620617_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 53
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1Xx6QWIw6hEBUtU5TcDCz1dAuKxmYfJMFv53lOS1eTeg/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1YPLwhLCAQNljxIObQisAw7iMLx6P0k1_
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้วันพระใหญ่ คนที่นั่งอยู่นี่ ผู้หญิงเยอะกว่าหาผู้ชายยาก ผู้หญิงแสวงหาธรรมะ ธรรมะมันไม่ขี้เหร่น๊า เด็กผู้หญิงมากกว่าผู้ชายสัก 1
คำถามแห้งก่อน
_โยมเห็นพ่อไปเดินออกกำลังกาย ที่เฮือนบวร ก็รู้สึกเมื่อย ทั้งๆที่ก็ไม่ได้ไปเดินด้วย พ่อท่านเดินเสียหลายรอบขนาดนั้นไม่เยอะไปหรือคะสำหรับชายวัย 85 จากใจถึงพ่อ
พ่อครูว่า…ขออภัยไม่ได้เจตนาทำให้รู้สึกเมื่อย อาตมาก็พยายามออกกำลังกาย เคยฝึกเคยเดินเคยใช้มามันก็ไม่เกิน แต่ก่อนเดินมากกว่านี้ตอนนี้ก็ลดลงตามวัย เดินเร็วใช้ความเร็วก็ลดลง เดินรอบที่จะเดินระยะทาง ซึ่งรอบจริงๆก็ไม่ได้เอารอบเท่าไหร่ แต่เอาเวลา ใช้เวลาเดินเร็ว 25 นาที แล้วก็ cool down อีก 15 นาที จะทำอย่างนั้นเสมอ เป็นการออกกำลังกาย วันเว้นวัน บางทีก็ 2 วันที ดีไม่ดีก็ 3 วันที นอกนั้นก็จะมีสลับเป็นการโยคะ ถีบเครื่องมือจักรกลที่เขาทำมา เหมือนจักรยาน โยกไปมา สรีระร่างกายของเรา เราต้องให้มันเคลื่อนไหว อาตมาทำงานส่วนมากก็นั่งเขียนหนังสือเยอะ นั่งบรรยายธรรมะ นั่งโอภาปราศรัยกับคนนั้นคนนี้เยอะ แต่เดินไปตรวจงานไปดูอันนั้นอันนี้บ้าง ก็ต้องมีอะไรบ้างนิดหน่อย จึงจำเป็นต้องตั้งใจที่จะหาเวลาเดิน ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วมันก็จะไม่ได้เดิน ไม่ได้ออกกำลังกายส่วนนี้ก็ต้องหาเวลา ก็ดูรู้สึกดี ก็เพราะว่าอาตมาเดินมานั่นแหละ อายุ 85 ถึงได้เดินอย่างนั้นได้ ได้ออกกำลังกายมา ถ้าไม่ฝึกฝนมันก็ไม่ได้แน่ นี่คือเหตุผล ยืนยันได้ ว่าเป็นส่วนดี ก็ดูถ้าหากอาตมาอายุ 90 ก็จะเดินได้อย่างนี้อยู่หรือไม่ จะอยู่ดูหรือไม่ ใครอายุ 85 บ้าง อย่าไปไหนนะ
_หนูเป็นเด็กลูกหม้ออยู่ในชุมชนปฐมอโศกตั้งแต่เกิด เห็นโรงเรียนสัมมาสิกขาตั้งแต่ยังเล็ก และเมื่อได้เรียนในโรงเรียนของหลวงปู่จริงๆ มันก็ทำให้หนูพบว่า โรงเรียนนี้สร้างคนค่ะ หนูได้รับประสบการณ์มากมายทั้งดีและแย่ เพื่อนพี่น้องคุรุใจดี อาหารอร่อยเป็นประสบการณ์ดีๆให้กำลังใจที่เข้มแข็งที่จะอยู่ต่อ การทำงานรับผิดชอบความกดดัน ผัสสะ ทุกข์ เป็นประสบการณ์ที่แย่ แต่ประสบการณ์ที่แย่นี่แหละทำให้หนูเข้มแข็งยิ่งกว่า ขอบคุณทุกอุปสรรค ผัสสะ ทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตเพราะว่าอุปสรรคสร้างคน ขอบพระคุณหลวงปู่ที่ได้สร้างโรงเรียนนี้ขึ้นมา หนูสนุก หนูพัฒนาขึ้นจากเด็กที่เอาแต่ใจ ติดเล่นคนหนึ่ง ขอบพระคุณจริงๆค่ะ ถึงสัมมาสิกขาไม่ได้สบาย ไม่ได้เน้นตำราวิชาความรู้แต่เขาสอนวิชาชีวิตซึ่งตำราให้ไม่ได้ โรงเรียนนี้ให้ความจริงใจกับหนู หนูจึงคิดว่าเด็กที่เอาแต่คิดว่าการเรียนสัมมาสิกขาสู้เด็กนักเรียนข้างนอกไม่ได้ เขากำลังติดกรอบความคิดอยู่ ถ้าหากคนๆนั้นต้องการแสวงหาความรู้จริงๆเขาจะทลายกรอบความคิด และแสวงหาความรู้ให้ยิ่งกว่าในตำราของข้างนอก หนูคิดถูกไหมคะ?
พ่อครูว่า…ถูกต้องที่สุด เป็นความคิดดี เข้าใจดีแล้ว นางสาว แก้วกล้าฝัน นส.ตั่ง เพราะว่าพ่อแม่เขาเป็นคนชาวอโศกอยู่ในปฐมอโศก ลูกก็เกิดอยู่ในปฐมอโศกโตอยู่ในปฐมอโศก จนเป็นนางสาว ม.6 แล้ว แม่ชื่อเตียง ลูกเลยชื่อตั่ง ถ้ามีลูกอีกคนคงชื่อโต๊ะ อีกคนคงชื่อตอ
_การมาอยู่สัมมาฯของหนูได้ 1 ปี 1 เดือน ก็ได้พัฒนาทักษะการทำงาน ฝึกถือศีล 5 ทำงานได้ดีขึ้นและเป็นงานมากขึ้น ส่วนข้อเสียของหนูคือการต้องมาฟังผู้ใหญ่บ่น จู้จี้เกินไปเลยเกิดอารมณ์โมโหค่ะ หนูจะพยายามปรับปรุง.. นี่เด็กม.2
พ่อครูว่า…โรงเรียนสัมมาสิกขาของเราเป็นโรงเรียนที่เด็กข้างนอกไม่ได้เรียนรู้อย่างนี้ เอาแค่ว่า มีผัสสะ ไปข้างนอกเขาจะรู้เรื่องหรือว่าภาษาคืออะไร เขาจะบอกว่าอะไร ไปผัดอะไรผัสสะ ผัสสะทำไม เขาจะไม่รู้หรอกแม้แต่คำว่าผัสสะเขาก็ไม่รู้ แต่เด็กของเรามีภาษาธรรมะอะไรเยอะแล้วรู้ความหมายอะไรไปในตัว อย่างน้อยก็ซึมซับความรู้ ธรรมะ โดยบัญญัติก็ตาม ที่จริงไม่ได้แค่บัญญัติเด็กของเราจะได้สภาวะ ขอยืนยันว่าอยู่ในนี้มันคือการปฏิบัติธรรม การอยู่กับสังคมสิ่งแวดล้อมดี มิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีการอยู่ที่นี่แหละคือการปฏิบัติธรรมจริงๆแล้ว การไปอยู่ในหมู่ชน ที่มีบวรจริงๆ มีบ้านวัดโรงเรียน โดยเฉพาะมีฆราวาสที่เป็นนักปฏิบัติธรรมด้วยกันคิดดูให้ดีๆ พบทุกวันนะ อยู่กันเป็นปกติทุกวันตื่นเช้าจนถึงนอน ทุกวันตลอดเวลา แล้วมันได้ฝึกฝนอบรมตลอดเวลา ใช่ไหม พวกเรา ซึ่งมันเป็นกำไรชีวิต ที่ไปคิดดีๆเถอะ สถานที่นี้เป็นสถานที่สัปปายะ ครบ คือ สถานที่จัดไว้ให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม และมีบุคคล มีคนที่เป็นนักปฏิบัติธรรมตั้งแต่พระอรหันต์ไปเลย ที่อยู่นี่สอนทั้ง อรหันต์ อนาคามี สกิทาคามี โสดาบันและแม้แต่ผู้ที่ปฏิบัติธรรมอยู่ทั้งนั้นเลย
นอกจากบุคคลสัปปายะแล้วก็มีอาหาร อาหารคือเครื่องอาศัยต่างๆ ทั้งกวฬิงการาหาร คือคำข้าวที่กินเข้าไปเลี้ยงขันธ์โดยตรงนี่เรียกว่า อาหาร อันหนึ่ง
ผัสสาหารคือ ผัสสะที่จะได้รับในการปฏิบัติธรรม หากไม่มีภาษาไม่มีการกระทบสัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ข้างนอก รวมใจก็รับต่อเนื่องกัน หากว่าไม่มีการสัมผัสหรือผัสสะก็จะไม่ได้ปฏิบัติธรรมของพุทธ เพราะฉะนั้นผู้ที่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมนี้ โมฆะ ของศาสนาพุทธ อาตมาพูดอย่างไม่เกรงใจ อย่างตีทิ้งเลย ไม่อนุโลมแล้ว พระพุทธเจ้าเมื่อประกาศศาสนาใหม่ๆจึงต้องอนุโลมเพราะว่าคนทั้งหลายหลงผิดกันเหมือนอย่างทุกวันนี้ที่คนหลงผิดว่าการปฏิบัติธรรมต้องนั่งหลับตา ในยุคพระพุทธเจ้าเขาก็หลงผิดเป็นนักปฏิบัติธรรมแบบหลับตาเต็มป่า-ออกป่าด้วย ศาสนาพุทธไม่ต้องออกป่า มีมรรคมีองค์ 8 มีการทำงาน สัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ และมีการปฏิบัติองค์ทั้งสี่ ทั้งอาชีพ คิด พูดทำไปพร้อมกัน โดยมีสัมมาสติกับสัมมาวายามะไปด้วยกันเลย แล้วก็มีสัมมาทิฐิเป็นประธานปฏิบัติให้ได้ให้รู้กิเลสแล้วลดกิเลสไปในตัว โดยไม่ใช่หลับตากดข่ม แต่เรียนรู้กิเลสพิจารณาให้เห็นว่ากิเลสมันเป็นของไม่เที่ยงมันเป็นของที่พาให้ทุกข์ อย่ามาลอยหน้าลอยตา เอ็งอย่ามาอยู่กับข้า ให้เองไปเสีย เอ็งเป็นตัวทุกข์ มันไม่เที่ยง เอ็งไม่มีตัวตนแท้จริง ตัวเองแหละไปมีตัวตน ตันเองน่ะแหละโง่ไปมีตัวตน ก็ต้องรู้ตัวนี้ตัวที่มันหลอกเรามันเป็นผี มันไม่มีตัวตนแต่ผีหลอกเรา เราเองและเป็นผีหลอกเราเองจิตใจเราเองเป็นผีหลอกเราเอง
เป็นผู้ที่รู้จักผีรู้จักมารและมีปัญญาขจัดตัวนี้ออกไปได้ นี่แหละศาสนาพุทธมีอยู่เท่านี้ เท่านี้จริงๆลดกิเลสได้เท่านี้นอกนั้นก็อยู่กับโลกเขาก็จะเริ่มสบายอยู่กับโลก เพราะจะเข้าใจโลกียะ ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข หากว่าเราไม่มีกิเลสตัวที่เป็นโลกโลกียะ เราก็จะอยู่กับเขาโดยไม่ได้เป็นพิษภัยอะไรกับเขา ไม่ได้แย่งชิง ไม่ขี้โลภ ไม่ขี้โกรธ อยู่ตามมีตามได้อย่างที่ไม่เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่ได้ไม่เห็นจะต้องรู้สึกว่าเสียเปรียบอะไร เรารู้สึกว่าเสียสละนั่นแหละดี เราเข้าใจถูกหมดเลย เราเป็นคนเสียสละเราได้เป็นคนมีประโยชน์เราเป็นคนได้ให้ผู้อื่นเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นก็ดีไหมล่ะ
การไปเอาของคนอื่นขี้โลภดีไม่ดีมีเล่ห์เหลี่ยมหาทางเอาเปรียบมาเป็นของเรามันฉลาดหรือโง่ ก็โง่ แล้วคนส่วนใหญ่เขาทำอย่างโง่หรือฉลาด …โง่ คนส่วนใหญ่ทั้งโลกอวิชชาจึงทำอย่างอื่นเขาไม่ฉลาดก็ต้องศึกษาให้ฉลาดและทำให้ชัด จนกระทั่งเราชัดเจนแล้วเราก็ฝึกฝนตนเองจนไม่มีเหตุปัจจัย คือจิตเราที่มีอกุศลจิต มันจัดการสั่งการเรา เราก็เลิกโง่จากมัน มันก็มีแต่วิชชาที่สั่งการแต่สิ่งที่ดี
คนที่ทำอย่างนี้ได้อย่างที่อาตมาพูดคร่าวๆนี่ คนที่ฝึกจะทำอย่างนี้ได้นี่แหละคือคนที่เจริญเรียกว่า อาริยบุคคล นี่คือบุคคลเจริญ มันก็ ศิวิไลซ์ เจริญที่ตัวอย่างแท้ๆเลย นี่แหละเป็นตัวสุดยอดแห่งความเจริญ นี่ พวกเราทำได้ นี่สุดยอด จนเป็นพระอรหันต์ได้ พวกเราฟังแล้วก็เข้าใจมีตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้นไปก็รู้แล้ว สกิทาคามีก็หลากหลายต้องอนุโลมปฏิโลมสิ่งนั้นสิ่งนี้อีกเยอะ อนาคามี ก็สัมผัสกับภายนอก ที่จะต้องสุขทุกข์กับสิ่งภายนอกก็ไม่มีสุขทุกข์แล้ว สิ่งใดเห็นควรทำก็ควรทำ สิ่งใดเห็นควรสร้างก็สร้าง เป็นคนที่ไม่มีการเสียหายมีแต่เสียสละมีประโยชน์คุณค่าเป็นคนที่เจริญ
คนที่ไปขี้โลภกักตุน แล้วเอาไปออกดอกผลไปหาประโยชน์ซับซ้อนอีกนี่ก็โง่ไม่เสร็จ ก็เป็นคนไม่เจริญ ดีไม่ดีมีอำนาจบาตรใหญ่เบ่งทำให้เขากลัวอีก นั่นคือคนเสื่อมคนตกต่ำคนบาป
การเป็นคนที่ลดกิเลสอย่างนี้ ก็เป็นคนที่ทำให้สังคมเจริญได้ทำให้บ้านเมืองเจริญได้ประเทศเจริญ อาตมาภาคภูมิใจที่ชาตินี้ไม่ได้ทำงานอื่นแต่ช่วยสังคมประเทศชาติให้เจริญ อาตมาไม่ค่อยมีบารมีทางด้านต่างประเทศ ก็ดี ก็มีคนไทยเป็นหลักเป็นฐาน อาตมาไม่เสียเวลาเปล่า ทำให้เจริญบรรลุธรรมอย่างพระพุทธเจ้าให้เป็นอาริยธรรม เป็นความเป็น Civilization ที่แท้จริงเป็นความเจริญแท้ อาตมาทำงานนี้มาแล้วเกือบจะ50ปี
อาตมามาเปิดเผยแสดงตัว ประกาศตัวว่าเป็นพระอรหันต์ คนก็มาว่าอาตมาออกนอกรีตนอกทาง ก็มีคนเอาหลักฐานมาว่าอาตมาไม่ได้ออกนอกรีตนอกทาง
หลักฐานที่ 1 การทำสมาธิอาริยะ ที่พ่อครูส่งเสริมให้คนในชุมชนทำ พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญให้ปฏิบัติธรรมแบบเปิดตาลืมตา เปิดทวารทั้ง 6 เรียกว่า อาริยะสมาธิขันธ์ จะมีศีลขันธ์อันเป็นอาริยะ สมาธิอันเป็นอาริยะ ปัญญาอันเป็นอาริยะ พวกที่นั่งหลับตาไม่ใช่อาริยะ ไม่มีทางบรรลุสเป็นอาริยะ น่าสงสารจริงๆ อาตมาไม่รู้จะทำยังไง จะกระเตื้องขึ้นมาไหม จึงไม่เสียเวลาไปจมอยู่ด้วย ขอย้ำว่านั่งหลับตาปฏิบัติไม่ใช่ของพุทธ ๆ อย่าไปเสียเวลางมงาย จะนั่งหลับตาก็ใช้สำหรับการเตวิชโช ใช้ความรู้เก่าระลึกตรวจสอบดู ตรวจสอบสัญญา นั่งหลับตาไม่มีปัญญามีแต่สัญญา ปัญญาเกิดในการหลับตาไม่ได้ ปัญญาจะต้องเกิดครบทวารทั้ง 6 ลืมตา ปัญญาจะเกิดได้ต้องอย่างนี้ ปัญญาในพระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 258 พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดเจนว่า ปัญญาจะเกิดเป็นปัญญาที่เจริญขึ้นเป็น ปัญญินทรีย์ แล้วเกิดเป็นปัญญาพละได้
จะต้องมีสัมมาทิฐิ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีองค์มรรค มัคคังคะ ต้องมีมรรคมีองค์ 8 แล้วปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 อย่างสัมมาทิฏฐิ โดยมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์เป็นตัวหลัก ที่จะต้องมีวิจัยวิจารณ์ วิตก ไตร่ตรองตรวจตรา
อย่างคุณบูรพา เขาสอนสมาธิของเขาต้องนั่งหลับตาแล้วไม่คิดอะไร แล้วบอกว่าจะเกิดสมาธิเกิดปัญญา ถ้ายังไปนึกไปคิดอยู่ก็ยังไม่มีสมาธิไม่เรียกว่าสมาธิ สมาธิจะต้องไม่คิดอะไรเลยเฉยๆ แล้วมันก็จะเกิด วาบขึ้น นี่แหละเป็นสมาธิที่อุเบกขา โดยไม่มีขั้นตอนอะไรเลยไม่มีวิตกวิจารไม่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ซึ่งที่จริงมันก็ไม่น่าจะยากหรือลึกลับอะไร เขาเป็นอาจารย์ใหญ่เขียนบรรยาย อย่าว่าแต่ อาจารย์บูรพา ผดุงไทย พระต่างๆพระกรรมฐานที่สอนกันก็เกือบทุกสำนัก โอ้… ไม่รู้น่าเสียดายเวลา ไปงมงายอยู่กับมิจฉาทิฏฐิ แล้วก็เป็นมิจฉาปฏิบัติกัน เราน่าจะได้แรงงานเวลา บุคคลที่ไปตกอยู่ในมิจฉาทิฐินั้นคืนมา จะทำอย่างไรเถรสมาคมเอ๋ย ฟังอาตมารู้เรื่องไหมเอ่ย?…..ช่วยอาตมาหน่อยเถอะ! ก็ต้องพูดไปอย่างนี้ตามประสา ไม่รู้จะว่าอย่างไร
เขาเป็นผู้เขียนอยู่ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ฉบับเล็ก แท็บลอยด์ อ่านแล้วก็น่าสงสาร พยายามเอามา Comment ให้ไปเรื่อยๆ เราก็พยายามแสดงความเห็นที่บอกว่ามันไม่ใช่นะอย่างนั้นอย่างนี้อธิบายไป จะเป็นประโยชน์แก่อาจารย์บูรพาเอง หรือไม่ ไม่มีปัญหาหรอก คนที่มีความคิดอย่างอาจารย์บูรพา เขาจะได้รับฟัง และเห็นความต่างบ้าง เอาไปเปลี่ยนแปลงความคิด ไปแก้ไขก็จะได้ (ไม่อ่านต่อแล้ว)
มีหลักฐานจากพระไตรปิฎก(พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ๑๐. สุภสูตร เรื่องสุภมาณพ)
ที่ยืนยัน “สมาธิที่เป็นอาริยะ” เอาไว้ว่า
โดยพระอานนท์ได้ตอบคำถามของสุภมานพที่ถามว่า..
ข้าแต่ท่านอานนท์ ก็สมาธิขันธ์อันเป็นอริยะ อริโยสมาธิขันโธ ที่ท่านพระโคดม คือพระพุทธเจ้าได้ตรัสสรรเสริญ และยังประชุมชนนี้ให้สมาทาน ให้ตั้งอยู่ ให้ดำรงอยู่ เป็นไฉน
พระอานนท์ก็ตอบว่า ดูกรมานพ อย่างไรภิกษุได้ชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองอินทรีย์ทั้งหลาย ..ก็คุ้มครองตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้(ไม่ใช่นอกธรรมวินัย) เห็นรูปด้วยจักษุแล้วไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวม จักขุนทรีย์ เมื่อไม่สำรวมแล้วจะเป็นเหตุให้อภิชาและโทมนัสครอบงำ ชื่อว่าสำรวมใน จักขุนทรีย์ นี้ชื่อว่าสมาธิที่เป็นอริยะที่สมบูรณ์ไม่มีอยู่ในสมณพราหมณ์เหล่าอื่น คือกวาดทิ้งหมดเลยนอกจากศาสนาพุทธ
เมื่อพระอานนท์พูดอย่างนี้
เดี๋ยวนี้อาตมาก็เหมือนกัน อาตมาก็กวาดของเถรสมาคมทิ้งเลย ก็ไม่ได้ไปพูดเล่นมีหลักฐานยืนยันหมดเลยว่าอาตมาไม่ได้หลงผิด นี่แหละสมาธิขันธ์ ทำให้เกิดสมาธิเกิดจิต จิตก็เป็นองค์รวมของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ขันธ์ ๕) โดยเฉพาะนามธรรม มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อีก ๔ ขันธ์ จะเกิดการได้ทำใจในใจ แต่เกิดความพัฒนาจะมีการทำใจในใจให้เกิดเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณให้เจริญๆ เรียกว่าสมาธิ สมาธิคือ อธิศีล อธิปัญญา อธิมุติ สมาธิก็คือ อธิจิต
มีหลักเกณฑ์ไปตามลำดับ ตั้งแต่ศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ ลืมตาสัมผัสกับสัตว์ต่างๆ เราก็สำรวมอินทรีย์ สำรวมจิตเรา โดยมีปัญญาเป็นตัวช่วยวิจัยวิจารมีโพชฌงค์ เกิดกิเลสเมื่อสัมผัสแล้วเราก็จับกิเลสได้ แล้วก็กำจัดกิเลสๆๆ พอกิเลสลด กิเลสดับ จิตก็สะอาดขึ้น จิตที่สะอาดก็ตกผลึกตั้งมั่นขึ้น จิตนั้นชื่อว่าสมาธิ
ฉะนั้นกว่าที่สมาธิจะเกิดจะต้องเกิด จะต้องผ่านกรรมวิธีตั้งเยอะ สำรวมอินทรีย์และปฏิบัติต่างๆ ทำไปตามลำดับโดยมีเหตุปัจจัยมีลำดับ มีศีลเป็นตัวกำกับ เพราะฉะนั้นสมาธิของพระพุทธเจ้าหากว่าไม่มีศีลเป็นตัวบ่งบอกไม่ได้ ไม่รู้ว่าสมาธิอะไร
สมาธิกับเรื่องสัตว์ตั้งแต่สัตว์จนถึงคน เรากระทบกับสัตว์ต่างๆจิตเราไม่มีโกรธ ไม่มีโลภ ไม่มีหลง จิตเราชัดเจนทุกอย่างตรง เมื่อสัมผัสแล้วกิเลสแล้วก็ไม่มี นี่คือจิตที่ไม่มีกิเลส แข็งแรงตั้งมั่นสัมผัสแล้วก็รู้เห็นจิตตัวเองว่าไม่มีกิเลส จิตใจมีอุเบกขา จิตมี ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ทำการทำงานอยู่ นี่คือ สมาธิ สมาธิแบบลืมตามีพฤติกรรมสามัญปกติไม่ใช่ไปนั่งหลับตาอย่างนั้นเรียกว่าสมถะ ไม่เรียกว่าสมาธิเป็นความสงบที่ใช้วิธีสะกดจิตเข้าไปเป็นวิธีแบบเดียรถีย์ คนทั่วไปก็ทำได้ ตื้นๆ ใครๆก็เข้าใจได้ง่ายสมาธิของฤาษี แต่สมาธิของพระพุทธเจ้านั้น ยากที่จะเข้าใจ ยากที่จะรู้ เพราะเป็นโลกุตระ ไม่ใช่เรื่องของสามัญชน ปุถุชน เป็นเรื่องของอาริยชนของพุทธ มีในศาสนาพุทธเท่านั้น แม้เขาจะชื่อว่าเขาเป็นพุทธศาสนิกชน แต่ถ้ามีมิจฉาทิฏฐิ ก็ไม่ใช่ของพุทธ ไม่ใช่ศาสนาพุทธ
ก็คุณก็ได้มาแล้ว เคยหลงผิดมากันทั้งนั้น แม้แต่อาตมาแต่เริ่มต้นๆ ก็เคยหลงนั่งหลับตา ทำอย่างเขาทำกัน แต่เมื่อทำแล้วก็รู้ว่ามันไม่ใช่ คืออาตมามีภูมิเดิม อาตมาไม่มีอาจารย์ การที่ไม่มีอาจารย์ก็โชคดี ถ้ามีอาจารย์คงจะไปทางโน้นหมด ยุ่งเลย มันเป็นภูมิเดิม เมื่อรู้ว่าสัมมาทิฏฐิเป็นอย่างไร อาตมาก็มาปฏิบัติแบบนี้ มันก็เลยแปลกๆ กลายเป็นของแปลกในวงการศาสนาพุทธของประเทศเลย จนคณะใหญ่เขาจะเอาตาย แต่หนังเหนียวอาตมาเลยไม่ตาย ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า เอ้ยผิดเนาะ ยิงไม่เข้า ฟันไม่ออก เอ้า.. สำมะปี๋ก็สนุกสนานไปบ้าง
ต้องแยกให้ออก ระหว่างสมาธิของพระพุทธเจ้า กับสมาธิทั่วไป ที่คนทั้งหลายเขาเรียนกันสามัญ สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ต้องไปนั่ง ไม่ต้องไปหาสถานที่ปฏิบัติ ไม่ต้องไปนั่งสะกดจิตเอาไว้ ต้องเห็นความแตกต่างให้ได้ จิตตื่น จิตวิ่ง รับรู้หมดเลยตาหูจมูกลิ้นกายใจ แล้วยิ่งกระทบกับอะไรเกิดกิเลสมาก็อ่านกิเลสให้ทัน เพราะฉะนั้นจึงต้องค่อยๆทำไปตามลำดับ ตอนแรกเอาแค่เกี่ยวกับสัตว์ก่อนนะ ตอนหลังก็ไปเกี่ยวกับของเกี่ยวกับวัตถุและเกี่ยวกับพืช จากนั้นก็ไปเกี่ยวข้องกับการกระทบสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจหรือกามคุณห้าเมื่อกระทบสัมผัสแล้ว ไปปรุงเป็นรส เป็นกลิ่นเสียงสัมผัส เป็นอย่างไร
ถ้าเข้าใจตามลำดับฝึกมาตั้งแต่สัตว์ข้อที่ 1 เกิดผัสสะกับสัตว์แล้วมันนจะเกิดกิเลสกับสัตว์ เกิดความชอบใจไม่ชอบใจเกี่ยวกับสัตว์ ต่อมาก็มาเกี่ยวกับข้าวของวัตถุ ผลหมาก รากไม้ ต่างๆ นานา จิตเกิดโลภหลงก็เรียนรู้อีก เงินทองลาภยศสรรเสริญ
ถ้าได้ปฏิบัติไปตามลำดับที่ถูกต้องรับรองคุณเป็นอรหันต์ เป็น อาริยะกันแน่ๆ ปฏิบัติให้ถูกต้องมันจะมีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาเพิ่มขึ้น แล้วจะพาตัวเองปฏิบัติจนบรรลุ
ฉะนั้น อาตมาขอยืนยันว่าในวงการศาสนาพุทธปัจจุบันนี้ ในหมู่กลุ่มชุมชนชาวอโศกมีอาริยธรรม มีศีลเป็นอาริยะ มีจิตหรือสมาธิเป็นอาริยะ มีปัญญาเป็นอาริยะ มีวิมุติที่เป็นอารยะอย่างแท้จริง แท้จริง จึงมีพระอริยะสมณะที่ 1 2 3 4 มีพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์ อธิบายแล้วมันเข้าใคร มันสนุกน่ะ เอ้าตอนนี้ใครจะถามก็เอาเลย
_สู่แดนธรรม อ่านจากพระไตรปิฎก เล่ม ๙ ก็บอกว่า สุภมานพว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมาแล้ว สมาธิขันธ์อันเป็นอริยะนี้บริบูรณ์แล้ว มิใช่ไม่บริบูรณ์ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นสมาธิขันธ์อันเป็นอริยะของท่านพระอานนท์ ที่บริบูรณ์แล้วอย่างนี้ในสมณพราหมณ์เหล่าอื่น ภายนอกพระศาสนานี้เลย
ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ก็สมณพราหมณ์เหล่าอื่น ภายนอกพระศาสนานี้พึงเห็นสมาธิขันธ์อันเป็นอริยะที่บริบูรณ์แล้วอย่างนี้ในตน เขาเหล่านั้นจะพึงพอใจด้วยสมาธิขันธ์เพียงเท่านี้ พอแล้วด้วยสมาธิขันธ์เพียงเท่านี้ว่า เราได้ทำสมาธิขันธ์เสร็จแล้ว สำคัญตนว่า เราได้บรรลุถึงประโยชน์แห่งสามัญคุณ ไม่มีกรณียกิจอะไรๆ ที่ยิ่งขึ้นไปอีก. แต่ท่านพระอานนท์ก็ยังกล่าวอย่างนี้ว่า อนึ่งในธรรมวินัยนี้ยังมีกรณียกิจที่ยิ่งขึ้นไปอยู่อีก.
พระอานนท์ก็พูดต่อในขั้นอาริยะปัญญาขันธ์
นี่เป็นคาเร็คเตอร์ของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างนี้ครับ
พ่อครูว่า…ในพระไตรปิฎกจะมีตัวอย่างอีกเยอะแต่คนเขาก็อ่านแล้วไม่เข้าใจกัน ไม้รู้เรื่อง แม้แต่ได้ปริญญาเอกแต่ไม่รู้เรื่อง อ่านแล้วก็ไม่รู้เรื่อง ไปเข้าใจตามคำอธิบายของอาจารย์ที่ไม่รู้เรื่องมาแล้ว ก็เลยพากันไม่รู้เรื่อง เหมือนแม่โคจ่าฝูงพาลูกโคที่เป็นบริวารโค ก็ตามแม่โคไป แม่โคจะพาไปอย่างไรก็ไป พากันเข้าป่าเข้ารกพงไปเรื่อยๆ
อีกอันหนึ่งของท่านพระสัพพกามี ได้กล่าวกับพระเรวตตะ ว่า
พระไตรปิฎก เล่ม 7 ข้อ 647… ครั้นถึงเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรี ท่านพระสัพพกามีลุกขึ้น กล่าวกะท่านพระเรวตะว่า ท่านผู้เจริญ บัดนี้ ท่านอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไรโดยมาก
ร. ท่านเจ้าข้า บัดนี้ ผมอยู่ด้วยเมตตาวิหารธรรมโดยมาก
ส. ได้ยินว่า บัดนี้ ท่านอยู่ด้วยวิหารธรรมตื้นๆ โดยมากวิหารธรรมตื้นๆ นี้ คือเมตตา
ร. ก็เลยกล่าวแก้ว่า ท่านเจ้าข้า แม้เมื่อก่อนครั้งผมเป็นคฤหัสถ์ได้อบรมเมตตามา เพราะฉะนั้น ถึงบัดนี้ ผมก็อยู่ด้วยเมตตาวิหารธรรมโดยมาก และผมได้บรรลุพระอรหัตมานานแล้ว ท่านเจ้าข้า ก็บัดนี้พระเถระอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไรโดยมาก
ส. ท่านผู้เจริญ บัดนี้ ฉันอยู่ด้วยสุญญตาวิหารธรรมโดยมาก
ร. ท่านเจ้าข้า ได้ยินว่า บัดนี้ พระเถระอยู่ด้วยวิหารธรรมของพระมหาบุรุษโดยมากวิหารธรรมของพระมหาบุรุษนี้ คือ สุญญตสมาบัติ
ส. ท่านผู้เจริญ แม้เมื่อก่อนครั้งฉันเป็นคฤหัสถ์ ได้อบรมสุญญตสมาบัติมาแล้ว เพราะฉะนั้น บัดนี้ ฉันจึงอยู่ด้วยวิหารธรรม คือ สุญญตสมาบัติและฉันได้บรรลุพระอรหัตมานานแล้ว ฯ
_สูแดนธรรมว่า…เอาพระสูตรนี้ขึ้นมาเพื่อให้เห็นว่าพระอรหันต์เขาพูดกันว่าเป็นพระอรหันต์ได้
พ่อครูว่า…ผู้ที่ท้วงอาตมามามา เอาผิดอาตมา แม้จะเป็นปราชญ์เอกทางศาสนาก็ดูจะเข้าใจผิด อาตมาไม่ได้ทำผิด หลายอย่างมากมาย ไปศึกษาดีๆ เถิด อาตมาพยายามแก้กลับพวกเราได้รับทราบก็เลยเอาหลักฐานทางพระไตรปิฎกมายืนยันมาเรื่อยๆจนเห็นได้ซึ่งก็ต้องใช้เวลาพอสมควร ใช้เวลามาจนป่านนี้ก็ดีขึ้นเยอะ
แม้แต่ในโลหิจสูตร ก็บอกไว้ โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่… ฯลฯ ” .
แม้แต่โลกิจสูตร พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีคติ ๒ คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง
(พตปฎ. เล่ม ๙ ข้อ ๓๕๘)
ท่านผู้รู้ที่ท้วงอาตมาผิด ก็เสียหน้าอยู่นะ แต่อาตมาไม่คิดว่าเป็นการเสียหน้านะ คนเราเข้าใจไม่ถ้วนรอบได้ เมืองไทยเราก็ยังดีที่มีผู้ที่ขวนขวายในธรรมะพระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่เอาใจใส่ศึกษาค้นคว้าจากตำราจากพระไตรปิฎก แม้แต่ของอรรถกถาจารย์ ของผู้รู้ทางธรรม ก็เอามาตรวจสอบ เอามาเรียบเรียง ขออภัย พูดตามตรง อาตมาเป็นคนที่ไม่ค่อยศรัทธาเชื่อถือในอรรถกถาอาจารย์ เน้นพระไตรปิฎกแต่บางอย่างก็ใช้อยู่ อรรถกถาจารย์บางคน ที่ท่านยืนยันอ้างอิงแล้วอาตมาเห็นว่าถูกต้องก็ต้องเอามาใช้ จะบอกว่าเป็นของอรรถกถาจารย์ทีเดียวก็ไม่ได้เพราะว่า พระไตรปิฎกก็มี ที่อื่นเขาก็มี เอาแต่สิ่งที่ตรงมายืนยัน เอ้าถาม…
_พิมพ์เพชรรุ้ง…ไม่นานมานี้ลูกคิดว่า ไม่รู้ว่าเป็นมโนวิญญัติ หรือเปล่า ? เมื่อก่อนเราชอบเพ่งโทษ ก็มาทบทวนดูว่าทำไมเราเพ่งโทษ เพราะว่าเรามีอัตตา เราคิดว่าเราดีกว่าคนอื่น คนอื่นด้อยกว่าเรา อีกอันเรามีอคติชอบไปติดฉลากไม่ดีให้คนอื่น แต่เราก็ไม่อยากจะเป็นทุกข์ อันนี้เป็นอาการของมโนวิญญัติหรือไม่
พ่อครูว่า…ใช่ เป็นการทบทวนของเรา นี่แหละคือการปฏิบัติธรรม ก็มีการทบทวนแก้ไขตรวจสอบ ตรวจสอบกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ไปถึงมโนวิญญาณ อ่านไปถึงอาการจิตของเรา ใช่ การปฏิบัติธรรมก็ได้ผลอย่างนี้ล่ะ มีเวลาก็ตรวจสอบไป เอาเวลามาศึกษาทางนี้ก็ดีแล้ว มาศึกษาฝึกฝน
การศึกษาฝึกฝนธรรมะพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องทิ้งงานอาชีพ ทิ้งอะไรที่โลกเขาจะต้องทำงานเลี้ยงตนหรือทำงานแก่สังคม ก็ไม่ทีเดียว ปฏิบัติสนใจมีอยู่เยอะ แต่ถ้าเราปลงวางปลดปล่อยได้ ชีวิตก็พออยู่พอกินพอใช้ ก็เข้ามาอยู่กับหมู่กลุ่มที่ปฏิบัติธรรมกันอย่างเป็นหมู่กลุ่มที่แข็งแรง เป็นสัมปวังโก ก็คือมีกัลยาณมิตโต กัลยาณสหาโย กัลยาณสัมปวังโก
กัลยาณมิตโต คือ เป็นมิตรดี ผู้ที่มีภูมิธรรม เป็นเพื่อนเป็นคนๆไป
กัลยาณสหาโย สหายะแปลว่าผู้ร่วมประโยชน์ มีมากขึ้น มีสังคมหมู่กลุ่มมากขึ้นเรียกว่าสหาโย ึ
กัลยาณสัมปวังโก มีทั้งหมดเลย ทั้งสังคมสิ่งแวดล้อมทั้งหมด วังโก องค์รวมว_. ทั้งหมด กัลยาณสัมปวังโก อันนั้นแหละเป็นสำคัญ ถ้าผู้ใดอยู่นอกกลุ่มนี้ ไม่มีมิตรดี ไม่มีสักคนเลย ไม่มีสหาโยแน่นอน ถ้ามีอยู่พร้อม อย่างพวกเราเป็นชุมชนเป็นหมู่กลุ่ม กัลยาณสัมปวังโก เป็นเสนาสนะสัปปายะแล้วมีบุคคลสัปปายะอาหารสัปปายะธรรมะสัปปายะด้วย มันเป็นสถานที่เราควรจะเอาชีวิตมาอยู่อย่างยิ่ง คุณจะอยู่อีกกี่วันกี่เดือนกี่ปีจนกว่าจะตาย มันน่าจะรีบมาอยู่นะในชีวิต คุณจะเอาเวลาไปหาเงินทองลาภยศสรรเสริญโลกียสุขนั้น คุณทำมาไม่รู้กี่ล้านชาติแล้ว ก็เจริญเท่าที่คุณเป็นอยู่เท่านี้ เสื่อมกว่านี้หรืออาจจะดีกว่านี้อยู่ คุณก็ไม่รู้แท้หรอก มาที่นี่สิแล้วคุณจะรู้แท้ว่าคุณจะเสื่อมหรือเจริญ มาอยู่ที่นี่ คือคนเจริญ ขอยืนยัน
แม้แต่ก่อนคุณอยู่ข้างนอกคุณมีรายได้เยอะ ลาภเยอะ คุณมาอยู่ที่นี่ คุณลดลาภ จนไม่ได้รับลาภเลยคือคุณเจริญ คุณมียศสักตำแหน่งหน้าที่ ยศตำแหน่งหน้าที่ของคนถูกปลดออกไปแล้วคุณก็เจริญได้ หรือจริงๆ ก็คุณทำงานอยู่ทางโลกมีตำแหน่งหน้าที่ยศศักดิ์อยู่ ทำได้ เขาไม่ปลดคุณออกหรอก ดีไม่ดีทำงานเจริญขึ้นด้วยเป็นคนมีอาริยธรรมสูง ยิ่งหากจะลาออกเขาก็ไม่ยอมให้ลาออกเลย พวกเราหลายคนเยอะแยะปฏิบัติธรรมอยู่ จะลาออกแล้ว เต็มแล้ว จะมาอยู่ที่นี่ เขาก็ไม่ยอมให้ลาออกเลย จะไปเขาก็ไม่ให้ไป จะเจอปัญหานี้เยอะเลย อย่างอาตมาจะลาออก เขาไม่อยากให้ออก มันจะไม่ขัดแย้งกับโลกเขา จะสอดคล้องกับเขาจะเห็นดีเห็นงาม
เพราะฉะนั้น ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ จึงขอยืนยันเลยว่าเป็นความรู้ที่ยอดเลิศที่สุด ไม่ว่าในยุคไหน กาละไหน มนุษย์ที่ไหนๆ จะนับถือศาสนาอะไรก็ได้ อันนี้แหละ ทิฏฐิอย่างนี้ สิ่งอย่างนี้ แหละสุดยอด ขออภัยนะที่เอาพุทธเบ่งข่มคนอื่นเยอะ เอ้าถาม…
_ใจแก้ว…กราบนมัสการค่ะ พ่อท่านชวนคนมาอยู่หลายครั้งก็เห็นว่าคนมาได้ยาก เพราะว่า ไม่ได้มาล้างตัวให้จนแล้วก็ถอนไม่ขึ้น ถ้าคนเคยมีเงิน ไปไหนก็มีครบ ตัวนี้ฉันเป็นต้น เป็นตัวอย่าง ถ้าจะมาง่ายต้องมาหัดตั้งตบะเข้าพรรษา ไม่ใช้เงินแม้แต่สตางค์เดียว โทรศัพท์ก็ไม่เติม พี่น้องให้ใช้เงินก็ไม่เอา ไม่มีเงินในธนาคารด้วย แล้วจะรู้ว่าเมื่อนึกถึงความคิดอยากกิเลสก็จะขึ้น เราฝึกจนทุกพรรษาทำทีละตัว ตัวไม่มีเงินเคยทำที่สันติอโศกหลายพรรษา แล้วก็ต้องไปซื้อของที่สำเพ็ง เอาเงินส่วนกลางไปซื้อของที่สำเพ็ง ไปเห็นเขาขายของ เห็นเถ้าแก่เนี้ยเขาเก็บเงินใส่เก๊ะ นั่งสบาย กิเลสมันโผล่ขึ้นมาว่า เมื่อก่อนเราก็เป็นอย่างนี้ ก็สอนตัวเองว่า ตื่นเช้าก็มาเฝ้าโต๊ะหาแต่เงิน ค่ำก็ปิดร้านนอน หากเราไปเป็นเถ้าแก่เนี้ยเหมือนเขา เราก็คงไม่ได้มาปฏิบัติธรรมอย่างที่สันติอโศก ก็มานั่งคิด เสร็จแล้วผัสสะสดๆ ทำให้เราเห็นอาการจิตที่เราต้องฝึกให้จนก่อน แล้วก็มาอยู่ที่บ้านราชฯได้ ถ้ายังมีเงินในธนาคารยังมีเงินเดือน ยังมีอะไรๆอยู่ มันยากมาก เพราะเคยใช้เงินมาเยอะ เคยออกไปจากบ้านต้องมีเงินหมื่น หรือเกือบหมื่น ทุกๆ ครั้ง แต่อยู่มาเมื่อไม่มีเงินจะใช้ก็จะมีอาการบอกเลยว่า ตอนนั้นก็คิดเหมือนกันว่าเกิดมาทำไมเราต้องมาจนตอนนี้มันก็รู้สึกว่าเหมือนด้อย อาการมานะอัตตาที่เคยเป็นเถ้าแก่มันก็หดลงไป ทำให้เรารู้ตัวเองว่าการที่เราจนจริงๆ ต้องสละออกให้หมด แล้วเราก็ไม่เอาจริงๆทางใจและมันจะได้มาอยู่บ้านราชฯได้ ไม่เช่นนั้นมันจะติดบ้านติดทุกอย่างเลย มันมีเงิน พี่น้องก็ศรัทธาใครก็ศรัทธา เมื่อจนแล้วเขาก็จะมองเราไม่นับถือ เราไม่มียศ ไม่มีอะไร เสื่อมทุกอย่าง แล้วเขาจะดูถูก เราจึงต้องพัฒนาตัวเองทุกอย่างให้จนให้ได้ แล้วจะชนะใจตัวเองแล้วก็จะชนะตลอดไป
พ่อครูว่า…อาตมาพาพวกเราฝึกให้เป็นคนจน จนไปจนตายได้เลยในโลกนี้จะมีคำสอนหรือมีโรงเรียนที่สอนให้คนเป็นแบบนี้ที่ไหน แล้วก็มีจริงอยู่ที่เมืองไทย เมืองไทยเรามีสังคมแบบนี้แล้วก็ทำกันอย่างจริงจังจนเป็นสถานที่เป็นสังคมเป็นชีวิตเป็นอาชีพเป็นพฤติกรรมสังคมมีชีวิตเลี้ยงตัวเองอยู่อย่างนี้ ซึ่งอาตมาภาคภูมิใจนะ ว่าได้เอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาให้ปฏิบัติกันจนกลายเป็นสังคมของคนที่ทำงานฟรี พ้นมิจฉาอาชีวะข้อที่ 5 กุหนา ลปนา เนมิตกตา นิปเปสิกตา ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ข้อที่ 5 เป็นข้อที่บอกว่าทำงานแล้วไม่เอาลาภแลกเปลี่ยน ทำงานฟรี เป็นอาชีพเป็นชีวิตของเราเลย แล้วก็ไม่ใช่แค่คนเดียวด้วยมาอยู่เป็นชุมชนเลย เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก แล้วก็อยู่กันอย่างเป็นสุข ไม่ตีกันไม่แย่งชิงกันไม่ขโมย เกื้อกูลกัน เผื่อแผ่กัน มันเป็นการทวนกระแสโลกเขาอย่าง คนในโลกนี้ทำไมเขาไม่เห็น สังคมแบบนี้เป็นสังคมประหลาด เป็นสังคมวิเศษ แล้วทำไมเขาไม่มาทำวิจัยกัน โลกจะเป็นอย่างนี้ได้ แล้วไม่ได้เป็นอย่างชั่วคราว ทำตลอดไปเลยอย่างจริงจัง แล้วก็จะรักษาความประพฤตินี้ไปจนกระทั่งตายกันไปเลย ซึ่งมันสุดยอด พูดไปแล้วคนก็ว่าหลงตัว แต่ไม่ได้หลง อาตมาก็ว่าไม่ได้หลง พูดไปอย่างมีของจริงยืนยันด้วย เอ้าถาม คนใหม่บ้างมีแต่คนเก่าๆ
_น้อมยอดธรรม…ดิฉันก็ฟังมานานแล้ว แต่ค่อยๆ รู้เรื่อง รู้เรื่องว่าคุณธรรม อาริยธรรม ตอนแรกสมณะสิกขมาตุก็ย่อยว่า คุณน่ะทำ แล้วดิฉันก็ทำอยู่ ก็มีเมตตา แต่เวลาบอกว่าคุณน่ะทำ ดิฉันก็ทำสม่ำเสมอเป็นประจำ อะไรก็ได้ แล้วทำใจในใจทำให้มันสงบคือคุณธรรม ใช่มั้ยคะ?
ดิฉันอยู่บ้านกับแม่บัวพร แม่ท่านดาวดิน แล้วบ้านสองบ้านนี้เลี้ยงแมวกันทั้ง ๒ บ้านมานานแล้ว มันจะวิ่งมาขี้ที่หัวนอน มันมีทรายค่ะ เหม็นขี้แมวอยากให้กรรมการไปจับแมวหน่อยค่ะ เขาป้อนข้าวแมวเหมือนแม่ลูกเลย ป้าบัวพรเลยด่าออกไปพูดว่าให้ว่า ให้ออกไป ที่นี่เขาไม่เลี้ยงแมวกัน
พ่อครูว่า…อาตมาก็พูดไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้วว่าเรื่องเลี้ยงสัตว์นี้มันเสียนิสัย เสียสัญชาตญาณ อย่าเอามันมาเลี้ยง เพราะว่า เลี้ยงแล้วมันจะเสียความเป็นสัตว์ สัตว์มันควรจะรู้จักสถานะของมันไปตามวิบากของมัน หนึ่งเราไปร่วมวิบากกับมัน สองเราก็ทำให้มันเสียความเป็นสัตว์ 2 อย่างนี้ก็ใหญ่แล้วซึ่งไม่ควรจะทำเลยในชีวิต
เรื่องสัตว์เดรัจฉานก็ปล่อยเขาไปตามเวรกรรม ตามยถากรรมเขา ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย คนนี้ก็เป็นสัตว์ที่มีวิบากกรรมร่วมกันมา สัตว์เดรัจฉานก็มีบ้าง ไม่มีก็จะไปสร้างใหม่มาทำไม มันมากจนกระทั่งเราจะแย่แล้ว เอาที่คนนี่แหละ คนนี่แหละมีวิบากร่วมกันตั้งเยอะแยะก็มาทำสิ่งที่มันจะเกิดความรักความชัง ความผูกพยาบาท เป็นเวรกรรมผูกพันไปอีกนานเท่านาน ควรให้มันเลิกความรักความชัง แล้วเป็นคนที่อยู่ด้วยกัน มีสังคมที่อยู่ด้วยกันอย่างจิตสบาย มีสัมมาอาริยะทุกอย่าง อยู่ร่วมกันอย่างชาวอโศกตามทฤษฎีพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าเอาความรู้นี้มาสอนให้เกิดสังคมที่ดี ในสังคมศาสตร์ การเมืองก็ตามหรือเศรษฐศาสตร์ นี่แหละยิ่งใหญ่ ถ้าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธมีความรู้ในเรื่องของพุทธศาสนา สัมมาทิฏฐิอย่างที่อาตมาพูด แล้วเอาสัมมาทิฎฐิไปเป็นวิธีบริหารวิธีปฏิบัติกันในสังคมประเทศ โอ้โห อาตมานึกภาพว่าประเทศไทยจะรุ่งเรืองยิ่งใหญ่อย่างที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ตรัสเลย ท่านตรัสไว้ชัดเจนดีมาก ว่า เราจะเจริญอย่างนี้ อย่างที่อื่นไม่เป็นอย่างนี้ เป็นที่หนึ่งในโลก ด้วย “พอมี พอกิน” ท่านเป็นโพธิสัตว์ ท่านตรัสอย่างโลกุตระธรรมหมดเลย
… …ประเทศไทยเราอาจไม่เป็นประเทศที่รุ่งเรืองที่สุดในโลก หรือรวยที่สุดในโลก หรือฟู่ฟ่าที่สุดในโลก แต่ก็ขอให้เมืองไทยเป็นประเทศที่มีความมั่นคง มีความสงบได้ เพราะว่าในโลกนี้หายากแล้ว เราทำ เป็นประเทศที่สงบ ประเทศที่มีคนที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันจริงๆ เราจะเป็นที่หนึ่งในโลกในข้อนี้..
ท่านที่เป็นผู้รู้ในสังคมชาวพุทธที่บวชก่อนนะแต่มาทำงานศาสนาพุทธมาก่อนนอาตมาเยอะ หลายท่านบวชมาตั้งแต่เป็นเณร จนเดี๋ยวนี้อายุเท่าอาตมาหรือทำงานศาสนามาก่อน
ไม่มีอะไรดีที่สุดเท่ากับโลกุตรธรรมที่จะให้กับมนุษย์ ถ้ามันครอบคลุมหมดเลยถึงความรู้ความสามารถในโลกของมนุษย์ที่เป็นคุณธรรม เมื่อคนได้บรรลุแล้วก็จะมาทำให้คนเป็นแบบนี้ต่อเชื่อมได้ ถ้าคนในสังคมมีสมมุติว่า 100 คน มี 70 – 80 คนก็เข้าใจหมดแล้ว เราก็ไปทำงานที่ไม่ต้องเป็นงานทางธรรมะมาก ไปทำงานผลิตต่างๆ แต่ทุกวันนี้คนรู้ธรรมะน้อย คนทำงานการผลิตอื่นเยอะ เราก็ไม่ต้องไปแย่งการผลิตหรอก มาให้ทางธรรมะให้เยอะดีกว่าเอาภาระทางนี้ดีกว่า
อาตมาพูดถึงในหลวงจนมีคนมาว่าโหนในหลวง อาตมาไม่ใช่ลิงค่างจะไปโหนอะไร นี่เป็นคำเต็มที่ท่านตรัส
เราจะเป็นที่หนึ่งในโลก ด้วย “พอมี พอกิน”
… …ประเทศไทยเราอาจไม่เป็นประเทศที่รุ่งเรืองที่สุดในโลก หรือรวยที่สุดในโลก หรือฟู่ฟ่าที่สุดในโลก แต่ก็ขอให้เมืองไทยเป็นประเทศที่มีความมั่งคั่ง มีความสงบได้ เพราะว่าในโลกนี้หายากแล้ว เราทำเป็นประเทศที่สงบ ประเทศที่มีคนที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันจริงๆ เราจะเป็นที่หนึ่งในโลกในข้อนี้..
พ่อครูว่า…คำว่ามั่งคั่งไม่ได้หมายถึงความร่ำรวยจนล้นฟ้า ความมั่งคั่งคือพอมีพออยู่แล้วเหลือบ้างมีความสงบได้ เป็นคำตรัสที่สุดยอด บุคคลที่เข้าใจเช่นนี้แล้วปฏิบัติให้ได้อย่างนี้ มันเป็นเรื่องสำคัญของมนุษย์โลกเลย ยิ่งทุกวันนี้เป็นสังคมทุนนิยมสามานย์ ที่พร้อมไปด้วยความโลภ อันจัดจ้าน โทสะอันจัดจ้าน โมหะอันจัดจ้านหมดเลย มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ยิ่งจำเป็นจะต้องมาสร้างความรู้อันนี้ให้แก่มนุษยชาติมันเป็น Demand มันเป็นความต้องการของสังคมมนุษย์โลก เพราะฉะนั้นเราจะต้องมาช่วยอุปทาน มาช่วยซัพพลาย มาช่วยเสริมส่วนนี้ เพราะว่ามันเป็นอุปสงค์ที่สูงมาก เป็น Demand ที่สูงมาก
ใครที่รู้ตัวแล้วไม่ไปทำงานทางโลก มาทำงานกับหมู่กลุ่มนี้ที่มีหลักฐานครบพร้อมแล้วไม่ต้องมาเริ่มใหม่ทุกอย่างมาร่วมได้อย่างมีบริษัทธรรมะ บริษัทโลกุตระ เข้ามาร่วมได้มาเลยมาสมัครไม่เก็บค่าสมัคร สมัครฟรีทำงานฟรี กินฟรีอยู่ฟรี เป็นสังคมที่ท้าทายทุนนิยมสามานย์มาก บริษัทพามาจน มันชัดเจนนะ จริงๆ มาจน แล้วจนได้สำเร็จ อยู่กันอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ
พวกเรานี้เป็นคนหมดอนาคต เป็นคนที่อยู่กับปัจจุบัน เพราะมีทุนอดีตที่มั่นใจแล้วดีแล้ว มาอยู่เป็นหมู่กลุ่มแล้วก็ฝึกอยู่กับปัจจุบันได้ ไปแล้วไม่ต้องห่วงหรอกอนาคต คนที่จะไปแล้วว่าเป็นคนหมดอนาคตไม่ไปหรอกในอนาคตจบแล้วอนาคตชัดเจนแล้ว อนาคตก็จะไปหาสูญ มันก็หมดแล้วอนาคต อนาคตจะไปหาสูญ ก็ไม่มีอะไรไม่เอาอะไร หมด คนที่อนาคตเป็น 0 แล้วก็บ่มิไกด์
อนาคตหมด กับอนาคตใหม่ แข่งกัน อนาคตใหม่กำลังเมาหมัด ใครจะถามอะไรอีก เอามีปัญหาแห้ง..
_ลูกหิ่งห้อยบิน…คือว่า ความสุขจะมีความรู้สึกอิ่มเต็มยินดีที่ได้มา ความสุขจะหายไป เมื่อไม่ได้มาให้ตัวเอง แต่ความสงบจะมีความว่างๆเฉย ไม่ว่าจะได้มาหรือไม่ได้มาให้ตัวเอง เราเข้าใจแล้วว่าการได้มาแล้วอิ่มใจ การไม่ได้มาให้ตัวเองแล้วก็เสียใจ ทั้งสองภาวะนั้นไม่เที่ยง การไม่อิ่มใจไม่เสียใจ อย่างเข้าใจ แล้วก็ทำใจให้สงบได้นั้นดีที่สุด ใจจะนิ่งสงบเย็นเป็นประโยชน์เป็นที่พึ่งให้แก่ตัวเองได้ ได้อยู่กับความสงบนั้นไปตลอดทุกภพชาติ นั่นคือผู้ที่พ้นทุกข์ได้แล้วใช่ไหมคะ ?
พ่อครูว่า…ถูกต้องแล้ว เป็นอาริยบุคคลเขาเขียนเป็นสำนวนที่ออกมาจากใจไม่ได้เรียบเรียงมาจากภาษาคนอื่น นี่เป็นภาษาของตนเองฟังแล้วก็ดี นี่ไม่โมฆะไม่สูญเปล่า พวกเราเป็นสังคมที่มีพระอริยะเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามีพระอนาคามีพระอรหันต์ได้จริง แต่เขาไม่เข้าใจหรอก เขาจะเข้าใจว่าพระอาริยะคือคนที่สงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว แต่ความสงบของพระพุทธเจ้านั้น จิตยิ่งสงบยิ่งเร็วแรง
ความไม่สงบของจิตใจคือการมีกิเลสมาทำให้วุ่นวายเลอะเทอะ กิเลสมันดับมันหมดแรงไป จิตใจมันก็จะยิ่งไม่มีตัวกวนแต่มีพลังงานที่ยิ่งใหญ่มีพลังงานสร้างสรรมีพลังงานเมตตา. มีพลังที่เกื้อกูล. มีพลังงานไม่เห็นแก่ตัว มีพลังงานที่เสียสละที่แรงและเร็วมีพลังงานที่ไม่เห็นแก่ตัวแรงและเร็วมีพลังงานที่สร้างสรรค์อย่างเต็มที่ มันกลับกันหมดเลย
_สู่แดนธรรมว่า…เขาเถียงว่า เขาอยู่ในสุญญตวิหาร เขาจะต้องสงบ
พ่อครูว่า…ok สุญญตะวิหารคือหมายความว่าไม่มีกิเลส วิหารคือเครื่องอยู่ที่อาศัย จิตเรามีที่อาศัย ที่ไม่มีกิเลสนั่นคือสุญญตะ เมื่อจิตใจไม่มีกิเลสในจิตใจก็จะยิ่งเป็น กายปาคุญญตา เป็นจิตใจที่แข็งแรงแคล่วคล่อง ว่องไวปราดเปรียว ทำงานยิ่งรู้เร็ว ยิ่งปรับตัวได้เร็วรู้เร็วปรับตัวได้เร็วเป็นโลกุตระ โลกวิทู ยิ่งมีโลกานุกัมปายะ มีภาวะตอบไปโต้มา เร็วไว สังคมยิ่งเจริญ ยิ่งสร้างสรร
สู่แดนธรรมว่า…วิหารเขาเป็นวิหารแบบใด วิหารจะพังเลยเดินย่องๆ
พ่อครูว่า…เป็นวิหารแบบเดียรถีย์ สูญ คือกิเลสสูญไปจากจิต ไม่ใช่ว่า สูญแล้วอยู่นิ่งๆมันแบบพื้นๆ เปลือกๆ แต่ตัวสูญคือตัวสูญจากกิเลส มันสูญตัวนี้ตัวสำคัญ คือตัวกิเลส มันไม่มีในชีวิตมันอยู่ในจิตใจเลย
ไม่ต้องกดไว้ไม่ต้องดึงมันไว้ ยึดถือมันไว้ ต้องรู้หน้ามัน จิตวิญญาณเป็นฌานคือมีพลังงานเผา ตัวพลังงานราคะโทสะโมหะ ฌานคือเพลิงไฟกองใหญ่ อุณหธาตุที่ทำลายกิเลส ไฟราคะโทสะโมหะที่เป็นไฟเป็นอุณหธาตุเหมือนกันแต่มันเหนือชั้นกว่ากัน สลายได้จริง ผู้ใดที่ทำได้ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้จริง
ขอยืนยันว่าศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ตราบนั้นโลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ อาตมามาพาทำ ขอยืนยันว่าแต่ก่อนมันว่างมาตั้งนานแล้วเป็นอรหันต์เก๊ เลอะเทอะ จนเอากลับคืนมาได้แล้ว
เหมือนที่ท่านตรัส อาริยะ 4 เหล่า พระโสดาบัน สกิทาคา มีอนาคา มีอรหันต์ มีในหมู่นี้หมู่เดียว
_ส.มือมั่น ..ช่วงเดือนมิถุนายนเป็นบรรยากาศของการไหว้ครู ปรากฏว่าในสังคมหลายโรงเรียน ทำพานไหว้ครูก็เป็นการล้อการเมือง ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าเหมาะสมไม่เหมาะสมบ้าง พ่อครูมีความเห็นว่าอย่างไรบ้าง
พ่อครูว่า…อาตมาก็เห็นกระแสสังคมมันเป็นเช่นนั้นก็พอจะรู้อยู่ ก็ไม่เป็นไร ถ้ามีแนวคิด มีสิ่งที่เราจะเสนอแก่สังคม จะเป็นแนวคิดที่แสดงออกด้วยทำวัตถุ ทำพานไหว้ครู จะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ก็แล้วแต่ มีความคิดประกอบเข้าไปเป็นความคิดความอ่านที่ดี สะดุดใจคนที่สัมผัสก็เรียกว่าศิลปะ คนสัมผัสงานของเราและเกิดความคิด เกิดความคิดที่ดี ถ้าเป็นความคิดระดับที่จะไปเรียนรู้ความชั่ว ความเป็นโลกุตระ ความสุขความทุกข์ หรือความมีกิเลสหรือไม่มีกิเลส คนสัมผัสรับรู้ได้งานนั้นก็เป็นงานโลกุตระที่ทำให้คนสัมผัสแล้วเกิดการกลับมามองตัว กลับมาอ่านจิตใจตัวเอง เห็นจิตใจตัวเองว่าเรามีความคิดแบบนี้มันควรหรือไม่สมควร มันประกอบไปด้วยกิเลส หรือไม่ประกอบไปด้วยกิเลส ผู้ที่สัมผัสแล้ว แล้วก็รู้ตัวเองอ่านจิตใจตัวเองออก อย่าว่าแต่พานไหว้ครูเลย ทำอาหารให้กิน ทำเครื่องใช้ไม้สอยอย่างโน้นอย่างนี้มา ตัดเสื้อผ้ามาให้ใส่อย่างไรก็แล้วแต่ แล้วก็จิตมันมีนัยยะสำคัญ สามารถที่จะสะดุดไปอ่านจิตอ่านกิเลสได้ อันนี้เป็นงานศิลปะโลกุตระ
ทางตะวันตกเทวนิยมจะไม่มีศิลปะที่เป็นโลกุตระ ทั่วโลกเลย ศิลปะมีแต่โลกีย์ ไม่มีศิลปะที่เป็น สิปปัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ศิลปะเป็นมงคลอันอุดม เป็นสิ่งที่จะนำพาไปสู่ชั้นสูงเป็นอุตตมะอุตระ เป็นสิ่งที่เหนือโลก มีอยู่ในของศาสนาพุทธในเมืองไทย และก็ไม่ค่อยรู้เรื่องกัน อาตมานี่แหละเอามาพูดขึ้นให้รู้ว่าศิลปะเป็นโลกุตระนั้นเหนือชั้นกว่าศิลปินแห่งชาติ หรือศิลปินรางวัลซีไรต์ หรือแม้แต่รางวัลโนเบลเขาจะไม่รู้เรื่องโลกุตระ
แม้แต่กรรมการเขาก็ไม่รู้ ศิลปินเองก็ไม่มี มันมีอยู่ในเมืองไทยบ้าง ศิลปะที่เป็นโลกุตระก็มีศิลปินคนเดียวที่เป็นโลกุตระจะยก ศิลปินที่เป็นโลกุตระมีอังคาร กัลยาณพงศ์คนเดียวเท่าที่เห็นว่าแสดงออกทางโลกุตระ นอกนั้นยังไม่เห็นสักคนเดียว ก็มีอังคาร กัลยาณพงศ์ ที่เป็นศิลปินโลกุตระ เขาจะมองกลับกันกับโลกียะกันทั้งนั้นเลย เขาจะเห็นการยิ้มกับมดคุยกับสายลมแสงแดดที่เป็นสาระไม่ใช่คุยอย่างเพ้อเจ้อ มีพวกเพ้อเจ้อที่ไม่เป็นศิลปะ
ศิลปะมันมี 2 อย่างใหญ่ คือสุนทรียศิลป์และสาระศิลป์ ต้องเป็นเทวะ มี 2 อย่าง ต้องรู้จักแก่นสารที่เป็นสารศิลปแล้วมีองค์ประกอบทางโลกีย์ที่เป็นสุนทรียะ เป็นสิ่งที่ชวนให้เป็นโลกีย์บ้างเป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ฉาบสี ฉาบกลิ่น ฉาบรสให้ชวนชม แต่อย่าไปกลบเกลื่อนให้คนไปหลงใหลในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนั้น แต่ให้เขาเข้าสาระจริงจะเรียกว่าศิลปะโลกุตระถ้าไม่เข้าข่ายเช่นนี้ไม่เรียกว่าศิลปะโลกุตระ
ยกตัวอย่าง คุณเขียนภาพคนเปลือยแล้วทำให้คนกิเลสลดนั่นคืองานศิลปะ แต่ถ้าใครสัมผัสภาพนั้นแล้วอาการ กามราคะขึ้น งานนั้นเป็นงานราคะ ลามก
อาตมาแบ่งสิ่งที่จะเป็นศิลปะออกเป็น 5 ขั้น
1.ลามก 2.ราคะ 3.สาระ 4.ธรรมะ 5.โลกุตระ
สาระหากไม่มีสุนทรียศิลป์ประกอบมันก็เป็นสารคดีจะแข็งทื่อ หากทำให้มีคนมาชมเติมโน่นนี่บ้าง ยิ่งทำให้ได้รู้จักสัดส่วนที่เป็นโลกุตระก็เรียกว่าศิลปะโลกุตระซึ่งมีพวกเราทำ เพราะเราเข้าใจว่าศิลปะคืออะไร มี interest point องค์ประกอบจัดส่วนคอมโพสิต ให้มันได้สัดส่วนนำไปสู่จุดหมายเป้าหมาย Interest point หรือโกล ของมัน
_กระแสขวัญ…ก็ได้ฟังพ่อครูพูดมาเมื่อ 30 ปีก่อนว่ามาแต่ตัวกับหัวใจ ดิฉันก็คิดว่าเสียสละเป็นผู้ให้และมนุษย์อย่างนี้มีเธอจะเป็นอย่างเขาได้หรือไม่ก็เลยมาอยู่ที่สันติอโศกช่วยที่ชมร.ได้สามปี พอแต่มาอยู่ที่นี่ก็รู้สึกภาคภูมิใจทั้งตัวเองและหมู่กลุ่ม ตอนอยู่สันติฯก็ได้ทำงานต้อนรับประชาสัมพันธ์ ปฏิคม มาเห็นที่นี่มีที่รับแขก ก็มาทำงานตรงนี้ น่าจะดึงให้คนมาหาธรรมะได้ คนเล่นน้ำตกเป็นต้น (พ่อครูว่า..ลำโพงก็มีเราก็พูดไป ไม่เชิงสอนเขาแต่ให้เขารับได้เปรยปรายแนะนำ แทรกโอสถทิพย์เข้าขุมขนก็จะดี)
คนที่มา เราพูดโน้มน้าวให้เข้าหาธรรมะได้มันจะดีไหม (พ่อครูว่า…พูดอย่างเป็นศิลปะอย่าไปยัดเยียดพูดสายลมแสงแดดสิ่งแวดล้อม สงสัยอะไรก็มาถามด้วยนะก็ต้องมีศิลปะหน่อย ไม่เช่นนั้นคนก็จะบอกว่าที่นี่เขาสร้างขึ้นมาเจตนาเพื่อที่จะอัดธรรมะให้แก่เขาเขาก็จะไม่มา เป็นแทรกยา เข้าสู่ขุมขน)
ก็มีผัสสะว่า มาทำงานอะไรนั่งยิ้มอยู่อย่างเดียว
เราจะได้อานิสงส์อย่างไรในการมาทำงานนี้คะ
พ่อครูว่า..อานิสงส์คือละกิเลสเรา กิเลสราคะโทสะโมหะ หรือละอัตตาตัวตน อาจจะได้ในสิ่งที่ไม่ได้เราจะได้เสียสละกิเลสออกไป ไม่ว่าจะเป็นเชิง กาม อัตตา ได้สิ่งที่เอาออกหรือเสียไป เหมือนอย่างที่ในหลวงบอกว่าเราเสียไปนี่แหละเราได้มา
_สรุปความโดดเด่น10ประการตามภูมิในงานอโศกรำลึกปี2562
-
คำยกย่องเทิดทูนของพ่อครูต่อ “พระมหาบรมสารีริกธาตุ” (เดี๋ยวค่อยขยายความ)
_ทองย้อม…การปฏิบัติธรรมแบบ อรูปฌาน อรูปภพ แบบลืมตา ในความเข้าใจของดิฉันคือ อรูปฌานคือจิตตัวเองมีอรูปที่ไม่มีตัวตนเป็นที่อาศัย ฟังอยู่แต่ละวันก็อาศัยตอนนี้ไป ฌานมันจะไม่ลึกกว่าอรูปภพใช่ไหมคะ?
พ่อครูว่า…มันคนละอย่าง ฌานคือสภาพที่เรารู้ภพ รู้อรูปภพ แล้วเราอยู่ในฐานนี้ที่จะล้างอรูปภพได้เราก็สร้างพลังงาน ฌาน หรืออุณหธาตุ เพื่อสลายอรูปภพ ฌานกับภพไม่เหมือนกัน มันศัตรูกันเลยคุณมีภพต้องล้างภพ ต้องเข้าใจว่าความเป็นภพคือ จิตเรามีสิ่งเหล่านี้ยังอาศัยยังถือสิ่งเหล่านี้
_สรุปงานอโศกรำลึก
-
คำยกย่องเทิดทูนของพ่อครูต่อ “พระมหาบรมสารีริกธาตุ”
พ่อครูว่า…ในโลกนี้มีสิ่งที่ตกทอดมาจะมีสิ่งเชื่อมโยงกับพระพุทธเจ้า วิญญาณไม่มีแล้ว สรีระถวายเพลิงไปแล้วก็จะเหลือแต่ พระบรมอัฐิสารีริกธาตุ ก็มีแต่กระดูกยืนยันความเป็นพระพุทธเจ้า แล้วคุณก็บอกว่าจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุจริง อาตมาก็บอกว่าไม่ต้องไปพิสูจน์ มันจริงก็จริงไม่จริงก็ไม่เป็นไร เราก็ใช้เพื่อระลึกถึงพระองค์ใช่ไหม ไม่ว่าจะเป็นพระบรมสารีริกธาตุหรือพระพุทธรูป พระพุทธรูปก็ไม่ใช่ส่วนหนึ่งส่วนใดของท่านอยู่แล้ว พระบรมสารีริกธาตุถ้าเผื่อว่าจริงก็ดีสิ ถ้าไม่จริงก็ไม่เป็นไรก็เหมือนกับพระพุทธรูปทำไมต้องคิดมากว่าพระบรมสารีริกธาตุนี้จะจริงหรือไม่จริงไม่ต้องคิดมากหรอก จะมีการพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ ใครจะพิสูจน์ว่าจริงก็ไม่เป็นไร เป็นเครื่องยืนยันว่ามีคนจริงที่เป็นพระพุทธเจ้าซึ่งเกิดมาเมื่อ 2,500 กว่าปีมาแล้ว เป็นเครื่องยืนยัน แล้วก็สืบทอดกันมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งสรีระร่างของพระพุทธเจ้าที่เหลือตกทอดกันมา
-
ภาพพ่อครูเดินธรรมยาตรา นำพาสมณะ สิกขมาตุ ญาติธรรมสู่เฮือนบวร มีลูกหลานมาร้องเพลงก็รู้สึกซาบซึ้งไปด้วย
-
เป้าหมายการดูแลสุขภาพพ่อครูในปี 62-63 โดยนพ.ประธาน (หมอโต) เล่าเน้นย้ำคือไม่ไอ ไม่สำลัก ไม่ล้ม (พ่อครูว่า…ไม่ล้มไม่สำลักพอได้แต่ไม่ไอไม่ได้ ลำบาก) นี่คือหน้าที่ของลูกๆทุกคน เพราะพ่อครูเคยกล่าวว่าอาตมาจะไม่ไอ หากพวกคุณเป็นอรหันต์
-
คำใหม่ที่ได้เรียนรู้และโดนใจ คือ วัสสา และคุณธรรม(คุณ นั่นแหละ ทำ) วัสสา คือพรรษานั่นแหละ แปลว่า ปี
-
สิริมหามายาที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเช่นเป็นยิ่งกว่านักมายากลอันดับ 1 ของโลก (พ่อครูว่า…ซึ่งเป็นความหมายทางรูปธรรมและนามธรรมที่อยู่ซ้อนกันสลับไปมา คนไม่เข้าใจได้ง่ายๆ อาตมาก็อธิบายไม่เก่งว่าแม่ของพระพุทธเจ้าทำไมต้องชื่อว่านางมายา แต่เอาคำว่า สิริมหาเข้าไปเติม แปลว่านักมายาคือคนมีเล่ห์เหลี่ยมไม่ซื่อสัตย์ แต่สิริ ดี มหานี้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้มีสิ่งที่เหมือนไม่ตรงไม่ซื่อ แต่ยิ่งใหญ่ (พ่อครูไอ)
_เกื้อกูล ดิฉันเคยอ่านประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสก็มีผู้ที่จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์อยู่ทุกยุคสมัย จะมีแบบนี้อยู่ตลอดกัลปาวสานใช่ไหม
พ่อครูว่า…อะไรมันก็ไม่เที่ยง ก็หวังว่าคนเหล่านี้คงจะเปลี่ยนใจได้ จริงๆแล้วโดยจิตกว้างๆ ในต่างประเทศความคิดที่จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ก็เพราะกษัตริย์ ไม่มีทศพิธราชธรรม กษัตริย์แย่ คนก็เดือดร้อน แต่มาในยุคนี้มันก็ง่าย ล้มล้างได้ง่าย เพราะว่าเขาถือว่าเสมอภาคกันทั้งหมดก็ถือว่ากษัตริย์เป็นพวกศักดินา ซึ่งความจริงแล้วในโลกมันมีวรรณะมันมีศักดิ์ มันมีชั้นอยู่แล้วในสัจจะแล้วคนก็ไม่เข้าใจ อย่างอินเดีย กลายเป็นชั้นศักดินากัน พราหมณ์กษัตริย์แพศย์ศูทร แบ่งกันจนเป็นศักดินาชั้นวรรณะ พ่อแม่เป็นอย่างนี้มาลูกจะต้องเป็นอย่างนี้ทั้งหมดเลย ปรับปรุงแก้ไม่ได้เลย เป็นจัณฑาลก็ต้องเป็นจัณฑาลไปตลอด ลูกออกมาก็เป็นชั้นๆตลอด
ของพระพุทธเจ้าก็มีอวรรณะ 6 กับ วรรณะ 9
อวรรณะ 6 คือมีฐานะของคนเสื่อม 6 ประการ
๑. เลี้ยงยาก (ทุพภระ)
๒. บำรุงยาก (ทุปโปสะ)
๓. มักมาก (มหัปปิจฉะ)
๔. ไม่รู้จักพอ (อสันตุฏฐิ)
๕. เกียจคร้าน (โกสัชชะ)
๖. คลุกคลีหมู่คณะ(คลุกกองกิเลส) (สังคณิกา)
(พตปฎ. เล่ม๑ ข้อ ๒๐) ตรงข้ามกับ วรรณะ ๙
อันที่6 เขาไปแปลว่าไม่คลุกคลีด้วยหมู่ เขาก็เลยไปอยู่คนเดียวซึ่งไม่ใช่เลย อย่าไปคลุกคลีกับหมู่ชนชั้นต่ำ ต้องไปคลุกคลีกับหมู่ที่เป็นบัณฑิต ซึ่งมันจะไม่ขัดแย้งกับของพระพุทธเจ้าที่สอนอันอื่นเลย
-
สิริมหามายาที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเช่นเป็นยิ่งกว่านักมายากลอันดับ 1 ของโลก (พ่อครูว่า…ซึ่งเป็นความหมายทางรูปธรรมและนามธรรมที่ซ้อนกันสลับไปมา คนไม่เข้าใจได้ง่ายๆ อาตมาก็อธิบายไม่เก่งว่าแม่ของพระพุทธเจ้าทำไมต้องชื่อว่านางมายา แต่เอาคำว่า สิริมหาเข้าไปเติม แปลว่านักมายาคือคนมีเล่ห์เหลี่ยมไม่ซื่อสัตย์ แต่สิริ ดี มหานี้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้มีสิ่งที่เหมือนไม่ตรงไม่ซื่อ แต่ยิ่งใหญ่
อาตมาเป็นคนที่กอบกู้ศาสนาพุทธ แต่เขาก็มองกลับกันกลายเป็นคนทำลายศาสนาอีก อาตมาเป็นสิริมหามายา ได้ปักหมุดศาสนาพุทธ เพราะมันถูกเขาหลอกเล่นกลจนเข้าใจผิดไปหมดแล้ว ไปหลงสิ่งที่ผิดเป็นถูก ไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ผิด อาตมาก็ดึงกลับมา ก็เลยกลายเป็นมาให้เกิด เป็นมารดาพุทธะ คนพวกเราฟังแล้วจะเข้าใจแต่ทางโน้นเขาฟังแล้วก็จะไม่รู้เรื่อง แม้แต่คำว่ากายคำว่าบุญคำว่าสมาธิก็ได้ผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว อาตมาก็ได้มาขยายความจริง
-
สวนผลไม้ 20 ไร่ขุดหลุมพร้อมปลูกเสร็จ ภายใน 2 วัน จากพลังงานร่วมกันของคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ
-
ลูกหลานสัมมาสิกขาร้องเพลงปราบเซียน (พ่อครูว่า เพลงของอาตมาจะยาก มีเสียงสูงเสียงต่ำมีคอร์ดไมเนอร์เมเจอร์ที่สลับไปมา แต่ไม่ออกนอกทางนะ ยกตัวอย่าง นายเต้ง เป็น Arranger เป็นคนแยกเสียงประสาน ปราจีน ทรงเผ่า เขาก็ว่ายากไม่รู้จะเรียบเรียงอย่างไร ไปถามคุณปฏิพล ก็บอกว่าให้ไปตามเมโลดี้ของท่านไปเลย ท่านออกนอกทางเราก็ไปกับท่าน ท่านเข้ามาในทางก็มากับท่านเลย
_ขวัญรักว่า…ตอนที่ไปทำเพลง เขาก็มาทักมาพูดว่าเอ๊ ตั้งแต่เกิดมา เจอะมาแล้วคนที่ 2 แต่งแล้วก็ออกไปหลุดโลก แล้วก็กลับมาได้ ดิฉันถามว่าใครหรือ เขาก็บอกว่าคนแรกคือในหลวง คนที่สองก็พ่อท่านนี่แหละ ที่แต่งแล้วก็เหมือนหลุดโลกออกไป แต่แล้วก็กลับมาได้อีก
พ่อครูว่า…เป็นเรื่องจริงเป็น แอดดริฟต์ที่เป็นไปตามธรรม เหนือโลก มันเป็นความพิเศษของสิ่งหนึ่ง แนวทางภาษาดนตรีเขาเรียกว่า แอดดริฟต์ ออกไปเดี่ยวเลยนะ คนอื่นตามไปไม่ได้แต่ตัวเองกลับมาได้ เป็นของส่วนตัว
-
รายการแฟนพันธุ์แท้พ่อครูคนใหม่ที่ยกระดับจากความจำ เป็นความเข้าใจ ในโลกโลกุตระ
-
พ่อครูพัก งดเทศน์ ลูกๆปรับใจรับประโยชน์ จากทายาทพ่อครูไป เต็ม ๆ ยังมีสภาวะเบิกบานสำราญใจในธรรม
-
พ่อครูเป็นศูนย์รวมจิตใจของลูกๆทุกคนอันดับไม่ตก ทางโลกุตรธรรมไม่ตกนะ แต่โลกียธรรมนี้ตกได้ โลกุตรธรรมไม่ตก เข้ามาลึกๆได้เลย มาทำงานโลกุตรธรรมไม่โมฆะได้ผลสำเร็จ
-
เห็นคนมาชมเยี่ยมบ้านราชฯ เยอะมากในช่วงเสาร์อาทิตย์ คนชอบเดินไปชมเรือ เดินขึ้นข้างบนล่าง เรือเจิ้นเทิ่น หากเป็นไปได้ หากภายในเรือ จัดให้เป็นห้องสื่อฉายสิ่งที่เป็นสาระแก่ชาวบ้านจะเป็นประโยชน์มาก พ่อครูว่า..อันนี้ดำริกัน แม้แต่เอาศิลปะอะไรไปติดก็ดี มีทั้งภาพและเสียงได้ด้วยก็ดี
-
พลโทจักรกฤช พยอมหอม ถามดิฉันว่า ไปเอาเงินมาจากไหนถึงได้มีอาณาจักรใหญ่โตขนาดนี้ ถามว่าคุณพี่ถามใหม่ได้นะคะว่า พ่อท่านหรืออโศกไปเอาลูกศิษย์ดีๆแบบนี้มาจากไหน ก็เพราะมีลูกศิษย์ที่ดีพอจึงได้ช่วยกันอดออมเสียสละทั้งทรัพย์สินและแรงกายกำลังสมองเพื่อสร้างอาณาจักรศาสนา