620619_รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 54
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1kGIL-ptpqccpU8S9kfHvvBh_tsu_wMR5-XeEVPhFCGo/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1-47jF2vYvfqF48bbLV1-cIv-ZAdEZZfp
พ่อครูว่า…วันนี้วันพุธที่ 19 มิถุนายน 2562 ที่บวร สันติอโศก เลยวันเกิดของอาตมา 14 วันแล้ว อายุเต็ม 85 + ไปอีก 14 วัน ก็เป็น 85 + อีก 14 วัน ทำไมเป็นไปอย่างไรเราเพิ่งเกิดตอนนี้ 85 ปีแล้ว แป๊บเดียว 85 ปีผ่านไป อาตมารู้ว่าชีวิตเราไปเสียเวลาถูกโลกเขาหลอกลิงลมอมข้าวพองถึง 36 ปี มันไม่รู้ตัวมึนงง ลิงลมอมข้าวพอง กระแสสนามแม่เหล็กโลกีย์มันดึงเราไป จนกว่าเราจะรู้ตัวเองว่าเราไม่ใช่คนอยู่ในโลก จะไปให้โลกเขาปั่นหัวทำไม เหมือนพระพุทธเจ้าก็ถูกโลกครอบงำ อยู่ตั้ง 35 ปี ท่านออกบวช เมื่อรู้ตัวท่านก็ออกมาทำงาน เป็นงานที่ผู้ที่ผ่านสัจธรรมเป็นพระโพธิสัตว์อย่างอาตมาจะรู้ชัดเจน พระพุทธเจ้าก็แน่นอนท่านยิ่งรู้ชัดเจนยิ่งกว่า ไปถูกโลกครอบงำตั้ง 35 ปี 29 ปีถูกโลกโลกีย์ครอบงำ ก็รู้ว่าเราจะต้องมาเป็นผู้ปฏิบัติทางธรรม เมื่อออกบวช การออกบวชก็ถูกครอบงำอีกว่าผู้บวชจะต้องเข้าป่า ต้องไปนั่งสะกดจิตอยู่ในป่า ก็ถูกกระแสโลกีย์ ทำให้เสียเวลาไปอีก 6 ปี จนอายุ 35 ถึงค่อยรู้
จะเห็นได้ว่ากระแสโลกมันแรงมาก ขนาดผู้ที่ปฏิบัติพากเพียรเป็นโพธิสัตว์มาไม่รู้กี่ล้านชาติ อาตมาบำเพ็ญมาเป็นโพธิสัตว์ก็ยังรู้แล้ว ขนาดเป็นพระพุทธเจ้ารู้แท้ๆ มาแล้วคลอดออกมาก็เป็นพระพุทธเจ้าสอนธรรมะเลยมันก็ไม่ใช่ เห็นไหมว่ากระแสโลกมันแรงจริงๆ อาตมาทำงานมาเกือบ 50 ปีแล้ว เลยพระพุทธเจ้าทำงานแล้ว พระพุทธเจ้ารู้ตัวเมื่ออายุ 35 เสร็จแล้วท่านก็ทำงานอีก 45 ปีท่านก็เลิกแล้ว แล้วก็โยนต่อมาให้อาตมา สืบทอดต่อให้อาตมาขยายต่อ 2500 กว่าปี ศาสนาพุทธมันถูกย่ำยี ตีแหลกทิ้งเป็นขยะจมในบาดาลมหาสมุทร 500 โยชน์ อาตมาต้องดำดิ่งลงไปเก็บธรรมะพระพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วเขาทิ้งของดีได้อย่างไรพวกนั้นเขายังไม่รู้จัก ไม่เชื่อว่านี่คือพระพุทธศาสนา เข้าใจว่านี่คือขยะ เข้าใจว่านี่คือเศษกากอะไรไม่รู้ แต่ที่เขาคว้าได้อยู่ในมือคือเศษขยะแท้ๆไม่ใช่เนื้อแท้ของศาสนาพุทธเลย เขาก็หลงยึดถือว่านั่นแหละคือศาสนา
เมื่อเราเอาศาสนามายืนยันว่านี่แหละคือศาสนาพระพุทธเจ้าแท้ๆเขาก็ไม่เชื่อ แต่ก็ยังมีผู้ที่มีธุลีในดวงตาน้อย คือพวกคุณ ยังฟังแล้วรู้เรื่องว่าจริงๆนี่แหละคือใช่ ก็มีอยู่จำนวนน้อย ก็ไม่เป็นไรยังไม่สูญเปล่า ไม่อย่างนั้นอาตมาโด่เด่อยู่คนเดียวป่านนี้ถูกจับไปโรงพยาบาลบ้าแล้วถ้าไม่มีพวกคุณมารับรอง หรือไม่เขาก็กระทำย่ำยีฆ่าตายไปแล้ว มาขวางลำเรื่องศาสนาของเขาอยู่ได้ แล้วไปด่าเขาด้วย เขาจะปล่อยให้ด่าได้อย่างไร แต่ทุกวันนี้อาตมาทำได้เพราะมันยืนยันความจริง ยืนยันความจริงว่าศาสนาพุทธต้องเป็นเช่นนี้
เป็นคนมีวรรณะ 9 สาราณียธรรม 6 จิตใจมีพุทธพจน์ 7 จริงๆ พระปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาที่สัมมาทิฏฐิต้องเป็นอย่างนี้ วิชชาจรณะสัมปันโน โพธิปักขิยธรรม 37 ต้องเป็นอย่างนี้อาจจะมายืนยันตามหลักที่พระพุทธเจ้าสอนมา เขาก็พูดคำภาษาบาลีอันเดียวกันหมดกับอาตมา แต่เขาก็อธิบายอย่างหนึ่งอาตมาก็ทำอย่างนึง เขาก็ทำอย่างนึงเราก็ทำอีกอย่างหนึ่งแล้วก็ยืนยันกันเลยว่าอะไรมันจะสอดคล้องจริงกับคำสอนพระพุทธเจ้ายิ่งกว่ากันอันนี้แหละจึงเป็นการพิสูจน์ความจริงที่เขาเถียงได้ยาก คนที่โง่จะเถียงอยู่คนที่พอจะมีปฏิภาณปัญญาจะยอมไม่เถียง แต่เขาทำไม่ได้ เขาทำตามไม่ได้แม้จะเข้าใจแล้วก็ทำตามไม่ได้ นอกจากทำตามไม่ได้ยังถูกหลอกเอาไปนั่งบัลลังก์ เป็นตราประทับให้กับทางโน้น ก็เลยมีชีวิตต้องเลี้ยงชีวิตต่อไปก็เลยถือเป็นอาชีพ น่าสงสาร ความจริงเขาก็รู้อยู่แต่เสนอหน้าไปเขาก็ต้องทำเป็น พรีเทนเดอร์ เป็นนักเสแสร้ง ไปอย่างน่าสงสาร เป็นสัจจะอันหนึ่งเหมือนกัน
อาตมาเคยบอกไปแล้วว่าได้ทำงานมา 50 ปีนี้ประสบผลสำเร็จแล้ว เพราะว่ามีแล้วคนเข้าใจมีคนที่มาปฏิบัติยินดีเต็มใจมากปฏิบัติตาม มูลสูตร 10
คำว่ายินดีนี้ลึกซึ้งนะ ถ้าหากไม่มีความยินดีไม่มีฉันทะเป็นมูลกา เป็นเค้าแรกของจิต คุณจะไปทำการมนสิการซึ่งเป็นข้อที่ 2 ของมูลสูตร 10 จะจัดการใจในใจของตนเองไม่ได้ แม้แต่แค่คุณสงสัยลังเล มีความยินดีแต่ยังไม่เต็มที่ มีความสงสัยลังเล คุณก็ทำใจในใจไม่ได้ผล ได้อย่างต่องแต่งเสียเวลา ได้ยินดีเต็มใจหมดไม่สงสัยหมดสงสัย คุณจะเต็มใจมา นอกจากคุณจะมีภาระที่โลกเขาดึงไว้ ทำให้คุณมายากก็เป็นเรื่องวิบากของใครของมัน
เพราะฉะนั้นผู้ที่มีฉันทะเป็นมูลกา มีฉันทะเป็นรากเหง้าของชีวิตเลย มันยินดีแล้ว อย่างไรก็เต็มใจ ชีวิตที่คุณเคยมีมาอยู่ในโลกร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อมายินดีทางนี้คุณจะต้องมาเป็นโลกุตระไม่น้อยกว่า 50% ใครจะมากจะน้อยกว่า คุณจะต้องมาเอาธรรมะมากเห็นความสำคัญของธรรมะมากกว่า 50% เพราะฉะนั้นจึงมีคนที่ยินดี แล้วหยุดเลยการทำงานทางโลก หากว่ามีภาระทางเลี้ยงครอบครัวเลี้ยงลูกก็ต้องชะลอไป แต่ก็มาได้ที่สุดจึงเกิดหมู่กลุ่มของโลกุตระได้ เพราะฉะนั้นจึงมีถึงขั้นที่ไม่เอาแล้วโลก มาอยู่กับหมู่กลุ่มที่ทำงาน ไม่เอาแล้วรายได้อยู่กิน มาอยู่กันอย่างระบบสาธารณโภคี ที่ศาสนาพุทธที่อาตมาได้นำพาให้เกิดมาในยุคนี้มันบริบูรณ์เต็มรูปสาธารณโภคี แต่ว่ามันตัวเล็กมันเป็นรูปเล็ก แต่มันบริบูรณ์
เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา
พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ
เป็นคนมีวรรณะ 9 จึงเป็นคนจริงมาอยู่กันได้อย่างสงบเป็นหมู่กลุ่มที่เป็นปึกแผ่นแน่นหนาแข็งแรง คนมาตีแตกยาก เพราะมันหยั่งลงสู่สัจธรรม แล้วมันก็จะไปได้ดี เพราะว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธมันจะขยายผลไปเรื่อยๆ นี่เริ่มต้นอาตมาทำงานมาจะ 50 ปี มันจะมีแรงไปอีกก้าวหน้าไปได้อีก 500 ปี เมื่อถึง 500 ปีแล้วมันจะไม่ก้าวหน้าแล้ว แรงที่สร้างไว้ใน 500 ปีจะมีพลังงานของศาสนาพุทธ เพิ่มขึ้นมาจากที่มันถูกจมมหาสมุทรไปตั้ง 500 โยชน์ อาตมาต้องดำลงไปหยิบธรรมะของพระพุทธเจ้าขึ้นมาประกาศใหม่เลย
พวกคุณคือคนที่เข้าใจได้ง่าย หรือเข้าใจได้ตามลำดับมากก็ตาม มาถึงวันนี้แล้วมันมีเชื้อมันมีภูมิปัญญา จึงมาเชื่อมต่อและดำเนินใหม่ไปได้ ถ้าหากไม่มีเชื้อเดิมเลย อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้า ประกาศอย่างไรอย่างไรถ้าไม่มีเชื้อเดิมไม่ได้ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาประกาศธรรมะ คนแรกที่ฟังธรรมะพระพุทธเจ้าเข้าใจได้คือ โกณฑัญญะ พอเข้าใจปุ๊บ จิตตัวที่เข้าใจนี้เป็นจิตตัวใหม่ เป็นจิตที่ไม่ใช่ของคนโลกๆที่มีอยู่ในโลกเลย แต่เป็นจิตของมนุษย์ต่างดาว เรียกว่า อัญญธาตุ
อัญญะแปลว่าอื่น จิตวิญญาณอย่างนี้ไม่เคยมีอยู่ในโลก โลกนี้นี่เป็นจิตของมนุษย์ต่างดาว พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่าอ๋อ อัญญาสิวตโพโกญทัญโญ โกณฑัญญะเกิดจิตใจแบบใหม่ขึ้นแล้ว จากนั้นก็เริ่มต้นแล้ว เพื่อนพราหมณ์ อีก 4 ก็ค่อยๆเรียนรู้จักพระพุทธเจ้าโดยมีจิตใจแบบนี้หยั่งลงในโลกนี้ เป็นมนุษย์ต่างดาวเข้ามาลงหลักปักแหล่งในโลกนี้
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของมนุษย์ต่างดาว เป็นศาสนาของโลกใหม่ ปรโลก หรืออัญญาโลก โลกที่มีความรู้แบบ อัญญา เป็นจิตธาตุรู้ อัญญะเป็นธาตุต้นตัวแรกของธาตุใหม่ที่เป็นมนุษย์ต่างดาวเกิดขึ้น
พูดกันก็ยากคนไม่ค่อยเข้าใจ คนที่มีเชื้อต่างดาวเป็นโลกโลกุตระบ้าง ที่มีเชื้อเดิมมาแต่ปางบรรพ์อย่างทุกคนก็เข้าใจ เพราะฉะนั้นลอกโลกียะแท้ๆไม่มีเชื้อเลยจะยากมากที่จะข้ามเขตมา มารู้โลกุตรธรรมได้อย่างดี ยังยินดีอย่างชื่นใจอย่างพอใจ ยากมาก แต่ก็ค่อยๆมีพัฒนาการค่อยๆเพิ่มขึ้นมา พูดไปก็เป็นอจินไตยที่คิดเอาเองไม่ได้
พูดถึงเรื่องที่เราทำมาและกำลังจะทำต่อไป ทำมาจนกระทั่งป่านนี้ มีสังคมชาวอโศกเกิดในประเทศไทย คือประชาชนในประเทศไทยมีจิตวิญญาณมีกรรมกิริยา มีอาชีพมีกัมมันตะมีวาจามีสังกัปปะจริง จึงเป็นพฤติการณ์หรือเป็นพฤติกรรมที่เกิดจริงในสังคม มีผลต่อสังคม ที่พูดนี้ต้องขออภัยไม่ใช่ว่ากำลังจะอวดทวงบุญคุณของสังคมประเทศชาติ ไม่ใช่ แต่กำลังอธิบายสัจธรรมความจริงมันเป็นเช่นนี้
ในโลกมีเศรษฐกิจรัฐกิจสังคมกิจ เป็นเรื่องของพฤติกรรมมนุษย์ ชาวอโศกก็เป็นผู้ที่มีเศรษฐกิจอันเป็นแบบของพระพุทธเจ้า มีรัฐกิจอันเป็นแบบของพระพุทธเจ้า มีสังคมกิจเป็นแบบของพระพุทธเจ้า ดังนั้นชาวอโศกจึงเป็นคนที่มีทั้งเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจมีรัฐกิจมีการเมือง ประพฤติ อยู่ในสังคมนี้
เศรษฐกิจเราใช้พยัญชนะเรียกว่ามีอุดมคติอะไร เศรษฐกิจที่มีอุดมคติมาเป็นคนจน นี่คือเศรษฐกิจที่แบบคนจน ไม่เอาแบบคนรวยมาเป็นคนจนแล้วจะเป็นคนที่อยู่กับสังคมอย่างไม่แย่งชิงกับใคร พยายามมาเป็นคนขาดทุนถ้าจะว่ากันแล้วก็มาเป็นคนแย่งกันขาดทุนแต่ไม่แย่งกันกำไร เป็นคนเข้าใจอย่างนี้พยายามทำตนเป็นคนอย่างนี้ให้จริง นี่คือพฤติกรรมสังคมของชาวอโศกหรือชาวกรุง เพราะฉะนั้นมีพฤติกรรมทางพลเมืองในเมืองหรือจะเรียกว่าการเมือง พฤติกรรมของพลเมืองการเมืองในสังคม จึงเป็นแบบนี้
มาเป็นคนจนแล้วตัวคนที่เป็นชาวอโศกเป็นสุขไหม เป็นสุข สงบดี สร้างประโยชน์ แล้วรู้สึกตัวว่าตัวเองได้เสียสละไม่ได้เอาเปรียบ คำกล่าวที่กล่าวไปนี้เป็นคำกล่าวที่ดี
ให้มาศึกษาให้เป็นคนอย่างที่ว่านี้ได้ เป็นได้จริงแล้วอยู่เป็นสุขจริงแล้วไม่มีทางเปลี่ยนแปลง จะอยู่อย่างนี้ไปจนตายแล้วก็เผาไปในชาตินี้อีก ใครเชื่อไหมบ้างว่าเราจะเป็นอย่างนั้น
มาดู sms
_ปรารถนาจน กราบเรียนถามพ่อท่านว่า เวลาข้าวหรืออาหารเหลือ จะโยนลงบุ่งให้ปลากิน จะกลายเป็นไปยุ่งกับสัตว์มั้ยคะ หรือควรทิ้งเอาไปทำปุ๋ย ให้เป็นอาหารจุลินทรีย์ (ซึ่งก็สัตว์เหมือนกัน) ให้เป็นอาหารเลี้ยงพีชะจะดีกว่าคะ
แต่ถ้าเราโยนข้าวให้ปลาในบุ่ง แต่ไม่ได้ไปยึดไปรักไปห่วงมัน ไม่ได้ให้ทุกวัน ให้เพราะข้าวเหลือ จะทิ้งก็เสียดาย ถือว่าทำทานทั่วไปโดยจะกลายเป็นเพิ่มความเกี่ยวข้องกับสัตว์ปะคะ
พ่อครูว่า…ยอมใช้ชื่อ ปรารถนาจนแล้วหรือ?
ละเลียดไป คนละเลียดจะช้า ไม่ตัดสินใจทำอะไรเสียที ในจักรวาล ดิน น้ำ ไฟ ลม แล้วก็มี พีชะ แล้วก็มีจิต แล้วมีสัตว์และมนุษย์อยู่ในนี้ เป็นสิ่งที่จะต้องมี relative กันตลอดเวลา มันไม่ตัดขาดกันไปได้หรอกถ้าเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้แล้วแยกแยะให้มาศึกษาว่า อันนี้มันเป็นอุตุ อุตุมันเป็นพลังงานธรรมดาธรรมชาติของดินน้ำไฟลม มันก็เกิดเกี่ยวข้องกันสังเคราะห์สังขารกันเป็นพลังงาน เป็นพลังงานทางฟิสิกส์
พอมาเป็นชีวะเป็น Bio มันก็เป็น พีชะบ้าง สัตว์บ้าง พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็แยกแยะให้ชัดเจนแล้วถ้าเข้าใจแล้วเราก็จะศึกษาจิตวิญญาณที่เป็นธาตรู้นี้ ถ้าจิตวิญญาณมีปัญญามีตัวรู้ ถ้าเผื่อมีธาตุรู้อย่างนี้แล้วเราจะเข้าใจมีรายละเอียดอย่างนี้ อาตมาอธิบายไปในรายละเอียดมากมายว่าพลังงานในระดับ พีชะ มันเป็นพลังงานที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ไม่มีบาปไม่มีบุญ เป็นพลังงานที่เป็นชีวะแล้ว พลังงานที่เป็นพลังงานอย่างนี้ในคนทำให้มีอย่างนี้ มันก็จะเป็นคนที่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์เป็นคนที่ไม่มีบาปไม่มีบุญ
พระอรหันต์ขึ้นไป (ไมค์ดังไป) ก็จะสามารถรู้จักพลังงานนี้ สามารถรู้จักพลังงานที่เป็น พีชะ ในจิตคนมีพลังงานที่สูงที่สามารถเรียนรู้พลังงานของจิตได้ แล้วก็จัดการเรียกว่าทำใจในใจ จัดการทำใจในใจของตนเองให้พลังงานจิต โดยมีความรู้ความสามารถเรียกว่ามี วสวัตตี เป็นผู้ที่ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ก็จะทำให้จิตใจตัวเองมีความเป็นพีชะ เป็นจิตใจที่ไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว จิตใจของผู้ที่ไม่สุขไม่ทุกข์แล้วจะมีปัญญา คนไม่สุขไม่ทุกข์เป็นคนที่มีความรู้รายละเอียดลึกซึ้งมากสูงสุดเป็นโลกุตระ เรียกว่าไม่สุขไม่ทุกข์
ผู้ที่มาศึกษาทุกข์ที่เป็นเหตุที่ทำให้คนทำเลวทำชั่ว คนที่รู้จักตัวเหตุที่ทำให้ทุกข์ มีความทุกข์ต้องหาเหตุที่มันทำให้ทุกข์ ฆ่าเหตุได้ก็จบ
นี่เป็นสุดยอดของจิตวิญญาณมนุษย์ ศาสนาพุทธจึงเอาทุกข์มาเป็นฐานของคนเจริญเรียกว่าเป็นทุกข์อริยสัจ เป็นความจริงของคนเจริญคนที่เป็นอาริยะ มาเรียนตรงนี้ มาเรียนตรงทุกข์นี้ หาเหตุแห่งทุกข์แล้วดับเหตุแห่งทุกข์ได้ก็จบ พอจบแล้วไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ก็รู้จักว่าทางนี้บาปหรือทางนี้บุญ จนเสร็จ ทำบาปดับหมดแล้ว บาปไม่มีอีกแล้วในตน ทำกิริยาไม่เกิดบาปอีกแล้วทำกรรมกิริยาก็เกิดแต่กุศลอย่างเดียวไม่มีอกุศลเกิดอีก เป็นคนจบเรียกว่าสัพพปาปัสสะอกระนัง กุสลัสสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง พระอรหันต์ทุกองค์ปฏิบัติได้ตรงนี้แล้วก็ถือว่า เสร็จไป คนที่ได้อย่างนี้แล้วก็เป็นคนในโลกอีก จะอยู่อีกสืบทอดศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นโพธิสัตว์สืบทอดไปอีกก็ดี ไม่สืบทอดชีวิตนี้คุณตายแล้วก็จะจบสลายธาตุเป็นอุตุ ก็มีความสามารถสลายจิตให้เป็นอุตุได้ ไม่จับตัวเป็นจิตนิยามอีกต่อไป ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่เป็นเจ้าของจิตวิญญาณ จะให้เกิดหรือ จะสลายจิตวิญญาณตัวเองไปเลย 0 ได้
ไม่มีพระเจ้ามาอยู่เหนือหัว ศาสนาพุทธไม่มีพระเจ้ามาอยู่เหนือหัว เป็นเจ้าของวิญญาณเอง จัดการให้จิตวิญญาณอยู่หรือเกิดหรือตายเอง จึงชัดเจนว่า อ้อ พระเจ้าจริงๆนี้เป็นของสมมุติ นึกว่าท่านเองเป็นผู้บังคับ แล้วผู้ที่รู้จักความจริงของจิตวิญญาณที่เป็นทาสจิตวิญญาณแท้อันเป็นเทวะ ตีเทวะไม่แตกรูปนามนี้ตีไม่แตกแยกไม่ออกโดยเฉพาะความสุขความทุกข์ โดยเฉพาะโลกียะกับโลกุตระ สองอย่างนี้เข้าใจไม่ได้ จึงจมอยู่กับโลกียะ เป็นโลกุตระไม่ได้ จึงจมอยู่กับสุข ต้องการสุขต้องมีสุข ทุกข์ไม่เอา ซึ่งความทุกข์กับความสุขนั้นมันแยกไม่ได้ มีความทุกข์คุณก็ต้องมีความสุข ศาสนาพุทธจึงชัดเจนไม่มีเทวะ ตีเทวะทิ้งสุขไม่มีทุกข์ไม่มีที่มันทั้งคู่ จึงกลายเป็นคนไม่มีสุขไม่มีทุกข์ อรหันต์ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เป็นคนไม่มีเทวะ อเทวะ นี่คือสัจจะที่อาตมาพยายามอาศัยพยัญชนะต่างๆมาขยายความให้ฟัง
นิมนต์ดื่มน้ำ
คุณปรารถนาจนถามมามันก็ละเลียดเกินไป เอาตามพอสมควร ไม่ต้องกังวลมากเกินไปหรอกมันมากไป จะโยนข้าวใส่น้ำ อาหารที่เหลือใส่น้ำให้ปลากินบ้างหรือจะไปโยนใส่ดิน ก็ไม่ต้องละเอียดละเลียดไปถึงปานนั้น เอาสิ่งที่มันปฏิบัติที่จะปฏิบัติตัวเองในศีลทีละคู่ เป็นเทวะ อันนี้เกี่ยวกับสัตว์ เกี่ยวกับสัตว์พวกนี้มันละเอียดมันละเลียดมากเกินไป เราเอง
อาตมาก็เคยพูดว่าสัตว์มันทำอย่างไร สัตว์มันก็อยู่ในโลกของสัตว์ ไปตามยถากรรม คุณโยนเศษอาหารลงในน้ำ สัตว์น้ำมันก็กินเป็นอาหาร เอามาทิ้งบนบก แบคทีเรียต่างๆอยู่บนบก มันก็รับไปบ้าง หรือไม่ก็เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารของพืชไป เป็นอาหารของดินไป เป็นอาหารของแบคทีเรีย มันก็เป็นไปตามของมัน จบ มันก็จบแล้วคุณไม่ต้องคิดต่ออะไรมันมากนักหรอก มันมากไปละเอียดไป คนที่ละเอียดจนกระทั่งต้องรู้มุมทุกอย่างให้จบเสียก่อนถึงจะยอมปฏิบัติธรรม เหมือนกับคนที่ถูกยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษเข้าถึงขั้วหัวใจเลยจะตายไม่ตายแหล่อยู่นี่ เขามีแต่คนที่เขาจะถอนลูกศรออกจากตัวเองให้ก่อนเดี๋ยวจะตายเสีย ก็ยังไม่ยอมให้ถอนยังตายไม่ได้ก็จะต้องรู้จักก่อนว่าคนที่ยิงมันชื่ออะไรมันมาจองเวรจองกรรม ทำไมเอาลูกศรทำด้วยไม้อะไรเอายาพิษอะไรมาอาบ จะต้องให้รู้ก่อน คุณก็ ซี้ก่อน คุณตายก่อนที่จะได้เรียนรู้ปฏิบัติก่อน มันไม่ถูกมันผิดขั้นตอนมันไม่ถูกเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายที่ควรจะทำมันมากไป
นี่ก็ให้ความรู้
_..จากลูกศีรษะอโศก กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพอย่างสูงยิ่ง
ขออนุญาตกราบเรียนเรื่องการต่อสู้ทำสงครามกับศีลข้อ 3 เพราะหมู่นี้ได้ข่าวว่าผู้หญิงอโศกไปแต่งงานหลายคน น่าเสียดายมาก จึงอยากจะแชร์ถึงการต่อสู้ของตัวเอง เผื่อจะมีประโยชน์กับผู้หญิงสูงวัย ลูกใช้หลักกระบวนการต่อสู้มีดังนี้ค่ะ
1 ถ้าผีเปรตราคะเกิด ให้วิ่งหาสิกขมาตุทุกครั้ง (ห้ามไปหาสมณะเด็ดขาด)
2 ต้องเปิดเผยกิเลสตัวเองให้ชาวชุมชนรู้ และให้เขาว่ากล่าวตักเตือนได้
3 ไม่ดูกระจกและไม่หลงตัวเองว่า สวย เก่ง ให้คิดว่าตัวเองแก่แล้วอยู่เสมอ
4 อย่าคิดว่าเขารักเรา เขาอาจทดสอบเราก็เป็นได้ ทุกอย่างเราคิดไปเองทั้งนั้น
(เหมือนหมาแทะกระดูกอร่อยน้ำลายตัวเอง) เป็นคำพูดพ่อท่านสอนไว้ สิกขมาตุบอกค่ะ
5 โกนผม ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ตัวเองขี้เหร่
พ่อครูว่า…อันนี้มันมากไปไม่ควรทำ
6 ถ้ามีผู้ชายร้องเพลงใกล้เรา ให้คิดสยองไว้ก่อน และหลีกให้ไกล
พ่อครูว่า…อันนี้จริงๆด้วยเพราะว่าเพลงในบรรดาที่แต่งกันในโลก มันเป็นเพลงประโลมโลกเสียเยอะ จะเป็นเพลงที่เป็นธรรมะเป็นโลกุตระมีน้อยมาก นอกนั้นมีแต่เพลงราคะกับลามก เพลงลามกมีไม่มากนอกนั้นเป็นเพลงราคะกับรามก รักกันไปรักกันมาอกหักกันไปอกหักกันมาสารพัดมีเยอะมาก ซึ่งมันก็เป็นสัจจะเพราะว่าคนเรามันทุกเรื่องโง่ๆ ราคะก็มีมาก เป็นเพลงที่บรรเทาโทสะก็มีบ้าง แต่มันไม่มากเท่ากับราคะ
7 ระวังผู้ชายที่มาบริการรับใช้ ทำดีเกินเหตุ ผู้ชายแบบนี้น่ากลัวมาก
8 อย่าพูดเล่นกับผู้ชายให้ทำหน้าดุๆไว้
9 อย่าทำเก่งอวดดีกว่าผู้ชาย ระวังจะโดนทดสอบ
10 เตือนผู้หญิงสูงวัยที่มีเด็กหนุ่มมาบริการรับใช้นานๆ ระวังจะขึ้นต้นงิ้วในวัยแก่
กราบขอคำชี้แนะจากพ่อท่านด้วยค่ะ…
พ่อครูว่า…ก็ระมัดระวังเรื่องนี้กัน นี่เป็นประเด็นต่างๆที่เขาพยายามปฏิบัติตนไม่ให้มันพลาดพลั้งไปเพิ่มกิเลส พยายามหาทางที่จะลดละกิเลสก็ดี คุณพูดมานี่ก็ดี 10 ข้อมันก็ดีพยายามทำให้ได้ ตั้งอกตั้งใจแต่อย่าไปเคร่งทำจนเกร็ง เดี๋ยวจะเข้าโรงพยาบาลประสาท มันจะแข็งทื่อเกร็งและระวังเกินไป ซึ่งเคยมีคนชาวอโศกเป็น
_จากเฮียฝน …ได้ฟังธรรมจากสิกขมาตุท่านหนึ่ง ความว่า ” การระลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ไม่สามารถลดกิเลสได้ เพราะไม่ได้ทำการปฏิบัติขณะกระทบผ้สสะ เป็นเพียงความจำหรือสัญญาเท่านั้น “..
-
คำสอนนี้ย้อนแย้งกับหลักของวิชชา 3 หรือไม่
-
ความจริง นปธ.ส่วนมากไม่สามารถมีสติอยู่ตลอดเวลาที่กระทบผัสสะ จึงต้องอาศัยการทบทวนแบบบุพเพนิวาสานุสติญาณเพื่อเตือนตน ตรวจสอบข้อบกพร่องของตน และปรับทิฐิให้ถูกตรง เมื่อกระทบผัสสะจะทำให้มีสติแววไว เเข็งแรง และสามารถลดกิเลสลงได้
-
ในขณะที่ระลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ก็เกิดอาการดูด-ผลักในจิต แล้วเราก็ทำการปฏิบัติลดกิเลสด้วยวิธีสมถะและวิปัสสนาฯ กิเลสก็ถูกลดทอนลงได้ด้วยจริงๆ กรรมสาม พัฒนาขึ้น แล้วทำไมถึงว่า ” การระลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา” ไม่สามารถลดกิเลสได้คะ?
พ่อครูว่า…คำถามนี้เป็นคำถามของผู้ศึกษาธรรมะที่ละเอียดดี ละเอียดมาก เพราะฉะนั้นตั้งใจฟังให้ดีๆ
ประเด็นแรกบอกว่าคำสอนนี้ เตวิชโช ย้อนแย้งกับหลักวิชา อาตมาบอกว่าต้องลดกิเลสมันมีในปัจจุบันเท่านั้น ไม่ใช่อาตมาพูดอะไรหรอก พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่ากิเลสมันมีในปัจจุบัน ปฏิบัติวิชชา 3 ไม่ใช่ปัจจุบัน เป็นบุพเพทั้งนั้น เป็นอดีตเสมอไม่ใช่ปัจจุบัน จึงไม่มีตัวกิเลสเกิดในวิชชา 3
ปฏิบัติธรรมกระทบผัสสะเป็นปัจจุบัน คุณจะจัดการกับกิเลสในปัจจุบัน แต่ถ้าคุณไม่ใช่คุณไประลึกอีกเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ ทบทวนด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ เป็นตัวหนึ่งในวิชาสาม มันไม่ใช่ตัวปัจจุบัน มันก็บอกอยู่ในตัวแล้วว่าเป็นบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ ก็บอกอยู่แล้วว่าระลึกถึงในอดีต ไม่ใช่ปัจจุบัน เสร็จแล้วเราก็จะตรวจสอบว่าที่เราได้ผ่านมา เป็นความจำที่เราได้ผ่านมาทั้งนั้น มันไม่ใช่ปัจจุบัน ตรวจสอบว่าเราได้ปฏิบัติธรรม อาสวะสิ้นไหม วิชชา 3 ความเกิดความดับของกิเลส กิเลสมันเกิดแล้วเราก็ทำให้มันดับได้ ดับได้อย่างถาวรจนไม่มีไม่เกิดเลยนะ ทบทวนทำแล้ว เวทนา 36 36 36 เป็นอดีต 36 ปัจจุบัน 36 อนาคต 36 กิเลสมันก็เป็น 0 อย่างเที่ยงแท้ เป็นนิจจัง ธุวัง สัสสตังเสมอ เป็นการตรวจสอบ
กิเลสไม่มีชีวิต ชีวิตินทรีย์ อดีตมันผ่านไปแล้วอนาคตก็ยังไม่มา ความจริงนั้นคืออยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น อดีตไม่ใช่ความจริง อนาคตไม่ใช่ความจริง ใครจะเถียงบ้าง ความจริงมันอยู่ที่ปัจจุบัน อดีตมันไม่มี มันผ่านไปแล้วเป็นอดีต เป็นความจริงที่ไหน มันมีแต่ความจำ คุณจำได้เท่านั้น แล้วก็นึกถึงสิ่งที่ผ่านไป มันไม่ใช่ความจริง
ความจริงอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น
ปุพพันเต เป็นอดีตไม่ใช่ปัจจุบัน การลดกิเลสต้องลดกิเลสที่เป็นปัจจุบัน มีในขณะปัจจุบันชาติ กิเลสมันเกิดในปัจจุบันชาติ ในกาละหนึ่ง ในทุกโลกที่เคลื่อนที่ เรียกว่า กาละ โลกส่วนที่หมุนไปตามวงโคจร หากโลกมันไม่เคลื่อนที่ มันก็กลายเป็นอุกกาบาต ไม่มีพลังงานในตัว ถ้ามันยังไม่เป็นอุกกาบาตมันก็จะมีพลังงานในตัว แล้วก็ปฏิสัมพัทธ์กับวงโคจร กับพลังงานที่มันร่วมในวงจรนั้นๆ
ความจริงๆมีในปัจจุบันชาติ ภาษาบาลีว่าทิฏฐกาลหรือทิฏฐธรรม ปัจจุบันชาติเท่านั้น นอกนั้นเป็นการทบทวนในสัญญาทั้งนั้นหรือในอนาคต ไม่ใช่ตัวกิเลสกำลังเกิดจริงๆ ไม่ใช่เลย กิเลสที่เกิดในปัจจุบันชาติมันไม่มี มีแต่ระลึกเอาความจำมารู้มาเรียนมาตรวจสอบอดีต หรือไปคิดเอาล่วงหน้าประเมินประมาณเอาไปในอนาคตว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เท่านั้นเอง
วิชชา 3 มีแต่อนาคตกับอดีต ไม่มีปัจจุบัน วิชชา 3 ก็เป็นการตรวจสอบเงินเราลงบัญชีว่าอะไรได้อะไรเสียเราหมดไปอะไรมีมาอะไรหมดไปอะไรมีมา จนกระทั่งสิ่งที่จะหมดไปก็ไม่ต้องหมดแล้ว มันหมดกิเลสที่จะต้องมีกิเลสมันก็ไม่มีอีกแล้วไม่ต้องล้างกิเลสอีกแล้ว มันจบแล้ว ถ้าคุณไม่มีกิเลสให้ล้าง คุณก็หมดบุญ
อันนี้แหละถ้าไม่มีอาตมามาเกิด ไม่มีใครมาขยายความเรื่องบุญอีกแล้ว ความหมายของบุญที่ลึกซึ้งถูกต้อง บุญไม่ใช่กุศล บุญมีหน้าที่ล้างกิเลส ฆ่ากิเลสไม่ทำหน้าที่อื่นอีกเลย คนที่จะทำพลังงานบุญเกิดได้ มีแต่คนของศาสนาพุทธเท่านั้นที่เป็นโลกุตรธรรม ศาสนาอื่นไม่รู้จักบุญทำไม่เป็น แม้แต่กิเลสเองก็ยังไม่เรียนรู้เลย ศาสนาพุทธเรียนรู้กิเลสแล้วสร้างพลังงานบุญขึ้นมาเพื่อกำจัดกิเลส
ในขณะที่สร้างพลังงานขึ้นมาได้ มันจะมีพลังงานเกิดขึ้นจริงในปัจจุบันเรียกว่า ฌาน เป็นพลังงานอุณหธาตุ ไฟที่สลายไฟ ราคะ โทสะ โมหะ ที่เป็นพลังงานอุณหธาตุเหมือนกันแต่พลังงานฌาน เกิดในปัจจุบันเท่านั้น แล้วต้องมีปัญญาจึงจะเกิดพลังงานฌาน
เมื่อทำพลังงานฌานในปัจจุบันไปสลายกิเลสได้สำเร็จ สลายกิเลสได้บ้างเรียกว่าส่วนแห่งบุญ สลายกิเลสออกได้หมดเรียกว่า กิเลสหมดสิ้นก็สิ้นอาสวะ บุญก็ไม่มี ฌานก็ไม่ต้องทำอีก เพราะฉะนั้นในปัจจุบันนี้ศาสนาพุทธไม่มีใครเข้าใจว่า ฌานคืออะไร เข้าใจว่าฌานคือไปสะกดจิตเพ่งสะกดจิตมีแต่ทำให้เย็น มันตรงกันข้ามกับไฟเลย ที่ไปทำกันทุกวันนี้ไม่ได้ทำฌาน แต่ทำเชยๆ ไม่ได้ทำฌาน มันคนละเรื่อง
ฌานนั้นคือพลังงานที่ร้อนแรงพลังงานที่เกิดในปัจจุบัน สร้างขึ้นมา ผู้ที่มีปัญญาจริงๆจึงสร้างพลังงานฌานได้สำเร็จ แล้วเอาไปจัดการกิเลส ฌาน สร้างได้สำเร็จเป็นพลังงานแท้ที่สลายกิเลสทำลายกิเลสได้ เมื่อทำพลังงานกิเลสให้สลายได้ตัวใด ฌานตัวนั่นก็คือบุญ
พอมันทำลายกิเลสหมดจากจิตวิญญาณ จิตวิญญาณสะอาดปราศจากกิเลสให้ต้องมาล้างอีก ไม่ต้องมี ฌานไม่ต้องมีบุญอีกเลย จิตคนนี้ก็เต็มไปด้วยความปกติ เต็มไปด้วยจิตที่ไม่ต้องสร้างพลังงานขึ้นมาจัดการกับกิเลสอีก ซึ่งจะต้องเสียเวลา ถ้าไม่ทำฌานไม่ทำบุญมากำจัดกิเลสให้หมดสิ้น กิเลส มันก็มาวุ่นวายกับจิตใจเราตลอดเวลา มีกิเลสมากก็วุ่นวายมาก สร้างบาปมากสร้างอกุศลมาก
คนนี่นะ คนเราน่าสงสารเพราะคนไม่รู้ เขาได้สร้างหนี้เขาได้สร้างบาปสร้างอกุศลให้ในจิตใจมันมีราคะโทสะโมหะอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าเขาไม่รู้ตัว คนที่ศึกษาเทวนิยม เขาก็อยากได้ความสุข ความสุขก็เป็นกิเลส เป็นตัวตน เขาไม่รู้จักภาวะสัจจะของพลังงานจิตที่เป็น 2 เป็นเทวดาเทวะแปลว่า 2 เทวฺ ที่แบ่งเอาไว้เรียกว่ามันกึ่งๆ มีตัว ทหารจริงไม่ทหารจริง ไม่แข็งแรงจริง เทวฺ ถ้าเราแข็งแรงจริงก็เขี่ย ท. ทิ้งไปเลย
ตกลง ศาสนาพุทธเอารู้ความเป็นเทวะรู้ความเป็นภาวะ 2 ของสัจธรรม ทั้งบวกและลบ เรียกทางวิทยาศาสตร์เป็นพลังงานบวกลบ หรือเป็นพลังงานอิตถีภาวะปุริสภาวะ พลังงานสุขพลังงานทุกข์ ศาสนาพุทธรู้ภาวะ 2 นี้ดีแล้วจัดการภาวะ 2 ให้เป็น 0
มีความรู้ที่จริงทำภาวะ 2 ให้เป็น 0 ได้สำเร็จ แล้วก็จึงเป็นคนที่ไม่มีเทวะไม่มี 0 ไม่มี 2 แต่คนเขามี 2 ยิ่งเทวนิยม ซ้อนตีไม่แตก เขาไม่รู้ว่าเขามีภาวะ 2 แต่เขาก็อยู่กับภาวะ 2 โดยหลงว่าเขาจะเอาแต่ความสุขเป็นความสุขนิยม เป็นศาสนาที่สุข เขาก็แก้ไขความสุขไม่ได้บอกว่าคนที่มีความสุขที่สุดคือพระเจ้า เป็นเจ้าของความสุข ใครอยากได้ความสุขก็ต้องอยู่กับพระเจ้าทำให้พระเจ้ารักพระเจ้าเป็นเจ้าของความสุข แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าความสุขคืออะไร
ศาสนาพุทธเอาความสุขมาเรียนรู้ นี่แหละหรือพระเจ้า ความสุขนี่แหละพระเจ้า ก็ต้องล้างเอาพระเจ้าออกไปจากจิตใจล้างเอาความสุขออกจากจิตใจหมดความสุขก็เลยหมดทุกข์
แต่พระพุทธเจ้าท่านฉลาดไม่เอาตัวสุขเพราะว่าตัวสุขคนมันลงไม่อยากจะร้าย ก็เลยให้มาเอาความทุกข์มันก็ตัวเดียวกันให้มันล้างความทุกข์เหตุแห่งทุกข์ แทนที่จะล้างความทุกข์เท่านั้นก็ล้างเหตุของความสุขนั้นเลย คนโง่ไม่รู้ว่าสังขารเป็นเหตุ ต้องเรียนรู้สังขาร คนโง่ต่อสังขารไม่รู้ว่ามันคือวิญญาณ ต้องเรียนรู้วิญญาณต่อ คนโง่ไม่รู้ว่าวิญญาณนี่แหละ เรียนได้นะ มันมีการเชื่อมต่ออายตนะ มันจะเชื่อมต่อได้มันต้องมีรูปนาม ในวิญญาณก็มีนามรูป เมื่อมีนามรูปกระทบกัน นามรูปมี 2 ตัวเป็นรูปหนึ่งนามหนึ่งเป็นเทวะ ก็จัดการเรียนรู้ให้รูปนามมันกระทบกันเป็นผัสสะ เพราะฉะนั้นนามรูป อายตนะ ผัสสะ สามเส้านี้คุณปฏิบัติธรรมจะขาด 3 อย่างนี้ไม่ได้
แล้วอายตนะจะเกิดได้ต่อเมื่อคุณมีรูปนามผัสสะกัน เมื่อไม่มีการผัสสะที่เป็นรูปนามไม่กระทบกันไม่มีอายตนะเกิดในโลก ผัสสะแล้วก็จะเกิดเวทนา มันก็คือตัวหนึ่งในวิญญาณนั่นแหละ แล้วไอ้เวทนาตัวนี้แหละมันเป็นตัวปลอม เมื่อมันแสดงตัวเป็นเวทนามันก็เป็น Dynamic เหมือนมันไม่แสดงตัวก็เหมือนไม่มีตัวตนเป็นอุปาทาน นิ่งหายตัวไม่กระดุกกระดิก คนไม่ศึกษาไม่รู้
ในเวทนานี้่มีตัณหา เป็นตัว Dynamic มีอุปาทานเป็นตัว Static อุปาทานเป็นรูป ตัณหาเป็นนาม เป็น Dynamic อุปาทานคือ Static คุณก็เรียนรู้ภาวะคู่นี้แตกภาวะ 2 นี้ออก ก็จะรู้ตัวที่มันเป็นลักษณะไหนมีอาการ ลิงค นิมิต ให้เรารู้โดยคุณศึกษาจากผู้รู้ที่อธิบายให้ฟังเรียกว่า อุเทส อย่างอาตมาแสดงให้คุณฟังแล้วคุณก็ไปจับอ่านอาการ ลิงคะ เพศของมันแตกต่างกัน มีสองชนิด เป็นบวกเป็นลบ อิตถีภาวะปุริสภาวะ ก็เรียนรู้ทำให้อาการมันเป็นหนึ่งทำให้เป็นหนึ่งได้มันก็ลดสุขลดทุกข์ไปส่วนหนึ่ง
ถ้าสามารถควบคุมอาการนี้ได้ ถ้าคุณอยู่คุณก็ต้องมีคุณต้องอาศัย อาศัยอย่างรู้ด้วยปัญญา ว่ามันจะต้องมีอาการอย่างนี้แหละ เป็นอาการที่คุณจะต้องอาศัยมัน คุณจะเรียกสุขเรียกความทุกข์ เรียกความชอบความชัง คุณจะเรียกเป็น 2 อย่าง สุขก็คือชอบ ทุกข์คือชัง ถ้าคุณเข้าใจธรรมดาธรรมชาติว่ามันยังมีชีวิตมันก็ต้องเกิดเป็นธรรมดา มันจะเกิดเป็นลักษณะความผลักความดูด คุณก็ต้องเข้าใจให้ได้ว่ามันต้องอาศัยกัน จะว่าความดูดมันก็ต้องทำงานด้วยกันบ้าง ไม่ต้องไปผลักมันเกินไป แล้วอะไรมันมากเกินไปก็อย่าให้มันมารวมกันเกินไปต้องขจัดมันออกไปบ้าง คุณจะต้องมีพลังงานของปัญญาของจิตใจรู้ว่าอะไรไม่ควรจะมาก มากแค่นี้ก็พอแล้ว คุณก็จะรู้ว่าสิ่งที่เราอาศัยไม่มาก ยิ่งกว่ายอดหญ้ายอดหนึ่ง
สิ่งที่เราต้องการนั้น
มันไม่ใหญ่โต
อัครฐาน อะไรดอก !
ชีวิตง่ายๆ ถูกๆ ขยันๆ
รู้จักพอดี
มีความซื่อสัตย์ มีเมตตา
เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นเสมอๆ
ชีวิตเหมือนดอกหญ้า
แต่มันใหญ่ยิ่ง
เป็นมหาพลังเย็นโอบอุ้มโลก
เราก็จะมารู้ความจริงของชีวิตชีวะ ชีวิตนี้ถ้าจะให้มันยังอยู่ก็มีอาหาร กวฬิงการาหาร เสร็จแล้วก็อยู่กับผัสสะ มโนสัญเจตนา อาหาร 4 แล้วคุณจะรู้เท่าทันว่า ผัสสะมันก็จะเกิดรูปนาม มีเจตนา
รูป ก็มีให้ศึกษา รูป 28 นามก็มี 5 ให้ศึกษา เวทนาสัญญาเจตนาผัสสะมนสิการ
คุณไม่มีผัสสะก็จะทำใจในใจไม่ได้ เพราะว่าจะโมเมมันไม่จริง เมื่อมีผัสสะคุณจึงจะทำใจในใจได้คุณต้องเรียนรู้โดยมีปัญญามีธาตุรู้ ในรูปของคุณ จัดการกับรูป 28
เริ่มตั้งแต่ดินน้ำไฟลมมหาภูตรูป 4 แล้วคุณก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คุณก็จะต้องมารู้ใน ปสาทรูป 5 และมโนเป็น 6 มโน เป็นตัวกลางที่มันจะรู้ โผฏฐัพพารมย์ ตาก็คือโผฏฐัพพารมย์ หูก็คือโผฏฐัพพารมย์ ในผัสสะนอก 5 เป็นปสาทรูปที่คุณจะต้องมาเรียนรู้ แล้วก็ดำเนินต่อไปเป็น วิสยรูป โคจรรูป จะจัดการทำงานร่วมกันไม่มีผัสสะคุณเรียนรู้จิตในจิตทำจิตในจิตไม่ได้มนสิการไม่ได้ ไม่มีโยนิโสมนสิการ หรือทำใจในใจไม่เป็น เพราะฉะนั้นผู้ที่ไปเรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วไม่มีผัสสะ โมฆะจากศาสนาพุทธ ศึกษาให้ดีๆ พวกที่ไปหลับตาไม่มีผัสสะทั้งภายนอกและภายในไม่มีกาย มันจะต้องมีกาย ไม่อย่างนั้นคุณจะเรียนรู้องค์ประกอบ องค์ประชุมที่เกิดกิเลสเรียกว่า กายกลิไม่ได้ แล้วจะศึกษา กายปัสสัทธิ กายปาคุญญตา กายกัมมัญญตา คุณทำไม่ได้ จะต้องมีกายตลอดเลย กายแปลว่ารูปกับนามแล้วไปเน้นที่่นาม จิต มโน วิญญาณ
กายนี้ตถาคตเรียกว่าจิต มโน วิญญาณ ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 230 คุณไปอ่านแล้วคุณจะงงเลย ทำไมพระพุทธเจ้าพูดผิดได้ กายคือจิต มโน วิญญาณได้อย่างไร ใช่ไหม ถ้าอาตมาไม่เอาเรื่องนี้มาพูด มันก็จะอยู่ในแต่พระไตรปิฎก แล้วเขาจะอ่านผ่านไปเฉยๆไม่รู้สึกสะดุดอะไร อาตมาก็เอามาขยายความว่านี่แหละคือตัวสำคัญ คำว่า กาย ก็เข้าใจไม่ได้แล้วคำว่ากายพระพุทธเจ้าเน้นที่จิต มโน วิญญาณ ไม่ได้เน้นที่ร่างข้างนอกสรีระ
สรีระจะต้องไปกังวลอะไรกับมันมากเลย มันมีเหตุปัจจัยวัตถุเลี้ยงมันไว้ ให้มันได้ทุกสัดส่วนมันก็อยู่ไปได้ดี มันมีโรคมีภัยก็ปรับให้มันหายจะไปยากอะไร แต่จิตใจนี่สิมันยุ่งมาก ศึกษาตัวนี้ มีกิเลสที่เป็นตัว กายกลินี่
เพราะฉะนั้นในคำว่ากาย ไปเปิดในพจนานุกรมภาษาบาลี คำว่ากายมีละเอียดตั้งเยอะแยะ คำว่า กายนี่แหละ
นิมนต์จิบน้ำ
พ่อครูว่า..ในนาม 5 ถ้าคุณไม่มีผัสสะก็ทำการมนสิการไม่ได้ คุณจะต้องมี เวทนาสัญญาเจตนา แล้วตัวเจตนาเป็นตัวสำคัญเป็นมโนสัญเจตนา เจตนาก็มี กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา มโนสัญเจตนา 3 คุณต้องทำให้เป็นวิภวตัณหาให้ได้ เป็นพยัญชนะที่มาบอกสภาวะที่สัมพันธ์กันหมด เป็นจิ๊กซอของธรรมะ คนรู้แล้วก็จะเอามาต่อได้ทุกมุม หากคนไม่รู้ก็ต่อไม่ได้ต่อแล้วเละเลย เป็นรูปอะไรไม่ได้ เมื่อรู้แล้วก็ต่อได้เป็นรูปที่ต้องการเลย
ถามสด
_พลังเพ็ญ…มันจะมีตัวอสุรกายคือกลัว แม้แต่จะถามประเด็นก็จะรู้สึกว่ามันไม่กล้า ใจมันก็จะเต้น ตอนนี้ก็เป็น แม้แต่เวลาที่พูดกิจกรรมทำวัตรเช้ากับสมณะ ก็จะรู้สึกมันจะมีอาการไม่กล้า มันกลัวๆ หรือแม้แต่ที่เราดูคลิป วินมอเตอร์ไซค์ตีกัน มันจะรู้สึกกลัว ก็เลยอยากจะถาม พ่อครูว่า…เราจะทำอย่างไรจิตใจเราให้ไม่มีสภาวะอย่างนี้
พ่อครูว่า…ก็ต้องทำปัญญาให้แจ้ง ทำปัญญาทำความรู้ให้ชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้ ที่เราจะสัมผัส มันก็จะเกิดให้เรารู้หยาบกลางละเอียด เลวหรือดี มันจะต้องมี คุณหลีกหนีไม่พ้น คุณต้องเข้าใจประเด็นนี้ให้ชัดเจน ว่าทุกอย่างที่จะต้องผัสสะทุกอย่างจะเกิด เกิดเลวร้าย ยังไม่น่าจะเกิด คุณจะใจสั่นแรงด้วย เกิดอย่างมากมายเกิดจากกลางบ้าง คุณจะแรงหรือใจสั่นน้อยลง หรือเกิดเบาๆก็ใจสั่นน้อย
คุณต้องรู้ว่ามันจะไม่ให้เกิดอย่างที่ใจคุณไม่อยากให้เกิดทุกอย่างไม่ได้ มันจะต้องเกิดและอยู่กันอย่างสมดุล เรายังมีชีวะ เรายังมีธาตุรู้เรายังอาศัยอยู่ในโลก เราก็จะประสบกับสิ่งที่มันเกิด ยิ่งในยุคกาลนี้ความรุนแรงเลวร้ายมันมีเยอะ คุณจะหลีกเลี่ยงได้ก็ได้พอสมควร แต่หลีกเลี่ยงไม่พ้นก็มี เมืองไทยยังดีหลีกเลี่ยงได้พอสมควรเลย ภาวะที่เลวร้ายเพราะมีตัวเหี้ยมๆ ได้มาสร้างภาวะในเมืองไทยอันต้องถูกขจัดออกไป ถูกขจัดออกไปยังไม่พอยังออกฤทธิ์มาให้มีนอมินี สุดท้ายท้าทายให้นอมินีเป็นผู้ชายยังไม่พอ ให้ผู้หญิงมาเป็นนอมินี พยายามจะอวดเก่งอวดฤทธิ์เดช ก็ถูกประชาชนคนไทยขจัดออกไปจนสิ้นได้ นี่เป็นสภาวะจริงที่เกิดในเมืองไทย
สภาวะที่ถูกขจัดออกไป ขอยืนยันว่าไม่ได้ถูกยึดอำนาจจากทหาร เอาละ ทักษิณอาจจะใช่ ว่า ถูกยึดอำนาจจากทหาร โดยพลเอกสนธิ ต้องมายึดอำนาจ นอกนั้นนอมินีเป็นประชาชนทั้งนั้นเลย สมัคร ยิ่งลักษณ์ สมชาย แต่ที่พลเอกสนธิไปทำนั่นก็ชัดเจนจริงๆ จริงๆแล้ว ผู้ที่ไปชุมนุมประท้วงได้ไปประท้วงแล้ว พลเอกสนธิจึงได้ออกมายึดอำนาจ หมายความว่าเหมือนกันคล้ายๆกันกับพลเอกประยุทธ์ แต่ว่าพลเอกสนธิทำนั้นยังไม่สุกงอม มันก็เลยเป็นอย่างนั้นแต่อย่างนั้นประชาชนก็ยังพอใจ เพราะว่าต้องขจัดเพราะคนนี้ที่มัน เหี้ยมจริงๆ ทั้งรูปและนาม เหี้ยม
พอเหตุการณ์มันได้คลี่คลายดีขึ้น ก็เกิดสภาพต่อมา ก็เหลือนอมินี เพราะว่าเจ้าอำนาจใหญ่คือทักษิณไม่ยอมปล่อยมือ เพราะฉะนั้นคนไทยไม่อยากได้อำนาจชนิดนี้เลย ทักษิณก็ยังมาต่อสืบทอดอำนาจตัวเอง ถ่ายทอดให้แก่สมัครมาทำ ประชาชนก็ทำเองเลยตอนนี้ไม่ใช่ให้ทหารออกมาทำ ประชาชนมาขับไล่ ชนะ ต้องเลิก เป็นเหตุการณ์น่ะว่าจะต้องออกไปเพราะว่าศาลตัดสิน ไปหาเงินทองค้าขายผิดกฎหมายอะไรก็แล้วแต่มันก็เป็นเหตุปัจจัยที่เขาต้องหลุดไป ก็ยังส่งนอมินีเป็นสมชายมาอีก ก็ไม่ได้เข้าทำเนียบเลย เป็นนายกฯคนเดียวของไทยที่เป็นนายกฯแล้วไม่ได้เข้าทำเนียบเลย เป็นสัมภเวสีอยู่ภายนอกทำเนียบ
เสร็จแล้วก็แพ้อีกเลิกไปได้ ยังไม่พอ มาเลือกตั้งใหม่ ขุดมาจากไหนไม่รู้เป็นผู้หญิงด้วยในประเทศไทย 49 วันมาให้เลือกตั้งยิ่งกว่าเสาไฟฟ้าอีกเลือกได้อีก มาเป็นนายกฯอีก เป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่ยิ่งกว่า Animal Farm อาตมามองนะ มันยิ่งกว่าหมูตัวใหญ่ยิ่งกว่านโปเลียนตัวใหม่
พอมาถึงสุดท้ายเป็นผู้หญิงด้วย ธรรมดาแล้วผู้หญิงมาเป็นนายของประเทศ มันไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นประเทศอื่นจะมีผู้หญิงเป็นนายก็เป็นไปตามประสาแต่ในโลกุตรธรรมโดยสัจจะแล้วผู้ชายต้องเป็นผู้นำ ผู้หญิงเป็นผู้นำนั้นมันผิด เพราะฉะนั้นโลกมันผิดสภาวะไปให้ผู้หญิงขึ้นมานำ เขาแสดงฤทธิ์เดชจนกระทั่งเอาอำนาจแล้วจะเอาผู้หญิงขึ้นมาทำไม เลยมาแสดง คอ-นก-รีต ประเทศซิดนีย์ อะไรใหญ่โตมโหฬาร จังหวัดหาดใหญ่อะไรก็ตาม ว่ากันเละเทะ เสร็จแล้วก็สร้างหนี้เอาไว้ไม่รู้กี่แสนล้านให้แก่ประเทศ ทุกวันนี้ก็งอมพระรามอยู่เพราะว่าขี้ไว้ให้เช็ด คนนี้มันแย่ เสร็จแล้วพวกที่ไม่รู้เรื่องโง่งมงายก็ยังศรัทธาเลื่อมใส แบบนี้ ทิฏฐิอย่างนี้เรียกว่า ทักษิโณมิก ลัทธิทักษิณ เขาก็ยังงมงายหลงใหลอยู่ ถึงล้างคนโง่ออกไปจากสังคมมนุษยชาติได้ยาก
จนกระทั่งสุดท้ายขณะนี้เมืองไทยมีภาวะของสงครามสังคม สงครามประชาธิปไตยอย่างสวยงาม ถึงว่าจะมี Error มีการยิงบ้างเพราะว่าอำนาจบาตรใหญ่ของเขามี มีฆ่ากันตายบ้างแต่มันไม่เกิดการจราจลที่ต้องตายเป็นเบือเหมือนกับทางประเทศเขา ต่างประเทศเขายังไม่จบด้วยแต่ประเทศไทยจบได้ จบแล้วนะ ไทยเป็นประชาธิปไตยที่ดีมากแล้ว คนก็มายกอ้างว่าประชาธิปไตยต้องคือประชาชนไปเลือกตั้งนั้นมันเป็นพิธีการอันเล็กน้อย ประชาธิปไตยคือประชาชนนี้มีประชาชนเป็นอำนาจ ประชาชนมีอิสระ ประชาชนนี้ผู้บริหารปกครองไม่เอาอำนาจอัตตามาเป็นใหญ่ หรือผู้บริหารปกครองคือผู้เสียสละทำงานหนัก เพราะฉะนั้นผู้ที่บริหารปกครองทุกวันนี้ทำงานหนัก แต่พวกที่เห่าอยู่อย่างนั้น อะไรต่างๆนานาไม่รู้เรื่องอะไรยกตัวอย่างง่ายๆเลยพวกนี้ดำน้ำพูด เศรษฐกิจเมืองไทยล้มเหลว ปัดโธ่เอ้ย! สำนัก Bloomberg เขาก็บอกว่าเศรษฐกิจไทยดีขึ้นมาเท่านั้นเท่านี้เขาตรวจสถิติแล้วก็ไม่ฟัง มัวแต่จะดำน้ำพูดถล่มทลาย เพราะว่าคนมันโง่เยอะ คนที่เขาฉลาดเขารู้หมดแล้ว เขาก็ใส่ข้อความไปใน Fake News เป็นข่าวตอแหลทุกวันแล้วก็ใช้สื่อสาร เดี๋ยวนี้เขามีสื่อสารที่รวดเร็วแล้วก็ขยันทำมากมันก็เลยได้ผล คนที่เขาไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรือจะมาเอาชนะอะไร ไม่ต้องการเมาสังคมเขาก็ทำมาหากินอยู่ เขาก็ไม่มานั่งทำอย่างนี้พวกที่กะเหี้ยนกะหือรือก็นั่งทำอย่างนี้แล้วเป็นภาวะเหมือนมากเด่น แต่แท้จริงกลุ่มก็มีนิดเดียว แล้วมันไม่หายไปหมดหรอกอย่าไปกังวลพวกปากหมูปากหมา พวกนี้ปล่อยให้มันเห่าไป สักวันก็จะอาเจียนเป็นโลหิตเหมือนจิวยี่เอง จริง ปล่อยให้เขาเอาไปเราก็ทำงานไปเถอะ อย่าไปกังวล ก็ฟังบ้าง ฟังดูว่าอะไรที่เขาถ้าเขาเตือนสติ เราก็เอามาจัดการแก้ไขปรับปรุงให้เป็นประโยชน์เท่านั้นพอแล้ว นอกนั้นอย่าไปนำพาอะไรมากมาย อย่ามาเอาให้เสียอารมณ์เสียเวลา เป็นแต่เพียงว่า ถ้าพวกเอ็งเข้ามาเราก็จะคัดเลือกเอาทองคำในกองขี้ เขาเอามามีแต่กองขี้ ลองร่อนหาทองคำที่มีเศษบ้างเราก็มาร่อนเอา
คนเราจะพูดจะขัดแย้งอะไรกับใครมันต้องหาประเด็นที่ดีๆมาไว้ใส่เสมอ คนจะไปค้านแย้งคนนั้นคนนี้ต้องหาประเด็นที่ดี บางทีเป็นประเด็นที่ตอแหลเอามาใส่ให้คนหลงได้ง่าย คนไม่รู้ทันก็ไปหลงลม จริงๆแล้วประเทศไทยทุกวันนี้ดีมาก สงบ เรียบร้อย ราบรื่น ง่ายงาม เป็นสังคมประชาธิปไตยที่ดีที่สุดแล้ว สรุปแค่นี้ก่อน นอกนั้นเป็นเหตุการณ์ธรรมดาที่จะต้องมีสิ่งที่เป็นตัวภาวะ 2 มีตัวที่ค้านแย้งให้รู้ความขาว ต้องมีเศษความดำนิดหน่อย เป็นฝุ่นเล็กๆน้อยๆ
_โยมมุ่ง อยู่ชมร. เที่ยวก่อนพวกดิฉันไปกราบพ่อท่าน พ่อท่านให้กลับมาที่เดิมแต่แม่ครัวเขามมีสองคน เขาอยากให้กลับมาที่ใหม่ให้ใหญ่เท่าเดิม ที่เดิมมันใหญ่เกินไป เขาจะให้ใหญ่มากขึ้นแต่คนเก็บหางไม่ไหว
พ่อครูว่า…ให้เขาเรียบร้อยเรื่องราวเสียก่อน เขาอยากทำใหญ่ก็ให้เขาทำ คนทำไม่ไหวก็ถอยออกมาจะไปแบกเขาทำไม คนที่กำลังพูดอยู่นี้แบกทั้งนั้น มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยเขาอยากใหญ่ก็ให้เขาใหญ่ไปสิ เขาก็เมื่อยเขาก็แบกเราก็ทำเท่าที่เราทำได้
_ฟ้ารัก ..จากการที่ได้อ่าน หนังสือคนจะมีธรรมะได้อย่างไรในหน้า 258 พ่อครูได้เขียน พ่อครูได้ยก คำตรัสของพระพุทธเจ้ายกข้อ 230 กับ 231 ล.16
ข้อ[๒๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอาร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต ๔ นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่จะเข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปีบ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ
[๒๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป แม้ฉันใด ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ก็ฉันนั้นแล ฯ
พ่อครูว่า…สรุปให้ฟังก่อนว่า คำตรัสทั้งหมดนั้นย่อลงที่ว่าอยู่ที่ กรรมกับกาละ เกิดต่อเนื่องกันไปเหมือนกับลิงโหนต้นไม้มีแต่ อิทัปปัจจยตา กลางวันกลางคืนก็ไหลเลื่อนกันไปเหมือนกับลิงเกาะกิ่งไม้โน้นไปกิ่งไม้นี้ แต่ลิงมันกลับวนมาเท่านั้นเอง แต่กาละหรือวาระมันไม่วน มันวนเหมือนกันในกรอบของแต่ละกรอบเรียกว่ากัป
ถ้าเราจะไม่ศึกษาตรงไปเลยนะคือคนรู้จักแล้ว คนเข้าใจความจริงว่าทุกอย่างนี้เป็น กรรมกับกาละ
แต่คนที่ไม่เข้าใจว่ามันวนกลับมานั่นคือจิตใจคุณเองที่มันยึด จิตใจคุณเองที่ควรยึดถือว่าทุกอย่างมันมี 1 และมี 2 มันก็เลยโค้ง ถ้าคุณมีแต่ 1 1 1 1 1 1 ไปสุดท้ายจริงๆ มันคือ 0 มันไม่มี 2 หรอก
สรุปแล้วในที่สุดทั้งหมดนั้น อาตมาสรุปว่ามีแต่กรรมกับกาละเท่านั้น กาละคุณไปทำอะไรมันไม่ได้ มันคือวัตถุมันคือมหาจักรวาล มันคือสิ่งที่เคลื่อนไปแล้วก็เคลื่อนไป กรรมของเราต่างหากที่มันมีส่วนโค้ง กรรมของเราเป็นตัววน พระอรหันต์เห็นความวนแล้วก็เลิกความวนและมีแต่ความตรง พระอรหันต์ก็จบ มีแต่ความตรงอยู่ในโลกคือสมมุติ ท่านก็อยู่กับความตรง ก็เดินไปเดินทางไปกลับ กาละ กรรมก็จัดการกรรมของเรา ให้มันอยู่ได้สัดส่วนที่ดีสมดุลหรือว่าเป็นกลางหรือว่าเป็นภาวะที่ไม่ทุกข์ไม่สุข ก็จัดการอย่างนี้ได้ คุณยังมีคุณต้องมี 2
ถ้าคุณไปยึดถือความสุขความทุกข์คุณก็มี 2 ถ้าไม่ยึดถือความสุขความทุกข์ไม่ต้องมีผลักไม่ต้องมีดูดไม่ต้องมีบวกมีลบ ถ้ายังมีมันก็ต้องมี 2 เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องติดใจว่า 2 เราก็หนึ่งเดียว พอเจอความทุกข์ก็อยู่กับมันความทุกข์ พอเจอความสุขก็อยู่กับมันความสุข แล้วมีทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป เมื่อคุณเข้าใจแล้ว อ๋อ.. พระอรหันต์ทุกองค์ต่างก็พูดว่ามีแต่ความทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ความทุกข์คือสิ่งที่ตั้งอยู่ไม่ได้ สุดท้ายก็มีแต่ 0 มันก็เป็นอนัตตา มันก็จะสลายมันก็จะไม่มีตัวตน
แต่ตอนนี้มันยังมีเราก็อยู่กันอย่างมีเหตุปัจจัยอะไรที่ควรจะอยู่อย่างพอดี สังคมของชาวอโศกเป็นสังคมที่รู้จักความพอดีความพอเพียง ความพอเหมาะ หรือมีความพอเพียง ตัวต้นทางที่สุดคือความพอ ถ้าคนที่ไม่มีความพอ เข้ามาอยู่ในอโศกนี้ไม่ค่อยติด อยู่ไม่ติดหรอก ถ้าใครมีความพอแล้วมาอยู่กับหมู่ชนชาวอโศกจะอยู่ติด ขอยืนยัน คนที่ยังไม่มีความพออยู่กับอโศกไม่ติดหรอก แม้เขามีวัตถุเยอะ จิตใจของเขาก็ดิ้นรน เขาไม่ลำบากในวัตถุเลย แต่จิตใจของเขาก็อยู่กับอโศกไม่ติด
เพราะฉะนั้น ถ้าจิตสิ พอ จิตไม่ดิ้น แม้ไม่มีวัตถุ ก็อยู่สบาย ยิ่งมีวัตถุแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องดิ้น เมื่อไม่ดิ้นวัตถุก็ไม่ต้องใช้มาก เมื่อไม่ใช้มากมันก็จะเกิดปัญญาว่า แล้วเราจะสะสมไปหาอะไร มันจะมีปัญญา คนจะมีปัญญาจะเห็นเลยว่า กูแบกสะสมเอาไว้ทำไม ก็เอามาทำประโยชน์โดยหลักเศรษฐศาสตร์
ธนบัตร ก็คือกระดาษชำระ หนี้ได้ตามกฏหมาย
เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่ามันไม่เคลื่อนที่ไปจากตรงนี้แล้วมันมีราคา 1 บาท มันมีราคา 10 บาทตามตัวเลขที่กำหนดไว้ มันก็ต้องใช้ตามตัวเลขที่กำหนดไว้ มีราคาหนึ่งมีราคา 10 ราคา 100 ราคา 1,000 บาท ตามที่เขากำหนด ถ้ามันไม่เคลื่อนที่มันก็คือกระดาษชำระ
_ฟ้ารักว่า…จากที่พ่อครูอธิบาย พ่อครูบอกว่า ความจริงอันยิ่งใหญ่สุดประเสริฐ อริยสัจ 4 เธอไม่ได้ฟังเรื่องทุกข์สมุทัยนิโรธมรรค ซึ่งเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดประเสริฐจริงๆสำหรับความเป็นคน เพราะคนนั้นจะไม่เบื่อหน่ายไม่คลายกำหนัดไม่หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย ภาวะจิต เป็นต้นนี้อันปุถุชนไม่ได้สดับรวบรัดไว้ด้วยตัณหายึดถือไว้ด้วยทิฏฐิว่านั่นของเรานั่นเป็นเรา นั่นก็คือตัณหาและทิฏฐินี้เองที่ทำให้คนยึดถือจิต ว่าเป็นของเราเป็นเรา ตัณหาคือความอยากไม่ว่าอยากได้หรืออยากทำลายทำร้าย มันต้องได้อย่างนั้น อย่างไรอย่างไรต้องได้ผิดเลวร้ายอำมหิตก็ช่าง ทิฐิหรือความเห็นความรู้ความเชื่อเป็นความยึดถือที่คนเข้าใจรู้อย่างนั้นเมื่อยึดมั่นในตัณหาหรือทิฏฐิก็เอาตามนั้น สุดฤทธิ์สุดแรงเอาจนได้ร้ายเลวฆ่าแกงแรงอำมหิตขนาดไหน ไม่แคร์ทั้งนั้น นี่คือต้องเป็นเราต้องเป็นของเราล่ะ
อันนี้คือที่พ่อครูเขียน ฟ้ารักต่อติดจากที่พ่อครูอธิบาย
พ่อครูว่า…อาตมาเอาของพระพุทธเจ้ามาอธิบาย แต่คุณมีปัญญาเข้าใจได้ก็อนุโมทนาด้วย
_เมื่อไหร่ถึงจะรู้ว่าไม่ต้องเตวิชโช เมื่อเราล้างกิเลสหมดก็ไม่ต้องเตวิชโชใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…เตวิชโช คือวิทยาศาสตร์ มันไม่ใช่ปัจจุบัน มันพิจารณาในอดีตและก็คิดไปในอนาคตเท่านั้นมันไม่ใช่ปัจจุบัน กิเลสนี่มันจะเกิด มันจะเกิดในปัจจุบัน เป็นความจริงๆ ความจริงมีในปัจจุบัน อดีตก็ไม่ใช่ความจริงอนาคตก็ไม่ใช่ความจริง ความจริงมีในปัจจุบันชาติ เรียกว่า ทิฏฐกาละหรือทิฏฐธรรม นอกนั้นทบทวนสัญญาทั้งนั้น มันไม่ใช่ตัวกิเลสกำลังเกิดอยู่ในขณะปัจจุบันชาตินั้น อดีตหรืออนาคต คุณจะนั่งหลับตาทำมันก็ไม่เจอตัวกิเลสจริงคุณแค่ทบทวน กิเลสมันเกิดไปแล้วคุณจะนึกถึงกิเลสตัวไหนก็แล้วแต่ ที่คุณเองจะล้างกิเลสว่าอย่างนั้นนะ คุณก็นึกถึงความจำใช่ไหม ปัจจุบันนี้คุณไม่มีกิเลสมาสัมผัส คนไม่มีทวารสัมผัส ไม่ได้ตื่นมาสัมผัสแล้วเกิดกิเลสในขณะนี้ คุณไม่มีใช่ไหม คุณนั่งหลับตาคุณไม่มีผัสสะภายนอก แล้วชีวิตของคุณจริงๆคุณอยู่กับหลับหรือคุณอยู่กับความตื่น คุณจะทุกข์หรือสุขขึ้นอยู่กับความตื่นมากกว่าความหลับ คุณอยู่กับความหลับมันจะทุกข์จะสุขคุณก็ทำอะไรมันไม่ได้คุณจะทำอะไรมันได้คุณจะต้องตื่นมีผัสสะ คุณไปงมงายนั่งหลับตาปฏิบัตินั้นคุณโมฆะคุณต้องแก้ไขกิเลสตอนตื่น
การไปนั่งหลับตาปฏิบัตินั้นไม่มีปัจจุบัน มันเป็นในภพในชาติเป็นอดีตอนาคตเท่านั้น มีแต่การระลึกถึงเอาความจำมาตรวจสอบ นี่คือเตวิชโช เป็นวิชชา 3 เป็นอดีตอนาคตที่คุณฟุ้งซ่านเอามาคิดพิจารณาเท่านั้น ไม่มีปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ในการทำเตวิชโชเหมือนคุณไปขายของมาแล้ว เสร็จแล้วคุณก็มาลงบัญชี ว่าวันนี้มีของอะไรเราขายไปได้เท่าไหร่ ขาดทุนเท่าไหร่กำไรเท่าไหร่ ได้มาเท่าไหร่มาลงบัญชีเท่านั้น มันไม่ได้มีการค้าจริงกันเลย
คุณเอาการค้าที่ผ่านมามาทบทวน บุพเพ ก็บอกอดีต บุพเพนิวาสานุสติญาณ กับจุตูปปาตญาณ เราได้ทำให้ความดับอะไรเกิดในปัจจุบัน คุณก็เอามาทบทวนเมื่อผ่านไปแล้วมันเกิดกิเลสอะไรเราจับกิเลสๆแล้วเราล้างกิเลสมันเกิดเท่านั้นและทำให้กิเลสลดอย่างไร อะไรมันเกิดมันดับคุณก็มาทบทวนจาก บุพเพ
จุตูปปาตญาณคือญาณตรวจสอบของบุพเพ ไม่ใช่ของปัจจุบัน
คนที่ทำไปเรื่อยไม่ได้ทบทวนตัวเองเลย แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณจะจบเมื่อไหร่คุณจะหมดเมื่อไหร่จะเสร็จ คืออะไรที่เรามีเราได้ล้างหรือมันหมดหรือยัง อาสวะเหลือหรือไม่ หยาบกลางละเอียดคุณก็ไม่รู้เลยคุณจะมาทำอะไรมาเป็นอะไรมันไม่มีถ้าเลยไม่มีอะไรเป็นต้นกลางปลายไม่มีอะไรมีมากมีน้อยไม่มีอะไรเหลือมันไม่มีเลย คุณเป็นคนไม่มีอะไรรู้เรื่องอะไรเลยเหมือนคนบ้า คนที่เบลอๆ ฟังเข้าใจไหม เพราะฉะนั้นมันต้องมีจังหวะมันต้องมีเหตุปัจจัยมันต้องมีความ หยาบ กลางละเอียดมีธาตุรู้ที่เรารู้ว่าตรงตามเป้าหมายไหมคุณต้องการอะไรคุณต้องการทำอะไร ในศาสนาพุทธนั้นเกี่ยวกับที่คุณจะต้องทำงานเลี้ยงชีพไม่เกี่ยวกับการที่คุณต้องทำกรรมกิริยาทุกอย่าง คุณเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้นอกจากการทำงานอาชีพไม่ได้นอกจากการมีกรรมกิริยากายวาจาใจกัมมันตะ ไม่นอกจากการพูดไม่นอกจากการคิดสี่อย่างนี้ อาชีวะ กัมมันตะ ว่าจะ สังกัปปะ ไม่นอกจากนี้เลย ไม่ต้องไปนั่งหลับตาหรือไปหาสถานที่เฉพาะ อย่างนั้นมันเรื่องง่ายๆของพวกที่ไม่มีการทำแบบตามลำดับ ไม่มีการทำแบบที่ต้องจับคู่สิ่งที่ต้องเรียนเป็นรูปนามต้องรู้จิตให้ทัน ต้องรู้เป้าหมาย
เป้าหมายสำคัญคือเวทนา ศาสนาพุทธนอกไปจากเวทนาเลย เรียนรู้เวทนาเรียนรู้ความรู้สึกกระทบแล้วคุณมีความรู้สึก ชอบหรือไม่ชอบผลักหรือดูด สุขหรือทุกข์ เป็นเทวะทั้งนั้นเหตุอะไรมันทำให้เกิดความตระหนักในความดูดทำให้เกิดความชอบหรือไม่ชอบ คุณก็ต้องเรียนรู้เหตุแล้วไปล้างมัน จิตที่มันเป็นคู่ ดีก็คู่กับชั่ว ความสุขมันก็คู่กับความทุกข์คุณล้างเหตุของมันมันก็จะหมดไปทั้งหมดเลย สุดท้ายคุณก็จะรู้จักดีชั่วคุณก็จะไม่มีตัวคุณ คุณก็จะไม่ทำดีไม่ทำชั่ว แต่คุณจะทำดีกับกลุ่มคนที่ดี คุณจะไม่ทำชั่วกับกลุ่มคนที่ชั่วนี่คือปัญญาที่คุณเลือกคุณรู้ว่าควรจะต้องทำดีอย่างไร ไม่ทำชั่วกับคนที่ชั่ว แยกออก แม้ทำดีกับคนดี เราก็รู้สึกว่า แม้ความดีก็เป็นสิ่งที่อาศัยไม่ต้องไปติดยึด จึงยังกุศลให้ถึงพร้อมอย่างเดียว สมมุติคือกุศลมันไม่เที่ยง ประเทศไทยถือว่าอันนี้มันดี อเมริกาถือว่าอย่างนี้มันชั่ว ดีอย่างไทยเขาถือว่าชั่วอย่างนี้เป็นต้น มันก็สมมุติต่างกัน
หรือแม้แต่ คนสองคนก็ยึดถือต่างกันก็เข้าใจ ถ้าคุณไปยึดถือร่วมกันเราก็อยู่ร่วมกันได้ ถ้าคุณยึดถือต่างกันก็รู้ว่าเขาต่าง แล้วเราจะอยู่ร่วมกับเขาได้ไหมพอจะอนุโลมกับเขาได้ไหม เราเป็นผู้รู้เราเป็นผู้จัดการอนุโลมได้เราก็ทำ เพราะฉะนั้นจึงเป็นคนที่รู้จักอนุโลมปฏิโลมเป็นคนที่อยู่กับโลกอย่างเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นเหตุเป็นปัจจัย แล้วร่วมสังขารกับคนให้ได้อะไรขึ้นมาแล้วอาศัยสิ่งนั้นอยู่ร่วมกับสิ่งนั้น โดยรู้ๆๆ ความเป็น 2 แล้วมาสังขารเป็น 3 เป็น 4 เป็น 5 เป็น 6 เป็น 7 เป็น 8 ก็ได้ เราก็รู้ว่าเริ่มต้นมันอยู่ที่ 2
2 เทวะ จึงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก เทวนิยมไม่เรียนรู้แยก 2 นี้ไม่เรียนรู้เรื่องนิพพานเขาจึงไม่มีที่จบ สงครามไม่มีที่จบในเทวนิยม แต่ว่าอเทวนิยมนั้นหมดสงครามได้ ในชาวอโศกไม่รบกับใคร ประเทศไทยถ้ารู้อย่างชาวอโศกหมด ประเทศไทยไม่รบกับใครเลย มีแต่จะเสียสละช่วยเหลือคนอื่น แล้วจะอุดมสมบูรณ์ เพราะว่ามีความมักน้อยเพราะว่ามีความสูญ เพราะรู้จักสิ่งที่เพียงพอ แล้วสร้างสิ่งที่เพียงพอ เมื่อเพียงพอแล้ว เกินสิ่งที่เพียงพอมีเหลือเฟือก็แจกจ่ายแก่คนอื่นอย่างไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของตัวของตน เกื้อกูลคนอื่นได้เราก็ดีแล้วรอดตัวแล้วไม่เป็นภาระอะไร ไม่ได้ต้องพึ่งพาใคร เราพึ่งพาตนเองได้ เราไม่เป็นหนี้ใคร เรามีแต่ความอุดมสมบูรณ์ เพราะเรารู้ว่า เหตุปัจจัยที่สำคัญของชีวิตคืออะไร ปัจจัย 4 เป็นต้น จะมีสิ่งที่เป็นบริขารบ้างก็มี อโศกจึงมีเยอะแยะมากมายร่ำรวย แม้แต่อยู่ในนี้เป็นเหตุปัจจัยที่เป็นเรื่องที่เป็นธรรมชาติ สิ่งที่ปรุงแต่งต่างๆก็มาใช้ร่วมกับเขาไปบ้างแม้ไม่มีเราก็ไปใช้ร่วมกับเขาได้
เช่นปืนลูกระเบิดเราไม่ต้องไปใช้ด้วยเลย หรือว่าเครื่องจักรเครื่องยนต์อะไรที่ต้องไปสร้างไปก่อมันถึงจะได้สร้างสรรค์ไปร่ำรวย แค่นี้เราก็พอแล้ว เหลือแหล่แล้ว เทคโนโลยีคนอื่นเขาสร้างมาให้ คนเขาสร้างช้อนมาให้ใช้เราก็ใช้เราไม่ได้ไปหยิ่งผยองอะไร ไม่อยากใช้ช้อนก็ใช้มือเปิบเอา อย่างที่สังคมเขาใช้มือเปิบกินก็เยอะแยะไป แต่คนใช้ช้อนก็ดีเหมือนกัน อะไรมีให้ใช้เราก็ใช้ เขามีเทคโนโลยีเขามีคอมพิวเตอร์ให้ใช้ก็ใช้ เขามีเครื่องมือสื่อสารเป็นโทรทัศน์ก็ใช้
โอ้โห โทรทัศน์นี้มันลงทุนใช้ค่าใช้จ่ายในการที่จะทำโทรทัศน์ได้เป็นช่อง ค่าใช้จ่ายโทรทัศน์ช่องอื่นในประเทศไทย เขามารู้ความลึกว่า โทรทัศน์บุญนิยมของชาวอโศก เขาจะทึ่งมหาศาลเลย อยู่ได้อย่างไรทำได้อย่างไรไม่มีโฆษณาไม่เรี่ยไร ไม่เอาเงินของคนอื่นเอาเลือดสดๆของพวกเรามาเสีย ก็เสียค่าเช่าส่งสัญญาณดาวเทียมนี่แหละมันแพงที่สุดนอกนั้นค่าใช้จ่ายอื่นๆก็เป็นอุปกรณ์ ส่วนค่าบุคคลนี่แหละที่แพงที่สุดในบรรดาวงการโทรทัศน์ แต่ที่นี่ถูกที่สุด เป็นโทรทัศน์ที่ถูกที่สุด เพราะคนทำงานที่นี่ 0 บาททุกคน เป็นไปได้อย่างไร แม้แต่ช่างเทคนิค แม้แต่คนที่เขาจะมีความรู้ต้องดูแลให้ได้ ถ้าไม่มีช่างเทคนิคดูแล เขาอยู่ไม่ได้นะ เราก็ 0 บาท ก็เลยกระพร่องกระแพร่งเทคนิค ถ้าคนที่เขาเก่งจริงๆก็อยู่กับโลก เราก็เก่งเท่านี้แต่ก็พออยู่ได้เรียกว่ากระทบไหล่ดาราได้ โทรทัศน์เราก็ยังออกอยู่ทุกวัน ทำมาแล้ว 10 กว่าปี
สิ่งที่ชาวอโศกทำเป็นเรื่องมหัศจรรย์เยอะ โทรทัศน์ที่ถ่ายทอดไปได้โดยไม่ต้องไปเรี่ยไรไม่ต้องสร้างกองทุนกองบุญว่าทำงานนะ กองละเท่านี้เท่านี้ อย่างโทรทัศน์ช่องธรรมะทั้งหลายเขาก็มีโฆษณาเขาก็ต้องใช้เงินของกองทุน จากการเรี่ยไร เขาถึงไม่เชื่อว่าบุญนิยมของชาวอโศกมันมีใครหนุนมันมีใคร support วะ นี่มันยาก ที่เขาจะเข้าใจว่ามันเป็นเลือดของเราเองแท้ๆแล้วเราเสียสละ
สรุปง่ายๆเลยพฤติกรรมสังคมของชาวอโศกเป็นพฤติกรรมที่มหัศจรรย์ที่สุด ที่คนเขายังรู้ไม่ได้ทางเศรษฐศาสตร์ก็ตามทางการเมืองก็ตาม การเมืองคือการบริหารปกครองที่คนอยู่อย่างสงบสุขอบอุ่นอยู่อย่างสุขสบายทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ทั้งทางด้านการเมืองทั้งทางด้านสังคมที่จะอยู่ร่วมกัน กินใช้ร่วมกัน มีพฤติกรรมแต่ละคน ต้องดูแลพฤติกรรมด้วยนะ ทรัพย์สินเงินทองข้าวของด้วย ซึ่งทรัพย์สินเงินทองข้าวของเราก็ไม่ต้องกังวลมากไม่ยึดมั่นถือมั่น ใครจะยึดมั่นถือมั่นเป็นของตัวของตนก็ยึดถือไป ไม่เอาออกมาแจกจ่ายไม่มาใช้ในหมู่กลุ่มก็ไม่เป็นไรเราพอกินพอใช้เหลือเฟืออยู่แล้ว ทุกคนก็สร้างสรรให้เหลือเฟือ สร้างสรรแล้วก็เอามารวมกันกินใช้ มันเป็นพฤติกรรมสังคมที่เกิดจากบุคคลที่มีปัญญาเข้าใจ เราจะทำงานอะไรเราจะอยู่อย่างไร แต่ละคนก็อยู่อย่างไม่ขี้เกียจ ถ้าหากขี้เกียจก็จะถูกเพ่งเล็งถูกดูแล บอกว่าขี้เกียจมันเลว ตาพวกเรามีเยอะมองกันเสียบ มานั่งขี้เกียจจะโดนตาเสียบ เขาก็จะดูว่าถูกคนนั้นเสียบทีคนนี้เสียบทีคุณอยู่ไม่ได้หรอก ขี้เกียจจริงๆมานั่งเลี่ยงหลบๆอยู่ในนี้โดน เจ็บจนกระทั่งไม่มีที่อยู่ มันก็จะทำบ้างพอสมควร จะขี้เกียจขนาดไหนก็ต้องขยันพอสมควร หากขี้เกียจเกินก็โดน
ที่นี่ไม่มีคนชั่วอยู่ คนชั่วเกินขอบเขตจะอยู่ร่วมกับสังคมอโศกไม่ได้ จึงเป็นสังคมที่มันคัดเลือกคนดีอยู่ในตัว คนชั่วเข้ามาอยู่ไม่ได้ คนชั่วเกินไป เกินขนาดอยู่ไม่ได้ เรามีรากฐาน
-
ศีล 5 เป็นอย่างต่ำ
-
อบายมุขไม่มี
-
ไม่กินเนื้อสัตว์ ตัวนี้แหละที่มันติดกันจัง สามข้อนี้จึงเป็นรั้วเป็นเกราะป้องกันให้อโศกอยู่ได้อย่างอบอุ่นสงบสบาย