620703_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ดับธรรมชาติเหนือธรรมชาติได้ด้วยบุญ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1UDYbKRMDYRjeS0oCnWkhy-vL6gIxIVSwr1GHDma-yGs/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1JlA11rYLVG6qrTyaVHxvRGNHEykeA5QH
สมณะเดินดินว่า… วันนี้วันพุธที่ 3 กรกฎาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ใกล้จะถึงวันเข้าพรรษาแล้ว ต่างจังหวัดเขาก็มีประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษา ของเราก็คงไม่แห่อะไร ช่วงเข้าพรรษา เป็นช่วงที่เราอยู่กันอย่างพร้อมเพรียงอบอุ่น สมณะก็อยู่ปักหลักกันตลอด 3 เดือน ได้มาร่วมกันบำเพ็ญธรรม ได้มีการฟังธรรมจากพ่อครู
พ่อครูว่า…ก็จริงที่ท่านเดินดินว่า อาตมาก็มาพูดมาบรรยาย ให้คนได้รับรู้ สังเกตเวลาเทศน์คนข้างนอกไม่ค่อยมาฟัง พวกเราที่ชัดเจนเข้าใจแล้ว ก็จะมาตั้งใจฟังธรรมอาตมาสม่ำเสมอ คนเราจะเกิดอีกกี่ชาติก็แล้วแต่ แม้แต่แค่โลกียะธรรมดา คนธรรมดาสามัญสำนึก เขาก็อยากจะเป็นคนเจริญตามที่เขาคิด เจริญเป็นคนรวยเป็นคนมีลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขมากๆ ก็เป็นธรรมดาของคนทั่วไป พวกเราก็เคยมีอย่างนั้น ผ่านมาก็มาศึกษาฝึกฝนจริงจะเห็นความจริง ว่า เวลาและกรรมการกระทำของเรา กายกรรม วจีกรรม จากมโนเป็นประธานจะก่อเกิดกรรม
กว่าจะเห็นว่าเราไม่ต้องเอาชีวิตกลับไปรับใช้ แย่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขใส่ตัวเองเลย ลดได้ ลดความต้องการอย่างนั้นที่เป็นธรรมดาธรรมชาติของปุถุชน ลดได้ ชีวิตก็เจริญจริงๆ คนที่เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ขึ้นไปก็เพราะว่าเข้าใจโลกุตระธรรมอย่างนี้ รู้โลกโลกียะอย่างที่โหดร้าย แย่งชิง ฆ่าแกงกัน
โลกโลกุตระนี้เข้าใจเลยว่าไม่ต้องไปทำสิ่งนั้นเลย ส่วนโลกโลกียะ ก็จะรู้เหมือนกันว่าทำอย่างนั้นมันไม่ดี แต่ก็คิดว่ามันน่าจะมีบ้าง ส่วนโลกโลกุตระนั้นไม่แย่งเขาแล้วก็ให้เขาได้ด้วย แก้ปัญหา เศรษฐกิจสังคมการเมืองในมนุษยชาติจบ นี่คือการแก้ปัญหาที่ sustainable เป็นการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน มีรายงานที่ว่า ไทยที่ 1 ในอาเซียนเป็นประเทศที่พัฒนายั่งยืนโดยใช้ศาสตร์พระราชา
_SMS วันที่ 1 ก.ค. 2562 (สำมะปี๋ซี๋วิต)
_3867ถ้ามวลชนไม่ห่วงเรื่องการลงทุนฯธุรกิจส่งออกฯศก.ขาดตอนฯคงได้ออกมาขอให้ลุงตู่ยุบสภาฯ กลับไปปฏิรูปเลือกตั้งใหม่ฯ มีแต่นักกวนน้ำให้(เมือง)ขุ่น ไม่เกรงใจนายกฯผู้มาจากพระราชอำนาจโดยธ.ชอบฯ!เปิดธาตุแท้เผยตัวตนไม่มีหัวใจเป็นผู้แทนปชช.เลย!จะเป็นรมต.คุมสมบัติอ่าวมรดกใต้ดินของอธิปไตยปวงชนฯปลงเอวัง(เวง)
พ่อครูว่า…เป็นเช่นนี้แหละมนุษย์ที่ไม่ได้ศึกษาโลกุตระก็จะมีการแข่งขัน ขอแวะนิดนึง ถ้ามาปฏิบัติธรรมเป็นผู้ที่ได้โลกุตรธรรมอารยธรรม ก็เป็นคนในโลก แต่จะเป็นนักการเมือง เป็นผู้บริหารที่ดี ทำให้สังคมดีแน่นอนรับรองได้เลย ยืนยัน อาตมารับประกัน เพราะว่าลดกิเลสได้จริงๆหมดตัวหมดตนไม่เห็นแก่ตัวเองได้ ให้แก่ผู้อื่น ขยันหมั่นเพียรไม่สะสมเป็นคนมีวรรณะ 9 อาตมาพาพวกเราทำเป็นตามธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เป็นสังคมสาราณียธรรม 6 มีสาธารณโภคีเพราะว่าจะมีจิตที่เป็น สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ เจตสิก 7 นี้อย่างแท้จริง
นักบริหารประเทศ หากมีความรู้ศาสนาอย่างอาตมา ถ้าข้าราชการก็ดี ผู้บริหารบ้านเมืองก็ดีหรือนักการเมือง ที่เป็นข้าราชการ หรือจะเป็นราษฎรเต็มขั้น ทำงานเพื่อประชาชน ก็จะรู้จักความเป็นมนุษย์ความเป็นสังคม แล้วปฏิบัติธรรมตามพระพุทธเจ้า จะเกิดตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้าจริง
ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นผู้เข้าใจดี และท่านก็ทรงพระจริยวัตรทำงานรับใช้สังคมรับใช้ประเทศชาติตามฐานานุฐานะของท่าน ทำตลอดทรงครองราชย์ 70 พรรษา คนไทยมองออกว่าในหลวงร.9 เป็นนักประชาธิปไตยสุดยอดรับใช้ประชาชนจริงๆก็มีความศรัทธาเลื่อมใส แต่ไม่เข้าใจว่าคือศาสตร์พระราชาที่ทำตามคำสอนพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงไม่ตามติด ไม่ตั้งใจศึกษาให้ดีๆ โดยเฉพาะนักธรรมะหรือเถรสมาคมแท้ๆไม่พยายามทำความเข้าใจให้เป็นโลกุตระ ไม่พยายามสอนให้มนุษย์เป็นโลกุตระ มีแต่สอนโลกียะอย่างเดียว สอนโลกียะอย่างเฉิ่มๆ ไม่เข้าตาอาตมาด้วยซ้ำ สอนโลกียะ ตนเองก็แย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุขน่าเกลียด เหมือนสัฝฝงคมนักการเมืองจนกระทั่ง สังคมวงการพระภิกษุวงการศาสนาก็มีแต่การแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุข
อาตมาถึงต้องลากสังขารไปให้นานหน่อย อาตมาพาทำมาเกือบ 50 ปีแล้วตั้งแต่ปี 2513 ปีหน้าก็ชน 50 ปีแล้ว ยังจะเอาอีกให้มันมากกว่า 50 ให้เกิน 100 ปีให้ได้ เพราะว่าเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ และได้สืบทอดธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้สืบทอดอำนาจเผด็จการ นักการเมืองในเมืองไทยยังงมงายอยู่ ว่าพลเอกประยุทธ์มาสืบทอดอำนาจเผด็จการ
ด้วยความหมายเผด็จการของเขาคือสืบทอดหน้าที่ที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ซึ่งไม่ใช่ พลเอกประยุทธ์มาสืบทอดอำนาจประชาธิปไตยจากประชาชน อันนี้แหละที่นักรัฐศาสตร์การเมืองฟังอาตมาพูดบ้างแล้วไปไตร่ตรองให้ดีๆ จะไปพูดขายขี้หน้าตัวเองว่า พลเอกประยุทธ์มาสืบทอดอำนาจเผด็จการ ตะโกนอยู่ว่าคสช.มาสืบทอดอำนาจ เผด็จการ ซึ่งมันไม่ใช่ สัจจะจริงๆของมันคือมาสืบทอดอำนาจประชาธิปไตยรับไม้ผลัดจากประชาชน ถ้าประชาชนเป็นผู้ทำรัฐประหารปฏิวัติ จนสำเร็จ แล้วก็มีคนมารับช่วงต่อ ตั้งแต่รัฐบาลทักษิณก็มีคนมารับช่วงต่อ ทำการปฏิวัติโดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ซึ่งที่จริงก็ไม่ได้ปฏิวัติอะไรหรอกเพราะว่าประชาชนทำได้เรียบร้อยแล้ว ก็เอาดอกไม่มาเสียบปลายกระบอกปืนนิดหน่อย พอมาสมัยสมัคร เราก็ออกไปประท้วง แต่ว่าสมัยนายกฯสมัครนั้นผิดกฎหมายก็เลยต้องออก สมชายมาประชาชนก็ปฏิวัติอีก จนไม่ได้เข้าทำเนียบเลย เป็นเหตุการณ์ที่เป็นประวัติศาสตร์ ยิ่งสมัยยิ่งลักษณ์อีกก็สู้กันจนกระทั่งจบ
เมืองไทยเป็นตัวอย่างของประชาชนทำงานการเมืองได้ดีสวยงามมาก จนจบไป นี่ก็คือการศึกษาที่ศึกษาดีๆจะรู้เรื่องการเมืองประชาธิปไตยของไทย ที่ขอยืนยันว่าสวยงามที่สุดในโลก ขณะนี้ก็เป็นประชาธิปไตยที่งาม ยิ่งเลือกตั้งได้นายกฯมาแม้จะมีฝ่ายค้าน มีรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำไม่ต้องห่วงหรอกเสียงปริ่มน้ำคือการวัดฝีมือการบริหาร อย่าไปกลัว มันจะไปตามระบบของมันเองอย่างสวยงามไม่ต้องหวั่นไหวทำให้จริงรับใช้ประชาชน มี Roadmap อย่างไรก็ทำไปเชิญเลยฝอาตมาเชียร์
_ธนัชพร สิริยานนท์ · อยากไปกราบพ่อท่านสักครั้งของชีวิตนี้คะ
_จาก กูรูแป้ง เพื่อนเก่าของสู่แดนธรรมสมัยบวชที่วัดป่าสาละวัน ขอส่งคำถามข้อที่ 1 ให้พ่อท่านตอบ (ด้วยความที่เขาเองเริ่มเชื่อครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่หายข้องใจ ว่า ก็ถ้าพ่อท่านเป็นอรหันต์แล้ว ทำไมพ่อท่านจึงมาสอนอะไรที่ขัดกับความเชื่อของนักธรรมะส่วนใหญ่ของประเทศ ก็เลยคิดไปว่า เป็นไปได้ไหมที่พระอรหันต์จะล่วงลงสู่ความหลงผิดได้อีก ? ดังที่เขาจะได้กล่าวต่อไปนี้ ว่า…
“ผมแปลกใจมั้ยที่เพื่อนแป้งบอกกล่าวว่า… “พ่อท่านบรรลุรู้ธรรมได้ตั้งแต่อายุ 36 ในขณะที่อยู่ในเพศฆราวาส ที่วัดอโศการาม” ตอบว่าผมไม่แปลกใจเลย… แต่ยังมีความข้องขัดใจอยู่บางประการว่า…
“บุคคลผู้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดนี้แล้ว วันหนึ่งจะล่วงลงสู่ “ความหลงผิดได้อีกมั้ย” จะด้วยเหตุหนึ่งประการใดก็ตาม จะเป็นอมตะนิรันดร์กาลมั้ย… จวบจนสิ้นภพสิ้นชาติปัจจุบันไป
“รู้แล้วรู้เลย”ใช่มั้ย? จะไม่มีอาการออกมาพูดผิด ทำผิดได้อีก!! จบคำถามข้อที่ 1
[เมื่อคืนผมนอนคิดคำนึงอยู่ครึ่งคืนว่า การที่เรากระทำอย่างนี้ (ตั้งคำถามต่อพระอริยะ )
มันเป็นการสมควรหรือไม่ประการใด แต่มาทบทวนดูแล้ว เรามองทะลุมาที่ “เจตนา”
เรานั้นมุ่งร้ายต่อท่านหรือเปล่าที่ตั้งคำถาม เหมือนคาดคั้นเอากับท่าน เลยได้คำตอบว่า… ไม่มุ่งร้าย! “แต่..มุ่งจะรู้” เจตนาที่จะเป็นตัวกรรมชั่วในจิตในใจไม่มี ฉะนั้นแล้ว… จึงไม่วิตกกังวลอะไรว่าจะเข้าข่ายปรามาสพระอริยะผู้นิรทุกข์แล้ว]
พ่อครูว่า…ขอตอบตรงนี้ก่อน สมควรสิในการตั้งคำถามพระอาริยะ
เพื่อนของสู่แดนธรรมนี้มีความเข้าใจดีและมีความเข้าใจอาตมาดีขึ้นไปตามระดับได้ยังไม่แน่ใจไม่มั่นใจ เพราะปัญญาของเขายังไม่ดีแท้ ถ้าหากปัญญาเขาดีแท้จะรู้ว่าใช่แล้วอย่างไม่มีวิจิกิจฉา แต่นี่เขาก็ยังไม่รู้แท้ ว่าโลกุตรธรรมสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร อาตมาขอยืนยันว่านี่คือโลกุตระสัมมาทิฏฐิแท้
ผู้ที่รู้จุดสุดยอดเป็นพระอรหันต์ได้แล้วก็จะได้แล้วได้เลยยั่งยืนมั่นคงเป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง” ยิ่งขึ้นต่อไปเรื่อยๆและเป็นคุณสมบัติของอุเบกขา 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
แต่พฤติกรรมที่อนุโลมปฏิโลมด้วยกิริยาวาจา แม้แต่คำสอนคำพูดจะลดลงมาเพื่อผู้อื่นไปตามลำดับ คนที่ไม่เข้าใจว่าผู้ที่บรรลุแล้ว แล้วก็มาทำเช่นนี้ มันบางทีก็เหมือนกับยังไม่หมดกิเลสแต่มีความอยากทำอย่างนั้นอย่างนี้ อันนี้แหละมองกันยาก อ่านตามอาการพวกนี้แล้วผิดแน่ เพราะว่ามันเป็นลักษณะของสิริมหามายา ปฏินิสสัคคะ
และถามว่า ผู้พ้นแล้วจะไม่แสดงอะไรกลับคืน แต่อาตมาใช้คำว่าลิงลมอมข้าวพอง แม้แต่เป็นพระพุทธเจ้า ท่านบรรลุแล้ว เกิดมาอุบัติมาท่านก็ต้องเป็นพระพุทธเจ้าได้เลยสิ ไม่ต้องมีโลกียะ หรือไปปฏิบัติผิดใน 6 ปี มันก็น่าจะบรรลุเลย อาตมาใช้คำว่าลิงลมอมข้าวพอง อาตมายังไม่ใช่พระพุทธเจ้าก็ต้องเป็นอย่างนั้น เหมือนกับเด็กที่เกิดมาไม่รู้เดียงสาภูมิรู้เขายังไม่ขึ้น อย่างที่เด็กเกิดมาในชาติไหนมันก็ต้องเคยเป็นผู้ใหญ่มาทั้งนั้น แต่เกิดมาเป็นเด็กทำไมกิริยาไม่เดียงสาอีก นั่นแหละคือ ลิงลมอมข้าวพอง แต่ละคนที่เกิดมาในชาติใดๆก็ต้องเคยเกิดมาเป็นผู้ใหญ่มาตั้งแต่ชาติก่อนๆทั้งนั้น
ก็ต้องมาตั้งหลัก มีภูมิเท่าไหร่ก็ค่อยๆขึ้นมา อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ค่อยๆขึ้นมา ของ พระพุทธเจ้าก็ค่อยๆขึ้นมา ท่านเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ต้องตรวจสอบอีกถึง 2 เดือน ท่านบรรลุแล้ว เสวยวิมุติอยู่ 49 วัน แต่เวลาจริงๆกว่าจะได้มาสอนปัญจวัคคีย์ ก็ต้องใช้เวลา 2 เดือนหลังจากตรัสรู้ รวมเดินทางด้วย อย่างนี้เป็นต้น
ไม่ใช่ขึ้นมาทีเดียวหมดนะ คำสอนตอนที่ท่านระลึกธรรมะละเอียด ก็ต้องเอาอันที่ควรสอน อันไหนที่ค้างไว้ก็มี อย่างมีสำนวนพระพุทธเจ้าตรัสว่าเมื่อคืนนี้มีเทวดามาคุยกับเรา อันนี้แหละคือของเก่าท่านมีมา แล้วก็มาให้ท่านรู้ อาตมาทุกวันนี้ก็มีเทวดาคุยกับอาตมาตลอดเวลา ซึ่งไม่ใช่เทวดาที่ไหนหรอก แต่เป็นความรู้เก่าของเราเองที่ฟื้นคืนมาๆๆที่ขึ้นมา อันนี้เป็นสยังอภิญญา แต่ของพระพุทธเจ้าคือสยัมภู
แล้วทำไมพ่อท่านสอนขัดกับความรู้ของนักธรรมะทั่วประเทศ
พ่อครูว่า..ก็เพราะว่าทั้งประเทศมันผิดไปหมดแล้ว อาตมาสอนมันก็ต้องขัดแย้งกันสิ ถ้าหากไม่ขัดแย้ง อาตมาก็เข้าใจผิดสิ เพราะทางเถรสมาคมส่วนใหญ่นั้นผิด อาตมานำสิ่งถูกมาอธิบายมันก็ต้องขัดแย้งสิ เพราะว่าโลกุตรธรรมได้สูญไปแล้วอาตมาจึงต้องเอาโลกุตรธรรมกลับคืนมา
แล้วก็บอกว่าทำไมถึงมาสอนผิด คุณต่างหากเข้าใจผิด แล้วมาหาว่าอาตมาสอนผิด อาตมาเข้าใจถูกแล้ว ไม่ได้กลับไปกลับมา ดังที่คุณคนนี้ว่า พ่อท่านบรรลุธรรมตั้งแต่อายุ 36 แต่ยังข้องใจว่า บรรลุแล้วจะร่วงลงสู่ความหลงผิดหรือได้นิรันดร
ก็ได้แล้วได้เลย แต่มีภูมิปัญญาอนุโลมกับคนอื่น เหมือนอาตมาพูดกับเด็กเหมือนไม่เดียงสา ผิดตรงไหน คุณเข้าใจบริบทของการทำประโยชน์กับเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตาม หรือผู้สูงผู้ลึกซึ้ง หากอาตมาพูดธรรมะกับสงฆ์ฺก็ไม่ได้พูดกันอย่างนี้ก็จะเป็นการพูดธรรมะเนื้อแท้อย่างเข้มข้น
รายละเอียดพวกนี้มันซับซ้อนอนุโลมไปอนุโลมมาจึงเป็นภาวะของสิริมหามายา คุณไม่เข้าใจก็เพราะว่าไม่รู้จักการอนุโลมอยู่กับสังคมยังไม่มีตัวตน แต่ก็ทำให้เหมาะสมกับกาละเทศะฐานะ ยังมีสัปปุริสธรรม มหาปเทสอย่างแท้จริง
พูดไปก็ไม่ออกนอกขอบเขตด้านนี้หรอก
_ศักดา ติยาภักดิ์ สองชั่วโมงเต็มวันนี้เป็นสรุปสาระที่เป็นปัญหาของโลกในทุกวันนี้
มองไล่ไปตั้งแต่ปลายเท้าถึงไกลจนสุดจักรวาล…..ลึก ยุ่งยาก ยุ่งเหยิง
ถ้าไม่ใช่พระโพธิสัตว์สัตบุรุษองค์นี้คงสำเร็จยาก
พ่อครูว่า… ไม่ใช่โพธิสัตว์องค์นี้คนอื่นก็น่าจะสำเร็จได้ไปตามลำดับเหมือนกัน คุณจะไปสรุปว่าสำเร็จยากจะทำให้ตัวเองท้อถอย สำเร็จยากหรือไม่ยากก็ต้องทำให้สำเร็จ ก็ไม่มีอะไรดีกว่าศึกษาธรรมะ
เกิดมาเป็นคน ธรรมะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ขนาดพระพุทธเจ้า เกิดมาก็ยังเห็นว่ามาสอนธรรมะเป็นอาชีพที่ดีที่สุด ท่านรู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ไม่ทำอะไรอีกเลยนอกจากทำอันนี้จนปรินิพพานเป็นปริโยสานไป
_ในน้ำคำ…กาละเป็น static กรรมเป็น dynamic ใช่ไหม
พ่อครูว่า…ใช่ กาละไม่ใช่จิตนิยาม พีชนิยาม ด้วยซ้ำไป กาละคือสิ่งที่ครองอยู่ในมหาจักรวาล ตราบใดที่ยังมีเอกภพ ยังมีการเคลื่อนที่ของสรรพสิ่ง จะเรียกว่ากาแล็กซีเนบิวลาก็แล้วแต่ มีอะไรเคลื่อนที่อยู่ในนี้ทั้งหมด ก็จะเกิดการเคลื่อนที่ของทุกสิ่งทุกอย่างเรียกว่า กาลเวลา ส่วนกรรมนั้น มีจิตวิญญาณเข้าไปร่วม กรรมครบทั้งอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม พีฝงงงลงง
ชะก็ไม่มีกรรมเลย ทำแล้วไม่เป็นวิบาก แต่จิตนิยามมีกรรมวิบากสั่งสม หากไม่ใช่ความรู้ของพระพุทธเจ้าจะไม่รู้เลยว่าทำกรรมกิริยาแล้วเป็นวิบาก แล้วจะวนเวียนตามกรรมวิบากอีกนานชาติ สูงขึ้นหรือต่ำลง จนที่สุดเป็นโลกุตระ ถ้าไม่รู้กายกรรมวจีกรรมของเรามโนกรรมของเรา ก็จะไม่สามารถควบคุมกายกรรมวจีกรรมของเราให้เป็นบุญหรือชำระกิเลสให้ได้จนกระทั่งหมดบุญเป็นคนสิ้นบุญ หมดบุญก็จบเป็นอรหันต์ อรหันต์ทุกองค์เป็นคนหมดบุญ อรหันต์ท่านบรรลุเสร็จก็ยังไม่ตายทันที มีที่ตายทันทีคืออรหันต์สมสีสี แต่ท่านอื่นก็เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ ต่อจากนั้นท่านไม่ต้องทำบุญอีก ไม่ต้องใช้พลังงานฆ่ากิเลสอีก กรรมของท่านไม่มีบุญไม่มีบาปอีกแล้ว ทุกองค์ไปแล้วไปเลยได้แล้วได้เลย ถ้าทำบุญจบแล้วยังมีวิบากอีก ก็ต้องมีวิบากบาปต้องใช้หนี้แล้วจะมีนิพพานที่ไหน กรรมที่ไม่มีบาปแล้วบุญจะมีที่ไหน เพราะว่าบุญมีหน้าที่ล้างกิเลสอย่างเดียวแล้วจะมีบุญที่ไหน
บุญล้างกิเลสได้หมด สิ้นอาสวะเป็นอนาสวะแล้วก็มีสูญนิรันดร เรียกว่า นิพพาน
ศาสนาที่วนๆอยู่ บุญแล้วก็มีกิเลสอีก วนไปมีวิบากอีกคนนี้ไม่รู้จุดจบกิจของนิพพานอีก ไม่รู้จุดจบกิจ อรหันต์มีบอกว่า เราเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป เช่นพระโมฆราช และมีอีกหลายองค์ ที่พูดเช่นนี้ คนไหนยังอยากได้บุญ ก็อวิชชาอยู่ บุญเป็นของมีในปัจจุบันเท่านั้น ไม่มีในอดีตอนาคต ทำหน้าที่ในปัจจุบันแม้ไม่เป็นอรหันต์เสขบุคคลบุญก็มีในปัจจุบัน มีส่วนแห่งบุญ ปุญญภาคิยา ลดกิเลสไป ก็ต้องทำบุญในปัจจุบันทุกปัจจุบันจะหมดกิเลสก็ไม่ต้องทำบุญอีก
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดินว่า..ชีวิตปุถุชนก็แสวงหาลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เหมือนอย่างที่ปัจจุบันนี้ก็มีการแย่งตำแหน่งรัฐมนตรีกัน พ่อครูเคยบอกว่าภาษาก็บอกว่าเป็นรัฐมนตรีแต่สภาวะจริงก็เป็นทรราช เหมือนเรามาจนนี่ ปุถุชนก็ต้องแสวงหาความร่ำรวย มีความละโมบโลภมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกเรามาแสวงหาความจน จนสูญแล้วหมดแล้ว ก็เลยไม่อยากได้อีก ก็เลยมีแต่ความอุดมสมบูรณ์
พ่อครูว่า…ไม่อยากได้อีกนี่มันเต็ม แต่มีกรรมกิริยาขยันหมั่นเพียรสร้างสรรก็เกิดผลผลิต ไม่ได้อยากมี มีน้อยก็พอแต่มันมีมากเกินก็เลยต้องแจกจ่าย
สมณะเดินดินว่า…ยิ่งแย่งก็ยิ่งไม่ได้ แต่ยิ่งให้ยิ่งได้มา
พ่อครูว่า…ก็ขอสรุปของคุณในน้ำคำที่ถามกรรมกับกาละมา อาตมาสรุปได้ว่า Kama and Time of Continuum ของไอน์สไตน์คือ Space andTime of Continuum
ของไอน์สไตน์ เอาทางวัตถุ ทุกอย่างในมหาจักรวาลมี relation กันตลอด ปฏิสัมพันธ์กันตลอด ผู้ที่บรรลุสูงสุดแล้วก็ยังมีกรรมกิริยาอยู่ในกาล ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ยังไม่ตายเลิกอัตภาพตัวเองสลายเป็นอุตุธาตุ ไม่กลับมาเป็นจิตธาตุอีกเลย ทำได้ ศาสนาพุทธสลายอัตภาพของตัวเองให้เป็นอุตุ เป็นดินน้ำไฟลมไปเลยแม้แต่ความเป็นจริง พีชะก็ไม่เป็น ก็ทำได้ เป็นการจบอัตภาพของอรหันต์ทุกองค์ ชีวะของอัตภาพนี้ก็ไม่มีในกาละ
กาละก็เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ แต่คนนี้หมดกรรมเรียกว่าทำกาละทำตนเองให้หมดไปจากกาละ ที่เขาแปล คนทำกาละคือตาย แต่ที่จริงแล้ว อรหันต์กรรมไม่เป็นบุญไม่เป็นบาปอีกแล้ว มีแต่วิบาก แต่ไม่ได้ยึดถือ ก็ทำกรรมไม่มีบาปอีกเลย มีแต่กุศล
_Nittaya Sripalakit • 21 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ท่านโพธิรักษ์ตอบได้ดีที่สุดเท่าที่เคยดูและฟังจากทั้งสื่อ, ครู ,พระนักเทศน์ ,จิตแพทย์ ส่วนใหญ่จะพูดเอาใจ ให้ทาง หลับตาข้างหนึ่ง ยิ่งถ้าจริตแบบลักเพศทำเงินเก่งยิ่งส่งเสริมให้ป่าวประกาศว่าตนมีกิเลิส มีความไม่รักษาให้ส่วนรวมปกติสุข
พ่อครูว่า…ถ้ามันชัดเจน มันคล้ายๆอย่างนี้หรือเปล่า มันเหมือนกับช่างซ่อมรถยนต์พอคนซ่อมก็ซ่อมนิดหน่อยชั่วคราว หากซ่อมให้ดีถาวรเดี๋ยวไม่มีงานทำ ตรงนี้ก็เหมือนหมอเลี้ยงไข้ อย่างนี้มันก็เป็นจริงสำหรับคนกิเลสโลภไม่สะอาดบริสุทธิ์ จริงๆแล้วควรจะทำให้สะอาดบริสุทธิ์ แต่มันอาจจะทำให้ถาวรไม่ได้ มันจะลดน้อยลงงานคุณก็จะเบาลงแต่คนตะกละ อยากให้ลูกค้าคนไข้มามากๆกว่าเดิม คุณจะได้รวยกว่าเดิม มันไม่ดี ต้องทำให้หายจากโรคไปหมด จนคุณไม่ต้องรักษาอีกเลยถึงดี
_guru x • 23 ชั่วโมงที่ผ่านมา
สาธุ ๆ คนับ คน้อยกระจ่างชัดนิยามของคำว่า “บุญ” ของท่านก็คลิปนี้เอง ตามฟังเทศน์ท่านเกี่ยวกับคำว่าบุญมาหลายคลิปในช่องทีวีบุญนิยม
แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ ขัดกับความเข้าใจเดิมเมื่อก่อนคิดว่าทำบุญก็ต้องได้เก็บบุญสะสมไว้ จะในชาตินี้หรือในภพชาติหน้า ก็แล้วแต่ หรือหลายวัดก็สอนให้ทำบุญ
จะได้มีบุญส่งเสริมให้เป็นนั่นเป็นนี่ ไปสวรรค์บ้าง ไปนิพพานบ้าง(เมื่อก่อนคน้อยก็ ? ในใจว่าถ้านิพพานแล้วบุญที่มีอยู่ละจะหายไปเองยังไง)
พอคลิปนี้ท่านเปรียบเทียบให้ฟังว่าบุญมีหน้าที่ทำลายหรือฆ่ากิเลส
ฆ่าเสร็จหมดหน้าที่ก็จบ สูญไปไม่มีสะสม เพราะถ้าบุญยังเหลือเก็บ ก็จะขัดแย้งกับนิพพาน สาธุคนับ
ปล. คน้อยก็ขอกราบคารวะท่าน หลายเรื่องที่ค้างคาในใจก็กระจ่างเพราะสำนักของท่าน ก็ได้แต่เป็นห่วงว่าท่านตีความอย่างนี้คงไม่ถูกจริตกระแสหลักแน่นอน
พ่อครูว่า…การสอนให้ทำบุญนี้ถูกแล้วศาสนาพุทธไม่มีอื่น บุญคือการชำระกิเลสศาสนาพุทธนี้มีแต่บุญ แต่ว่าสอนบุญผิดมันก็เลยผิดศาสนาพุทธ ต้องสอนบุญให้ถูกมันถึงจะเป็นศาสนาพุทธมีแต่บุญเท่านั้นแหละคุณทำบุญให้จบ สอนบุญแล้วทำบุญให้จบ หมดอาสวะ อนาสวะแล้วกิเลสหมดก็ไม่ต้องทำบุญอีกแล้ว ถ้ามีคนคนนี้คนเดียวในโลกก็สอนคนนี้ให้ทำบุญ ทำบุญล้างกิเลส กิเลสสิ้นอาสวะแล้วคุณก็ไม่ต้องสอนใครอีกแล้วเพราะจบแล้วนี่ ถ้ามีคนคนเดียวให้สอน คนคนนี้หมดบุญแล้วก็จบเลยเป็นอรหันต์แล้วก็จบ ไม่ต้องพูดซ้ำซากเลยไม่ต้องพูดให้เมื่อย ที่อาตมาต้องสอนบุญอยู่เพราะว่าคนยังไม่หมดบุญ ไม่ใช่บุญมันมีในตัว บุญมันต้องเกิดในปัจจุบัน ทิฏฐกาละ ปัจจุบันที่ยิ่งกว่าปลายเข็มหมุด จุดลงแล้วถอนเลย บุญทำหน้าที่ในปัจจุบันแล้วก็จบ สร้างบุญไม่เป็นผลไม่มีสัมมาทิฏฐิมันก็ลดไม่ได้ซะที ก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง
ศาสนาโลกีย์สอนเรื่อง กุศลอกุศล แต่ไม่มีศาสนาไหนที่สอนเรื่องบุญ ที่เอาคำว่าบุญไปสอนกันก็ไม่มี แม้เมืองไทยเป็นเมืองพุทธก็ไม่ได้สอนเรื่องบุญสอนแต่กุศล มีแต่โพธิรักษ์มีแต่ชาวอโศกที่เรียนรู้เรื่องบุญ ทำบุญอย่างสัมมาทิฏฐิได้ประโยชน์ อัตถิทินนัง อัตถยิฏฐัง อัตถิหุตัง อัตถิสุกตทุกฏานังกัมมานังผลังวิปาโก จึงมีโลกใหม่ที่พ้นจากโลกเก่าได้ เพราะมีศีลเป็นแม่ปัญญาเป็นพ่อ จึงเกิด สัตว์โอปปาติกะ เกิดเป็นพระอาริยะได้ จริงๆๆๆงลฟฟฟเพราะมีสยังอภิญญามาประกาศเผยแพร่สิ่งนี้ ถ้าอาตมาไม่เกิดไม่มีใครมาสอนสัมมาทิฏฐิ 10 นี้ได้ อยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 257 มหาจัตตารีสกสูตร
บุญไม่ได้ทำให้เกิดสวรรค์ บุญมีแต่ทำให้เกิดนิพพาน
ผู้ที่ทำบุญหมดแล้วสิ้นบุญแล้วก็จบสิ ถ้ายังมีบุญอยู่แล้วคุณจะนิพพานได้อย่างไรเพราะว่านิพพานเป็นความสูญความไม่มี บุญไม่มีความเป็นเส้นโค้งมีแต่วันเวย์ท่าเดียวในปัจจุบันนั้นเท่านั้น ถ่ายเดียว ไม่มีองศาแห่งความโค้งเลย ตัดแล้วก็จบถ้าตัดเสร็จหมดก็จบงานหากไม่เสร็จก็ต้องสร้างใหม่ คุณต้องมีความสามารถสร้างพลังงานจิตให้เกิดเป็นบุญตัดกิเลส
แน่นอนตีความอย่างนี้ต้องไปถูกจริตกับกระแสหลักจนเขาจะเอาอาตมาตายอาจจะเอาอาตมาติดคุก แต่ว่าอาตมาหนังเหนียวเลยไม่เป็นไร เหมือนพระโมคคัลลานะ ฆ่าอย่างไรก็ฟื้น แต่ตอนนี้เถรสมาคมไม่คิดฆ่าอาตมาแล้วเพราะว่าฆ่าและก็ฟื้น ทำอย่างไรก็ฟื้น นอกจากอาตมาจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน เพราะฉะนั้น อย่าทำให้อาตมาไม่สอนโลกุตรธรรมเลยไม่มีทาง
_Bdjsbxbdjd Jsbxjnsbdh • 4 วันที่ผ่านมา
ชาวอโศกปฏิบัติธรรมถูกตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือการลดอัตตา ตัวตน ลดการหามาเสพเพื่อตนเจริญก้าวหน้าไปตามลำดับที่ตนทำได้ ทุกคนทำงานฟรีไม่เอารายได้เข้าหาตน จึงมีเงินรายได้เข้าส่วนกลางทั้งหมด กินใช้ร่วมกันครับ เรียกว่าระบบสาธารณะโภคีคือ เสียภาษี100เปอร์เซ็น จึงสามารถจัดตลาดอาริยะขายของในราคาเท่าทุนหรือขาดทุนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ได้ ผมคิดว่านี่คือระบอบประชาธิปไตยที่ดีที่สุดในโลก แต่คนในโลกจะเข้าใจยากมาก ถ้าไม่มาเปิดใจฟังธรรมมะจากพ่อท่าน
พ่อครูว่า…ถูกต้องแล้วคุณเข้าใจถูกทีเดียว คนจะไม่มาฟังธรรมะอาตมาถ้าไม่เห็นคุณค่า อาตมาสอนธรรมะที่ทำให้เกิดความเป็นสาธารณโภคี เป็นเรื่องท้าทายโลกมากคนมาอยู่ในสังคมนี้แล้วทำงานฟรี อยู่ในสังคมนี้มีสาธารณโภคี อาศัยสวัสดิการของสังคมนี้ทั้งกินใช้สอยนี้ แล้วเราก็ทำงานไป ทำได้เท่าไหร่ก็เอาเข้ากองกลางหมดไม่เหลือค่าตัวเองเลย มันเป็นความสุดวิเศษของสังคมมนุษยชาติ มนุษย์คนไหนทำได้อย่างนี้ก็เป็นคนสุดยอด สุดยอดของอาชีพคือ พ้น ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ทำงานแล้วไม่รับค่าตอบแทนเลย หากยังรับค่าตอบแทนไม่พ้นมิจฉาอาชีวะ 5 เราทำงานฟรี ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างสบายเป็นเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจที่ดีที่สุดในโลก ประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศที่ประกาศและเป็นตัวอย่างอันนี้ของโลก ที่จริงแล้วชาวอโศกเราก็เป็นตัวอย่างของสังคมในโลก ทางผู้บริหารทางประเทศชาติท่านยังไม่เข้าใจ แม้แต่ในสถาบันศาสนา ท่านก็ไม่ได้เป็นสาธารณโภคีแม้แต่ในวงการสงฆ์ก็ไม่เป็นสาธารณโภคีตัวใครตัวมันกระเป๋าใครกระเป๋ามันเพราะมันแย่งชิงขี้โกงกัน แม้แต่เป็นพระก็น่าขายหน้าอย่างนี้ ไม่รู้จะทำยังไงก็เป็นอย่างนั้น
_Pro’f Font • 5 วันที่ผ่านมา
พระกับพระสนทนาน่าดูไปอีกแบบ สงบกับสงบก็น่าฟัง ดี สันติภาพอยู่หนใด ธรรมชาติ คือ อะไร ครับ
_ไกรวุฒิ อินราช • 5 วันที่ผ่านมา
พ่อท่านครู มีความสามารถรู้ได้ทุกเรื่อง เพราะพ่อท่านมี 3 จอ ติดฝาผนังอย่างดี พระอริยเจ้า ผู้หลุดพ้นจาก ความทุกข์ยาก สู่ ความสบายๆ มีครบทุกอย่างที่อยากมี
พ่อครูว่า…พูดแล้วดูเหมือนมีเสียง 2 ประชดประชันแดกดันหรือเปล่า ไม่เชื่อว่าจะบรรลุ ไปรู้อะไรดูทีวีช่อง 3 จอ อาตมาดูก็เพื่อดูว่าสังคมเขาเป็นอย่างไรไม่ใช่อยู่ในถ้ำมืด ไม่รู้ว่าเขาอยู่กันอย่างไรมีเหตุผลมีหลักฐานอย่างไร อาตมาต้องทำงานสังคมก็ต้องรับอะไรให้เข้าใจ อาตมาดูทีวีนี้เพื่อคุณ เพื่อสังคมเพื่อมนุษยชาติไม่ได้ดูทีวีเพื่อตัวเอง อาตมาไม่ได้เสียบรถในทีวี ไม่ได้เสียรถจากการดูทีวีเลย 1.
-
อาตมาไม่ได้ดูทีวีเพื่อทำประโยชน์แก่ตัวเอง แต่ดูทีวีเพื่อมีข้อมูลหลักฐานเพื่อทำประโยชน์รับใช้แก่ประชาชน อาตมาดูทีวีเพื่อคุณดูทีวีเพื่อมนุษยชาติ เหมือนอย่างที่อาตมาเคยตอบว่าอาตมากินข้าวไม่ได้เพื่อตัวเองแต่กินข้าวเพื่อพวกคุณทำงานเพื่อพวกคุณ คล้ายกันกับอาตมาดูทีวีเพื่อคุณ
อาตมาเคยคุยกับคนที่ถามสมัยแสดงธรรมตอนบวชใหม่ๆ อาตมาก็ว่ากินข้าวเพื่อคุณไม่ได้กินเพื่อตัวเอง เขาก็บอกว่ามากไปครับหลวงพี่
อาตมาว่า ปัจจุบันนี้ ยังรู้สึกว่าเราจะลากสังขารไปได้นานไหม อาตมาก็จึงต้องบอกตัวเองว่า อยู่ๆ ไม่อยู่เพื่ออะไรหรอก อยู่เพื่อปัจจุบัน มันรู้สึกว่าจะเหนื่อยใจขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ปฏิบัติ ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าโลกนี้มีแต่สิ่งที่น่าช่วยเหลือน่าสังเวชน่าสงสาร ก็มีกำลังใจขึ้นมา แต่ว่า อาตมาก็อายุ 85 แล้ว จริงๆอาตมาบอกแล้วว่าอาตมาฝืนสังขารเพื่อที่จะอยู่ให้ได้ยาว มันจะต้องตายตั้งแต่อายุ 72 ก็พูดไม่รู้กี่ครั้ง แต่นี้ก็พยายามจะลากสังขาร เพื่อที่จะทำงานให้แก่สังคมเพื่อพิสูจน์ธรรมะของพระพุทธเจ้าเพื่อพิสูจน์สัมประสิทธิ์ของพระพุทธเจ้า หรือที่พูดอย่างเท่คือ เพื่อที่จะรับผิดชอบตามที่พระพุทธเจ้าได้ฝากฝังไว้ อันนี้ก็ฟังแล้วน่าหมั่นไส้เท่าสมควรแต่จริงๆเป็นอย่างนั้น
ตอบที่ว่า ที่บอกว่าธรรมชาติคืออะไรสันติภาพอยู่ที่ไหน
พ่อครูว่า..สันติภาพอยู่หนใด เอาสำนวนมาถามเหมือนบอกว่าสุขาอยู่หนใด
สันติภาพเอย สันติภาพเอย สันติภาพเอ๋ย เพลงนี้ฉบับเต็มยาว 10 นาที
สันติภาพเป็นเรื่องของความหมายที่โลกทั้งโลก ชาติทุกชาติ จิตวิญญาณของมนุษยชาติทุกคน ปรารถนาสันติภาวะหรือสันติภาพ สันติแปลว่าความสงบ แม้คุณจะเป็นนักรบ แม้คุณจะเป็นนักหาเรื่อง คุณก็จะต้องมาอยู่ที่สงบอยู่ที่สันติภาพเป็นตัวพัก คือ แดนดุสิต มีสันตุสิตเป็นผู้ดูแล เป็นผู้สงบเย็น
คำว่า สันติภาพ ต้องมีไวพจน์คือ ความสงบ สันติคือความสงบความไม่เดือดร้อนวุ่นวาย แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น มันมีความสงบอย่างลึกซึ้ง สงบอย่างแคล่วคล่องว่องไวปราดเปรียวเร็วแรง เรียบร้อยราบรื่นง่ายงาม
สันติภาพอยู่หนใด.. ตอบ.. อยู่ที่ชาวอโศก ที่ตอบอย่างนี้ไม่ได้เล่นลิ้นพูดอย่างเท่ๆ แต่พูดจริง มาดูสิสันติภาพอยู่ที่นี่ สันติภาพมีความสงบเรียบร้อยราบรื่นง่ายงาม และก็เป็นสภาพที่คล่อง ของความเป็นเวทนา สัญญา สังขาร คล่องทั้งความรู้สึกความกำหนดหมายความปรุงแต่ง เรียกว่าสงบ ไม่ใช่สงบอย่างหยุดนิ่งอยู่เฉยๆไม่กระดุกกระดิกไม่ใช่เลย มันมีสภาพ ซ้อนที่ว่า ยิ่งหยุดยิ่งเร็ว เป็นสิริมหามายา ยิ่งหยุดยิ่งเร็วยิ่งแรง อะไรหยุด กิเลสหยุด ไม่มีตัวต้านไม่มีตัวที่จะให้เสียผลงานเสียประสิทธิภาพ
มีแต่ตัวช่วย สิ่งที่จะมาต้าน กลายเป็นตัวช่วย อย่างอาตมาทำงานใคร ยิ่งค้านยิ่งช่วยทำให้อาตมาเด่นชัดยิ่งขาว เช่นที่ถามอาตมาว่า ทำไมมาพูดค้านแย้งกับกระแสหลัก เท่ากับคุณมายืนยันให้อาตมาชัดเจนว่า ก็ต้องพูดเพราะอาตมาถูกกระแสหลักมันผิดก็ต้องค้านแย้งสิ ถ้าเผื่อว่าอาตมาไม่ขึ้นมา ศาสนากระแสหลักผิดล้มละลายไปหมด เพราะฉะนั้นอาตมาต้องขึ้นมาพูดต้องมายืนยันว่าอาตมาถูก ถ้ากระแสหลักถูกอยู่แล้วไม่ค้านแย้งกัน แต่เพราะว่ามันค้านแย้ง มันจึงอาตมาถูก
ที่ว่าทำไมต้องพูดค้านแย้งกับกระแสหลักส่วนใหญ่ก็เพราะว่าส่วนใหญ่เขาผิดก็ต้องมาค้านแย้ง คุณเองจะยึดถืออะไร จะยึดถือกระแสหลักว่าถูกก็ยึดถือไป แต่อาตมามาขัดแย้งคุณก็ฟัง หากคิดว่าอาตมาผิดคุณก็นับถือทางโน้น ไม่ต้องมานับถือทางนี้ หรือคุณจะนับถือสิ่งที่ผิดก็ตัวใครตัวมัน พระพุทธเจ้าท่านจบที่ว่าความเห็นของเธอกับความเห็นของเรามันคนละอย่างก็จบ นี่ นานาสังวาส ตรงนี้ อาตมาพูดหลายทีแล้วเราไม่ไปรบราฆ่าฟันกับใครเรามาแสดงความจริงความรู้ความเห็นว่าอาตมาเห็นอย่างนี้เป็นอย่างนี้ ขัดแย้งกับใครต่อใครก็แสดงว่า ถ้าอาตมาผิดคนนั้นก็ถูก ถ้าหากอาตมาถูกคนนั้นก็ผิด คนนั้นก็ผิดเพราะมันขัดแย้งกันแต่ถ้ามันไม่ค้านแย้งกันมันถูกก็ต้องลงกันเหมือนกัน ผิดก็ผิดเหมือนกัน แต่อาตมาแสดงสิ่งที่ถูกอย่างเดียว
สัจธรรมของศาสนาพุทธ
-
สัจธรรม (เป็นธรรมที่เป็นความจริงแท้)
-
สัลเลขธรรม (มีความขัดเกลา)
-
นิยยานิกธรรม (พ้นทุกข์ได้จริง)
-
สันติธรรม (สงบ เรียบร้อย ราบรื่น ง่าย งาม)
ถามว่าสันติอยู่หนใดอยู่ที่ข้อที่ 4
หากจะเอาวัตถุตัวตนบุคคลอยู่ที่ชุมชนชาวอโศกมนุษย์ชาวอโศกมีสันติธรรม
สันติภาพอยู่ที่ความสงบ เรียบร้อย ราบรื่น ง่ายงามอยู่อย่างนั้น และสภาพตัวตนจริงบุคคลเราเขาอยู่ที่ไหนก็อยู่ที่ชาวอโศกสังคมชาวอโศกเป็นสังคมที่มีสันติภาพ แถมให้อีก มีภราดรภาพ แล้วยังมี สมรรถภาพมีบูรณภาพสุดยอดจริงคืออิสรเสรีภาพ independent
-
อิสรเสรีภาพ (Independent) มีอิสรภาพพ้นอำนาจกิเลส .
-
ภราดรภาพ (Fraternity) มีภาวะแห่งรักกว้างออกไปดุจดั่งญาติ
-
สันติภาพ (Peace) มีภาวะสงบแท้ ไม่มีตัวเหตุเบียดเบียน
-
สมรรถภาพ (Efficiency) มีความสามารถสรรสร้างประโยชน์สุข
-
บูรณภาพ (Integrity) ปรับปรุงพัฒนาให้เจริญ ให้เต็มบริบูรณ์
สันติภาพ บอกแล้วนะทั้งพยัญชนะ สภาวะ ตัวตนจริงของมนุษยชาติไม่ได้คุยโม้ เป็นความราบรื่น เรียบร้อย ง่ายงาม สงบสุขอย่างดี
ธรรมชาติคืออะไร อันนี้แหละ ธรรมชาติคือ ธรรมะ กับ ชาติ สองคำ
ใครบอกว่าธรรม คือ ธรรมชาติ ผิดตั้งแต่พยัญชนะแล้วยิ่งสภาวะยิ่งไปใหญ่ เท่ากับบอกว่า X = XY มันเป็นไปได้อย่างไร X = X และ Y = Y
ธรรมะแปลว่าทรงอยู่ หากทรงอยู่อย่างไม่มีการเกิดก็เป็นอรหันต์สมบูรณ์แบบ
ขยายทางอริยสัจคือ
-
รู้เท่าทันธรรมชาติกิเลสนั้นๆ เกิด
-
รู้เหตุแห่งการเกิดธรรมชาตินั้นๆ
-
รู้วิธีและทำการดับธรรมชาตินั้นๆ
-
รู้การใช้ชีวิตอยู่เหนือธรรมชาตินั้นทั้งปวง .
เจตนาขยายความเพื่อเปรียบเทียบกับของท่านพุทธทาส ที่ท่านขยายความธรรมชาติของท่านที่เป็นโลกีย์
ธรรมชาติคือสิ่งที่เกิดที่เป็นอยู่ บุคคลที่อยู่กับธรรมชาติจะต้องรู้เท่าทันธรรมชาติแล้วต้องทำให้เกิดธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรม หรือแม้แต่เป็น 0 หรือ เป็นธรรมชาติที่เป็นหนึ่งต้องทำให้ได้ ธรรมชาติที่เป็นศูนย์ธรรมชาติที่เป็นเมืองหรือธรรมชาติที่เป็น 2 ที่เป็นเทวดา แล้วก็ทำทีละ 2 ให้เป็น 1 ให้เป็น 0 นี่คือหัวใจศาสนาพุทธในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ที่บอกว่า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
นี่คือหัวใจของศาสนาพุทธ ทฺวเยน เวทนาย คือเวทนาที่เป็น 2 แล้วมาเรียนรู้ทำให้เป็นหนึ่ง
งให้ได้ เอกสโมสรณา ภวนฺติ คุณจะสิ้นทุกข์นั่นคือหัวใจของศาสนาพุทธ
นี่คือของท่านพุทธทาสที่ได้ให้นิยามไว้ ถึงธรรมชาติ 4 อย่าง
-
ธรรมะหมายถึงธรรมชาติ
-
ธรรมะหมายถึงกฎธรรมชาติ
-
ธรรมะหมายถึงหน้าที่
-
ธรรมะหมายถึงผลที่ได้รับจากการทำหน้าที่
ท่านก็อธิบายกรรมกิริยาที่คนใช้ปฏิบัติแต่ไม่ได้บอกถึงปรมัตถธรรม ไม่ได้บอกถึงจิต ที่จะต้องปฏิบัติจนสามารถอยู่เหนือธรรมชาติได้ ความเห็นของท่านก็ต่างกับอาตมาบ้าง ท่านก็สิ้นไปแล้ว อาตมาก็อธิบายในสิ่งที่เห็นต่างกันบ้าง คุณเชื่อถือท่านพุทธทาสก็เชื่อถืออยู่แล้ว แต่ถ้าคุณจะไม่ ปรโตโฆษะบ้างก็ฟังอาตมาบ้าง ฟังท่านพุทธทาสบ้าง เอาไปพิจารณาว่าใครเข้าท่ากว่าก็เอา อาตมาก็อธิบายเพิ่มเติมให้มีตัวเลือก ให้มีสิ่งที่อาตมายืนยันว่าสิ่งนี้ถูกกว่าของใครก็ตาม ถ้าหากอาตมาอธิบายได้ดีกว่าพระพุทธเจ้าก็จะอธิบาย แต่มันเป็นไปไม่ได้
ธรรมะ หมายถึงทุกสิ่ง ท่านอาจารย์พุทธทาส ขอแยกออกเป็น 4 ความหมาย
-
ธรรมะคือตัวธรรมชาติทั้งหลาย ธรรมชาติทั้งหลายก็เป็นธรรมะ เป็นทั้งรูปธรรม นามธรรม
-
ธรรมะคือกฎธรรมชาติ เพราะในตัวของธรรมชาติ ย่อมมีกฎของธรรมชาติประจำอยู่ ถ้าจะเรียกด้วยถ้อยคำที่ใช้กันอยู่โดยมาก ก็คือสัจจะ สัจธรรมะ
-
เมื่อมีกฎบังคับอยู่เหนือชีวิต ก็เกิดหน้าที่ที่จะต้องทำให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ สรุปความหมายที่ 3 จึงได้แก่หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ
-
คือผลจากหน้าที่ หน้าที่คือปฏิบัติธรรม ผลของการปฏิบัติ หรือปฏิเวธธรรม รู้สึกว่ามีความหมายดี มีขอบเขตดี
ความหมายของธรรมะทั้ง 4 มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ ศาสดาทุกศาสนา สอนเรื่องหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำ
ระดับต่ำ ธรรมะก็คือหน้าที่ทำมาหากิน ระดับสูง ธรรมะมีหน้าที่ดับทุกข์ ดับกิเลส
พ่อครูว่า…คือยอมปฏิบัติตามธรรมชาติหมด คุณก็ต้องอยู่กับธรรมชาติ ก็ต้องเกิดในมหาจักรวาลอีก
ศาสดาทั้งหลายอธิบายแบบโลกีย์มีแต่ศาสดาของศาสนาพุทธที่อธิบายโลกุตระ พ้นจากธรรมชาติ
คำว่าชาติ พระพุทธเจ้าสอนไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 7
ชาติคือความเกิด หากเข้าใจ ชาติ 5 นี้ไม่ได้ก็จะวนอยู่กับชาติ คือความเกิดนี้
-
ความเกิด (ชาติ)
-
ความบังเกิด (สัญชาติ)
-
ความหยั่งลง (โอกกันติ)
-
เกิด (นิพพัตติ)
-
เกิดจำเพาะ (อภินิพพัตติ) [ล.6 ข.7]