ต.ค.92019ศาสนา621009_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ โพธิสัตว์นั้นสูงกว่าอรหันต์ อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1q3SFdor1CgNt5iMjHdev5Un6SZ9JXHecNWq4WU5w9Vs/edit?usp=sharing ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1-b4Irj946pw9AGSUeFaB5w5C4fQzbHnp สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันพุธที่ 9 ตุลาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ออกพรรษาปีนี้พิเศษจะมีมหกรรม Big cleaning Day ใครจะมาออกพรรษาที่นี่ก็เชิญ ทำความสะอาด 3 วันอาจจะยังไม่เสร็จ คงจะต้องทำไปเรื่อยๆ พ่อครูว่า…อะไรๆเห็นอันโน้นอันนี้ก็น่าเอามาอธิบายน่าเอามาพูดแจกแจงให้ฟังกัน มันเลยเยอะแยะเป็นของดี ก็ทำไป จะอยู่อีกกี่ปีกี่เดือนก็ทำไป SMS วันที่ 7 ต.ค. 2562 (สะมะปี๋ ซี๋วิต : บ้านราช) สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน โพธิสัตว์นั้นสูงกว่าอรหันต์ _พระโย ปฐมธรรม : คำว่าพีชะ ที่ท่านอ. อ่านอยู่นั้น คือ การร่วมความเห็นในข้อที่เห็นด้วยกับที่ท่านอ.ได้อธิบายใว้ในคลิปเก่าครับท่านอ. ไม่ได้ค้าน แต่เห็นด้วยครับ ข้อว่า กิเลสอยู่ภายนอก คือ นอกจากจิต จิตกับกิเลสคนละตัวกันครับ แต่กิเลสนั้นปรุงแต่งอยู่ร่วมกันกับตัวจิตครับ ข้อนี้จะว่ามีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่ หมายความว่า เรากับกิเลสเหมือนอยู่คนละโลกตามที่อ.แสดงใว้ ผมใช้คำไม่คล่องแคล่วครับ ขอบคุณครับ โยมพ่อที่ช่วยให้ความหมายกับ พ่อท่าน แม้กิเลสก็มีอาหาร ถูกต้องครับพ่อ แปลเก่งจัง เอ้ โยมพ่อ ผมรบกวนเวลาพ่อท่านหรือเปล่า ไม่นึกเลยว่าพ่อท่านจะสนใจอ่านน่ะครับ ขอบคุณพ่อท่าน พ่อท่าน ผมขอถามครับ ทำไมบางครั้งพ่อท่านบอกว่าเป็นพระอรหันต์แต่บางครั้งบอกเป็นพระโพธิสัตว์ครับ อันนี้ผมไม่ได้มีจิตติเตียนอะไรพ่อท่านเพราะ หากทุกๆคนสำเร็จได้ โลกนี้มีแต่ความสุข ไม่มีใครเป็นทุกข์หรอกครับ ขออภัยครับพ่อท่านที่ถามตรงๆ พ่อครูว่า…ก็มันเป็นลำดับอยู่ คำว่าอรหันต์กับคำว่าโพธิสัตว์ โพธิสัตว์นั้นสูงกว่าอรหันต์ ให้ชัดเจน พระอรหันต์คือผู้ที่มีความรู้ที่เป็นโพธิ เริ่มต้นมีความรู้และลดกิเลสได้ ยังไม่ถึงอรหันต์ก็เป็นอรหัตตผลตามลำดับ อรหันต์แปลว่าความไม่ลึกลับ ผู้ที่ถึงความไม่ลึกลับแล้วรู้แจ้งแทงตลอดกิเลสเป็นเช่นนี้ วิธีดับกิเลสเป็นเช่นนี้ กิเลสมันลดลงไปเรื่อยๆเป็นอรหัตตผล ผู้ปฏิบัติเองจะรู้ได้ด้วยตนเป็นปัจจุบันว่าเป็นอย่างนี้ ผู้รู้แล้วดับกิเลสได้หมดสิ้นคือพระอรหันต์ อันตะ คือสูงสุด คือสิ่งที่ไม่ลึกลับทีละตัวๆ สูงสุดหมดตัวเลยเรียกว่าอรหันต์ แม้เริ่มต้นไม่เป็นอรหันต์ด้วยความเป็นโพธิสัตว์ เป็นพระโสดาบันเป็นพระโพธิสัตว์ระดับหนึ่ง ก็ลดกิเลสได้ในขั้นแรกเรียกว่าพระโสดาบัน เขาเรียกว่ามีอรหัตตผล ถ้ากิเลสมันดับไปหมดเลยตัวนี้ ก็เป็นอรหันต์สำหรับกิเลสตัวนั้น เช่นกิเลสสูบบุหรี่หมดสิ้นเกลี้ยงเลยไม่มีกิเลส เห็นบุหรี่ก็ไม่มีปัญหา หรือการติดหมาก เห็นเขากินหมากก็ไม่เกิดรสชาติอะไรไม่เกิดสุขเกิดทุกข์เลย โพธิสัตว์คือผู้ที่ได้ผลแล้ว เรียกว่ามีโพธิ ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าสอน เป็นผู้ที่มีมรรคผล คือโพธิ แปลว่าความตรัสรู้ โพธิสัตว์ไม่ได้หมายถึงสัตว์ใต้ต้นโพธิ์ แบบนั้นมันคือปุถุชนไม่ได้มีโพธิอะไร แต่อันนี้มีโพธิ ผู้ที่เป็นอรหันต์ตามลำดับก็เป็นโพธิสัตว์ที่สูงไปเป็นลำดับ โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อรหันต์คือผู้ทำจิตตนให้เป็นอุตุธาตุได้ ให้เป็นพีชธาตุได้ อยู่ในฐานะที่ทำจิตตนให้เป็นพีชธาตุได้ก็เป็นอรหันต์ได้ตอนเป็นๆไม่ตาย ไม่สุขไม่ทุกข์ได้ อาศัยพีชธาตุ มีชีวิตอยู่ แต่ถ้าตายลงไปแยกธาตุไม่ตั้งจิตต่อ ก็แยกธาตุจิตตนเองให้เป็นอุตุเลย ไม่ใช่แค่พีชะ ถ้าเป็นพีชะก็เป็นพระโพธิสัตว์ต่อไปได้เรื่อยๆ อรหันต์ที่สามารถทำจิตตนให้เป็นพีชะได้คือโพธิสัตว์ ถ้าตายแล้วไม่ตั้งจิตต่อ แยกจิตเป็นอุตุนิยามไปหมดเลย ผู้ทำตายเป็นปริโยสานเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตไม่ตั้งจิตต่ออีกเลย ไม่เหลือชีวะจับตัวเป็นพีชะหรือจิตนิยามอีกเลย จึงเป็นผู้สำเร็จกิจปรินิพพานเป็นปริโยสาน เมื่อกายสเภทา สิ้นลมหายใจในชาตินี้แล้วไม่ตั้งจิตต่อ คนนี้ก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานตายอย่างไม่หมุนเวียนอีกเลย คุณต้องรู้อาการจิต จับตัวอาการจิตให้ถูกต้องทำให้เป็นอุตุได้ ทำให้เป็นพีชะได้ถูกต้อง ก็อยู่กับโลกเขากระทบสัมผัสแต่เห็นจิตคุณไม่ทุกข์ไม่สุขเป็นกลางเป็นอุเบกขา มันไม่มีอาการสุขไม่มีอาการทุกข์ คุณเป็นคนทำได้ แล้วก็รู้อาการนั้นได้ จิตไม่ทุกข์ไม่สุขมีได้ 2 นัย นัยโลกีย์เป็นเคหสิตอุเบกขา ทำให้จิตกลางได้แต่ด้วยวิธีกดข่ม แล้วจิตคุณก็ทนได้เฉยได้ เพราะการข่มมีประสิทธิภาพมีผล แต่ไม่ได้ดับเหตุ ตัวอุปาทาน ตัณหา อุปาทานรู้ได้ยากกว่า มันอยู่ในสภาพ Static ตัวนิ่งสมถะ เรียกว่าเจโตก็ได้ศรัทธาก็เรียก เป็นธาตุไม่ระลึกรู้อยู่นิ่งเฉย ส่วนธาตุตัวเคลื่อนไหว มันเป็นธาตุคู่ของเทวะ ทางวิทยาศาสตร์เป็นพลังงานที่จับตัวกันอยู่ไม่แยกจากการเป็นธาตุ + ธาตุ – ธาตุจิตที่จับตัวแน่นแข็งเรียกว่าเจโตหรือศรัทธา ส่วนพลังงานที่เคลื่อนไหวอยู่คือพลังงานลบ ส่วนพลังงานกระแสบวกคือตัวเจโตหรือศรัทธา พอมาเป็นพืชก็มีชีวะมีบวกลบ แต่ไม่รู้ถึงขั้นจิตก็ควบคุมบวกลบแต่ไม่มีบาปเวรอะไร ไม่สามารถเอามาปรุงแต่งตัวเองได้ก็สูญพันธุ์ อาตมาเดินตามพระพุทธเจ้ามาก็เอามาขยายความให้ฟัง บรรยายมาจนถึงวันนี้ได้รายละเอียดมากขึ้น ต้องแยกเวทนา ว่าเป็นอาการอย่างไร อาการเนกขัมสิตเวทนากับเคหสิตเวทนา อาการสงบแบบโลกีย์กดข่ม แต่เมื่อเราล้างเหตุมันออกได้ ทำให้กิเลสลดได้เบาบางจนมันดับหมด ก็จะรู้ความเป็นจริงอย่างนี้ ส่วนพวกที่เป็นสมถะโลกีย์ดับๆๆแยกไม่ออกหรอก แยกว่าตัวนี้เป็นอาการตัณหา แล้วมีวิธีการพิจารณากับกดข่ม กดข่มพุทธใช้ด้วยเป็นธรรมดาสามัญ ไม่มีใครจะปล่อยกิเลสออกมาหมดหรอก มันเป็นสัญชาตญาณที่จะต้องเก็บไว้บ้าง กดข่มตามมารยาทสังคม แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน จนกระทั่งมาเป็นคน นอกจากกิเลสมันแรงจนมันไม่อายก็จะทำตามกิเลสเป็นไป แต่เป็นสัญชาตญาณของคนมีหิริโอตตัปปะมากกว่า จะมีสัทธรรม รู้จักความละอายรู้จักทำให้กิเลสลดหมด จนกระทั่งไม่ละอายเพราะว่ากิเลสหมดแล้ว แสดงออกก็มีแต่สิ่งที่ไม่ใช่กิเลส แม้เราจะพูดเหมือนเชิงอยากให้คนอื่นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เหมือนมีความอยาก แต่คนไปอ่านตามอาการว่าเรามีความอยาก ถ้าเราอยากให้คุณดีเราก็ไม่ได้มีตัวตนไม่ได้อยากเพื่อตัวเอง แต่อยากให้คุณได้ พูดโดยไม่มีตัวตนให้คุณหมดตัวตนแต่เราไม่มีตัวตน แต่ถ้าเกิดอยากได้แล้วหยิบมาไม่ได้ก็จองเวรจองกรรมก็มีกิเลสไปยึดเกินไป คนนี้จะเอาให้ได้ คนนี้เรารักเราชอบจะเอา คนอื่นไม่เกี่ยว ก็ลงทุนลงแรงกับคนนี้เท่านั้นก็เป็นรายละเอียด ต้องทำตามควร คนนี้ลูก คนนี้เราชอบ ก็ไม่ใช่ คนไหนมีภูมิธรรมควรได้ควรเป็นควรมี นั่นแหละก็ควรให้เขาอย่างยิ่ง ไม่ลำเอียงแม้มิตรสหายญาติก็ไม่ได้แยก แต่โดยสัจจะ มันก็มีความควรและไม่ควร คนที่อยู่ใกล้มีประโยชน์มีบุญคุณแก่กันก็ควรจะให้ก่อน มันก็มีเป็นลำดับเหมือนกัน ผู้มีแต่ภัยโทษแก่เรา เราก็ควรให้คนที่มีบุญคุณก่อน คนที่เป็นภัยเป็นโทษก็เอาไว้ก่อน พูดกันไม่รู้เรื่อง คนที่มีบุญคุณ ก็อาจพูดรู้เรื่องกว่า แม้แต่คนนี้มีบุญคุณมากกว่าคนนี้ แต่คนคนนี้พูดแล้วได้ประโยชน์ คนที่มีบุญคุณมากพูดแล้วไม่ได้ประโยชน์ก็เอาไว้ก่อน เอาไว้ช่วยกันทีหลัง ก็ไปตามลำดับ ก็ว่ากันไป นัยละเอียดมีเยอะมาก สรุป โพธิสัตว์สูงกว่าอรหันต์ เพราะโพธิสัตว์มีการบรรลุธรรมเป็นลำดับอรหัตตผลจนเป็นพระอรหันต์ เต็มสูงสุดคือหัน อันตะ แปลว่าที่สุด โพธิสัตว์ระดับต้นไม่ค่อยเก่งสอนคนอื่นไม่เก่ง แต่โพธิสัตว์สามารถสั่งสมภูมิที่ไปสั่งสอนคนได้ดีมากยิ่งขึ้น มีมากจนเป็นของตัวเองเลย ถึงขั้นสยัง หมายความว่าแม้เกิดยุคนี้ไม่มีโพธิสัตว์ไม่มีสัตบุรุษอื่นเลย คุณก็ทำของคุณเองได้ในยุคที่ไม่มีพระพุทธเจ้าเกิด ไม่มีโพธิสัตว์ที่เป็นพี่มาเกิด คุณก็เป็นผู้พี่เลย แสดงออกได้ แม้ไม่เป็นโพธิสัตว์ผู้พี่ แต่มีสยังอภิญญา มีของตนเองเลย ยุคนี้อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ก็เปิดเผยไปแล้ว โพธิสัตว์ผู้พี่ก็ควรแสดงตัวถ้ามี แต่โพธิสัตว์ที่ไม่สอนใครอยู่ส่วนตัว ก็น่าจะมาบอกอาตมาก็ไม่เห็นปรากฏตัว มีคนเข้าใจว่าสูงกว่าอาตมาแต่ไม่กล้าปรากฏตัว แต่เขาเชื่อว่าเขาสูงกว่าแต่ไม่กล้าบอกกล้าสอน หรือว่าเขากลัวน้องเสียใจเลยไม่ปรากฏตัว แต่เขาก็มีคนเชื่อคนคิดเอาเองนึกว่าตัวเองถูกแต่ไม่มีคนอื่นช่วยตัดสิน สรุปอรหันต์สูงกว่าโพธิสัตว์ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ _พิศิษฐ์ แซ่โง้ว : เวลาฟังอะไรจะไม่ตัดสินอะไรถ้าไม่มีหน้าที่หรือไม่ต้องการบอกใคร แต่ร่างกายมันจะฟ้องให้ทำตามความคุ้นชินสมัยอดีต แต่เดี๋ยวนี้กระผมนิ่งจนมันก็นิ่งตามทีละส่วนแล้ว โดยเฉพาะท้อง และหน้าอก มันจะครองใจเราให้ได้ อะไรกระทบก็ส่งมา เมื่อก่อนกระผมคิดว่าเป็นตัวตนกระผมแต่เดี๋ยวนี้ผมรู้แล้วว่าใจกระผมไม้ได้ดำเนินตามร่างกายหรือวิญญาณสังขาร มโนที่มันส่งให้ มันคนละส่วนกับกระผม พ่อครูว่า…หากไม่ตัดสินจะรู้ได้อย่างไร หากดำกับเทามันใกล้กันมากก็ไม่ตัดสิน ก็เลยไม่รู้ว่าอะไรดีกว่า หรือถูกกว่า ต้องเทียบธรรมะสอง อะไรดีกว่าอะไรอะไรถูกกว่า ไม่มีธรรมะ 2 ไม่มีทางเจริญในความรู้ เพราะมันมีมากมายที่จะเปรียบเทียบ อาตมาพูดถึงความเปรียบเทียบ 2 อันนี้สรุปลงเป็นเทวะ หากคุณตั้งจิตเที่ยง เก่งที่สุดได้เท่ากับศาสดาเทวนิยมองค์ใดองค์หนึ่ง เทวนิยมแยกเองไม่เป็น ทำตามแต่พระเจ้าสอนเท่านี้น ก็จะรู้แค่ที่พระเจ้าสอนไว้อย่างนี้ เทวนิยมจะรู้เท่าที่ท่องได้จำได้มากับพระเจ้า แต่จริงๆแล้วเท่ากับที่คุณต้องได้จำได้ของคุณเอง _น้องภูมิ ฝากคำถามถึงหลวงปู่ค่ะ “น้องภูมิเป็นไดโนเสาที่ชอบกินมาม่า แต่ไม่กินผัก หลวงปู่จะบอกอะไรกับน้องภูมิมั้ยครับ” พ่อครูว่า…ระวังจะเป็นไดโนเสาร์เป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่ได้เกิดเป็นคนต่อไป ถ้าเลิกกินมาม่ามากินผัก จะเป็นคนเจริญสมองดีจะเก่งแคล่วคล่อง เลิกกินมาม่ากินผักเยอะๆ _เมื่อก่อนผมคิดว่าเป็นตัวตนกระผม แต่เดี๋ยวนี้ผมรู้แล้วว่าใจไม่ได้ดำเนินตามร่างกายสังขารวิญญาณมโน มันคนละส่วนกับกระผม พ่อครูว่า…เป็นเรื่องตรรกะทั้งนั้นเลย เป็นนิรมาณกายชนิดหนึ่ง แบบนี้ เป็นลักษณะพวกเซน เป็นตรรกะทั้งนั้น ที่จริงคุณไม่รู้ว่าคุณมีตัวตน ตัวตนของคุณเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ก็มีความเห็นตรงกันกับคนอื่นก็เลยสัมโภคกายร่วมกัน แต่ต่างคนต่างไม่เห็นของใครของใครเรียกว่าอาทิสมาณกาย ต่างคนต่างสมมุติไปเองว่าไม่มีตัวตน แค่บัญญัติ อาการตัวตนคุณเป็นอย่างไรก็ไม่รู้เลย เห็นรูปนามที่คนสมมุติขึ้น นิรมาณกาย มาณ คือจิต นิร คือไม่มี มันไม่มีตัวจริง แต่คุณมี ยิ่งกว่าอากาสานัญจายตนะ ที่เป็นอรูปจิต คู่กับวิญญานัญจายตนะ ส่วนอากิญจัญกับเนวสัญญา คู่กัน แต่นี่คุณไม่มีรูปนาม มีแต่ 1 คือไม่มีตัวตน แต่นั้นแหละคุณมี ไม่ง่ายที่จะเข้าใจแต่ก็คิดว่าก็ไม่ยากเท่าไหร่ ถ้าผู้ติดตามฟังตามที่อาตมาว่า คนนี้คิดเป็นตรรกะตัวตนที่ไม่มีตัวตน นิรมาณกาย _คุณใบฟ้า..สมาธิพุทธหน้า 133 ปัจจุบันคืออนาคตของอดีต และปัจจุบันคืออดีตของอนาคต ปัจจุบันเป็นความจริงที่ทรงอิทธิพลสูงสุด ในการสร้างอดีตและอนาคตให้เจริญหรือเสื่อม อดีตไม่ใช่ความจริงเท่ากับปัจจุบัน อนาคตก็ยังไม่ใช่ความจริงเท่าปัจจุบัน พ่อครูว่า… อดีตไม่ใช่ความจริงเท่ากับปัจจุบัน อนาคตก็ยังไม่ใช่ความจริงเท่าปัจจุบันถ้ายิ่งปัจจุบันต่อเนื่องคือจุดๆๆปัจจุบันยังไม่ทิ้ง แต่เวลาปัจจุบันมันยิ่งเร็วกว่าจุด เพราะมันเร็ววินาทีหนึ่งสามแสนกม.ต่อวินาที เป็นความเร็วของแสง แต่ความเร็วของจิตนั้นยิ่งกว่าแสง ปัจจุบันจึงเป็นความจริงที่สุด คนไปนั่งหลับตามีแต่อดีตกับอนาคตเท่านั้น ปัจจุบันจะต้องมี จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก ต้องมีแสงสว่างมีการดำเนินไปของโลก หากไม่มีการกระทบสัมผัสไม่สามารถรู้อะไร อยู่ในภพแข็งทื่อไม่เอาประสาทมารับรู้มันก็ไม่มีอะไรเหมือนคนตายเหมือนท่อนไม้ ส่วนคุณแข็งทื่อข้างนอกไม่รับรู้แต่ปรุงภายในก็เป็นนิรมาณกายเป็นอดีตของคุณ ของๆคุณ คนที่ 2 คนอื่นๆไม่ได้ร่วมรับรู้กับคุณ แต่ถ้าสัมผัสร่วมกันร้อยคนพันคน ก็รู้ร่วมกันได้บอกกันร่วมกันได้ ว่านี่คือความจริง ทุกคนสัมผัสด้วยกัน จะเป็นภาษาคนละภาษาก็แล้วแต่ แต่เป็นสิ่งนี้สภาพจริงเหมือนกันหมด สัมผัสด้วยตาด้วยหูตาจมูกด้วยลิ้นด้วยกาย แต่จะเอาแต่ภายใน มันไม่ใช่ความจริงไม่ใช่ของปัจจุบัน นั่งหลับตาปฏิบัติไม่มีภายนอกเลย โมฆะ จากการปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าเพราะไม่มีรูปนามไม่มีภายนอกภายในพร้อมกัน มีแต่ภายใน จะถือว่าเป็นความจริงไม่ได้ ไม่มีปัจจุบันไม่มีสัมผัสนอกไม่มีภายใน คุณก็พูดกับใครไม่รู้เรื่อง จะไปสมมุติเป็นอนาคต จะปรุงแต่งเป็นอะไรอีกก็ได้ วิมานต่างๆนานาก็ได้ สมมุติของคุณเองยิ่งกว่าฝันก็ได้สารพัด สู่แดนธรรมว่า..สมมุติว่าไม่มีตัวเราก็ได้ พ่อครูว่า…นั้นแหละคือตัวมี ตัวที่คุณสมมุติเป็นนิรมาณกายของคุณเอง คนที่สองก็ไม่มีใครรับรู้ด้วย สู่แดนธรรมว่า…ถ้าเป็นอย่างพวกเรา ความไม่มีตัวตนอย่างพวกเราคนอื่นก็ต้องพิสูจน์ได้เห็นได้ว่าเราก็ไม่มีตัวตนจริง พ่อครูว่า…มันมีองค์ประกอบที่จะรู้ว่า มันเหมือนกับเรา เดี๊ยะเลย มันตรงกันทั้งสัจจะภายนอกภายในร่วมกัน ยืนยันกันได้ว่านี่ไงๆนี่สมุด ที่จริงมันหนังสือ ยกตัวอย่างห้องสมุดที่จริงน่าจะเป็นชื่อห้องหนังสือ เพราะมีแต่หนังสือให้ดู พ่อครูจิบน้ำ พ่อครูว่า…ยกตัวอย่างอบายมุข เราก็รู้เหตุปัจจัยองค์ประกอบ เช่นการพนัน ต้องรู้ว่ามีองค์ประกอบอะไรบ้าง เล่นไพ่ เป็นต้นก็มีตัวตนคุณไป แล้วคุณไปร่วมกับเขาไหม แต่ทุกวันนี้ก็มีคนเล่นการพนันแต่คุณไม่ได้ไปร่วมกับเขาเลย นอกจากไม่เอาร่างกายไปร่วมกับวงนั้นแล้ว ใจคุณก็เฉยๆ นี่คือบรรลุแล้วก็เห็นเขาเล่นเหน็ดเหนื่อย ชิบหายวายป่วง คนเล่นได้บ้างก็มีแต่สมบัติผลัดกันชม คนโกงเก่งก็มีคนที่โกงเก่งกว่าอีก สักวันก็มีคนเก่งกว่าเอ็ง ดีไม่ดีดวงไม่ดีก็หมด เก่งต่อเก่งแต่ดวงไม่ดีก็โทษดวง อาตมาเล่นมานักแล้วการพนัน เราก็ว่าเราเก่งแต่ทำไมดวงไม่ดี เล่นส่วนมากขาดทุน ความไม่มีตัวตนไม่ใช่เรื่องพูดเล่นด้วยตรรกะด้วยภาษาพยัญชนะ แล้วมันยาก บางคนไปติดพยัญชนะ ไม่ใช่ไปว่าคุณ แต่มันยังเป็นตรรกะอีกเยอะ ผู้ที่เขาเรียนรู้ทางเปรียญ 9 เป็นตรรกะอีกเยอะ เป็นด็อกเตอร์เป็นอะไรก็แล้วแต่ทางโลกมา ก็ได้ภาษาสมมติบัญญัติและสับสนระหว่างสภาวะ นึกว่าได้สภาวะแต่เขาได้แต่บัญญัติ อันนี้แหละบอกยากมากเลย บอกให้เขารู้ตัวว่าได้แต่บัญญัติได้ยาก เขายังเป็นผู้ที่เข้าใจสภาวะได้ยาก เรียกว่าสัญญาต่างกัน กายต่างกัน เพราะฉะนั้นจะมากำหนด จิตเจตสิก รูป สิ่งที่ถูกรู้เป็นขั้นนามธรรมก็จะสลับกันอีกเยอะ อาตมาอ่านหนังสือ พุทธธรรมของท่าน นี่เมื่อกี้ก็ยังอ่านก่อนมา ก็ยิ่งอ่านยิ่งเห็นว่าสัญญาของท่านกับสัญญาของอาตมาไม่ตรงกัน ท่านก็กำหนดเจตสิกต่างๆ สัญญาของท่านกับสัญญาของอาตมาต่างกัน เพราะฉะนั้นท่านจึงทำได้อย่างของท่าน คนที่จะมีตรรกะแล้วเข้าใจตรรกะได้เพียงตรรกะจะเยอะ คนที่เข้าใจตรรกะแล้วเข้าใจสภาวะด้วยไม่สับสนด้วย ลงตัวกันเลย สภาวะกับบัญญัติลงตัวไม่สับสน สภาวะกับบัญญัติลงตัวกันแล้วก็เป็นหนึ่ง เช่นเข้าใจอาการด้วยเวทนาสุขตรงกัน สัญญากับเวทนา ของท่านกับของอาตมาต่างกัน เพราะฉะนั้นท่านถึงจึงมีพวกที่มีบัญญัติเยอะ อาตมาจึงมีพวกที่เป็นสภาวะเยอะเป็นหมู่กลุ่มเป็นปึกแผ่นเป็นมวล ที่พูดถึงพยัญชนะจนกระทั่งถึงศูนย์ตรงกัน จนกระทั่งนี่สูญจากลาภ สูญจากยศ สูญจากโลกียะมา ถ้าไม่มีสภาวะจริงอยู่มาก็จะกดข่มอยู่ได้ไม่นาน แต่ถ้าใครไม่กดข่มอยู่ได้สบายๆ เป็นพระโสดาบันสกิทาคามี อย่างน้อยอาตมาเคยบอกว่าชุมชนของชาวอโศกเป็นชุมชนอนาคามีภูมิเป็นต้นไป ไม่ใช่แค่พระโสดาบันสกิทาคามี โสดาบันสกิทาคามีไปไปมามา พระโสดาอ่อนๆจะไปมากกว่ามา ถ้าอนาคามีภูมิเป็นต้นไปก็อยู่สบายอยู่ง่ายอยู่ดีอยู่รอดอยู่ได้นาน เพราะฉะนั้นอนาคามีไปถึงอรหันต์ คือคนในชุมชนชาวอโศก ถ้าพวกคุณมากดข่มอยู่นี่ คุณจะกดข่มอยู่กับอาตมาหลายคนก็ 30 40 ปีแล้ว ถ้าจะกดข่มต่อไปอีก อยู่เพราะเห็นแก่อาตมา หรือมีอาตมาอยู่ พออาตมาตายแล้ว ถ้าไม่จริงคุณก็ไป มันมีนัยหลายนัย ไม่อธิบายต่อ มีอีกหลายเหตุปัจจัย สรุปแล้ว อรหันต์คือผู้ที่อยู่ได้โดยที่ สิ่งแวดล้อมขนาดนี้พอ เหลือเฟือ ใครว่าชาวอโศก ชุมชนชาวอโศกอุดมสมบูรณ์ยกมือขึ้น พวกนี้อยู่ได้ จริงๆแล้วเจ้าอโศกไม่ได้อุดมสมบูรณ์แต่เหลือเฟือ เพราะคุณเอาเข้าส่วนกลางไม่เอาเข้ากระเป๋าตัวเองมันมีแค่นี้จึงเหลือเผื่อ กินใช้แค่นี้ไม่มาก แต่ถ้ามันมีแค่นี้แต่พวกคนเอาเข้าไปเป็นของส่วนตัวมากมันก็ไม่พอมันก็มีน้อย แม้เราไม่สร้างมากเราก็มีมาก แต่พวกเราขยันด้วยสร้างด้วยแล้วไม่เอาเป็นของตัวด้วย มันเลยเหลือเป็นกองกลางเยอะ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องลึกลับมันเป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้นพวกเราสร้างกัน จริงๆแล้วไม่ได้สร้างเก่งกันเท่าไหร่แต่พวกคุณไม่ได้เอาเป็นของส่วนตัว มันเลยเป็นของส่วนกลางเยอะ คนข้างนอกมาเห็นก็เลยนึกว่าเยอะ ถ้าแบ่งกันเป็นสัดส่วน เอาแบคโฮ 800 แยกกันเป็นคนละชิ้นก็ไม่ได้หรอก มีตัวเดียว แบคโฮ 800 400 คนนี้ได้ล้อ คนนี้ได้ตีนตะขาบ ก็จะไปได้เรื่องอะไร หรือแม้แต่ปลูกผักพืช ทุกคนก็แค่กินไม่ได้สะสม ไม่ได้เอาไปบ้าน แต่ถ้าคนแต่ละคนเอาไปบ้านคนละมัดก็จะไม่พอ แต่คุณก็กินแต่ท้องอิ่ม แต่หากกินแล้วเอาไปบ้านด้วย ก็จะไม่พอ _ในสังคมชาวอโศก ปัญหาที่เรื้อรังมานานคือการหลงผิดว่าความฉลาดเฉโก นั้นแหละคือปัญญา ทำให้ผู้หลงผิดดังกล่าวพุ่งเพ่งกับการทำความเข้าใจพยัญชนะกับภาษา ที่เพียงแต่เกี่ยวโยงกับธรรมะเท่านั้น ไม่มีอุปการะ ต่อการเกิดสภาวะธรรมของจิตเลย พฤติกรรมดังกล่าว เป็นพฤติกรรมที่ ลัดขั้นตอน เพื่อไขว่คว้าเอาตัวปัญญามาครอบครองให้ได้เร็วที่สุด ผลลัพธ์ดังกล่าวคือการเจริญขึ้นของอุปกิเลส 4 ตัวคือ มายา สาเฐยยะ ถัมภะ สารัมภะ หาได้เกิดปัญญาขึ้นภายในจิตของคนนั้นไม่ เพราะพฤติกรรมไม่ได้เกี่ยวโยงกับจรณะ 15 เหมือนขั้นบันไดที่พาให้เป็นปัญญาตามวิถีทางของพุทธศาสนาเลย พ่อครูว่า..คนที่พูดมาพูดถูก ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติตามจรณะ 15 เหตุปัจจัยหนึ่ง เกี่ยวกับสัตว์ ศีล 1 ศีล 2 เกี่ยวกับของ มีวัตถุกับพืช ไม่ใช่สัตว์ ผู้แยกสภาวะของพืชกับสภาวะของสัตว์ไม่ได้ คนนั้นไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ถ้าคนนี้แยกสภาวะ จิต พืช อุตุ ไม่ได้ก็ตายปรินิพพานเป็นปริโยสานไม่ได้ ขออภัยอย่างมหาบัวไม่ได้มีความรู้เรื่องนี้ แยกกาย แยกจิตเจตสิกเหล่านี้ออกไม่ได้จริงแล้วจะทำใจตนเองได้อย่างไร เป็นๆแยกไม่ได้ตายจะไปแยกได้อย่างไร ต้องแยกก่อนตาย เพราะฉะนั้นจึงตายด้วย ฌาน 4 ฌาน 4 เป็นกลางเป็น 0 ทำจิตเป็น 0 อุเบกขา ฌาน 4 คือจิตแยกไม่มีบวก หรือลบ นิวตรอน 0 การสะกดจิตให้ 0 ไม่ได้แยกเลย แต่ผู้แยกธาตุจริง รู้จัก กาย เวทนา จิต ธรรมทุกอย่างแม้แต่จิตที่เป็นฐานร่วม มุทุธาตุ มีทังเจโตและปัญญา ปัญญาก็แยกธาตุเจโตแยกจิตเจตสิก แยกให้เป็นอาการจิตที่ไม่เป็นธาตุรู้สึกเลย ไม่เป็นธาตุรู้เลย ธาตุรู้สึกคือเวทนา ธาตุรู้ครบคือวิญญาณ วิญญาณจะมี เวทนา สัญญา สังขารร่วมด้วย เวทนากับวิญญาณนี้ต่างกัน อาตมาอ่านพุทธธรรมของท่านปยุต ท่านก็กำหนดเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณต่างกันกับเขา แล้วท่านจะแยกธาตุอุตุได้หรือไม่นะ อาตมาแยกธาตุอุตุได้นะ ไปอ่านที่ท่านบรรยายเอาไว้ถึงอุตุ พีชะ ไม่มี ก็อธิบายไว้นิดเดียว (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) สมณะฟ้าไท…กำลังอธิบายถึงสภาวะอุตุ พีช พ่อครูว่า…ก็ต้องขอคารวะท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ ไปกล่าวพาดพิงถึงท่านก็ขออภัยที่เอามาใช้อ้างอิงโดยไม่ได้ขออนุญาต แต่ท่านคงจะอนุญาตเพราะท่านเป็นคนซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อวิชาการทางการศึกษา อาตมาเห็นความตรงของท่านจึงได้ยอมรับ ท่านเข้าใจอย่างนี้ก็ว่าอย่างนี้ หากท่านเห็นใหม่ก็เปลี่ยน ยกตัวอย่างท่านยังเห็นดีเห็นงามในการครองผ้าสีเหลืองสีแสด อุตุ ท่านแปลว่า กฏธรรมชาติเกี่ยวกับอุณหภูมิหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ โดยเฉพาะดินน้ำฤดูกาลอากาศสำหรับมนุษย์ พ่อครูว่า…แท้จริงมันเป็นทุกอย่าง ความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า ถ้ายังแยกไม่ออก ว่าอุตุคือธาตุระดับไหน พีชะคือธาตุระดับไหน พีชะ คือ กฎธรรมชาติที่มีการสืบพันธุ์เช่นพันธุกรรมเป็นต้น พ่อครูว่า…ก็ไม่ผิด พืชนี่ต้องมีการสืบพันธุ์มีพันธุกรรม แต่มันมีเยอะกว่านี้ จิตนิยาม…แปลว่า กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการทำงานของจิต พ่อครูว่า…กำปั้นทุบดินท่านพูดไม่ผิดเลย กรรมนิยาม…แต่ว่ากฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับการกระทำของมนุษย์ ธรรมนิยาม กฎธรรมชาติที่ว่าด้วยที่เป็นผลการกระทำต่อการแห่งสิ่งทั้งหลาย พ่อครูว่า…ก็ได้ท่านเข้าไปใจไปตามลำดับ แต่ถ้าจริงมีความสำคัญมากเลยเรื่องนิยาม 5 แม้แต่เรื่องโยนิโสมนสิการ ท่านก็สัญญาคนละอย่างกับอาตมา ท่านแปลว่า เพียงความพินิจพิจารณาแยกแยะต่างๆ เป็นการวิจัยวิจารณ์เท่านั้น ทำไม่ได้ลงไปถึงมนสิการ คือทำที่ใจในใจเป็นแกนแล้วต้องทำให้ได้อย่างที่โยนิโสฯ คือแยกแยะพินิจพิจารณาอย่างถ่องแท้แยบคาย หยั่งไปลงไปถึงที่เกิดที่ดับ เรียกว่าโยนิโสฯ แต่มนสิการคือ ทำจิตให้เป็นอย่างที่เรารู้เป็นเชิงฉลาดเชิงปัญญา ส่วนมนสิการคือเจโตหรือใจ ท่านไม่ได้พูดลงไปถึงใจ ท่านมีแต่เหตุผล เพราะฉะนั้นจึงไปเห็นได้ว่าท่านไม่ได้ลงไปถึงจิตเจตสิก ท่านอยู่ถึงแค่เรื่องเหตุผลตรรกะความรู้ ขออภัยและขอบคุณที่พาดพิงถึงท่านเอามาอธิบาย อาตมาเคารพท่านจริงๆในส่วนที่ท่านเป็นภันเต แม้ท่านอายุน้อยกว่าแต่ท่านบวชก่อน แต่ท่านได้รับการยอมรับนับถือทางโลกมากกว่าอาตมาเยอะแยะ โยนิโสมนสิการ ท่านแปลว่า คือการทำใจในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณาสืบค้น ถึงต้นเค้า สาวหาเหตุผลจนตลอดสายแยกแยะออกวิเคราะห์ด้วยปัญญา _นักรบธรรม..ศาสนาพุทธสอนเรื่องกรรมเป็นอันทำ เมื่อผมมาลึกซึ้งถึงขั้นคิดว่าการที่ว่าพ่อครูว่าคนเราเกิดมาเป็นล้านๆชาติ ผมสงสัย ผมเพิ่งบรรลุเมื่ออ่านหนังสือดอกหญ้า ว่า พระเจ้าอโศก อดีตชาติท่านเป็นอรหันต์ แต่ท่านมาบำเพ็ญเป็นโพธิสัตว์แต่ท่านโหดเหี้ยมฆ่าคนได้ แต่ท่านต้องมาใช้วิบาก แม้เป็นโพธิสัตว์ก็ต้องมาใช้วิบาก พ่อครูว่า…ผู้ที่พระเจ้าอโศกมหาราชฆ่าก็ไม่ได้เป็นบาปของท่านทีเดียวแต่เป็นวิบากที่เขาต้องถูกฆ่า ไม่ได้หมายความว่าเป็นความโหดเหี้ยมหรือบาป แต่ท่านต้องมาแสดงเป็นตัวละครที่ต้องมาฆ่าคนที่มีวิบากเหล่านี้ ต้องมาทำงานนี้ เพราะมันเป็นบาปของคนที่ถูกฆ่า เพราะเขาทำลายศาสนา เขาบาปเหมาะสมถูกฆ่าด้วย ก็มีเหตุปัจจัยของมัน _เป็นที่น่าสังเกต พุทธศาสนาในเมืองไทย หากว่า เชื่อว่ามีสัตบุรุษผู้เป็นพระอรหันต์ แท้จริง แต่ก็หาได้มีลูกศิษย์จากสำนักไหน ก็ไม่ได้เคยได้ยินว่าอาจารย์ของอรหันต์แต่ละสำนัก รับรองตัวเองว่าเป็นสมณพราหมณ์ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 สยังอภิญญา อาตมาถือว่า อรหันต์ต้องพอรู้สัมมาทิฏฐิ 10 โดยเฉพาะข้อที่ 10 แต่นี่ยังไม่มีใครเลย ถ้าความรู้ของอรหันต์ กี่องค์ก็ต้องเป็นความรู้แนวเดียวกันตรงกัน แต่ถ้าเชื่อว่าอาตมาเป็นอรหันต์ คนแย้งก็ไม่ใช่ คนไม่แย้งก็ไม่แน่ อาตมาเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 อรหันต์ระดับอนุโพธิสัตว์ จะมาเป็นอนิยตโพธิสัตว์ก็เป็นอีกล้านชาติ บางชาติอายุ 20-30 ก็ตาย บางชาติอายุร้อยกว่า ก็มี สัมมาทิฏฐิ 10 ก็ไม่ได้แสดง แสดงว่าอรหันต์เหล่านั้นไม่มีสยังอภิญญา ทำไมอาตมากล้าบอก เพราะอาตมามีความจริง แต่ถ้าไม่จริงไม่กล้าบอกเดี๋ยวผู้รู้กว่ามาถล่ม อาตมามีความจำเป็น ไม่ได้อยากอวดแต่ต้องยืนยัน เพราะมันเข้าใจไม่ได้มันไม่ค่อยเชื่อ ถึงต้องยืนยันบอกว่าอาตมาเป็นอรหันต์ ทางสายอ.บัวก็บอกว่าอ.มั่นเป็นอาจารย์เขา อ.มั่นก็ต้องเป็นอรหันต์ แล้วอ.มั่นเป็นลูกศิษย์อ.เสา อ.เสาก็ต้องเป็นอรหันต์ อ.มั่นไม่ได้เน้นว่าตนเป็นอรหันต์ เพราะว่า มีความเชื่อกันว่าสอนกันว่าไม่ให้บอกกันว่าเป็นอรหันต์ เพราะฉะนั้นถึงได้แต่เดา อ.มั่นเป็นอรหันต์ที่ลูกศิษย์เดาเอา เพราะว่าอาจารย์มั่นไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ แม้แต่อาจารย์มหาบัว ก็บอกว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ ไม่ใช่ไปจับผิดหรือไปว่า แต่ต้องยืนยันความถูกต้องยืนยันความจริงไม่เช่นนั้นก็จะลงผิดกับความไม่ถูกต้องไปอีกเท่าไหร่ หลงผิดทอนเงินผิดก็ไม่เท่าไหร่ แต่นี่ไปหลงผิดว่า ผู้ที่ไม่ใช่อรหันต์นะบอกว่าเป็นอรหันต์ มันเป็นการทำลายศาสนา เป็นการแสดงบางทีแสดงออกไม่สมบูรณ์ หยาบๆด้วยซ้ำ เช่น อ.มั่นยังบอกว่ามีวิญญาณล่องลอยเป็นตัวตนอยู่เลย กลางคืนสอนเทวดาก็เป็นในฝันในนิมิต แล้วก็มีเทวดาเป็นชาวเยอรมันมาฟังธรรมท่าน ท่านก็สอน ก็ยังเป็นตัวเป็นตน เอาความฝันมาเป็นตัวตน แทนที่จะเป็นแค่นิมิตสิ่งแทน แต่ท่านก็ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเทวดา ท่านเข้าใจคำว่าเทวดาก็ไม่ได้ ขออภัยไม่ได้ลบหลู่ดูแคลน แต่พูดถึงสัจธรรมให้รู้ว่ามันใช่อย่างไร มันไม่ใช่อย่างไร เป็นความถูกต้องหรือไม่ถูกต้องอย่างไร อาตมาจึงจำเป็น เพราะไม่มีผู้ใดแสดงออกมา แม้แต่ในความเป็นจริงว่าตัวเองเป็น สยังอภิญญา แม้ไม่ถึงสยังอภิญญา เอาแต่สัมมาทิฏฐิมิจฉาทิฏฐิ 10 อย่าง ซึ่งมันไม่ง่ายที่จะอธิบาย ทินนัง เป็น พยัญชนะช่องที่ 3 past perfect tense สำเร็จผลแล้ว การทานสำเร็จ คุณได้ทำใจในใจของคุณถูกต้องไหม ว่าคุณทานแล้วจิตคุณได้ทาน แต่คุณยังมีเงินทอนนะ ดีไม่ดี ทานไป 10 บาทแต่จะเอาเงินทอน จิตคุณคิดจริงเป็นสาเปกโข จะได้ผลในชาตินี้ชาติหน้าชาติโน้นเป็นล้าน ยิ่งธัมมชโย ให้ราคามากเลย ได้เยอะนะเทกระบะ ปิดบัญชีโลกเปิดบัญชีสวรรค์ มันยอดรีดเลย หมดเนื้อหมดตัวเลย เอามาทำทานให้หมด อำมหิตจริงๆ ไม่เห็นแก่คนอื่นเลย แต่ธรรมกายคงไม่ขึ้นอีกแล้วเหมือนทักษิณ อ่านต่อ..หรือว่า ไม่ได้มีบารมีถึงสยังอภิญญาก็เลยไม่ได้ประกาศหรือว่าพระปฏิบัติในเมืองไทยไม่มีอรหันต์ผู้นั้นเลย ในเมืองไทย การประกาศว่าตัวเองไม่มีครูบาอาจารย์ไม่ได้เลยนะ เขาถือว่าผู้ไม่มีครูบาอาจารย์นั้นคือพระพุทธเจ้าองค์เดียว เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ คือพระพุทธเจ้าองค์เดียวซึ่งมันไม่ใช่มันมีขีดขั้นอยู่ ก็พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามีสยังอภิญญา เป็นผู้มีปัญญาอันยิ่ง ผู้รู้ มีพลังงานความฉลาดโลกุตระในระดับปัญญา ในระดับอภิญญา ก็ใช้คำว่ายิ่ง(พ่อครูไอตัดออกด้วย) สมณะฟ้าไท…เราเกิดมาไม่รู้ว่าโลกนี้ต้องมีสยังอภิญญา หากพ่อครูไม่มาอธิบายก็จะไม่รู้ว่ามีอย่างนี้ด้วยหรือ พ่อครูว่า…ในพยัญชนะของข้อ 10 ท่านบอกไว้ชัดว่า ผู้สยังอภิญญาไม่ใช่ สยัมภู สัมมาสัมพุทโธไม่ใช่สยัมภูด้วย แต่เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ รู้ได้ด้วยตัวเอง รู้แจ้งโลกรู้แจ้งธรรมด้วยตัวเอง รู้แล้วเอามาประกาศให้รู้แจ้ง สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ พวกคุณรู้แจ้งตามได้ _นักรบธรรม …แล้ว พระโพธิสัตว์ระดับไหนครับ ที่วิบากทางจิตวิญญาณไม่สามารถกล้ำกรายได้ ทางจิตวิญญาณ ไม่ไปหลงกับอะไรอีก พ่อครูว่า..เป็นพระอรหันต์ก็ต้องไม่ถอยแล้ว นิจจัง ธุวัง สัสสตัง เป็นโสดาบันก็เที่ยงแท้ได้ นิยตะ สัมโพธิปรายนะ มีขีดอยู่ในเกณฑ์ ถ้าแบ่งร้อย ตั้งแต่ 25% ก็ต้องมีแต่เจริญไป ถ้าเสื่อมลงๆก็ตกกรอบ ต้องสูงขึ้นๆจนถึง 50% เป็นโสดาบันที่สอบได้แต่ไปเรียนก็อาจหล่นได้ต้องได้ถึง 75% จึงเป็นนิยตะ เที่ยงแท้ ถ้าเลย 75% เป็นสัมโพธิปรายนะ โสดาบันนี้จะได้เป็นอรหันต์ คุณรู้จัก โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ให้ได้ก่อน อย่าไปรู้พระเจ้าอโศกมหาราชเลย คุณภูมิถึงแล้วหรือ เป็นความอยากรู้ของคนเกิน เรียกว่าอภิชัปปา จะช้ามากเลยอย่างคุณ ให้เลิกนิสัยนี้ ไม่งั้นคุณก็จะอยากรู้เกิน ไปรู้ทำไมทำให้ได้และควรจะรู้ไปตามลำดับ ซึ่งจะเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ถ้าแบบนี้แล้วจะช้ามากเลย เรียกว่า วิตักกจริต ศรัทธาเยอะแต่แถมเอาวิตักกจริตไปใส่ พยายามเอาปัญญามาแปะๆๆ คุณอยู่ในฐานศรัทธาดี แสดงออกนี้แสดงเชิงปัญญา แต่คุณปัญญาปลอม แต่คุณมีศรัทธาสูงเลยอยู่ได้ พยายามอย่าแสดงตัวว่ามีปัญญา ถ้าคุณทำโง่แล้วจะฉลาด หากทำฉลาดแล้วคุณจะโง่ไปอีกนาน จงทำโง่แล้วคุณจะฉลาด _อรหันต์ คือ ผู้ทำจุดสำเร็จแท้ของศาสนาพุทธ ได้ถูกต้องแท้จริง ทีนี้จุดสำเร็จแท้ของศาสนาพุทธคือ การดับเหตุแห่งทุกข์ ผู้ดับเหตุแห่งทุกข์ได้สำเร็จ ก็คือผู้จบสำเร็จเป็นอรหันต์ ดังนั้นถึงอย่าหลงมุ่งออกนอกเผาศาสนาพุทธเลย เรียนรู้เหตุแห่งทุกข์แล้วดับเหตุให้ได้ถูก ให้ได้แล้ว ทำกันจริงๆ ข้อสำคัญมันอยู่ที่ทุกข์ ทุกข์นั้นมันก็คือสุขนั้นแหละ ที่มันเป็นกระจกเงา หลอก มันเป็นเทวะ หรือเทวดา ในกระจกเงาเป็นเทวดา แต่แท้จริงคือตัวผีมาร แท้จริงมันคือทุกข์ มันปลอมตัวมาเป็นสุข หรือจริงๆ สุขทุกข์มันคือตัวเดียวกัน ดับทุกข์จึงคือดับสุข เหมือนมันมีสองอย่างแท้จริงมันเป็นตัวเดียวกัน ศาสนาพุทธแยกแยะ 2 คือความสุขความทุกข์นี้ได้ จึงศึกษาได้ล้ำลึกอีกชั้นหนึ่งว่า แล้ว สุข ทุกข์คือเทวะ หรือธรรมะ 2 สุข ทุกข์คือธาตุรู้ เรียกมันตรงเข้าไปอีกว่า เนื้อแท้ของธาตุรู้นั้นคือ ความรู้สึก หรืออาการของอารมณ์ เรียกโดยพยัญชนะวิชาการว่า เวทนา จุดเดียวนี้เองที่ศาสนาพุทธศึกษา แล้วการศึกษาที่ประสบผลสำเร็จได้จริง จัดการรู้เวทนา ทุกความรู้สึก ความรู้ กับความรู้สึก ต่างกันแล้วนะ ความรู้ เป็น Common noun แต่ความรู้สึกนี้เฉพาะ เป็น Proper noun ความรู้สึกนี้ต้องตัวเองรู้เลย จึ๊กเข้าไป เป็นอารมณ์ จุดเดียวนี้เองที่ชาวพุทธศึกษาและให้ประสบผลสำเร็จสูงสุด คือการดับเวทนาดับความรู้สึกไม่มีความสุขความทุกข์ ในอารมณ์ คุณต้องอ่านอารมณ์อาการของสุข ทุกข์ เป็นอย่างไร มันคนละหน้ากัน แต่มันไม่มีความสุขความทุกข์ เป็นกลางๆเป็นอย่างไร คุณต้องเรียนรู้อาการเหล่านี้ให้ได้ ต้องมีธาตุรู้เรียกว่าปัญญา รู้แล้วเป็นโลกุตระเป็นอัญญธาตุว่า สุข ทุกข์ มันเป็นอย่างนี้ จุดยืนยันว่าไม่หลงในความสุขความทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านก็ให้ดับความทุกข์ เพราะว่ามันง่ายกว่าและคุณก็จะชัดเจนกว้างๆ แต่คุณดับความทุกข์ได้ อาการทุกข์ได้คุณดับเหตุแห่งทุกข์ได้ ก็ไม่ต้องพูดถึงว่าความสุขจะหายไปด้วยเพราะมันเป็นตัวเดียวกัน เพราะฉะนั้นเทวนิยมสุขนิยมไม่เรียนรู้ ความทุกข์เอาแต่แสวงหาความสุข พระเจ้าไม่เกี่ยวกับทุกข์ พระเจ้าไม่มีทุกข์ มีหน้าที่สาปคนให้ไปทุกข์ได้ เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้คนไปลงนรกเป็นทุกข์แต่ให้คนไปอยู่กับพระเจ้าจะเป็นสุข นี่คือลัทธินิรันดรเที่ยงแท้เป็นเทวนิยม จบ Category: ศาสนาBy Samanasandin9 ตุลาคม 2019Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรมสำมะปี๋ซี่วิต Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:บทความวิจัย ตลาดอาริยะ”: สนามปฏิบัติธรรมและการขับเคลื่อนทางสังคมของชาวอโศกNextNext post:621011_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ คนจนคือผู้เข้าใกล้วิเวกไม่ข้องอยู่ในถ้ำRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024