620527_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 51
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1avKrbfIIUeicxnv0gxGfZE2DRlevoNGn9bVYVFDqYrE/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่..https://drive.google.com/open?id=1GmE1AziVsAe4U97FNAygZ5_oo9Cjkftj
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ผู้ใหญ่ก็มีอยู่แค่นั้นยังไงล่ะ เรื่องธรรมะมันควรจะสนใจอยู่ทุกวินาที แต่ทำไมรู้สึกว่าจะจืดจาง ไม่ชอบใจไม่เอาใจใส่ ไม่ยินดีในเรื่องของธรรมะกันหนักขึ้นมากขึ้น หา! หลวงปู่ถามจริงๆเถอะ ธรรมะนี้สำคัญไหม ..สำคัญ…ถามอีกทีหนึ่งทำงานที่สำคัญไหม …สำคัญ ดีไหม? ดีครับ
ทั้งสำคัญทั้งดี แล้วทำไมไม่เอา? .. เอา
เวลาจะมี แล้วเชื่อว่าหลวงปู่มีธรรมะจะให้ไหม …เชื่อ มีความรู้ทางธรรมะจะให้ไหม …มี เสียตังค์เปล่า? ..อ้าวมาก็ไม่เสียตังค์ด้วยของดีด้วยสำคัญด้วยแล้วไม่เอา! …
คนที่ไม่มาเอาไม่เร่งรีบมาเอาหรือไม่ใส่ใจมาเอาโง่หรือฉลาด …โง่ …ตอบถูกทุกอย่าง
มันประหลาดนะคนเรา แล้วยังไง? จะไม่ให้ตัดสินว่า โง่ คือรู้ทุกอย่างว่าคืออะไรๆ แต่ไม่ทำตามที่ว่าดีที่ว่าสำคัญ ไม่ทำ อาตมาว่า อาตมาพูดอยู่นี้เป็นสัจธรรมเป็นความรู้หรือความจริงที่ชัดเจน
เพราะฉะนั้นโดยลึกของจิตมนุษย์นี้ ตัวเล็กมีปฏิภาณไหวพริบรู้ดีว่า คนเรานี้ต้องมาเอาธรรมะ ถ้าจะสรุปง่ายๆ ไปเอากิเลสนี่มันโง่ทุกคน สรุปง่ายๆ ไปเอากิเลส ไปเอาโลกๆไปเอาขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ไม่ใส่ใจถึงทฤษฎีวิธีการผู้ที่พาทำให้ลดความโลภความโกรธความหลง มันก็ไม่ถูกต้องนะ มีปฏิภาณไหวพริบ คนโง่ถึงขนาดไหนก็น่าจะรู้ดีอยู่
แต่ทำไมขี้เหร่จริงหนอธรรมะ ถ้าไม่ขี้เหร่มันสวยมันงาม มันยั่วยวนเหลือเกินนะ
มันควรจะต้องไตร่ตรองควรจะต้อง บอกตัวเองให้ชัดๆว่าเราทำไมมันโง่ดักดาน สิ่งที่มันประเสริฐสิ่งที่ดีที่วิเศษที่สำคัญรู้หมด ทำไมเราไม่ใส่ใจเราไม่ขมีขมัน เราไม่รีบร้อนที่จะไปเอา ทีไอ้โลกๆ กิเลสบำเรอ ซึ่งมันง่ายๆที่จะรู้ ทำไมรีบไปเอาอย่างที่ชอบใจ ไปเอาอย่างกระตือรือร้น แต่มาเอาธรรมะนั้นเฉื่อยช้า ยืดยาด พูดไปก็เท่านั้นปากเปื่อยเปล่าๆ
เริ่มต้นด้วยSMS ก่อน
_3867กราบอนุโมทนาพ่อครูกับธ.สดุดีป๋าเปรมผู้รักษ์ปชธต.อันมีพระมหากษ.ทรงเป็นพระประมุขด้วยจิตพิทักษ์ชาติราชบัลลังก์ด้วยใจรักและภักดีตราบจนสิ้นลมหายใจสาธุธ.บุญนิยม
_3867กี่ศพแล้วที่สูญมลายหายไปกับอบายสิ่งเสพติด!กี่ชีวิตเล่าที่สิ้นสลายหายไป กับควันมลพิษภาวะ!แล้วผู้ไปร่วมงานฌาปนกิจเหยื่อตายผ่อนส่งกี่ครั้งฤา?จึงจะฉุกใจคิดลดละดื่มสูบงงอบายมอม ยามึนน้ำเมา?บ้านที่จะกลับสุดท้าย ไม่ได้กลับพ้นทางวิบากกงกรรมกงเกวียน!สาธุสัจธ.ช่างไม้แกะสลักจิตเกลา วิญญาณกลับบ้านในใจตน!
_5711น้อมกราบนมัสการ พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ที่เคารพอย่างสูงยิ่งครับ ผมมาจากความข้องใจจากความไม่เชื่อ แต่ผมถือว่าผมยังดีที่เป็นคนชอบหาคำตอบจึงได้พบพ่อท่าน และไม่สงสัยจากการฟังคลิปเก่าๆศึกษามาเรื่อยๆและเริ่มปฏิบัติตามแล้วครับ อยากจะกราบขอพระคุณพ่อท่านอย่างสูงครับ อยากบอกถึงผู้ฟังทุกท่านถ้าพ่อท่านได้อ่านออกอากาศว่าชีวิตนี้อย่าเสียเวลาเลยครับลองฟังพ่อท่านแล้วปฏิบัติตามเลยครับ”ผมยังไม่ดีครับแต่เริ่มเลวน้อยลงครับ”และ ดีขึ้นๆตามลำดับครับ “มีทางนี้ทางเดียวครับ”ขอบพระคุณพ่อท่านอีกครั้งครับผมจะเป็นผู้ทำประโยชน์ครับ
_6218พระโพธิสัตว์เขาจะไม่ตำหนิพระสำนักอื่น คนที่ตำหนิพระอื่นไมใช่พระโพธิสัตว์ ชุมชนของท่านผมมองในแง่ดี ท.ท่าชนะ
พ่อครูว่า…มันมีสอนอยู่ที่ไหนไว้หนอคำสอนพระพุทธเจ้าที่บอกว่าพระโพธิสัตว์จะไม่ตำหนิสำนักอื่น นี่คุณเป็นคนพูดเอง สำนวนนี้ไม่เคยเห็นในพระไตรปิฎกเลยได้แต่อ่านที่คุณพูดมา อาตมาว่า คุณอย่าไปเอาความคิดเห็นที่ตนเองเข้าใจเองง่ายๆที่เราเองก็ไม่ชอบใจไม่พอใจพฤติกรรมคนอื่นที่เขาทำ อย่างพฤติกรรมที่อาตมาทำคุณไม่ชอบใจ มันก็เป็นทิฏฐิ เป็นความเห็นความรู้สึกของคุณเองก็อย่าเพิ่งไปตัดสินสัจธรรม โดยเฉพาะตัดสินธรรมะพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านสอน นิคคัณเห นิคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง ตำหนิคนที่ควรตำหนิชมคนที่ควรชม
พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า
อานนท์ ! เราไม่พยายามทำกะพวกเธออย่างทะนุถนอม
เหมือนพวกช่างหม้อทำแก่หม้อที่ยังเปียก-ยังดิบอยู่
อานนท์ ! เราจักขนาบแล้วขนาบอีก ไม่มีหยุด .
อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้วชี้โทษอีก ไม่มีหยุด
ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจักทนอยู่ได้ .
(พุทธพจน์จาก พตปฎ.เล่ม ๑๔ ข้อ ๓๕๖)
การทำนี่นั่นคือการบอกความบกพร่อง บ่งบอกความไม่ชลฟฃฃๅๅๅชชมคนที่มีคุณความดีความถูกต้องแล้ว ก็ไม่ต้องไปชมอะไรมาก เพราะฉะนั้นลักษณะการตำหนิ จึงเป็นสาระ การตำหนิกับการชม
คำตำหนิจึงเป็นเรื่องสาระแท้ของนักพัฒนา ของนักสอนนักส่งเสริมให้คนเจริญ
สู่แดนธรรมว่า…เป็นสารถีที่ฝึกบุรุษที่ควรฝึกได้ คือพระพุทธเจ้า
พ่อครูว่า…อาตมาก็ทำหน้าที่คล้ายกัน มีหน้าที่ทำคนให้พัฒนาขึ้นสอนคนให้ดีขึ้นให้เจริญขึ้นให้ได้ อาตมามีหน้าที่นั้นจริงๆทำตามรอยพระยุคลบาทของพระพุทธเจ้าจริงๆไม่ได้ทำออกนอกรีตนอกรอยเลย คนที่ออกความเห็นมาแล้วขัดแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้านี้ให้ไปไต่ตรองให้ดี อย่าไปยึดมั่นความเห็นของตนว่าถูก อาตมาว่าอาตมาทำสิ่งที่ถูกต้องจะไม่ทำสิ่งที่ผิด อาตมาเรียนรู้สัจธรรมพอจะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดเพราะฉะนั้นอาตมาไม่ทำอะไรผิดหรอกอาตมาจะทำสิ่งที่ถูกต้อง ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา สุสูสังละภะเตปัญญัง ฟังดีๆที่อาตมาแสดงธรรมะ คุณเองคุณไม่ชอบใจแล้วก็มาหาคำอะไรต่ออะไรมาเปล่า มาว่า มาขัดแย้งกับอาตมา อาตมาว่าคุณไม่ได้ผลดีหรอก แต่อาตมาไม่ได้พูดโดยหมายว่าใครขัดแย้งอาตมาไม่ได้นะ ให้ตำหนิมาไม่ได้นะไม่ใช่ อาตมาอธิบายภาษาที่คุณแสดงออกมา ถ้าใครไม่แสดงออกมาอาตมาก็ไม่ได้ขัดแย้งไม่ได้อธิบายขยายความหมาย ให้ชัดเจนขึ้นแต่คนแสดงออกมาอาตมาก็เต็มใจที่จะขยายความหมายให้ชัดเจนว่าที่อาตมาพูดมาไร้สาระไม่เห็นประโยชน์ก็แล้วไป แต่ถ้าคนที่ฟังด้วยไม่มีอคติแล้วตั้งใจฟังเอาสาระ ก็จะได้สาระ
เรื่องการตำหนิหรือชมเริ่มต้นในพรหมชาลสูตร ท่านก็เรื่องราวประกอบ ได้มีอาจารย์และลูกศิษย์ในศาสนาเดียรถีย์เถียงกัน ลูกศิษย์นี้ชื่นชมพระพุทธเจ้า ส่วนอาจารย์ก็มีอัตตามานะของพระพุทธเจ้า ภิกษุก็เห็นอาจารย์กับลูกศิษย์เถียงกันมา พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นเรื่องธรรมดาของการชมและการตำหนิ การตำหนิเมื่อสิ่งนั้นไม่ดีสิ่งนั้นไม่จริง โดยเฉพาะเราเองพูดจากตำหนิใคร เพราะเราเห็นว่าสิ่งนั้นไม่ดี เราเองได้เอาสิ่งที่ไม่ดีนั้นออกไปแล้วโดยเฉพาะพูดได้ว่าสิ่งนั้นไม่มีในตัวเราในพวกเรา เราทำแต่สิ่งดีสิ่งที่ควรชมควรยกย่อง ไม่ดีนั้นเป็นอย่างไรก็บอกไปว่าไม่ดีอย่างนั้นเพราะเหตุนั้นไม่ดีอย่างนั้น สิ่งที่ดีเป็นอย่างไร ดีเป็นอย่างนี้ ยกย่องความดีเป็นอย่างนี้ ท่านได้ตรัสกลางๆ ตรัส ความเป็นจริงที่ควรกระทำ
คนเราที่ไม่ชอบคำตำหนิติเตียนแล้วมาอ้างว่ามันทำให้เกิดความแตกแยก! พวกนักปรัชญาหาความหมายอย่างคมๆแจ๋วๆอ้างอิง เพื่อให้คำพูดของตัวเองมีน้ำหนัก มาตำหนิกันจะทำให้เกิดการแตกแยก ถ้าในโลกในสังคมมนุษย์ไม่ไปตำหนิกัน เอาล่ะ เอาแต่ชมๆๆ ไม่ตำหนิเลย คนมันจะรู้ความไม่ดีการประพฤติที่ไม่ดีแล้วเปลี่ยนแปลงให้กระเตื้องขึ้นบ้างไหม มันก็จะไปเพ่งแต่เรื่องที่ชมทำแต่ดีมันก็ดีล่ะ แต่มันจะดีผิดหรือถูกก็ไม่รู้ ดีไม่ดีเอาแต่ชมแม้แต่เรื่องผิดก็ยังชม มันต้องแยกผิดแยกถูกแยกดีแยกชั่ว แยกให้ชัดๆ โดยเฉพาะส่วนชั่วนั้นรีบพูดรีบบอกเพราะมีในคนหนึ่งวินาทีหนึ่งมันก็ไม่ดี มีในคนนานเท่าไหร่มันก็คือชั่วยังอยู่ในตัวเรานานเท่าไหร่มันก็ไม่ดีเท่านั้น ต้องรีบบอก ส่วนความดีนั้นมีในใคร จะมีอยู่ 1 นาที 1 ชั่วโมง 1 ปี 1 เดือนมันไม่มีปัญหาอะไรนี่ความดีมันมีอยู่ในใคร เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปพูดถึงมาก เขาดีก็ให้เขาเป็นไปเลย แต่ความชั่วนี้ต้องรีบบอก เหมือนกับว่ามีผ้าชุบน้ำมันที่ลุกไหม้ไฟจุดอยู่บนหัว ต้องรีบเอามันออกไปไม่งั้นมันไหม้หัวตายเลย ถึงป่านนั้น
ให้รู้ว่าอย่ามาว่าอาตมาว่าไม่ให้ตำหนิใคร คุณพูดผิด ผิดทั้งสัจจะและผิดทั้งจากคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่ามาอ้างเสียหายยาก ว่า พระโพธิสัตว์ไม่ตำหนิใครไม่สนใครควรจะไปรู้อะไร อาตมาเป็นโพธิสัตว์มาระดับ 7 แล้วตำหนิมามากมายแล้วไม่รู้กี่ชาติ ทำเป็นสู่รู้ ศึกษาให้ดีๆขออภัยพูดเหมือนเชิงข่มคุณ
อาตมาไม่ได้มีจิตใจเกลียดชังลบหลู่ข่มขู่อะไร มีจิตเมตตามีจิตหวังดีหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่จริง คุณใส่ใจนี้ก็ขอบคุณมากแล้วแล้วก็ยังมาท้วงติงให้อาตมามาก็ขอบคุณ ผู้ที่ท้วงติงมาอาตมาก็ขอบคุณทั้งนั้นแหละ
มีจดหมายน้อย เสริมว่า ..พ่อท่านเป็นสัตบุรุษ ผู้ติให้เรียบร้อยคือติให้เตียน หากติไม่เรียบร้อยจะเหลือตอโผล่ทิ่มตำเท้า การติเตียนจึงเป็นศิลปะของสัตบุรุษ การติฉินนั้นเป็นการติที่หาเรื่องไม่ดีเป็นการติที่ไม่เรียบร้อย
_7757สันติ จรูญวิทยากร กราบนมัสการหลวงปู่ครับผม ขอเป็นกำลังใจให้หลวงปู่สู้ๆ อยู่ให้ถึง 151 ปี ให้ได้น่ะครับผม
_ท่านมุทุกันโต ท่านเป็นอรหันต์หรือเปล่าครับ ท่านมีปาฏิหาริย์ที่เด็ดเดี่ยวมากท่านเดินธุดงค์จนตายเลย
พ่อครูว่า…ถามกันดุ่ยๆดื้อๆ ท่านก็ตายไปแล้ว ท่านเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า จริงๆแล้ว อรหันต์นี้มีหลายรอบและเกิดในแต่ละยุคแต่ละกาล ถ้าจะพูดจริงๆแล้ว ท่านมุทุกันโต จะถือว่าเป็นอรหันต์ก็ได้ ท่านเป็นอรหันต์ประเภทที่เป็นสายเจโต สายป่า สายชอบปลีกเดี่ยว มันมีจริต ไปในเชิงนั้นหนัก จริงๆแล้วนี่นะ จิตที่จะเป็นอรหันต์ กับจิตที่เป็นอนาคามี
จิตที่เป็นอนาคามีที่เป็นอรหัตตมรรค ที่เป็นอนาคามิผลที่เข้าข่ายอรหัตตมรรค ก็ไปเรื่อยๆแยกกันยาก อนาคามีที่เข้าข่ายเป็น อรหัตตมรรคนี่ พลังงานเหล่านี้เป็นพลังงานทางจิตถามไปบอกไปก็จะยาก ให้มาปฏิบัติธรรมอ่านจิตอ่านใจของตัวเองให้เป็น พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ชัดเจน เรื่องของ ภพภูมิข้างนอก เรียกว่ากามภูมิเป็นภูมิชั้นต่ำ อบายภูมิ ตั้งแต่หยาบๆที่เป็นกาม จัดจ้าน เลอะเทอะ ใครหลุดพ้นมาได้ก็อ่านใจตนเองว่า ไปติดไหม
ตัวอย่างเราไปติดอยู่เองหรือไม่ติดหรอก คนอื่นเขาไปติดให้เห็นกันอยู่ทั้งทางสายบันเทิงก็ดีสายการละเล่นกีฬาก็ดี สาเหตุของการแย่งลาภ ยศอยู่ หยาบๆชัดๆ มันเป็นอบายภูมิ ทุจริตคอรัปชั่นที่อยู่ในสังคม พวกอยู่ในโลกอบายภูมิ
พวกนักการเมืองพ่อค้านักธุรกิจที่จัดจ้านใช้เล่ห์เหลี่ยมทุจริตขี้โกงซับซ้อน พวกนี้พวกสัตว์นรกทั้งนั้น ฟังดีๆนะ อาตมาพูดสัจธรรมพูดธรรมะไม่ได้ไปด่าไปว่าคน แต่อธิบายสัจธรรมให้ฟัง แต่คนเหล่านั้นเขาจะไม่ฟังธรรมะที่อาตมาอธิบายหรอก เขาจะไปฟังธรรมะจากพระหรือจากผู้สอนที่สอนเอาใจ ประเหลาะประจบประแจงพวกที่ฐานะดี นักขายนักธุรกิจที่มีเงินมีทองเขาจะประจบประแจง เพื่อที่จะให้เขาเอาเงินมาทำทานบริจาคเขาเรียกว่าทำบุญ แล้วไม่เข้าใจว่าทำบุญคืออะไรทำทานคืออะไร บุญกับทานเขาแยกไม่ออก
อาตมาบอกได้เลยว่า ชาวพุทธทุกวันนี้เกือบร้อยเปอร์เซน ทำทานไม่ได้บุญ ทำทานมีแต่ได้บาป ทำทานได้แต่กุศล
กุศลเป็นเรื่องภายนอกเป็นเรื่องสมมติสัจจะ การแสดงออกให้เขาทำทาน แต่เรื่องของบุญนี้เป็นเรื่องของปรมัตถ์ เป็นเรื่องของจิตวิญญาณเป็นเรื่องของจิตใจ เขาทานออก พูดว่าทาน เอากายกรรม เอาวัตถุทานให้จริงๆ แต่ใจเขาไม่ได้ให้ ใจเขาต้องการสิ่งตอบแทนตั้งภพชาติว่าเขาทำทานนี้เขาจะได้ตอบแทนมา เขาจะได้สั่งสมไว้ในชาติหน้าเยอะๆ ซึ่งไปถูกพวกผีเปรตหลอกกันมา พวกอาจารย์ผีเปรต ชาติหน้าจะได้ ซึ่งมันขัดแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้าหมดเลยอาตมาได้เอาทานสูตรมาอธิบายยืนยันแล้ว ว่า
ทำทานของศาสนาพุทธ เป็นการรู้ความจริงว่าการทานคือการให้ มือให้แล้วกายให้แล้ว ปากพูดว่าให้ด้วย ใจคุณก็ต้องให้ตาม แต่ใจของคุณยังจะเอา ต้องการตอบแทนคืนมาเหมือนกับเล่นหวยเล่นหุ้นฝากไว้ก่อน ของข้าลงทุนไปแล้วต้องได้กลับคืนมาไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้ามันไม่ปล่อยมันมีภพชาติ มีอัตตาตัวตนยึดเป็นตัวกูของกูตลอดกาลมันไม่รู้สัจธรรมของพระพุทธเจ้า ผู้สอนก็สอนไม่รู้ มันก็เลยไม่สัมฤทธิ์ผล
มิจฉาทิฏฐิ 10 ข้อ ข้อ 1 นัตถิทินนัง ทานแล้วไม่ได้ผลลดกิเลส ได้แต่ภพชาติวิมาน ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข
คนเรานั้นจะวนเวียนอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุข เป็นความวนเวียน แต่ศาสนาพุทธเป็นโลกุตระออกจากความวนเวียนได้ ศาสนาในโลกเป็นเทวนิยม ศาสนาโลกียะ เขาสอนให้ทำดีละชั่ว ละชั่วประพฤติดี ไม่เคยสอนให้รู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน แล้วก็เรียนรู้อาการของจิตว่ามันมีกิเลสไปประกอบแล้วล้างกิเลสออกไป นี่คือของศาสนาพุทธ ทุกวันนี้ไม่มีเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วที่จะสอนให้ทำ น่าสงสารจริงๆศาสนาพุทธมันเสื่อมไปจนกระทั่งไม่เหลือเชื้อ ก็สอนให้ดีๆชั่วๆกันอยู่อย่างนี้ศาสนาไหนเขาก็สอน พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้ไปแข่ง อย่างนั้นมันซ้ำซาก เขาก็สอนกันดีทั้งนั้นแหละศาสดาที่ไหน เป็นศาสนาที่ยึดมั่นถือมั่น ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ปล่อยวางออกไปจนหมดไม่ยึดมั่นถือมั่น มันคนละเรื่องเลย
ตั้งใจฟังธรรมะที่อาตมาสอนให้ดีไม่ใช่ งั้นไม่ได้ความจริงของศาสนาพุทธเพราะว่าศาสนาพุทธมีความจริงอยู่ที่โลกุตรธรรมนี้ ตรงที่ปลดปล่อยความยึดติดภพชาติลาภยศสรรเสริญโลกียสุขจริง
วิธีหนีลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขนั้นไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า ศาสนาบางศาสนาเขาเอาตัวเองหนีเข้าป่าเข้าถ้ำ ไม่ให้นึกถึงเลยให้ลืมไปเป็นชาติเป็นวิธีง่ายๆตื่นๆไม่มีปัญหาอะไร แต่ไม่ได้ล้างกิเลส ไม่ได้รู้ว่าจิตเจตสิก มันไปติดในลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอย่างไร อาการที่จิตใจมันไปติดยึดมันมีกิเลสนั้นมันเป็นอย่างไร ต้องใช้ปัญญาในการล้างในการมารู้จักพวกนี้ ไปยึดติดมันทำไม
ถ้าคุณขยันทำงานสิ่งที่เกิดมันก็ขึ้นมาได้ มันเป็นลาภโดยธรรม เสร็จแล้วจะหวงแหน ขี้เหนียวมันก็เป็นกิเลสอีกต่างๆนานา ถ้าเราสามารถเอามาใช้เป็นประโยชน์แล้วแบ่งแจกกันเป็นประโยชน์ก็เจริญทั้งตนเองและผู้อื่นเกิดสังคมที่มีสามัคคีมีความสัมพันธ์มีการเกื้อกูลกันเป็นสังคมที่อบอุ่นเหมือนกับชาวอโศกซึ่งเราพิสูจน์ยืนยันแล้ว
พูดไปแล้วก็เหมือนจะยกย่องชาวอโศก คนที่หมั่นไส้ก็อาจจะมองไม่ดี ตั้งใจดีๆอย่าเพ่งโทส อาตมาเจตนาเปิดเผยความจริงขยายความจริงความถูกต้อง มันยากจริงๆเลยที่จะแสดงสัจจะธรรมโลกุตระของพระพุทธเจ้า ยากจริงๆแต่ก็ไม่มีทางเลือก ยากอย่างไรก็ต้องทำปากเปียกปากแฉะบนไปพูดไปอธิบายไปแจกแจงไป
นิมนต์พ่อครูฉันน้ำดื่ม….
_สม.เป็นหญิง…ทุกวันนี้พระสอนกันแต่ความดีความชั่วในโลกนี้ ได้เห็นในสื่อสารต่างๆ ก็เป็นจริง มีแต่สอนความดีความชั่ว ไม่มีสอนโลกุตระ สอนปฏิบัติคือการนั่งสมาธิหลับตา เบื้องต้น ในการคุยกับคนข้างนอก เคยได้ยินว่าทำทานกับสัตว์เดรัจฉานได้ 100 เท่า ทำกับคนขี้เหล้าเมายาได้พันเท่า ทำกับพระอริยะที่สูงขึ้นไปก็จะได้เพิ่มขึ้นๆ อย่างนี้พูดได้ไหม
พ่อครูว่า…ถ้าไม่ติดยึดในภาษา การได้นั้นแล้วมันเกี่ยวข้องกับผู้อื่นเป็นเรื่องของความซับซ้อน หมายความว่าถ้าทำกับสิ่งที่มันเป็นอุตุนิยาม พีชนิยาม จนถึงจิตนิยาม แล้วก็เป็นฐานะของบุคคล เป็นเวไนยสัตว์อเวไนยสัตว์ ก็เป็นขั้นตอน หากสอนเวไนยสัตว์ได้ประโยชน์ก็ดีกว่าสอนอเวไนยสัตว์ ถ้าสอนสัตว์ก็ดีกว่าสอนพืช ยิ่งไปสอนวัตถุมันไม่รู้เรื่อง เป็นสัจธรรมของอุตุธาตุ พีชธาตุ รายละเอียดเหล่านี้พระพุทธเจ้าสอนไว้ อาตมาก็เอามาอธิบายให้ฟังมันเป็นความรู้ที่ลึกซึ้ง ให้ดูเท่านั้นเอง แต่แท้จริงต้องมาเอาความเป็นจริงชีวิตจริงของเราเป็นคน เป็นจิตนิยาม แล้วเราก็เลื่อนชั้นจากอเวไนยสัตว์เป็นสัตว์ที่ 2 รบกวนถ้าทำไม่ได้เขาไม่รู้เรื่องภูมิไม่ถึงจริง เราอยู่ในฐานะที่เป็นเวไนยสัตว์ซ้อนโลกุตระทำกันได้ก็ใส่ใจอันนี้ดีกว่าเรียนอันนี้กัน อันนั้นเขาก็ทำของเขาไปเหมาะสมทั้งผู้สอนเพื่อรับแต่เราสูงกว่า มันก็ ข่มกันในที หากไปยืนยันพูดก็ยิ่งเป็นเชิงข่ม แต่มันเป็นสัจจะความดีกว่าก็ต้องข่มที่ต่ำกว่าตามสัจธรรม ไม่ต้องพูดก็รู้สึกได้ พูดถึงสิ่งดีกว่าก็ต้องข่มสิ่งที่ต่ำกว่า พูดไปก็อธิบายสัจจะสู่ฟัง
สรุปแล้วคำสอนก็เป็นตามฐานะตามภูมิเพราะคนมีระดับต่างๆกัน นอกจากจะสอนคนให้เจริญแล้วดีไม่ดี สอนกันไปพากันชั่วหนักขึ้นด้วยก็มี สอนกันไปยิ่งพากันชั่วหนักขึ้นก็มีได้ เป็นธรรมดา แต่เราไม่ได้อยู่ฐานะพวกนั้น
อาตมารู้สัจธรรมดีด้วยว่าคนนี้มีภูมิระดับโลกุตรธรรม ซึ่งมันมีจำนวนน้อยจริงๆ เป็นสัจจะ ไม่ต้องแปลกใจ มันก็ต้องอย่างนี้ เพราะฉะนั้น อาตมาถึงบอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เมื่ออุบัติขึ้นบนโลกก็จะตรวจโลก พุทธุปาทกาละจะตรวจดูมนุษย์ ว่ามีภูมิปัญญาที่จะสอนโลกุตรธรรม จะสอนธรรมะของพุทธได้ไหม ถ้ามีจำนวนน้อยเกินไปท่านก็ไม่ประกาศตัวดีกว่า เสียของ ประกาศไปแล้วไม่ทำงาน ไม่คุ้ม
พระพุทธเจ้าสมณโคดมเกิดมาในยุคกาลที่คนได้เสื่อมมากแล้ว ที่ชช9จะรับโลกุตรธรรมได้น้อยมากแล้วเมื่อประกาศวันมาฆบูชามีพระอรหันต์ได้เพียงเท่านั้น มีพระอรหันต์มารวมกันครั้งเดียวในมาฆบูชานั้น แต่พระพุทธเจ้าหลายพระองค์มีมาฆบูชาหลายครั้งมีคนมาจำนวนมากกว่านั้นเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสน แต่ของพระพุทธเจ้าสมณโคดมได้แค่ 1250 องค์ เป็นเครื่องยืนยันชี้บ่งความจริง
ในตำนานในประวัติก็มีแล้วว่าท่านได้ตรวจ แต่คนมันน้อยจังเลยแต่ตัวดีก็ยังมีพอจะสอนได้ไม่เสียเปล่าประมาณนี้ก็เอาล่ะ ศาสนาพุทธก็เลยต่อเชื้อมาถึงจนบัดนี้ ถ้าหากพระพุทธเจ้าสมณโคดมไม่ประกาศตอนนี้เราอยู่ในนรก มั่วกันแย่งชิงกับทักษิณ ธนาธร หรือไปแย่งคุณเจริญทำน้ำเมาแข่งเขา แย่งคุณเฉลียวทำน้ำเสพติด แย่งคุณธนินท์ หาวิธีการรวยแข่งกันก็คงจะยุ่งยากต่อสู้กันหนักยิ่งกว่านี้
เพราะฉะนั้นอาตมาพามาทางโลกุตระไม่ไปแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมีใจพอมีอยู่มีกินแค่นี้ขยันหมั่นเพียร ไม่ได้เป็นเรื่องที่ไปแย่งชิง วุ่นวายทำให้สังคมมนุษย์ต้องแย่งลาภยศ พวกเราเป็นพวกที่วางมือจากทางการแย่งชิงโลกียสุข พวกเขาแย่งชิงกันมากมายพอแล้วพวกเราก็ลดความยุ่งยากไม่ไปแย่งกับเขา ก็ลดความยุ่งยากของสังคมไทยลดจำนวนประชากรที่ไปตั้งหน้าตั้งตาแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุขในสังคมลงมาให้สังคมสงบ ให้สังคมเบาไม่วุ่นวายไม่เดือดร้อน แต่ละคนที่ฟังธรรมะที่อาตมาอธิบายก็มีปัญญาทำให้เกิดจิตใจที่สันโดษเกิดจิตที่มีใจพอ เกิดจิตที่มีน้อยก็พอไม่ต้องเอามากกว่านี้ก็ได้ แค่นี้ก็เพียงพอเป็นคนกล้ามาจน แล้วก็มีชีวิตอยู่อย่างพัฒนาให้เจริญ มาเป็นคนจนยิ่งขึ้นง่ายขึ้น สุโปสะพัฒนาเป็นคนจนมากยิ่งขึ้นก็ได้ พัฒนาง่าย ไม่ต้องไปมีโลภโกรธหลงแข่งเขาได้ง่ายสอนให้เป็นโลกุตระบุคคลได้ง่ายให้เป็นบุคคลโลกุตระกินอยู่หลับนอนสบาย ไม่เหมือนสังคมวงการสำนักอื่น เรื่องของเราถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยจุกจิกของเขาเรื่องใหญ่กว่าเยอะ
_สุดชดา…เมื่อวันอาทิตย์พ่อครูเทศน์ว่า ประชาธิปไตย คือ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ลักษณะ 3 อย่างนี้คือลักษณะของพระอรหันต์ ถ้าจะสรุปว่า พระอรหันต์มีประชาธิปไตย 100% พระอนาคามีมีประชาธิปไตย 75% พระสกทาคามีมีประชาธิปไตย 50% แล้วก็พระโสดาบันมีประชาธิปไตย 25% ได้ไหม
พ่อครูว่า…ได้ เป็นการเรียนรู้การแบ่งส่วนเพื่อที่จะให้เข้าใจสภาวะต่างๆได้ไม่ผิดอะไร ความเจริญเป็นพระอริยะ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ก็เป็นคนอยู่ในสังคมโลกนี่แหละแต่มีความจริงทางจิต จะเรียกว่าเป็นเศรษฐกิจ สังคม รัฐศาสตร์ อะไรก็ตามแต่ ศาสนาโดยเฉพาะศาสนาพุทธ เป็นไปเพื่อสังคมอย่างนี้จริงๆ ไม่ได้เป็นไปเพื่อคนป่าเถื่อนอย่างที่เข้าใจผิดกัน ที่ว่าศาสนาจะต้องออกป่า เขาทำเหมือนสมัยก่อนสมัยพระพุทธเจ้า เป็นการออกนอกรีตศาสนาพุทธ ไม่ใช่เลยเดี๋ยวนี้พระพุทธเจ้าประกาศศาสนาไว้ กลับไปเข้าใจว่าต้องออกป่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเป็นความเสื่อมของศาสนาพุทธในอัมพัฏฐสูตรท่านก็ตรัสเอาไว้ตั้งแต่ศาสนา ยังไม่เสื่อม ว่าต้องไปหาอาจารย์ที่อยู่ในป่าเป็นความเสื่อม
อาตมาพูดอย่างไรก็ยาก เพราะคนถูกครอบงำทางความคิดองค์รวมเป็น Concept ไปเชื่อแล้วว่า อาจารย์คนก่อนๆที่พาผิดทางพูดไว้อย่างนี้ พระโพธิรักษ์ไม่มีอาจารย์ไม่มีผู้สอนมาก่อนแล้วมาบอกว่าเป็น สยังอภิญญา เขายิ่งจะไม่เชื่อใหญ่เลย ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะว่าจริตนิสัยลีลาของอาตมาเป็นคนไม่ไว้ท่าเต๊ะท่าให้สง่า หล่อ สุขุม ประณีตอะไร อาตมาไม่ได้เป็นคนแบบนั้นอาตมาเป็นคนสบายๆคล่องแคล่วว่องไว แล้วเข้าใจว่าพระอริยะหรือพระอรหันต์ของพุทธนี่จะต้องช้าสุภาพจึงได้เกิดความเสื่อม หนืดๆ ไม่ใช่
พระอรหันต์ของพระพุทธเจ้าว่องไวคล่องแคล่วปราดเปรียว เป็นคนที่มี กายปาคุญญตา เป็นกายมุทุตา เป็นคนมีกายลหุตาเป็นคนมีกายเบา กายไว ดัดได้เร็วปรับได้เร็ว เป็นคนที่มีความคล่องแคล่วทางกาย การคือจิตมโนวิญญาณคือหมวดของเวทนา สัญญา สังขาร เป็น เพราะว่าเรื่องของจิตเจตสิกต่างๆเดี๋ยวนี้คนไม่ค่อยเข้าใจแล้ว
ไปเข้าใจกายผิดเพี้ยนว่าแค่สรีระร่างภายนอกเท่านั้น ก็ผิด 0 เลย อาตมาพูดเหมือนอ้างตัวเอง หากอาตมาไม่เกิดมาในชาตินี้คุณจะไม่เข้าใจกายอย่างที่อาตมาอธิบายได้ ดีนะที่มีในพระไตรปิฎกที่บอกว่ากายและจิตมโนวิญญาณ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้อาตมาได้เอามายืนยัน ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.๑๖ ข.๒๓๐
กายไม่ได้มีอย่างเดียวต้องมี 2 อย่าง ต้องมีส่วนประกอบทั้งภายนอกคือดินน้ำไฟลมกับจิต ต้องมีอย่างนั้นหากอาตมาไม่เกิดมาในชาตินี้ไม่มีใครมาอธิบายได้ละเอียดละอออย่างนี้หรอกพูดแล้วเหมือนตัวเองใหญ่ รู้คนเดียวคนอื่นผิดหมด แล้วมันผิดหมดไหมล่ะมันมีเหลือที่ถูกมีบ้างมั้ยล่ะ จริงๆนะ คำว่ากาย คำว่าบุญ คำว่าสมาธิ
อย่างคำว่าฌาน ฌานคือพลังงานไฟ พลังงานกองไฟกองใหญ่ อุณหธาตุ แล้วพากันไปปฏิบัตินั่งนิ่งๆเย็นๆเพ่ง หยุดคิดนึกแล้วก็เย็นลงช้าลง แต่ฌานคือการสร้างพลังงานให้มีพลังงานไฟ เตโชธาตุที่สูงพิเศษ จนสูงกว่าไฟ ราคะโทสะ โมหะได้
มันเป็นนามธรรม ฌานไมใช่นั่งจมแช่เย็น แต่ฌานคือปรุงอภิสังขารเลยส่งให้เป็นบุญ ปุญญาภิสังขารให้เป็นไฟบุญเป็นไฟฌาน
ฌาน เป็นพลังงานจิตใจสลายกิเลสได้ก็เกิดคำว่าบุญ
บุญคือการกำจัดกิเลส ใครสร้างฌานได้คือผู้มีปัญญา ผู้มีฌานต้องมีปัญญา ไม่มีปัญญาสร้างฌานไม่ได้ ไม่ใช่ฉลาดโลกีย์ด้วยแต่เป็นฉลาดแบบพุทธ
หากอาตมาไม่เกิด ไม่มีใครมาอธิบายอย่างนี้หรอกแต่พูดเพื่อให้ชัดเจนไม่ได้ยกตัวยกตน อาตมาไม่ได้หลงตัวยกตัว แต่พูดให้แยกชัดเจนกระจ่างว่า ผู้ที่จะรู้ว่าอาตมาเป็นคนพูดถูก ที่เขาพูดกันนั้นผิด แจ้งให้ชัดเจนอย่างนั้นเป็นเจตนารมณ์อย่างนั้น ไม่ได้หมายถึงตัวตนบุคคลเราเขาคนอื่นเลย
อาตมาก็ต้องทำงานหนักมากเพราะอาตมารับหน้าที่มาสืบสานสืบต่อธรรมะพระพุทธเจ้า หนัก คนเขาว่าก็ต้องอยู่ไป อาตมาหนักกว่าพลเอกประยุทธ์ พลเอกประยุทธ์สืบสานอำนาจประชาชน ที่ได้ประหารรัฐบาลสำเร็จแล้วแล้วพลเอกประยุทธ์ก็มาสืบทอดอำนาจบริหารจากประชาชนเป็นอำนาจประชาธิปไตยจากประชาชนไม่ใช่อำนาจเผด็จการ เขาที่ตะโกนว่าทหารสืบทอดเผด็จการ นั้นไม่ใช่เลย แปลเป็นประชาชนแท้ๆที่ไปทำให้รัฐบาลเผด็จการออกไปถึง 4 รัฐบาล แล้วพลเอกประยุทธ์ค่อยมานะที่รับช่วงนี้ คอริดอร์ ไม่มีการสืบทอดอำนาจเผด็จการตรงไหนเลย คนที่ตะโกนออกมาไม่เข้าใจอำนาจของประชาธิปไตย
ทำหน้าที่ประชาชนยึดอำนาจจากรัฐบาลทรราชเป็นประชาธิปไตย 100% แล้วคุณก็โง่ไปเรียกว่าเผด็จการทั้งที่เขาสืบทอดอำนาจประชาธิปไตยจากประชาชน
แค่นี้ปัญญาก็ไม่ได้ แล้วมาเสนอหน้ามาบริหารประเทศ อาตมาว่าไปหลุมนรกที่ไหนก็ไป ความรู้แค่นี้ จบดอกเตอร์มานะ ความรู้เบื้องต้นประชาธิปไตยแล้วคนไทยแสดงให้เห็นสำเร็จงดงามด้วย พูดเท่าไหร่ก็บื้อเงอะงะลฃ
ประเทศไทยมีตัวอย่างของประชาธิปไตยมาตั้งแต่พศ. 2549 มีรูปแบบของการปฏิวัติรัฐประหารที่เป็นโดยประชาชนเป็นภาษาไทย 100% สดสวยงดงามสงบอบอุ่น ดำเนินไปได้ด้วยดี
อาตมาตำหนิดูถูกความผิดแรง คนฟังด้วยดีก็ชัดเจน คนถูกข่มก็ถูกข่มมาก
_หลวงปู่คิดว่ามีนักเรียนสัมมาสิกขาบรรลุธรรมะเป็นอาริยะไหมครับ อย่างน้อยก็โสดาปัตติมรรค
พ่อครูว่า…มี เด็กที่เป็นโสดาฯก็มีในชาวอโศก เข้าใจกันไม่ง่ายหรอก เด็กที่มีบารมีมีของเดิมและมีความเอาใจใส่ มีความแสวงหาสืบทอดทางจิตวิญญาณมา กว่าเด็กแต่ละคนจะเข้ามาตามวิบากกรรมมาเป็นเด็กที่จะมาอยู่ในชุมชนชาวอโศก อยู่ในโรงเรียนสัมมาสิกขา กรรมวิบากได้คัดสรรมาทั้งนั้นแล้ว จะนึกว่ามาโดยบังเอิญเหมือนอุกกาบาต มันไม่ใช่ มันมีวิบากกรรมมันมีบารมีมีสิ่งที่ดี เพราะฉะนั้นจะสังเกตให้ดี สังเกตได้ว่าถึงอย่างไรก็ตาม เด็กตัวเล็กตัวน้อยก็ตามมานั่งฟังอาตมาแสดงธรรม เด็กๆเขา จริงๆแล้วเด็กขนาดนี้ มันไม่รู้เรื่องหรอก แต่ถ้าไม่รู้เรื่องแล้วมันก็จะไม่เกรงใจแล้วมันก็จะไม่มีอะไรลึกๆ จะ Nuisance วุ่นวายกว่านี้เยอะแต่เด็กเรานี่สงบ เด็กที่อื่นไม่ได้แสดงธรรมะยากเท่าที่อาตมาแสดงเลยมันยังส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว เคยเห็นบ้างไหม ต้องทำการดุ กำราบกันอย่างหนักมันถึงจะหยุด ตอนนี้อาตมาไม่ได้ดุว่าเด็กเท่าไหร่เลย แต่เด็กเรามีคุณภาพเห็นไหม น่าจะไม่เป็นโสดาบันสกิทาคามีได้อย่างไร แล้วยังอ่านหนังสือธรรมะ ผู้ใหญ่ยังไม่อ่านเลยหนังสือธรรมะอาตมา มันมีความซับซ้อนลึกซึ้งหลายอย่าง
_พระเยซูคริสต์มีคุณสมบัติเป็นพระอาริยะหรือไม่
พ่อครูว่า…ไม่มี ท่านไปยึดเป็นเทวนิยม แต่โลกุตระเป็นอเทวนิยมตีเทวะให้แตกทำความเป็นเทวดาให้หมดไปจนหมดเป็นเทวดาบรรลุอรหันต์ ทำลายเทวดาไม่มีนรกสวรรค์ ศาสนาพุทธกับนรกสวรรค์มีแต่เรื่องของสัจธรรม ที่เป็นปัจจุบันธรรมที่เป็นสมมติสัจจะปรมัตถสัจจะ
(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
_ส.มือมั่น …อยากให้พ่อครูพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ บ้าง พ่อครูเคยพูดว่าเปรมแปลว่ารัก พ่อครูแต่ก่อนชื่อรัก
พ่อครูว่า…พูดไปบ้างแล้ว …ก็ไปเอาที่กล่าวมาแล้วพอดีแล้ว พอดีแล้วหลายพอดีอาตมาก็เมื่อย
เป็นเรื่อง อจินไตยเป็นฌานวิสัยเป็นกรรมวิบาก ซึ่งมันแยกแยะเรื่องกรรมวิบากยากมากเลย เป็นเรื่องบารมีเรื่องคุณธรรม ในเมืองไทยเป็นคนที่มีคุณธรรม ซึ่งอธิบายยาก ตั้งแต่ในหลวงเราก็ดี องคมนตรี ผู้ที่จะช่วยงานประเทศชาติอย่างมีลำดับตำแหน่งหน้าที่มาทั้งนั้นแหละ
เมืองไทยเรามีอะไรต่ออะไรต่างๆนานา ตัวบุคคลตัวตนอะไรต่างๆ มีสิ่งที่ประเสริฐตั้งแต่ชั้นในระดับของสถาบันตั้งแต่ข้าราชการระดับสูง ระดับของบุคคลตั้งแต่เป็นนักธุรกิจ ก็ยังมีคนทั่วไปที่มีคุณธรรมมีคุณค่า ยากมากเป็นเรื่องอจินไตยกรรมวิบาก แต่ละคนมาตามกรรมวิบากได้แยกแยะยาก
เอาอาตมานี่ กรรมวิบากอาตมามาชาตินี้ มาทำงานด้านศาสนา ขณะที่ศาสนากระแสหลักได้เสื่อม หมดเนื้อหาของโลกุตรธรรมไปเกลี้ยง จนกระทั่งคนส่วนใหญ่ที่ยังได้ติดยึดยอมรับส่วนใหญ่ ยอมรับส่วนมาก และยอมรับสถาบัน อย่างเราชาวอโศกเขาไม่เรียกว่าสถาบัน เขาเรียกว่าพวก กเฬวราก พวกจรจัด มันจึงอยู่ในสังคมได้ยากมาก เท่ากับเป็นเรื่องที่ได้คัดเลือกบุคคลที่ใช้ภูมิปัญญาส่วนบุคคล ภูมิปัญญาส่วนตัวของแต่ละคน ใครมีภูมิที่จะฟังได้เข้าใจ สิ่งนี้คือสัจธรรม สิ่งนี้คือหัวใจของศาสนาพุทธ สิ่งนี้คือเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ คนมีภูมิปัญญาของตนเองรู้เอง ที่นี่ไม่ได้ล่อหลอกไม่ได้หาบริวาร แสดงธรรมะอย่างซื่อตรง แข็งไม่นิ่มไม่นวลไม่มีน้ำตาลไม่มีสีสัน ตรงเปรี้ยงชัด
คนที่มีดวงตามีปัญญาเห็นเป็นของแท้ของชัด เป็นของจริงที่ไม่มีอะไรหุ้มพอกเลยชัดเจนดียิ่งจะมา มันตรงกันข้ามกัน โลกทุกวันนี้ไปเข้าใจสิ่งที่หุ้มพอกด้วยโลกีย์ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสด้วยโฆษณา ประเล้าประโลมหลอกล่อ แต่ผู้ที่มาสนใจในสิ่งที่อาตมาทำเป็นเนื้อเป็นแก่น เพราะฉะนั้นแน่นอนที่สุด เนื้อแก่นไม่มากแน่ แต่มันต้องมี หากไม่มีศาสนาก็ไม่เหลือต้นไม้ก็ไม่เหลือเลยต้นไม้ไม่มีแก่น
แก่นคือวิมุติ กระพี้คือปัญญา เปลือกคือสมาธิ ศีลคือสะเก็ด ใบผลดอก คือ โลกียะ ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขลาภสักการะสรรเสริญเยินยอ
ทุกวันนี้ศาสนานั้นมีแต่ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขลาภสักการะสรรเสริญเยินยอเท่านั้น ศีลคือสะเก็ดก็ไม่มีแล้ว เปลือกคือสมาธิก็ไม่มี กระพี้คือปัญญาก็ไม่มี แก่นคือวิมุตนั้นไม่มีทางจะเกิดได้เลย ศาสนาพุทธทุกวันนี้จึงเต็มไปด้วยดอกใบผล ออกดอกออกผลออกใบแข่งกันมา อร่ามเรือง มันชัดเจนนะ
จะเป็นดอกใบผลที่ไร้ต้น ไร้รากไร้แก่น จึงเป็นผลไม้ดอกไม้พลาสติก ไม่มีชีวะไม่มีพุทธชีวะ เป็นดอกไม้พลาสติก ใบไม้ต้นไม้พลาสติก จริงๆ หลอกชาวบ้านชาวเมืองกันอยู่อย่างนั้น ซึ่งเขาหลงว่าเป็นดอกใบผลที่จริงนะ เพราะฉะนั้นมันคนละโลกคนละเรื่องเลย อาตมาได้เอาแก่นเนื้อกระพี้ เอาเปลือกมาให้เพื่อที่จะให้เกิดลำต้นจึงจะได้เป็นดอกใบจริง ดอกไปไม่หลงใหลแล้วมันจะงามเอง ไม่ได้งดงามแบบโลกียะ งามแบบเรา เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งซับซ้อนยาก
พระเยซูไม่ได้เป็นพระโพธิสัตว์ มันคนละสายกัน เขาเป็นศาสดาแล้วก็จะค่อยๆเสื่อมลงไปเป็นคนชั้นต่ำและก็หมุนเวียนขึ้นสูงอยู่อย่างนั้นสูงต่ำสูง ไม่ได้ล้างเลิกพ้นออกจากโลกียะได้ มีแต่สูงกับต่ำมีแต่ดีกับชั่วไม่มีโลกุตระที่ลดติดยึด ดีชั่วสูงต่ำ ลดความติดยึดในสุขในทุกข์ เสร็จแล้วก็จะเจริญขึ้นมาเป็นผู้ที่หลุดพ้นจากความติดยึดของโลกีย์ทั้งหมด
เป็นศาสนาที่ยากจะพูดกับศาสนาอื่นทั่วไปเขา เพราะของเขาเป็นเทวนิยมแต่ของเราเป็นอเทวนิยมไม่มีเทวะดับเทวะได้มีแต่ศาสนาพุทธ
เทวะคือสองสภาพต้องตีแตกสภาพสองแต่เขาตีไม่แตก อยู่กับสวรรค์นรก อย่างน้อยต้องแยกแยะสวรรค์นรก ที่จริงมันแยกกันไม่ออกภาษาคือ Two in One One in Two
คนยังมีเทวคนก็ยังมี 2 แต่เขาก็จะเอา 1 เขาจะพยายาม กลบนรก ดับด้วยสวรรค์ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ มันไปด้วยกัน ศาสนาพุทธชัดเจนไม่เอาทั้งสวรรค์และนรกตีเทวทิ้ง ศาสนาพุทธจึงไม่มีเทวะ เทวดาดับสูญจึงจบความเป็นเทว
จึงสามารถแยกรูปนามแยกภาวะ 1 ใน 2 และ 2 ใน 1 ของทุกสิ่งทุกอย่างในมหาจักรวาลนี้ได้หมดเลย ยิ่งใหญ่มากมายผู้ที่ ตีแตกเทวะได้ จะรู้ว่าอะไรดี คนอาศัยอะไรไม่ดีไม่ควรอาศัย ก็จะได้กุศล ดีไว้อาศัย แล้วเข้าใจว่าเหตุปัจจัยต่างๆคือเทวดาในโลก คุณจะอยู่ในโลกคุณต้องควบคุมเทวได้
จริงๆแล้วผู้รู้จัก 1 2 ทำลายเทวะได้คือผู้ที่เป็น 0 คือผู้ที่มีสุญญตา มีนิพพานแล้วสามารถอยู่ต่อไปได้ อาตมาอยู่จนเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็เข้าใจสิ่งเหล่านี้สิ่งเหล่านี้หลอกอาตมาไม่ได้ อาตมาไม่เป็นทาสสิ่งเหล่านั้นหรอก
_ใจแก้ว..วันนี้ไปเผาศพของอ้วน อรสาแล้วพ่อครูเทศน์ว่าอ้วนเป็นพระอรหันต์ ดิฉันก็เอาดอกจันไปใส่ ก็นึก ได้ว่าเอาสติกเกอร์อรหันต์ไปแปะให้ลูกที่ตาย แต่สอนว่า เราปรุงยาอรหันต์แล้วก็เอาสติกเกอร์แปะให้พ่อท่านดูก่อนตาย จะได้เช็คว่า ที่เราทำถูกต้องหรือไม่ แต่ถ้าตายแล้วไปบอกว่าเป็นอรหันต์ก็ไม่มีตัวบอก
พ่อครูว่า…ใครแน่ใจว่าตนเองเป็นอรหันต์ก็มาบอกอาตมา อาตมาจะได้บอกว่าเป็นหรือไม่ แต่อาตมาจะบอกก็บอกอย่างมีวิธี ถามเป็นส่วนตัวได้ น่าจะสนุกนะ ใครรู้สึกตัวว่าเป็นอรหันต์ก็มาถามอาตมาได้
อาตมาก็จะได้ ไม่กังขา ไม่หลงตัว ไม่ได้ไปหลอก จะชัดเจนทั้งหมู่กลุ่ม จะไม่ใช่สิ่งที่พูดอย่างเฟ้อ ใครแน่ใจก็มาใครไม่แน่ใจก็ระวังจะหน้าแตก ไม่แน่ใจว่าเป็นอรหันต์ก็มาถาม จะสแตมป์ Approveให้
_พระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์ไหม พระเยซูคริสต์สอนให้คนรักกัน ท่านก็เป็นคนที่เสียสละมากๆ
พ่อครูว่า..พระเยซูไม่ใช่โพธิสัตว์เป็นคนละสายกัน อย่างศาสนาเชนเขาเสียสละมากให้โลกไปหมดเลย เสื้อผ้าก็ไม่เอาแต่พระโสดาบันก็ยังไม่ได้เลย ศึกษาให้ดี พระโสดาบันไม่ใช่สุดโต่งอย่างนั้น เสียสละจริงแต่เสียสละอย่างซับซ้อนลึกซึ้ง ศาสนาเชนที่เปลือยกายในอินเดียเขาเสียสละหมดเลย แต่เขาไม่รู้จักโลกไม่ทำงานอะไรทางโลกเลยไม่มีประโยชน์คุณค่าอะไรเลยไม่สู้ก้อนดินก้อนหิน เขายังกินอาหารอยู่ในโลกยังเปลืองที่ดิน ยังสูดลมหายใจ ยังกินอาหารอีกเปลืองเปล่า แต่ไม่มีคุณประโยชน์อะไรให้ใครเลย ป่วยการที่จะเกิดมาทำไม
ส่วนของพุทธนั้น เป็นความเสียสละออกไปแล้วยังทำงานเสียสละ อย่างพวกเราทำแล้วไม่เอาคืนมาให้แก่ตัวเองเลยทำให้ไปเลย 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วยังทำต่อไปอีกไม่หยุดหย่อน เราเสียสละมากกว่าพวกเชน ศาสนาคริสต์ศาสนาอะไร ชัดเจนไหม เราอาศัยกินอยู่เท่านั้น ส่วนศาสนาเชนเขาก็อาศัยกินอยู่แต่ไม่ทำงาน เราอาศัยกินอยู่แล้วเราสร้างเราทำเราก็กินเท่าที่เราพออาศัยนอกนั้นไม่เอา แล้วจะมีผลผลิตมีแรงงานเอามาสร้างให้คนอื่นต่อไปอีก เป็นเศรษฐศาสตร์ชั้นสูงสุดเลย มีประโยชน์คุณค่าไม่สูญเปล่าเป็นเศรษฐศาสตร์ที่เหนือชั้นกว่าที่เขาเป็น
พระพุทธเจ้าสอนความรักสุดยอด รัก 100 ทุกข์ 100 รัก 90 ทุกข์90 รัก2ทุกข์2 รัก 1 ทุกข์ 1 ไม่รักเลยไม่ทุกข์เลย ไม่ต้องมีความรักเลย แต่มีความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต้องไปอ่านความรัก 10 มิติ ใครจะเสียสละมากเท่าศาสนาพุทธ ทำให้ฟรี ไม่เอาเลยเหมือนเชน แต่ยังขยันสร้างสรรให้คนอื่นอีกและไม่สร้างสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ด้วย สร้างแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างมีภูมิปัญญาเลือกเฟ้น สร้างแต่สิ่งที่มีประโยชน์ให้แก่สังคมโลกด้วย อะไรที่ไม่ดีไม่ทำ อะไรที่ไม่ควรสร้างเป็นสิ่งที่เป็นพิษเป็นสิ่งที่มอมเมา เป็นสิ่งที่เป็นโทษภัยไม่สร้าง มันมีปัญญาซ้อนไปอีกเยอะแยะ
_หลวงปู่คิดว่าบ้านราชฯควรปลูกกัญชาไหมครับปลูกเพื่อเป็นยารักษาโรค
พ่อครูว่า…อาตมาไม่ตอบหรอก ถ้าบอกว่าควรปลูก แล้วจะมีเต็มบ้านเต็มเมือง เดี๋ยวจะไปแย่งชิงภูมิใจไทย แย่งชิงอาจารย์เดชา เราก็ดูตามสังคมเขาไป ประโยชน์และโทษ คนอย่างพวกเรา ไม่มีปัญหาเรื่องติดกัญชา ถ้าเราผ่านเรื่องการติดสิ่งเสพติดมา จนกระทั่งประสาทของพวกเราชาวอโศก ประสาทนี้ พวกฤทธิ์เดชข้องพลังงานหรือของธาตุ ของพีชะเหล่านี้เข้าไปในร่างกายจะไม่ทำร้ายแรงอะไรให้แก่พวกเราง่ายๆหรอก
ยกตัวอย่างง่ายๆ เอาบุหรี่ให้พวกเราสูบก็ไม่ติดหรอก มันไม่ใช่ของที่ติดง่ายๆ จะว่าเป็นปัญญาก็ไม่ใช่ เป็น Action reaction มันมีตัวปัญญาเลือกเฟ้นอยู่ในตัว ปัญญาที่ลึกซึ้งมันมี Selection ของมันเอง มันเป็นตัวเลือกเฟ้นของมันเองในตัว
ไม่ต้องถามหรอก เราไม่มีความจำเป็นอะไร ถ้าจำเป็นจะต้องปลูกแล้วก็ปลูกพอสมควรถ้าหากทางการเขาออกกฎหมายต้องเดินทางกฎหมายไม่มีปัญหา
_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…ก่อนวันนี้ที่พ่อท่านจะประกาศเรื่องคุณร้อยขวัญพุทธ วันนี้ทำวัตรเช้า ญาติโยมก็รำลึกถึงคุณร้อยขวัญพุทธ เป็นต้นแบบที่งดงาม แม้พ่อท่านไม่ประกาศพวกเราก็พอรู้กันว่าเป็นคนเย็นนิ่งเรื่อยๆทำต่อเนื่องไม่เคยมีปัญหากับใคร คุณสุลีที่อยู่โฮ่งปัว ก็เก็บของคุณอ้วนให้ญาติ ก็มีแต่เสื้อผ้าสองชุด กระเป๋าเงิน แว่นตา เท่านั้น
คนที่ดูแลเข้าเวรดูแล ก็จะพูดว่า ความง่ายๆเกรงใจ ไม่เป็นไรๆ เกรงใจคนดูแลเขาไม่มีเรื่องมากเลย เป็นคนเลี้ยงง่าย เป็นองค์รวมที่เราได้พูดถึง
ส่วนตัวของดิฉันเองได้พบคุณอ้วนสมัยอยู่ม.อุบลฯ เขาจะชอบไปทำสวนทำไร่ทำนา ก็เลยถามว่าอะไรมีประโยชน์มากกว่ากันระหว่างทำสวนกับการเรียน เขาก็บอกว่าทำสวนมีประโยชน์กว่า แต่เพราะการเรียนทำเพื่อหมู่กลุ่ม ถ้าเป็นส่วนตัวจะไม่เรียนเด็ดขาด เป็นภาระหนักสมองเป็นเรื่องทั่วไป แต่พอพ่อครูขอเพื่อให้ต่อยอดเชื่อมกับสังคม เขาก็ลงทุนไป
ตอนเขาเป็นเนื้องอกก็คุยอีก ก็เลยบอกว่า คุณรู้ตัวไหมว่าเป็นเนื้องอกมานาน คุยถึงคุณธำรงค์ ว่าป่วยทางสมอง ก็เลยว่า โรคที่เป็นโรคของดร.เป็นโรคของคนที่ใช้สมองเกิน ใช้มากแล้วฝืนใช้ เขาว่า ที่เขาเป็น เป็นโรคของดอกเตอร์
พ่อครูว่า..สรุปง่ายๆว่าดอกเตอร์นี้สมองไม่ค่อยปกติ
สิกขมาตุกล้าข้ามฝันว่า..อยากถามว่าพ่อครูสัมผัสดร.อ้วนว่าเป็นอย่างนี้มานานแล้วหรือไม่
พ่อครูว่า…สัมผัสมานานแล้วก็พอรู้
_เกร็ดดิน…ถ้าที่พ่อครูเคยบอกว่า ศาสดาของศาสนาอื่น ถ้าไม่อยู่ในมรรคมีองค์ 8(พ่อครูว่า..พระพุทธเจ้าพูดไว้ว่าศาสนาอื่นไม่มีมรรคมีองค์ 8) ถ้าไม่เข้าทางพุทธจะไม่มีตรีลักษณะ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) เป็นองค์ประกอบของศาสนาที่สูงส่ง ต้องมีครบองค์ 3 นี้
พ่อครูว่า…ต้องมีองค์รวมสามอย่างนี้
_เมื่อก่อนมีกิเลสกินปลาร้ากะปิอย่างเอร็ดอร่อย ต่อมากินมังสิวิรัติก็ยังกินปลาร้าเจ กะปิเจอย่างเอร็ดอร่อย แต่เมื่อได้กินปลาร้ากะปิเจมานานมาก ตอนนี้ไม่อร่อยแล้วยังไม่อยากแตะแถมเหม็นกลิ่นมันด้วย
การที่เราไม่อยากกินปลาร้ากะปิเจมานานแล้วเป็นความเคยชินหรือกิเลสคะ
พ่อครูว่า…ใช้พยัญชนะเรียกว่าความเคยชิน กับกิเลสเป็นตัวเดียวกันหรือเปล่า
ความเคยชิน เป็นภาษาไทยหมายความว่ามันวางเฉย มันเฉยๆกับสิ่งนี้เพราะว่ามันชินชา อีกศัพท์หนึ่งเรียกว่า ชินชา
ภาษา ชิน กับ ชา เป็นภาษาบาลี ชินแปลว่าชนะ ชา แปลว่า ความรู้(ปรีชา ชานะ) จนชินชา มาเป็นภาษาไทย แปลว่ามันชินเคยชินแล้ว ชินชาแล้ว เฉยๆ ว่างๆ มันเหมือนกิเลสหรือเปล่า จะว่าจริงๆแล้ว กินลึก เหมือนกิเลสด้วย ถ้าคุณไม่มีปัญญาวินิจฉัย แต่ที่คุณอธิบายมานี้มีลำดับ แต่ก่อนกินอร่อยๆของพวกกะปิปลาร้าของเนื้อสัตว์ แต่เมื่อมากินกะปิปลาร้าเจ กินไปกินไปแล้วก็เกิดไม่อร่อยแล้ว ก็ไม่อยากแตะอีกเลยเหม็น เป็นปลาร้ากะปิด้วย แสดงว่าคุณมีธาตุที่ผลัก มากเลยเถิดไปหน่อย ธาตุผลักมันมากไปหน่อย ก็เลยผลักจนไม่เอาอีกแล้ว ที่จริงมันก็มีประโยชน์ กะปิปลาร้าเจมันก็มีบี 12 มีประโยชน์ก็สมควร มันก็ต้องมีก๊าซไข่เน่ามันก็ต้องมีกลิ่นเหม็นตามธรรมชาติของสารหมักดอง มีแบคทีเรีย ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติของมัน
เราเข้าใจรายละเอียดสิ่งเหล่านี้แล้วถ้าเราจะกินจะใช้บ้าง ให้เป็นอาหารให้เป็นประโยชน์ในสารที่เราจะใช้พอสมควร ไม่ได้มีจิตที่ไปอยากได้อยากมีชื่นชอบ และก็ไม่ผลักจนเกินควร ก็จึงจะถูกต้อง แต่ถ้าจะไปผลักจนเกินควรแล้วเราไม่เอา
ถ้าสิ่งอื่นเรากินเราใช้อยู่แล้วมันแทนกะปิปลาร้าเจที่มันแทนสารหมัก เราก็กินอย่างอื่นที่มีธาตุอย่างนั้นพอสมควรแล้วคุณไม่กินก็ได้ เราก็ไม่ใช่คนช่างเลือกอะไรที่นี่เขาก็มีกะปิปลาร้าเจมา เราก็กินบ้าง เขาผสมใส่แกงใส่ผัดมา หรือใส่อาหารมา เราก็รับไปตามควรไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรมันก็เป็นประโยชน์
ผู้ที่รู้แล้วชิน คือชนะแล้ว ชาคือความรู้ไม่ผลักไม่ดูด สิ่งที่ควรรับก็ควรรับสิ่งที่ไม่ควรรับก็ไม่รับ ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างอาตมานี่นะ ถ้าจะกินเนื้อสัตว์เดี๋ยวนี้อาตมาก็ไม่ได้ไปติดเนื้อสัตว์แน่นอน อาตมาก็จะมีวิบากเท่านั้นเองซึ่งทุกวันนี้อาตมาก็ยอมรับวิบากหลายอย่างอยู่แล้ว ถ้าหากในสังคมที่เขาต้องกินเนื้อสัตว์จริงๆเลย หรือ อย่างพระพุทธเจ้าอนุโลมให้สำหรับคนเจ็บป่วย ที่ต้องอาศัยเนื้อสัตว์มาเป็นยา อาศัยส่วนของสัตว์เป็นยา ถ้าไม่ใช้มันตาย เราก็ควรต้องเอาชีวิตไว้ก่อน กินเป็นยาก็ต้องกินส่วนของสัตว์นั้นด้วยจำนน พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ซีเรียสจนเกินไป แต่ถ้าเผื่อว่าเราเว้นได้ เอาอย่างอื่นแทนได้ อย่างอาตมากินเนื้อสัตว์ก็จะเป็นวิบากส่วนตัวเท่านั้นแหละ แต่เพื่อประโยชน์ของการอยู่กับสังคมนี้ สะดวก อาตมาก็อนุโลม เป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อนในตำนานในประวัติ มีคนเอาเนื้อสัตว์มาถวายพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าก็ฉันซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่าฉันหรือไม่ พระพุทธเจ้าท่านเกินกว่าจะฉันหรือไม่ฉันเนื้อสัตว์แล้ว จะพ้นวิบากมันก็ไม่มีปัญหา
หมายความว่า อย่างพระอรหันต์พ้นวิบากแล้ว ถ้าอรหันต์จะรับวิบากนั้นท่านก็เสียสละตัวท่าน เพราะท่านฉันไม่ฉันก็ไม่เสียสละ ถ้าจะฉันแล้วเป็นประโยชน์กว่าท่านก็ฉัน ถ้าไม่เป็นประโยชน์ การไม่ฉันจะเป็นตัวอย่างที่ดีกว่าเราก็ไม่ฉันดีกว่า เราจึงอยู่ในฐานที่ไม่ฉันดีกว่า ถ้าอาตมายืนอยู่ในฐานที่ต้องฉันเนื้อสัตว์ก็มีวิบากนะ ต้องเสียสละ ต้องฉลองศรัทธาคนที่เอามาถวาย ฉันเนื้อสัตว์ให้ ก็ได้ฉลองศรัทธาเขา แต่มันเป็นตัวอย่าง ก็ว่าอาตมาไม่ควรใช้เนื้อสัตว์เป็นตัวอย่างดีกว่า อาตมาก็ไม่ฉันเนื้อสัตว์ เป็นตัวอย่างที่ดีกว่า เพราะฉะนั้นถ้าเลือกได้สังคมของอินเดียเขาไม่ฉันเนื้อสัตว์ เขารู้ดีกันหมดแล้ว แต่เมืองไทยนี้ไม่รู้ดี ควรเป็นตัวอย่างไม่ฉันเนื้อสัตว์หรือควรจะฉันเนื้อสัตว์เป็นตัวอย่าง
เมืองไทย อะไรจะเป็นตัวอย่างที่ดีกว่า ส่วนจะไม่ฉันเนื้อสัตว์หรือควรจะฉันเนื้อสัตว์ดีกว่า ก็ควรจะเป็นคนที่เป็นตัวอย่างที่ไม่ฉันเนื้อสัตว์ดีกว่า โดยค่าเฉลี่ยที่ชัดเจนแล้ว คนยิ่งเคารพถนับถือศรัทธาเราและเราก็ไม่ฉันเนื้อสัตว์ให้เป็นตัวอย่างก็ได้แล้วประโยชน์ เราก็ดีด้วยที่ไม่ต้องมีวิบากไปฉันเนื้อสัตว์อะไรอีก เพราะฉะนั้นอาตมาจึงไม่ฉันเนื้อสัตว์และรณรงค์ไม่ให้ฉันเนื้อสัตว์ไม่ได้ทานเนื้อสัตว์ด้วย ถ้าเป็นเรื่องอจินไตยที่มันมาก อาตมาก็เป็นโพธิสัตว์ระดับนี้ก็รู้ดีแล้วแต่คนเขาไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร อาตมาช่วยประชาชนมนุษยชาติได้ขนาดนี้
นิมนต์พ่อครูดื่มน้ำ
_นักรบธรรม…เกี่ยวกับหนังสือที่พ่อครูเขียนมาจากเหตุการณ์ที่ว่า เอาหนังสือพ่อครูไปแจกฟรีที่ อาคาร บวร ก็ดูเหมือนไม่มีใครสนใจ รู้สึกว่ามันเป็นการทำให้ของดีคนไม่รู้ค่า ที่จริงหนังสือพ่อครูมีราคา แต่ไปแจกฟรี คนจะไม่เห็นค่า ถ้าเป็นไปได้จะตั้งขาย โดยตั้งตู้บริจาคหรือแบบไหนที่ให้ดูมีคุณค่า จะได้มาสนใจครับ ผมเห็นว่าคนจะอ่านหนังสือพ่อครูต้องมีภูมิปัญญาบารมีพอได้
พ่อครูว่า…อาตมาว่า เรื่องหนังสือมีทุกวิธีแจกก็มีขายก็มียัดเยียดก็มี มันถูกอย่างที่ว่าคนไม่อยากอ่านเท่าไหร่หรอก แม้แต่พวกเราเองยังไม่อยากอ่านเท่าไหร่เลยมันก็มี แต่อาตมาก็เขียนไว้ ก็ได้บันทึกไว้ อาตมาตายไปแล้ว หนังสือเหล่านี้จะมีค่า จะมีคนเอาไปใช้ประโยชน์ เมื่อคนเข้าใจถึงโลกุตรธรรมดีขึ้นมากขึ้น ซึ่งแนวโน้มของสังคมโลกจะมีมากขึ้น อาตมาทำงานนี้ตามภูมิของอาตมา ที่อาตมาเข้าใจ ว่าโลกุตระธรรมนี้จะเจริญขึ้นอีกภายใน 500 ปีนี้ อาจจะยากและช้าหน่อยต้องอาศัยเวลา ถ้าหากอาตมาอายุถึงร้อย ต่างประเทศก็จะรู้เพิ่มขึ้น ถ้าอายุ 120 ต่างประเทศจะมารับรู้เข้าใจได้มากกว่าอีก และเมืองไทย ถ้าต่างประเทศมารับรองเมื่อไหร่เขาจะเอาตาม ถ้าต่างประเทศยังไม่รับเขาไม่เอา คนไทยนี้ไม่มีศักดิ์ศรีเท่าไหร่จะต้องให้คนข้างนอกมารับรองก่อนไม่รู้จะโง่ดักดานถึงไหน ก็ต้องรอจังหวะนั้น ถ้าเมืองไทยรู้เองโดยไม่ต้องอาศัยต่างประเทศรู้ก่อนอันนี้จะประเสริฐมากแต่อาตมาไม่ฝัน
_เรื่องการฟังดนตรี ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก.. พ่อครูเห็นว่าอย่างไร และการไปฟังเพลงเก่าๆแล้ว เกิดดำริออกจากกาม เห็นว่าเพลงเหล่านั้นเป็นความเพ้อความเกินไร้สาระเรียกว่าเป็นโลกุตระได้ไหม
ถ้าวิปัสสนาอ่านตัวเองออกเหมือนที่เจอผัสสะจากเพลง ถ้านำไปใช้กับกิเลสตัวอื่นแบบนี้จะได้ผลดีไหมคะ
พ่อครูว่า…บทกลอนข้างต้นนี้ อาตมาวิจารณ์มากไม่ได้เพราะว่าเป็นพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 ไม่ควรจะไปละลาบละล้วง ไปตำหนิติเตียน ก็พูดเป็นเชิงโลกุตระจะเป็นการตำหนิติเตียน ก็ขอตอบกลางๆว่า ดนตรีนั้น พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเป็นศิลปะชนิดหนึ่ง ศิลปะเป็นมงคลอันอุดมก็หมายความในตัวว่า ถ้ามันเป็นศิลปะจริง ผลงานนั้นจะต้องชำระกิเลส มงคลอันอุดมคือเจริญไปทางโลกุตระจะละกิเลส เพลงใดที่ฟังแล้วลดกิเลสเพลงนั้นเป็นโลกุตระเป็นศิลปะ ถ้างานใดที่เรียกว่าศิลปะ แต่เมื่อไปสัมผัสแล้วไปชมไปบริโภคงานศิลปะ เขาเรียกงานของเขาว่าศิลปะ แต่เมื่อไปบริโภคผลงานนั้นแล้ว กิเลสราคะขึ้น กิเลสโทสะขึ้น งานนั้นคืออนาจาร งานนไม่ใช่ศิลปะเลย
เพราะฉะนั้นเขตที่ตัด เป็นศิลปะหรือไม่เป็นศิลปะตามนัยยะของพระพุทธเจ้า เขตนั้นก็คือ ผลงานใดที่คุณแสดงออกมาแล้วคนไปสัมผัสแล้วกิเลสลดนั่นคือศิลปะ ถ้าผลงานใดที่คนไปสัมผัสแล้วกิเลสเกิด งานนั้นเป็นอนาจารไม่เป็นศิลปะ นี่คือเขตตัดการเป็นศิลปะของพระพุทธเจ้า
สรุปคือศิลปะเป็นโลกุตระ อุตมะ อาตมาจึง อธิบายงานที่เขาทำกันทั่วโลก ซึ่งอาจจะมาเห็นว่ามันและจริงๆมันไม่ใช่ศิลปะจริงๆมันเป็นเรื่องฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อหลอกลวง หลอกลวงจนกระทั่งขายกันราคาแพงมาก คือโง่หนักเข้าไปทุกที หลอกค้าขายขี้หมูขี้หมาเอาช้างเอาม้ามาเขียนภาพ แล้วไปขายราคาแพงคือมันไม่รู้เรื่องกันแล้วจนกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้
เพราะฉะนั้นมันเป็นอุปาทานมันเป็นเรื่องของโฆษณา ที่มันไม่เข้าใจสาระ จะเป็นจิตรกรรมประติมากรรมเป็นการแสดงดนตรี ที่เรียกกันว่าศิลปะ มันเป็นได้ถ้าอยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่าคนสัมผัสแล้วกิเลสลด หากสัมผัสแล้วกิเลสเกิดมันไม่ใช่ศิลปะเอาแค่นั้นก็แล้วกัน ให้อาตมาวิจัยวิจารณ์ดนตรี มันเป็นศิลปะก็ได้ ที่ท่านว่าชนใดไม่มีดนตรีกาลชนนั้นเป็นคนชอบกลนักก็จริง เราชาวอโศกก็มีดนตรี มีวงดนตรีฆราวาสรับงานทั่วราชอาณาจักร ก็มีชาวอโศกให้ไปเล่น ที่อื่นไม่มาจ้างไปนะ ทั้งที่เราก็เล่นเพลงโลกๆได้ ดีที่ไม่เหน็ดเหนื่อยไม่ไปไร้สาระ เรามีบ้างนะ เพื่อที่จะให้แก่ฐานของบุคคลที่ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้ แต่ถ้าเผื่อว่าใช้เนื้อหาที่เป็นโลกุตระมันก็เป็นประโยชน์อย่างที่อาตมาทำ อาตมาแต่งเพลงโลกุตระซึ่งไม่ง่ายเข้าใจได้ยาก ศิลปินแห่งชาติก็เคยอุทานว่า ศิลปะมีโลกุตระด้วยหรือ เขาว่างั้นเลยนะ เป็นศิลปินแห่งชาติและดังด้วย ซึ่งไม่ได้เข้าใจได้ง่าย
ไม่ว่าจะเป็นงานเขียนงานปั้นงานก่อสร้างงานวรรณกรรมงานดนตรีงานแสดงลีลานาฏกรรมอะไรก็แล้วแต่ ถ้าสัมผัสบริโภคแล้วทำให้กิเลสลดได้ อย่างงานอาตมาคนสัมผัสแล้วกิเลสลดได้อย่างที่ถามมา
การไปฟังเพลงเก่าแล้วกามลด อาตมาแบ่งเกรดของเพลงของงาน 5 ขั้น
-
ลามก ไม่ควรเสพเลย ปรุงแต่งมาไม่ว่าจะเป็นงานปั้นงานเขียนงานดนตรีกาล ถ้ามีงานระดับลามกของเขามี
-
งานระดับราคะ เป็นกามราคะดูดดึงเร่งเร้าให้เกิดกิเลสกามราคะซึ่งไม่หยาบคายอย่างลามก ก็มีอาศัยอยู่ในโลกเยอะแยะ ลามกเขาก็พอรู้กันพยายามจะไม่เกิดถึงขั้นนั้นเขาพอรู้กันโดยสามัญสำนึก แต่ราคะนี้เขาไม่เข้าใจ จึงล่อแหลม เพราะงั้นงานราคะ แล้วล่อแหลม แล้วบอกกันว่าไม่ใช่ราคะแต่เป็นศิลปะไม่ใช่ยั่วกาม ยั่วโทสะ การแสดงบู๊หนักยั่วโทสะ การแสดงยั่วให้ติดยึดดูดดึงยั่วราคะ เราไปดูการแสดงที่ให้เกิดดูดดึงเป็นราคะ การแสดงที่มีความรุนแรงก็เป็นโทสะ
-
สาระ คือ เข้าใจแล้วว่าจะให้เกิดผลประโยชน์เกิดแก่นสารที่ดีในชีวิตไม่ใช่เติมแต่กิเลสให้ งานที่ให้สาระธรรมดา มันไม่มีสิ่งที่เข้าไปมีสุนทรียะผสมเลย งานจืดชืด ยกตัวอย่างงานวรรณกรรมข้อเขียนที่จืดชืดไม่มีสิ่งชี้ชวนให้อยากอ่านเลยเขาเรียกว่าเป็นสารคดี เป็นสาระล้วนๆแท้ๆ สารคดี สูงจากสาระ
-
ธรรมะ คือ เป็นเครื่องชี้บ่งถึงธรรมะแม้จะเป็นโลกียะก็ตาม สูงกว่านั้นอีก