620705_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ประชาธิปไตยไทย ดีที่สุดตรงที่มีโลกุตระ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1HhfLnM95Z2LosEcgO2fDE8NIN8ICXSV7IPqGuYnswcM/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1DHrwJRsc1JGmcO0yVqw3HYO598uM4DNP
สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก เป็นวันคล้ายวันเกิดของคุณลุงจำลอง ศรีเมือง (พ่อครูว่าผมแก่กว่า 1 ปี 1 เดือน) แต่ว่าสรีระใครจะแข็งแรงกว่าก็ดูกัน คุณลุงจำลองก็ยังคงถือศีล 8 กินมื้อเดียวต่อวัน เป็นบุคคลที่มีคุณค่ามีประโยชน์ต่อประเทศชาติมาก หากมีคนเช่นนี้มากๆ ในประเทศไทยก็คงทำให้ประเทศไทยสงบสุขขึ้นมาก ไม่มีการแก่งแย่งตำแหน่งทางการเมืองกันอย่างที่มีในขณะนี้
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 3 ก.ค. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช)
_2166 ชาวอโศกก็ต้องถือหางพ่อท่าน ส่วนชาวสวนโมกข์ก็ต้องยกให้หลวงปู่พุทธทาส ?!!!ผมไม่แปลกใจเลย/แก่นกรุ
_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก · กินใจมากครับ พ่อครูพูดว่ากินข้าวเพื่อคุณ ที่ดูทีวีเพื่อดูโลกเพื่อคุณ ท่านมิใช่พูดเล่นแต่ท่านทำมาหลายสิบปีแล้วครับ กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพรักครับ?
_พีระสิน อินชัวร์ · พ่อครูครับ ไข่ไก่เป็นชีวะหรือพีชะครับ
พ่อครูว่า…นักเรียนทั้งหลายทำโจทย์ซิ เป็นชีวะหรือพีชะ …เป็นชีวะนอกจากไข่ไก่เน่าก็หมดความเป็นชีวะ ทีนี้เป็นไข่ไก่ไม่เน่าเป็นพีชะหรือเป็นจิต อันนี้ในพระสูตรของพระพุทธเจ้ามีคนถามจะมีวิญญาณหรือหยั่งลง ถ้าไม่มีวิญญาณหยั่งลง ในมหานิทานสูตร หากไม่มีเหตุปัจจัยเพียงพอ คือความอบอุ่น สำหรับไข่ เขาเอามาฟักในตู้ก็เป็นตัวได้หรือแม่ไก่ฟักให้ความอบอุ่นก็เกิดเป็นชีวะ และเป็นจิตนิยาม ดี ศึกษาอย่างนี้แล้วเราจะรู้อุตุ พีชะ จิต อย่างแท้จริง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ยิ่งกว่านักวิทยาศาสตร์ในโลก แล้วเราจะแยกออกว่า ทุกข์สุข อยู่ที่พีชะหรือจิตนิยาม หากเราทำจิตวิญญาณเรา ทำมนสิการ จัดการอภิสังขาร จัดการทำใจของเราให้อยู่ในระบบของพีชะได้ เราก็ไม่มีความทุกข์ไม่มีความสุข เวทนาของเราก็เหมือนพีชะ ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่มีกรรมวิบากแต่จิตวิญญาณพลังงานส่วนเกินเป็นปัญญา
พระอาริยะขั้นอรหันต์นี้ชัดเจน เป็นผู้ที่ไม่ทุกข์ไม่สุขแล้ว แม้แต่เล็กๆน้อยๆกิลมถะหรือเศษอรูปราคะก็ไม่มีแล้ว ศึกษาดีๆติดตามดีๆ
_กาน ฌานทรัพย์ประเสริฐ · ฟังพ่อท่านแล้วฟังพระองค์อื่นฟังไม่ค่อยได้มันยังไงไม่รู้ใจมันจะไม่เอา พ่อท่านพูดละเอียดฟังแล้วเป็นได้ ถ้าทำได้เรื่องบุญดิฉันเมื่อก่อนก็รู้แบบว่า บุญคือเอามา แต่เดี่ยวนี้รู้แล้วบุญเอาออกเอากิเลสออกสาธุที่ได้มาฟังค่ะ
พ่อครูว่า…บุญเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ใครยังมีกิเลสอยู่ จึงต้องสร้างพลังงานขั้นที่เป็นบุญที่เป็น อุณหธาตุ เป็นไฟ เป็นฌาน แล้วบุญจะเกิดในปัจจุบันเท่านั้นในขณะที่ทำ ขณะที่คุณปรุงแต่ง ปุญญาภิสังขาร ไปละลายกิเลสที่เกิดในปัจจุบันซึ่งเป็นของจริง หากไปนั่งหลับตาทำก็ไม่มีกิเลสเกิด มีแต่กิเลสปลอมๆ กิเลสที่อยู่ในความจำหรือคุณฟุ้งซ่านคิดเอาเอง ไม่ได้ปฏิบัติธรรมศาสนาพุทธ อาจารย์สอนกันมาเพี้ยนมาหลายพันปีแล้ว ก็น่าเห็นใจ มาฟังโพธิรักษ์ เป็นใครหน้าตาก็ไม่หล่อ กินหมากก็ไม่เป็นเหมือนมหาบัว หาทองคำเข้าชาติก็ไม่เก่งเท่ามหาบัว คือเปรียบเทียบสิ่งพื้นๆเขาจะไม่มีทางเข้าใจ
ถ้าอาตมาเกิดมาในชาตินี้ เจอมหาบัวทำลายศาสนา ทำให้คนอื่นเข้าใจอรหันต์แบบเก๊ ก็เหมือนทำแบงค์จริงให้เป็นแบงค์เก๊ อาตมาไม่ว่าอาตมาก็เสียหายมากผิดมากนะ
_กาน ฌานทรัพย์ประเสริฐ · ใครมาเป็นนายกหน้าแก่หมด(ของเมืองไทย)
พ่อครูว่า…เป็นนายกฯหลายปีก็ต้องแก่ หากเป็นนายกฯไม่นานก็ตกกระป๋องก็ยังไม่ทันแก่ เป็นนายกฯตั้ง 5 ปีอย่างนายกฯตู่ ก็ต้องแก่ลงเป็นธรรมดาเป็นธรรมดาธรรมชาติไม่ต้องสงสัย
สู่แดนธรรมว่า..เครียดกับปัญหาเลยหน้าแก่
_I Love You more • 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา
กินเจตลอดชีวิต แต่ใจละไม่ได้ วางไม่ได้ ก็ไปนรกเช่นกันครับ
พ่อครูว่า…หากกินเจอย่างสีลัพพตุปาทาน กินเจตามจารีตประเพณี คุณกินเจสัมผัสพืชก็กินพืช แต่สัมผัสว่าอันนี้คือสัตว์เราก็ไม่กินหรือสัมผัสสัตว์เรามีจิตประหวัดติดยึดอาลัยอาวรณ์ก็ศึกษาปฏิบัติลดละอาการที่ติดยึด สัมผัสแล้วรู้กิเลส ลดกิเลสได้
_moke hirunkauw • 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ดับแบบรู้ๆ มีวิธีทำให้มันดับ สัญญาก็ยังมีอยู่ เวทนาก็ยังมีอยู่ แต่ความรู้สึกที่เป็นกิเลสมันไม่เหลือแล้ว เป็นความรู้สึก(เวทนา)ที่ดับ(นิโรธ)แบบเที่ยงแท้(นิยตะ) ถูกกำกับแทงทะลุตรวจสอบด้วยการกำหนดรู้(สัญญา) เวทนา 2 จึงเป็น 1 (เอกะสโมสรณ) เข้าใจแบบนี้ครับ
พ่อครูว่า…หลับตาดับมันไม่ดับกิเลสจริง การปฏิบัติหลับตามีแต่สัญญามีแต่ความจำแล้วยกความจำขึ้นมาทำงาน ก็เป็นการปฏิบัติธรรมที่ไม่มีทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ปัจจุบันต้องมีการลืมตามีแสงสว่าง การหลับตามีแต่อดีต 18 อนาคต 44 อ่านในพรหมชาลสูตรให้แตกฉานให้เข้าใจให้ได้ เข้าใจแล้วจะรู้ว่าเจโตสมาธิ คือคนไปนั่งหลับตาสมาธิ นั่งหลับตาจะมีแต่อดีต 18 อนาคต 44 ไม่มีปัจจุบัน ไม่ได้ปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธเลย ไม่มี ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ นั่งหลับตามันจึงไม่มีนิพพาน นิพพานเป็นปัจจุบันด้วย
ฆ่ากิเลสดับได้คือนิพพาน แต่ถ้ามันฟื้นขึ้นมาอีกก็ไม่ใช่นิพพาน หากดับกิเลสอย่างไม่ฟื้นอีกก็คือนิพพานบง
_เมรินทร์ เจ็กปอน • 14 ชั่วโมงที่ผ่านมา
อ่าวงันครูบาอาจารย์แต่ก่อนเขาทอดผ้าป่ากัน..มาตั้งนานก็นรกหมดนะสิคับ…..เอาอะรัยคิด….เรื่องเงิน…จะปราชิกอย่างงัย…อาบัติก่ออีกอย่าง……ดีขนาดนั้นเรยหราคับ….
พ่อครูว่า…ถูกต้อง ทอดผ้าป่านี้ได้นรกกันทั้งนั้น ผ้าป่าคือผ้าที่ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ เขาทิ้งจริงๆ เพราะฉะนั้นเอามาสมมุติกันว่าเป็นผ้าป่า เอาผ้าดีๆไปวางทิ้งไว้ว่าเป็นผ้าป่าก็เป็นผ้าป่าปลอม ผ้าป่าคือผ้าบังสกุลเป็นผ้าที่เขาทิ้งแล้วไม่มีเจ้าของ แล้วก็ท่องบทชักอนิจจัง อนิจจังวตสังขารา ของไม่เที่ยง เป็นของที่เขาทิ้งแล้วเอามาได้เลย ก็ทำพิธีชักผ้าป่า
ทุกวันนี้ไม่มีผ้าป่าจริง ผ้าป่าจริงไม่เอาด้วย ผ้าบังสกุลผ้าที่เขาทิ้งเป็นผ้าขี้ริ้วเป็นผ้าขี้ฝุ่นขี้ฝอยเดี๋ยวนี้ไม่เอาไม่มี มีแต่ผ้าป่าเก๊ ก็ได้นรกกันทั้งนั้นหลอกกันไป แล้วจริงๆการทอดผ้าป่าเดี๋ยวนี้คือการหาเงิน นรกมันก็มีสิ แล้วก็กำหนดรู้กันด้วยว่าใครเป็นเจ้าของผ้าป่ากองนั้นกองนี้ มันไม่เหลือศาสนาพุทธแล้วแม้แต่การทอดผ้าป่า ที่ทำกันอยู่ไม่ใช่ศาสนาพุทธเป็นการทำลายศาสนาพุทธเลย พูดกันอย่างที่ขออภัยไม่เกรงใจ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
เอาอะไรคิดก็เอาปัญญาของพระพุทธเจ้ามาคิด เรื่องเงินก็จะปาราชิกอย่างไร ดีขนาดนี้อาตมาก็ว่าดีไม่น้อยแล้วแต่ดีกว่านี้ก็ยังมี นักปฏิบัติธรรมชาวอโศกก็ดีไม่น้อยแล้ว จะดีกว่านี้ยังมีอีก พวกคุณยังไม่มีดีเลย ดีที่เป็นโลกุตระ ดีที่เป็นศาสนาพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิ ยังมิจฉาทิฐิอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง
อาตมาต้องพูดความจริงที่ตำหนิที่ว่านี้ไม่ได้ไปโกรธเคืองอะไรคุณ ไม่ได้ไปชังน้ำหน้าอะไรคุณ แต่สงสารเอ็นดูคุณนะ กรุณาปราณีที่พูดนี้ไม่ได้ดุด่าไม่ได้พูดอย่างคนโกรธเคืองอะไร พูดโดยภาษาหรือสำเนียงด้วยคำพูดดีๆ พูดอย่างผู้ดีพูดอย่างธรรมดา
จริงๆแล้วความจริง พวกชาวอโศกดีขนาดคุณต้องอุทานจริงๆไม่ได้พูดเล่น คุณพยายามศึกษาให้ดีทำตัวให้ดีอย่างนี้ไม่ได้พูดยกตัว แต่ให้ศึกษาดีๆแล้วคุณจะได้ดีแต่ถ้าคุณมามองดูถูกคุณจะไม่ขึ้นจากนรกหรอกไม่โงหัวเลย
_Dgkk Lllp • 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ไปปลงสังเวชซะ อย่ามาวุ่นวายกับการเมืองเลย ไม่ก็เดินธุดงค์ฆ่ากิเลส.อย่ามาเสิ้้้ยมเรื่อง.ป.ช.ต.จอมปลอมอยุ่เลย.ชาวนากำลังจะตายหมดแผ่นดินแต่ฝ่ายแกเสวยสุขบนกองกระดูกชาวบ้าน..นาทีนี้ชาวนาไม่เชิ่อแกดอก.
พ่อครูว่า…ชาวนาที่ไม่ถูกต้องก็เป็นอย่างที่ว่าแต่ชาวนาที่มาฟังอาตมานี่สบาย แล้วเสวยสุขบนกองกระดูกตรงไหน? พวกเราเผื่อแผ่เกื้อกูลช่วยเหลือชาวบ้าน ช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสยากจน มาจนเป็นเพื่อนคนจนจริงๆ แล้วขอยืนยันว่า ชาวอโศกมากกว่ามากที่จนกว่าชาวไร่ชาวนาอื่นๆ คือมีทรัพย์สินน้อยกว่าชาวบ้านไม่ได้สะสมทรัพย์ ชาวบ้านที่ว่าจนจะมีทรัพย์สินมากกว่าชาวอโศกเยอะ
ชาวนาที่ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่ผู้ที่มีภูมิปัญญาจริงก็เอานะ เขาเชื่อนะ
_Komsnn Yomkerd • ไม่เห็นพ่อท่านจะทำกิจวัตรที่เกี่ยวกับสงฆ์เลยครับเห็นเดินไปเดินมาทุกคลิปเลยครับ
_Chon Kyun • ขออนุญาตตอบเฉพาะที่เราเข้าใจนะจ๊ะ จากที่ตามดูมากว่า 2 ปี
1.ช่องนี้ของท่านสมณะแสนดิน ท่านบันทึกเฉพาะกิจกรรมทั่วๆไป ที่ท่านโพธิรักษ์เดินออกกำลังกาย เยี่ยมชมกิจกรรมของชุมชน เพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาที่อยู่ทางไกลได้รับรู้
2.ช่องที่ท่านเทศน์เป็นธรรมวิชาการล้วนๆหาดูได้จากช่อง “บุญนิยมทีวี” อันนี้คุณจะได้ฟังจุใจ ครั้งละ 2 ชั่วโมงเต็มๆ ส่วนงานเขียนของท่านและของรูปอื่นๆก็ศึกษาหาข้อมูลแบบละเอียดๆได้ที่เว็บไซต์ www.boonniyom.net
3.ส่วนกิจวัตรเกี่ยวกับสงฆ์ที่ว่าคืออะไรบ้างที่คุณสนใจ เราว่าที่ชุมชนนี้น่าจะแตกต่างจากวัดทั่วๆไป
//แก้ไขเพิ่มเติม เท่าที่ตามดูมาหลายๆคลิป ถ้าเปรียบเทียบกับพระวัดทั่วไปก็จะประมาณ
-
ลงอุโบสถ (ไม่เห็น)
- บิณฑบาตเลี้ยงชีพ (เป็นบางครั้ง)
- สวดมนต์ไหว้พระ (เห็นก่อนจะจำวัด และก่อนเทศน์)
- กวาดอาวาสวิหารลานพระเจดีย์ (เห็นเก็บขยะเวลาเดินเยี่ยมชมจุดต่างๆ)
- รักษาผ้าครอง (เห็นปกติตามในคลิป)
- อยู่ปริวาสกรรม (อันนี้ไม่แน่ใจ เพราะระดับอรหันต์แล้วคงไม่มี)
- โกนผม ปลงหนวด ตัดเล็บ (เห็นมีในคลิปบ่อยๆที่สมณะผู้ใกล้ชิดจะโกนให้เสมอๆ)
- ศึกษาสิกขาบทและปฏิบัติพระอาจารย์ (ท่านโพธิรักษ์ไม่มีครูอาจารย์)
- เทศนาบัติ (ข้อ2)
- พิจารณาปัจจเวกขณะทั้ง 4 เป็นต้น (เห็นตอนก่อนจะฉัน ในคลิปนี้ก็เห็นนาที 9:41)
ผิดพลาดคลาดเคลื่อนประการใด ขออภัยด้วยนะจ๊ะ
พ่อครูว่า…กิจสงฆ์เขาไม่ถ่ายออกไปประเจิดประเจ้อให้คุณเห็นหรอก กิจสงฆ์ก็อยู่เฉพาะสงฆ์ คุณเป็นฆราวาสก็ไม่เห็น อาตมาทำกิจวัตรจนต้องถูกบังคับให้นอนบ่อยๆ ดีนะที่คุณยังเห็นเดินไปเดินมา ไม่เห็นว่าเดินไปแล้วก็ไม่เดินมา มาดูสิคุณจะสงสัยอะไรมาก เชิญมาดูเอหิปัสสิโกมาสนใจธรรมะ นอกจากมองเพ่งโทสไม่มีความรู้เรื่องศาสนาก็ตำหนิด่าเอา ระวังกรรมเป็นอันทำมาตำหนิชาวอริยบุคคลได้นรกจริงๆ พระพุทธเจ้าตรัสไว้มันเป็นสัจจะ คุณไม่รู้ ถ้าไม่รู้แล้วคุณตำหนิก็ไม่เท่าไหร่ แต่ที่รู้อยู่มากว่าอันนี้ดี แล้วมาตำหนิ คนนี้นรกเยอะ คนไม่รู้ไม่เท่าไหร่แต่ก็มีนรกอยู่ในตัว
อาตมาตอนนี้บิณฑบาตน้อย เพราะว่าเดินบิณฑบาตต้องถอดรองเท้า แต่ทีนี้อาตมาทุกวันนี้พื้นเท้ามันบาง เหยียบหินเจ็บ ก็ให้คนอื่นเขาเลี้ยงไว้หน่อย ปรปฏิพัทธาเมชีวิกา อาตมาก็กินไม่มากหรอก จนเขาว่าถ้วยชามใส่อาหารให้อาตมาเหมือนถ้วยใส่อาหารให้ศาลพระภูมิ ก็กินไม่หมดอีก อาตมากินไม่ใช่น้อย
อาตมาไหว้พระกราบก่อนนอน และตื่นนอน หรือพาไหว้พระก่อนเทศน์ เวลาจะสวดมนต์กับหมู่ก็มา พวกเราไม่ได้ถือว่าการสวดมนต์เป็นเรื่องใหญ่ ทุกวันนี้ศาสนาพุทธมันเสื่อมจนเหลือการสวดมนต์ สวดมนต์เขาก็ทำเป็นอาบัติ แม้แต่มุสาวาทวรรค ข้อที่ 4 คือสมณะรวมกันเป็นหมู่ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป แล้วเอาธรรมบทมาสวดพร้อมกันต่อหน้าฆราวาส แต่การสวดประณามคาถา บทยกย่องสรรเสริญคุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ เช่นพาหุง 8 มหากาฯ ก็สวดได้เป็นหมู่ไม่อาบัติ แต่หากเอาธรรมบทของพระพุทธเจ้ามาสวดต่อหน้าฆราวาส ตั้งแต่ 2 องค์ขึ้นไปเป็นอาบัติ พระพุทธเจ้ากันเอาไว้เพราะศาสนาอื่นเขาทำ แต่เดี๋ยวนี้ไม่เข้าใจแล้วเลอะเทอะไปแล้ว การสวดอย่างผิดธรรมวินัย จึงได้บาปตลอด
แม้แต่การสวดมนต์ทุกวันนี้ได้แต่บาปนรกเต็มบ้านเต็มเมืองน่าสงสารแต่มันคงดึงกลับไม่ได้แล้ว แต่ชาวอโศกเราไม่สวดมนต์ให้เป็นอาบัติ สวดตามกาละจำเป็นแต่ไม่จำเป็นต้องสวดอย่างสังคีติ แต่สวดอย่างสังคายนา ก็สวดแต่วินัยประวัติพระปาติโมกข์ ที่ต้องรักษา แต่การสวดสาธยาย สังวัธยายคือสวดอย่างอธิบาย
นิมนต์จิบน้ำ
ที่เขาว่ามาเป็นวัตรปฏิบัติของพระป่า ซึ่งไม่ได้สัมพันธ์กับบุคคล แต่เรามีการสัมพันธ์กับสังคม รู้จักโลกรู้จักอัตตา ขยายความโลก อัตตาให้ประชาชนได้รู้ ไม่ใช่พระโง่แต่เป็นพระที่ฉลาด ฉลาดเหนือโลกีย์ด้วย ซึ่งความเข้าใจของศาสนาพุทธได้ผิดเพี้ยนไปไกล ว่าจะต้องออกป่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกเขา ศาสนาพุทธจะต้องอยู่กับสังคมเป็นศาสนาแห่งสังคมอย่างยิ่ง ช่วยได้แม้แต่คนพื้นดิน จนกระทั่งถึงพระเจ้าแผ่นดิน สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สมัยนี้ก็ช่วยได้แม้แต่คนเดินดินจนถึงนายกฯ จนถึงทุกระดับทั้งพระเจ้าแผ่นดินทั้งนายกฯหมดเลยทุกระดับช่วยได้จริงๆศาสนาพระพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นศาสนาที่หนีหลบศึกษาให้ดีๆ ศาสนาพระพุทธเจ้าจะต้องมีปัจจุบันให้สัมผัส รู้ตัวที่จะต้องทำให้ดับ ถ้าไม่มีสัมผัสแล้วไม่เกิดเวทนาแยกเวทนาไม่ได้แล้วล้างเวทนาเก๊ให้เหลือเวทนา 1 จนกระทั่งเข้าใจถึงเทวะที่มันมี 2 อย่างไร
อันหนึ่งเป็นของเก๊ อันหนึ่งเป็นของจริงก็จะได้ทำให้เหลือ 1 แล้วจะได้ชัดเจนกับความเป็นจริงวิญญาณหรือธาตุรู้ ว่าถ้ารู้นี่มันก็ไม่เที่ยง ถ้าหากมิจฉาทิฐิมันก็จะเป็นอนัตตา ถ้าล้างเหตุแล้วจึงเห็นว่ามันเป็นความไม่เที่ยงมันเป็นอนัตตา ปัญญาจะเห็นจริงไม่ใช่ไปเห็นด้วยการคาดคะเน เขาสอนมาก็เดาเอาไม่ใช่ จะต้องเห็นเนื้อแท้ของจิตว่ามันไม่เที่ยง จิตต้องมีธาตุรู้ที่ปฏิบัติ แล้วมันก็ไม่มีตัวตนมันหายไปได้ ที่พูดพยัญชนะให้ฟัง คนที่ชัดเจนในปัจจุบันก็จะรู้ชัดเจน
ปัจจุบันต้องมีองค์ประกอบพร้อมเลยในขณะที่มีองค์ประกอบพร้อม ที่องค์ประกอบพร้อมสำคัญที่สุดต้องมีจักษุหรือตา หรือตาหูจมูกลิ้นกาย เปิด แล้วมี ปัญญา ญาณ วิชชา แสงสว่าง ภายนอก มีอาโลกมีจักรวาล มีสิ่งที่เคลื่อนที่ไปตามกาละเราก็มีทวารทั้ง 6 เปิดรับรู้ อยู่ได้ด้วย ปัญญา ญาณ วิชชา อยู่กับโลกเขา มีปัญญา ญาณ ที่รู้อย่างไม่มีทุกข์เป็นธาตุรู้ที่สูงสุดเป็นธาตุรู้ที่จบกิจ
ไม่ใช่พระอรหันต์ก็ไม่ต้องอยู่ปริวาสกรรม สำหรับคนที่ต้องอยู่ปริวาสกรรมต้องมีอาบัติสังฆาทิเสสเป็นต้นไปจึงต้องอยู่ปริวาสกรรม เหมือนคนติดคุกจะต้องไปเข้าคุกมีวัตรปฏิบัติของคนคุก เป็นอรหันต์แล้วก็ยิ่งจะไม่มีอาบัติอย่างนั้น มีสติวินัยด้วย
ทุกวันนี้การอยู่ปริวาสก็เป็นการเล่น ว่า ไปเข้าปริวาสกัน จะบ้าหรือ อยู่ดีๆไปเข้าคุกกัน คือมันฝั้นเฝือเละเทะ และถือว่าอยู่ปริวาสเป็นเรื่องเจริญไปบริจาคทำทานไม่ได้รู้เรื่องของบุญหรอก มันผิดไปหมดคำว่าบุญ ถ้าเข้าใจคำว่าบุญผิดเพี้ยนไม่ใช่ศาสนาพุทธแล้ว บุญต้องมีในปัจจุบันแล้วทำขึ้นมาให้เป็นฌาน เป็นพลังงาน ขั้นไฟ อุณหธาตุ ชำระกิเลสได้ ก็สำเร็จบุญ ได้น้อยก็เป็นส่วนแห่งบุญได้หมดก็หมดบุญ
แต่ก่อนอาตมาโกนผมเอง แต่เดี๋ยวนี้มีสมณะปัจฉาโกนให้ ส่วนมากก็ตอนตื่นเช้าขึ้นมานั่งเก้าอี้ตัวหนึ่ง พวกเราก็มานั่งโอภาปราศรัย คุยก่อนจะเคลื่อนที่ขึ้นมาทำอะไร ก็คุยธรรมะไปบ้างกับสมณะ บางทีก็มีฆราวาสนั่งคุย อาตมาก็ทำกิจ บางทีก็ดื่มน้ำปัสสาวะ เขาให้วิตามินอะไรๆให้ดื่มตอนเช้าเป็นต้น
ส่วนโกนหนวดตัดเล็บทำเอง ไม่เคยให้ใครโกนหนวดให้ แล้วเล็บก็ตัดเอง
ท่านโพธิรักษ์ไม่มีครูอาจารย์ อาตมาศึกษาสิกขาบท ก็บอกเปิดเผยไปหมดแล้วนะอาตมามีภูมิมาตั้งแต่เก่าก่อน เป็น สยังอภิญญา เดี๋ยวนี้ก็เอามาสอน หลายอย่างที่อาตมาอธิบายไม่มีในคำอธิบายของอรรถกถา ไม่มีหรือมีบ้างหรือในพระไตรปิฎกก็ขยายความเป็นภาษาของอาตมา
คุณคนนี้ก็พยายามตอบแทน ติดตามไป
สู่แดนธรรมว่า.. เทศนาบัติ คือการแสดงอาบัติ เขาแต่งขึ้นมาเองคำนี้ในวงการศาสนาพุทธ ปลงอาบัตินั่นเอง
_Tamako Napoki • ทำไมสันติอโศกต้องตำหนิคนอื่น
พ่อครูว่า…ฟังดีๆ ที่อาตมาต้องตำหนิคนอื่น เพราะคนอื่นมันผิดไปจนไม่เหลือถูก พูดอะไรถึงต้องตำหนิทั้งนั้น พูดสิ่งที่ถูกก็ยกย่องชาวอโศก เขาก็บอกว่าชมแต่ตัวเอง มันก็มีอยู่ในกลุ่มคนเท่านั้นเองพูดไปก็ซ้ำซาก เพราะพวกเราปฏิบัติได้ดีขึ้นเยอะ ปฏิบัติได้ดีส่วนดีก็ใกล้ยอดพีระมิดก็เหลือแต่จำนวนดีเข้มข้นแรง เป็นความดีในระดับอาริยธรรมจริงๆเป็นโลกุตระ ก็จึงพูดได้แต่ในหมู่พวกเรา เวลาออกอากาศก็จะมีกระจายไปสู่ผู้อื่นเยอะ ถ้าเฉพาะพวกเราเองเข้มข้นธรรมะ รับรองว่าพวกข้างนอกฟังแล้วหัวแตกไม่ว่าจะเป็นเปรียญ 9 Doctor ก็ตาม รับรองหัวหมุนเลยเพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
ถ้าไม่ทำพวกคุณต้องงมงายอยู่กับสิ่งที่ผิดตลอดกาล ก็ต้องบอกให้รู้ แต่พวกคุณก็ยังไม่ตื่นยังไม่รู้ยังจมอยู่กับสิ่งผิด เราก็เลยต้องว่าต่อไปบอกให้รู้ว่าผิด “ตื่นเสียทีตื่นเสียที แดดออกแล้วฟ้าก็งามดุจเปลวทอง ตื่นเสียที” ไม่ใช่หลับธรรมดานะ หลับอย่างงมงาย ก็จึงต้อง ติแล้วติอีก พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราจะทำดีแล้วทำอีกไม่ยั้งมือ เหมือนช่างปั้นหม้อที่ทำกับดินที่ยังเปียกอยู่ อานนท์ เราจะไม่ทำกับเธออย่างทะนุถนอม เหมือนพวกช่างหม้อ ทำแก่หม้อที่ยังเปียกยังดิบอยู่ อานนท์เราจะขนาบแล้วขนาบอีก ตำหนิแล้วตำหนิอีกไม่มีหยุด เราจะชี้โทษแล้วชี้โทษอีกไม่มีหยุด ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสารผู้นั้นจะทนอยู่ได้
ผู้ใดฟังธรรมะอาตมาจะได้มีมรรคผล ไม่มีมรรคผลทนอยู่ยาก นอกจากจะใฝ่ดีมาก
คนที่ผิด อาตมาต้องติแล้วติอีก ตอนนี้เพราะคนที่ควรติมีเยอะ แทบหาถูกไม่ได้ คนที่ชมก็คบหาแต่ชาวอโศกก็ชมแต่ชาวอโศก แต่ตินั้นมีคนผิดมากก็ตำหนิมาก
บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 4 ประการ เป็นบัณฑิตเฉียบแหลม เป็นสัตบุรุษ ย่อมคุ้มครองตนให้ประกอบไปด้วยคุณสมบัติ เป็นผู้หาโทษมิได้ ทั้งนักปราชญ์ไม่ติเตียนและย่อมประสบบุญเป็นอันมาก ธรรม 4 ประการ เป็นไฉน คือ…
-
ใคร่ครวญสืบสวนรอบคอบแล้ว กล่าวติเตียนผู้ที่ควรติเตียน (นิคคัณเห นิคคหารหัง) .
-
ใคร่ครวญสืบสวนรอบคอบแล้ว กล่าวสรรเสริญผู้ที่ควรสรรเสริญ (ปัคคัณเห ปัคคหารหัง)
-
ใคร่ครวญ สืบสวนรอบคอบแล้ว ยังความไม่เลื่อมใสให้เกิด ในฐานะที่ไม่ควรเลื่อมใส
-
ใคร่ครวญ สืบสวนรอบคอบแล้ว ยังความเลื่อมใส ให้เกิด ในฐานะที่ควรเลื่อมใส
ขตสูตร พตปฏ. เล่มที่ 13 ข้อที่ 3
บุญ คำนี้ลึกซึ้ง เขารู้ดีจึงไม่ติอาตมา เขาได้ภาษาแล้วเอาไปปฏิบัติชำระกิเลสได้จึงเกิดบุญเป็นอันมาก
_Chon Kyun • ขออนุญาตตอบตามความเข้าใจของเรานะจ๊ะ
ชาวอโศกยึดคติธรรมที่ว่า นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ
เป็นข้อความตอนหนึ่งในคัมภีร์ชาดก ชื่อ “เตสกุณชาดก” (พระไตรปิฎกเล่ม 27 ข้อ 2442)
แปลเป็นไทยว่า “พึงข่มผู้ที่ควรข่ม พึงยกย่องผู้ที่ควรยกย่อง”
ปล.เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมาแต่อดีตกาล
การตำหนินั้นพึงกระทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ เพื่อให้ผู้ทำผิดแก้ไขปรับปรุง ไม่ทำผิดซ้ำ
เพื่อให้ผู้ไม่รู้ได้รู้และไม่กระทำผิดตามจร้า สาธุๆ
พ่อครูว่า…อาตมาบอกไม่รู้กี่ทีว่า ไม่ได้ตำหนิด้วยความโกรธหรือแม้แต่สาเฐยจิต คนเข้าใจก็แก้ต่างให้อาตมาบ้าง
_สุทัศน์ ศรีสังทวงษ์ • ถนัดอะไรก็ทำไปครับ การบรรลุธรรมนั้นมีสองสาย คือ เจโตวิมุตติกับปัญหาวิมุติ ใครมีอุปนิสัยมาทางสมาธิก็ทำสมาธิไป ใครมีปัญญาก็วิปัสสนา เพื่อลดละกิเลสไปครับ น้อยคนนักที่จะได้ฌาน คนที่สำเร็จฌานก็สามารถมาวิปัสสนาว่าฌานนั้นก็ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา พวกเขาเหล่านี้ก็บรรลุธรรมได้
พ่อครูว่า…คุณพูดถูก อาตมาทำสิ่งที่อาตมาถนัดนะอย่าว่าอาตมา ใช่คุณพูดถูก เขามีแต่เจโตกับปัญหาวิมุต ไม่มีปัญญาวิมุติเลย จะเป็นเจตนาหรือไม่ก็ตาม
การบรรลุธรรมนั้น แม้จะมี 2 สายคือสัทธานุสารี กับธัมมานุสารีก็จริง แต่เจโตวิมุติ เขาทำแต่เขาไม่ได้เจโตวิมุติหรอก เขาได้แต่เจโตสมาธิหรือเจโตสมถะ
สมถะไม่ใช่ความสงบแบบปัสสัทธิ เขาไม่ได้เรียนรู้กิเลสไม่ได้ลดกิเลส เขาข่มจิตไปเฉยๆเจโตวิมุติกับปัญหาวิมุติ เขานั่งหลับตาสะกดจิต ตามอาจารย์แตกแยกกันไป ยังดีที่เขาเคารพอาจารย์ แต่ผู้ที่เก่งก็แยกวงเป็นอาจารย์ต่อไปอีกเยอะ จะมีวิธีการของตัวเองแยกออกไป แล้วก็บอกว่าลึกซึ้ง ยิ่งไปกันใหญ่เลย
คำว่าสมาธิในศาสนาพุทธถือว่าเป็นคำกลางๆ จะมีนิสัยหรือไม่มีนิสัยก็ต้องสร้างให้เป็นสมาธิ เป็น วิสัยให้ได้
อาตมายังไม่เคยเห็นใครพูดเรื่องฌาน อธิบายสารัตถะ essence ของฌาน ฌานเป็นพลังงานที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเท่านั้น มีผัสสะเป็นปัจจัย ตาหูจมูกลิ้นกายใจและมีธาตุรู้ ไม่มีปัญญาไม่มีธาตุรู้ เป็นฌานไม่ได้ ปัญญาอยู่ที่ใดฌานอยู่ที่นั่นเหมือนล้างมือด้วยมือล้างเท้าด้วยเท้า ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ที่ไม่มีฌาน ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ที่ไม่มีปัญญา ฌานกับปัญญาเหมือนล้างมือด้วยมือล้างเท้าด้วยเท้า ต้องเป็นเทวะมีธาตุคู่
ปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์ (โสณทัณฑสูตร ล.9 ข.193)
ศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์ ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น
ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น
ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล และศีลก็เป็นของผู้มีปัญญา
นักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก
เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้า ฉะนั้น
ศีลข้อที่ 1 ต้องเกี่ยวกับสัตว์ต้องมีปัญญารู้องค์ประกอบเกี่ยวกับสัตว์ต้องทำให้จิตที่มีกิเลสล้างกิเลสออกไปได้เรื่องเกี่ยวกับสัตว์ คุณจึงจะเกิด อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา
ผู้ที่จะมีฌานต้องมีปัญญาธาตุรู้โลกุตระ ฌานมีในชาวอโศก พระหลับตาปฏิบัติไม่เคยมีฌาน ไปหลับตาปฏิบัติไม่มีทางเกิดฌาน น่าสงสาร อ.บูรพาในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ที่บอกว่าหลับตาปฏิบัติไปแล้วปัญญาจะเกิดโพล่งมา เหมือนกับมหาบัวนั่งหลับตาแล้วเกิดปัญญาโพล่งขึ้นมา
ในมหาจัตตารีสกสูตร ว่าไว้ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ จะเกิดตัวจบได้ต้องมีมัคคังคะ ต้องมีธัมมวิจัย สัมมาทิฏฐิ
สัมมาทิฏฐิ 10 คุณก็ต้องรู้ ปฏิบัติธรรม ทานอย่างไรจึงเกิดผล รู้ยิฏฐัง รู้หุตตัง ในสัมมาทิฏฐิ 10
เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).
-
ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ . ทินนัง) . . . .
-
ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง)
-
สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง)
-
ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ .
(อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก) . .
-
โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .
-
โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ .
-
มารดา มี (อัตถิ มาตา) . . .
-
บิดา มี (อัตถิ ปิตา) . .
-
สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา) . . .
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) . . . . .
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 257)
สามข้อแรกคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ทำได้แล้วจิตจะเกิดโอปปาติกโยนิ สะอาดไปตามลำดับ จะเรียกว่าเทวดาก็ใช้คำทดแทน จะเป็นอุบัติเทพ วิสุทธิเทพ หากไปหลงสวรรค์นรกก็จะมีแต่สมมติเทพ ต้องรู้จักกิเลสดับได้ตั้งแต่นรกสวรรค์ของอบายมุข เหลือกามภพก็ดับสวรรค์นรกระดับกามก็ดับ รูปภพ อรูปภพอีกก็เป็นวิสุทธิเทพเป็นพรหม ที่ไม่ใช่พรหมโลกีย์ ที่ว่าข้านี่แหละใหญ่
ติดตามฟังให้ดี ก็ค่อยๆอธิบายไป อาตมาไม่ได้ไปตำหนิคุณหรอก แม้จะด่าอาตมามาอาตมาก็ไม่ได้โกรธคุณหรอกเพราะคุณไม่รู้เรื่องก็ด่ามา ตามประสา เหมือนลูกด่าพ่อแม่
_กริช เรืองจรัส • คำว่าสมาธิของพุทธ ที่พ่อท่านพยายามสอนเป็นเรื่องของระบบใช่มั้ยครับ (พ่อครูว่า..ใช่) เช่นสมมุติว่าช่วยงานค้าขายอยู่ สมาธิคือตั้งมั่นอยู่ในความไม่โลภ ตั้งมั่นอยู่บนความซื่อสัตย์ เมื่อไหร่ที่เจอผัสสะ ที่ทำให้เราอยากละเมิดศีล สมาธิคือการจับอาการของกิเลศนั้นให้ได้ และใช้ปัญญามาหักล้างเหตุผลของกิเลส จนกระทั่งกิเลสสู้เหตุผลของธรรมะไม่ได้ ความรู้สึกจึงเปลี่ยนจากอึดอัดที่ไม่ได้ผิดศีล อึดอัดที่ไม่ได้เสพตามกิเลสต้องการ มาเป็นการยินดีในการไม่ผิดศีล และรักษาสภาพของการไม่ผิดศีลนั้นให้คงอยู่ รักษาได้ทั้ง กาย วาจา ใจ และยินดีในผลนั้น ความคงอยู่ของสภาพที่ว่านี้เรียกว่าสมาธิพุทธ
ส่วนสมาธิหลับตา จะตัดผัสสะออกไป กิเลสมีสัญลักษณ์ที่สำคัญคือความรู้สึกทุกข์จากการรักษาศีล เรายังมีกิเลสอยู่ แต่กิเลสไม่ออกมาแสดงตัวให้เราเห็น เราจึงรู้สึกว่างๆ เฉยๆ สงบๆ และสุขๆเมื่อเทียบกับตอนมีผัสสะ แต่เ มื่อไม่ได้ล้างอย่างเป็นระบบ กิเลสจะสะสมกำลังและกลับมาทำให้เราอึดอัด ทุกข์ใจ อยาก และเศร้าหมองอยู่
พ่อครูว่า…และแม้สมาธิพุทธที่คุณได้แล้วอย่าไปยึดเป็นเราเป็นของเรา มันจะเป็นวิปัสสนูปกิเลส
อย่างที่คุณพูดมาก็ถูกต้อง
สรุปอีกทีนึง นั่งหลับตานั้นไม่ใช่เรื่องของศาสนาพุทธที่จะมาปฏิบัติ
_Chon Kyun • เราก็เพิ่งเข้าใจแบบนี้ นึกถึงเมื่อก่อนเที่ยวเสาะแสวงหา ไปนั่งหลับตาที่โน่นที่นั่น เพราะคิดว่าแบบนั้นคือการปฏิบัติธรรม เวลาเพื่อนๆชวนกันไปปฏิบัติธรรม ก็เข้าใจกันหลักๆเลยคือไปนั่งหลับตา ตัดผัสสะ เวทนา หลวงพ่อหลวงพี่ก็บอกให้รู้สึกว่างๆ เบาๆ นั่งจนเป็นเหน็บก็ให้ฝืน ผลลัพธ์คือ จนแล้วจนรอด กลับมาในเมือง เจอเพื่อนร่วมงานนินทา เจอแม่ค้าหน้างอ ใจก็เต้นร้อน โมโหอยู่ในใจ ที่สุดโชคดีอุบัติเหตุการณ์บ้านเมืองได้มาเจอชาวอโศก ก็เริ่มเปิดใจลองฟังๆดู เอ๊ะ! ไม่เหมือนครูบาอาจารย์ที่สอนมาเลย
บัดนี้ก็พอจะเข้าใจและเข้าถึงสภาวะเบื้องต้นนิดๆหน่อยๆ เพราะตามดูใจตัวเองทันตลอดเวลามีผัสสะเป็นๆ ไม่ต้องกลับไปใช้วิธีกดข่มแบบมารยาทสังคมทั่วไป สาธุจร้า
พ่อครูว่า…คนทั่วไปเขาไม่ได้เอากิเลสออกมาสดๆ โดยสัญชาตญาณแล้วก็จะมีมารยาทกดข่มเอาไว้เป็นสามัญอยู่แล้ว แต่ยิ่งมาเรียนรู้วิธีวิจัย แล้วลดละกิเลสด้วยปัญญาซึ่งมีกระบวนการของการทำให้กิเลสลด เยอะกว่าที่คุณเรียนกดข่ม ที่มันไม่รู้กระบวนการของการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า process ที่จะต้องสัมผัส แล้วรู้เวทนาแยกเวทนาให้ได้ กำจัดเหตุที่ทำให้เกิดเวทนาเก๊ แล้วทำให้เหลือแต่เวทนาแท้ๆ จริง เห็นรูปก็คือรูป ได้ยินเสียง ได้รับรส ได้กลิ่นก็ได้แต่ของแท้ไม่ใช่ของเก๊
เขาไม่ได้เรียนกันเลย ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 หัวใจของศาสนาพุทธอันนี้ ท่านแปลกันอย่างนี้ ที่จริงมัน สโมสรณา คือทำลายย่อยให้มันเหลือตกผลึกลงเป็นหนึ่งเดียว คือทำลายตัวปลอม ตัวกิเลสเหตุแห่งทุกข์ออกไป อาตมาก็พยายามพูดถึงสภาวะให้ฟัง
ดีแล้วที่เข้าใจแล้วว่าแต่ก่อนเรามีแต่มารยาทสังคม กดข่มเป็นธรรมชาติ แต่ตอนนี้พอเข้าใจแล้วแม้แต่ธรรมดาก็สัมผัสเรียนรู้แยกแยะให้ออกน
_Tamako Napoki • พระอรหันต์ทำไมต้องตำหนิหลวงตามหาบัวครับ
ไม่ให้มีพระพุทธรูปแต่ทำรูปตัวเอง ทำรูปตัวเองแจกผมว่าไม่เข้าท่าครับ
พ่อครูว่า…คุณถามถูกแล้ว ทำไมต้องทำ ทำไมให้พระอรหันต์ไปตามนี้แล้วก็คงจะไม่มีใครกล้าทำ ต้องเป็นพระอรหันต์จริงๆแท้ๆจริงจะกล้าตำหนิ เพราะว่ามหาบัวทำตัวทำทีให้คนเข้าใจว่าเป็นอรหันต์ แต่เก๊ ตัวเองก็ไม่กล้าบอกว่าตัวเองบรรลุ ขออภัย ขอไหว้มหาบัว ท่านก็เป็นภันเต บวชก่อน เสียไปแล้วแต่อาตมาต้องตำหนิ สิ่งที่ผิดจากสัจธรรม สงสารคนเต็มบ้านเต็มเมืองที่ไปหลงใหลมหาบัวนี้ แค่หมากเป็นสิ่งเสพติดหยาบๆท่านก็ติด อย่าไปพูดถึงธรรมะลึกซึ้ง ปฏิบัติหลับตาไม่ได้เป็นโพธิปักขิยธรรม 37 เลย เขาอธิบายกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมก็ไม่สัมมาทิฏฐิ
แค่เรื่อง กาย ก็ไม่เข้าใจสัมมาทิฏฐิแล้ว ไปนั่งหลับตาก็ไม่รู้กายแล้ว โพธิปักขิยธรรม 37 ข้อแรกคือ กายในกาย เรื่องกายเข้าใจผิดไปแล้วเป็นการกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด ปฏิบัติธรรมต่อไปก็ผิด ขออภัยที่ต้องตำหนิ เพราะมหาบัวเป็นผู้ทำผิด อาตมาเป็นผู้เกี่ยวข้อง อย่างแยกไม่ออก อาตมาจึงตัดไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องสัจจะที่ต้องเป็นเช่นนั้น แล้วมันชัดเจนดีด้วย ว่าอย่างนี้อย่าไปเอาอย่างตาม เคยมีตัวอย่างแล้วเข้าไปหลงผิดไปศรัทธาในสิ่งที่ผิดพลาดมาก็ไม่อยากให้คนเข้าใจในสิ่งที่ผิด อาตมาไม่ได้ไปถล่มทลายท่านหรอก ท่านทำกรรมผิดก็ได้นรกของท่านไป อาตมาไม่ต้องไปใส่ความว่าท่านจะต้องลงนรกหรือขึ้นสวรรค์แต่กรรมมันเป็นอันทำ กรรมทำผิดก็เป็นกรรมของท่าน ท่านต้องรับมรดกกรรมของท่านเอง กัมมทายาโท อาตมาต้องนำมาขยายความมาอธิบายเท่านั้นเอง
หากไม่ตำหนิคนที่ทำลายศาสนาคนนั้นก็ผิดมากแล้ว หากไม่ตำหนิอาตมาผิดมากเลย เห็นใจอาตมาเถอะ เข้าใจอาตมาให้ดีๆ คุณมาบอกอาตมาก็เหมือนว่าทำไมต้องกินข้าวด้วย ก็คือตำหนิอาตมาว่าทำไมต้องกินข้าวเป็นอรหันต์แล้วไม่ต้องกินข้าวสิ
ทำไมต้องตำหนิเพราะมหาบัวเป็นอรหันต์เก๊ ทำให้คนอื่นเข้าใจผิด ก็ต้องพูดให้คนเข้าใจถูกอย่างไม่มีอคติไม่มีอกุศลจิตเลย ที่ตำหนินี้เป็นความปรารถนาดีร้อยเปอร์เซ็นต์เพื่อให้รู้สัจธรรมความจริงของพระพุทธเจ้า
เขาว่าทำรูปตัวเองแจกนี่ คุณก็ว่ามาถูก อาตมาไม่ได้ไปแจกสนามหลวงหรอกแจกพวกเราเอง เขาไปทำเป็นรูปในล็อกเก็ต
(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า…หากไม่มีพ่อครูเกิด คงไม่มีใครกล้าตำหนิ หลวงตามหาบัว พระท่านมีชื่อเสียงมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
พ่อครูว่า…อันนี้เป็นอาสโภ เป็นความกล้าหาญของอาตมาอาตมาต้องตำหนิสิ่งที่ควรตำหนิ ไม่บอกว่าคนเข้าใจว่าเป็นอรหันต์อาตมาไม่ตำหนิอาตมาก็ผิด ปล่อยให้เขาเข้าใจกันผิดๆ แล้วไม่ได้เป็นธรรมดาด้วย ถือว่าเป็นอรหันต์ที่ยิ่งใหญ่ด้วย นับถือกันทั้งบ้านทั้งเมือง อาตมาก็จำเป็น บ้านเมืองจะแย่ ไปหลงอรหันต์เก๊อรหันต์ผิด ก็จำเป็นต้องพูดความจริง
จะให้บอกว่าเป็นอรหันต์นิดหน่อยหนึ่งมันก็ไม่ใช่ ก็ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ แล้วก็ติดสิ่งเสพติดหยาบๆอยู่แล้วหลงว่าดีอีก หารายได้เข้าประเทศไทยมาก ก็เป็นวิปัสสนูปกิเลส เป็นผลประโยชน์ให้ประเทศก็ดีอยู่แล้ว แต่ส่วนนั้นเป็นความหลงว่าทำประโยชน์ให้ประเทศก็ถูก แต่ที่ท่านปฏิบัติธรรมนั้นมันผิด แต่ท่านทำลายศาสนาท่านได้รับนรกมาก ไม่พอนะหาเงินเข้าสู่คลังประเทศก็ไม่คุ้มกับบาปนรกที่ท่านมาทำลายศาสนา หลอกคนอื่น ซึ่งอาตมาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรถ้าไม่มีอาตมาไม่มีใครพูดหรอก ไม่มีใครกล้าพูดด้วย
อาตมาที่กล้าพูดไม่ได้อวดเก่งอวดดีอะไร
ที่กล้าพูดนี้ก็ล่อแหลมต่อ ลูกศิษย์ลูกหาเขาจะมาทำร้ายด้วย ล่อแหลมต่อลูกศิษย์ลูกหาเขาจะชิงชังอาตมา แต่จะมาถึงฆ่าแกงอาตมาหรือเปล่าไม่รู้ แต่ชิงชังมีแน่นอน
พออาตมาไปลบหลู่ผู้ที่เขาเคารพนับถือ ที่จริงไม่ได้ลบหลู่ อาตมาพูดตามสัจธรรม
เมื่อมหาบัวไม่ทำตามสัจธรรมอาตมาก็บอกว่าผิด แต่มันแยกไม่ออก คนเข้าใจผิดอีกเยอะ อาตมาจำเป็นต้องพูดย้ำว่ามันผิด คุณก็ยังเฉยว่าผิดอะไร อาจารย์กูสอนมาดีท่านมาสอนผิดอะไร อาตมาจึงเห็นใจ
สมณะฟ้าไทว่า…หากพ่อครูไม่ตำหนิก็แปลว่าของมหาบัวถูก พ่อครูก็ผิดจึงปล่อยไปไม่ได้
พ่อครูว่า…หากอาตมาไม่ทำนี่ อาตมาก็ไม่จริงใจต่อศาสนา ไม่เอาภาระต่อศาสนา อาตมาก็เป็นคนเสีย ไม่เหลืออะไรเล อาตมาตำหนินี้อาตมาถูกแล้ว เข้าใจอาตมาด้วย อาตมาทำนี้เหนื่อยไม่ได้ลาภยศสรรเสริญ มีแต่คนมาว่า ไปว่าท่านทำไม ก็ถ้าอาตมาไม่ว่าไม่มีใครกล้าว่า มหาบัวหรอก อาตมาก็ไม่ได้ว่าทุกวัน แต่พูดเนื้อหาสาระทุกวัน วันนี้มีเหตุปัจจัยก็เลยว่า เป็นการศึกษาวิชาการ
“ประชาธิปไตยไทย” ดีที่สุดตรงไหน?
-
ตรง”จิตวิญญาณ”ของแต่ละคนมีความรู้ว่า“ประชาธิปไตย”ที่แท้คืออะไร? เป็นไฉน?
แต่ก่อนเขาว่า นายกฯตู่ เป็นรักษาการณ์ แต่อ.วิษณุก็มาบอกว่า นายกตู่เป็นนายกฯเต็มไม่ได้รักษาการณ์ แสดงว่าอ.วิษณุ รู้จักความเป็นประชาธิปไตยดี แต่ท่านอาจจะไม่กล้า คือ นายกฯตู่เป็นผู้ที่ ตัวเองขึ้นมายึดอำนาจแล้วก็เอามาบริหาร แล้วดร.วิษณุก็ว่า ไม่ใช่นายกฯรักษาการแต่เป็นนายกฯเต็มที่บริบูรณ์ แสดงว่า นายกฯตู่ยึดอำนาจจากอำนาจที่ประชาชนยึดอำนาจแล้ว ประชาชนยึดอำนาจมาได้ไม่รู้กี่รัฐบาล
ตอนนั้นที่ไปไล่นายกฯยิ่งลักษณ์ ออกไปได้แล้ว ก็มีคุณนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาลเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรี นายกฯตู่ก็บอกว่าผมขอยึดอำนาจ ก็ได้ง่ายๆ เพราะว่าไม่มีน้ำยาอะไรกันแล้ว เข้าไปบริหารต่อ
โดยภาษาพยัญชนะว่ายึดอำนาจ แต่โดยสภาวะนั้นนายกฯตู่รับผิดชอบทำหน้าที่บริหารไป ก็ตั้งตนเองเป็นนายกฯบริหารการไปเลย ซึ่งอำนาจนั้นเป็นอำนาจที่ประชาชนได้จากการปฏิวัติ หรือรัฐประหารรัฐบาลอื่นต่างๆเสร็จหมดแล้ว โดยไม่ได้ใช้ปืนใช้รถถังมาปฏิวัติ
นายกฯตู่ไปบริหารเข้าตาประชาชน โพลก็ยอมรับมาตลอด จนต่างประเทศก็ต้องยอมรับนี่คือสัจจะของประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่เลิก ทำได้ 5 ปีจนมีเลือกตั้ง เลือกตั้งแล้วก็ยังได้นายกฯตู่อีก ก็ยืนยันสัจจะ นี่ก็คือประชาธิปไตยแท้ๆ
แสดงว่า คนไทยโดยรวม เข้าใจประชาธิปไตยแท้ๆ จึงเลือกนายกฯเข้ามาบริหารอย่างนี้
-
เกิดได้จริง เป็นจริง เพราะมีทฤษฎีหรือหลักสูตรให้ศึกษาปฏิบัติจนเกิดผลตามลำดับ
-
องค์ประกอบความเป็น”จิตวิญญาณ”ครบ “ธรรมนิยาม 5” (อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ)
-
โดยธรรมชาติโลกียะนั้น“จิตวิญญาณ”จะวนเวียนอยู่ในกรอบโลกีย์สุข-ทุกข์นิรันดร
-
พระพุทธเจ้าศึกษาค้นคว้าจนตรัสรู้ด้วยตนเอง จึงรู้ “จักรู้แจ้งรู้จริง“จิตวิญญาณ”สัมบูรณ์
-
ว่า “จิตวิญญาณ”ที่อวิชชานั้น“เที่ยง”นิรันดรในโลกแห่งโลกียะ “หมุนเวียนไม่จบสิ้น”ไปกับกรรมวิบาก ซึ่งโลกีย์ยังแยกไปมี“มิจฉาทิฏฐิ”อีกหลากหลายทิฏฐิ
-
แต่“จิตวิญญาณ”ที่มีวิชชาของพุทธ“ไม่เที่ยง” มี“ต้น-กลาง-ปลาย” และ“เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป” หมุนเวียนอยู่ในโลก ซึ่งขึ้นอยู่กับ“กรรมวิบาก”ก็สามารถให้ตนทำแต่“กุศล” ไม่ทำอกุศลหรือบาปอีกเลยได้สำเร็จจริง
ยกตัวอย่าง เจริญขึ้นเช่นนายกฯตู่เองแต่ก่อนนี้มีลีลาแสดงอาการไม่ชอบใจ อาการโกรธออกมา แต่ทุกวันนี้ดีขึ้น นี่แหละเป็นลำดับ จึงเกิดคำกริยาเป็นกรรมวิบากที่สามารถทำแต่กุศลทำให้เจริญขึ้น ขออภัย นายกฯตู่อาจไม่มีปรมัตถธรรม รู้การลดกิเลสอย่างธัมมานุสารี แต่อาตมาว่ารู้อย่างสัทธานุสารี
-
และโลกุตระนั้นจะทำให้“จิตวิญญาณ”ของตน“ตั้งอยู่”นิรันดรก็ได้ จะให้“ดับสูญสลาย”เป็น“อุตุธาตุ”ไปเลย ไม่เหลือความเป็น“จิตวิญญาณ”อีกเลยนิรันดรก็ได้จริงๆ
-
คนจึงเป็นเจ้าของ“จิตวิญญาณ”เองโดยแท้ชนิดที่พิสูจน์ได้ด้วยตนเองและยืนยันกับผู้อื่นในโลกได้ ว่า ตัวเองจะทำให้“เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป”ด้วยตัวเองได้
-
ผู้พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง จนถึงที่สุดทำได้แล้วคือ“ดับความเป็นอัตตาที่ติดความเป็นโลก”ได้ตามลำดับ และที่สุดปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเลย ไม่เวียนวนกลับมาเกิดอีกแล้วอย่างเป็นจริง กลายเป็น“อุตุธาตุ” ไม่มี“วิญญาณของตน”กันแล้วจริงๆ
-
แต่ก็ได้สอนทฤษฎีและหลักสูตรไว้ให้ผู้อื่นประพฤติปฏิบัติได้ด้วยตนเอง บรรลุได้ด้วยตนเอง จึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริงได้ด้วยตนเอง และสอนผู้อื่นไว้สืบทอดต่อๆๆๆไปเหมือนตนเองได้ไม่ขาดสูญพันธุ์ไปได้ด้วยทฤษฎีและหลักสูตรมีอยู่ตลอดกาลนิรันดร
-
ดังนั้น ผู้มี“โลกุตรภูมิ”จึงประพฤติตนโดยสามารถควบคุม“กรรม”ของตนให้เป็น“ประชาธิปไตย”ที่แท้ ที่ดี ตามภูมิอาริยะของตนได้จริง
-
“ประชาธิปไตย”ที่เป็นแบบของพระพุทธเจ้าแท้ๆนี้ มีนิยามสำคัญสัมบูรณ์ เช่น เสียสละชนิดที่ไม่มีอัตตา-มีอิสระสัมบูรณ์-ทำประโยชน์ให้มวลมนุษยชาติทั้งหลายแท้-มีความฉลาดขั้นโลกุตระคือเป็นปัญญา เป็นต้น