620707_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ปฏิบัติสายนั่งหลับตาไม่ใช่วิชชาของศาสนาพุทธ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1HbAmGli0Wz3vsTmOl0jt78iKnBh8UnMx7Z8yiMiUl40/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ .. https://drive.google.com/open?id=1VYKwLGI74WxCi5Nx4qBZRA20hZGZvStE
สมณะฟ้าไท…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ใกล้เข้าพรรษาแล้ว เราฟังธรรมกันมามากมาย พ่อครูสอนให้พวกเรารู้จักสัมมาทิฏฐิ 10 รู้โลกนี้ โลกหน้าที่เป็นโลกโลกียะ โลกโลกุตระ รู้จัก สัตว์โอปปาติกะที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นปัญญากับศีล เป็นศีลที่พ้นจากสีลัพพตุปาทาน สีลัพพตปรามาส มีศีลเป็นปกติของชีวิต ฝังไว้ในจิตวิญญาณเรา เกิดมากี่ชาติก็มีศีล
พ่อครูว่า..ก็ขอเริ่มด้วยที่สู่แดนธรรม นาวาบุญนิยม ได้โอภาปราศรัยกันกับเพื่อน มีพื้นที่สนใจธรรมะศึกษาค้นคว้าติดตาม พอเจอทางเรา ก็เลยเกิดสะดุด ก็เลยโอภาปราศรัยซักไซ้ไล่เลียงตอบโต้กันก็สนุก มันไม่เหมือนกับที่เขาเข้าใจกัน มันไปด้วยกันมาด้วยกันพอมาเจออันนี้ก็สะดุดใจว่ามันเป็นอย่างไร ก็ดี
_จาก สู่แดนธรรม
วานนี้ ผมเพิ่งมีโอกาสได้ฟังธรรมบรรยายของพ่อท่าน สมัยเมื่อปี 2517 ที่แดนอโศก (พ่อท่านเพิ่งบรรลุธรรมมาได้ 3-4 ปี เรื่อง วิโมกข์ 8 สัตตาวาส 9 ผมก็บังเกิดความซาบซึ้ง และมีกำลังของปัญญาที่มีอินทรีย์ขึ้นมาอีกเรื่อยๆ ก็เลยอยากส่งให้เพื่อนผมฟัง เพราะเคยได้ยินเพื่อนบอกว่าอยากหาผู้รู้มาอธิบายอย่างละเอียด ผมก็ส่งให้ฟัง และแล้ววันนี้เขาก็ตอบกลับมา ครับ ว่า..
เรื่องของวิโมกข์ ฟังจาก 3 อาจารย์ ก็อธิบายไม่เหมือนกัน สงสัยเกิดจากการตีความที่ต่างกันออกไป (อ้าว ก็ไหนบอกว่า ไม่เคยฟังมาจากใครไงล่ะ?) ถ้าจะสรุป Concept ของคำๆนี้ (วิโมกข์) ก็เหมือนกับ “วิมุติ” หรือเป็นคำๆเดียวกัน ก็ไม่แปลกใจอะไรที่ว่าเป็นเรื่องธรรมขั้นสูงสุดแล้ว จะเที่ยวมากางตำราแล้วทำความเข้าใจไปตามตัวอักษร ก็คงไม่ผิดกับ “นกแก้วนกขุนทอง” เอาเท่ว่าสามารถคุยเรื่องนี้ได้!
มีอยู่ประโยคหนึ่งของพ่อท่านที่ว่า… “สัมผ้สวิโมกข์ 8 ด้วยกาย” และฟังจากโยมๆของอโศกที่ลงมาช่วยกันปลูกผักก็ใช้คำนี้ในคลิป ไม่เข้าใจว่าไปเอาคำนี้มาจากไหนกัน! ทำไมมันแลดูง่ายกันนักกับการปฏิบัติธรรมขั้นสูงสุดนี้???
ตามความเข้าใจผมเอง…. วิโมกขะหรือวิโมกโข อะไรก็ตามที่แปลว่า “การข้ามพ้น” นั่นหมายถึงการปฏิบัติให้สภาวะจิตข้ามพ้นจากโลกียะ ไปสู่ โลกุตรธรรมธรรม ซึ่งเป็นธรรมเหนือโลก อยู่เหนือความทุกข์ความสุขแบบปุถุขน หรือพูดง่ายๆว่า “การขาดจากการพัวพันแห่งโลก มีความเป็นอรหันต์ (นิพพาน) นั่นเอง” ผมเข้าใจผิดอีกไหม ?
ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ขอถามว่า… เมื่อรู้แล้วว่าตรงนี้คือทางไป แล้วไปยังไง (วิธีทำ) ไหนเพื่อนอธิบายมาให้ชัดๆสิ วิธีไปไปยังไง โดยจรวดชนิดไหน ยานอะไร นั่งลืมตา นั่งหลับตา การปลูกผัก ก็สามารถพาไปได้ใช่มั้ย ????????????????
พ่อครูว่า..ที่ว่าสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย
บุคคลที่ชื่อว่า อุภโตภาควิมุติ
[40] บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะของผู้นั้น ก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า “อุภโตภาควิมุต”
กตโม จ ปุคฺคโล อุภโตภาควิมุตฺโต อิเธกจฺโจ ปุคฺคโล อฏฺฐ วิโมกฺเข กาเยน ผุสิตฺวา วิหรติ ปญญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวาปริกฺขีณา โหนฺติ อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล อุภโตภาควิมุตฺโต ฯ
และมีบุคคลปัญญาวิมุติก็อาสวะสิ้นเกลี้ยงก็นับเป็นอรหันต์เช่นกัน
ส่วนบุคคลที่ชื่อว่า กายสักขี มีอาสวะบางอย่างกับได้เหมือนกัน
คำว่ากายต้องพร้อมด้วยสัมผัสนอกและในไปด้วยกันและกิเลสก็ดับทั้งสัมผัสนอกสัมผัสใน เป็นหลักฐานพยานเรียกว่า กายสักขี
ปัญญาวิมุติ มีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายอยู่แล้ว แต่ท่านแปลกันผิดๆ ไปบอกว่า
[41] บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ แต่อาสวะของผู้นั้นสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า “ปัญญาวิมุติ”
(กตโม จ ปุคฺคโล ปญญาวิมุตฺโต อิเธกจฺโจ ปุคฺคโล น เหว โข อฏฺฐ วิโมกฺเข กาเยน ผุสิตฺวา วิหรติ ปญญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติ อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล ปญญาวิมุตฺโต ฯ)
ผู้ที่ไม่มีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายไม่มีทางจะสิ้นอาสวะได้เลย อาสวะจะหมดสิ้นได้ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายต้องมีกาย อาตมาเข้าใจว่าที่แปลกันมันขัดกันแต่ท่านมีแต่พยัญชนะจึงไม่รู้สึกว่าขัดกัน
ปัญญาต้องมีทั้งภายนอกและภายใน ปัญญาจะเป็นปัจจุบันธรรม ปัญญาต้องมี จักษุญาณ ปัญญา วิชชา อาโลกะ
คำ 5 คำนี้ จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลกะ อาโลกคือแสงสว่าง ปัญญาต้องมีพร้อมกับการเปิดจักษุมีปัญญา ปัญญาจะเกิดขณะที่ไม่มีแสงสว่างไม่มีดวงตาสัมผัสไม่ได้เลย ไม่มีปัญญาอย่างนั้นมีแต่สัญญา ฟังให้ดีคำว่า ปัญญากับสัญญาให้ละเอียดละออ
มีอยู่ประโยคหนึ่งของพ่อท่านที่ว่า… “สัมผ้สวิโมกข์ 8 ด้วยกาย” และฟังจากโยมๆของอโศกที่ลงมาช่วยกันปลูกผักก็ใช้คำนี้ในคลิป ไม่เข้าใจว่าไปเอาคำนี้มาจากไหนกัน! ทำไมมันแลดูง่ายกันนักกับการปฏิบัติธรรมขั้นสูงสุดนี้??? พ่อครูว่า..มันง่ายเพราะว่าทำได้มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย
ตามความเข้าใจผมเอง…. วิโมกขะหรือวิโมกโข อะไรก็ตามที่แปลว่า “การข้ามพ้น” นั่นหมายถึงการปฏิบัติให้สภาวะจิตข้ามพ้นจากโลกียะ ไปสู่ โลกุตรธรรมธรรม ซึ่งเป็นธรรมเหนือโลก อยู่เหนือความทุกข์ความสุขแบบปุถุขน หรือพูดง่ายๆว่า “การขาดจากการพัวพันแห่งโลก มีความเป็นอรหันต์ (นิพพาน) นั่นเอง” ผมเข้าใจผิดอีกไหม ?
พ่อครูว่า..วิโมกข์หรือวิมุติสภาพที่ข้ามพ้นจากโลกียไปสู่โลกุตระ..ถูกของคุณ มีความไม่มีสุขไม่มีทุกข์ คุณพูดมาตอนนี้ถูกต้อง แต่คุณยังเข้าใจผิดอยู่ ที่พูดมานี้ถูก แต่ความเข้าใจของคุณยังผิด คุณยังเงอะงะอยู่ จะถูกหรือผิด
ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ขอถามว่า… เมื่อรู้แล้วว่าตรงนี้คือทางไป แล้วไปยังไง (วิธีทำ) ไหนเพื่อนอธิบายมาให้ชัดๆสิ วิธีไปไปยังไง โดยจรวดชนิดไหน ยานอะไร นั่งลืมตา นั่งหลับตา การปลูกผัก ก็สามารถพาไปได้ใช่มั้ย ????????????????
พ่อครูว่า..ก็มาเก็บผักนี่ไง ก็พวกนี้กำลังสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกำลังอ่านจิตตัวเองกำลังทำกิเลสออกอยู่นี่ไง ในขณะที่ตอนเป็นๆลืมตาอยู่ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตามีแต่สัญญาไม่มีปัญญา แต่มีปัญญารู้รอบหมดทุกอย่างเลย
อาตมากำลังอธิบายแทน สู่แดนธรรมอยู่นี่ อาตมาเป็นอาจารย์ของสู่เเดนธรรม ก็เห็นว่าคุณสนใจธรรมะดี
ด้วยยานจรวดพิเศษที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ นั่งลืมตา นั่งหลับตาจรวดไม่มี ปิดเครื่องไม่ได้ ไม่มียานไป นั่งลืมตานี่เป็นจรวดที่พระพุทธเจ้าสร้างขึ้นมาเลย
ท่านคึกฤทธิ์ สำนักวัดนาป่าพง ก็อธิบายอีกแบบ / ท่านกิติวุฒโธ ก็ว่าไปอีกอย่าง / ท่านอาจารย์ชา ก็ยกมาอธิบายอย่าละเอียดละออเช่นกัน แต่ไปอีกแบบ หรือ…สภาวะที่แต่ละท่านได้ มันคนละอย่าง หลุดโลกไปคนละชั้น จึงนำสภาวะที่ได้มาบอกไม่เหมือนกัน รอฟังนิเพื่อนเอ๋ย เน้นนะ…เอาชัดๆ!!
มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 ใครมันจะได้มาง่ายๆ!! เหมือนกับการที่เพื่อนบอกแก่เราว่าให้ล่าถอยออกจากสำนักของอาจารย์มั่นเสียเถิด จงมาสู่เรา (พูดประมาณนี้) ของเราสิของแท้ นอกนั้นปลอมหมด!! พูดแบบนี้ก็ได้รึ…หือ (ปล.ผมคือแป้งก็ไม่เคยพูดเน้นชัดๆ แบบนี้สักหน่อยเลยนะครับ)
เพื่อนแป้งบอกว่า เรายังถูกขังอยู่ในกำแพงสำนักพระป่าอยู่ แต่เพื่อนปีนข้ามกำแพง หนีเข้ารกเข้าป่าไปแล้ว… เอาอะไรมาตัดสินคนในกำแพงทั้งประเทศที่เลื่อมใสศรัทธาพระทางสายปฏิบัติแบบนี้
พ่อครูว่า..อาตมาขอตีทิ้งพระป่า พระป่าไม่ใช่ศาสนาพุทธ ต่างประเทศออกนอกรีตพระพุทธเจ้า ปลอมหมด พระป่าไม่รู้ ไปนั่งหลับตากัน
พูดปานว่า หลวงปู่มั่น เป็นเดียรถีย์นอกศาสนาไปได้… สั่งสอนศิษย์แบบผิดๆให้ทำตามแบบเลอะเทอะ สมเด็จใหญ่ๆ ในมหาเถรสมาคมทั้งองค์ปัจจุบัน และที่ละสังขารไปแล้วก็ศิษย์พระป่าโดยแท้ งั้นก็แปลว่า…. องค์กรที่มีพระสายพระป่าเป็นผู้นำใช้ไม่ได้นะสิ เดินทางมาแบบผิดๆ กันทั้งโขยงเลย อย่างนั้นใช่มั้ย… ช่วยยืนยันหน่อย!!!!
พ่อครูว่า..ไม่ใช่พูดปานว่าแต่ใช่เลย หลวงปู่มั่นเป็นเดียรถีย์ที่นอกศาสนาพุทธ
ขออภัยนะ สาธุ ไม่ได้ดูถูกดูแคลนท่านแม้จะเป็นเดียรถีย์แต่ก็มีสัมมาทิฏฐิที่อยู่คือประนีประนอมสงบอยู่กับสังคมได้
อาตมาพูดวันนี้แรงมาก วันนี้ ขณะนี้ แต่ก็ถึงเวลาวาระ ต้องพูดให้ชัดเจนให้แตกหักแต่ไม่ได้ทำความแตกแยก กำลังตีแตกแยกแยะ ให้รู้ชัดเจนแดงขาวดำ รู้โลกียะและโลกุตระแยก 2 ให้รู้ ขณะนี้ขอยืนยันเป็นเช่นนั้นจริงๆแล้ว คือ ผิดทั้งประเทศจึงจำเป็นต้องดึง สิ่งที่จมลงไปใต้ก้นมหาสมุทร อาตมาจึงดึงหนักมาก ซึ่งจะต้องดึงหากไม่ดึงก็จมสูญหายลงไปไม่เหลือเลย จึงจำเป็น
สมเด็จพระราชาคณะก็เป็นศิษย์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่ฝั้นก็เป็นศิษย์หลวงปู่มั่น มากันสายนี้หลายมาก ที่เป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ ไล่ขึ้นไปและไล่ลงมา จากหลวงปู่มหาบัว เยอะแยะมากเป็นกองทัพธรรมที่หลวงปู่มั่นส่งไปเผยแผ่ธรรมทั่วประเทศ โด่งดังไปทั่วประเทศ และระดับโลก
ธรรมะภาคปฏิบัติถูกนำไปเผยแผ่อย่างกว้างขวาง (แต่กลายเป็นว่า เป็นแบบผิดๆ ที่เพื่อนเคยจำแนกมาให้ฟัง) จนเกิดวัดไทยในต่างประเทศมากมาย เช่น ท่านสุเมโธ ก็นำเอาธรรมะสายนี้ไปสร้างวัดอบรมคน (ที่วัดอมราวดี ซึ่งอยู่ที่กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร) อาฟริกาก็มี ถ้าจะกล่าวให้แรงๆ กว่านี้ก็คือ นำคำสอนประเภท “สัทธรรมปฏิรูป” ไปเผยแพร่ใช่มั้ย!!?
พ่อครูว่า..จึงทำความเสียหายได้มากเอาของเน่าของเสียหายไปแจกต่างประเทศ อาตมาถึงต้องเตือนต้องให้สติ หยุดเสียบ้างจะได้บาปน้อยลง มันบาปจนไม่รู้จะนับยังไงแล้วตอนนี้ โด่งดังแบบชั่วแบบผิดเป็นยาพิษทั้งหลายแหล่ โอ้โห ให้อาตมาปล่อยได้อย่างไร ขออภัย ขณะนี้อาตมาอยากจะพูด เหมือนวันที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ เราเป็นไก่ตัวแรก เราเป็นไก่ตัวเบ้ง ที่เจาะกระเปราะไข่ออกมาเป็นตัวแรกในโลก ในยุคนี้ ไม่มีไก่ตัวใดเจาะออกมาได้เลย อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้านะ แต่จะพูดเหมือนพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสไว้แล้ว อาตมาเป็นสยังอภิญญา เป็นสัตบุรุษผู้หนึ่งที่มาเกิดในยุคนี้ถ้าไม่ใช่สยังอภิญญาสัตบุรุษพูดอย่างนี้ไม่ได้ อาตมาเจาะกระเปาะไข่ออกมาคนแรก นอกนั้นเจาะกระเปาะไข่ออกมาไม่ได้ อาตมาเจาะออกมาได้ก็มาล้างไข่ขยะที่เน่าออกไป
เขาไปเผยแพร่ไข่เน่าทั่วโลก วัดไทยที่อยู่ต่างประเทศมากมาย สัทธรรมปฏิรูปคือไปแก้ของพระพุทธเจ้าไปเผยแพร่ก็สุดที่จะใช่เลย
แป้ง ยืนยันมาหน่อย… การที่นำเอาธรรมะสาย”พระหลับตา” ไปสอนคน ผิดฉิบหายวายป่วงเลย ใช่ป่าวเพื่อนเอ๋ย..? เราจะรอคำตอบทั้งหมดจากสำนักเพื่อน นะ.. อย่าเคืองกันหนา…
ไม่ใช่คำถามนะ จงตีประเด็นให้ถูก ก็ฝ่ายพวกท่านพูดเอง เออเองทั้งหมด ก็แค่อยากให้ยืนยันคำพูดว่า พูดจริงแค่นั้น ผมจะนำไปเป็นพยานไปศาลโลก… ฟ้องร้องเพื่อนต่อไปที่ UN ในฐานะหมิ่นประมาท ปรามาสพ่อแม่ครูอาจารย์ของเรา เพื่อนไม่ต้องกังวลอะไร เราจะกันไว้เป็นพยาน.
พ่อครูว่า..ใช่ๆๆๆๆ อาตมานี่ไม่รู้จะทำอย่างไรเห็นใจพวกที่ยึดมั่นถือมั่น อย่างหลงงมงายนี้มาก มืดยิ่งกว่าตกไปในหลุมสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า คนที่ตกไปแล้วหายไปเลยนะ ไม่มีใครสามารถที่จะดึงคนที่ตกในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าขึ้นมาได้เลย มืดตึ๊ดตื๋อเลยมันเป็นอย่างนั้น
ดีมากที่คุณไม่เคือง เรานั้นไม่เคืองคุณอยู่แล้ว ยินดีด้วยซ้ำ สู่แดนธรรมเป็นห่วงคุณจะเคืองด้วยซ้ำ
จงตีประเด็นให้ถูก
อาตมาเป็นอาจารย์ของแป้งยืนยันเป็นล้านครั้ง
คุณจะเอาเทวนิยม ไปฟ้องศาลเทวนิยม คุณจะเอานายกฯตู่ไปฟ้องศาลทักษิณเทวทัต ให้ศาลทักษิณเทวทัตตัดสินนายกฯตู่จะได้หรือ ก็ในเมื่อศาลของเทวนิยมคือศาลโลก ศาลโลกคือเทวนิยมไม่มีหรอกขู่ซะเลย ยังยกให้เทวะเป็นเจ้าพ่อเป็นเจ้านายเลย นี่คือไม่เข้ากระแสฟองฝอยนิดหน่อยของโลกุตระเลย ยังไม่มีที่พึ่งในทางศาสนาของพระพุทธเจ้า ก็แค่ศาลโลกคือเทวนิยมยังไม่ออกจากทาสของความเป็นเทวนิยมแท้ๆ
เทวนิยม ยังงมงายอยู่กับเทวะ แต่โลกุตระของพุทธนั้นดับสิ้นเทวะหมดแล้วไม่เหลือเทวดาเลย มีชีวิตอยู่ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจของเทวะ จะเทวะยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ไม่แล้ว
ชาวพุทธพึ่งตัวเองพึ่งธรรมะไม่พึ่ง God พึ่งกรรมของตนเอง ไม่พึ่งGod และมีปรินิพพานเป็นปริโยสานได้จริง ไม่ใช่ตายแล้วต้องไปอยู่กับGod นิรันดร คุณตีไม่แตกระหว่างเทวนิยมกับอเทวนิยม ให้รู้ว่าเทวนิยมนี้ ยังตีโลกตีตัวเองไม่แตก
ส่วนอเทวนิยมนี้แยกออกเลย อะไรเป็นอะไรรู้หมดเลย infinity ทุกอย่างแยกออกเป็นคู่ได้หมดเลย ชั่วดี สมมุติกับเนื้อแท้ โลกียะกับโลกุตระ หรือสุข ทุกข์ ก็แยกออก และดับหมดเลย ดับสุขดับทุกข์ ดับดีกับชั่วดับอะไรต่ออะไรหมด อยู่เหนือ ดับทีว่า ไม่ได้หมายความว่าตัวเองไม่รู้เรื่องอะไร ดับที่ว่านี้คือ ดับความหลงผิด ดับความโง่ ความไม่เข้าใจ รู้หมดเลยผิดก็คือผิดถูกก็คือถูก และไม่ติดยึดทั้งความผิดความถูกไม่หลงทั้งความดีความชั่ว
เข้าใจความเป็นจริงว่า มีคือมี ไม่มีคือไม่มี ขณะนี้เราไม่มี แต่เรายังมี เพราะเรายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เราก็รู้ว่าสิ่งที่ไม่มีคืออะไรสิ่งที่มีคืออะไร ถ้าจะต้องอยู่ก็คืออยู่กับสิ่งที่มีอย่างเป็นสัจจะ สิ่งที่ประเสริฐสิ่งเป็นสิ่งที่ดีสิ่งที่ควรอยู่ควรอาศัย และไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นสิ่งที่เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ แค่อาศัยชั่วระยะเวลาที่มีกรรมกับกาละเท่านั้น เพราะฉะนั้นสัจจะที่ว่านี้เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมาก
เมื่อกี้ค้างไว้ที่เรื่องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย
ขออ่าน sms
_สุทัศน์ ศรีสังทวงษ์ • 37 นาทีที่ผ่านมา
จากคลิปที่พ่อครูพูดถึงอุปกิเลส 16 ……ถ้าพ่อท่านพูดเยี่ยงนี้ ก็ขอให้พ่อท่านมีเมตตากับทุกฝ่าย ขอให้รักทุกคน แม้จะฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของท่าน หากมีโอกาสขอสาวกและพ่อท่านพูดให้คนไทยทุกฝ่ายทุกหมู่เหล่ารักกันมีเมตตากัน ไม่เบียดเบียนกันด้วยวาทะกรรม วจีกรรมอันไม่มุ่งให้คนรักกันไม่เบียดเบียนกัน
พ่อครูว่า..คุณจะพูดด้วยวาทกรรมให้สวยๆว่าขอให้รักกัน อาตมานี้รู้ว่าความรักคืออะไร ความรักของอาตมาขยายถึง 10 มิติ อาตมาเป็นผู้เข้าใจความรัก โดยเฉพาะอาตมาก็เชื่อ รัก เข้าใจดี อาตมาเป็นผู้ที่เข้าใจความรักในทุกมิติ ไม่ได้พูดลอยลมนะ และอาตมาก็ทำให้คนรักกันและอาตมาก็เข้าใจด้วยว่า คนที่ยังมีภูมิคุ้มกันยังไม่พอ อย่าไปรักคนชั่ว
คุณจะให้คนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำไปคลุกคลีคนชั่ว ไปรักคนชั่ว ไปสมานกับคนชั่ว ไม่ได้ จะโดนคนชั่วเอาไปกินหมด อาตมาจึงกันคนชั่วออกไป กันคนดีเอาไว้ไม่ให้คลุกคลีกันตามที่พระพุทธเจ้าใช้ศัพท์คำว่า อสังสัคคะหรืออสังคณิกา
หากว่าคุณมีภูมิคุ้มกันแล้วคุณค่อยไปคลุกคลี ค่อยเข้าไป เป็นพระมาลัยโปรดสัตว์นรกได้ ถ้าหากไม่มีภูมิคุ้มกัน คุณจะลงไปโปรดสัตว์นรก สัตว์นรกเอาไปกินหมด คุณต้องมีภูมิคุ้มกันแล้วคุณต้องมี วสวัตตี มีอำนาจจิตยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้
อาตมาเป็นคนมีวสวัตตี อาตมาเป็นมาลัยโปรดสัตว์ที่ลงไปได้ทุกนรก ตอนนี้กำลังตีหัวชาวนรกที่ตัวใหญ่ด้วย ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเลย อาตมากำลังตีหัวผู้ที่อยู่ในนรกตัวใหญ่ เพราะอาตมาเป็นไก่ตัวแรกในยุคนี้ที่เจาะกระเปาะไข่ออกมาก่อน ด้วยความเป็น สยังอภิญญา
เพราะยุคนีั้มันแล้ง-ไร้-มันเน่ากันไปหมด ต้องสั่งมาจากโลกุตระเป็นสินค้านอกโลก Export เอามาจากนอกโลก เพราะโลกนี้หมดเชื้อโลกุตระแล้ว อาตมาจึงจำเป็นต้องลงมาพระพุทธเจ้าทรงลงมา มาเป็นสยังอภิญญามากอบกู้ เป็น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
เห็นใจอาตมาช่วยอาตมาเถอะ อาตมาเป็นตัวจริง ไม่ใช่ตัวเก๊
คุณกำลังเข้าใจผิดว่าอาตมาทำความแตกแยกที่จริงแล้วอาตมาทำความเย็นและความถูกความผิด คุณจะไปประชดว่าจะมาทำความแตกแยก อาตมาไม่ได้ทำให้แตกแยก กำลังแยกแยะความถูกความผิดให้กระจ่างให้ สัจฉิกัตวา คุณเข้าใจไม่ได้ก็หาว่าอาตมาทำความแตกแยกคุณกำลังเพ่งโทษพระอริยะ คุณกำลังทำบาป
คุณต้องเข้าใจความแตกแยกกับการแยกแยะสัจธรรม อาตมารู้พยัญชนะรู้สภาวะ สภาวะของความแตกแยกกับสภาวะของความแยกแยะมันคืออะไรพยัญชนะ 2 ตัวนี้อาตมาชัดเจน คุณต้องทำความชัดเจนให้ได้ ถ้าคุณทำความชัดเจนของความแตกแยกกับการแยกแยะสัจธรรมว่ามันต่างกันอย่างไรไม่ได้ คุณไม่ต้องมาพูดกับอาตมาหรอก คุณจะมาห้ามอาตมาก็ไม่ได้ อาตมาต้องแยกแยะอาตมาไม่ได้ทำความแตกแยก
_view6 view6 • 20 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ปิติ เป็นตัวทำลายว่าง หรือนิพาน / เพราะจะนิพาน พอปิติยินดี หลุดจากนิพาน
ว่างคิด เห็น ได้ยิน ได้รส ได้กลิ่น รู้ แต่ไม่รู้ไม่เอามาคิด ปล่อยให้มันผ่าน
ปัจจุบัน คิดทำแต่ ไม่ต้องจำ สรุปห้ามนึก แต่ทำ
พ่อครูว่า..อาตมาฟังที่คุณพูดนี้เข้าใจเลยว่าคุณพูดถูกหมดเลย แต่คุณเข้าใจสภาวะ เอาป้ายยาไปปิดเนื้อยาถูกต้องหรือไม่
_ศักดา ติยาภักดิ์ • 1 วันที่ผ่านมา
เตวิชโช…นี่ก็อีกหนึ่งขุมทรัพย์ ที่พ่อครูเฉลย
ทุกเรื่องที่ติดตามฟัง ขยายลึกไปได้ตลอด
เหมือนรากไม้ รากยิ่งชำแรกต้นไม้ก็ยิ่งโต
เมื่อสิบปีที่แล้วที่แถวเวทีกองทัพธรรมหน้าทำเนียบเรายังเป็นกล้าไม้อยู่เลย
_Rachen Chaisit • 1 วันที่ผ่านมา
หัน อะไร แยกสงฆ์ อวดอุตริ ความจริงก็ไม่ใช่พระอยู่แล้ว มันเหมือน เดรัจถี สมัยพุทธกาล ที่อ้างตนว่าประเสริฐกว่าดีกว่า ภิกษุในศาสนา ทำตามข้อบัญญัติของเทวทัตศาสดา แยกสงฆ์
บิดเบือนคำสอน วิจารณ์ตำหนิสงฆ์ในศาสนา ถ้าดีจริงจะยุ่งทำไมกับทางโลกนี่เป็นหัวหน้าม็อบ นกหวีด หนุนเผด็จการ ตรรกวิบัติสอนคนให้ผิดเพี้ยน ผลลัพธ์คือไม้ร่ม ทำคนดีเป็นคนเพี้ยนได้เก่งจริงท่านศาสดาโพธิรักษ์
พ่อครูว่า..ถัามีอุตตริมนุสสธรรมแล้วไม่อวดบาปนะ อวดอุตริ คือคนที่ไม่มีอุตตริมนุสสธรรมมาอวด อาตมาไม่ใช่พระอาตมาเป็นสมณะก็ถูกอีก พระคือพวกที่ทำผิดทั้งนั้น ทำปฏิบัติผิดเพี้ยนทั้งนั้น สมณะนี้ปฏิบัติถูก ทุกวันนี้มันลงตัวแม้แต่พยัญชนะแม้แต่สภาวะมันลงตัวกันหมดเลย แยกสมณะแยกพระได้ชัดเจน พวกพระนั้นเป็นพระมหาสาโล แต่อาตมาเป็นสมณะที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบชัดเจนลงตัว ไม่เป็นเรื่องประหลาดเป็นเรื่องที่ชัดเจนมาก
พ่อครูว่า..ไม้ร่มก็ฟังไว้มีคนเขาเห็นว่าคุณเป็นคนเพี้ยนอยู่นะ ไม่ใช่เขาหลงว่าเป็นคนดีหมด ถ้าไม่มีความเพี้ยนไม้ร่มก็น่าจะเหมือนพวกเรา แต่นี่เขาก็ทำแปลกๆออกไปเขาก็มีเจตนารมณ์อย่างนั้น คือ เขาเป็นศิลปินเขาหาสิ่งที่คนสัมผัสแล้วมาชมของเขา ล่อให้คนมาสัมผัส เข้ามาแล้วจะได้มาเจอกับชาวอโศก เขาเป็นเพียงดอกไม้ล่อแมลงเท่านั้น
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…อาตมาฟังแล้วเห็นว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ ก็มาเลย คนที่ปฏิบัติแบบหลับตาฟังให้ดีๆ เหมือนพระพุทธเจ้าเทศน์ สงฆ์ 180 รูป มี 60 รูปที่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ อีก 60 รูปขอลาสิกขา อีก 60 รูปกระอักโลหิต
_Anuwat Rodsumroeng • 1 วันที่ผ่านมา
.เรื่องแบบนี้มันยากที่จะเข้าถึง ไอ้ตัวเราเองก็ไม่ใช่ได้สำเร็จมรรคผลอะไรสักอย่างเลย ทุกคำที่พ่อท่านพูดออกมาเราเองเข้าใจมั่ง งง มั่ง แต่ก็พอจะเข้าใจเนื้อรวมของเรื่องต่างๆได้ในบทท้ายของเรื่องที่คุย
แล้วดันจะไปมีคำถามมากมายที่จะถามทำไมก็ไม่รู้!
จะเกิดประโยชน์ตรงไหนก็ยังมองไม่เห็น…
ถ้าผมจะคอยแต่จะมาหาเรื่องตั้งคำถามแบบนี้ต่อไป เกรงว่ามันเสียเวลาเปล่า..
พ่อครูว่า..เอาน่า ถ้าคิดว่าควรถามก็ถาม อาตมาที่พูดแล้วยินดีในคนที่ถาม หากพูดไปแล้วไม่มีใครถามเลย มี 2 คือเป็นอรหันต์หมด หมดคำถามแล้ว หรือว่าโง่หมดเลยไม่รู้เรื่องเลย คนโง่ทั้งหมดไม่ต้องฟังหรือฟังก็ไม่รู้เรื่องอาตมาก็พูดเสียกำลัง เสียเวลา เสียแรงงานทุนรอนเปล่าแต่อาตมาพูดแล้วมีคนฟังมีคนรับรู้ แม้มานั่งฟังที่นี่อาตมาก็ว่าไม่โหรงเหรงนะ ตอนแรกอาจจะน้อย ทยอยมากัน
อาตมาเทศน์นี้มีเรื่องแปลก ตอนเริ่มต้นการเทศน์คนมีน้อย แต่เมื่อเทศน์ต่อไปมีคนมาเรื่อยๆ เทศน์ต่อไปมีคนมากขึ้นเรื่อยๆ ต่างกับที่เขาเทศน์กัน ตอนแรกจะได้มีคนมากสุดท้ายมีคนน้อยไม่เหลือใครเลย มันเป็นอย่างนั้น
ที่ทำงานทุกวันนี้ เป็นการทำงานที่คนเข้าใจจะเห็นใจกันมากเลย เพราะศาสนามันได้ผิดเพี้ยนไปหมด มันไม่เป็นศาสนาพุทธเป็นศาสนาทั่วไปเป็นศาสนาเดียรถีย์ เป็นศาสนานอกรีตพระพุทธเจ้า พูดย้ำซ้ำ
ที่ว่านั่งหลับตานั้น ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ไปอ่านจากพระไตรปิฎก ในวินัยก็ได้แต่มันจะยาก เริ่มต้นตั้งแต่เล่มที่ 9 พระสูตรเล่มแรก ตั้งแต่พระสูตรแรกคือ พรหมชาลสูตร สามัญผลสูตร อัมพัฏฐสูตร เนื้อหาก็จะชัดเจนไปนั่งหลับตานั้นไม่มีทางไปนิพพาน สัจธรรมนั้นอยู่ที่ปัจจุบันไม่ใช่อดีตไม่ใช่อนาคต อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปตามกาลแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง แต่ปัจจุบันนี้คือสัจจะ มีจริงๆอยู่ที่ปัจจุบัน นี่คือในพรหมชาลสูตร สรุปได้อย่างนี้
สูตรที่ 2 สามัญผลสูตรคือสูตรที่อธิบายว่าให้ปฏิบัติอย่างนี้ คือต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา แล้วก็มีศีลเป็นอาริยะ มีสำรวมอินทรีย์เป็นอริยะ มีสติสัมปชัญญะเป็นอาริยะ จึงจะเป็นสันโดษที่เป็นอาริยะ ก็จะเกิดสมาธิ เกิด ฌาน 1 2 3 4 ตามสามัญผล
หลับตาปฏิบัติไม่มีฌาน มีแต่สมาธิแบบเดียรถีย์ จิตตั้งมั่นตกผลึกแข็ง มืดๆ อยู่ในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เหมือนกับอาฬารดาบส อุทกดาบส ซึ่งเขาก็เป็นเจ้าหมู่คณะด้วยนะ แต่ไปปรากฏว่าตายแล้วพระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็บอกว่าฉิบหายแล้ว เพราะเป็นความฉิบหายที่ได้ภูมิอย่างนั้น มีแต่สมาธิหลับตา กดข่ม ฌาน แปลว่า พลังงานไฟ แล้วไปเผากิเลสในปัจจุบัน เผาได้ก็เกิดบุญ
เพราะฉะนั้น สูตรที่ 3 พระพุทธเจ้าถึงบอกได้ชัดเจนเลย ท่านเพิ่งสอนศาสนา ท่านก็พยากรณ์ไว้ก่อนเลย ตอนนั้นศาสนาเพิ่งจะเริ่มต้น ท่านจึงบอกว่าในอนาคตจะมีความเสื่อมคือมีพระป่า ไปหาอาจารย์ในป่า เป็นผู้ที่มีวิชชาและจรณะอยู่ในป่า อันนั้นคือความเสื่อม คือ ความผิด 4 ประการ ไปอยู่ในป่าแล้วกลุ่มแรกก็ยังมีวินัย
-
ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ
-
ไม่เก็บผลไม้กิน แต่ถือเสียม ตะกร้า หาขุดเหง้าไม้ หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า
-
สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์
-
สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่ (อัมพัฏฐสูตร เล่ม 9 ข้อ 163)
อันแรกก็ยังมีวินัยติดตัวไปไม่เด็ดพืชผัก
ไปเข้าใจพรหมที่ปฏิบัติแบบผิดๆ
ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ ปริสัชชา แปลว่า หมู่กลุ่ม บริษัททั้งหลาย ตอนนี้ก็เป็น
พรหมแท้จริงคือผู้ไม่มีตัวตนหมดกิเลสแล้ว
ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ เกิดมีครู มีผู้เป็นบริวาร ในพุทธศาสนิกชนก็มีพวกนี้ ยกตัวอย่างเช่น ครูเทวนิยม สำนักนั่งหลับตาต่างๆ เป็นครูเป็นอาจารย์ใหญ่ ก็มีคนที่เหนือชั้นกว่านี้อีก
ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ เป็นผู้ใหญ่ว่าครูใหญ่อีก คือมหาพรหม คือความอยากใหญ่แล้วทำตนใหญ่ จนได้จนเป็น ก็เกิดภพชาติเกิดสิ่งเหล่านี้ในโลก
ต่อมาอีก 3
ชั้นที่ 4 ปริตตาภาภูมิ คือเป็นกลุ่มๆ ปริตตะ กลุ่มเล็กๆที่หลงแสงสว่าง หลงอาภา เป็นความรู้ภพชาติ นี่คือพรหมที่มีภพชาติมีตัวตนมีสถานที่ พวกนี้เป็นสายแสงสว่าง อาภา
ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ ใหญ่กว้างจนไม่มีที่สิ้นสุดเลย จนนับไม่ได้เลย Infinity
ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ พวกสว่างจ้า สายลืมตานั่นเอง แต่สร้างภพสร้างชาติ เอามารวมไว้ที่พวกธรรมกายได้ทั้งหมดเป็นพวกลืมตาตาบอดตาใส เพ่งด่วงแก้วหรือจะหลับตาก็เห็นดวงแก้วภายในสว่างๆ
ส่วนสายอาจารย์มั่นนั้น ดำดับ กิณหะ
หรือแม้แต่สายลืมตา อย่างสายท่านพุทธทาส ก็สว่างลืมตา แต่เป็นพรหม มีภพมีชาติ ไม่สิ้นภพจบชาติ ธรรมะของท่านคือธรรมชาติ ท่านไม่มีสิ่งทรงไว้ซึ่งความเหนือธรรมชาติ ท่านอธิบายวนไปวนมาไม่ตัดเด็ดขาด ธรรมะคือธรรมชาติ ชาติ คือชาติ ต้องแยก ชาติ สัญชาติ โอกกันตะ นิพพัตติ อภินิพพัตติ ธรรมชาติ คือธรรมที่รู้จักชาติ แต่ท่านพุทธทาสไม่เคยอธิบาย ชาติ 5 นี้ อาตมาไม่เคยเห็นนะ ถ้ามีอาตมาขออธิบาย เสริมหรือแย้งได้
ชาติอย่างโลกียะ คืออย่างไร ชาติที่โอกกันติ หยั่งลง หากไม่มีภูมิเป็นโลกุตระก็จะหยั่งลงเป็น โลกียะ นิรันดรเป็นเทวนิยม จนกว่าจะเป็นโลกุตระ จึงจะออกจากชาติมาเป็นนิพพัตติ การเกิดที่มีนิพพาน นิพพัตติ คือคำที่ concern กับคำว่านิพพาน เกี่ยวข้องกับนิพพาน จึงจะถึงอภินิพพัตติ เจริญงอกงามถึงที่สุดจบแห่งความปรินิพพาน
ที่อาตมาอธิบายพยัญชนะและอธิบายสภาวะให้ฟังเล็กน้อย ถ้าเข้าใจแล้วก็ชัดเจน
ต่อจากนั้นมาไม่หยุด อาภา ไปหลงแสงสว่างเป็นพวกอาภัสราไม่พอก็เสริมแสงสว่างอีก
หมวด 1
ขั้นที่ 7 ปริตตาสุภา คือหลงแสงสว่างนี้แหละดี
ขั้นที่ 8 อัปปมาณาสุภา
ขั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ กิณหะ แปลว่ามืดดำ สุภะ แปลว่าน่าได้น่ามีน่าเป็น ไปหลงอาภัสราว่าน่าได้น่ามีน่าเป็นแต่คุณไปมืดกับอาภัสรา กลายเป็นความโง่หลงมืดดำเลอะเทอะซับซ้อนเป็นโลกที่มืด ยิ่งกว่าเข้าไปหาสามเหลี่ยมเมอร์บิวด้า หนักขึ้นไปอีก
ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ แปลว่าความเจริญงอกงามไพบูลย์ลอยฟ่อง กับอสัญญีสัตว์ พวกนี้มีตัวตน
ชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ คือพวกที่มืดยิ่งกว่ามืด ไม่มีการกำหนดรู้อะไรได้เลยเป็นพวกที่ไม่มีสัญญา จิตวิญญาณมันดับมืดบอด จนกำหนดอะไรไม่เป็น ส่วนเวหัปผลาคือมากมายสับสนกับใจแล้วไปหลงแสงสว่างอาภัสราซ้ำซ้อนไปอีก มีแต่แสงสว่างซับซ้อนไปใหญ่
ท่านจึงแปล เวหัปผลา ว่าพวกไพบูลย์ ทั้งสุภกิณหา คือพวกมีลำรัศมีงามกระจ่างจ้า ไพบูลย์ทั้งพวกมีรัศมีงามมาก ทั้งพวกมีรัศมีงามน้อย คือหลงโลกียะ โดยไม่รู้จักเนื้อแท้ของพยัญชนะกับสภาวะที่แท้
เหลือ 5 แดนของสุทธาวาส พุทธเจ้าท่านเคยตรัสว่าไม่ไปเสียเวลาอยู่ในแดนสุทธาวาส
สุทธะ คือแดนสะอาด แต่คนไม่รู้ก็กลายเป็นความสกปรก เป็นความทับถมซ้ำเติมเข้าไปอีก
ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ คือ เหล่าท่านผู้ไม่เสื่อมจากสมบัติของตนหรือผู้ไม่ละไปเร็ว ผู้คงอยู่นานกับชั้นนี้ว่าคือความบริสุทธิ์ จริงๆแล้ว พวกโลกียะที่จมอยู่ในความบริสุทธิ์ที่ตนเองหลงว่าเป็นความบริสุทธิ์ แต่ถ้าเป็นโลกุตระก็ต้องเป็นอนาคามี ก็ไปจมอยู่ที่ความสะอาด เป็นความสะอาดที่คุณพึ่งพาได้ แล้วก็จมอยู่ในนี้นานจนเป็นนิรันดร มันไม่มีการขยาย ไม่มีความหลุดพ้นเลยสุดท้ายคนก็ยังมีภพชาติ
ชั้นที่ 13 อตัปปาสุทธาวาสภูมิ คือ เหล่าท่านที่ไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร หรือผู้ที่ไม่เดือดร้อนกับใคร นี่เป็นอนาคามี
อนาคามี คือ ผู้ที่ไม่มีโทษมีภัยกับใครในโลกแล้ว
ถ้าเป็นแค่อวิหา คือมีรัศมีกระเทือนแก่ผู้อื่นอยู่ แต่อตัปปาคือไม่มีกระเซ็นกระสายกระทบกระเทือนผู้อื่นอีก
ชั้นที่ 14 สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ เหล่าท่านผู้งดงามน่าทัศนา นี่คือแปลตามพยัญชนะเลย ถ้าเป็นอนาคามีก็สูงขึ้นไปอีก เป็นคนที่บริสุทธิ์หน้าเป็นตาม
ชั้นที่ 15 สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ ก็ขยายเพิ่มว่า เหล่าท่านที่เป็นผู้มองเห็นชัดเจนดี ผู้มีทัศนะแจ่มแจ้ง รู้ชัดเจนจริงใกล้สมบูรณ์แล้วจนเหลือปลายที่สุดก็คือ อกนิฏฐา
ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ เหล่าท่านผู้ไม่มีความด้อยหรือความเล็กน้อยกว่าใคร ไม่เป็นผู้ที่เป็นน้องใคร ใหญ่ตามสัจจะด้วย นี่คืออนาคามีภูมิ
ผู้ที่มิจฉาทิฏฐิไปจมอยู่กับกิเลส วิปัสสนูปกิเลส จมใน 5 ภูมินี้ หนักหนาสาหัสมากเลย
อนาคามีคือผู้ไม่กลับมา คือคุณจมในอเวจีนี้ไม่มีทางออกจากนรกอเวจีนี้เลยนั่นเอง
ถ้าหากสัมมาทิฏฐิเป็นอนาคามีภูมิก็จะไม่จมอยู่ในนี้ออกมา ในชาวอโศกมีอนาคามีเยอะ ศึกษาให้ดีแล้วจะเป็นอรหันต์กันได้
พวกเราเป็นอะไรจบอรหันต์กันได้ยังเหลืออีกนิดหน่อยในอนาคามีภูมิ อยู่ในขั้น สุทธาวาส 5 พระพุทธเจ้าตรัสว่าท่านไม่ไปเสียเวลาไปติด อาตมาก็เป็นสายปัญญาที่ไม่ไปเสียเวลาติดไม่จมอยู่ในภูมินี้ สมมุติว่าเราไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจเราก็จะไม่อยู่ในนี้เราจะต้องเกิดมามีตาหูจมูกลิ้นกาย สัมผัสความจริง ไม่ไปรอช้าอยู่ในภพของสุทธาวาส ความหมายเป็นเช่นนั้น สายสมณโคดมเป็นอย่างนั้น ไม่ไปจมอยู่ในสุทธาวาส 5 รู้ว่าสุทธาวาสที่สัมมาทิฏฐิต้องเป็นอนาคามี ไม่เสียเวลาอยู่ในนั้นเลย แต่ถ้าไม่ใช่สัมมาทิฏฐิก็จะจมอยู่ในพวกนี้ซับซ้อนไม่รู้กี่ชั้น นึกว่าตัวเองคืออนาคามี แต่ไม่ใช่ ตัวเองเป็นผู้ที่เป็นอนาคามีเหมือนกันแต่เป็นอนาคามีแบบ ผู้ที่ไม่กลับมาเลยเหมือนกัน แต่จมอยู่ในหลุมดำเบอร์มิวด้า ไม่มีทางกลับมาได้ เป็นคำที่เป็นสิริมหามายา อธิบายว่าไม่มาเลยอีกแล้ว ผู้ที่เป็นอนาคามีสัมมาทิฎฐิว่าจะไม่จมอยู่ในนั้น จะกลับมา ส่วนผู้ที่เป็นมิจฉาทิฐิแท้ๆนั้น ไม่กลับมาเลยเหมือนกัน จมอยู่ในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า
ผู้ที่รู้แล้วก็จะรู้ไม่ไปจมอยู่ในนั้น สมมุติว่ารู้แล้วจะสมมติว่าไม่รู้ได้อย่างไร ผู้รู้แล้วก็บอกว่าไม่รู้อีกก็คือไม่รู้สิ พวกที่จมคือพวกไม่รู้ พวกที่รู้แล้วก็จะไม่จบ
สมณะฟ้าไทว่า…ผู้ที่รู้แล้วที่เรียนจากพ่อครูจะจมอีกไหม พวกเราที่พูดบางทีเหมือนสัมมาทิฎฐิแต่เวลาปฏิบัติก็ ไปนั่งหลับตา
พ่อครูว่า…ผู้ที่รู้แล้วจะไปนั่งหลับตาก็ได้ คุณจะนั่งหลับตาทำเตวิชโชหรือหลับตาเพื่อพักผ่อนก็ได้ นั่งหลับตามีประโยชน์อยู่ 3 อย่าง
-
ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก
-
ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์
-
เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .
-
สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน)
เตวิชโชคือการตรวจสอบการปฏิบัติ เป็นการลงบัญชี ถ้าใครปฏิบัติลืมตาแล้วบัญชีก็ลงไปพร้อมในปัจจุบันเลย ก็เสร็จไปในตัวไม่ต้องไปทำการลงบัญชีอีกเลยภายหลัง
พวกเราชัดเจน แต่คนที่ไม่ชัดเจนก็น่าสงสาร สงสารที่เขาจะต้องไปเป็นเหยื่อเต่าปลา
สู่แดนธรรมว่า…เพื่อนสู่แดนธรรมตอบมา
ในโลกนี้มีคนโง่มากหรือคนฉลาดมาก ขอตอบว่าคนโง่มากกว่า สรุปว่าถ้างั้นขอให้ท่านที่ฉลาดฉลาดไปหาสมณะโพธิรักษ์เถิด ส่วนพวกโง่ๆจงมาหาเราและอยู่ในสำนักของเรา นี่คือสญชัยปริพาชก มานั่งหลับตาสมาธิกันเถอะ
พ่อครูว่า…มันก็จบตรงที่ว่าความเห็นของเธอก็อย่างหนึ่งความเห็นของเราก็อย่างหนึ่งก็จบ ใครจะเต็มใจไปนั่งหลับตาก็ไป แต่อาตมาตีหลบตาทิ้ง มาที่นี่ถูกตีหลับตาแน่ แต่ไปที่นั่นคุณจะไปหลับตาก็ไปไปห้ามกันไม่ได้หรอกไม่ได้โกรธกัน แต่เป็นการบอกกันด้วยเมตตา บอกกันด้วยความปรารถนาดี บอกกันด้วยความหวังดีแก่กันและกัน ที่พูดอยู่นี้ ที่ตีแรงๆจะเรียกว่าด่าหนักๆ เพื่อให้คุณสะดุ้งสะเทือนบ้างถ้าไม่หนามาก แต่ไม่สะกิดผิวเลย ไม่รู้จะทำอย่างไรความหนานี้ เป็นความยึดมั่นถือมั่น มันของที่ด้านหนาแข็ง จนกระทั่งทุบตีแรงขนาดไหนก็ไม่ค่อยสะเทือนถึงความรู้สึก ถึงความเป็นสติปัญญาอะไรขึ้นมาเลย
ใครสงสารโพธิรักษ์ เหนื่อยๆออกแรงมากๆ ตีเท่าไหร่ก็ไม่ถึง ถึงความดักดานที่อยู่ลึกหนา ตีเท่าไหร่ก็ไม่กระเทือน เอ้าสู้ๆ โพธิรักษ์สู้
อธิบายความได้ว่าทุกวันนี้เป็นความงมงายหลงผิด จมอยู่ในมหาสมุทร 500 โยชน์อาตมาต้องดำดิ่งลงไปจะขาดใจร้อนๆอยู่แล้ว แต่อาตมาเก่งนะ ไม่ยอมขาดใจไปด้วยกันทั้งคู่หรอก อาตมาจะดึงขึ้นมาให้ได้ ได้กี่คนก็แล้วแต่ มันจะติดแรงที่อาตมาดึงขึ้นมาได้กี่คนก็เอาแค่นี้ มันหนักหนาดึงตนเองลง ว่ากูไม่ขึ้นๆ ก็เรื่องของเขา มันต้องใช้เทศน์แบบนี้ถึงจะชัดเจน
ขอยืมศัพท์เหล่านี้ มันยุค พ่อขุนรามฯกลับมาแล้ว ต้องใช้อย่างนี้ถึงจะถูก ถึงจะถึงกึ๋น ชัดเจน
พรหม พยัญชนะแปลว่าความบริสุทธิ์ แต่ถ้าพรหม 16 ชั้น หรือ อรูปพรหม 4 ชั้นมารวม ก็เป็น 20 ชั้น พวกนี้เป็นภพชาติ
เข้าใจความเป็นสภาวะแท้ของความสะอาดไม่ได้
ความสะอาดของพรหม 16 ชั้น
ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ คือมาสมัครใจอยู่ในบริษัทโลกุตระนี้ คือ บริษัทอโศกจำกัด ก็จำกัดพวกไม่ได้เรื่องไม่ให้มา อย่างกินเนื้อสัตว์นี้ก็ไปก่อน ไม่รับเป็นสมาชิก
ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ มีครูบาอาจารย์ในบริษัทนี้ เป็นครูบาอาจารย์ปุโรหิต
ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ อาตมาเป็นมหาพรหมในแดนชาวอโศกนี้ อยู่ที่นี่เป็นผู้ใหญ่ ไม่มีผู้ใดใหญ่กว่า ในแดนนี้ เพราะอาตมาเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะกระเปาะออกมาได้
ต่อมาอีก 3
ชั้นที่ 4 ปริตตาภาภูมิ ปริตตะแปลว่าน้อย ก็ค่อยเพิ่มปัญญาไปทีละน้อย จนมีปัญญา หาที่สุดมิได้
ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ แม้ตอนนี้อาตมาก็ยังส่องแสงสว่างเป็นปัญญาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ ก็จะเกิดความประภัสสร เป็นความสะอาดสว่างสงบ ที่รุ่งเรืองโชติช่วงชัชวาลไปเรื่อยๆ นี่คือสภาวะธรรมทั้งหลายของความเป็นพรหม
สายเจโต
หมวด 3
ขั้นที่ 7 ปริตตาสุภา ซับซ้อนเข้าไปอีก ไปหลงความทุกข์เป็นความสุข
ขั้นที่ 8 อัปปมาณาสุภา ก็ไม่มีที่สิ้นสุดเป็นแสงสว่างที่ทับซ้อน แต่คนหลงว่าเป็นแสงสว่าง ก็เป็นความมืดซ้อน ก็พยายามแก้ไขช่วยเหลือให้ออกมา ให้เป็นแสงสว่างจริงๆ ก็ล้างออก
ขั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ มีอีกเท่าไหร่ก็ล้างออกไปอีกจนกว่าจะเป็น
ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ เป็นผลที่งอกงามไพบูลย์เจริญสูงสุด ไม่เป็นอสัญญีสัตว์
ชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ อสัญญีสัตว์ไม่เรียกพหรม เรียกเป็น สัตว์ แต่ไม่คิดไม่นึกอะไรไม่มีสัญญาดับสัญญาอยู่ในภพ ไม่เอาแบบนี้
สุทธาวาส 5
ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ เราท่านที่ไม่เสื่อมจากผลของตนก็ไปยึดมั่นถือมั่นอยู่ตรงนั้น
ชั้นที่ 13 อตัปปาสุทธาวาสภูมิ ผู้บริหารประเทศที่มีภูมิของอนาคามีขึ้นไปจะแจ๋วเลย แต่เขาเข้าใจไม่ได้หรอก เป็นพระอรหันต์หรือนักธรรมะจะไปยุ่งกับการเมืองได้อย่างไร ให้คนศึกษา ธรรมะแล้วเอาของไปทิ้งเปล่าได้อย่างไรทำไม ก็ธรรมะพระพุทธเจ้าให้คนได้และคนได้ต้องเอาไปช่วยบ้านเมืองช่วยพลเมือง อาตมาไม่เอากับพวกคุณหรอก พวกโง่อยู่อย่างนั้น
ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นสำหรับมนุษย์ ไม่ใช่ว่าธรรมะไม่เกี่ยวกับคนไม่เกี่ยวกับคนไม่เกี่ยวกับสังคมไม่เกี่ยวกับการเมืองไม่เกี่ยวกับพลเมือง ทำไปหาสัตว์เดรัจฉานหรือว่าดินน้ำไฟลมที่ไหนธรรมะของคุณ แต่ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าต้องเพื่อมนุษยชาติ การเข้าใจแบบพิกลพิการอย่างนั้นตัวเองก็เสียหาย ต้องทำความรู้ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
ชั้นที่ 14 สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ ยิ่งเจริญงอกงามในภูมิปัญญายิ่งขึ้น เป็นผู้ที่มองเห็นงดงามน่าทัศนา
ชั้นที่ 15 สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ ยิ่งเจริญสูงขึ้นกว่าอีก เป็นผู้ที่มองเห็นชัดเจน ทัสสี ยิ่งชัดเจนแจ่มชัดดีขึ้นอีก จนสุดท้าย
ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ ยังถือว่าอกนิกฐา คือยังเรียกว่าน้องยังไม่เป็นตัวพี่เพราะว่ายังไม่เจาะกระเปาะไข่ออกมาเป็นตัวแรกจึงเรียกว่าน้อง ถ้าเจาะกระเปาะไข่ออกมาก็เป็นตัวพี่เลยไม่ใช่ตัวน้อง
ถ้าเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิก็ไปจมเป็นภพชาติเลย ส่วนพวกสัมมาทิฏฐิก็เป็นอนาคามี 5 ภูมิ
อธิบายไปเพื่อให้รู้ว่าตัวเราเองอยู่ในภพภูมิไหน พยัญชนะก็ใช้สื่อสภาวธรรม รู้เสร็จแล้วก็ทำให้จบ จบแล้วก็รู้พยัญชนะต่างๆ ผู้ที่บรรลุแล้วก็จะรู้จักพยัญชนะไปด้วยแล้วรู้จักสภาวะทั้งหลาย เราก็ผ่านสภาวะนั้นหลุดพ้นมาครบทุกสภาวะ พ้นจากสุทธาวาสก็เป็นอรหันต์
อาตมาอธิบายอรหันต์มาตลอด แล้วตีผู้ที่หลงผิด ว่าอย่าไปหลงจมอยู่กับความผิด ตีตัวนี้ ตีพวกที่นั่งหลับตา
ในยุคของพระพุทธเจ้า ท่านก็ตีได้จนกระทั่งสร้างศาสนาพุทธเสร็จ อาตมามาถึงยุคนี้ ศาสนาพุทธมีอยู่แล้วแต่ได้หลงผิดเพี้ยนจนกระทั่งจมอยู่ในหลุมเบอร์มิวด้าดึงไม่ขึ้นอยู่นี่ อาตมาก็ดึงอยู่ จะมีอยู่ที่บ้านราชฯ 777 คนหรือไม่ นับไปนับมาเวียนไปเวียนมาเดือนหนึ่ง
อยู่กับที่ประมาณ 3-4 ร้อย คนที่เวียนไปเวียนมาอีกเอาสมาชิกชาวอโศกจริงๆจะได้สัก 777 คน แต่ผู้ที่ไม่มาเลยก็มีมากกว่า 777 อยู่ ไม่เคยมาหรือไม่ค่อยมาฟังแต่ดูโทรทัศน์ มามั่งสิ มาสัมผัสของจริง
ที่นี่มีทั้งเสนาสนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะที่เป็นมิตรสหายดีสิ่งแวดล้อมดี มีทั้งอาหารที่เป็นเครื่องอาศัย ที่เป็นเหตุปัจจัย ของกินของอยู่ ยารักษาโรค มีทั้งจิตวิญญาณของผู้ที่ มีแต่มิตรไม่มีศัตรูเลย ทะเลาะกันบ้างนิดหน่อย แต่เป็นศัตรูที่หนักใหญ่หยาบเข้ามาอยู่ในนี้ไม่ได้ มีศัตรูที่เล็กๆน้อยๆ ง็องๆแง๊งๆ ทะเลาะกันบ้างยังไม่รุนแรง
เสนาสนะนี้มีทั้งบุคคลและเครื่องอาศัย มีธรรมะอันสัปปายะ มีคุณธรรมมีสัจธรรมมีอุตตริมนุสสธรรมอยู่ในนี้มีโลกุตรธรรม มาสิมาอย่าช้าอยู่ไหนรีบมา ก็เลือกแต่คนที่จะมาถือจอบเสียม คนที่จะถือแฟชั่นถือเพชรพลอยก็ไม่มา ถือแฟชั่นราคาแพงถือแบรนด์เนม ไม่เอา เอาจอบเอาเสียมมาเพื่อจะลงติดดิน เราจะพาเป็นเช่นนี้
อาตมาทำงานมา 30 40 ปีจะ 50 ปีแล้ว อาตมาเคยสรุปแล้ว ว่าอาตมาได้ผลเป็นที่น่าพอใจแล้ว แม้จะตายลงในวินาทีนี้ อาตมาก็คิดว่าได้ผลสำเร็จพอสมควร เพราะได้ปลูกฝังเอาถึงขั้นมหาชมพูทวีป มาหยั่งลงในประเทศไทยแล้ว ย้ายจากอินเดียมาเสร็จ ที่อื่นในโลกไม่มี ไม่มีประเทศไหนเป็นชมพูทวีป มีประเทศไทยที่เป็นชมพูทวีป อินเดียที่เป็นแหล่งเกิดเนปาลที่เป็นแหล่งเกิดไม่เหลือแล้ว
มีแต่ผู้ที่หลงตนเองว่าเป็นพุทธ ศาสนา หอบเอากรงขี้ไก่ เอาไปสร้างให้แก่อินเดียว่าเป็นวัดพุทธ ชาวอินเดียเขาไม่รับนะ วัดพุทธในอินเดีย อย่างน้อยไปกินเนื้อสัตว์มูมมามชาวอินเดียเขาก็ไม่เข้าแล้ว ชาวพุทธไม่กินเนื้อสัตว์ชาวอินเดียก็รู้ ทั้งที่พุทธศาสนาชมพูทวีปย้ายมาอยู่เมืองไทยเขาก็ยังรู้เลยว่าชาวพุทธไม่กินเนื้อสัตว์ แค่นี้ก็ยังไม่รู้ นอกนั้นก็อยากไปสร้างวิมานหาทางเรียบร้อยเงินทองอะไรอยู่อีก สรุปแล้วมันก็ไปถล่มทลายเถรสมาคม
ยุคนี้จริงๆแล้วจะไม่มีใครที่มา อาสโภ องอาจแก้วกล้าที่จะพูดอย่างสมณะโพธิรักษ์ที่จะตีเถรสมาคม แล้วกว่าอาตมาจะพูดได้อย่างแข็งแรงแกล้วกล้าอาจหาญก็ต้องรอไปถึงตอนนี้ 50 ปีแล้ว หากตอนนั้นอาตมาพูดอย่างนี้ก็ตายแล้ว แต่ตอนนี้อาตมามีภูมิคุ้มกันสูงแล้ว พูดได้แล้ว
เดี๋ยวนี้จะไปฟ้องศาลโลกนี่
อาตมาก็ขอไขความ ศาลยุติธรรมในเมืองไทยถึงจะเป็นศาลโลกที่แท้ศาลโลกภายนอกนั้นมีแต่เทวนิยม มีเจตนารมณ์เป็นที่ตั้งไม่ถึงหรอก เพราะของพวกนั้นจะไม่รู้จักเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เขาจะไม่มีความรู้เหล่านี้เลย
ทั้งเจตนาที่จะเป็นเจตนา 3 ที่เป็น กาม ภว วิภวะ เขาแยกไม่ออกหรอก เขาไม่รู้จักเวทนา 3 นี้ ไม่รู้จักเจตนาบริสุทธิ์ที่วิภวตัณหาเป็นตัณหาที่ไม่มีภพชาติ เขาทำไม่ได้เขาไม่รู้เรื่อง
ถ้าจะตั้งศาลจริงๆ ก็ต้องศาลชาวอโศก แม้ศาลในเมืองไทยก็ยังเป็นเทวนิยมไม่น้อย แต่ผู้พิพากษาจะฟังอาตมาได้ดี ถ้าไม่อคติว่า อาตมาถูกเถรสมาคมปกาสนียกรรม หากตัดอันนี้ออก ก็จะฟังอาตมาด้วยดี เทน้ำชาออกจากถ้วยให้หมดแล้วมาฟังอาตมา ผู้พิพากษาจะได้ฟังสิ่งที่ถูกต้องสิ่งที่ดี
อาตมาทุกวันนี้พูดใหญ่มากยืนยันหนักแรงมากเหมือนคนหลงตัวหลงตนสูง แต่อาตมาขอยืนยันว่าไม่ได้หลงตัวหลงตน แล้วอาตมาไม่ได้อยากใหญ่ ไม่ได้มีความกระสัน ไม่ได้มีความปรารถนาพวกนี้ อาตมามาทำสัจธรรม เอาสัจธรรมปลูกฝังลงแทนแดนที่เน่ามากแล้ว พยายามปรับขึ้นมา ปรับทั้งดิน น้ำ ไฟ ลม เพื่อให้พืชพันธุ์ธัญญาหารที่เป็นธรรมะ เจริญงอกงามขึ้นมาเป็นโลกุตรธรรม ได้แล้ว มีชาวอโศก มีคนจำนวนหนึ่งที่ได้รับมรรคผลอันนี้แล้วจริงจัง แล้วก็อยู่เย็นเป็นสุข อย่างคนวรรณะ 9 ที่สัมผัส วิโมกข์ 8 ด้วยกาย
วรรณะ 9 ที่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายคือ เป็นผู้ที่รู้ กาย
กาย คือข้างนอกและข้างใน
ข้างนอก เอาวิโมกข์ 8 มาขยาย
-
ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ) ผู้มีรูปย่อมเห็นรูปทั้งหลาย คนตาบอดไม่มีรูป ย่อมไม่เห็นรูปทั้งหลาย เพราะฉะนั้นคนตาบอดจึงปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าเป็นอรหันต์ไม่ได้ เพราะไม่ครบทวาร 5 แค่ทวารเดียวนะ หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสก็ยังดีนะ แต่ก็คือผู้ไม่มีรูปเพราะตาบอด คือสัมผัสทางตาไม่ได้
แตงโมก็คือแตงโม ฟักข้าว พวกคุณนั่งอยู่ หรืออะไรที่ตาเรากระทบกับแสงที่สะท้อนมากับรูป ผู้ที่มีรูปต้องเห็นรูปทั้งหลาย เป็นการบังคับเลย การปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าต้องมีวิโมกข์ 8 ต้องสัมผัสภายนอกภายใน คุณตาดี คุณต้องลืมตา รูปมีให้คุณสัมผัส ปัสสติคุณต้องเห็น ข้อจำกัดของวิโมกข์ 8 ข้อที่หนึ่งหากคุณไม่เข้าใจไปนั่งหลับตาก็โมฆะมองต่างจากศาสนาพุทธทั้งหมด แม้แต่วิโมกข์ 8 ข้อที่ 1 ก็จบแล้ว คุณไปหลับตาก็ไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ข้อที่ 1 มีรูปแต่คุณก็ไปหลับตาปฏิบัติตาดีก็ทำให้ตาบอด แล้วมันจะไปได้เรื่องอะไร ปัสสติไม่มี ไม่เห็น
ตาดีไม่เอา แต่ทำตาบอด รูปมี กูก็ไม่ดู ก็ไม่รู้เท่านั้นเอง
-
ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66) ย่อมเห็น รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี . เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) . (พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)
เขาแปลเพี้ยนไปหมด
อัชฌัตตังคือภายใน พหิทธาคือภายนอก ภายในมีทั้งรูปและอรูป
อัชฌัตตังคือภายใน รูปก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจภายใน ผู้มีสัญญีต้องกำหนดรู้เห็นทั้งภายนอกและภายใน และการเห็นภายนอกภายในนี้ไม่ขาดจากกาย ไม่ขาดจากสัมผัสภายนอก แม้คุณจะเห็นรูปหรืออรูป อนาคามีไม่ใช่คนตาบอดที่หลับตา แต่เป็นคนลืมตา แต่ในกามภพเหนือมันหมดแล้ว เห็นรูป ที่เป็นรูปาวจร อรูปาวจร ก็เห็นภายนอกภายในครบพร้อม สัมผัสวิโมกข์ 8 ครบทั้งภายนอกภายใน
การปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่เคยมีในการนั่งหลับตาเลย สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยการไม่เคยมีการนั่งหลับตา ย้ำอีกครั้งที่ 84000 ว่าการไปนั่งหลับตานั้นเลิกเลยมันไม่มีในศาสนาพุทธ ที่ว่าสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายนี้ ข้อ 2 นี้ยิ่งชัดเจนว่ามีทั้งภายนอกภายในมีทั้งรูป รูปได้หมด
-
ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ อธิมุตโต . โหติ, หรือ อธิโมกโข โหติ (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)
พตปฎ. ล.10 ข.66 / ล.23 ข.16
สุภันเตวะอธิมุตโตหรืออธิโมกโขก็แล้วแต่ น้อมใจเป็นของงามเขาแปลเช่นนี้ แต่อาตมาแปลว่า ผู้นั้นมีโชคดี จิตใจก็เจริญโน้มน้อมไป จิตใจมันมีทิศทางเจริญไปในทางนี้ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้นๆ ถ้าใช้คำใหญ่ก็เรียกว่า สัมโพธิปรายนะ ไปสู่ที่สูงที่สุดแต่ถ่ายเดียวเลย
นี่เป็นวิโมกข์ 8 สามข้อที่สำคัญ
จากนั้น
ข้อที่ 4 5 6 ก็เป็นขยายความ
-
ผู้ล่วงพ้นรูปสัญญา(พ้นรูปฌาน) เพราะดับปฏิฆสัญญา จะต้องเริ่มเอาปฏิฆะก่อนเพราะ ไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง จึงบรรลุอากาสานัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่าอากาศหาที่สุดมิได้ (สัพพโส รูปสัญญานัง สมติกกัมมะ ปฏิฆสัญญานัง อัตถังคมา นานัตตสัญญานัง อมนสิการา อนันโต อากาโสติ อากาสานัญจายตนัง อุปสัมปัชชะ วิหรติ)
กำหนดรู้อัตตาทั้งหมด แล้วก็ทำให้หลุดพ้น ในนานัตตสัญญา ให้พ้นหมดดับความไม่ชอบใจทั้งหมดจึงบรรลุ อากาสานัญจายตนะ
-
ผู้ที่ล่วงพ้นอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง จึงบรรลุวิญญาณัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า วิญญาณ หาที่สุดมิได้ (สัพพโส อากาสานัญจายตนัง สมติกกัมมะ อนันตัง วิญญาณันติ วิญญาณัญจายตนัง อุปสัมปัชชะ วิหรติ ฯ)
จิตอาตมามีแต่ความว่างตลอด ไม่มีอะไรสะดุดเลย มีกระทบกระแทกกระเทือน แต่จิตอาตมาก็ว่าง ไม่สะดุด ผ่านไป ใครจะมาสะดุดอาตมาก็รู้หมดใครเอาขี้หมาหรือระเบิดมาโยนใส่แต่อาตมาก็รู้ว่ามีอะไร จิตอาตมาไม่มี แต่รู้ว่ามีอะไรมา รู้ความจริงตามความเป็นจริงชัดเจน เขาโยนขี้หมามาอาตมาก็เอามาทำปุ๋ย เขาโยนอิฐก้อนหินมาก็ทำเป็นพื้น เอายาพิษมาก็เอามาสะกัดเป็นเซรุ่มเป็นประโยชน์ ไม่เอามาทำลาย ตัวเองมีภูมิคุ้มกันมีความรู้
คุณโยนยาพิษเข้มข้นมารู้เรามีภูมิคุ้มกันก็เอามาทำเป็นยา โยนแก๊สน้ำตามาก็แสบ เป็นสรีรทุกข์ มันทำปฏิกริยากับสรีระ ก็รู้ ไม่โง่นะ อาตมาไม่เก่งเจโตสมาธิ หากอาตมาเล่นพวกนี้ไม่แสบได้ แต่อาตมาเลิกเล่นแล้ว เคยเล่นจนหนังเหนียว อิทธิปาฏิหาริย์มี แต่อาตมาไม่เอาแล้ว สู้สามัญปกติดีกว่า
อาตมาเคยถูกรถยนต์ชน แต่อาตมาหนังเหนียว ขาควรมีเนื้อแตก อาตมาก็วิ่งแรง รถชนขาอาตมา อัดขาอาตมาเข้ากับหม้อน้ำมอเตอร์ไซค์ใหญ่ดักลาส คันเบ้อเร่อหม้อน้ำใหญ่มอเตอร์ไซค์กระเด็นไปเกือบร้อยเมตร แต่ดีที่พี่ลอยเหนือรถ รถเลยไม่ทับ เสร็จแล้วอาตมาขาไม่แตก แต่รักษาอยู่ไม่รู้กี่เดือน รักษาด้วยน้ำมนต์ด้วยพลังงาน ไม่ได้รักษาทางวิทยาศาสตร์เลย ตอนนั้นเล่นไสยศาสตร์ แต่ขนาดนั้นก็ยังใช้ขี้ผึ้งที่เข้ายันต์ อยู่ตั้งหลายเดือนกว่าจะหาย หากแตกคงรักษาแผลสดไม่หาย ต้องใช้ไม้ค้ำยัน
-
ผู้ที่ล่วงวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวงจึงบรรลุอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร (สัพพโส วิญญาณัญจายตนัง สมติกกัมมะ นัตถิ กิญจีติ อากิญจัญญายตนัง อุปสัมปัชชะ วิหรติ)