มิ.ย.282019ศาสนา620628_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก เรียนรู้กายให้เข้าถึงหัวใจของศาสนาพุทธ อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/14fcF4ZIm36X2aS0YGj5y2JCufLRfp7YRu1DCxYrIyrk/edit?usp=sharing ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1FbCkpnIEGGRR75JRHkduOxb2PcQeB-tz สมณะเดินดินว่า… วันนี้วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน 2562 ที่บวรสันติอโศก วันนี้เป็นวันพิเศษที่ชาวสันติอโศกคงจะเข็มขัดสั้น ก่อนหน้านี้มีประกาศว่า ท่านจันทร์ ท่านเดินดิน ท่านแสนดินจะมาเทศน์ แต่ตอนนี้มีพ่อครูมาอีกรูป ก็เป็นกำไรของชาวสันตินาคร สาเหตุเพราะว่าพ่อครูอาพาธ ก็เลยจะไม่เทศน์แต่ว่าพ่อครูก็รู้สึกว่านอนเฉยๆก็ไม่หายก็มาเทศน์ดีกว่า ส.เพาะพุทธว่าพ่อท่านอาพาธแต่ท่านไม่อาเพท ท่านไม่โอ๋ตัวเอง พ่อครูว่า…ชี้บอกทางผู้ดูแลเวทีว่า นาฬิกานี้ไม่ทำงาน(หน้าเวที) …พวกเราจะพูดอะไรก็สะดวก บางคนบอกว่าจะออกโทรทัศน์ต้องคัดสรรสิ่งที่ดีเท่านั้น ที่จะต้องออกอากาศ แต่ว่าเรานี้มีอะไรก็พูดไปบอกไปเป็นเรื่องธรรมดาสามัญชีวิตธรรมชาติ ไม่ต้องมีการเก๊ก ไม่ต้องมีเรื่องต้องระมัดระวังอยู่ในกรอบรูปแบบอยู่ในพิธีการอะไรอีกเยอะแยะ ก็เป็นเช่นนั้นมาตลอดเวลา ไม่มีใครมาว่าเราได้เพราะเราไม่มีสปอนเซอร์ แล้วทุกคนก็ทำได้สบายๆ อาตมาว่าเรื่องของ สิ่งที่ไม่มีใครมาเป็นผู้ควบคุมกำกับชั้นบนอีกชั้นมันเป็นอิสระสบายมันสมบูรณ์แบบเหลือเกิน ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งในศาสนาพระพุทธเจ้าคือคำว่าอิสระเสรีภาพ เป็นความยิ่งใหญ่ของคุณธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านเอง ท่านเห็นเป็นสิ่งที่วิเศษ แล้วท่านก็ดำเนินมาตั้งแต่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ยิ่งยุคทาสทั่วโลกแต่พระพุทธเจ้าท่านนำหน้าไปไกลๆ มนุษย์ควรมีอิสระเสรีภาพ แล้วท่านก็นำศาสนาของท่าน เป็นศาสนาที่ใครเข้ามามีจารีต หรือว่ามาอยู่ในกรอบของศาสนาเป็นพุทธศาสนิกชนเป็นพุทธมามกะแล้ว จะเป็นผู้ที่อยู่ในระบบที่พระพุทธเจ้าท่านจะพาเป็นเลย เช่นอิสระเสรีภาพดังกล่าว เพราะฉะนั้นผู้ที่อยู่ในกรอบที่มาเป็นพุทธศาสนิกชนแล้ว เขาจะมีวรรณะกษัตริย์พราหมณ์แพศย์ศูทรก็ตาม เมื่อมาเป็นสหธรรมิก เป็นผู้ที่มาเป็นพุทธมามกะ มาเป็นพุทธบริษัทมาเป็นคนของศาสนาพุทธเป็นพุทธศาสนิกชน ทุกคนถือว่าเสมอกันเท่าเทียมกันอิสระเสรีภาพ เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่ในยุคพระพุทธเจ้าเขาไม่พูดกัน คนชั้นเจ้าเป็นลูกเจ้ามาบวช กับคนสามัญจะเป็นจัณฑาลหรือเป็นอะไรก็แล้วแต่ จัณฑาลเป็นผู้บวชก่อน คนที่เป็นเจ้ามาบวชที่หลังก็ต้องกราบจัณฑาลที่มาบวชก่อน ตัดลดปลดแอกทุกอย่างเลยอย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ จะบอกว่าระบบประชาธิปไตยต้องมีความอิสระเสรีภาพเป็นเงื่อนไขหลักเหมือนกันยิ่งใหญ่ ในความเป็นประชาธิปไตย แต่แท้จริงแล้วสู้ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ที่ให้อิสระเสรีภาพ อีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นศาสนาที่เรียนรู้วิญญาณ เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ทางด้านศาสนาเทวนิยม ศาสนาที่มีพระเจ้าเป็นศาสดาเกิดพระบุตรขึ้นมา เรียกว่าศาสนาเทวนิยม ก็จะไม่สามารถที่จะปลดแอกความเป็นอิสระเสรีภาพได้ เพราะศาสนิกชนทุกคนของศาสนาเทวนิยมจะต้องเป็นทาสพระเจ้า ไม่เท่าเทียมกัน อย่างน้อยคุณก็ต้องเป็นทาสพระเจ้า ในเรื่องของความเป็นทาสในเรื่องของความไม่อิสระเสรีภาพจะถูกครอบงำด้วยพระเจ้า ซึ่งหลายๆ อย่างของศาสนาเทวนิยม อาตมาพยายามไขความสัจธรรม ธรรมะต่างๆ ของเทวนิยมหรือของอเทวนิยม หรือพุทธศาสนาก็ตาม เทวนิยม คำว่า เทวะ แปลว่า 2 อาตมาพยายามอธิบายมาหลายทีแล้วและเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเทวะ ครอบโลก ศาสนาพุทธก็มีเทวนิยมแต่เป็นผู้ที่รู้จักเทวะแล้วดับเทวะให้สูญสิ้น หลุดพ้นจากความเป็นเทวดา แต่ก็ต้องรู้ว่าเทวฺต้องมีเป็นเครื่องอาศัยตามฐานานุฐานะอย่างนี้เป็นต้น นอกจากจะเป็นเรื่องของเทวฺที่จะต้องใช้ปัญญา ใช้ธาตุรู้ที่จะต้องรู้ลึกซึ้งมากเลย ศาสนาเทวนิยมเขาไม่รู้เขาตีไม่แตก เทวฺที่แปลว่าสอง สมมติสัจจะกับปรมัตถสัจจะก็เป็น 2 รูปนามก็เป็นภาวะ 2 หรือแม้แต่สภาวธรรมกับพยัญชนะหรือบัญญัติก็คือ 2 เทวนิยมตีไม่แตกแยกไม่ออกว่านี่เป็นสภาวะหรือพยัญชนะ อันนี้เป็นสมมติสัจจะหรือปรมัตถสัจจะอันนี้เป็นรูปหรือเป็นนาม รูป 28 เป็นต้น นามธรรมอีกมากมาย เช่น นาม 5 รูป 28 คือรูปและนาม หากเข้าใจแล้วก็ศึกษาตามหลักของพระพุทธเจ้านี่ล่ะ เรียนรู้รูปนามแยกแยะเทวะ 2 เราจะได้จุดจบ ทีนี้ เน้นเข้าไปสู่จุดสำคัญที่สุดของเป้าของศาสนาพุทธจุดศูนย์กลางของศาสนาพุทธคือ เน้นเข้าไปที่เวทนา พระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) อาตมาถือว่า อันนี้เป็นหัวใจของศาสนา คือ รู้จักเทวฺ ธมฺมา แล้วเข้าเป้าที่เวทนา 2 แล้วจัดการเวทนา 2 ให้เป็น 1 เอกสโมสรณา จบเลย ศาสนาพุทธ ถ้าเข้าใจตัวนี้เท่านั้น ถ้าเข้าใจแล้วสามารถปฏิบัติได้ ทั้งสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ ได้มรรคผลของวิมุติสำเร็จ ความรู้สึกที่เป็นเป้าหมายของศาสนาพุทธคือความสุขกับความทุกข์ศาสนาพุทธเรียนรู้ความสุขกับความทุกข์ แต่ท่านตรัสว่าหัวใจของพุทธศาสนาคือเรียนรู้ทุกข์ก็เรียนรู้เหตุแห่งทุกข์แล้วก็ดับเหตุแห่งทุกข์ ด้วย ทฤษฎีหรือวิธีการหรือข้อปฏิบัติ หรือที่เรียกสวยๆว่าทางปฏิบัติไปสู่ความพ้นทุกข์ก็คืออริยสัจ 4 ศาสนาพุทธถ้าผู้ใดสามารถรู้จักสุขกับทุกข์ แล้วดับสุขดับทุกข์ได้ เพราะจะรู้ว่า จริงๆแล้วสุขกับทุกข์เป็นสมมุติ ผู้ที่รู้สภาวะของปรมัตถ์คือผู้รู้จักสมมุติ ผู้ที่รู้จักสภาวะของสมมติคือผู้หยั่งรู้สัมผัสรับความรู้สึกสุขทุกข์แล้วทำให้ความสุขความทุกข์หมดไปจากจิต เป็นอรหันต์เลย อรหันต์มีแค่นี้ ย่นย่อเข้ามา อาตมาไม่ได้โมเมไม่ได้พูดชุ่ยเล่นลิ้น คนที่เรียนรู้ความสุขความทุกข์ได้เรียนรู้เวทนา คนเรามีอัตตาเป็นตัวตั้งแล้วไม่เข้าใจว่าความสุขความทุกข์เป็นสิ่งที่สมมติขึ้นมาเป็นสมมติสัจจะ ถ้าเข้าไปถึงสภาวะจิตความรู้สึกจริงๆ โดยมีสัญญามีสังขารเรียนรู้ เวทนาคือความรู้สึกและมีสัญญากำหนดอ่านกำหนดรู้จักเวทนา รู้จักสังขาร รู้จักสองตัวก่อน สังขารปรุงแต่งขึ้นมา ในปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าตั้งต้นด้วยอวิชชาไม่รู้อะไรไม่รู้สังขาร ถ้าคนเรียนรู้สังขาร ก็เรียนรู้จากรูปนาม แล้วลึกเข้าหานามเรียกว่าวิญญาณได้ ก็ต้องมีนามรูป มีเทวฺ แล้วก็จะต้องปฏิบัติให้เกิดการรับรู้อีก 3 จะต้องเกิดผัสสะ เวทนา เกิดอายตนะ ถ้าไม่มีการผัสสะไม่มีการสัมผัสกันอายตนะไม่เกิด ตากระทบรูปอายตนะจึงเกิดแล้วถึงจะเกิดเป็นเวทนาให้เราได้ศึกษา เมื่อกี้นี้กล่าวแล้ว เวทนาคือเป้าหมายหลักที่ต้องศึกษา เหตุแห่งความสุขความทุกข์ รู้ว่าเหตุมันเป็นอย่างไร เหตุที่มันทำให้เกิดความสุขความทุกข์ก็คือตัณหา ถ้าอยู่ในภาวะที่กำลังดำเนินพฤติกรรมอยู่มีการเคลื่อนตัว เป็น Dynamic ก็เรียกว่าตัณหา ถ้ามันไม่เคลื่อนตัวให้เรียกว่าอุปาทาน เราเรียนรู้อาการของจิต รู้อาการต่างๆ กำหนดเครื่องหมาย ว่าอาการอย่างนี้เรียกว่าสุขอาการอย่างนี้เรียกว่าทุกข์ อาการอย่างนี้เรียกว่ารูปคือสิ่งที่ถูกรู้ แล้วก็เรียนรู้รูป 28 ปฏิบัติตามทฤษฎีที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ในรูป 28 ตั้งแต่มหาภูตรูป 4 แล้วก็มีปสาทรูป โคจรรูป(วิสยรูป) สองอันนี้คือ 5กับ 5 แต่ตัดไป 1 อัน คือกายกับโผฏฐัพพะ คือมันใกล้กันอันเดียวกันเลยก็นับลดไป 1 อันนี้ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าก็จะไม่รู้ได้อย่างนี้ จากผัสสะแล้วเกิดภาวรูป / อิตถีภาวะ กับปุริสภาวะ แล้วก็จัดการ เอกสโมสรณา ภวนฺติ ที่ตัวแรก ตัวสักกายะตัวนี้ต้องจัดการกับตัวนี้เป็นตัวปฏิบัติ ตัวตนของเรา ต้องรู้กาย กาย แปลว่า ภาวะ 2 พระโสดาบันต้องรู้จักกาย มีทฤษฎีที่รู้จักสักกายะ หรือสักกายทิฏฐิ ต้องเรียนรู้อันนี้ รู้เทวฺ นามรูปที่เป็นของเรา อย่าไปอุตริแส่รู้ของคนอื่น รู้ของเราที่เป็นสักกายะ คำว่า กาย จึงเป็นธรรมะที่คนจะต้องเรียน 2 ธรรมะ 2 หรือเทวะ ที่สำคัญที่อาตมาพยายามพูดให้มีไวพจน์ แล้วจะแจกออกไปอีกเยอะแยะเลยในคำว่ากาย อาตมาก็จะเอาหลักฐาน จาก พจนานุกรม ของ จำลอง สารพัดนึก ค่อยๆอธิบายไปตามประสาของอาตมา คือ ประสา มาจากคำกร่อนจากคำว่า ภาษา ตามภาษาบัญญัติพยัญชนะที่อาตมาจะใช้สื่อ โดยมีสภาวะที่อาตมารู้เป็นหลัก พยัญชนะเป็นรองสภาวะเป็นเอก เริ่มต้นคำว่า กาย กาย เอามาจากพจนานุกรมบาลี-ไทย ของพระอุดรคณาธิการ (ชวินทร์ สระคำ) และรศ.ดร.จำลอง สารพัดนึก กาย ท่านแปลทับศัพท์ว่า กาย มาเป็นภาษาไทยก็เอาไปแปลจาก กายะ ถ้าภาษาบาลีจะอ่าน กา_ยะ เพราะไม่มีนิคคหิต ก็อ่าน กา-ยะ ก็แปลว่า กาย เป็นภาษาไทย คำว่า กาย ในภาษาไทย หมายถึงร่างภายนอกอย่างเดียวด้วย ตามความรู้ทั่วไปเลย ใช่ไหม? ถ้าไม่มีอาตมาขึ้นมาพูดว่ากาย คุณเข้าใจว่าเพียงหนึ่งเดียวเป็นเพียงสรีระนั้นผิดไปเลย คุณปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธไปไม่ออกหมดเลย ถ้าคุณเข้าใจคำว่ากายคือภายนอก หมายถึงรูปหมายถึงร่างไม่มีนามเข้าไปประกอบ สูญเลย โมฆบุรุษเลย ปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธไม่ไปไหนเลย นี่คือจุดที่มันเพี้ยนกร่อนออกนอกไปจากความหมายเดิม ยิ่งเข้าไปถึงสภาวะก็ไปไม่ถูก กาย คืออะไร ก็คือ กอง ไม่ใช่เดี่ยวนะ กอง ฝูง หรือหมู่ หรือ ประชุมกันอยู่ ไม่ใช่อันเดียวแน่นอน เพราะฉะนั้นคำว่ากายหมายถึงอันเดียวไม่ได้ กายต้องมี 2 ขึ้นไปเสมอจะเป็นกองเป็นฝูงเป็นหมู่หรือเป็นที่ประชุม ทีนี้ จะใช้ในทางธรรมะท่านก็ขยายไปว่าประชุมอะไร ประชุมหมวดแห่งเจตสิกธรรมก็คือจิตนั่นเอง คือ เวทนา สัญญา สังขาร เจตสิก 3 ของขันธ์ 5 รูป กับ นามขันธ์อีก 4 คือ เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ วิญญาณคือตัวรวมของเจตสิกเรียกว่าจิตหรือวิญญาณ เป็นความรู้ถ้ารู้ที่รวมเอาเวทนาสัญญาสังขารไว้ในนั้น อันนี้ต้องไปอ่านหนังสือคนคืออะไรทำไมสำคัญนัก อาตมาแจกแจงไว้มาก คำว่า กาย ถ้าคุณจะไปแปลคำว่ากาย ว่าคือ ร่าง งั้นก็ผิดแล้ว ไปแปลว่าร่างของดินน้ำไฟลมที่มาประกอบเป็นแท่งก้อนโดยไม่มีจิตเข้าไปร่วมเลยผิดแล้ว รู้จักกายว่าเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีองค์ประกอบไม่มีซองขึ้นไปไม่มีที่ประชุมของจิตเจตสิกต่างๆ ผิดไปใหญ่เลยไปไม่ออก จะมาเรียนคำอื่น เช่น กายกรรม การกระทำทางกาย ท่านก็แปลทับศัพท์ว่า กายกรรม แล้วก็หรือสิ่งที่พึงกระทำทางกาย ขยายจาก กรรม ขยายอีกว่า แปลว่า การออกกำลังกายก็กลายเป็น Exercise มันก็เลยไกลจากสภาวะธรรมที่เป็นธรรมะไปใหญ่เลย ซึ่งไม่ผิดนะ แต่มันไกล ถ้าจะมาเรียนธรรมะ ถ้าให้อาตมาแปลกายกรรม อาตมาก็จะแปลว่า พฤติการณ์ของรูปนาม พฤติกรรมของธรรมะ 2 จะได้เนื้อหาที่เข้าหาปรมัตถธรรมสมมุติทำ เอามาปฏิบัติธรรมมาได้ แต่เขาแปลเป็นภาษาทางโลกตื้น มันไม่ผิดแต่มันตื้น สรุปตรงนี้ เรียกว่า ตำหนิ ว่า ศาสนาพุทธมันเสื่อมเสียจนเป็นพจนานุกรมเป็นหลักที่จะได้รู้ธรรมะ ได้ความรู้ความหมายทางธรรมะตื้นเขิน กายกัมมัญญตา คำว่า ตา เป็นปัจจัยเสริมคำนาม กายกัมมัญญะ ท่านแปลว่า ความคล่องแห่งกาย หรือความควรแก่การงานแห่งกองเวทนา สัญญา สังขาร การงานคือกรรม กัมมัญญะ หากจะพูดอย่างโพธิรักษ์ กัมมัญญะคือ การทำงานที่ประกอบไปด้วยความรู้อย่างโลกุตระ เพราะจะมีความรู้ทางธรรมที่มีอัญญะ ที่แตกต่างจากความรู้โลกียะเขามี เป็นความรู้ทางโลกุตะรอีกอย่างหนึ่ง อัญญะแปลว่าอื่น แตกต่างจากความรู้หรือการทำคำกริยาอื่นๆ อัญญะ หากนำมาใช้งาน ก็เป็นพหูพจน์เรียกว่าอัญญา เป็นธาตุรู้ที่เป็นโลกุตระ พ่อครูจิบน้ำ ส.เพาะพุทธ นิมนต์พ่อท่านจิบน้ำเพื่อคนอื่น ส.เดินดินว่า…คำว่า กายกรรม เขาแปลเป็นโลกียะ ส.เพาะพุทธ ว่า จริงๆการออกกำลังกาย คนที่จะออกกำลังกายต่อเนื่องอย่างพ่อท่านต้องอาศัยสภาวะมากทีเดียว จึงจะสามารถทรงสภาพของ สมจริยาต่อเนื่องไปได้ ได้บันทึกธรรมะเกี่ยวกับอิสรเสรีภาพ ทำให้รู้ว่าพุทธเรามีเสน่ห์ประการหนึ่งคืออิสระเสรีภาพ เรามีทีวีที่มีอิสระจากสปอนเซอร์ อิสรเสรีภาพจากกิเลส จากเทวนิยม ที่เป็น 2 ต้องขึ้นกับอำนาจที่เหนือกว่า แต่พุทธเป็นอเทวนิยมจึงเป็นอิสระเสรีภาพจากเทวนิยม อิสระเสรีภาพภายนอก และอิสระเสรีภาพจากความเชื่อ และอิสระเสรีภาพสูงสุดคือตีแตกความเป็น 2 ให้เหลือ 1 ตีแตกเทวะ หากจะเรียนรู้หัวใจศาสนาพุทธคือความสุขความทุกข์ เหตุของความสุขความทุกข์ก็คือตัณหา และอุปาทานจะถูกจัดการไปโดยปริยาย พ่อครูว่า…กายกัมมัญญตา อาตมาบอกไปแล้วนะว่า เราแยก คำว่าตา ออกไปก่อน เป็นคำปัจจัยที่มาเสริมท้ายเพื่อให้คำนี้เป็นคำนาม ความเป็น กายกัมมัญญะคือ ความหมายเนื้อแท้ กายกัมมัญญะ ก็อาตมาขยายความไปตามประสาของอาตมา ตามภูมิของอาตมา อาตมาก็จะแปลไปตามสภาวะที่อาตมามี โดยอาศัยพยัญชนะเรียนรู้บาลีแบบอาตมา ไม่ได้เอาตามหลักไวยากรณ์บาลี วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ อาตมาชาตินี้ไม่มีบารมีจะไปเรียนรู้อย่างนั้นเลย ท่านก็เรียนกันทั่วโลก อาตมาเลยกลายเป็นคนนอกแบบแผนที่เขายึดถือกัน แต่อาตมาก็จริงใจว่า อาตมาเอาพยัญชนะบาลีที่ว่าไว้ เอามาชี้ ความหมายของบาลีเท่าที่พอรู้ ตามภูมิที่มีอยู่ อธิบายไทย ถ้าให้อาตมาขยายความ กายกัมมัญญะ หรือจะแปลเท่าที่ท่านแปลว่า ความคล่องแห่งกาย หรือ เขาทับศัพท์ กัมมัญญะคือความคล่อง ขยายไปเป็น ความควรแก่การงานแห่งกองเวทนา สัญญา สังขาร ก็แปลได้ดีได้ถูกต้อง กัมมัญญะคือการงาน การงานที่เกิดจาก เวทนาสัญญาสังขาร เข้ามาสู่ธาตุรู้ที่เกิดการงาน จากเวทนาสัญญาสังขาร ผู้ใดสามารถ แยกแยะ เวทนาสัญญาสังขารได้ว่า สภาวะของพยัญชนะสามตัวนี้ รู้อาการของเวทนา รู้อาการของสัญญา อาการของสังขาร คุณก็จะเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ทำได้ถูกต้อง เจตสิก 3 คือวิญญาณ รูป เวทนา สัญญา สังขาร จากรูป 1 กับนามอีก 3 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 14 และที่ท่านตรัสเอาไว้ในปฏิจจสมุปบาท ว่า อวิชชา คือมันไม่รู้ ทีนี้จะรู้ต้องเรียนรู้ สังขาร ก็เรียนรู้วิญญาณ เรียนรู้ นาม รูป นาม รูป นาม ก็มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เรียกว่านาม 5 แล้วรูปคือมหาภูตรูป 4 แล้วมีอุปาทายรูป อีก 24 คือนามรูป ธรรมะพระเจ้าต้องแยกนามรูปเป็นเทวดาหรือธรรมะ 2 รูปคือสิ่งที่ถูกรู้เป็น object ส่วนนามคือพวกผู้รู้ หรือจิตวิญญาณของแต่ละคน จะต้องเป็นนามที่เรียนรู้ พัฒนา จึงจะเกิดการเรียนรู้ซึ่งจะเกิดการเจริญและรู้และปฏิบัติได้ จะบรรลุธรรม ถ้าไม่เรียนให้รู้ให้ถูกต้องหรือละเอียดเพียงพอ มันก็ไปไม่ออก มันก็สั้นจู๋ คำตรัสของพระพุทธเจ้าแต่ละคำที่พูดมา เรียกว่า หนึ่งใน ล้านๆๆๆคำ ที่พูดมานี้ 1 หรือ 2 หรือ 3 หรือ 4 ก็ตาม คําสอนพระพุทธเจ้ามีพยัญชนะเยอะ แต่ก็น่าสงสารคนที่ไม่เรียนพยัญชนะของพระพุทธเจ้า ที่ท่านอุตส่าห์สอนเอาไว้ยาวยืดมากมาย เขาก็ไม่ดูแต่ให้ปิดตำราให้ปฏิบัตินั่งหลับตาไปแล้วจะรู้เอง ก็น่าสงสารที่พระพุทธเจ้าท่านได้บัญญัติภาษาละเอียดลออไว้ แต่พวกนี้มักง่ายที่สุด ตีทิ้งคำบรรยายตลอด 45 พรรษาของท่านไปหมดเลยเอาแต่นั่งหลับตา มีเจ้าสำนักสอนลูกศิษย์ แนวปฏิบัติอย่างนั้นจริงๆ คุณสู่แดนธรรมก็เคยไปบวชกับสำนักนี้ก็ยืนยันว่าเขาสอนอย่างนั้นจริงๆ ตอนนี้ก็มาสู่แดนธรรมแล้ว เขาไปตีทิ้งธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้แยกแยะละเอียดละออ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม ๙ ข้อ ๓๔) ขออภัยแม้แต่พระพุทธทาสก็ตีทิ้งพระไตรปิฎกไป 60% บอกว่าพระอภิธรรมเม็ดมะขาม อย่างนี้เป็นต้น พระพุทธเจ้าท่านมีความพากเพียรแจกแจงอธิบายขยายความ แต่ความไม่รู้ของผู้ไม่รู้ก็แสดงออกมา ขออภัยที่อาตมาพูดถึงท่านพุทธทาสเพราะว่าคนเขาเคารพท่านพุทธทาสเยอะ ท่านพุทธทาสก็มีความดีเยอะ แต่ท่านได้อธิบายธรรมะ อาตมาก็ต้องอ้างอิงส่วนที่ถูกที่ควรยกย่อง ส่วนที่ควรตำหนิก็ต้องตำหนิ นิคคัณเห นิคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง อาตมาแสดงธรรมะด้วยความจริงใจไม่ได้ไปมีความรู้สึก ข่มเบ่งยกตนข่มท่าน หรือว่าบางคนจะบอกว่าเป็นการทำให้เกิดความแตกแยก คุณจะไม่ให้วิจัยวิจารณ์แยกแยะอะไรเลย อาตมาจนด้วยเกล้าไปเรียนอย่างคุณไม่ได้ อาตมาต้องแยกแยะวิจัยวิจารณ์ อันนี้มีเหตุจากเรื่องนี้มีอิทัปปัจจยตา มีสิ่งที่ต่อเนื่องกันเชื่อมโยงกันเป็นรีเลชั่น ทุกอย่างมันมีความปฏิสัมพันธ์กันหมดเลย ส.เพาะพุทธว่า…ไม่ใช่คำว่าแตกแยกแต่ใช้คำว่าแตกยอด อาศัยเค้าเดิมของเขา อันไหนที่ตรงก็บอกว่าแปลได้ดี อันไหนที่มันยังไม่ถึง แปลไม่ตรงกับสภาวะเช่นคำว่ากายกรรม พ่อท่านก็ท้วงติง ไม่ได้แตกแยกแต่เรียกว่าแตกยอดครับ โดยอาศัยต้นตอเดิมเป็นตัวส่งปัญญา พ่อครูว่า…ขอบคุณที่ขยายความต่อ อาตมาอธิบายธรรมจากภูมิรู้ที่อาตมามีมาเก่า เป็นหลักเลย ภูมิรู้ที่ท่านรู้กันอาตมาก็อาศัยเอามาประกอบเอามาผสม อันใดที่อาตมาเห็นว่ามันควร มันถูกต้องดีนะ อันไหนที่ว่าไม่ค่อยตรงทีเดียว หรือตรงแบบผิวเผินหรือไม่ตรงเลยก็วิจารณ์ ตู่ท้วงตำหนิเป็นธรรมดา เช่น ตำหนิว่าไปแปลกายว่าเป็น ร่างกายอย่างเดียวนั้นมันผิด ถ้าหากเข้าใจปฏิบัติอย่างนั้นกายเป็นหนึ่งก็ผิดเลย สุญโญ เลย ไม่เป็นไรกันเลย คำว่า กาย ที่แพร่หลายกัน สู่แดนธรรมว่า กายกลิ พ่อครูว่า…คำนี้เขาไม่ค่อยรู้กัน กลิ คือตัวโทษภัยเลวร้ายผีมาร เช่น กาลี ถ้าเผื่อว่ามันไม่มีสภาวะรองรับก็แปลเท่าที่คุณมีสภาวะเท่าไร เช่นถ้าไปแปลว่ากายกรรมคือการออกกำลังกายคุณก็มีความรู้แค่นี้ แสดงให้เห็นว่า ศาสนาพุทธคำว่ากายกรรมมีความรู้แค่นี้ หรือกาย แปลว่าร่างกายอย่างเดียว แล้วคำว่ากายต้องมีจิตวิญญาณเป็นหลักต้องมีนามธรรมเป็นหลัก กายต้องมี 2 เสมอใน 1 เป็นหนึ่งเดียวเดี่ยวๆไม่ได้ ภายนอกอย่างเดียวก็ไม่ได้ จิตวิญญาณอย่างเดียวก็ไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 230 ที่ท่านตรัสว่า ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.๑๖ ข.๒๓๐ แต่ท่านไม่ได้ทิ้งภายนอกนะ ในพระสูตรนี้มีแต่ละปริเฉทขยายความมา ถ้าใครเข้าใจว่าใครมีแต่สรีระภายนอกมันผิดเลย แต่ถ้าเข้าใจผิดว่า ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตหรือมโนอย่างเดียวมันก็ได้เนื้อหาสาระแต่ยังไม่ครบ แต่ถ้าแปลผิด แปลกายว่าสรีระก็เข้าป่าไปหาเสือเลยเสือกินตับกินพุงเจ๊งเลย ที่อาตมาเอาภาษาเท่านี้ มาขยายความอธิบายให้เห็น ศาสนาพุทธทุกวันนี้ มีความเข้าใจไกลไปจากสัจธรรมของพระพุทธเจ้า เห็นแล้วมันน่าสงสารอย่างยิ่ง สู่แดนธรรมว่า..แม้แต่ศพเขาก็ไม่เรียกว่า กาย ส.เพาะพุทธว่า…แม้แต่ร่างที่ตายแล้วเขาก็ไม่ได้ว่ากายเขาเรียกว่าศพ แต่พ่อท่านว่าตายแล้วเหลือแต่ร่างไม่มีกาย พ่อครูว่า…กายต้องแยกจากจิต ในมูลกรรมฐาน แต่ตอนนี้เขาไม่ได้เรียนรู้แล้ว ถ้าแยกกายแยกจิตได้ คุณจะเกิดความรู้ว่าอุตุธาตุเป็นเช่นนี้ พีชธาตุ เป็นเช่นนี้ จิตธาตุ เป็นเช่นนี้แล้วจะเข้าใจกรรมและธรรมะ พิจารณาจากมูลกรรมฐาน 5 พร้อมขนเล็บฟันหนัง เอาเล็บนี่เข้าใจได้ง่ายสุดเอามาขยายความให้ฟัง ถ้าเผื่อว่า แยกสิ่งนี้ไม่ออกว่าเมื่อใดเป็นองค์ประกอบของกาย เมื่อใดมันเป็นแค่ อุตุ ซึ่งเป็น รูปรูป รูปแท้ๆเต็มๆ เมื่อใดมันเป็นนามหรือเป็นจิต ถ้าคุณแยกไม่ออก ก็จะไม่รู้ว่าองค์ประกอบใดเป็นชีวะเป็นรูปนามแล้วแต่จะเรียกรูปนามเต็มๆก็ไม่ได้เพราะนามต้องหมายถึงจิต แต่พืชมันเป็นชีวะแล้ว เพราะฉะนั้นพืช แยกให้ฟังแล้ว ว่ามันไม่ง่ายนะ ธรรมะพระพุทธเจ้านี้ยากจริงๆ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม ๙ ข้อ ๓๔) หากดูแค่ผิวเผินก็จะไม่รู้ฐานในการปฏิบัติ อาตมาอธิบายสภาวะของพยัญชนะต่างๆที่คุณไม่ศึกษากัน พยัญชนะของพระพุทธเจ้ามีเยอะจริงๆ ถ้าคุณไม่เข้าใจ โดยเฉพาะคำที่อาตมาพยายามเลือกเอามาอธิบายมันเป็นหลักฐานหลักต้นๆ ไม่ใช่เรื่องลึกๆเรื่องไกลเลยนะ เรื่องที่ลึกที่ไกลก็ไปเอาอภิธรรมที่เขาเรียนมาพูด อย่างนั้นคุณจะหัวหมุนเลย ที่อาตมาพูดนี้เป็นเรื่องที่ว่าไปจะต้องเป็นพื้นฐานที่เอาไปปฏิบัติได้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเล่นแล้ว พูดแล้วเหมือนยกย่องตนเอง อาตมาอธิบายธรรมะตั้งแต่เริ่มทำงานธรรมะเริ่มตั้งแต่เห็นพระไตรปิฎก เห็นภาษาพระพุทธเจ้ามา อาตมาก็ค่อยๆเอาภาษาของพระพุทธเจ้าจากพระไตรปิฎก อาตมาไม่ได้ใช้ตำราอื่น แม้แต่ในอรรถกถาจารย์ อาตมาก็ไม่ได้ใช้ อาตมาเอาจากของพระพุทธเจ้า จริงๆแล้วอาตมาเป็นอรรถกถาจารย์ซึ่งขยายความออกมาจนเป็นเล่มเหมือนอรรถกถาจารย์คนหนึ่ง อาตมาจึงไม่ต้องอาศัยอรรถกถาจารย์คนอื่น เพราะมันเป็นของอาตมา แล้วอาตมาก็อธิบายไม่เหมือนอรรถกถาจารย์หลายคนที่บันทึกกันอยู่ ที่เขาใช้กันโดยเฉพาะวิสุทธิมรรค อาตมาว่าวิสุทธิมรรคยังเป็นเทวนิยมอยู่ครึ่งค่อน แต่ก็มีสิ่งที่ดีสิ่งที่ถูกต้องอยู่เยอะ แต่ไปยึดถือเทวนิยมก็เลยกลายเป็นศาสนาเทวนิยมชมไปเลยกับเทวนิยมหนักเลย หลงยึดเอาอันนี้ ไม่เข้าหาหลักธรรมจริง ไม่ได้เข้าหาพระไตรปิฎกเท่าที่อาตมารู้มา ผู้ที่จะจบเปรียญ 9 ต้องเรียนวิสุทธิมรรคไม่ได้เรียนจากพระไตรปิฎกหรอก เพราะฉะนั้นควรจะมีความรู้สูงสุดก็เท่ากับพระพุทธโฆษาจารย์ ก็จะได้เท่านั้น ขอยืนยันว่าพระพุทธโฆษาจารย์ยังมีสิ่งที่ผิดเพี้ยนเป็นมิจฉาทิฏฐิอีกเยอะ อาตมาอวดดีวิจารณ์ยกตนข่มท่านพุทธโฆษาจารย์ ขออภัยไม่ใช่พระพุทธโฆษาจารย์ของเมืองไทยปัจจุบัน แต่พูดถึงพระที่เขียนวิสุทธิมรรค ที่เป็นชาวศรีลังกา อาตมาเองบอกเปิดเผย มีความจำเป็นที่สุดที่จะต้องบอกว่าตนเองเป็นใคร มาทำไม เอาจริงเอาจัง ไม่เหลาะแหละไม่เล่นๆ อาตมาว่าอาตมาไม่คดไม่โค้ง ตรง เพราะไม่มีเวลาด้วยจึงอธิบายธรรมะเน้นหนักแรงเพื่อให้เข้าสู่ขุมขน ให้แก่มนุษย์ได้ดีได้เร็วได้แรง และลัด คัด สั้น เปรี้ยงๆๆๆ แต่คนก็หาว่าอาตมาพูดมาก โอ้โห คําสอนพระพุทธเจ้านั้นมันมาก อาตมานี้ยังเอาของพระพุทธเจ้าอธิบายยังไม่ได้ในเศษ 1 ส่วน 5 เศษ 1 ส่วน 10 ใน 84000 พระธรรมขันธ์ของพระพุทธเจ้าเล้ย ก็หยิบเอาส่วนที่ควรเรียนรู้มาก่อน ตีหลักๆ ก่อน เช่นกันนั่งหลับตาไม่ใช่เรื่องปฏิบัติธรรมเลย อย่างนี้เป็นต้น เขาก็หาว่าตีเขาทั้งบ้านทั้งเมือง ก็เพราะว่าทั้งบ้านทั้งเมืองไปเชื่ออย่างนั้นมันผิดหมดน่ะ ถ้าไม่เลิกอย่างนี้นะ ขอยืนยัน พวกที่นำไปนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ เป็นพวกนอกรีตหมดเลย ส.เพาะพุทธว่า…พ่อท่านกำลังอธิบาย เกี่ยวกับเรื่อง อรรถกถา เคยมีคุณเสฐียรพงษ์ วรรณปก มาเปิดเผยว่า ท่านเพิ่งได้มีโอกาส อ่านพระไตรปิฎกสมัยเมื่อเรียนจบเปรียญธรรม 9 ประโยคแล้ว เสฐียรพงษ์ วรรณปก เรียนจบเปรียญธรรม 9 ตั้งแต่เป็น เณร แล้วก็ได้เป็นนาคหลวงท่านแรก ในสมัยรัชกาลที่9 ก็ได้นำพระไตรปิฎกมาเผยแพร่ ในรูปแบบของพุทธวจนะจากธรรมบท เป็นที่ลือลั่นมากเลยทีเดียว ซึ่งเอามาจากพระไตรปิฎกเล่มที่ 25 เป็นการแปลที่สละสลวยมาก มีการแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วย พ่อท่านเคยเทศน์ว่า จะแก้การศึกษาพุทที่ผิดพลาด ต้องเปลี่ยนจากเรียนจากอรรถกถา มาเรียนจากพระไตรปิฎกโดยตรงโดยตรง ซึ่งพ่อท่านเห็นว่า พระไตรปิฎก ยังใช้ได้อยู่ คนที่เขาเรียนพุทธศาสนาเมืองไทย จะนับถือพระพุทธโฆษาจารย์มาก บางทีนับถือวิสุทธิมรรคแบบมีอิทธิปาฏิหาริย์เลย กสิณ 40 ก็มีคำอธิบายอยู่ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งไม่มีในพระไตรปิฎก พ่อครูว่า…ขอยืนยันว่ากฐิน 40 ท่านพุทธโฆษาจารย์เป็นผู้หยิบเอามาบรรจุเข้าไปเอง ว่าเป็นกสิณ จริงๆแล้วคำว่ากสิณนี่เป็นคำอธิบายของศาสนาเดียรถีย์ อธิบายเป็นเครื่องประกอบในการปฏิบัติสมถะ ปฏิบัติจิตให้เป็นสมถะ ซึ่งเขามีมาตั้งแต่โบราณตั้งแต่ศาสนาเดียถีย์ ซึ่งไม่ใช่เนื้อแท้ของศาสนาพุทธเลยคำว่ากสิณ แต่เขาเอามาเป็นเรื่องหลักว่า ผู้ปฏิบัติธรรมะจะต้องมีกสิณ กสิณที่ดังมากคือพุทโธ ของธรรมกายก็สัมมาอะระหัง ของวัดมหาธาตุ เจ้าคุณโชดก ก็บอกว่ายุบหนอพองหนอ ซึ่งให้จิตไปเกาะยึดกับอะไรอันหนึ่ง ให้จิตมันหยุดมันนิ่งไม่ซัดส่าย เป็นวิธีสมถะ แล้วถือว่าจิตที่หยุดนิ่งไม่ซัดส่าย เป็นสมถะอย่างยิ่ง ว่าจิตที่ทำได้อย่างนั้นจะเกิดความเป็นฌานจะเกิดความเป็นสมาธิ ซึ่งออกนอกทางไปไกลจากศาสนาพุทธลิบลิ่ว คำว่าฌาน สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ได้หยุดนิ่งเลย คำว่า ฌาน พระพุทธเจ้าเป็นคำที่หมายถึง พลังงานที่เป็นอุณหธาตุ แรงเร็ว มีฤทธิ์มีอำนาจมีคุณสมบัติสูงส่ง ที่จะสลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะได้ และไม่ใช่สภาวะที่จะหยุดนิ่งๆ มีแต่แรงเร็ว ไว นั่นคือ อธิบายคร่าวๆ ยิ่งสมาธิแล้วเขาบอกว่า นั่งสะกดจิตหยุดนิ่งเข้าได้แล้ว เรียกว่าสมาธิ ดีไม่ดีเรียกว่าเป็นสมาธิก่อนฌาน จิตนิ่งเป็นสมาธิแล้วจึงเกิดฌาน 1 2 3 4 สมาธิก็แปลว่านิ่งก็แปลว่าหยุด ความจริงแล้วไม่ใช่ คำว่า จิตหยุดจิตนิ่ง กับคำว่าจิตตั้งมั่น เขาแปลพยัญชนะสมาธิถูกอยู่ ที่แปลว่าจิตตั้งมั่น แต่จิตตั้งมั่นคือจิตที่สะสมจากการปฏิบัติ ปฏิบัติให้เกิดการล้างกิเลสออกจากจิต จิตก็จะสะอาดๆๆๆๆ แล้วตกผลึกลงๆ เป็นจิต กองของสมาธิ เรียกว่าสมาธิขันธ์ตั้งลง แข็งแรงตั้งมั่น เป็นจิตตั้งมั่น แล้วจิตที่แข็งแรงตั้งมั่น เป็นจิตที่แข็งแรงสูงสุด จิตที่เป็นฌาน อยู่ที่ฐานอุเบกขาเป็นฌานที่๔ แข็งแรงคือ เมื่อเป็นฌาน แล้วก็มาเป็นสมาธิ ล้างกิเลสด้วยไฟฌานเผากิเลสออกไปและจิตใจตกผลึก ลงเป็นผลที่บริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เขาแปลคำว่ามุทุว่า อ่อน อันนี้น่าสงสาร มันไม่ภาษาจะแปล อาตมาก็เห็นใจ จิตมันไม่แข็งกระด้าง จิตมันเร็วแววไว จิตมันปรับได้เร็ว เป็นเชิงเจโตจิตก็ปรับได้เร็วไวมาก ยิ่งกว่านักมายากล จะรู้ก็รู้ได้เร็วไวมาก เชิงปัญญาเป็นมุทุภูตธาตุ นี่คือจิตหัวอ่อน อาตมาแปลว่าหัวอ่อน ภูตะคือจิตวิญญาณ เป็นธาตุของจิตวิญญาณที่มีคุณสมบัติวิเศษ จิตที่มีคุณสมบัติมุทุธาตุนี้จึงสามารถทำกรรมได้ดี กัมมัญญา แล้วก็ยังประภัสสร ใส สว่าง ไม่มืด ฌานไม่มืด ฌานไม่ได้อยู่ในภพ สมาธิของพระพุทธเจ้ายิ่งสว่างยิ่งประภัสสรทั้งนั้นเลย ถ้าหากเขาจะเข้าฌาน เป็นฌานที่4 นะ เขาจะอยู่ในภพ ดิ่งนิ่งไม่รู้เรื่องกับใครไม่รับสัมผัสอะไรเลยนะ มันคนละเรื่องเลย มันคนละทิศทางเลยกับศาสนาพุทธ มันน่าสงสารที่เข้าใจผิดกับของพระพุทธเจ้าทั้งพยัญชนะและสภาวะ พระสารีบุตรก็ได้ตรัสกับพระธรรมทินนา ท่านก็พูดว่า ฌาน ไม่มีเข้าไม่มีออก สมาธิ สมาบัติ ก็ไม่มีการเข้าไม่มีการออก แม้แต่นิโรธก็ไม่ได้เข้าไม่ได้ออก คือ ฌานนี้ ปฏิบัติลืมตา เพื่อที่จะรับรู้รูปนามต่างๆแล้วก็มาสังเคราะห์สังขารเอากิเลสออกมา แล้วก็กำจัดชำระกิเลสทำลายกิเลส ให้มันหมดไปจากจิตให้ได้ เพราะฉะนั้นจะต้องสร้างพลังงานฌาน ล้างไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะให้สูญไปจากจิตได้ นั่นคือผล เพราะฉะนั้น จิต แบบลืมตาไม่ใช่จิตอยู่ในภพหลับตามืดตื๊ดตื๋อ แต่จิตเป็นชาคริยา ในอปัณกปฏิปทา การปฏิบัติที่ไม่ผิด 3 อย่างของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติอย่างตื่น แต่เขาไปปฏิบัติอย่างผิดเป็นการหลับตา เป็นปัณกปฏิปทา ต้องมีทั้ง 3 อย่างนี้จึงจะเป็นการปฏิบัติที่ไม่ผิด เป็นอปัณกปฏิปทา ถ้ามีแต่ไม่ตื่นมีแต่หลับตาปฏิบัตินี่มันผิดแล้ว ถ้าเผื่อว่าศาสนาพุทธถ้าไม่กระเตื้องตื่นขึ้นมาจากการไปหลับตา อาตมาว่า ดิ่งออกนอกเป็นเดียรถีย์ ออกนอกรีตนอกราวของศาสนาพุทธทั้งหมด เขาไปยึดมั่นถือมั่นกัน อาตมาก็อาภัพ มาพูดแล้วเขาก็ไม่ได้ให้ค่า ก็มีพวกคุณนี่แหละมาฟังมาเชื่อถือมาปฏิบัติได้ ซึ่งมันก็เหมือนกับยุคพระพุทธเจ้าสมณะโคดมที่ท่านตรัสรู้ พอท่านรู้ว่าท่านจะต้องมาเปิดเผยศาสนาจะต้องมาประกาศศาสนา ในพุทธุปาทกาล ตรวจดูว่าคนจะรับธรรมะพระพุทธเจ้าไหวไหม ถ้าเผื่อว่ามันไม่ไหวประกาศไปก็เสียของพระพุทธเจ้าหมดเลย ประกาศแล้วคนมาฟังไม่กี่คนนะรับได้ไม่กี่คน มันไม่มีจำนวนมากพอ มันก็เสียของ มันไม่คุ้ม ขนาดในยุคพระพุทธเจ้า 2 พันกว่าปีแล้ว คนในยุคนั้นถือว่าพอฟังได้ เมื่อผ่านมาในยุคนี้ 2 พันกว่าปีแล้วมันจะเหลือพอฟังรู้เรื่องเท่าไหร่ อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้าอาตมาไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าจะต้องอย่างนั้น เราก็เริ่มต้นปลูกฝังไปเลย ของท่านประกาศมาแล้ว 2,500 กว่าปีมีเชื้อมีหลักฐานอะไรอาตมาก็เหมือนมาชุบมือเปิบ อาตมาก็ไม่ต้องไปกังวลหรอก ว่าจะน้อยหรือมากเท่าไหร่ก็ไม่มีปัญหามันจะต้องน้อยกว่าแน่ที่รู้เรื่อง เพราะ 1.ไม่เก่งเท่าพระพุทธเจ้า 2.เพราะว่าคนได้ออกนอกลู่นอกทางไปเกือบหมดแล้ว ไปตามเถรสมาคมที่ไม่ได้รู้เรื่องศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธก็อยู่กับผลใบและดอกของต้นไม้ ไม่มีแม้แต่สะเก็ดคือศีลของต้นไม้ เปลือกคือสมาธิ กระพี้ก็คือปัญญา แก่นก็คือวิมุต ไม่ต้องพูดเลยไม่มีแล้ว มีศาสนาพุทธอยู่แต่มีด้วยลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเป็นดอกใบผล ไม่มีลำต้น สะเก็ดที่เป็นศีลก็ไม่มี มีแต่วินัย 227 พูดก็เหมือนปากจัด ก็จะไม่ให้ว่าอย่างไร ก็มันแย่จริงๆ อาตมาพูดชัดขึ้นเยอะเพราะอายุจะ 85 ปีแล้ว อาตมาก็เกาะพระไตรปิฎกพระบาลี มายืนยันกับอาตมา เปิดพระไตรปิฎกใส่กันเลย จะว่าจริงๆแล้วอาตมาถ่อมตนแต่เขาหาว่าอวดดี ก็เป็นภาษาที่ย้อนแย้ง อาตมาอวดดีจริงๆแต่อาตมาถ่อมตน อวดดีว่าอาตมามั่นใจว่าที่พูดนี้เป็นสิ่งที่ดีที่ถูกต้องที่ควร อาตมาก็ต้องอวดโชว์แสดงสิ่งนี้ อาตมาไม่อวดขี้กะโล้โท้ โดยเฉพาะอาตมาจะพูดโลกุตระซะหนักพูดโลกียก็น้อยจะเน้นโลกุตระเพราะมันไม่มีเวลามาก อาตมาจึงจะต่ออายุตัวเอง จะถึงไม่ถึงก็ช่างมัน 151 ปีตั้งตัวเลขเอาไว้ ใครเชื่อว่าจะเป็นไปได้ยกมือขึ้น..มี ตามดูนะ อาตมาว่า อาตมาเองก็จะลากสังขารไปถึง 151 จริงหรือ ถ้าอาตมา 151 คุณเท่าไหร่ (ถามส.เดินดิน) บวกไปอีก 66 (ส.เดินดินว่า ตอนนี้ 66บวกไปก็ 132 )ก็ทำลายสถิติเหมือนกันนะ คุณว่าคุณจะถึงไหม (ส.เดินดินว่าจะตามดูพ่อท่านก่อน) ที่พูดไปนี้อาตมาต้องพูดให้สนุก เพราะอาตมาพูดโลกุตระส่วนใหญ่ก็ต้องแวะไปบ้าง อันนี้เป็นสิ่งที่คนเขาถือว่า เป็นพระอรหันต์เป็นพระโพธิสัตว์ จะแสดงธรรมะพูดเล่นพูดหัวพูดตลก ได้อย่างไร อาตมาว่าอาตมามีเจตนาที่จะให้เบาให้สนุก มีความรื่นเริงในธรรมอะไรบ้าง ส.เพาะพุทธว่า ในพระไตรปิฎกบอกว่าให้สมาทานให้อาจหาญให้ร่าเริงในธรรมีกถา พ่อครูว่า…อาตมามีความจริงจังอยู่ในตัวแต่ก็ต้องมีความร่าเริงเบิกบานใช้ศิลปะในการแสดงออก พ่อครูว่า…มาเข้าสาระกันอีก ธรรมะพระพุทธเจ้านี้มันเป็นของมนุษยชาติ ในประเทศมันก็มีมนุษยชาติและมีการบริหารปกครอง ถึงจะอยู่กันได้ การบริหารปกครอง ก็ต้องบริหารปกครองกันอย่างมีธรรมะ ถ้าบริหารปกครองกันอย่างไร้ธรรมะ มีแต่ทุจริตทำอกุศลธรรม มีแต่ธรรมะที่ทุจริต ธรรมะที่เป็นอกุศล ธรรมะที่เลวร้าย อย่างที่ผู้บริหารได้อำนาจมาแล้วก็บริหาร ปู้ยี่ปู้ยำ ระบบระบอบต่างๆเละเทะเสียหายไปเยอะ ขนาดที่มันผิดเอาอย่างมากทุจริตขี้โกงนอกรีตนอกทางประพฤติชั่วประพฤติเลวกันอย่างนั้นยังมีคนโง่ไปสยบยอมต่อ คนชนิดนี้ ซึ่งหลายคนก็อุทานกันว่า ไปหลงใหลกันได้อย่างไรทั้งๆที่มันผิดเลวชั่วทุจริตขี้โกงทำความเสียหายแก่ประเทศชาติอย่างมากจนกระทั่งคดีก็ยังชำระไม่หมดหนีคดีไปอีก คนก็ฉลาดเฉลียวที่จบด็อกเตอร์อะไรกันมา มีปัญญาปฏิภาณลึกซึ้งก็ยังเป็นงมงายอยู่ได้ อาตมาพูดไปก็ไม่สงสัย ก็ต้องมีความโง่และความฉลาด ถามอีกทีเหมือนกับที่สญชัยเวลัฏฐบุตรถามพระสารีบุตร ว่าคนโง่หรือคนฉลาดมีมากกว่ากัในโลกนี้ พระสารีบุตรก็บอกว่าคนโง่มีมากกว่าคนฉลาดมีน้อย สญชัยก็ว่า เธอก็ไปอยู่กับคนจำนวนน้อยเถอะ เราจะอยู่กับคนมวลมาก เราจะทำประโยชน์ใหญ่ยิ่งอยู่กับคนจำนวนมากนี้ดีกว่า ฉันเดียวกับทุกวันนี้มีคนโง่มาก ถามคนไทย ขณะนี้ทักษิโณมิกซ์ หรือทฤษฎีของทักษิณ คนที่ยึดถือทฤษฎีของทักษิณในจำนวนคนไทยในประเทศไทยขณะนี้ มีมากหรือมีน้อย …จริงๆแล้วอาตมาว่าคนนับถือทฤษฎีของทักษิณมีน้อยกว่า เห็นไหมว่าในนี้ก็มีจำนวนคนโง่มากกว่าคนฉลาด พิสูจน์ยืนยันกันชัดๆเลยในชาวอโศกขณะนี้ ไม่ได้ฉีกหน้าพวกคุณนี่พูดสัจจะสู่ฟัง ต่อให้อนาคตใหม่รวมกับทักษิณหมดเลย คะแนนลุงตู่กับคะแนนธนาธร ที่บวกกับทักษิณ คะแนนใครมากกว่ากัน คะแนนลุงตู่มากกว่า อย่ามาเอาเลือกตั้งเป็นนิยาย เพราะว่ามันเป็นกลละเม็ดเด็ดพรายเชิงซ้อนเยอะ มีวิธีการขี้โกงห้าเหลี่ยม ต่างๆนานาสาระพัด คนที่เอาการเลือกตั้งเป็นเครื่องตัดสินคนนั้นยังงมงายอยู่มาก หากคิดว่า ต้องมีการเลือกตั้งจึงเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ถ้าไม่มีการเลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ นี่คือไม่มีภูมิปัญญาที่รู้ว่าความเป็นประชาธิปไตยคืออย่างไร ประชาธิปไตยที่อาตมาพูดนี้ นักรัฐศาสตร์ก็คงจะบอกว่า สู่รู้จัง ในสมัยพระพุทธเจ้าเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นยุคทาส มันจะมีประชาธิปไตยได้อย่างไร อาตมาก็บอกว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นนักประชาธิปไตย ไปเอายุคมาทำไม แล้วพระพุทธเจ้านี่แหละคือนักประชาธิปไตยชั้น 1 สุดยอด อาตมาเป็นผู้หนึ่งที่เป็นผู้ที่เข้าใจประชาธิปไตยถูกต้อง แล้วยืนยันได้ว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย ตั้งแต่ยังไม่เลือกตั้ง นายกตู่บริหาร อาตมา แต่พูดไปแล้วว่าประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่ดีที่สุดตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง เพราะว่าอาตมาเข้าใจความเป็นประชาธิปไตยอย่างที่อาตมาเข้าใจ เขียนเป็นโคลงเป็นบทกวีในหนังสือเราคิดอะไร ไม่รู้กี่เล่ม มากกว่า 10 เล่มแล้ว อาตมาไม่มีปริญญาอะไรมารับรองเลย เขาไม่เชื่อน้ำหนัก อาตมาทำงานศาสนาพุทธด้วยศาสตร์และศิลป์ และศิลป์คำนี้อาตมาเอามาจากของพระพุทธเจ้าที่ว่าศิลปะเป็นมงคลอันอุดม มงคลคือสิ่งที่นำไปสู่ความประเสริฐ อุดมหรืออุตมะคือโลกุตรธรรม ในโลกทุกวันนี้ทางตะวันตกเละเทะไม่มีความรู้ทางศิลปะเลย ศิลป์เละเทะไม่ใช่ศิลปะ พระพุทธเจ้าท่านได้นิยามไว้ว่าศิลปะคือเรื่องของศาสตร์ที่มาใส่ความเป็นศิลปะเป็นองค์ประกอบ ศิลปะไม่มีศาสตร์ไม่ได้ แล้วศาสตร์ที่ไม่มีศิลปะก็คือสารคดี มีแต่สาระแข็งเป๊กเลยวิชาการ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีความรู้ก็ควรจะต้อง เอาศาสตร์ผสมศิลป์เข้าไป คำสอนพระพุทธเจ้าจึงเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ยิ่งใหญ่ ครบเทวะสองด้านอย่างสมบูรณ์แบบ ศิลปะมีลักษณะที่ยิ่งใหญ่อยู่ 2 คือ สุนทรียศิลป์กับสารศิลป์ สาระคือแก่นแท้เนื้อหาของงาน กับ สิ่งที่ชี้ชวนประกอบให้คนมาดูคือสุนทรียะ ส.เพาะพุทธว่า..ระหว่าง สุนทรียศิลป์กับศาสตร์จะมีสัดส่วนเปอร์เซ็นต์เท่าไหร่ พ่อครูว่า..ต้องขยายความหาสุนทรียะจะเป็นส่วนน้อย ศาสตร์จะมีมากกว่า สุนทรียมีสักประมาณแค่ 10% ก็มากแล้ว ให้เนื้อหามี 90% เพราะฉะนั้นผู้ใดที่สามารถเหยาะน้ำตาลเป็นสุนทรียศิลป์ ทาสีล่อให้แมลงภู่มากินเอาแก่นสารใช้เป็นกระสัยต้องให้มีสุนทรียศิลป์ แต่ทุกวันนี้ศิลปะไม่มีศาสตร์เลย มีแต่ศิลเละเป๊ะ ไม่มีศาสตร์เลย ไปจับอะไรตั้งขึ้นมาแล้วบอกว่านี่คือศิลป์ แล้วถามว่าคุณจะสื่ออะไร Interest Point ของงานของคุณคืออะไร จะสื่อสาระอะไร ไม่รู้ (สู่แดนธรรมบอกว่าให้มีความรู้สึกเท่านั้นเอง ) พ่อครูว่า…ความรู้สึกนั้นคือมีเวทนาและเวทนา 2 ต้องเป็นมงคลอันอุดม แยกเวทนา 2 แล้วทำให้เป็นเวทนาในเวทนาเป็น 0 ได้ เป็นสาระอันสูงสุดคือ อุตมะ อาตมายังงงเหมือนกันว่า ชาตินี้ทำไมเราต้องไปเรียนศิลปะ ทำไมเราไม่เรียนวิชาเท่ๆกว่านี้ ก็มารู้ทีหลังว่าเราจะต้องมาใช้ศิลป์และศาสตร์ ซึ่งสามารถอธิบายได้ทุกวิชาการ แม้แต่ที่เขาเรียกตัวเองว่าศิลปิน ก็ไม่ได้รู้จักว่า คือ มงคลอันอุดม ไม่ได้รู้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ยังไม่ได้นำพาไปสู่โลกุตระอันนั้นไม่ใช่ศิลปะ ตามนิยามของพระพุทธเจ้านะว่าศิลปะคือมงคลอันอุดม แต่ว่ามันเป็นเดรัจฉานวิชา เดรัจฉานกถา เป็นการพูดก็เป็นเดรัจฉานกถา ถ้าเป็นงานเขียนงานปั้นงานวรรณกรรม มันก็เป็นเดรัจฉานวิชา เดรัจฉานแปลว่าไม่ได้นำพาไปสู่นิพพาน ขวางทางนิพพาน ถ้ามันไม่เป็นศาสตร์ที่นำพาไปสู่นิพพาน ศิลป์มันก็ไม่ใช่ ศาสตร์ก็ไม่ใช่ ศิลป์ก็ไม่ใช่ เป็นศิลป์เละเป๊ะ ขออภัยทุกวันนี้ ขออนุญาตศิลปินทั้งหลาย วันนี้ไปโรงพยาบาลก็ไปเจอพวกศิลปิน เขาทำนิทรรศการในโรงพยาบาล ได้ทักทายถ่ายรูปด้วยกัน อาตมาขอพูด จะเป็นการข่มย่ำยีศิลปะ ยิ่งทางยุโรปตะวันตกจึงเป็นเรื่องบ้าบอไปใหญ่อะไรก็ได้ ให้มันแปลก แล้วให้คนยอมรับ นั่นแหละชื่อว่าศิลปะ คนยอมรับมากก็ดังขายได้เงินมากราคาแพงราคาสูง คือ มันยิ่งเป็นการรับใช้ อบายโลก โลกียะเสื่อมๆหลงลาภยศสรรเสริญโลกียสุข สรรเสริญเป็นหลัก ลาภยศก็จะตามมา แล้วบอกว่า จะต้องเข้าถึงความรู้สึกคือความสุขหรือเวทนา เขาไม่รู้เรื่องสุข ศิลปินทั้งหลายไม่รู้เรื่องสุข พุทธศาสนารู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์แล้วตีเรื่องสุขเรื่องทุกข์ทิ้งไปด้วยอยู่เหนือเป็นโลกุตระ เหนือเรื่องสุขร่วมทุกข์ด้วย เพราะฉะนั้นจะใช้สิ่งที่มันเพราะอาศัยเรียกว่า วุปสมาสุขหรืออุปสมสข หรืออนุโลมเรียก ปรมังสุขัง นิพพานังปรมังสุขัง ขอยืมคำว่าสุขมาใช้เท่านั้นเองแต่ที่จริงแล้วสุขมันเป็น อัลลิกะ สุขเท็จ ไม่ใช่ของจริงหรอก ถ้าคนฉลาดแล้วความสุขกับความทุกข์ 2 อย่างนี้คุณจะต้องวิจัยวิจารณ์แยกแยะออก ว่าตัวเนื้อแท้ของคนฉลาดจะเห็นว่ามันเป็นตัวทุกข์ ส่วนคนที่ไปเห็นว่ามันเป็นความสุขนั้น คือคนโง่ ไปยึดสุขเท็จมากกว่าทุกข์ มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นี่ก็เป็นหลักฐานของศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ ศาสนาพุทธจึงเรียนรู้สุขทุกข์ แล้ว ดับทุกข์ดับสุขไปหมด เพราะสุขทุกข์แยกกันไม่ได้ มันเป็นเทวดาแยกกันไม่ได้จะทำลายต้องทำลายมันทั้งคู่ อยู่เหนือมันทั้งคู่ เพราะถ้าเกิดความมีคุณจะต้องมีความมี สิ่งที่มีก็อาศัยขอยืมภาษาว่าสุข สิ่งที่ถูกที่สุดเรียกในภายในไม่เรียกว่าสุข ภายในคือ อุเบกขา โสมนัสไม่เรียกอุเบกขาสุขด้วย พูดขยายความจากธรรมะ 2 ของแต่ละอย่าง คนที่รู้ครบในธรรมะ 2 หรือเทวสมบูรณ์แบบแล้วยิ่งใหญ่ที่สุด จะเป็นคนรู้จักเทวนิยมกับอเทวนิยมก็คือ 2 ของพระพุทธเจ้าเป็นอเทวนิยมสมบูรณ์แบบครบจะรู้จักเทวนิยมได้ดี จะไม่สงสัยเลยว่าในโลกนี้มีเทวนิยมมากกว่าอเทวนิยม ขออภัยที่พูดตรงๆว่าจะมีคนโง่มากกว่าคนฉลาด อเทวนิยมมีน้อย แม้แต่ในวงการศาสนาพุทธของเมืองไทย ผู้ที่มีอเทวนิยม คือสามารถรู้จักเทวะแยกแยะได้อาศัยตามฐานะมีการอนุโลมปฏิโลมอยู่กับโลกเขาได้เป็นสมมติสัจจะ แต่แก่นสารแล้วสูญ ผู้ที่เป็นอรหันต์ขึ้นไปแก่นสาร ก็คือความสูญ นอกนั้นอนุโลมปฏิโลมอยู่กับเขา อาตมาพูดนี้ไม่ได้พูดเพื่อตัวเองเลยอาตมาไม่มีตัวเองพูด อาตมามีแต่พวกคุณ เป็นสิ่งที่อาตมาหยิบขึ้นมาเป็นต้นเค้าที่จะแสดงธรรม ที่อาตมาพูดไปแล้วอาตมาประกาศว่าอาตมาไม่มีตัวตน พูดไปเมื่อกี้นี้ อาตมาไม่ได้มีปัญหาไม่ได้แคร์อะไร จะกลัวว่าคนนั้นคนนี้จะมาว่าก็บอกไปหมดแล้วว่าอาตมาเป็นใคร ส.เดินดินสรุป…วันนี้พ่อครูแสดงความไม่มีตัวตน เพราะจริงๆแล้ว อยู่ในเวทนาพักผ่อนไม่พอ แต่ด้วยความคิดที่เป็นห่วงอยากให้พวกเราได้เกิดดวงตาเห็นธรรมตั้งแต่เมื่อวาน ก็มาให้ความเข้าใจ อย่างเรื่องกาย พูดมาไม่รู้กี่รอบแต่ก็เป็นความจำเป็น เพราะถ้าไปเข้าใจภาษาผิด อย่างคำว่าเวทนา ภาษาไทย ถ้าไปแปลว่าสงสาร ความหมายก็ออกไปเป็นคนละเรื่องกับศาสนาพุทธ พ่อครูว่า…เขาแปลถูกนะ เพราะคนไม่รู้จักเวทนาเลยจมอยู่กับสงสาร วัฎสงสาร ส.เดินดินว่า…คำว่าเวทนาของคนไทยคือคนน่าสงสาร พ่อครูว่า..มันน่าสงสารจริงๆอย่างที่ผมบอกว่าไปนั่งหลับตากันนี่น่าสงสาร ส.เดินดินว่า…แต่เข้าใจเป็นเรื่องออกจากความสุขความทุกข์ไม่ได้ ถ้าคำว่ากายไปเข้าใจแค่ว่าบอดี้ร่างกายก็จะปฏิบัติอีกอย่าง พิจารณากรรมฐาน 5 ผมขนเล็บฟันหนังกระดูกก็จะพิจารณาแต่เพียงร่างกาย หรือไม่ก็เข้าไปหาจิตใจอย่างเดียว ดูแต่จิตอย่างเดียวอย่างอื่นไม่ต้องดูโลกนี้มีแต่จิตอย่างเดียว พ่อครูว่า…นั่งนิ่งๆก็เป็นกายปัสสัทธิได้แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ถ้าหากเข้าใจพยัญชนะได้ถูกต้อง จริงๆแล้ว ปัสสัทธิเป็นภาษาของพระพุทธเจ้า สมถะเป็นภาษาของเดียรถียร์ ส.เดินดินว่า…อีกประเด็นคือ พ่อครูบอกว่า ประเทศไทยมีประชาธิปไตยดีที่สุดในโลก เราไปขับไล่รัฐบาลทรราชไปตั้ง 4 5 รัฐบาล พ่อครูว่า… ขับไล่ด้วยความสงบสยบความรุนแรง แต่ที่เขาก่อความรุนแรงเป็นของรัฐบาลทรราชเขาก็ต้องดิ้นรน ต้องมาทำร้ายผู้ที่มาไล่เขา แต่เขาก็ถือว่าสิ่งที่เกิดความรุนแรงเราเป็นผู้ผลิตสร้างความรุนแรง ทั้งที่จริงแล้วผู้ปกครองไม่ได้ไปสร้างความรุนแรงเลยเราสงบสันติอหิงสาอโหสิ แล้วปฏิบัติอย่างนั้นเป็นแกนด้วยมีพลังอำนาจของความสงบ พลังความสงบเป็นคุณธรรมโลกุตระอันลึกซึ้ง แล้วเอาอะไรไปไล่เขาก็คือเอาความจริงยาวให้เป็นเย็นเรื่อยไปไขความจริงออกมาให้มากๆหมด ความจริงที่ผู้มาร่วมชุมนุมผู้รู้ที่มีสถานะทางสังคม พวกเราเองพวกขี้หมูขี้หมาเขาไม่เชื่อถือเท่าไหร่หรอก แต่คนที่เขาเห็นด้วยก็มาร่วมชุมนุมร่วมขึ้นเวทีสาธยายบอกว่าสิ่งนี้ผิดสิ่งที่ถูก รัฐบาลมีความเลวอย่างไรก็ว่าไป ก็คือความรู้ความจริงเรานั้นเป็นตัวน้ำหนักทำให้เกิดความเป็นไปได้ ชนะ อีกอันหนึ่งพูดไปแล้วก็เหนียม อาตมาเป็นผู้ไปร่วมชุมนุมคนหนึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีคุณค่าอยากให้เขารู้ให้เขายอมรับ ก็คือ ประชาชนไปปฏิวัติ ประชาชนไปรัฐประหารประหารรัฐบาลไปตั้ง 3-4 รัฐบาล ประชาชนไปทำ แต่เขาไปขี้ตู่นายกตู่ว่า ไปยึดอำนาจไปทำรัฐประหารเป็นเผด็จการ พวกนี้เป็นพวกที่ไม่มีความรู้ทางประชาธิปไตยเลยแม้แต่จะจบรัฐศาสตร์มาแม้แต่เป็นคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ แม้แต่ธนาธรเขาก็บอกว่าตัวเองเป็นประชาธิปไตยบอกว่านายกตู่เผด็จการยึดอำนาจ ที่จริงแล้วถ้าจะใช้คำว่ายึดก็ยึดอำนาจจากประชาชน ที่จริงไม่ได้ยึด แต่ไปรับไม้ผลัดไปสืบทอด อาตมาดัดจริตใช้ภาษาอังกฤษว่า Corridor ต่อเนื่องกันไปเหมือนกับระเบียงออกจากบ้านเหมือนเส้นทางสายการบิน ไม่มีร่องรอยอะไรแต่ต่อเนื่องกันไปได้ ต่อเนื่องสนิทเนียนสวยงามกันที่สุดเลยแล้วทำให้เกิดประชาธิปไตยที่มีประชาชนเป็นอำนาจ ประชาชนมาปฏิวัติมายึดอำนาจของรัฐบาลทรราชทั้งหลายแหล่ แล้วก็นายกตู่เป็นหัวหน้าคสช. รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ก็มารับไม้ต่อจากประชาชนเอาไปจัดการบริหาร เพราะฉะนั้น รองนายกวิษณุ เครืองาม จึงบอกว่า รัฐบาลของนายกตู่ที่บริหารอยู่นี้เป็นรัฐบาลเต็มรูป ไม่ใช่รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ แต่เป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มไม่ใช่รักษาการ สมณะเพาะพุทธว่า…ส่งท้ายผมขอบันทึกสรุปคำเทศน์พ่อท่าน… “อิสรเสรีภาพพุทธซาบซึ้ง จิตเป็นหนึ่งแนบสนิทสถิตเสถียร จิตตีแตกความเป็นสองผ่องจำเนียร เป็นนักเรียนรู้เล่ห์ของเวทนา Category: ศาสนาBy Samanasandin28 มิถุนายน 2019Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรมสำมะปี๋ซี่วิต Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:620626_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก เจาะลึกมูลกรรมฐานจนผ่านพระโสดาบันNextNext post:620629_พ่อครูเทศน์งานคืนสู่เหย้าฯนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม ที่สันติอโศกRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024