620626_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก เจาะลึกมูลกรรมฐานจนผ่านพระโสดาบัน
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1wMkshpn1NyolSwhuFKETJD0wMQgVQhFs3J-vL5NbCnQ/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1esRIMf7rSLUNCy2wlUn5ZrtaQEIj6fcV
สมณะเดินดินว่า… วันนี้วันพุธที่ 26 มิถุนายน 2562 ที่บวรสันติอโศก
พ่อครูว่า…มันเป็นหน้าที่เป็นความสมัครใจของอาตมาเองที่จะทำตอนนี้มันก็กึ่งพุทธกาลของสมณโคดม พุทธกัปของสมณโคดมมี 5000 ปี กัปของพระสมณโคดมมี 5000 ปี ตามที่รู้กันมาขนาดนี้ก็ดำเนินมาได้ 2,500 กว่า นับ พ.ศ.1 ก็นับแต่ท่านปรินิพพาน ศาสนาพุทธจะเร่ิมต้นตั้งแต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานเป็นปริโยสาน ถ้านับแต่ท่านประกาศศาสนาก็ต้องบวกไปอีก 45 ปี ผู้ที่อยู่ในวงการศาสนาพุทธก็เชื่อเรื่องนี้ตามหลักฐานยืนยันอ้างอิง โดยเฉพาะหลักฐานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือ หลักฐานคำสอนที่มีทั้งปรัชญาความหมายความเข้าใจที่ลึกซึ้งที่คนเข้าใจได้ยาก เข้าใจได้ก็ยังไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้อะไรอย่างนี้เป็นต้น อย่างที่เรากำลังพิสูจน์อยู่ทุกวันนี้คนอะไรจะมาจนพอใจที่จะมาจนตั้งหน้าตั้งตามาจน และยืนยันว่าจนอุดมสมบูรณ์ภาษาคำว่าจนกับอุดมสมบูรณ์มันคนละเรื่องเราเข้าใจกันคนละขั้วเลย จะเป็นอันเดียวกันได้อย่างไร นี่แหละภาษาที่ทั้งโลกเขาก็ใช้ เขาเรียกกันว่า Dialectic จะเรียกเป็นภาษาบาลีสันสกฤตก็แปลว่า วิภาษณ์วิธี เป็นความขัดแย้งในตัว แต่มันเป็นเช่นนั้น อาตมาอธิบายเป็นคำว่าสิริมหามายาหรือคำว่าเทวะ ที่พยัญชนะแปลว่าสองแต่สภาวะนั้นมีทั้ง 1 และ 2 ในตัวมันเอง หรือมี 1 กับ 0 จะมี 2 กับ 4 ไปได้อีก จับคู่ 2 เทวะได้อีกมากมาย หรือจะมา 1 แล้วเป็น 0 เลย
ถ้าเข้าใจ 0 ตั้งแต่หยาบ คือวัตถุ หากวัตถุที่ฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายเกินเป็นพิษจัดจ้านแรงร้ายไม่ต้องเกี่ยวข้องเลยในชีวิต เราหลุดพ้นอย่างเด็ดขาดเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่เหนือมันสบาย เขาตกเป็นทาสอยู่เขาก็ต้องมี พิสูจน์ได้ โดยเฉพาะเราก็เคยตกเป็นทาส แล้วเราหลุดได้ หลุดได้อย่างไรแค่ไหน เป็นต้น เราพิสูจน์ความจริงจากจิตวิญญาณของเรา ปฏิบัติเองรู้เองเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ ก็จะรู้แจ้งเองโดยไม่ต้องมีใครบอก ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอนแต่นี่มันเป็นของเราเอง เป็นเองได้เองเชื่อเอง จริงชัดแท้ยืนยันได้ ซึ่งสิ่งประเสริฐที่มันทวนกระแสโลกีย์นี่แหละคือโลกุตระ
คนไปอยากรวยเรามาอยากจน คนอยากจะเอาเปรียบเอารัด เราก็จะต้องรู้ว่ามันโง่ไม่ดี เรามาเสียสละดีกว่าดี มันชัดเจนแล้วก็ทำได้ไม่เห็นเดือดร้อนอะไรเลยในชีวิต ดีไม่ดี มารวมตัวกันเป็นกลุ่มหมู่ใหญ่ เพื่อให้มีผลผลิต สิ่งที่สร้างสรรมากขึ้น ยิ่งแจกจ่ายได้มากขึ้นอย่างนี้เป็นต้น มันยืนยันได้ว่าสังคมที่ดีมีหลักเกณฑ์ตามพระพุทธเจ้าตรัสไว้หมดโดยเฉพาะวรรณะ 9 เอาแต่น้อย เราอยู่กับหมู่เขาเราใช้ให้น้อยที่สุดหรือเป็น 0 เลย พึ่งพาหมู่กลุ่ม แล้วหมู่กลุ่มรวมกันแล้วก็จะมีมาก เพราะความร่ำรวยนั้นจริงๆอยู่ที่สมรรถนะและความขยัน ในคนไม่มีความรู้ความสามารถ แต่ละวันก็ใช้พลังงานสร้างสรรไม่ขี้เกียจขยัน ความสามารถมีก็สร้างสรรแล้วไม่ได้ยึดถือเป็นของตัวของตน เอาไปรวมกันแล้วก็เผื่อแผ่ได้ตลอด จึงเป็นเศรษฐกิจที่มีความเป็น Dynamic เป็นเศรษฐกิจที่เคลื่อนตัวอยู่อย่างเร็ว ไว มีประสิทธิภาพสูง จึงมีผลผลิตมาก คุณภาพก็ดีด้วย ไล่แจกยังไม่ทันมันเหลือเลยวิ่งไล่แจกยังเหลือเลย เป็นความซับซ้อน นักเศรษฐศาสตร์ทุกวันนี้ได้แต่คิดเอา แล้วไม่เคยมีคุณภาพคุณธรรมคุณสมบัติอย่างที่กล่าวนี้เขาก็เลยไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นพวกเรานั้นต้องพิสูจน์ความจริงอันนี้เพื่อที่จะให้เกิดความเชื่อ ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร จนเขาจำนนว่าจะต้องเชื่อว่ามันเป็นจริง มันดีด้วยนะ
และที่สำคัญก็คือโลกทุกวันนี้ กระแสของโลกทั้งโลกเลย มันเริ่มมีความรู้โลกุตระเข้าใจทิศทาง นี่แหละคือโลกุตรธรรม อุดมคติโลกุตระ เขาเข้าใจเพิ่มขึ้นแล้วมาฝึกฝนศึกษาพิสูยน์เพื่อให้เป็นคนเช่นนี้ได้ มากขึ้นๆ เพราะความจริงที่เป็นจริงแท้ๆมันมีหนึ่งเดียวแล้วมันเที่ยงแท้ถาวรยั่งยืนตลอดกาลไม่มีเปลี่ยนแปลงไม่มีใครหักล้างได้ ไม่มีการกลับกำเริบ มันเป็นเช่นนั้นจึงจะเรียกว่าความจริง ไม่เช่นนั้นไม่เรียกว่าความจริง มันจะพิสูจน์ตัวมันได้ไหม
อาตมาจึงมั่นใจว่าแน่นอนถ้าหากอาตมาเข้าใจผิดพิสูจน์ต่อไปมันก็จะล้มเหลวมันก็จะไม่ใช่แต่ถ้ามันใช่ก็แน่นอน อาตมามั่นใจว่ามันใช่ ไม่ได้หลอกตัวเองพยายามตรวจสอบตัวเองพยายามทำเพิ่มก็เห็นอัตราการก้าวหน้าว่ามันยิ่งเป็นจริง ใครที่รู้สึกอย่างนี้บ้าง ….
ยังมีบ้างที่ยังไม่รู้สึก มันบังคับกันไม่ได้หรอกมันเป็นเรื่องจริง
อาตมาจึงเห็นว่าโลกยุคนี้เริ่มต้นเข้าใจโลกุตรธรรมได้แล้ว มันยิ่งไม่อยากตายเร็ว มันน่าจะมีแถมกับเพิ่ม พยายามช่วยกันให้มีมากขึ้นอีกมากขึ้นอีกมันจะได้เป็นคุณค่าประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น ถ้าเผื่อว่ามันไปในทิศทางนี้ มันไม่ไปเบียดเบียนทางโลกมันมีแต่ให้กับให้มีแต่ประโยชน์กับประโยชน์มันไม่เบียดเบียน เรามีให้เขาได้ ไหลซึมมีให้เขาได้ ดีไม่ดีออกมาเป็นท่อน้ำก๊อกแรงจั๊กๆๆก็ได้หากมันเร็วถึงขนาดนั้นได้แต่ตอนนี้มันยังเฉ่ยๆ
ผู้ตั้งใจฟังให้ดีๆจะเข้าใจว่ามันเป็นไปได้ หลายคนก็ยังไม่อยากเชื่อเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร พิสูจน์ไปก็แล้วกัน เรามั่นใจเราก็ทำ อาตมาก็มีสิ่งที่อาตมามั่นใจอยู่อย่างหนึ่งคือ อาตมานั้นมีของตัวเองแน่นอน มั่นใจไม่ได้มีการสงสัยลังเล ไม่มีอะไรที่จะติดขัดอะไรเลย และมีผู้อื่นมาเห็นดีเห็นด้วยตามมา มาช่วยยิ่งเสริมเติมเข้าไปเรื่อยๆไม่ได้ลดลง อาตมาว่ายังไม่ได้ลดลง ดูบางคนบอกว่าลด นักบวชลดลง นักบวชอาจลดลงแต่ว่าฆราวาสแน่นขึ้นมีคุณสมบัติมากขึ้น
เดี๋ยวนี้พูดถึงพระโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ ก็ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องลึกลับ magical พิสดารอะไรไป อาตมาเห็นอัตราก้าวหน้าอย่างนั้นจริงๆ
ประเด็นคือเรื่องของธรรมะ 2 เป็นเรื่องซับซ้อนยิ่งใหญ่พิสดารจริงๆ แล้วเวลาเป็น 2 มันก็สลับกันเจ้าตัวไม่รู้ตัว ไปยึดหน้าผิดๆ มันกลับเปลี่ยนเร็วไวตามกาละ หมุนสมองไม่ทันสมัย เพราะเขาเปลี่ยนไปแล้ว 3 รอบเขาก็ยึดอยู่ที่เก่า 5 รอบแล้วก็ยังยึดอยู่ที่เก่า โอ๊ย! ก็เขาไม่ทัน เพราะในยุคนี้อะไรมันก็เร็วจะมาช้าเฉื่อย โอย ไม่ได้ ไม่ใช่ไม่ทันรับประทานนะ แต่หายใจไม่ทันตายนะ มันเร็วถึงขนาดหายใจไม่ทัน ไวเปลี่ยนไปไม่รู้กี่ชั้น
อาตมาก็ต้องช่วยผู้ที่หลงใหลติดยึด อาตมาอ่านแล้วก็สงสารอาจารย์บูรพา ผดุงไทย เป็นหัวหน้าสำนัก เหมือนในยุคพระพุทธเจ้าก็มี 6 สำนักใหญ่ อันนี้จะถือว่าเป็นสำนักใหญ่ก็ได้โดยยึดถือหัวหาดหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์แท็บลอยด์ ออกอยู่ทุกๆอาทิตย์
เขาอธิบายอาตมาก็อ่านแทบทุกอัน อันไหนที่ไม่ถึงมือก็ไม่ได้อ่านถ้าถึงมือก็อ่านทุกอัน ก็น่าสงสาร แล้วจะมีความซับซ้อนทางด้านที่เป็นวิปัสสนูปกิเลสคือซับซ้อนไปในทางที่เป็นแบบเทวนิยม ซับซ้อนไปเรื่อย แล้วก็หนาลึกไปทางมืด เป็น สุภกิณหา
หลงความดำความมืดว่าดี ยิ่งดำยิ่งมืดยิ่งดี นึกว่าแสงสว่าง นึกว่าเป็นความลึกคนอื่นรู้ไม่ได้มันก็ลึกจริงๆแต่ดำลงไปก้นบึ้งทะเลดำสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ไปเรื่อยเลย เมื่อไหร่จะโผล่ขึ้นมาให้เห็นแสงสว่าง เห็นดวงอาทิตย์กับเขาเสียที ก็เลยได้แต่เทศน์เผื่อไป เผื่อจะได้ฟังจะได้ประโยชน์ตื่นขึ้นมาบ้าง ชาคริยาขึ้นมาบ้างก็ซับซ้อนดิ่งดำไปทางวิสสนูปกิเลส
มันชัดเจนตามอดีตที่ผู้รู้ท่านกล่าวไว้ทั้งหมดเลย ก็ได้แต่น่าสงสารไม่รู้จะทำยังไงก็ได้แต่พูดไปอย่างนี้แหละฝากลมไป เผื่อว่าคนอื่นที่เป็นลูกศิษย์ ก็จะมีแนวเดียวกันกับ อาจารย์บูรพา ผดุงไทยนี้บ้าง ก็จะได้ยินได้ฟังจะได้ตื่น ชาคริต หรือชาคริยาขึ้นมา ตายๆเราหลงผิด ตื่นก็ได้กุศลไป แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
และผู้ที่เขารู้ได้ อาตมาว่ามันต้องมี ผู้ที่เขาไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอย่างหน้ามืดตามัวเกินไป
ก็ขอเข้าสู่จุดสำคัญแกนของเรื่องก็คือ
ไปปฏิบัติมิจฉาทิฏฐิเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้องมีความเห็นผิด เรื่องใหญ่ๆก็คือไปหลับตาปฏิบัติ แล้วก็ไปสร้างภพชาติ ดิ่งลึกลงไปสู่ก้นทะเลสู่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าลึกลงไปเรื่อยๆ แล้วก็ไปหลอกตัวเองว่าเป็นแสงสว่าง เอาความลึกซึ้งซับซ้อนละเอียดหลายชั้น มาเป็นความหลงความลึกว่าลึกจริงๆ ยิ่งถลำเข้าไปก็ยิ่งมืดเข้าไปหาอีกทิศหนึ่ง มันไม่ใช่ทิศทางที่เป็นสามัญโลกุตระมันดำดิ่งหายไปจากมนุษย์ มาลงไปสู่บาดาลสู่เมืองนาค โอ๊ย อันนี้เป็นลักษณะจริงที่ใช้พยัญชนะเหล่านี้แทนสภาวะจะรู้ได้เหมือนอย่างที่ท่านพูดเอาไว้ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ 1 องค์ก็จะมีการลอยถาดลงไปซ้อนกันในใต้บาดาล ซ้อนไปเรื่อยๆ พญานาคก็ถูกถาดนั้นทับลงไปเรื่อยๆเป็นร้อยเป็นพัน เมื่อถาดพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาองค์หนึ่งก็ลอยลงไป พญานาคก็รู้ตัวได้ อะไรหรือ อ๋อ พระพุทธเจ้าอุบัติอีกแล้วหรือก็ลงไปหลับต่อ กว่าพระพุทธเจ้าอุบัติอีกองค์หนึ่งก็รู้ตัวอีกทีนึง เมื่อดับถึงขีดหนึ่งก็ไม่รู้ตัวแล้วจมบาดาลไม่รู้เรื่องแล้ว จะอีกกี่กิ๊กก็ไม่รู้เรื่องแล้ว แต่ดีที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น
สำหรับพวกเราที่เข้าใจแล้วได้ประโยชน์แล้วก็พยายามตั้งหน้าตั้งตาพากเพียรไปเรื่อยๆ ให้เจริญงอกงาม เรามาจับจุดสำคัญๆ อันนี้ก็เคยพูดไปแล้วเมื่อ16มิ.ย. ว่า การทำสมาธิแบบอาริยะ อย่างที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญให้ประชาชนทำ มีหลักฐานจากพระไตรปิฎกเล่ม 9 ข้อ 321(สุภสูตร)
อริยสมาธิขันธ์
[321] ส. ข้าแต่ท่านพระอานนท์ สมาธิขันธ์อันเป็นอริยะที่ท่านพระโคดมได้ตรัสสรรเสริญ และทรงยังประชุมชนนี้ให้สมาทาน ให้ตั้งอยู่ ให้ดำรงอยู่นั้น เป็นไฉน.
อ. ดูกรมาณพ อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย? ดูกรมาณพ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต
(พ่อครูว่า..มันเป็นความจริงตามความเป็นจริง..แตงโมสีนี้ก็เป็นสีนี้รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเป็นอย่างไรเราก็สัมผัสตามนั้น ใจไม่ติดใจยึดถือ เป็นแต่เพียงว่ารู้ว่ามันเป็นอะไรก็คืออันนั้นไม่ถือในอนุพยัญชนะ คือ เป็นคำอธิบายคำขยายความมันมีได้ ปรุงแต่งเสริมเติมไม่ได้แต่เราแม้แต่นิมิตก็ไม่ถือ อนุพยัญชนะก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น)
ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น
(พ่อครูว่า..หากคนปฏิบัติใหม่ๆยังไม่เข้มแข็ง กิเลสมันก็จะเข้าได้ง่ายเลย แต่ถ้าอินทรีย์แก่กล้าแล้วมันก็จะเข้าได้ยากต้องระวังเลย จะใช้ 1.การกดข่ม 2. ใช้ปัญญา เห็นว่าเอ็งอย่ามาหลอกข้า เอาหลักฐานอ้างอิงเหตุผลเอ็งหลอกข้ามาหลายชาติแล้ว ถ้ายิ่งระลึกชาติได้จริงๆก็เอาเหตุนั้นมายืนยันเลยมันก็ยังมีพลังมาก)
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
ส.เดินดินว่า…สมาธิมี2แบบ มิจฉาทิฏฐินั่งหลับตาไปแล้วมีน้ำกะทิออกมาจากปาก ความรู้ตัวมีน้อยลงเรื่อยๆ แต่ว่าสมาธิที่มีสัมมาทิฏฐิ จะต้องมีตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่นเหม็นกระทบรส มีสติคุ้มครองในทวารอินทรีย์ รู้ตัวทั่วพร้อมเสมอ อันหนึ่งลืมตาสู้อันนึงหลับตาสู้ ศาสนาพุทธให้เราเรียนรู้เท่าทันกับผัสสะที่มากระทบ ชาวอโศกนั่งฟังธรรมกันเป็นชั่วโมงๆ แต่ทางโน้นเขาไม่ได้ หรือเรากระทบผัสสะเราก็สู้ได้แต่เขาจะกระทบแล้วรุนแรงเหมือนภูเขาไฟระเบิด สู้ไม่ได้
พ่อครูว่า..นั่งหลับตาแล้วเขาจะได้แต่คิดอย่างเดียว ไม่ได้ฝึกการกระทบทางตาหูจมูกลิ้นกาย เขาไม่รู้จักโลก รู้แต่อัตตาภายใน ดูเข้มแข็งแรงดี แต่ถ้าไปเจอข้างนอก 5 ทวาร เขาไปไม่เป็นเลยแหละ ดีไม่ดีโดนดึงลากไปใหญ่ ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าโลกเขาเป็นอย่างไร อย่างนี้โลกเขาถือว่าเป็นสิ่งเสพติด เสพติดยศตำแหน่ง เขาไม่รู้กันนะ ทุกวันนี้
อาตมาเคยเจอจริงๆมีหลักฐาน มหาระแบบ เขาบอกว่าโพธิรักษ์เป็นอะไร ฉันเป็นอะไร ฉันนี่เป็นเจ้าคุณนะ เปรียญ 6 นะ ปริญญาโทอีกนะ โพธิรักษ์ก็ไม่มีอะไรจริงๆ ก็ข่มเอาอย่างนี้เป็นต้น อาตมาว่าเขายึดถือว่าเขาสูงตามตำแหน่งยศศักดิ์อวยกันมา ได้เรียนได้รู้มาก แต่เราไม่มีอะไรอ้างอิงได้เลย อ้างแต่ว่าเราเป็นสยังอภิญญา เขาก็ไม่รู้ด้วย ก็น่าเห็นใจเขานะ
อาตมาก็เอาหลักฐานมาอ้างอิงยืนยัน แล้วก็อธิบายธรรมะพระพุทธเจ้าพระสูตรต่างๆหัวข้อต่างๆบาลีต่างๆ พยัญชนะต่างๆ อธิบายแล้วฟังเข้าใจได้ไหมและปฏิบัติตามที่อธิบายได้ไหม ลดละได้ไหมเบิกบานร่าเริงได้ไหมไม่มีตัวตนได้ไหม มารวมกันทำงานฟรีไม่ต้องเอาเงินเข้าไปเป็นรายได้ส่วนกลางหมดเลยพ้นจากมิจฉาชีพข้อที่ 5 ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา อ้างอิงตามหลักฐานพระพุทธเจ้าหมดเลย เขาก็จำนน และเขาเริ่มจะเข้าใจว่ามีอย่างที่เอ็งพูดด้วยเหรอ ข้าเพิ่งรู้แต่เขาไม่ยอมรับหรอกว่าจะรู้ตามที่อาตมาพูดแต่เขาจะได้รับความรู้ไป
แม้แต่คำว่าบุญ แม้แต่คำว่า กาย อาตมาก็อธิบาย อยากจะทวนอีกอัน
มูลกรรมฐาน 5 ที่ภิกษุมาบวชปั๊บ อุปัชฌาย์จะต้องสอนให้แยกกายแยกจิตจากกรรมฐาน 5 จะเอาฐานไหนที่คุณเข้าใจจะเอาจาก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เอาอะไรมาเป็นตัวเรียนรู้พิจารณาก็ยังได้ ผมมันก็ยาว มันไม่ชัดดี ขนก็สั้นลงมาเล็กไปยาก เอาเล็บดีกว่า ฟันยิ่งยาก หนังก็ยิ่งแนบติดบางเลยยาก เอาเล็บนี่แหละ
ทบทวนกันอีกครั้ง แยกอะไร? แยกให้รู้ว่าเมื่อไหร่เป็นกายเมื่อไหร่เป็นจิต จะเรียกว่าเป็นกายหรือจะแยกเรียกว่าจิตนั้น คุณต้องมีความรู้อย่างน้อยว่านี่คืออุตุธาตุ หรือนี่คือ ความเป็น พีชธาตุหรือนี่คือ จิตธาตุ หมายแยกเอาแค่ไหน อุตุก็เป็นพลังงาน พืชหรือพีชะก็เป็นพลังงาน จิตก็เป็นพลังงาน 3 หน่วยนี้ถึงจะเป็นกรรม เป็นธรรมนิยาม หากไม่เข้าใจ3 หน่วยนี้ กรรม ธรรมก็เป๋ แยกกายแยกจิตเมื่อไหร่เป็นกาย เมื่อไหร่เป็นจิต ก็ต้องเข้าใจว่ากายมี 2 หน่วย
หน่วยหนึ่งหยาบไปทางวัตถุเลย ตั้งแต่ดินน้ำไฟลมเป็นวัตถุส่วนนอก ส่วนที่ยังไม่ใช่ชีวะแท้ๆ จนมันมาสัมพันธ์เชื่อมต่อดินน้ำไฟลมสัมพันธ์รวมตัวเป็น ตาหูจมูกลิ้นกายเป็น 5 ทวาร แล้วก็เป็นคู่กันกับตาหูจมูกลิ้นกาย คู่กับประสาทที่จะ โคจระหรือวิสัยที่มันมีหน้าที่อัตโนมัติ มันไปร่วมสอง เมื่อสัมผัสกันเมื่อไร ตากระทบรูปหูกระทบเสียงจมูกกระทบกลิ่นลิ้นกระทบรส ผิวกระทบต่อการสัมผัสเสียดสีมันก็จะเป็นสภาพสภาวะ
สภาวะนั้นพอมามันก็จะจับตัวเป็น 2 เรียกว่าภาวะ 2 นี่กำลังไล่รูป 28 นะ มหาภูตรูป 4 พอมาเป็นมหาภูตรูป 24 ต้องเกี่ยวเนื่องกับดินน้ำไฟลมด้วยถึงจะครบรูปที่ 28 หากไม่ครบรูป 28 ไปนิพพานไม่ได้ ไม่ครบ สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แม้คุณจะมีกายสักขี แต่กายสักขีของคุณก็หลบในก้นบึ้งทะเล คุณรู้องค์รวมของคุณเอง ภายในคนเดียวพูดกับคนอื่นไม่รู้เรื่องหรอก เขาจะมายอมรับกันในสังคมโลกไม่มีใครเขายอมรับ คุณจะผิดเพี้ยนก็ได้ คุณจะมีนิรมาณกาย แล้วไม่มีสัมโภคกาย จะมีอาทิสมานกายก็ไม่มีใครเห็นกับคุณ คุณเห็นอยู่คนเดียวรู้อยู่คนเดียวนี่คือ กาย 3 อาตมาก็เอามาจากการอธิบายกันในโบราณาจารย์
ถ้าศึกษาไม่รู้รูป 28 หรืออุปาทายรูป 24 อย่างชัดเจนแล้วจะต้องมีพฤติกรรมอันนี้บรรลุธรรมมาทั้งหมดจนกระทั่งถึงลักษณะรูป 4 สุดท้าย
เอาที่เล็บก่อน เมื่อไหร่เป็นกายเมื่อไหร่เป็นจิต ที่มันไม่ใช่กายแท้ๆมันคือวัตถุรูป อย่างเล็บเรานี่ตัดออกไม่เจ็บ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ตัดออกที่มันอยู่ภายนอกมันยังมีชีวะอยู่นะแต่ไม่เจ็บไม่รู้สึกไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ ไม่มีจิตนั่นเอง เล็บมันอยู่กับตัวเรามันไม่เจ็บไม่รู้สึก ไม่มีจิต แต่มีชีวะ ตัดออกไปแล้วไม่ใช่กายไม่มีชีวะแล้ว เป็นอุตุธาตุแท้ๆ แต่เล็บที่ติดกับตัวเรา ไม่เจ็บ เพราะไม่มีธาตุรู้สึกไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณไม่ผลักไม่ดูด แต่เป็นชีวะ ชีวะนี่แหละ ท่านเรียกว่าอันนี้ก็ไม่ใช่กายแล้วเพราะไม่มีจิตร่วมด้วย เป็นแค่พีชนิยามเท่านั้นถึงตัดออกไม่เจ็บ ผมขนเล็บฟันหนังที่ตัดออกได้ไม่เจ็บไม่ใช่ชีวะ ไม่ใช่กาย ยิ่งตัดออกไปเลยไม่เหลือกายเป็นวัตถุไปเลย ฟังดีๆมันสลับไปมา
กายต้องเป็น 2 ตัดออกไปเหลือ 1 ก็ไม่ใช่กาย
เป็นพีชะนี่แหละเป็นจุดสำคัญไม่รู้สึกทุกข์สุข ไม่เจ็บปวดไม่มีเวรภัยไม่จองเวรภัยไม่ดูดไม่ผลักไม่รักไม่ชัง นี่เป็นคุณสมบัติที่ยิ่งใหญ่ของจิตวิญญาณที่ทำให้เป็นแบบพีชะนี้ได้ ต้องรู้จักอาการของมัน มันเป็นชีวะ เราสามารถจัดการมันได้ วสวัตตีโก เป็นพลังงานที่เราสามารถควบคุมได้ แม้มันเป็นพีชะ เราไม่เจ็บไม่ปวดไม่สุขไม่ทุกข์หมดความทุกข์อริยสัจ สุขมันไม่ใช่อริยสัจ 4 สุขมันอัลลิกะ ของหลอก จริงๆมันก็คู่กันระหว่างสุขกับทุกข์ เป็นสุขเก๊ ทุกข์จริง ผู้ที่มีความประเสริฐเป็นอาริยะจะเอามันไว้ทำไม
เมื่อแยกอุตุได้ แยกพีชะได้ แยกจิตได้ว่า อ๋อ อย่างนี้คือจิตนะ จิตมันยังมีความผูกพันมีความเจ็บปวดมีความพยาบาทมีความรักมีความสุข หรือ ทำจิตของเราให้รู้ความจริงว่าจิตของเราให้เป็นพีชะ จิตเราที่เหลือในตัวเรา ในดินน้ำไฟลมนั้นเป็นแค่พีชะหรือติดกับตัวเราเป็นแค่พืชะ มันยาวได้ เจริญไปได้ ผมขนเล็บฟันหนังมันก็เป็นส่วนของพีชะ ติดกายของเราอยู่ แต่จะเรียกว่ามันเป็นกายก็เป็นกายของพีชะ แต่ไม่ใช่กายของจิตแล้ว ไม่รู้สึกไม่เจ็บแล้ว ละเอียดขึ้นนะเพราะฉะนั้นเราก็แยกอุตุ แยกพืช แยกจิตได้ ทำจิตของเราให้อยู่ในอารมณ์ของพีชะ แต่มีพลังงานที่เหลือเป็นจิต เอามาทำกรรมที่เป็นกุศลได้อีกเยอะเลย ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ เอาพลังงานเหล่านี้มาใช้สร้างสรร อันนี้ก็แค่อาศัย อาศัยแค่พีชะนี้ก็พอแล้ว ชีวะแบบนี่ล่ะ ภาวะอรหันต์ ทำจิตในจิตของตนให้เป็นอย่างนี้ได้
คุณสัมผัสกับอะไรก็แยก อุตุ จิต ของตนเองได้ แล้วคุณจะยึดถือแต่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น ยึดเป็นสมาทาน ยึด อุปาทายติ ยึดแต่ สมะ ต่อเนื่องเสมอ เป็นความสงบเป็นความสบายเป็นสมาทาน สมาทยติ แค่นี้พอแล้ว เป็นกิริยา สมาทานเป็นคำนามก็ยึดแค่นี้ ยึดไว้ทำงาน ไม่ได้ยึดอย่างมั่นคงเป็นอภินิเวส หรืออุปาทาน แต่ยึดอย่างสมาทาน
เพราะฉะนั้นเราจึงมีเครื่องอาศัยที่อยู่ในองค์ประกอบของชีวิตเรามีอุตุ พีชะ เรามีจิต แล้วเราก็ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบเป็นเหตุปัจจัยในการทำกรรม กิริยาต่างๆ คือเข้าใจกรรมต่างๆว่าอันนี้เป็นกุศลอันนี้เป็นอกุศล หรือกรรมนี้ไม่เป็นอันทำ หมายความว่ากรรมนี้ทำแล้วมันไม่สะสม เช่นคำว่า บุญ
คำว่าบุญ มันเป็นการกระทำ สร้างพลังงานนี้ขึ้นมาได้เพื่อตัดกิเลสแล้วหายจ้อยไม่สะสมกรรมไม่เป็นอันทำ แต่ความดีความชั่วเมื่อทำแล้วเป็นอันทำ ทำแล้วชั่วก็สะสมดีก็สะสมเป็นสมบัติ แต่บุญเป็นวิบัติ ทำแล้วไม่เป็นอันทำ ทำเสร็จหน้าที่หายจ้อย สำเร็จก็สำเร็จได้ผลหรือไม่ได้ผลก็แล้วแต่ ได้ผลเสร็จจบบุญนี้ก็ไม่มีอีกแล้วเพราะไม่มีกิเลสให้ทำอีกแล้วกิเลสมันหมดแล้วไม่รู้จะเกิดบุญขึ้นมาทำไมอีกมันเก้อ เพราะมันไม่มีจะเอามาทำอะไรไม่มีกิเลสจะให้ทำ จะประหารกิเลสในตัวท่านก็หมดแล้ว บุญไม่โผล่ขึ้นมา หากโผล่ก็มาเก้อ เสียท่า เกิดมาทำไมวะ เขาไม่รับให้ทำงาน ก็เขาไม่ได้ปลดแต่หมดหน้าที่ของความเป็นจริงหมดแล้ว
อาตมาอธิบายหากไม่แม่นในสภาวะไม่ชัดในสภาวะรับรองพวกคุณปวดสมอง แต่ถ้าอาตมาแม่นอยู่ไม่สับสนหรอก พวกคุณก็มีปฏิภาณปัญญาจับชัดเจนในสภาวะและพยัญชนะแม้จะหมุนเร็วสลับไปมายิ่งกว่านักเล่นกล เอาหน้าหรือหลัง พวกคุณก็ทันแล้วก็ใช้ได้ จิตที่เร็วไวอย่างนี้เรียกว่ามุทุภูตธาตุ ภูตะคือจิตวิญญาณ มุทุ คือ ความเร็วไวจะเรียกว่าธาตุของความเร็วไว มุทุภูตธาตุ
กลับมาที่กรรมฐาน 5 ต่ออีกนิด หากเป็นมูลกรรมฐาน ฐานเบื้องต้นของภิกษุต้องรู้จักการแยกกายแยกจิตนี้ให้ได้ ถ้าไม่แยกกายแยกจิตนี้อย่างถูกแท้สัมมาทิฏฐิได้ ก็ปิดประตูนิพพาน
ทุกวันนี้ไม่รู้เรื่อง แยกกายแยกจิตไม่รู้เรื่อง ให้พิจารณาก็ไปพิจารณาไตรลักษณ์ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป 3 อย่าง อย่างนี้ใครก็พิจารณาได้เพราะมันเห็นแล้วง่ายตั้งแต่รูปหยาบแม้ตั้งแต่รู้จากรูปวัตถุ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปก็เอาไปเทียบกับจิตมันก็ง่ายแล้วไม่เห็นยากตรงไหน มันเป็นตรรกะง่ายๆ
แต่แยก เป็น อุตุธาตุ พีชธาตุ จิตธาตุ จนทำให้เป็นกรรมและธรรมะได้ คุณแยกได้ไหม โดยเฉพาะอุตุธาตุ พีชธาตุ จิตธาตุ คุณต้องทำจิตของตัวเองให้เป็นอุตุก็ชัดนะ มาเป็นพีชะ แม้จะอยู่กับตัวเราติดกับตัวเรา ถ้าไม่มีเวทนาก็ไม่มีวิญญาณไม่มีจิต
ทีนี้คำว่าไม่มีจิต จะเรียกว่ากาย ตามที่เขาเข้าใจว่ากายคือวัตถุคือร่างก็ได้ แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า กายคือ จิต มโน วิญญาณ คุณก็ไม่สับสน
ถ้ากายที่อยู่ในชีวะที่เป็นพีชะแล้ว จะเรียกว่าเป็นร่างก็ได้จะเรียกว่าเป็นจิตก็ได้ เพราะฉะนั้นสรีระก็อย่างหนึ่ง อัตตาก็อย่างหนึ่ง คือชีพ
ถ้าแยกกายแยกจิตไม่ได้ก็เสร็จ ไม่มีทางที่จะเป็นอรหันต์ นี่คือความสำคัญของธรรมนิยาม 5 เมื่อเข้าใจ 3 อันนี้แล้วจึงจะไปก่อกรรมเพื่อสะสมเป็นธรรมะ
กรรมกับธรรม กรรมเป็น Dynamic ธรรมะเป็น Static
กรรมเป็นพลังงานของนาม ธรรมะเป็นพลังงานของรูป เป็นตัวที่สถิตเสถียรเป็นแกน และเป็นตัวทรงอยู่ ธรรม เป็นคู่บวกลบตามลักษณะของนิวเคลียส แล้วก็หมุนเร็วจนกระทั่งหมุนสมองให้ทันสมัยก็แล้วกัน หากว่าหมุนสมองไม่ทันสมัยคุณก็สับสน
ที่อาตมาอธิบายไป ขออภัยผู้ที่ยังภูมิไม่ถึง ฟังแล้วก็คงจะยากทั้งพยัญชนะและสภาวะ ทั้งรายละเอียดที่ลึกซึ้งซับซ้อนหลายชั้น แน่นอนคุณจะยังไม่รู้เรื่องหรอกก็ต้องขออภัยจริงๆ แต่คนที่พอจับได้บ้างก็จะรู้ว่าพูดอย่างนี้มีด้วยหรือมันจริงหรือเปล่า ยิ่งคนที่ปฏิบัติแล้วรู้ว่าเรามีบ้างแล้วรับรองเลยคนนั้นจะฟังธรรมออกรสเลย ใครจะกินอาหารฝีมือพ่อครัวพระโพธิรักษ์ปรุงพวกนี้คุณจะต้องรสนิยมถึงนะ หากรสนิยมคุณไม่ถึงก็กินไม่ลงหรอก
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
ส.เดินดินว่า…มูลกรรมฐาน ส่วนใหญ่เขาจะให้พิจารณาผมขนเล็บฟันหนัง พิจารณาแต่เพียงหนังเหี่ยวลงไปแต่กิเลสไม่ได้เหี่ยวลงไป พระพุทธเจ้าบอกว่า ร่างกายมันก็เห็นความไม่เที่ยงได้ง่าย ปุถุชนก็เห็นได้ไม่ต้องมาปฏิบัติธรรมหรอก แต่ว่าจิตที่มันไวยิ่งกว่าลิงกระโดดไปกระโดดมาวิ่งไปวิ่งมา ทำอย่างไรจะเห็นถึงความเสื่อมของกิเลสที่อยู่กับจิตตัวนี้ จะต้องเห็นทั้ง ฟันหนังและจิตที่อยู่ภายนอกภายในประกอบด้วย แต่เขาก็จะแยกไปเฉพาะผมขนเล็บฟันหนัง ส่วนจิตก็ดับหมด เอาแต่จิตอย่างเดียวมันก็เลยไม่สามารถที่จะทำให้เห็นองค์ประกอบสมบูรณ์ของความเสื่อมของกิเลสที่อยู่ในจิตได้ ก็เลยไม่สมบูรณ์ เอาแต่ส่วนนอกอย่างเดียวหรือเอาแต่ส่วนในอย่างเดียว เป็นองค์ประกอบที่ไม่สมบูรณ์ที่พระพุทธเจ้าท่านมุ่งหมายเน้นย้ำให้เห็นกรรมฐานนั้น
พ่อครูว่า…ก็พอเข้าใจคร่าวๆ ก็ยังจะพูดซ้ำและขยายความอีก อาตมารู้สึกว่ายังไม่เก่งในการอธิบาย หลายคนบอกว่าถ่อมตน แต่ตนเองก็รู้สึกว่าน่าจะอธิบายแล้วเมื่อคนฟังเสร็จแล้ว ท่านก็อธิบายได้อย่างหงายของที่คว่ำ จุดไฟในที่มืด บอกทางให้แก่คนที่หลงทาง มันชัดเจนอย่างนั้นจริงๆเป็นคำตรัสในพระไตรปิฎก
อาตมาอธิบายไปก็จะเป็นรูปรอยอย่างที่มีตำนานมา อาตมายกประเด็นสำคัญคือ ทำไมมาบอกย้ำว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ แล้วบอกว่าคนอื่นไม่ใช่อีก อรหันต์ที่คนเขามี Concept ความรู้ที่ยึดถือไว้แล้ว ความรู้ที่เขาได้รับจากอาจารย์ต่างๆซึ่งมันได้ผิดเพี้ยนมันก็ไม่เหมือนกัน เมื่อจะมาบอกว่าตนเองเป็นอะไร เขาก็จะบอกว่าอรหันต์ผีบ้าอะไรอย่างนี้ มันตรงกันข้ามเลยต่างๆนานา 1) ไม่ต้องบอกใครบอกใครไม่ได้ พระอรหันต์นั้นจะบอกใครว่าเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ หรือว่าพระอรหันต์ทำไมกิริยาอย่างกับลิง พระอรหันต์ที่เขาเข้าใจจะต้องสุภาพ คำว่าสุภาพนี้ที่จริงแปลว่าภาพที่ดี สุ แปลว่าดี ดีอย่างเร็วอย่างลิงก็ได้แต่เขาแปลภาษา สุ แปลว่าช้า สุ อย่างเดียวไม่ได้แปลว่าช้า สุขุม ก็ไม่ได้แปลว่าช้า แต่สุขุมแปลว่าละเอียด และยิ่งละเอียดยิ่งเร็วไวยิ่งเล็กละเอียดเหมือนลูกข่างนอนวัน กินน้ำจั้น ยิ่งนิ่งยิ่งเร็วแรง อาตมาไม่ได้พูดออกนอกรีต ในโลหิจสูตรว่าไว้ ใครที่บรรลุแล้วบอกคนอื่นไม่ได้ คนเห็นแบบนี้มันผิดมันพังเลยนะเป็นมิจฉาทิฏฐิ ชาตินี้คุณอาจจะผยอง แตกต่างจากตรงนี้แล้วคุณไม่ได้เป็นอื่นเลยเพราะว่ามันผิดคุณต้องไปรับโทษเป็นเดรัจฉานหรือไปนรก สองทางที่คุณจะไป ถ้าใครไปเข้าใจว่าบรรลุแล้วบอกใครไม่ได้
โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่… ฯลฯ ” .
พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีคติ ๒ คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 358)
ในพระสูตรอื่นก็มีพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ ยกตัวอย่างพระสูตรนี้
พระสัพพกามี ได้กล่าวกับพระเรวัตตะว่า บัดนี้ท่านอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไรบ้าง
ท่านพระสัพพกามีกล่าวว่า “ท่านเรวตะ ทราบว่า เวลานี้คุณอยู่ด้วยวิหารธรรมที่เรียบง่าย นั่นก็คือเมตตา”
ท่านพระเรวตะตอบว่า “ท่านผู้เจริญ เมื่อก่อนคราวเป็นคฤหัสถ์ ผมได้ประพฤติสั่งสมเมตตา ฉะนั้นเวลานี้ผมก็ยังอยู่ด้วยเมตตาวิหารธรรมเป็นส่วนมาก แต่ผมบรรลุอรหัตตผลนานแล้ว ท่านผู้เจริญ เวลานี้พระเถระอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไรเล่าเป็นส่วนมาก”
ท่านพระสัพพกามีตอบว่า “ท่านเรวตะ เวลานี้ผมอยู่ด้วยสุญญตวิหารธรรมเป็นส่วนมาก”
ท่านพระเรวตะกล่าวว่า “ท่านผู้เจริญ ทราบว่า เวลานี้ พระเถระอยู่ด้วยวิหารธรรมของพระมหาบุรุษ นั่นก็คือ สุญญตสมาบัติ”
ท่านพระสัพพกามีกล่าวว่า “ท่านเรวตะ เมื่อก่อนคราวเป็นคฤหัสถ์ ผมได้ประพฤติสั่งสมสุญญตสมาบัติ ฉะนั้นเวลานี้ ผมก็ยังอยู่ด้วยสุญญตวิหารธรรมเป็นส่วนมากแต่ผมบรรลุอรหัตตผลนานแล้ว”
เป็นหลักฐานยืนยันว่าท่านบรรลุอรหันต์แล้วก็พูดกันได้บอกกันได้เป็นธรรมดา ไม่ได้เป็นเรื่อง มังกุ อุทธัจจะ เก้อเขิน เป็นเรื่องน่าอายอะไรแต่เป็นเรื่องสามัญเป็นปกติ ท่านบรรลุแล้วท่านก็บอกกันเด้อ ผู้ที่ควรบอกก็บอก ผู้ที่ไม่ควรบอกไปก็เท่านั้น แต่คนก็เข้ามา ตู่ว่า พูดออกไปนี่ทางโทรทัศน์คนได้ยิน อาตมาก็ว่า คนที่เขาเปิดฟังเปิดดูอาตมาน่ะ หากมันไม่เข้ากับรสนิยมเขา เขาก็จะไม่ฟังหรอก คนที่เขาเปิดดูอาตมาเขาก็มีอิสระเสรีภาพ ดูว่าน่าสนใจหรือไม่หรือจะเปิดเพื่อจับผิดก็ตาม เปิดฟังดูสิว่ามันมีอะไรเอาไว้ไปแย้งก็ได้ แต่คนที่ไม่จับผิด ยิ่งฟังยิ่งดี สุสูสังลภเตปัญญัง ยิ่งฟังยิ่งได้ปัญญาก็มีแน่นอน อาตมาก็เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน จากผู้ที่ได้ประโยชน์ อาตมาทำงานด้วยอิสระเสรีภาพไม่หลอกล่อ ไม่ประเล้าประโลมให้มันตรงให้มันชัดจริงๆ ดุ้นๆเลย ไม่อาบสีไม่พอกน้ำตาล เป็นบอระเพ็ดยังไม่ฉาบน้ำตาลเลยบอระเพ็ดล้วนๆอย่างนั้น แต่เขาพอกมาจนหนาเปรอะมากแล้วอาตมาไม่ทำอย่างนั้น อาตมาถึงได้คนที่ได้เป็นเนื้อไม่ต้องได้คนที่หลงไหลสิ่งที่พอก อาตมาเข้าใจศิลปะกับสาระมาก็เอาแต่สาระ สุนทรียะนิดหน่อย สนุกบ้างนิดๆหน่อยๆเล็กๆน้อยๆ ไม่มากเลย จนกระทั่งถือว่า แทบจะเป็นสารคดีเต็มๆ แต่ก็พยายามที่จะไม่ให้เคร่งเครียดเข้มเกินไปก็แถมเล็กๆน้อยๆให้เกิดสนุกสนาน humor มีอะเหร็ดอร่อยๆเล็กๆน้อยๆ
สรุปว่า ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ก็บอกกันได้พูดโดยที่จิตไม่มี สาเฐยจิต จิตไม่มีอุปกิเลส สาเฐยจิต อยากอวดอยากบอกไม่มี มีแต่เปิดเผยความจริงให้เต็มรูป
อาตมาเห็นเหมือนกันว่าสิ่งที่อาตมาทำโดยรวมของมวลมนุษย์ที่เขาเข้าใจแล้วถือว่าควรจะอนุโลมอย่างนี้ อาตมาไม่อนุโลมเขา เขาก็ถือว่าอาตมานี่ไม่ใช่ หรือ ไม่ให้เขาบ้างเลย เขาก็งอนบ้าง รับไม่ไหวบ้าง แต่อาตมาว่าไม่เป็นไร เพราะคนที่อธิบายเชื่อมต่อกับอาตมาเอาสิ่งที่อาตมาอธิบายไปขยายความมีอยู่ตลอดเวลามีตั้งหลายชั้นอยู่แล้ว เขียนขยายความก็ทำอยู่เรื่อยๆทำสารพัดเท่าที่เห็นว่าจะสื่อสารออกไปมีโอกาสเวลาก็ทำ เรี่ยวแรงเท่าที่สรีระร่างกายพยายามประคองขันธ์ให้อยู่ยืนยาวต่อไป อย่าเพิ่งรีบตาย เพื่อพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าคือโพชฌงค์ มีความพยายามพากเพียรที่จะทำให้เกิดองค์ประกอบที่เข้ามาทำให้อายุยืนยาวได้ ที่อาตมาเรียกรวมว่า สัมประสิทธิ์ Coefficient ทำให้พลังงานที่จะช่วยต่อชีพ ต่อชีวะ ต่ออายุขัย ของเราไปได้ด้วย ทั้งพิสูจน์สัจธรรมพระพุทธเจ้า ทั้งตัวเองก็จะได้อาศัย ทำงานให้เป็นประโยชน์แก่โลกสังคมมนุษยชาติ ทั้งเป็นการสืบสานศาสนาพุทธ ให้มันมีเหตุปัจจัย ให้มีฐานความรู้ที่แน่น ครบละเอียดดีงามเข้าไปให้เผื่อพอไว้ ถ้าไม่เผื่อพอไม่ดีแน่ ศาสนาพุทธจะอายุสั้นไม่ครบอายุขัย
อาตมาพูดไม่รู้กี่ทีแล้วว่าอาตมารับปากจากพระพุทธเจ้ามาแล้ว ว่าจะมาเป็นผู้สืบทอดจะมาต่ออันนี้ เป็นหน้าที่ อันนี้พูดไปแล้วคนเขาจะหมั่นไส้ เพราะอาตมาอ้างไป ก็ลอยลมอ้างชื่อบุคคลในตำนานว่าอาตมาเป็นชื่อผู้นั้นตั้งแต่ชีวิตตอนโน้นเดี๋ยวนี้ก็ก้าวหน้ามาเป็นอันนี้ จากอันโน้นอาศัยร่างเก่าชื่อนั้นตระกูลนั้นกินอาหารอย่างนั้นอยู่ในฐานะอย่างนั้น ตามที่ท่านตรัสไว้ในบุพเพนิวาสสานุสติญาณ พูดไปคุณก็จะเอาอะไรมารับรองได้ อาตมาก็ไม่มีผู้รับรองให้ พูดไปอ้างอิงโกหกก็ได้ แค่อาตมาพูดอ้างอิงยืนยันขนาดนี้ อาตมาเป็นธรรมิกราชรูปหนึ่งในยุคนี้ แล้วอาตมาก็ยืนยันว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นธรรมิกราชองค์หนึ่ง แค่นี้อาตมาก็แทบจะรับอิฐรับหินรับเกี๊ยะปามาขว้างมาใส่ไม่รู้เท่าไหร่แล้ว เขาจะไม่เชื่อไม่เห็นว่าอาตมาเป็นจริง แต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เขาเห็นว่าเป็นจริงเพราะท่านทรงงานมา 70 ปี ท่านทรงงานอย่างเป็นรูปธรรมเห็นได้ ส่วนอาตมาทำงานอย่างเป็นนามธรรมเห็นยาก และโดนหักโดนต่อต้าน โดนปกาสนียกรรม ซึ่งต่างกันทุกอย่างเลย ในหลวงท่านมีอลังการทุกอย่างครบ ของอาตมามีขี้ขยะครบมันคนละทิศเลย เพราะฉะนั้นจึงต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างหนักเลยพิสูจน์ตัวเองอย่างมาก จะใช้เวลาพิสูจน์น้อยหรือสั้นไม่พอ จึงพยายามกระเสือกกระสน ลากสังขาร พยายามไป
จริงๆอาตมาก็ยังรู้สึกว่าดีนะอาตมายังมีวิบากขันธ์ก็แค่ไอ ไม่มีปวดเจ็บมากมายสารพัดโรคไม่มีโรคอะไร ที่พูดนี้ขออภัยเดี๋ยวจะหาว่าท้าทาย มีไอ อย่างเดียวก็เมื่อยแล้วกินพลังงานพอสมควร มันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยตามบารมีตามวาสนาที่แท้จริง ก็ทำได้ขนาดนี้ อาตมาพูดไปแล้วก็คงจะเห็นใจเกรงใจอยู่ รู้สึกว่าพูดไปแล้วก็เหมือนอวดตัวเองว่าใหญ่ จนกระทั่งคนหาว่าบังอาจยกตนเทียบเท่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ใส่ความอาตมาได้ แต่อาตมาไม่ได้พูดเพื่อเป็นการยกตนเอง แต่พูดตามวิชาการตามความรู้ตามสัจจะธรรมที่ปรากฏการณ์จริง Phenomenology ไม่ได้บังอาจไปกว่านั้น เพื่อยืนยันเป็นปรากฏการณ์วิทยา ไม่อย่างนั้นคนจะเข้าใจแค่เป็น ฟิโลโซฟี่ Epistemology เป็นแค่ญาณวิทยาที่มีสิ่งรองรับเป็นจริงเพิ่มขึ้น
แต่ว่าปรากฏการณ์วิทยามันมีจริงทั้งเรื่องราวมีตัวตนบุคคลมีกรรมกิริยามีหมู่ชนมีพฤติกรรมสังคม มีอะไรที่ยืนยันได้เลยทั้งด้านเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์สังคมศาสตร์ อาตมามีครบเลยซึ่งได้ขออภัย มีได้ครบเกินกว่าเจ้าสำนัก ที่ไหนประดามีมา ที่เป็นโลกุตระด้วยนะ ครบและเป็นโลกุตระด้วย ขออภัยไม่ได้อวดตัวยกตนแต่พูดเพื่อย้ำยืนยันสัจจะว่าในยุคนี้มันมีอย่างนี้จริงๆอย่างนี้ตรวจสอบตามพระพุทธเจ้าบอกไว้เลยเอาหลักของวรรณะ 9 เอาหลักสาราณียธรรม 6 มาตรวจสอบ กถาวัตถุ 10 เอาคำสอนพระพุทธเจ้าตรวจสอบได้หมดว่ามันตรงไหม กับคำสอนหรือว่าพูดลอยๆไม่มีสิ่งอ้างอิงยืนยันตามคำสอนพระพุทธเจ้า อาตมาว่าอาตมาไม่ได้โมเม ถ้าหากอาตมาไม่จริงแล้วไปพูดปด อาตมาก็มีวิบากบาปใส่ตัวเอง แล้วยิ่งไปอ้างขนาดนี้ ยิ่งกว่าอนันตริยกรรม อาตมาเชื่อกรรมเชื่อวิบากกรรมที่ทำเป็นอันทำเป็นวิบากจริง แค่กรรม วิบาก แค่กรรมเป็นของของตนเชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า 4 อย่างนี้หากคนไม่เชื่อก็เลิกเลยศาสนาพุทธ
เทวนิยมไม่ได้ศึกษาเรื่องกรรมวิบากเพราะเขาเชื่อว่าเกิดชาติเดียว ตายแล้วก็ไปอยู่กับพระเจ้าจบ ปิดประตูรู้อย่างอื่นต่อไม่มีอะไรที่จะมีชาติต่อไป ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า อยู่กับความสุข ถ้าพระเจ้าไม่ชอบทำผิดอะไรจะสั่งลงนรกก็เรื่องของพระเจ้าเป็นผู้พิพากษา เขาเชื่อว่าพระเจ้าเป็นเจ้าของทุกอย่าง เป็นเจ้ากรรม เจ้าของอัตตา อาตมัน ดินน้ำไฟลมพระเจ้าเป็นเจ้าของหมด
แต่ว่าศาสนาพุทธไม่ได้เห็นอย่างนั้น อย่างนั้นถือว่าเป็นเรื่องงมงาย แต่เห็นอีกอย่างที่เอามาพิสูจน์ยืนยันได้เลย จนกระทั่งอาตมากำลังพยายามจะยืนยันว่าศาสนาพุทธนั้นเชื่อกรรม แต่เทวนิยมนั้นเชื่อ God เชื่อพระเจ้า
ศาสนาพุทธจะบอกว่าเชื่อพระเจ้าก็ได้แต่ God ก็คือกรรม พระเจ้าก็คือกรรม แต่ละคนสร้างพลังงานที่ยิ่งใหญ่ของจิตวิญญาณ พระเจ้าคือจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ โสดาบัน ก็สร้างความยิ่งใหญ่ของจิตวิญญาณได้ประมาณหนึ่ง ก็เป็นพระเจ้าน้อยๆก็มีอำนาจจิต วสวัตตีจิต ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้อย่างเช่นสำหรับอบายมุข ก็ไม่มีดูดซึมซับอะไรเลย เป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดินได้เลย หลุดพ้นแล้วในเรื่องอบาย จะไปที่ไหนสิ่งที่เป็นเรื่องต่ำมันมีอยู่ทั่วไปมันมีเยอะ แต่ผู้ที่อยู่เหนือมันแล้ว เป็นผู้ที่หลุดพ้นแล้วเป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือมันแล้ว เราก็เห็นก็รู้มันมีอยู่ในโลกเราก็ไม่คลุกคลีเกี่ยวข้อง เพราะอันนั้นเป็นเรื่องฐานเป็นเรื่องโง่ไม่ดีแล้ว เรานี่เป็นบัณฑิตแล้วเป็นผู้เป็นผู้ฉลาดแล้ว เป็นผู้อสังสัคคะ ไม่ต้องไปคลุกคลีเกี่ยวข้อง อสังคณิกะ ไม่ต้องไปเข้าหมู่พวกกับมัน ไม่ต้องเป็นสวรรค์กับมันแล้ว อสังสัคคะ เขาแปลเป็นพยัญชนะว่าไม่คลุกคลีเกี่ยวข้องก็ถูก สัคคะ แปลว่าสวรรค์ อสังคณิกะคือเราไม่เป็นหมู่กลุ่มกับมันเรามาอยู่กับหมู่บัณฑิต แล้วเขาก็ไปหลงว่าอบายเป็นสวรรค์ มันเป็นของแท้ที่จริงแล้วมันเป็นนรก
แล้วเป็นนรกในระดับ อบาย ขออภัย เป็นสวรรค์ในระดับ อบายด้วย ไปหลงว่าเป็นสวรรค์แต่แท้จริงแล้วมันเป็นนรก พูดก็ไม่รู้ เหมือนหนอนกินขี้ เขาก็บอกว่าหยุดกินขี้ได้แล้ว เทวดาก็บอกอย่างนั้น ที่จริงใช้คำศัพท์เทวดามาแทนเท่านั้นเป็นผู้จิตสูงก็บอกหนอนว่าเลิกกินขี้ได้แล้ว หนอนก็บอกว่าไม่รู้อะไรเป็นของอร่อย หนอนก็ว่าเทวดาหน้าโง่ไม่รู้จักของอร่อย อ้าปากก็อุจจาระไหลเข้าปากแล้ว
อธิบายถึงสิ่งต่างๆเหล่านี้ แยกกาย จิต เป็นอุตุ พีชะ จิต
จิต เมื่อเป็นจิตสูงแล้วก็ควบคุมกรรมได้อยู่เหนือกรรม
กรรมที่ทำแล้วอะไรที่เป็นกุศลก็ทำ อะไรที่เป็นอกุศลเป็นบาปไม่ทำเลยได้เด็ดขาดมีอำนาจในจิต ไม่ทำเด็ดขาดจะทำแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีไม่ทำ แม้ทำสิ่งที่ดี ซ้อนอีก ก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าดีเป็นเราเป็นของเรา แต่ไม่วิปลาส ก็รู้ว่าเราเป็นผู้ทำ คนจะมากตัญญูต่อเรา เขารู้จักว่าเราทำให้เขาดีเขาจะมาตอบแทน มันก็เป็นคุณธรรมที่ดีอีก ที่เป็นเทวธรรม ที่ต้องรักษาไว้ในโลกมนุษย์สมมุติ ก็เข้าใจหมด ก็อยู่กันอย่างทำสิ่งที่ควรจะทำควรจะเป็นอย่างดี
สังคมที่เข้าใจรายละเอียดซับซ้อนหลายชั้นยังไม่ผิดไม่เปรอะไม่เปื้อนละเอียดดีงามก็ช่วยกัน ใครเปื้อนเลอะไปนิดก็ดูแลช่วยกันมันก็จะไม่ เปรอะมาก สะอาดอยู่เรื่อยๆช่วยกันดูแลขจัดขัดเกลา เป็นความซับซ้อนของสังคมบวร บ้านวัดโรงเรียน สามเส้านี้ที่อาตมาทำได้มาแล้วจนทุกวันนี้มีสังคมหมู่บ้านมีมนุษย์อยู่ร่วมกัน สามารถที่จะให้ธรรมะ และโรงเรียนเรียนทั้งด้านการงานที่จะใช้อาศัยใช้สอยกินอยู่เผื่อแผ่มีรูปธรรม ทั้งการงานที่เป็นธรรมะ ซ้อนอยู่ในนี้ แทรกในบวร ครบ จะเป็นรูปธรรมที่มีพฤติลักษณ์ครบไปเรื่อยๆ
เหลืออีก30นาทีจะขอขยาย รูป 24 อุปาทายรูป 24
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดินสรุป…ต่อไปพวกเราคงคุ้นกับการจิบน้ำทุก 30 นาที หมอเขาอยากให้มีความหล่อลื่นไม่ให้เสียงแห้ง
พ่อครูพูดถึงปรากฏการณ์วิทยา คนที่ศรัทธาก็มองว่าสูงได้ คนที่ไม่ศรัทธาก็บอกว่าเป็นเทวทัตมาเกิดได้ แต่ใครจะสูงหรือต่ำก็อยู่ที่กรรมของเรา หากเราทำให้เกิดความแตกแยกในสงฆ์ทำให้เกิดความเดือดร้อน ก็เป็นกรรมของพระเทวทัต แต่ถ้าเราทำแล้ว ไม่ได้ทำให้เกิดความแตกแยก มาสร้างคนจากคนที่ไม่มีศีลให้มามีศีล เป็นหมู่บ้านที่มีศีลมีระบบสาธารณโภคี ชีวิตเหมือนกับพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาลที่มีกองกลางรวมกัน ก็เกิดความพิเศษไปตามลำดับเป็นบวร เป็นปรากฏการณ์วิทยา คุณไม่เข้าใจจะเรียกว่าเป็นพระเทวทัต จะเรียกเป็นพระธรรมิกราช กอบกู้ศาสนา อยู่ที่เนื้อหา หากเขาเข้าใจไม่ได้แค่ว่าพวกนี้กินแต่ผักแต่หญ้าเลี้ยงยากเหมือนพระเทวทัตเข้าใจได้แค่นี้ก็แล้วแต่ แต่มันอยู่ที่ปรากฏการณ์วิทยาที่มีอะไรเกิดขึ้นมา
พ่อครูว่า…มีปรากฏการณ์ขึ้นมาคือตั้งแต่มีศีล อาตมาก็สอนคนให้รู้จักศีลขยายความศีล จนขยายความถึงยอด ทั้งขยายทั้งย่อ และขยายสรุป ศีล ก็ได้เข้าใจความเป็นศีลอีกมากขึ้น ทั้งขยายและทั้งสรุป
ก็ต้องมีศีลเป็นตัวหลัก เป็นพื้นฐานเป็นเบื้องต้น ศีล แล้วก็เอาไปปฏิบัติตามจึงเกิดเป็นสมาธิจึง เป็นอธิจิต ตกผลึก เป็นจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ โดยมีปัญญา คือธาตุรู้ระดับโลกุตระรู้จักปรมัตถ์ จิต เจตสิก รูป นิพพาน รู้จักธรรมนิยาม 5
รู้จักแม้แต่สังโยชน์ 3 รู้จักสักกายะรู้จักตัวตนของเรา ตัวตนที่สำคัญคือกิเลส แยกกิเลส อัตตาตัวนี้ออก ตั้งแต่ตัวที่เห็นง่ายๆ โอฬาริกอัตตา แล้วมีวิธีกำจัด โดยสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า
ปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 เป็นต้น มีศีล แล้วมีอปัณกธรรม 3 เกิดสัทธรรม 7 สะสมเป็นฌาน 1-4 ตกผลึกเป็นสมาธิ แล้วมีวิชชาหรือความรู้ ถอดจากปัญญาในสัทธรรม 7 ปัญญานี่แหละเป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละไปเป็นวิชชา 8 ก็พิสดารขึ้นไปอีก
ในจรณะ 15 วิชชา 8 เริ่มต้นพระโสดาบันก็มีแล้ว
วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธี นี่เป็น 3 วิชชาแรก
วิปัสสนาญาณไม่ใช่ญาณอย่างสมถะ อ.บูรพาก็จะมีแบบสมถะไป ดำไปใต้ทะเลเข้าหาหลุมดำเบอร์มิวด้าลึกเข้าไปใหญ่ แต่นี่มันยิ่งสว่างยิ่งเห็นยิ่งโผล่ขึ้นมาอยู่เหนือพื้นที่ดำมืดมาสว่างกระจ่างชัดหมดเลย มันคนละทิศคนละทาง ปฏิบัติแล้วมันเกิดผล
ปัญญาในอปัณกปฏิปทา 3 ชัดเจนว่าถ้าไม่มีสำรวมอินทรีย์ 6 มันชัดเจนว่าปฏิบัติมันผิดไป อปัณก แปลว่าไม่ผิด ปฏิปทาแปลว่าข้อปฏิบัติ ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด เพราะมี
สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ตื่นๆขึ้นมารับสัมผัสทางทวารทั้ง 6 ตากระทบรูปหูกระทบเสียงเป็นต้น ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วสร้างแสงสว่างอยู่ภายในได้ อยู่ อย่างลืมตาเปิดเห็นแสงสว่าง มีอาโลก ไม่ใช่ไปหลับตาปิดหูปิดตา คนละเรื่องคนละทาง หากว่าอาจารย์บูรพาฟังบ้างก็จะดี หรือสำนักอื่นใดสำนักพระป่า สำนักหลับตาปฏิบัติทั้งหลาย ได้ฟังบ้างก็จะเป็นกุศลอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้นหลักฐานที่อาตมาทำนี้ มันเกิดมนุษย์มีศีล แล้วเกิดมนุษย์ที่มีสมาธิแบบพระพุทธเจ้า ขอยืนยันว่าเป็นแบบพระพุทธเจ้า จากมหาจัตตารีสกสูตร ยืนยันว่า สมาธิของพระพุทธเจ้าเป็น อริโยสัมมาสมาธิ เป็นสัมมาและเป็นอาริยะไม่ใช่ของอนาริยะ อาตมาเรียกอาริยะ
สมาธิของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้อง เป็นสมาธิที่ได้จาก มรรค 7 องค์ ในมหาจัตตารีสกสูตร ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา หลับตาแล้วจะไปทำอาชีพอะไรได้ พระพุทธเจ้าบอกว่าทำสมาธิ ขณะทำอาชีพ ทำการงานใดก็สั่งสอนให้มีเกิดเป็น สมาธิ เป็นวิมุติ พูดหรือคิดก็สั่งสมสมาธิ สังกัปปะ 7 ก็ตัวกลางของจิตเลย เกิดสัมมาสมาธิ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาทำให้เกิดสมาธิแบบนั้นไม่มี นอกจากไม่มีแล้วนี่นะ อันนี้ยิ่งเข้าใจยาก ไม่ว่าจะเป็น
ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย หรือในอานาปานสติ ที่เดียรถีย์ไปหลับตากัน หากหลับตานั้น ต้องเข้าใจว่าคุณจะทิ้งกายไม่ได้ หากทิ้ง กาย คุณหมดเลยไม่ใช่ศาสนาพุทธอะไร
กายที่เหลือ ในขณะนั่งหลับตาคือลมหายใจที่คุณรู้สึกหายใจยาวหายใจสั้นหายใจเข้าหายใจออก หากไม่มีความรู้สึกว่าลมหายใจเข้าหรือออกสั้นหรือยาว คุณไม่มีความรู้สึกเลย ลาไปสร้างลมดิบแบบที่เป็นนิรมาณกายเพิ่มขึ้นบนลงล้าง ลมร้อนเย็น ก็เป็นการสร้างมโนมยอัตตา จะให้เป็นแสงต่างๆสีเขียวสีเหลืองอะไรก็ได้ในขณะหลับตามันเป็นอุปาทานทั้งนั้น ทั้งที่หลับตามันก็ต้องมืด ไม่ใช่หลับตาแล้วมีแสงอะไรเกิดขึ้นในจิต นอกจากหลับตาแต่แสงลอดหนังตามาก็มีแสง แต่นี่ไปหลับตาสนิทในที่มืดแล้วก็มีแสงสว่างอะไรเกิดขึ้นในจิตอย่างนั้นมันเป็นอุปาทาน
หากเอาแสงสีจะเป็นกรรมฐานแล้วบอกว่าเป็นฌานอีก มันเป็นสมถะ
เพราะฉะนั้นฟังธรรมะที่อาตมายืนยันอาตมาพามาทำสมาธิ แบบของพระพุทธเจ้า
เมื่อปฏิบัติอปณกะ 3 สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา รู้จักประมาณในเครื่องกินเครื่องใช้สิ่งที่บริโภคอุปโภคต่างๆ คุณก็ต้องใช้อย่างพอเหมาะ ไม่ต้องเปลืองไม่ต้องมาก อันที่เป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตน้อยที่สุดมาได้ดีที่สุด แล้วก็ทำให้ร่างกายไม่เสื่อม ความเป็นอยู่กรรมการงานไม่เสื่อม ให้ครบเหตุปัจจัยก็แล้วกัน แล้วคุณก็จะต้องเป็นคนตื่น ชาคริยะ ตื่น ไม่ใช่คุณไปหลับตา หลับดิ่งลงไป ไม่ใช่ แต่ให้ตื่นมารู้โลก มีสติเต็มร้อยมีตาหูจมูกลิ้นกายให้เต็ม แล้วก็เรียนรู้พร้อมกับมรรคทั้ง 7 องค์ มี
สัมมาทิฏฐิเป็นประธาน เสร็จแล้วก็ควบคุมทั้งหมด มีสัมมาวายามะกับสัมมาสติเป็นผู้ช่วยห้อมล้อมมีความพยายาม วายามะ พยายามที่จะทำงานให้ถูกต้องเป็นสัมมา หรือเป็นอาริยะ สัมมาอาริยะให้ครบให้ถูกต้อง พยายามแล้วต้องมีสติตื่นเต็ม
สติตื่นเต็มกับความพยายามจึงเป็นคู่หูอยู่กับสัมมาทิฏฐิที่เป็นประธาน อาตมาเปรียบเทียบว่าเหมือนกับหวังเฉาหม่าฮั่นกับท่านเปา ท่านเปาเป็นประธาน มีหวังเฉากับหม่าฮั่นเป็นผู้ช่วยหรือเป็นคู่อัศวินซ้ายขวา เหมือนพระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะช่วยพระพุทธเจ้าทำงาน ก็ต้องมี สามเส้านี้ช่วยกันไปตลอดแล้วจะเกิดวิตกวิจัยวิจารณ์จากกรรมการงานอาชีพจากการกระทำทุกอย่าง กัมมันตะ จากการพูดจาจากการคิดนึก
สังกัปปะก็มี 7 แล้วก็เลือกเอาตัวที่เป็น กายกลิ ตัวที่เป็นโทษ องค์ประชุมสองอย่าง กายกลิ ที่เป็นตัวที่เป็นโทษนี้ มันเป็นกิเลส กายเป็นองค์ประชุมของรูปนาม กลิคือกาลี ตัวเป็นโทษจับตัวนี้ให้ได้ เรียกว่าสักกายะ สักกะคือตัวเรา กายะคือรูปนาม หรือกายกลิ จับตัวนี้ให้ชัดให้ถูกตัวตนอย่าไปเอาจิตที่สะอาดที่ดีไปเลอะเทอะเอาไปประหารด้วย คุณก็เสียแคลอรี่ ตัดแขนขาของจิตวิญญาณออกอีก อย่าไปละเมิดจิตสะอาดจิตแท้ เอาแต่ตัวจิตปลอมจิตเก๊ จิตอาคันตุกะที่มันเป็นตัวกิเลสแท้ๆให้ชัดเจน ตัวนี้แหละที่สำคัญ
ปัญญาของพระพุทธเจ้าจึงเป็นตัวเลือกเฟ้นตัดสินธัมมวิจัย เอาตัวกิเลสแท้ๆอย่างชัดเจนไม่สงสัยลังเล พ้นวิจิกิจฉาว่าเป็นกิเลสแท้ๆ แล้วมีวิธี ศีลพรตทำจริงๆถ้าเป็นสีลัพพตุปาทาน ก็เป็นศีลพรตที่ถือกันวิธีปฏิบัติที่ถือตามๆกันมา เป็นศีลก็มิจฉาทิฏฐิ หากที่ประพฤติปฏิบัติก็ผิด ยึดถือตามครูบาอาจารย์ตามจารีตประเพณีที่ผิดๆตามกันมาเรียกว่า สีลัพพตุปาทาน
แต่ถ้าคุณสัมมาทิฏฐิแล้วมาเรียนรู้สัมมาทิฏฐิจากสัตบุรุษก็ชัดเจนแล้วว่า ศีลพรต เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นความรู้ที่ถูกต้องแล้วคุณก็เอามาปฏิบัติ ปฏิบัติให้จริงๆ ไม่ใช่เจอกิเลสเข้ากอดคอกับกิเลสเล่น มากิเลสกินข้าวต้มกุ๊ยกัน แล้วลูบคลำเล่นหัวเราะเหลาะะแหละ ไม่จัดการกับกิเลสจริงๆให้กิเลสเสื่อม กิเลสจางคลายกิเลสดับ ไม่เอาจริงเรียกว่า สีลัพพตปรามาส
คำว่า สีลัพพตุปาทาน กับสีลัพพตปรามาส สำนักอาจารย์ต่างๆก็ยังแยก 2 คำนี้ไม่ออกจากกันได้ คำว่า สีลัพพตปรามาส มีสัมมาทิฏฐิและได้แต่ไม่ปฏิบัติเอาจริง ยังเล่นหัวกับกิเลส เล่นกับหมาหมาเลียปาก ทั้งที่มีวิธีปฏิบัติศีลพรตที่ถูกต้องแล้ว พ้นจากสักกายทิฏฐิแล้ว
-
จับตัวกิเลสได้ พ้นสักกายทิฏฐิ
-
ไม่สงสัยแล้ว ไม่ละเมิดจิตดี จิตเดิมแท้แล้ว รู้ว่าตัวนี้แหละคือกิเลส มันปลอมตัวมาเป็นวิญญาณ ชัดเจนแล้ว ไม่สงสัยลังเล
-
มีวิธีปฏิบัติ ศีลพรต มีวิธีปฏิบัติได้อย่างสัมมาทิฏฐิแล้วแต่ยังปรามาส ยังแค่เล่นหัวไม่เอาจริง เหลาะแหละ เท่านี้แหละ ถ้าคุณพ้นสังโยชน์ 3 พ้น สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ทำให้กิเลสลดได้แม้แต่จะเป็นส่วนหนึ่ง ปุญญภาคิยา กิเลสมี 100 คุณตัดออกไปได้ 20 30 ส่วน ที่คุณสามารถฆ่ากิเลสได้นี่แหละคือส่วนแห่งบุญเป็นส่วนที่เสียไม่ใช่ส่วนที่ได้
ส่วนบุญคือส่วนที่กำจัดเจ้าชั่ว กิเลสตัณหา ตัวกาลี เรียกพหูพจน์ว่ากาลี ได้ เป็นส่วน ถ้าได้ไปเรื่อยๆครบส่วนก็หมดสิ้นอาสวะ สิ้นอาสวะ เป็นอนาสวะ ถ้ายังเหลือก็เรียกว่าสาสวะ ยังมีอาสวะเหลืออยู่ ได้ส่วนที่มันได้เป็นส่วนๆไป เรียกว่าได้ส่วนบุญ
ได้ส่วนบุญก็ได้ส่วนเสีย
ต้องชัดเจน หากเข้าใจคำว่า บุญ ไม่ถูก เข้าใจคำว่าบุญคือเครื่องประหารกิเลส ตัวที่พระอรหันต์ไม่เอาแล้วไม่มีบุญอีก หากหมดบาปสัพพปาปัสสอกรณัง ทำกรรมกิริยาใดอีกก็ไม่เกิดบาปจึงเป็นพระอรหันต์ หากยังมีบาปเหลืออยู่ก็ยังไม่ครบสมบูรณ์ ก็ใกล้เข้าไปได้เป็นอรหัตตมรรค เกือบจะเป็นอรหันต์สมบูรณ์แบบก็แล้วแต่ความสามารถที่ทำได้
พระโสดาบันจะต้องพ้นสังโยชน์ 3 ถ้าคุณยังไม่มีคุณสมบัติ 3 นี้อย่างจริง บางทีคุณอาจไม่รู้ด้วยพยัญชนะแต่คุณทำเป็น คุณทำกิเลสด้วย 3 ข้อนี้ ทำให้กิเลสลดลงไปได้ด้วย ศีลพรตที่ถูกต้อง ก็พ้นจากสังโยชน์ 3 จะได้เท่าไหร่ก็แล้วแต่ ถ้าได้แล้วมันฟื้นกลับคืนไปอย่างเก่าหรือมากกว่าเก่าอันนั้นยังไม่ใช่โสดาบัน แต่ถ้ามันยังยึกยัก
-
โสตาปันนะ จิตคุณเข้ากระแสโลกุตระแล้วรู้จัก สักกายะ ลดกิเลสได้ ทำได้ลดได้ 40 แต่ถอยกลับเหลือ 30 แต่ถ้าทำได้ 40 แล้วถอยกลับไปเป็น 50 นั้นไม่ใช่โสดาบัน เป็นปุถุชน