉลาดอะไรเลย ขออภัยที่พูดว่านี้มันโง่จริงๆ มีหมามีแมวเอาไปปล่อยเสีย คนที่เขาหลงใหลติดยึดก็เรื่องของเขา
เราต้องรู้จักตัดวางปลงภาระสิ่งที่เราติด ไม่เช่นนั้นเราจะมาเรียนรู้อะไรในสัจธรรม นี่คือสัจจะที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ แค่นี้ก็ไม่เข้าใจแค่นี้ก็ไม่ทำ ไม่พยายามปฏิบัติศีลข้อที่ 1 เท่านี้แต่เขาไม่ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้งที่เกี่ยวกับศีลข้อที่ 1 นะ ถ้าคุณเข้าใจในศีลข้อที่ 1 อย่างที่อาตมาว่า ชาตินี้พวกคุณมาปฏิบัติตามที่อาตมาพาปฏิบัติ คุณได้ไปเยอะขอยืนยัน ตัดวิบากตัดภาระสิ่งที่มันพัวพันคุณได้ไปเยอะเลย คุณมาปลดปล่อยในชาตินี้ต่างคนก็ต่างไป จิตใจคุณก็ละวางสัตว์นั้น มันก็ไม่มีวิบากกับเราอีกไม่มาเป็นหนี้บุญคุณไม่มีหนี้ทางจิตวิญญาณผูกพัน แล้วมันผูกพันเป็น 2 อย่าง อาฆาตก็ผูกพัน รักก็ผูกพัน ผูกพันทั้งสองด้าน
จะทำอย่างไรให้สำเร็จก็ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญานี้เป็นการอธิบายศีลข้อที่ 1 ให้เป็นตัวอย่าง
_ดีทน อินสะพรหม · ปฎิบัติแบบอโศกต้องเจอผัสสะเป็นเรื่องปกติ
_สุทัศน์ ศรีสังทวงษ์ •ผมได้ดูและฟังประวัติของท่านโพธิรักษ์ มันช่างคล้ายกับท่านทักษิณ ที่ถูกบังคับให้เป็นคนผิด ทั้งสองท่านนี้มีความเก่งเสมอกันแต่คนละด้าน ทั้งสองท่านได้มาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้สังคมไทย และทั้งสองท่านก็ถูกบีบจากคนที่สู้ไม่ได้ จนเกือบไม่มีที่จะยืนในโลกใบนี้ และอยากถามท่านโพธิรักษ์ ท่านลืมความเจ็บปวดนี้แล้วรึ ที่ทักษิณโดนอย่างท่าน ท่านกลับซ้ำเติมช่วยกันกล่าวหาเขา เหมือนคนในสมัยท่านกล่าวหาท่านว่าเป็นพระไม่ดี ถ้าท่านมีเมตตาและเข้าใจโลกรวมถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยกิเลส ท่านก็ไม่ควรไปว่าหรือกล่าวหาใครแม้จะเป็นความจริงหรือไม่จริง ท่านอยู่ไปและทำในส่วนของท่านที่ดีแล้วทำไป ผมก็ขอชื่นชม สิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยคือไปพูดเรื่องการเมือง และไปสร้างความแตกแยกขัดแย้งเสียเอง โดยไม่คิดว่าท่านก็เคยโดนมาในสมัยอดีต สิ่งที่ท่านทำในปัจจุบันนี้ดีแล้ว แต่อย่าไปว่าใครดีไม่ดี มันเป็นเรื่องของเขา หวังว่าท่านคงเข้าใจ เพื่อไม่ให้กรรมนี้ถึงท่านในอนาคตชาติหากได้เกิดอีกครับ
พ่อครูว่า…คุณผิดแล้ว อาตมามีที่ยืนสบายในโลกนี้ อาตมาทุกวันนี้ยิ่งยืนสบาย แต่ก่อนคนก็พยายามที่จะไล่ตะเพิดบีบคั้นอาตมาอย่างที่คุณพูดไม่ถูก แต่ทำกับอาตมาไม่สำเร็จ แต่คุณทักษิณที่ถูกทำสำเร็จ ไม่ใช่ใครเลย อาตมาพาทำไปไล่ทักษิณด้วยสำเร็จ ไม่ใช่ใคร
_สู่แดนธรรมว่า..พ่อท่านต่อสู้ทางศาลแต่ทักษิณหนีศาล
พ่อครูว่า..มันจะเหมือนกันได้อย่างไรเรื่องคนหน้าไม่อายกับเรื่องของคนที่จิตใจแข็งแรงสง่าผ่าเผยไม่หลบเลี่ยง
คุณใช้ปฏิภาณปัญญาให้ดีอย่าสับสนถ้าหากสับสนอย่างนี้มั่วเลยแยกไม่ออก แต่หากไม่ให้ว่าใครเลย มันเป็นเรื่องของคุณความเห็นต่างกันกับอาตมา อาตมาไม่ใช่เป็นคนดูดายใจดำอย่างนั้น ใครจะผิดจะถูกก็เฉยไม่เอาภาระช่างหัวใครเถอะ อย่างนั้นไม่ใช่ อาตมานั้นเอาภาระมนุษย์เอาภาระสังคม
พูดถึงการเมืองอาตมาทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว การเมืองเป็นเรื่องของมนุษย์สังคม เห็นคนตกนรกหมกไหม้เป็นคนชั่ว เราก็ต้องช่วยเขาให้เขามีสติรู้ตัว การแยกดีแยกชั่วไม่ใช่คนทำความแตกแยก แต่ควรทำความดีความกระจ่างให้รู้ให้คนเปลี่ยนแปลงไปทำสิ่งที่ดีที่ถูกต้องอย่าไปทำสิ่งชั่วร้าย คุณอย่าสับสนสิ ความแตกแยกกับการทำให้แจ้ง 2 อย่างที่ต้องมีอุปมา ต้องมีการเปรียบเทียบดีชั่วถูกผิด มันเกิดภาวะสอง ต้องทำภาวะ 2 ให้แยกแตกออกให้ชัด แล้วหยุดทำชั่วทำแต่ดี ถ้าแค่นี้คุณเข้าใจไม่ได้แล้วก็ไปโมเมว่าอย่าไปทำความแตกแยก คุณก็จะกลายเป็นเทวนิยมตลอดกาล เป็น 2 คนก็จมกับเทวะ 2 ไม่ตีแตกแยกตัวเองก็ 2 และคุณก็แยกอะไรไม่ออก เทวนิยมจะจมอยู่กับความไม่รู้ ตัวเองคือเทวฺตัวเองคือ 2 คุณก็ไม่รู้จักตัวเองแยกเทวะไม่ออก นี่คือชาวเทวนิยมทั้งหลาย แยกตัวเองที่เป็นซองไม่ได้ทำให้เหลือ 1 ไม่ได้ทำให้เหลือ 0 ไม่ได้ ศาสนาเทวนิยมจึงไม่มีนิพพาน ไม่มีความรู้มากกว่านี้ ไม่มีโลกุตรธรรม
หากว่าอย่าไปว่าใครไม่ดี…วนอยู่อย่างนี้ บอกว่ามันเป็นเรื่องของเขา ก็เรื่องของเขาสิเราดีแล้วเราไม่ได้ทำไม่ดีอย่างเขาเราก็ต้องว่าเขาติที่เขาทำไม่ดี ให้เขารู้ตัวให้เขาสำนึกให้เขาเข้าใจแล้วเปลี่ยนแปลง เป็นความปรารถนาดีเป็นความเมตตา เป็นเรื่องสุดยอดแห่งความปรารถนาดีของมนุษยชาติ คงจะยากอยู่ คนนี้ยังวนเวียนสับสน
อาตมาเข้าใจยิ่งกว่าคุณเข้าใจ คุณเข้าใจตัวเองให้ได้เสียก่อนเถอะ
คิดว่าอาตมาจะไม่เกิดอีกหรือ อาตมาเกิดอีกแหงๆ คุณเข้าใจความเกิดอย่างอาตมาให้ได้เถิด ขออภัยที่พูดสำเนียงเหมือนกับแข็งๆ ข่ม
_guru x • ความเห็นส่วนตัวของคน้อย มองว่าเป็นเรื่องสามัญธรรมดาทั่วไป เมื่อก่อนเวลาคน้อยไปเสาะแสวงหาวัดป่าเพื่อฝึกปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะแถบภาคอีสาน แค่หลวงตาแก่ๆไม่ได้มีตำแหน่งเจ้าอาวาสอะไร ชาวบ้านก็กราบไหว้กันเป็นปกติ เวลาท่านรับนิมนต์ไปงานบุญที่ไหนคนับ
และถ้ามองดูพระที่มีชื่อเสียงกว่าสมณะโพธิรักษ์ เอาแค่วัดท่าไม้ วัดที่มีของปลุกเสกดังๆ คนก็หมอบกราบศรัทธาอย่างศิโรราบ ไม่ต้องเอ่ยถึงพระที่ชาวบ้านธรรมดารู้จัก เช่นหลวงตามหาบัว หลวงพ่อคูณ ฯลฯ
ทีนี้ถ้าคนในเครือข่ายไม่เคารพนั่นต่างหากคน้อยว่าจะเป็นเรื่องไม่ธรรมดาแน่ คน้อยเห็นพระดังหลายๆรูปที่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ก็ประสบปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับลูกศิษย์ จนต้องออกมาฟ้องร้องกัน อย่างล่าสุดสำนักที่เน้นสอนเพียงคำของพระพุทธเจ้า เจอลูกศิษย์ใกล้ชิดออกมาแฉ ออกมาฟ้องร้องเรื่องเงินๆทองๆ เรื่องสีกา เละเทะอยู่ทุกวันนี้ ไม่นับพวกอลัชชีหากินกับศรัทธาญาติโยม เช่น เณรคำ ยันตระ อีกทั้งพวกพระระดับสมเด็จที่มีคนนับถือกราบไหว้ แต่สุดท้ายถูกจับติดคุกคดีเงินทอน สมเด็จที่ไหวตัวทันก็หนีไปเสวยสุขที่ต่างประเทศ องค์ที่อายมากก็ผูกคอตายลาโลก กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์คนคน้อยว่านะฮะ
_(จน เขียน)Chon Kyun • วิเคราะห์จากความเห็นส่วนใหญ่แล้ว พบว่าท่านสมณะโพธิรักษ์ต้องทำงานหนักอีกต่อไป 150 ปี อาจไม่พอให้คนเข้าใจธรรมของพุทธองค์ แม้เพียง 10% ของคนทั้งประเทศ แค่คำว่าอรหันต์ ก็เลอะเทอะไปไกลจนกู่ไม่กลับ ทั้งๆที่มีบัญญัติกฏเกณฑ์ไว้ในพระไตรปิฎกชัดเจนเป็นขั้นเป็นตอน แต่คนส่วนใหญ่ก็ด้นเดาเอาตามความเชื่อ เอาตามที่คนอื่นเล่าลือมา เอาตามที่หนังละครทำให้ดู อรหันต์ต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่ไม่เคยศึกษากฏเกณฑ์ที่พุทธองค์กำหนดไว้เลย หน่ำซ้ำยังสร้างกฏเกณฑ์ขึ้นมากันเอง ว่าอรหันต์ต้องมีลักษณะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องทำอันนี้ได้ ทำอันนั้นไม่เหมาะ ไปโน่นเลย ทั้งๆที่แค่ความสุขสำเร็จจากการรักษาศีล 5 ตัวเองก็ยังไม่เคยสัมผัสสภาวะแบบนั้นเลย แต่กลับหาญกล้าสามารถไปตัดสินผู้อื่นได้ว่า คนนี้อรหันต์ คนนี้ไม่ใช …น่าหัวร่อบรรดาชาวพุทธเพียงทะเบียนบ้าน คิ คิ..
พ่อครูว่า..ทุกวันนี้คนไม่รู้จักอรหันต์เพราะว่าคนบอกว่าเป็นอรหันต์และบอกใครไม่ได้ แล้วคนก็เดาว่าคนอื่นคนนั้นคนนี้เป็นอรหันต์ บางคนบอกว่ากระดูกเป็นพระธาตุจึงเป็นอรหันต์ซึ่งขอยืนยันตรงนี้เลย ไม่มีคำสอนใดๆบอกเลยว่าอรหันต์ต้องดูกันที่พระธาตุไม่มี เป็นคำสอนของพวกเดียรถีย์สมัยโบราณที่ติดยึดแล้วเอามาปนเข้ามาในศาสนาพุทธ
กระดูกเป็นพระธาตุเป็นการจับตัวกันของธาตุแคลเซียมในกระดูก คนที่ฝึกแบบฤาษีมีธาตุของความเย็นพลังเย็นทำให้กระดูกรวมตัวกันแน่นเป็นฟิวชั่น กระดูกก็จะจับตัวกันแน่นเนียนจนเป็นผิวมันบางอัน แต่ไม่ใช่เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นอรหันต์ เลิกงมงายกันได้แล้ว
พระอรหันต์สายปัญญากระดูกจะไม่จับตัวกันเพราะตัวเองจะมีพลังงานร้อน แคลเซียมจะจับตัวไม่เป็นอะไรแบบนั้น แล้วพระอรหันต์ที่เป็นสายปัญญาจะเป็นอรหันต์ก่อนพระอรหันต์สายเจโต เจโต จะไม่เป็นอรหันต์ได้ง่ายๆ จะเป็นทิฏฐิปัตตะก็ยาก จะกลายเป็นกายสักขีก็ยาก
หากเป็นกายสักขี ยังมีอาสวะบางอย่างสิ้น ถ้าทิฏฐิปัตตะอาสวะก็สิ้นได้ แต่พระพุทธเจ้ายังไม่นับว่าเป็นอะไรเพราะว่าอาสวะยังไม่สิ้น ต้องเป็นปัญญาวิมุติเป็นต้นไปในระดับที่ 6 ในบุคคล 7 ปัญญาวิมุติ เป็นต้นไป อาสวะสิ้นทุกอย่างแต่ยังไม่หมดสิ้นอนุสัย
ถ้าปัญญาวิมุติมีอาสวะสิ้นก็สามารถปรินิพพานเป็นปริโยสาน ยิ่งไปถึงอุภโตภาควิมุติ สิ้นอนุสัยด้วย ก็ยิ่งสมบูรณ์เลย อาตมาอธิบายลักษณะของบุคคล 7 เสริมเติม ไม่มีใครอธิบายอย่างละเอียดอย่างที่อาตมาอธิบายนี้หรอก ไม่มีตำราเล่มไหน ในพระไตรปิฎกก็ไม่ได้ขยายความละเอียดอย่างที่อาตมาพูด แต่ที่พูดได้นี้เพราะเข้าใจและผ่านบุคคลชนิดนี้มาหมดแล้วอาตมาเป็นผู้ที่เป็นบุคคลระดับ 7
อาตมาพูดไปแล้วก็เหนียมตัวเอง พูดไปก็ยิ่งยกตัวเองๆ ก็น่าเห็นใจคนที่เขาหมั่นไส้อาตมาว่าบ้าเอ๊ย ยกตัวเองอยู่ซ้ำซากอีกแล้ว คุณจะเข้าใจอย่างนั้นก็เข้าใจ
อาตมาจำเป็นต้องย้ำให้ชัดเจนว่า ด้วยความจริงใจด้วยความปรารถนาดี ไม่ให้คุณไปเหลาะแหละ ให้มั่นคงปักมั่นกับสิ่งที่เป็นจริงที่ถูกต้องเป็นหนึ่งเดียว ไม่เหลาะแหละ คลุมเครือ ไม่มั่นคงอย่างที่อาตมาพูดหรอกเพราะฉะนั้นให้ตั้งใจให้ดีๆสนใจที่อาตมาพูด ในยุคนี้มันต้องพูดอย่างนี้ เพราะเหลาะแหละไม่ได้ ขนาดนี้ พวกที่ไม่มีภูมิปัญญามองสัจธรรมไม่ออกก็ได้แต่หาเรื่องมาว่าอาตมา
อาตมาก็บอกตรงๆว่าไม่ได้แคร์หรอกคนที่ว่าอาตมา คุณแพ้ภัยตัวเองไปเสียหรอก ส่วนคนที่แสวงหาจะได้ อาตมาว่าจะต้องใช้เวลาพิสูจน์คน แล้วคุณจะค่อยๆรู้
สิ่งที่อาตมาปฏิบัติการพูดและเป็นจริง อาตมามี นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
อาตมามีสภาวะนั้นจึงพูดอย่างมั่นใจ พระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าตรัสไว้ด้วยคำเหล่านี้ มันเป็นเรื่องของสัจธรรมหนึ่งของพระพุทธเจ้าว่า ผู้ที่บรรลุอันนี้แล้วจะมีลักษณะพวกนี้ “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
เป็นคุณสมบัติของนิพพาน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
คำเหล่านี้สื่อเป็นสภาวะธรรมของโลกุตระที่สุดยอด จะไม่มีใครมาอธิบายอย่างซ้ำซากอย่างอาตมาหรอกไม่เหมือนใครผู้ที่เรียนจบเปรียญ 9 มา 8 ใบ จบด็อกเตอร์มาอีก 10 ใบก็ไม่มีทางอธิบายได้อย่างอาตมา ขออภัยที่พูดเป็นเชิงยกตนข่มท่านหนัก ไม่รู้จะทำยังไง ต้องพูดความจริงอย่างนี้แหละ ใครที่มั่นคงไม่ถือสาก็มาเอาที่สัจธรรม อาตมาบรรลุได้ด้วยตัวเองแล้วเอามาอธิบายมาประกาศผู้ที่มีปฏิภาณปัญญาอย่างพวกคุณเข้าใจก็มาฟัง เข้าใจแล้วปฏิบัติได้เกิดมรรคผล เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาตรวจสอบว่ามรรคผลเป็นอย่างไร
มรรคผลเป็นคนมีวรรณะ 9
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ยืนยันได้ว่าเพราะเรามีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 จริง พวกเรามีความหลุดพ้นมี ศีล สมาธิ ปัญญาวิมุติ จริงๆ มีอาการน่าเลื่อมใส่ อโศกนี้ผู้รู้จะมองอย่างไม่มีอคติว่าที่นี่น่าเลื่อมใส ปาสาทิกะ ไม่สะสม ไม่ใช่เรื่องเสแสร้ง มีชีวิตอย่างไม่สะสมต่อไปจนกระทั่งไม่สะสมอะไรเลย เป็นสาธารณโภคีพิสูจน์ได้ยืนยันได้
คำว่าสาธารณโภคีเป็นเศรษฐศาสตร์ที่สูงสุด อาตมาขอยืนยันว่าโลกนี้ในประเทศต่างๆในชุมชนต่างๆแม้แต่ในศาสนาใดๆยังเข้าใจไม่ได้ แต่เป็นจริงมีจริงได้ สังคมในกลุ่มในชุมชนไหนเขาทำได้ …อโศก ทำได้
ซึ่งมันเป็นปรากฏการณ์จริงของมนุษยชาติที่เป็นแล้ว เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ประพฤติปฏิบัติจริงเป็นจริงอยู่อย่างนี้ ซึ่งมันเป็นสังคมที่สุดยอด นักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายแหล่ยังไม่กระดิกหูเท่าไหร่ ยังฟังไม่เข้าใจฟังไม่ค่อยขึ้นบอกว่ามันเป็นเรื่องสุดซอย เป็นวาทกรรมทำเล่น แต่ว่าเราทำได้จริงอย่างเป็นสุขสบายด้วย แล้วชีวิตไม่ต้องห่วงหาอาวรณ์อะไรเลย มีชีวิตมาเป็นสมาชิกอยู่กับกฎพื้นฐานของที่นี่ อยู่ไปได้เลยพึ่งการเกิดแก่เจ็บตายได้เลย ผู้หญิงก็มาขึ้นคานที่นี่ได้เลย ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีลูกมาดูแลไม่ต้องห่วงเลย ไม่ต้องห่วงว่าจะต้องขึ้นคาน ผู้ชายก็เหมือนกัน
ผู้หญิงเขาจะห่วงว่าจะขึ้นคานไม่มีลูกมาดูแลแต่มาอยู่ที่นี่สบายเลย อะไรหลายๆอย่างที่พิสูจน์ให้เห็นมีสาราณียธรรม 6 ก็ชัดเจนอยู่กันอย่างมี เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรมเมตตามโนกรรม มีลาภที่ได้โดยทำก็เอามารวมกันเป็นสาธารณโภคีกินใช้ร่วมกัน มีศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา ปฏิบัติไปเจริญด้วย พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณฃะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ เป็นเจตสิกต่างๆ 7 อย่าง ปฏิบัติแล้วมันเป็นอย่างนี้ได้อาตมาก็ยืนยัน แต่ว่าอวดตัวก็อวดเพราะว่ามันทำได้ ไม่ใช่พูดแต่ปากเปล่า คุณพูดไปแล้วไหนล่ะปฏิบัติได้หรือไม่ก็ไม่ใช่ ก็เพราะว่าไม่มีให้อวดใช่ไหม ถ้ามีก็อวดมา มายืนยัน พูดเท่ พูดอย่างไรทำได้อย่างนั้นบ้างสิ ธรรมะของพระพุทธเจ้า ยถาการี ตถาวาที ยถาวาที ตถาการี
_สุทธิลักษณ์ โคตรลาคำ • 2019 เริ่มเข้ามาดู ภาพรวม..รู้สึกศรัทธาแล้ว..สาธุ ..เรียนถามว่า..ชาวอโศกเป็นคนรวยใช่ไหม..ได้เงินมาจากใหนสร้างบริหารจัดการ จึงได้ดีมากชอบแบบนี้..ไม่ชอบโกหกหน้าด้านๆแบบธรรมกาย..ศรัทธา..เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า..คนแต่ละคนจน แต่สังคมกลุ่มรวย ถ้าประเทศไทยปฏิบัติได้ตามในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสและแบบพระพุทธเจ้า ถ้าหากเข้าใจแบบนี้คนส่วนใหญ่จะปฏิบัติแบบพระพุทธเจ้าและในหลวงรัชกาลที่ 9 พาทำ ตามในหลวงว่า เราไม่ต้องรวยอย่างก้าวหน้าอย่างเขา เราก็รวยพอสมควรของเรา ประเทศเรามีความอุดมสมบูรณ์ถือว่ารวยเหลือกินเหลือใช้แล้วเผื่อแผ่แจกจ่ายคนอื่นได้ด้วยนี่ถือว่าเศรษฐกิจดี
-
ไม่เป็นหนี้ 2. พึ่งพาตัวเองก็รอด รู้จักเหตุปัจจัยของชีวิตที่ไม่สุรุ่ยสุร่ายฟุ้งเฟ้อ เลอะเทอะ สูญเสียตามที่เขาหลอก เป็นคนมีภูมิปัญญา 3. ทำให้เกินให้เหลือ ตัวเองสร้างสรรค์พอกินพอใช้ สร้างมากเกินกว่าที่ตัวเองกินใช้สร้างสิ่งเหล่านั้นเป็นสาระแก่นสารด้วยไม่สร้างสิ่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายไร้สาระ เช่น เอาเวลาแรงงานทุนรอน ไปสร้างอาวุธทำร้ายกันหรือไปสร้างสิ่งที่เป็นอบายมุขเมา เราไม่ทำอย่างนั้น เราเอาแรงงานเวลาทุนรอนไปสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่า จึงจะมีเหตุปัจจัยอาศัยใช้ในชีวิตมนุษย์ที่เพียงพอเข้าใจในความสำคัญเป็นความสำคัญ 4. เอาไปแจกจ่ายประเทศอื่น
เป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นยอดไม่ต้องรวยเพราะการรวยนั้นไปเบียดเบียนคนอื่นมากักตุนไม่สะพัด มันก็เกิดการขัดแย้งกับเศรษฐศาสตร์ที่เขาเรียนมาเขาเรียนแต่เขาไม่ทำ แม้แต่ GDP เขาก็กบฏต่อความหมาย domestic แปลว่าภายใน แต่คุณไปกอบโกยจากภายนอกประเทศมาแล้วบอกว่าเป็นภายใน รายได้รวมทุนจะเอาข้างนอกมารวมแล้วบอกว่าเป็นภายในและบอกว่าเป็น domestic แค่นี้คุณก็โกหกไปเอาของเขามาทำไม domestic ของคุณก็ต้องเป็นภายในเป็นรายได้ส่วนรวมองค์รวมโดย product ของคุณเอง GDP ของคุณเอง
เราต้องทำของเราภายในให้ มากให้เหลือ แล้วเอาไปแจกจ่ายให้แก่ประเทศอื่นได้ นี่แหละคือความเจริญทางเศรษฐกิจ GDP เจริญ ชาวอโศกทำสำเร็จชาวอโศกทำอยู่อย่างนี้มี GDP เจริญ แล้วมีต้นทุน 0 แล้วทรัพย์สินอยู่ที่ไหนอยู่ที่สมรรถนะและความขยัน ทุกวันมีสมรรถนะมีความขยันทำงาน มันก็เกิดผลผลิตเกิดแรงงานเกิดอะไรได้ แล้วก็บริหารรายได้อย่างไม่สะสมบริหารอย่างหมุนเวียนมีพอสมควร หมุนเวียนไม่ให้เกิดขัดข้องไม่เป็นหนี้ เป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นสูง นักเศรษฐศาสตร์ที่ดี ฟังแล้วน่าจะเข้าใจทำอย่างในหลวงรัชกาลที่ 9
อาตมาพาคนมาปฏิบัติได้ด้วย แต่กระแสหลักจะมาต่อต้านทำไม หรือแม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ของประเทศยังไม่มาส่งเสริมไม่เห็นดีด้วย แต่พวกเราเป็นอยู่สุขสมบูรณ์มีกินมีใช้สบาย ไม่เบียดเบียนใคร ไม่เป็นโทษเป็นภัยต่อสังคม มีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อสังคมช่วยเหลือเผื่อแผ่ เป็นเศรษฐศาสตร์ที่เจริญแล้ว เป็นเศรษฐกิจที่ลงตัวบริบูรณ์ดี
ถามว่าเศรษฐกิจที่ไหนดีที่สุดก็คือเศรษฐศาสตร์ชาวอโศก พูดไปแล้วเหมือนอวดตัวตน ก็เป็นสิ่งที่น่าอวด พูดความจริงไม่ใช่เรื่องอวดตัวตน มาศึกษาให้ดีในเรื่องสัจธรรมความดีพวกนี้ในเรื่องความหมายของเศรษฐศาสตร์ก็ตาม ศึกษาดีๆแล้วเราจะเป็นคนที่มีแรงงานคุณค่า เวลาก็เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ เวลา แรงงาน ทุนรอน ก็ไม่กักตุน ทุนรอนก็หมุนเวียนใช้พอดีแล้วเอาส่วนที่เหลือไปสะพัดเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้น 1 พูดด้วยความจริงใจแบบนี้ใครจะฟังก็ฟังศึกษาไป
_SMS วันที่ 21 พ.ค. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ สมณะ สิกขมาตุ สันติ)
_3867สณ.สม.สอนเด็กอยากมีแฟน!ในอโศกห้ามบ่ยาก! นอกอโศกห้ามบ่ง่าย!อยู่กับเพื่อนดีหลายคนยับยั้งชั่งใจได้!อยู่กับเพื่อนชั่ว2ต่อ2ห้ามใจยาก!คนรัก กันจริงจะไม่ชิงสุกก่อนห่าม!พบไม่ง่าย!
พ่อครูว่า..ของเราเป็นสหศึกษาก็ยังดีกว่าข้างนอกข้างนอกนั้นเละเทะจริงๆ
_7757กราบนมัสการหลวงปู่ครับ ถ้าผมตั้งใจว่าจะ ปลูกต้นไม้ วันละ ๑ ต้น จะดีมั้ยครับผม น้อมกราบขอบพระคุณครับผม นายสันติ จรูญวิทยากร ครับ.
พ่อครูว่า..เอาเลย
พ่อครูว่า..นี่เป็น sms จบๅัพชเรื่อง
_สม.กล้าข้ามฝัน
_ส.เดินดิน
พ่อครูว่า…อาตมาอยากจะพูดถึงเรื่อง เศรษฐกิจคนจน
เศรษฐกิจที่เป็นคนจน มันเป็นเรื่องที่สุดยอดลึกซึ้งมากที่สุดเลยที่โลกโลกีย์เข้าใจยากมาก ชาวโลกีย์เข้าใจไม่ได้
ก็ต้องนิยามเสียก่อนว่าคนจนคืออะไร
คนจนคือคนที่ไม่มีทรัพย์ศฤงคาร ไม่สะสมเงินทองข้าวของเป็นของๆตน แล้วจะอยู่ได้อย่างไรก็อยู่ได้อย่างมีส่วนกลางเป็นสาธารณโภคี ถ้าเป็นคนจนอยู่คนเดียวไม่ได้หรอกอยู่ยากไม่มีเพื่อนฝูงไม่มีที่พึ่ง ไม่มีผู้เกื้อกูลสงเคราะห์ช่วยเหลือกันมันไม่ได้ มันจึงเป็นไฟท์บังคับว่ามาเป็นคนจนแบบพระพุทธเจ้าแล้วจะต้องมีสังคม จะต้องมีหมู่กลุ่มเป็นสังคมแท้ๆ มีทิฏฐิสามัญตา ศีลสามัญตา มีหลักเกณฑ์ที่เสมอสมานมีหลักปฏิบัติร่วมกันมีกฎระเบียบร่วมกัน เช่นชาวอโศกเรามีศีลสามัญญตาง่ายๆ 3 ข้อ
1.จะต้องถือศีล 5 เป็นอย่างต่ำ ปฏิบัติอย่างสำรวมสังวรศีลจริงๆ
-
ไม่กินเนื้อสัตว์
3.ไม่มีอบายมุข
เมื่อปฏิบัติตามข้อนี้มาอยู่ร่วมกันได้แล้วจึงอยู่กันเป็นสังคมกลุ่มชาวอโศก 3 ข้อนี้เป็นศีลของชาวอโศก แต่ศีลของพระพุทธเจ้านั้นต้องมีจริงๆ ศีล 5 ก็เป็นของพระพุทธเจ้าแล้วไม่มีอบายมุข เราก็เรียนรู้อย่างสำคัญว่าเราไม่มีจริงๆ เสร็จแล้วนอกนั้นเราก็เจริญขึ้นเป็น อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ ตามคำสอนพระพุทธเจ้า อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้าปฏิบัติได้จริงตามที่พูด ยถาวาที ตถาการีจริงๆ ทำได้มีผลสำเร็จคือจิตใจเกิดปัญญา
เช่นว่าเรามาจน เราจนได้จริงไหม จนคือไม่สะสม ไม่มีมากมีน้อยๆ
แค่นี้ก็อยู่รวมกันแล้วว่าเรามีอยู่เท่านี้ไม่มีเพิ่มเติมก็สบาย จะร่อยหรอ น้อยลงไปอีกจนกระทั่งหมดจนสูงสุดก็คือศูนย์ช
ชไม่เหลือเลย อยู่กับหมู่กลุ่มพึ่งพาอาศัยกันไป แบ่งแจกกันไป จะเห็นว่าเราต้องอยู่กันอย่างมี เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรมจริงๆอยู่กันอย่างเปิดเผย แผ่เป็นเรื่องจริงได้จริงๆ
-
สังคมอย่างนี้เป็นสังคมที่อาตมาพาพวกเราไปปฏิบัติประพฤติต่อหน้าสังคม ตอนไปชุมนุม แล้วอาตมาก็ประกาศว่าเราเอาสาธารณโภคีขึ้นมาประกาศ เอาพฤติกรรมสังคมสาธารณโภคีมาประกาศประพฤติ ไปปฏิบัติอยู่เป็นเดือนเป็นปี ในกลางถนน ปฏิบัติชุมนุมเอาสังคมสาธารณโภคีไปแสดงไปประพฤติให้เห็น ใครมาร่วมมารวมก็เป็นหนึ่งเดียวร่วมกินร่วมใช้ ปรากฏการณ์ที่แสดงสาธารณโภคีที่กลางใจเมือง แล้วอยู่ได้ในระยะยาวนานด้วย หลายครั้งหลายคราวด้วย นี่เป็นการแสดงพฤติกรรมธรรมะ เป็นพุทธธรรมขั้นสาธารณโภคีของพระพุทธเจ้าที่อาตมาได้กระทำจริง พากระทำจริง ขออภัย พูดแล้วเหมือนดูถูกคนอื่นว่าคนยังไม่มีภูมิพอจะรู้ได้เข้าใจเพียงพอว่าอันนี้เป็นสุดยอดของศาสนาพุทธ เป็นเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจของพระพุทธเจ้าที่เอามายืนยันในยุคนี้ยังเป็นไปได้ เกิดผลจริงและเป็นอยู่สุขดีด้วย สงบเรียบร้อยไม่เดืฃ