มิ.ย.92019ศาสนา620609_ พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึกครั้งที่ 38 ราชธานีอโศก อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1VVWlticdFJgwtond-pLOAXUSxOFBJtOu4dAQMJ4YOWA/edit?usp=sharing ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1Pfo2veuAkdjMPyoEzttKQvgEMrNQ9R5l พ่อครูเทศนาก่อนพาทำพิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ …วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน 2562 ที่ บวร ราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันที่ชาวอโศกเราจะมีพิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ การบูชาพระธาตุ เราก็ทำเป็นองค์ประกอบศิลป์ มีวิธีการจัดองค์ประกอบให้มีท่าทีลีลา การพูดจา รวมแล้วเป็นพิธีการหรือวิธีการ ทำให้เกิดการเคารพสักการะในสิ่งที่สูงสิ่งที่ควรยกย่อง เป็นสัจจะที่สมควร ผู้ที่มีปัญญามีความเฉลียวฉลาดและรู้ก็จะแสดงออกตามนั้น คนเราก็ใช้พิธีกรรมมากเกินจนรู้สึกว่าเป็นความขลัง ทำให้เสียเวลาเสียทรัพยากรมากมาย เราก็ต้องทำให้พอเหมาะพอดี และเริ่มต้น จากนี้ไป ประมาณอีก 2 นาที 17.50 อาตมาก็จะทำการกล่าว ตั้งนะโม 3 เที่ยว พอจาก 3 เที่ยวแล้วพร้อมกัน อาตมาก็จะนำกล่าวคำบูชา คำบูชานี้ เรียบเรียงไว้เรียบร้อยใช้มาตั้งแต่ต้นที่พาทำ พวกเราที่นั่งตามด้านต่างๆ ใครนั่งทิศไหนก็กราบมาที่ศูนย์กลาง ต่อไปเราก็จะได้พาบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ตั้งนะโมสามจบ คำกล่าวบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึก ตั้งนะโม 3 จบพร้อมกัน อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจรณสัมปันโน สุคโต โลกวิทู อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอนอบยอบหมอบกราบคารวะ ด้วยสุดเกล้าสุดเศียรสุดกระหม่อม ของเหล่าข้าน้อยนี้ เกลือกถูรองรับอยู่ใต้ละอองผงคลีแห่งธุลีฝ่าพระบาทของสมเด็จพ่อ ผู้เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้มี “พุทธคุณ” ดังกล่าวข้างต้น อย่างสุดเทิดสุดบูชายิ่ง เหล่าข้าน้อยทั้งหลาย ขอน้อมบูชา เทิดทูนพระคุณอันหาที่สุดมิได้ ณ กาละศุภสมัยนี้ เหล่าข้าน้อยทั้งหลาย ขอตั้งปณิธานต่อพระมหาบรมสารีริกธาตุ ณบัดนี้ว่า… เลือดและวิญญาณของเหล่าข้าน้อยทั้งหมดนี้ ขอถวายอุทิศแด่พระพุทธศาสนาไปตราบดินสิ้นฟ้า จนกว่าข้าน้อยแต่ละคนจะปรินิพพาน ขอได้โปรดรับปณิธานนี้ ด้วยสุดเกล้าสุดเศียรสุดกระหม่อม เหล่าข้าน้อยเถิดเทอญ สาธุ-สาธุ-สาธุ จากนั้นพ่อครูได้เทศนาต่อ…เราบอกกับสังคมไม่ได้เป็นคำลวงคำพราง เป็นผู้ซื่อสัตย์เป็นคนพูดตรงๆจริงๆ เราพูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ทำอย่างไรก็พยายามพูดให้ตรงอย่างนั้น ยถาวาที ตถาการี ยถาการี ตถาวาที พูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น อาตมาเกิดมา เป็นพระโพธิสัตว์อาตมาก็บอกตรงๆ อย่างพูดว่าเราเป็นอรหันต์ คนก็ไม่เชื่อว่าเราเป็นอรหันต์ คุณเข้าใจไหมว่าคนเป็นอรหันต์แล้วบอกใครไม่ได้ ถ้าบอกแล้วจะเป็นการอวดตัวอวดตน ให้รู้เองให้เขาอ่านเอง เลยพยายามเดาเอาคาดคะเนเอา อ่านตามอาการ เมื่อคนเข้าใจผิดคิดเห็นผิดว่าผู้เป็นอรหันต์แล้วบอกใครไม่ได้ แล้วก็เชื่อกันจริงๆอย่างนั้น ถ้าบอกแล้วถือว่าเป็นการอวดตัว เป็นการอยากให้คนอื่นเขามารู้ว่าเราเองสูงส่งขึ้นมา จะต้องมานับถือฉันเป็นการโฆษณาสินค้า ซึ่งมันก็เป็นลักษณะความหลอกลวงกันเป็นสังคม แล้วแต่โฆษณาโดยไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงเกินกว่าความจริงมันเต็มไปหมด คนก็เลย ถือว่าทุกคนต้องผิดหมด จนความถูกต้องไม่มี เมื่อมีคนพูดความถูกขึ้นคนจึงไม่เชื่อ แต่ก็มีคนที่ศึกษาใช้ปฏิภาณความรู้มีจิตวิญญาณที่ มีวิจารณญาณลึกซึ้ง ละเอียดลออชัดเจน ก็สามารถแยกแยะได้ ตีแตกได้ จับเอาความเป็นจริง โดยเฉพาะ 1. ปฏิภาณของแต่ละคน ญาณปัญญาของแต่ละคน 2. เมื่อสัมผัสคบคุ้น ทั้งกายวาจาใจ ใช้เวลามีพฤติกรรมจริง ปฏิบัติของตนเองออกมาเกี่ยวข้องสัมผัสกับคน เกี่ยวข้องกับสังคม ทุกอย่างนั้นสอดคล้องลงตัว ตามคำตอบคำสอนคำยืนยันของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎกเป็นต้น ก็เอามาตรวจสอบได้ ตรงกันๆๆๆ มันก็ซ้อนอีก คําสอนพระพุทธเจ้าเขาก็ไปอธิบายผิดเพี้ยนไปอีกอย่างหนึ่ง เป็นความเข้าใจผิดของอาจารย์รุ่นหลังๆที่ยึดถือกันผิดๆต่อกันมา ก็ไปถือเอาคำอธิบายที่ผิดเป็นคำที่ถูก เมื่อมีผู้ที่ยืนหยัดยืนยันศึกษารู้จักความถูกต้องของพระพุทธเจ้าจริงๆมา มีมาก่อนตั้งแต่หลายปางหลายชาติ อาตมาเป็นโพธิสัตว์มาไม่รู้กี่ปางกี่ชาติจนเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ออกมายืนยันพูดและบอกว่าอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ มาในยุคนี้แม้ไม่มีแล้ว พระโพธิสัตว์ อาตมาประกาศออกไปแล้ว จะได้ประกาศออกไปว่า ถ้ามีโพธิสัตว์องค์ใดเกิดมาในขณะนี้ยุคนี้กาละนี้ ปัจจุบันนี้ ตอนนี้ ที่มีเครื่องมือสื่อสารได้ยินรับฟังรู้กัน ไปทั่วหมดแล้ว เทคโนโลยีเป็น globalization หากว่าท่านยืนยันว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ก็มาพบกันหน่อยสิ ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ที่สูง ก็จะมาร่วมทำอะไรต่อกันไป หรือเป็นโพธิสัตว์ผู้น้อง ก็มา ก็มี โพธิสัตว์ผู้เป็นน้องก็มา สวนโพธิสัตว์ผู้ที่เป็นพี่ประกาศหาเขายังไม่มา ได้ประกาศไปแล้วว่ามีผู้นั้นผู้นี้ก็มีบ้างแล้ว อาตมาก็ระบุว่าเป็นพระโพธิสัตว์ อย่างในปางนี้โบราณาจารย์ว่าไว้ ถ้ามีโพธิสัตว์ 2 องค์มาสืบสานศาสนาในยุคนี้ ก็กาละประมาณ 2500 กว่าปี ก็อุบัติมา อาตมามั่นใจ กล้ากล่าว…(เสียงลำโพงหอนดัง) เราทุกบรรยากาศคือการรายงานความจริง โพธิสัตว์อุบัติยุคนี้ 2 องค์ ได้เปิดเผยไปหมดแล้วใครจะหาว่าโหนในหลวงหรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็ตาม ใช่หรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ เพราะอาตมามีความจริงใจและเห็นความสำคัญ ตัวเองจะต้องถูกเข้าคุกในการพูดความจริงนี้ก็เอา ก็ยอม ถ้าเขาถือว่าผิด แต่เราไม่ได้ถือว่าเป็นความผิดเป็นการบอกความจริงที่หายาก ไม่ใช่ความจริงที่หาง่าย ดาษดื่น ประชาชนคนสามัญทั่วไปไม่ใช่ แต่เป็นของโลกุตระที่หายากเป็นเรื่องจริง ผู้ที่จะมานั่งหลอกลวงนั่งปลอมแปลงกันไม่ได้ อาตมาจะกล่าวเพียงว่า มีธัมมิกราช 2 องค์ อาตมาพูดไปก็เหมือนยกตัวตน แต่ในหลวงท่านไม่ได้ยกตัวอย่างตนหรอก มีผู้ยกให้ และท่านก็เป็นองค์จริง ส่วนอาตมานั้น ใครจะเชื่อว่าเป็นตัวจริงหรือไม่ใช่ตัวจริงก็แล้วแต่บุคคล สามารถใช้วิจารณญาณของตัวเอง เรื่องของความเชื่อถือ ใครจะยอมรับใครอย่างไรบังคับกันไม่ได้ บางคนสามารถหลอกล่อหว่านล้อมให้คนเชื่อถือก็ได้ แต่อาตมาไม่ประพฤติหว่านล้อม ไม่ประพฤติบังคับก็ไม่เอาแน่นอน ไปบังคับให้คนเชื่อถือหว่านล้อมด้วยสินบน ให้คนมาเชื่อถือ มีเชิงอย่างนั้นอย่างนี้ หาวิธีการเฉลียวฉลาดต่างๆ ผู้มาเชื่อถือนับถืออาตมานั้นไม่เป็นความจริงของตัวเองเป็นอิสระเสรีภาพที่สุด ของแต่ละคน อาตมาไม่พยายามมีกรรมกิริยาท่าทาง นัจจะคีตะวาทิตะ ไม่ว่าจะเป็นสุ้มเสียงสำเนียงหรือคำพูด เพื่อแสดงออกไปแล้วให้คนเขาหลง อาตมาไม่ใช้ ไม่ใช้คำลวงคำหว่านล้อมอาตมาใช้คำสั้น แข็ง ลัดไม่โค้งงอไม่เลี่ยงไม่เอียง คำพูดจึงผ่าตรงมาก เป็นการใช้เฉพาะบุคคลอย่ามาเลียนแบบอาตมาทีเดียว แต่ละคนควรต้องระวัง เราตรงจริง เราควรมีสภาวะธรรมตรงและพูดให้ตรงจริง แต่อาตมาทำเพราะอาตมามั่นใจ อาตมาชัดเจนในตนเองว่าอาตมาไม่ผิด พูดบอกความจริงที่ไม่ผิดเพราะอาตมาเชื่อถือกรรมวิบาก หากอาตมาหลอกอาตมาก็ได้กรรมวิบาก (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) อาตมาเชื่อกรรมเชื่อวิบากกรรมเป็็นอันทำ หมายความว่าการกระทำออกมา กายกรรม วจีกรรมพูดออกมา หรือแม้แต่กรรมทางมโนกรรม เป็นกรรมที่คิดแล้ววินิจฉัยตัดสินของตนเอง อย่างใดเราก็พูด เรามั่นใจว่าที่พูดนี้ตรง อาตมาไม่หวัง ตรองตรงมโนกรรมที่อาตมาไม่ได้ใช้ได้ 100% อาตมาก็จะพูดออกมาใกล้เคียงกับร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่พูดทั้งหมด เพราะความถูกต้องเต็มร้อยนั้น มันสูงมันยาก เพราะฉะนั้นก็จะพูดคำที่อนุโลมประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ สำหรับคนที่จะรับได้ ฟังแล้วเข้าใจยากอยู่เหมือนกัน ทำไมไม่พูดความจริงร้อย แต่มันเป็นลำดับ พระโสดาบันก็มีความจริงส่วนหนึ่งแล้ว พูดตรงส่วนหนึ่ง คนเป็นโสดาบันก็รับภูมิที่เป็นสกิทาคามีอนาคามีไม่ได้ เขายังอยู่ในโสดาภูมิ มันก็ไกลเกินไป เช่นคนขึ้นบันไดขั้นที่ร้อยก็ต้องขึ้นจากขั้นที่ 1 เราต้องศึกษาไปทีละ 5 ทีละ 10 ชิ้นละ 20 30 อย่าไปก้าวเกินขา ทีละ 50 70 มันทำไม่ได้ จะต้องการให้สูงสุดถึงร้อยจริง แต่เราจริงๆแล้วเราต้องทำตามลำดับ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าตามลำดับนั้นน่าอัศจรรย์ แม้แต่เราแสดงออกความจริง เช่นอาตมาเอาท่าทางประกอบเป็นนัจจะคีตะวาทิตะ ดูเหมือนหยาบแรงๆ บางคนเข้าใจไม่ได้เขานึกว่าเขาสูงแล้วก็มาตีค่าที่อาตมาพูดว่าต่ำ เขาก็เลยคิดว่าอาตมาต่ำ แต่อาตมาทำเพื่อเขา เขานั่ั้นแหละต่ำ เขายังไม่สูงหรอกอาตมาจึงต้องต่ำลงมาเพื่ออนุโลมให้เขา เขาต้องขึ้นบันไดทีละขั้นเป็นขั้นที่ 2 3 4 แล้วอาตมาจะเอาขั้นที่ 10 ขั้นที่ 100 ไปให้เขาขึ้นให้หมดไม่ได้ แต่ขั้นต่ำเขายังขึ้นไม่ได้เลย อาตมาก็ต้องทำแบบทำให้คุณเห็น แต่เขาก็นึกว่าอาตมาต่ำ แต่อาตมาก็พูดในเรื่องสูงอยู่อีกเยอะ แล้วตัวเองใครก็แล้วแต่ เราอยู่ในฐานะไหนอยู่บันไดขั้นที่ไหน อย่าหลงตนเอง ถ้าหลงตนเองก็ผิดเลย เดินไปก็ไม่รอดผิดขั้นตอน ขาฉีกขาหัก หรือเดินลงแล้วหลงผิดว่าตนเองขึ้นไปได้ คำตรัสของพระพุทธเจ้าใน ปหาราทสูตร ที่ท่านตรัสว่า เป็นความเป็นลำดับที่น่าอัศจรรย์ในธรรมะพระพุทธเจ้า โสดาบัน มีโสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยต สัมโพธิปราายนะ แล้วซ้อนเป็นพระสกิทาคามี ซ้อนเหลื่อมเป็นพระอนาคามีจนเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ในโสดาบัน พระอรหันต์ในสกิทาคามี พระอรหันต์ในอนาคามีเป็นต้น ซ้อนลงไป จนเป็นโพธิสัตว์อีกไม่รู้กี่ชั้นจากพระอรหันต์ก็เป็นอนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์ คำว่าซ้อนนี้อาตมาเอามาจากคำว่า คัมภีราวภาโส หรือปฏินิสสัคคะ ปฏิแปลว่าทวน นิ แปลว่าไม่ สัคคะ แปลว่าสวรรค์ แทนความสูงความเจริญ การทวนไปทวนมาหากไปยึดติดสวรรค์ไม่ใช่แล้ว ต้องไม่เอาสวรรค์ ปฏินิสสัคคะ ไม่ครบที่เกี่ยวข้องกับสวรรค์ชั้นแล้ว ก็สูงขึ้นไปอีกไม่ติดแล้ว ขึ้นไปอีกก็ทำให้เต็มชั้นนั้นอีก พอเต็มชั้นนั้นแล้วสูงสุด ก็เป็นสภาพสูงขึ้นไป ก็จะเกิดความวนที่เป็นพลังงานพลวัต เกิดพลังงานที่ซับซ้อน เหมือนก้นหอยวนซับซ้อน แล้วได้แล้วก็จะค่อยๆสูงขึ้น สูงขึ้นไปหาปลายก้นหอย หรือเหมือนปิรามิด ในหนังสือสมาธิพุทธจะมีภาพเขียนเดินวนอยู่ในภูเขา แล้วก็ขึ้นไปบนยอดภูเขา กว่าจะถึงยอดสุด หนังสือสมาธิพุทธ ก็มีภาพประกอบเขียนไว้ คนปฏิบัติได้สภาวะของตนเองจึงจะทราบ จะรู้ จะเห็นความจริงแปรสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนว่า คัมภีราวภาโส มีอีกคำหนึ่งเรียกว่าสิริมหามายา เหมือนพูดซ้าย พูดขวา พูดช้ายพูดขวา วนไปวนมา แต่ซ้ายขวานี้วนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ได้กลับไปกลับมาเป็นเทวะ แต่ค่อยๆสูงขึ้น วนซ้ำ ก็ค่อยขยับไปสูงขึ้นตามลำดับ ในหมวดธรรมคือ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34) เป็นคำสอนที่ลึกซึ้งซับซ้อนมาก คัมภีราวภาโส คือคัมภีรา + โอภาส มีรังสีราศีซับซ้อนสูงขึ้นไป เป็นสภาวะแทรกซ้อนที่ไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายๆ จึงเห็นตามได้ยาก ทุททัสสา เห็นได้ยาก ทุรนุโพธา คำว่าโพธาหรือโพธิ ความฉลาดที่เป็นความฉลาดของพระพุทธเจ้าที่เป็นความฉลาดแบบปัญญา ตามคำตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นพุทธะ ทุรนุโพธาคือรู้ตามคำพูดของสัตบุรุษไม่ใช่แค่คำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเดียว แค่คำพูดของพระโพธิสัตว์ก็รู้ได้ยากแล้ว เพราะมีความละเอียดลึกซึ้ง สันตา ไม่ใช่ดิ้นไปดิ้นมา แต่นิ่ง สันตา หยุด เป็นตัวประกอบความสูงสุด สันตา เป็นพหูพจน์ มันจะละเอียดไปเรื่อยๆ สงบนิ่งแต่ละเอียดสุขุม สันตาหรือสันตะ มาใช้เป็นสันติ หรือสันติภาพ เป็นภาวะที่ลึกซึ้ง ลึกซึ้งต่างจาก สมถะ สันตะ เป็นความสงบที่ลงตัว ปัสสัทธิเป็นความสงบที่กำลังสั่งสม ส่วนสมถะเป็นความสงบที่ผิดทาง เป็นความสงบของเดียรถีย์ไม่ใช่ศาสนาพุทธ แต่ก็สงบ แต่มีคำอธิบายขยายความที่ต่างกันไป อาตมารู้สภาวะและพยัญชนะจึงได้ขยายความเป็น ซึ่งก็เป็นความขัดแย้งกับเขาด้วย เขามีหลักการทางบาลีเยอะแยะ แต่อาตมารู้จักสภาวะแท้ และเอามาพูดตามพยัญชนะ อาจจะตรงพยัญชนะบาลีเดิมบ้างหรืออาจจะไม่ตรงกับพยัญชนะบาลีเดิมไปคนละขั้วเลยก็ได้ ใครที่ยึดถือภาษาบาลีก็จะแย้งอาตมาแน่ ต้องการพิสูจน์ความจริงนี้ อาตมากับหมู่ใหญ่ ที่เขาศึกษาพระบาลีอะไรต่างๆมา อาตมาถือว่าเป็นบาลี เป็นลัทธิแก้ เหมือนประชาธิปไตยที่เป็นลัทธิแก้ มันไปไกลจากของพระพุทธเจ้าแล้วผิดเพี้ยนไปมากแล้ว สมาธิก็ผิดเพี้ยนไป บุญก็ได้ผิดเพี้ยนไปอย่างนี้เป็นต้นยกตัวอย่าง ที่อาตมาอธิบายในปี 62 นี้ อธิบายไปเยอะ แต่ก่อนก็ยังไม่ได้ลึกซึ้งขนาดนี้ ความรู้นี้ไม่ใช่เอามาจากตำราไหนนะ เช่นที่อธิบายคำว่าบุญ ยิ่งอธิบาย อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยามและอธิบายกรรมนิยาม สั่งสม แล้วสุดท้ายเป็นธาตุกับธรรม สุดท้ายสรุปเป็นเทวะ ธรรมะ 2 จึงจะรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก หนึ่งที่เป็นความถูกเป็นสัจจะหนึ่งเดียว ต้องเปรียบเทียบกับสอง แล้วมันจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่าสัจจะมีหนึ่งเดียวสัจจะเป็น 2 ได้อย่างไร อันนั้นก็ใช่อันนี้ก็ใช่ไม่ได้ แล้วจากแต่ละคู่มาก็จะรู้ซับซ้อนสูงขึ้น เป็นสัจจะที่หนึ่งเดียวไปหาศูนย์ มีลำดับอย่างน่าอัศจรรย์เป็นที่สุด นี่คือ ความซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อนที่ยากจะเข้าใจ สันตา ปณีตา ตอนนี้ละเอียด อตักกาวจรา คาดเอาเดาไม่ได้ ต้องปฏิบัติให้เกิดจริงเป็นจริงเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ รู้แต่ละคนของตนเอง เป็นปัจจัตตังของแต่ละตนเอง จากปัจเจก สั่งสมมากเข้าจึงเป็นสยังอภิญญา สูงขึ้นต่อไปอีกก็เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ จากสยังอภิญญาก็สั่งสมความสูงส่งไปเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัจเจกตัวแรกของตนยังไม่สูงส่ง แต่ต้องสั่งสมปัจเจกต่อไปเป็นสยังอภิญญา แล้วสั่งสมเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความตรัสรู้เหมือนพระพุทธเจ้า แต่มีความเป็นปัจเจกที่ต่างจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่ได้เอามาปฏิบัติเปิดเผยให้กับผู้อื่น มีสัมมาสัมโพธิญาณมีความรู้สูงเท่ากับพระพุทธเจ้าแต่ท่านไม่ได้ประกาศศาสนาเท่านั้น ไม่ได้ประกาศตนเองเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง แต่จะบอกว่าท่านสอนใครไม่ได้ก็ไม่ใช่ ท่านสอนคนอื่นมาเยอะแยะแล้วตั้งแต่เป็นพระโสดาบันก็สอนคนมาแล้ว ศาสนาพุทธสอนไม่ได้ไม่มี แต่หากสายศรัทธา จะไม่ค่อยมีปฏิภาณในการสอน พยัญชนะไม่เก่ง อย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นสายเจโตเป็นสายศรัทธา คู่กับอาตมาที่เป็นสายปัญญา ก็ทำงานร่วมกันเป็นเทวะ เป็นสภาวะสองที่ต้องมีตลอด จนกว่าจะเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่ประกาศศาสนาในโลกเลย แล้วท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป ตายสูญสิ้นแยกธาตุ หมดอัตภาพของท่านแล้ว ความรู้เหล่านี้เป็นความรู้ที่อาตมามีความรู้มาแต่ก่อน ซึ่งเดาไม่ได้ คะเนเอาไม่ได้คุณฟังไปก็รับรู้เป็นความรู้ที่เป็นตรรกะได้ จนกว่าคุณปฏิบัติได้แล้ว คุณก็จะลงตัวกับพยัญชนะบัญญัตินี้ เริ่มตั้งแต่พระโสดาบัน รู้ทฤษฎีพระโสดาบันเป็นอย่างนี้แล้วเราก็ประพฤติปฏิบัติให้จิตเป็นอย่างนั้น ก็จะมีทั้งพยัญชนะและสภาวะตรงกัน ถ้าคนมีแต่สภาวะ เราบรรลุแล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองบรรลุ สายเจโต 1.หลงตนเองว่าตัวเองบรรลุ 2.ไม่รู้ว่าตัวเองบรรลุทั้งที่บรรลุแล้ว แต่สายเจโตจะไม่กล้าบอกตัวเองเกินความเป็นจริง เพราะตัวเองก็ไม่ค่อยรู้ตัว มันจะมีวิจิกิจฉา ยังไม่กล้าพูด แต่ถ้าไม่ใช่เป็นตัวจริงแล้วมาพูดเล่นก็ไม่ใช่ แต่ถ้าตัวจริงจะไม่กล้าพูด อย่างในหลวง ร.9 ฉันจะไม่กล้าบอกตัวเองว่าตัวเองเป็นโพธิสัตว์ เพราะยังไม่แน่ใจ ยังมีซ้อนไปหาเทวนิยมบ้าง มันมีอะไรซับซ้อนที่พูดไม่ได้ตอนนี้ อีกสัก 50 ปีจึงจะพูดได้ก็พูดได้แค่นี้ก็แล้วกัน อาตมาไม่ได้พูดเพื่อเป็นประโยชน์ตนเอง แต่พูดเพื่อเป็นประโยชน์ของวิชาการ พูดเพื่อเป็นประโยชน์ของส่วนรวม พูดเพื่อการศึกษาพูดเพื่อให้รู้ความจริงเป็นความรู้ความจริงนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ในเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ มีศาสนาพุทธที่อาตมาขอยืนยันว่า เมืองไทยเป็นเมืองพุทธที่เป็นชมพูทวีป คำว่าชมพูทวีปเป็นดินแดนที่มีโลกุตระธรรมที่มากที่สุด ในแผ่นดินไหนตรงนั้นแหละเป็นชมพูทวีปแต่ก่อนนั้นอยู่อินเดีย อินเดียมีโลกุตระบุคคลเยอะ อินเดียจึงได้เป็นชมพูทวีป แต่ในตอนนี้อินเดียไม่มีโลกุตระบุคคลแล้ว อาริยบุคคลไม่มีแล้วของพุทธไม่มีแล้วในอินเดียมีแต่เทวนิยม โลกุตระบุคคลก็มีแต่ในประเทศไทย อาตมากล้าพูดต่อหน้าสาธารณชนว่าเมืองไทยเป็นชมพูทวีปสมัยก็ต้องมีหลักฐานความจริงไม่ใช่พูดเล่น จะต้องมีพวกคุณมีมวล แล้วพวกคุณจะต้องปฏิบัติเป็นอาริยบุคคลจริงและรับรองมีพฤติกรรมสังคม จึงเป็นพฤติกรรมของโลกุตระบุคคล มีวัฒนธรรมมีพฤติกรรมความเป็นอยู่มีการงานมีอาชีพมีกิจการประกอบ อย่างในหลวงท่านตรัส ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ขาดทุนได้จึงเป็นคนเจริญ อย่างนี้เป็นต้น ท่านตรัสอย่างมั่นพระทัยของท่าน ถ้าเป็นความจริงของท่าน อาตมาก็ได้เอามาขยายความและมาทำ พวกเราขาดทุนได้จริง ขาดทุนได้อย่างสบายใจ ขาดทุนได้อย่างมั่นใจ ขาดทุนมันดีกว่าเอาเปรียบเขา มันชัดเจนในความฉลาดเฉลียวทางโลกุตระ มันไม่เหมือนความฉลาดเฉโก ปุถุชน แค่คำว่าฉลาดเฉโกกับฉลาดปัญญา มันเป็นธาตุทางจิตวิญญาณที่ต่างกัน ฉลาดเป็นคำมาจากบาลีว่า ฉฬายตะ คำว่าฉลาดต้องครบพร้อมทั้งอายตนะทั้ง 6 แต่การที่เขาไปหลับตาปฏิบัติมีแต่ความรู้ภายในอันนี้ก็เป็นเพียงสัญญา มันไม่ใช่ความฉลาดที่มาจาก ฉฬายตนะ เพราะมันเป็นเพียงความรู้จากทวารเดียว ฉ แปลว่า 6 ใน 6 แต่คุณมีแต่เอก อย่างเดียว คนไม่มีอายตนะที่เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างข้างนอกข้างใน มีตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่ฟน ลิ้นกระทบรสแล้วเกิดสภาวะ 2 เป็นเทวะ คุณมีแต่ภายใน จะสร้างความรู้ภายในของคุณเองอย่างไรมันก็เป็นเพียงสัญญา ย นิจจานิ คุณรู้ของคุณคนเดียว คนอื่นเขาไม่รู้ได้กับคุณ หากเอามาบอกคนอื่นได้ ตรงกันหมด สัจจะเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้ว่าสองคนก็ตรงกัน 3 คนก็ตรงกัน 4 คนก็ตรงกัน 5 คนร้อยคนพันคนก็ตรงกันหมด นี่คือสัจจะมีหนึ่งเดียว เข้าใจคำว่าสัจจะมีหนึ่งเดียวสูงขึ้นไหม ไม่ใช่พูดภาษากันเยอะแยะแล้วจะเข้าใจกันได้ง่ายๆ ทำงานมาจะ 49 ปีแล้วได้มาแค่นี้ แสดงความจริงให้ดู อาศัยมาอยู่เป็นหมู่กลุ่มเป็นชุมชน ทุกอย่างทางด้านเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ ทางด้านสังคมกิจ ตามโลกเขาเพื่อยืนยันสัจจะ เศรษฐกิจที่เจริญเป็นอย่างไร เศรษฐกิจที่เสื่อมเป็นอย่างไร เศรษฐกิจที่เสื่อมคือไปนิยมของคนรวย เศรษฐกิจที่เจริญคือมานิยมคนจนชัดเจน หากคุณเอามากองไว้ที่ตัวเองหอบมาไว้ที่ตัวเอง คนอื่นเขาก็เดือดร้อน แล้วจะดีของทุนนิยมยังเอาสิ่งที่เกินนั้นไปออกฤทธิ์เดช มีความซับซ้อน แล้วคุณจะยิ่งได้เพิ่มมาให้แก่ตัวเองมากๆ เป็นวิธีการของทุนนิยม เป็นเชิงเอาเปรียบ ยิ่งมีเทคโนโลยีที่ซับซ้อนเช่น แจ็ค หม่า เขาทำบาปซับซ้อน เร็วไวมากๆ ได้เงินมาเร็ว ทำได้ดีทำได้มากก็เป็นพี่ใหญ่ได้คนอื่นมาเป็นบริวารอีก ในระดับของเทคโนโลยี บิล เกตส์ ก็จะรวยด้วยเทคโนโลยี เขาเป็นเจ้าความคิดคิดขึ้นมา บาปก็น้อยกว่าแจ็คหม่า แจ็คหม่าจะมีบาปมากกว่าบิลเกตส์ ไปเอาเทคโนโลยีมาหลอกให้คนเชื่อถือไปหลงวิธีการด้วยวิธีการที่ฉลาด เหมือนกับคนที่เอาทฤษฎีมาหลอกให้คนเชื่ออย่างเช่นคนไปหลงเชื่อธนาธรเหมือนกับคนหลงแจ็คหม่า เป็นบาปที่ซับซ้อน หลอกคนอื่นด้วยหลักการทฤษฎี ที่เขาสร้างขึ้นมาแล้วตัวเองไปเสริม เอามาใช้แล้วก็หลอกลวงคนอื่น พูดความจริงไม่ได้เกลียดชังเขา อาตมาเรียกไอ้หนู ใช้ภาษาไทยก็ได้ว่าตี๋น้อย เป็นการเรียกอย่างเอ็นดู ไม่ได้เรียกอย่างเป็นคำหยาบ เป็นตี๋น้อย ถ้าใครฟังอาตมากล่าวจะเรียกเสมอว่าเป็นตี๋น้อย แต่เขาก็คงไม่ฟังเพราะตอนนี้กำลังเลือดเข้าตา สังคมไทยยังมีรสชาติพอมีตัวนี้เป็นพริกขี้หนูปรุงแต่งรสชาติการเมืองอยู่ พริกขี้หนูแสบ เผ็ด ถ้าไม่มีรสนี้มันก็ไม่อร่อย เขาเหมือนเทวทัตที่เสียสละตนเองด้วยความไม่รู้ จะมองในแง่ดีเขาก็เป็นประโยชน์ต่อสังคม เพราะเสียสละตัวเองมาเป็นคนทำตัวอย่างมันไม่ดีแต่เขาไม่รู้ว่าคือความไม่ดี เขาต้องทำความไม่ดีด้วยความไม่รู้มันก็เลยสภาพอย่างนี้ ถ้าเขาทำความไม่ดีด้วยความรู้ ให้เป็นบันไดแต่ละขั้น อาตมาจะอธิบายความจริงในความซับซ้อนนี้ให้มากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นติดตามฟังต่อไป วันนี้อโศกรำลึก ครั้งที่ 38 ปีหน้าก็น่าจะเจริญกว่านี้ เป็นครั้งที่ 39 พญาแร้งก็คงจะโตกว่านี้เพราะเลี้ยงมา 1 ปี จะตัวโตเท่าไหร่ก็น่าจะได้ดูอยู่นะปีหน้าน่าจะเสร็จทัน หรือจะมีองค์ประกอบอื่นๆอีก สถิตคนมาฟังธรรมวันนี้ 1488 คน สมณะพระอาคันตุกะ 61 รูป สิกขมาตุ 14 รูป ภิกษุณี 6 รูป ฆราวาสชาย 373 คน ฆราวาสหญิง 1027 คน กรัก 2 คน ปะ 5 คน เราไม่มีภิกษุณี แต่เรามีสิกขมาตุ ถือศีล 10 สามารถปฏิบัติจนถึงอรหันต์ได้ หากไม่ถึงศีล 10 เป็นอรหันต์ไม่ได้ พระอาคันตุกะก็มาร่วมกันเราได้ตามควร นานาสังวาส Category: ศาสนาBy Samanasandin9 มิถุนายน 2019Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรมสำมะปี๋ซี่วิต Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:620609_พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก ปี 2562NextNext post:620610_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 52Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024