620710_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาพาทำใจในใจให้เป็นพระอาริยะ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/152vA4KKcmyNmciJ6fM0n9HS32bTpYvRgDDPKMp_N84A/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1_-w1xVFgNNxFxFp8byMtw4UcFw8LKyVr
สมณะเดินดินว่า… วันนี้เป็นวันพุธที่ 10 กรกฎาคม 2562 ที่บวร ราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันที่ถือว่าจะโชคดีก็ได้เพราะว่าเป็นวันที่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ออกมาแล้ว
พ่อครูว่า…สิ่งที่ไม่พลัดพรากเลยก็คือสิ่งที่เป็นหนึ่ง นอกจากหนึ่งแล้วก็เป็นศูนย์ ถ้าศูนย์แล้วก็ไม่มีอะไรจะพลัดพรากจากกันอีกแล้ว มันสลายหายไปหมดแล้ว ไม่มีแม้แต่หนึ่ง แต่แม้จะเป็นหนึ่งเที่ยงแท้แน่นอน เป็นหนึ่งไม่เป็นสองอีกแล้ว หนึ่งเดียวสบายๆส่วนคนอื่นจะมาร่วมด้วยก็ถือว่าเป็นผู้ที่ร่วมเกิดแก่เจ็บตายเป็นผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขก็ตาม สุขก็เป็นความหลง ยังมีความสุขอยู่ก็ร่วมไป ก็ร่วมกันช่วยกันเพื่อที่จะให้ออกมาจากความไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย ถ้าคนที่เข้าถึงสภาวะแล้วจะชัดเจน พยัญชนะก็แทนกันไป ผู้รู้ผู้มีภูมิธรรม เอาไปยัดเยียดใส่สมองเอาไปใส่ถาดแล้วรู้จิตวิญญาณของใคร มันยัดไม่ได้ ของใครก็ต้องสร้างเอาเอง มันถึงภูมิถึงครั้งถึงคราวถึงเหตุปัจจัยก็จะเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่มันมีขึ้นเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ มีในจิตของเราเองเกิดขึ้น แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ไม่มีฤทธิ์เดชอะไร ที่จะเอาไปใส่ให้ใคร ไปยัดเยียดบันดาลให้เกิดในจิตของใครไม่ได้ไม่มีใครทำได้ พระพุทธเจ้าองค์ที่เก่งขนาดไหนองค์แรกหรือองค์ปัจจุบัน จนเป็นองค์พระสมณโคดม องค์ท้ายที่สุด ก็ไม่มีใครสามารถทำได้
SMS วันที่ 8 ก.ค. 2562 (สำมะปี๋ซี๋วิต)
สื่อธรรมะพ่อครู(มูลสูตร 10) ตอน มนสิการคือการทำใจอย่างไร
_1561กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพครับ การทำใจในใจ คืออะไรครับ ต้องทำอย่างไร และทำให้เกิดผลอย่างไรกับผู้ที่ทำครับ / สรรพศิริ
พ่อครูว่า…จะทำให้เกิดผลลดกิเลสรู้จัดกิเลสและฆ่ากิเลสได้กิเลสจะหมดไปจากจิตเรา คือเป็นพระอรหันต์จะทำได้แล้วเกิดผลอย่างนั้น ทีนี้ต้องทำอย่างไร
ต้องทำอย่างไร ก็ต้องฟัง ฟังสัตบุรุษ ฟังผู้ที่ท่านรู้แนวทางหรือว่ามรรควิธี ท่านแนวทางปฏิบัติ รู้วิธีปฏิบัติ รู้วิธีการทำ กายในกาย ทำกายให้เป็นกาย แล้วทำกายในกาย ทำเวทนาให้เป็นเวทนา แนวทางเวทนาในเวทนา ทำใจในใจหรือในจิต ให้เกิดจิตใจเป็นอย่างนั้นอย่างนี้จนเป็นจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ที่สุดคือเป็นพระอรหันต์ นั่นแหละก็ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ จะให้อยู่หรือให้ตายจะให้สูญหรือให้เกิดอีกก็ได้ เป็นอรหันต์แล้วจะเกิดมามีร่างกายใหม่อีกก็ได้
อาตมาเองคือผู้เอามาพูดเอามาเปิดเผยขึ้นในยุคนี้เป็นคนแรก อาตมาแน่ใจว่าอาตมาพูดอย่างนี้เป็นคนแรก ว่าพระอรหันต์มีภูมิที่ตายไปแล้วจะกลับมาเกิดอีกก็ได้ มีพวกที่เป็นอุจเฉททิฏฐิ พระอรหันต์ตายแล้วสูญอย่างเดียว
คำว่าสูญ คือ กิเลสตายอย่างไม่เกิดอีก กิเลสของใครก็ตามที่เป็นอรหัตผลนั้นตายไปไม่ว่าจะเกิดอีกกี่ชาติกิเลสนั้นก็ไม่เกิดอีก ไม่ใช่ร่างกายมันเกิดได้หรือไม่เกิด คนจะเกิดอีกกี่ชาติก็ได้ถ้าเป็นพระอรหันต์เป็นโพธิสัตว์จนเป็นพระพุทธเจ้าอีกกี่ชาติ อย่างอาตมาเป็นอรหันต์ระดับ 2 3 4 จนเป็นถึงระดับ 7 อยู่นี่ ร่างกายก็เกิดแต่กิเลสไม่เกิดอีกตลอดมาที่มันตายแล้วหมดไม่มีเหลือ เพราะฉะนั้นกิเลสในระดับสูงถึงขั้นไม่มีกิเลสแล้วแต่รู้กิเลสคนอื่น ที่เราไม่เคยเห็นไม่เคยมี พระโพธิสัตว์ก็ต้องรู้กิเลสคนอื่นเพื่อจะช่วยเขาได้ อันที่เหมือนกันก็เยอะ อันที่ไม่เหมือนกันก็จะมีไม่มากแล้ว มันมีเหมือนกันนี้อีกเยอะ เป็นอรหันต์ได้เพราะว่ากิเลสหมด ที่มันไม่เหมือนนี้ไม่เท่าไหร่ ก็ตามรู้ว่าเราไม่เคยเป็น เราจะไม่เคยเกิดเหมือนคนบางคน ไปติดอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็ไม่ได้ไปติดยึดกับเขา กิเลสเราไม่มีแบบเขา
การทำใจในใจคืออะไร? ทำอย่างไร ก็คือ ฟังวิธีปฏิบัติไปตามลำดับ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลข้อที่ 1 ปฏิบัติอย่างไร ศีลข้อที่ 1 ทำอย่างไร มีปัญญาร่วมกันกับ ศีล สมาธิปัญญา สามเส้า ร่วมกันทำจนจิตกิเลสลดไป เป็นองค์ประกอบหลักคือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็น 3 เส้า ศาสนาพุทธต้องมี ศีล สมาธิ ปัญญา ทำงานร่วมกันเป็นองค์ประกอบใหญ่ เป็นองค์ประกอบหลัก ที่จะจัดการกิเลสทุกตัว
ต้องทำยังไงในใจให้มีสัมมาทิฏฐิและเกิดผล เบื้องต้นก็คือ อ่านใจตนเองได้ อ่านใจตัวเองเป็น มีสติปัฏฐาน คือการตั้งสติการมีสติ สติคือการระลึกได้แล้วก็ มีสัมปชัญญะอยู่ในตัวเชื่อมต่อกับสติ แล้วก็จะมี สัมปชานะ สัมปาเทติ อะไรอีกเยอะ คือความระลึกรู้ตัวตน รู้เข้าไปถึงเวทนา รู้เข้าไปถึงเหตุปัจจัยที่เป็น สราค สโทส สโมห ที่เป็นเจโตปริยญาณ 16 แล้วก็แยกแยะกิเลสกำจัดกิเลส ทำใจของตนเองเป็นอย่างนี้ได้จนกระทั่งทำกิเลสให้ออก กำจัดกิเลสให้ตาย ศัพท์เต็มคือ โยนิโสมนสิการ ทำใจในใจเป็นอย่างถ่องแท้แยบคายถูกต้องจริงๆ ก็จะมีธาตุรู้ที่จะประกอบไปด้วย เขาทำเป็น pattern ว่าเป็น
สัมปชัญญะ = ความรู้ตัว ต่อกับการมีสติระลึกรู้
สัมปชานะ = รู้สำนึกตัวในการปฏิบัติสติปัฏฐานอยู่
สัมปาเทติ = เหตุไปสู่การละเลงเพื่อสัมปัชชติ
สัมปัชชติ = ความรู้จากการแยกแยะขจัด
สัมปาเปติ = การสังเคราะห์กันขึ้นอย่าง อวจร
สัมปฏิสังขา = ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำ .
สัมปัชชลติ = เข้าสู่การโหมไหม้ สว่างเรืองรอง
สัมปัตตะ, สัมปันนะ = การเข้าบรรลุผล.(ในรอบนั้น)
สัมปฏิเวธะ = ความรู้ที่รู้แจ้งแทงตลอดในรอบนั้น
ปฏิสาเรสฺสามิ = จักทำให้เขาสำนึก
ปัจจเวกขันตัสสะ = ได้สำนึก)
การทำใจในใจเป็น
-
อ่านใจตนได้ ด้วย สติปัฏฐาน การตั้งสติ > สติ (คือ ระลึกได้ > สัมปชัญญะ(รู้ตัว) > สัมปชานะ (รู้สึกตัวยิ่ง)
-
ทำใจตนเป็น ด้วย โยนิโสมนสิการ สัมปัชชติ (เกิดขึ้น กลายเป็น) > สัมปัชชลติ(ลุกไหม้) > สัมปัตตะ (เข้าถึง)
-
ใจแสนสงบ ด้วย สัมมาวิมุติ เป็นสัมปันนะ (สำเร็จดี)
-
ใจแสนรู้ ด้วยสัมมาญาณะ เป็นโลกวิทู
-
ใจแสนสบาย ด้วยสัมมาสมาธิ อันมีคุณสมบัติ สะอาด สว่าง สงบ
สร้างสรร สมรรถนะ สามัคคี ได้อานิสงส์พ้นทุกข์ ชีวิตมีสุข มีชีวิตที่เป็นประโยชน์
จะเรียกว่าสุขก็ได้แต่เป็นสุขแบบวูปสโมสุขหรือปรมังสุขัง มีชีวิตที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นถ่ายเดียว ประโยชน์ตนจบก็ไม่ต้องทำอะไรให้ตัวเองแล้วเพราะว่าหมดกิเลสเสร็จ
ผู้ที่อ่านจิตเจตสิกรูปนิพพานของตัวเองครบได้แล้วเป็นได้จริงก็คืออรหันต์แล้ว คุณก็ถามอาตมาว่ารู้ได้อย่างไรว่าตนเองเป็นอรหันต์ อาตมาก็บอกว่าอาตมามีจิตอย่างนี้ อธิบายได้อย่างนี้แหละและเป็นได้อย่างนี้ เป็นของตนเองไม่ได้ลอกเลียนของใครมานะ ก็บอกว่ารู้ได้อย่างไรก็รู้ว่าเป็นอย่างนี้แหละถึงจะเป็นอะไรถ้าคุณเป็นอย่างนี้ได้ก็เป็นอรหันต์ ถ้าจิตใจของคุณเป็นอย่างที่อาตมาอธิบาย แล้วสภาวะจิตของคนเป็นอย่างนี้จริงด้วย คุณก็เป็นอรหันต์
อรหันต์ไม่ใช่เรื่องลึกลับอรหันต์เป็นเรื่องโจ่งแจ้งสว่างเป็นเรื่องที่จะต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จักแท้ๆไม่ใช่เรื่องลึกลับ ไม่ใช่เรื่องคลุมเครือ ตอบก็ไม่ได้อธิบายก็ไม่ออกไม่ใช่..จะต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จักอธิบายได้
_3867ประเด็นธ.คนทางบ้านถามพ่อครูฯถ้าไปชกหน้าเขาฤาถูกชกหน้า?ท่านให้ตอบด้วยตนเองว่าชกกันเป็นความดีฤาชั่ว?สังคมมองว่าคนชกตัวต่อตัวเป็น กติกาลูกผู้ชาย!คนรุมหมาหมู่ชกมั่ว เป็นเหยื่อโซเซียลสังเวยคลิปโลกธรรม.!ไม่ชกเลยไม่เป็นเหยื่อเซียนFBเจ้าแม่internetจอมยั่วยุไม่เว้นแม้แต่วันพระ!
พ่อครูว่า…เด็กก็ตอบได้ว่าเป็นความชั่ว การชกกัน
เดี๋ยวนี้เป็นเรื่องที่ไวและมีผลด้วยเกี่ยวกับ Social Media
_2166การแสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 กค.62 ผมอยากจะให้คะแนนพ่อท่าน 32 ส่วน 100. ครับ ขออภัยครับ/ แก่นกรุ
พ่อครูว่า…อาตมาว่า จะมีแรงกว่านี้ได้อีก คำว่าแรงคือ พระพุทธเจ้าบอกว่าทุจริตที่ถูกเปิดเผยนั้นจะแรง ถ้ายิงเปิดเผยชัดเท่าไหร่แรงเท่านั้น ยิ่งชัดเท่าไหร่ก็แรงเท่านั้น ยิ่งถูกเปิดเผยชัด เถียงไม่ได้ จริงๆๆ นั่นแหละจะแรงเท่านั้น ฟังดีๆ เอาไปทวนอีกเที่ยว
สิ่งที่กระทบเราแล้วและแรงที่สุดคือทุจริตที่เรามี แล้วเราโดนพูดชี้ถูก ยิ่งถูก ยังถูกไม่เต็มก็แรงแล้ว ถูกเต็มเข้าไปอีกเพิ่มขึ้นก็แรงขึ้น ถูกเต็มเข้าไปยิ่งมากก็ยิ่งแรง เต็มก็ยังย้ำแล้วย้ำอีก แผลเก่าๆ ยิ่งถูกยิ่งเจ็บ มันเป็นอย่างนั้น นี่คือความรู้สึกจริงๆของลักษณะธรรม
_อำภา รื่นใจดี · กราบนมัสการท่านพ่อครูลูกขอโอกาสถาม ตามความเข้าใจ สมาธิ คือจิตตั่งมั่น ส่วนภาวนา คือ ผล ดังนั้น ภาวนาก็คือ ผลที่เกิดจากสมาธิ และองค์ธรรมทั้งสองอย่างนี้ต้องอยู่คู่กันตลอดใช่หรือไม่ ลูกเข้าใจเช่นนี้ถูกต้องไหม เจ้าคะ ?
ทุกข์คือการแบกกิเลสไว้โดยไม่ยอมวาง ใช่หรือไม่เจ้าคะ ?
พ่อครูว่า…จิตตั้งมั่น ที่ภาษาบาลีว่า สมาธิ กับภาวนา มันต่างกันอย่างไร?
ภาวนาคือการเกิดผล สมาธิ แปลว่าจิตตั้งมั่น
คุณปฏิบัติธรรม คุณรู้วิธีปฏิบัติแล้วไปปฏิบัติเกิดผล ผลก็เต็มบริบูรณ์สั่งสมให้เป็น อเนญชา ตั้งมั่นตกผลึกแข็งแน่นเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ขึ้นเรื่อยๆนั่นแหละคือสมาธิ
ภาวนาคือการเกิดผลตามสัมมาทิฏฐิตามที่เราเข้าใจตามทฤษฎีปฏิบัติแล้วได้ผลขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ภาวนาจึงเป็นมรรค สมาธิจึงเป็นผล
ภาวนาคือ การปฏิบัติอย่างเกิดผล แม้ผลได้บ้างนิดหน่อย แล้วมันฟื้นอีกที กลับมาใหม่อีก จนกระทั่งมันชัดเจนคงทน ดีขึ้น ได้ชัดไวขึ้น เต็มตัวขึ้น สั่งสมผล อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง เป็นการทำซ้ำ ทำย้ำ สั่งสมผลเรียกว่าอนุรักขณาปธาน พากเพียรสั่งสมผลที่เกิดได้ สั่งสมภาวนา ตกผลึกๆ ผนึกจิต แน่นเข้าๆ เรียกว่าจิตตั้งมั่น สมาธิเป็นผลของการภาวนา เป็นผลของการปฏิบัติเกิดผล
ภาวนาไม่ใช่ผลของการเกิดสมาธิ สมาธิเป็นสิ่งที่เกิดจากภาวนา และ องค์ธรรมทั้ง 2 อย่างนี้ต้องอยู่คู่กันตลอดก็ใช่
ทุกข์คือการแบกกิเลสไว้ไม่ยอมวางก็ใช่แล้ว
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ..
สมณะเดินดินว่า…มีประเด็นที่น่าสนใจคือการทำใจในใจ อ่านใจตนได้และทำใจตนเป็น ก็จะได้ 3 แสน คือ ใจแสนสงบ ใจแสนรู้ ใจแสนสบาย
พ่อครูว่า…ไม่ต้องไปนึกถึงธนบัตรเลยเนอะ แสนนี่ยอดเยี่ยมกว่าธนบัตรเยอะเลยนะ
_ปานแก้ว ใจดี · กราบนมัสการค่ะพ่อท่านรับฟังท่านอยู่ทางไกลตลอดที่ไหนไม่มีใครสอนเหมือนพ่อครูเลยจะพยายามทำตามที่ท่านสอนถึงไม่ได้ไปวัดค่ะ
พ่อครูว่า…อยู่ในหมู่กลุ่ม เป็นสนามแม่เหล็กที่เป็นหนึ่งเดียวกัน จะมีการซึมซับถ่ายเทกันเป็น osmosis อยู่ด้วยกันสัมผัสกันมันก็ซึมถ่ายทอดกันอยู่ตลอดเวลา เข้ามาได้ก็ดีแต่ถ้ามีความจำเป็นอยู่ก็สนใจพยายามติดตาม ถ้าหากถึงขั้นมีบารมีครบมันก็จะมา คนเดียวไม่ได้หรอก
_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก · กราบพ่อครูด้วยความเคารพรัก กราบนมัสการสมณะ นักบวช และเจริญธรรมชาวอโศก ตั้งความหวังไว้ว่าอนาคตจะต้องเป็นชาวอโศกให้ได้ครับ
พ่อครูว่า… สาธุเอาใจช่วยเต็มที่ มาลงบัญชีสมัครไว้เอาเลยรับสมัครทันที
_วันชัย สหมโนธรรม · กราบนมัสการ ท่านสิกขมาตุครับ ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นท่าน อดีตสิกขมาตุ ทิพย์เทวีเลยครับ ไม่ทราบท่านป่วยหรือป่าวครับ กราบนมัสการด้วยความเคารพครับ
พ่อครูว่า…ตอนนี้ก็คงมีสิกขมาตุรินฟ้า มีคนถามหาเยอะอยู่
อดีตสิกขมาตุทิพย์เทวี ตอนนี้เป็นนางสาวเกร็ดดิน ตอนนี้ไปทำฟันอยู่ วันชัย สหมโนธรรม เป็นชาวอโศกรุ่นเก่า รุ่นอดีตสิกขมาตุทิพย์เทวี รุ่นเก่าแก่รุ่นอายุยาว ศัพท์ชัดๆคือพวกแก่งั่ก อดีตสิกขมาตุทิพย์เทวีก็ 70 แล้ว
_นันท์มนัส เวทนาทางกาย ส่งผลต่อ จิตให้ต้อแต้ ไร้สุข ก่อทุกข์
พ่อครูว่า…กายต้องมีภายนอกด้วยขาดภายนอกไม่ได้และกายต้องมีจิต กายที่ไม่มีจิตไม่มี ยกตัวอย่าง เช่น แตงโมลูกนี้ กายมันช่างสวยจังเลย ได้ไหม ก็บอกได้แต่รูปร่างภายนอก เขาก็ไม่เรียกว่ากายมันกลมดี เป็นต้น
คำว่า กาย ภาษาบาลีของ พระพุทธเจ้าตรงนี้ท่านแปลเองของท่านว่าคือ จิตมโนวิญญาณ ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.๑๖ ข.๒๓๐ อันนี้ของฉบับหลวง ฉบับอื่นก็แปลอย่างนี้เช่นกัน เพราะมันเปรี้ยงๆเลย
คำว่ากายเป็นภาษาไทยแล้ว ซึ่งได้ผิดเพี้ยนไปหมายความว่าร่างภายนอก ดินน้ำไฟลมเท่านั้น ถ้าหากอาตมาไม่เกิดมาในยุคนี้คำว่า กาย คำนี้จะหมายถึงร่างดินน้ำไฟลมอย่างเดียว ไม่เป็น 2 กายจะต้องเป็น 2 เสมอจะเป็น 1 ไม่ได้ต้องมีรูปนาม เหมือนเทวะ แล้วแยกปัจจุบันก็เป็นกาย หากคุณไม่รู้ว่าคำว่ากายนี้หมายถึงสภาวะ 2 คุณก็เอาแต่ภายนอกเป็นหลัก
กายกลิ คือ ตัวเป็นโทษ ตัวกิเลส คำว่าโทษนี้คือกิเลสในจิต ตัวชั่วตัวเลวของจิต ถ้าคุณไม่รู้จัก ก็เจ๊งแล้ว กายกลิ คุณก็ไปเอาที่ดินน้ำไฟลม คุณก็ไปจัดการไปดับที่ดินน้ำไฟลม แต่จิตใจคุณไม่ได้ทำเลยคุณก็โมฆะบุรุษ
กายสวะ หรือกายกสาวะ คือ ความหมักดองหมักหมมของกิเลสในจิต แห่งกองกิเลสต่างๆในจิต
กายคตาสติ คือการจะต้องอ่านจะต้องศึกษาที่มันดำเนิน คติ คตา มีสติ ตามรู้การดำเนินไปของกาย ใช้สติ ธาตุรู้ ตามรู้พิจารณา จะมีสติสัมปชัญญะปัญญาอันละเอียดลึกซึ้งพิจารณา การประชุมของจิตต่างๆ กายคือการประชุมของจิตประชุมเป็นเวทนา เป็นสังขารต่างๆ
กายกัมมัญญตา คือ ความคล่องแคล่ว ที่เกิดจากประธานคือจิตทำให้เกิดเป็นทั้งภายนอกและภายในด้วย อย่างโพธิรักษ์มือไม้พร้อม พูดคล่อง และก็จิต เป็นประธาน นั้นมีองค์ประกอบเป็นอภิสังขารพร้อม เวทนาสัญญาสังขารในเจตสิก 3 ก็เป็นความคล่องตัวคล่องแคล่วของ เวทนา สัญญา สังขารให้เกิดกายวิญญัติ วจีวิญญัติภายนอก
ต้องเข้าใจว่า ไม่ใช่แค่ร่างกาย กายจะคล่องแคล่วโดยไม่มีประธานหรือจิตวิญญาณเก่งทำให้คล่องไม่ได้ เอาแต่ร่างกายดินน้ำไฟลมมันคล่องแคล่วเองไม่ได้ เพราะถ้าดินน้ำไฟลมมันเป็นอุตุธาตุ ไม่เป็นพีชะด้วยซ้ำ จนกว่าจะเป็นชีวะ
ดินน้ำไฟลม เป็นชีวะจับตัวเป็นพีชนิยาม มันถึงจะมีพลังงานที่เข้าไปร่วมในระดับนึงแต่ยังไม่มีเวทนาไม่รู้สึกเจ็บปวดยังไม่มีความทุกข์ความสุขยังไม่มีบาปไม่มีบุญอะไรเลย เป็นพีชธาตุหรือพีชนิยาม พระพุทธเจ้าตรัสรู้อุตุนิยาม พีชนิยาม จนมาเป็นจิตนิยาม ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวมีพลังงานที่ข้ามเขตของพืชมาเป็นจิตวิญญาณ เป็นจิตนิยาม ตัวนี้จะต้องเรียนรู้มันจะเป็นธาตุจิตที่มันเป็นเซลล์เดียว มันก็แสนจะไม่รู้เรื่องอะไรมันโง่ ซื่อบื้อ มีหน้าที่แล้วมันจะทำลายตัวอื่นเก่งด้วยเพราะมันไม่รู้เรื่อง อย่างเช่นแบคทีเรีย มันก็เป็นชีวะนะ แต่มันไม่รู้เรื่องอะไรหรอกมันลุยแหลกเลย อย่างนี้เป็นต้น ก็ต้องศึกษาให้ดีๆและชัดเจนถึงสิ่งเหล่านี้
สัตว์เซลล์เดียวที่มันเป็นโทษเช่นเชื้อโรค แล้วก็บอกว่าปล่อยให้เชื้อโรคไม่ต้องไปทำอะไรมัน เชื้อโรคมันก็ไม่ไว้หน้าคุณ มันก็เอาคุณตายไปได้อย่างนี้เป็นต้น คุณก็ต้องพยายามป้องกันอย่าให้เชื้อโรคเข้ามา อย่าให้มันมาติดอย่างนี้เป็นต้น
กายต่างๆไม่ว่าจะเป็นกายคันธะ กายปาคุญญตา กายมุทุตา กายลหุตา อย่างนี้เป็นต้น
หากคุณไม่เข้าใจคำว่ากายถูกต้อง คุณจะไปเข้าใจความหมายของสิ่งที่เรียกว่ากาย แล้วมีคำที่เป็นคำสนธิคําสมาสด้วยกัน คุณเข้าใจภาษาพยัญชนะที่พูดเข้าใจอย่างผิดไปหมด แล้วจะไปบรรลุธรรมได้อย่างไร
เข้าใจคำว่ากายไม่ถูกต้องเป็นธาตุ 2 ธาตุที่เป็นรูปกับนามไม่ได้ ศึกษาให้ดีๆ ไม่งั้นไปไม่รอด
ถ้าอาตมาไม่ได้เกิดมาและมาย้ำสำทับสิ่งเหล่านี้อธิบายให้รู้ว่ากาย ไม่ได้หมายถึงแค่ดินน้ำไฟลม มันหมายถึง จิต มโน วิญญาณ อาตมาอ้างอิงจากพระไตรปิฎก ไม่เช่นนั้นเขาไม่เชื่อหรอก โชคดีที่ยังมีพระไตรปิฎกอันนี้อยู่มีหลักฐานทั้งทางบาลีและแปลเป็นไทย ดีที่ผู้แปลเป็นไทยท่านก็แปลได้ตรงความหมาย
_แก้วกรองคำ ปาภูเขียว · ทุกวันนี้ยังเป็นสัตว์อยู่คะ
พ่อครูว่า…เริ่มรู้ตัวเอง จิตวิญญาณที่เป็นเทวะที่เป็นพระพรหมก็ยังเรียกว่าสัตว์ แต่มีนิยามว่าเป็นความสะอาดปราศจากกิเลสไปได้เรื่อยๆคือ เทวะ เทวะคือโลกีย์ที่เป็นสมมุติเทพ ไม่ได้สะอาดจากกิเลส แล้วเริ่มทำให้กิเลสลดลงไปได้เรียกว่า อุปัติเทพ จนหมดกิเลสก็เป็นวิสุทธิเทพ
สมมุติเทพ คือของโลกีย์ทั้งหมด วนเวียนในการแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุข
ในพระไตรปิฎกเล่ม 30 ข้อ 654 นี่คือเทพ 3 ระดับ 3 อย่างในพระไตรปิฎก
๑. สมมติเทพ (คนที่มีสภาวะจิตเสพโลกียสุขได้สมใจ). .
๒. อุปปัตติเทพ (คนที่มีสภาวะจิตเกิดความเป็นอาริยะ) เป็นเทวะ เป็นสัตว์เจริญ เป็นเทวดาโลกุตระตั้งแต่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล …ไปจนเป็นอรหันต์
๓. วิสุทธิเทพ (คนที่มีสภาวะจิตบริสุทธิ์ขั้นอรหัตตผล) แปลว่า จิตบริสุทธิ์ แม้แต่ระดับพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ กิเลสหยาบของพระโสดาบันก็สะอาดบริสุทธิ์หมด มาเป็นพระสกิทาคามีก็บริสุทธิ์ได้เพิ่มขึ้นจนหมดกามภพ ก็เหลือแต่ รูปภพ อรูปภพ ก็เป็นพระอนาคามี ล้างรูปาวจร อรูปาวจร หมดก็เป็นพระอรหันต์ พยัญชนะเหล่านี้มีความหมายที่เป็นสภาวะ
ผู้ที่นั่งหลับตาสะกดจิตไม่ได้เรียนพยัญชนะพวกนี้ รายละเอียดต่างๆพวกนี้ไม่รู้เรื่องหรอก ตีทิ้งด้วย พวกนี้จึงหมดสิทธิ์ปิดบัญชีจะไม่ได้บรรลุธรรม พวกนั่งหลับตาไม่ได้ดูพยัญชนะพวกนี้ จะต้องเรียนรู้บ้าง แม้จะจำไม่ได้แต่ก็ค่อยเข้าใจสภาวะ แม้ว่ารู้สภาวะแล้วทำสภาวะเป็น เอาป้ายชื่อพยัญชนะไปติดชื่อสภาวะละเอียดๆ พวกสายเจโตจะไม่เก่ง ไม่เป็นไรก็สามารถบรรลุสูงสุดได้ แต่ถ้ายิ่งมีทั้งชื่อและสภาวะเป็นคู่ ไปตามลำดับๆ ก็เร็วจะบรรลุเร็วมาก ตรวจสอบเสมอ
_เพ็ญจันทร์ ภูมิเทศ · กราบนมัสการเรียนถามพ่อครูนะคะ ระหว่าง ตายแล้วเผาศพ กับ ตายแล้วไม่เผา เก็บกระดูกไว้ศึกษา กายวิภาคศึกษา อานิสงส์อย่างไรบ้างคะ ?
พ่อครูว่า…ตายแล้วเผาศพก็เผาเป็นธุลีขี้เถ้าไป กับตายแล้วไม่เผาเก็บกระดูกเอาไว้ศึกษากายวิภาค อานิสงส์เก็บกระดูกเอาไว้ศึกษาก็เป็นรูปธรรม อย่างหนึ่งถ้าหากเผาให้เป็นผงเป็นฝุ่นไป ก็เป็นประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง มันก็ไปเป็นแคลเซียมเป็นดินน้ำไฟลมที่จะสังเคราะห์ต่อไป แต่ถ้าเป็นโครงสร้างโครงกระดูกอยู่ก็ไม่ได้เป็นดินน้ำไฟลมที่จะไปสังเคราะห์กันต่อไปอีก มันก็เป็นประโยชน์คนละอย่าง ละเอียดเกินไปแล้วคุณไม่ต้องห่วงหรอก แล้วแต่บารมีของคุณ ตายแล้วเขาก็จะเผา อาตมาเองไม่ได้กำหนดจะเผาหรือฝัง แต่ว่าธรรมเนียมของศาสนาพุทธต้องเผา เผาแล้วจะเป็นอย่างไร เขาจะเก็บกระดูกเอาไว้ศึกษาเป็นสรีระ กายวิภาคหรือไม่ก็ได้ แต่อาตมาว่านะ คนจะเอากระดูกอาตมาไว้ศึกษากายวิภาค ความรู้แค่นั้นเอากระดูกของใครก็ได้ ไม่ต้องกระดูกอาตมาหรอก ถ้าจะเป็นประโยชน์บ้างต้องเผา จะได้ไม่ติดยึด จะได้สลายไป ดีไม่ดีจะเป็นพระธาตุก็ได้ อาตมาไม่บอกหรอกว่าจะเป็นพระธาตุสีสันอย่างที่เขานับถือ เค้าก็จะเอาไว้แจกจ่ายกันไปก็จะเยอะกว่า แต่ถ้าเป็นโครงสร้างกระดูกก็ได้เจ้าเดียว แต่ถ้ากระจายไปก็จะได้เป็นแสนเป็นล้าน ให้คนได้ศึกษา เหมือนกับมีสิ่งที่เราจะระลึกถึงก็ได้ ผู้ที่เข้าใจแล้วก็ไม่มีปัญหา อย่างเช่นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า หรือแม้แต่พระธาตุของอริยสาวกสงฆ์เราก็มี แต่เราไม่ได้ติดเป็นสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่น เรามีรายละเอียดที่ว่าบางทีที่เป็นพระธาตุที่สวยๆไม่ใช่อรหันต์เลย แม้แต่พระโสดาบันก็ไม่เป็น เป็นของฤาษีเป็นต้น สวยด้วย จึงไปเอาพระธาตุมาเป็นเครื่องชี้บ่งพระอริยะของศาสนาพุทธ ไม่ได้ อย่าไปเอาพระธาตุเป็นเครื่องชี้บ่งว่าเป็นพระอริยะ แม้แต่พระโสดาบันก็ไม่ได้ แต่กระดูกเป็นพระธาตุ มีเยอะ พวกสายนั่งหลับตามีเยอะ สวยด้วยนะ เพราะฉะนั้นมันหลอกและมีความหลงกัน เขาก็ยึดเลยว่ากระดูกเป็นอรหันต์ ไม่รู้ว่าใครจะตายก่อนใคร หากตายแล้วกระดูกเป็นพระธาตุเขาก็คิดว่าจะเป็นพระอรหันต์
เดี๋ยวนี้กระดูกที่เป็นแคลเซียมเขาก็เอาไปทำเป็นพระธาตุได้ แล้วเอาไปหลอกขายก็มีเยอะ เพราะฉะนั้นพระธาตุปลอมเดี๋ยวนี้มีเยอะ ของปลอมเยอะมากเพราะว่าคนเขาเชื่อและติดยึดก็ถูกหลอกขายได้
วัดใหญ่ๆ มีวิธีการบริการทำฌาปนกิจศพของญาติ ตายไปแล้วเผาทำกระดูกให้เป็นพระธาตุ โดยใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็ทำได้ด้วย เพราะฉะนั้นคุณอย่าไปติดในพระธาตุเด็ดขาด หากไปติดในเรื่องพระธาตุ ก็ถูกหลอก ทำได้สวยด้วยนะ
_ปองแสงพุทธ ทองสุขนอก : เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิถีธรรมชาติ เปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต (ข้อความจากอินเตอร์เน็ต)
พ่อครูว่า…ในหลวงรัชกาลที่ 9 เคยตรัสไว้ว่าเราเป็นคนจนเรากินข้าวกล้อง ให้บริหารแบบคนจนมาเป็นคนจน เป็นเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ที่มาพัฒนาประเทศแบบคนจนจะเป็นต้นแบบของโลก ฟังประโยคสั้นๆนี้เอาไว้ ว่านักเศรษฐศาสตร์ที่รู้จักเศรษฐกิจแบบคนจนแล้วสอนให้คนเป็นคนจนที่มีภูมิธรรม แล้วจนอย่างวิเศษ จนอย่างไม่ได้เบียดเบียนไม่เป็นภาระกับใคร เป็นคนจนมีประโยชน์ คนจนที่มีคุณค่า เป็นผู้ที่สร้างสรร ผู้ที่มีความรู้ความสามารถ โดยจิตไม่ทุกข์ แล้วมีหมู่กลุ่ม มีพลังงานของสังคมองค์รวมสร้างสรร เป็นสังคมคนจน ถ้าเป็นประเทศก็เป็นประเทศคนจน ตอนนี้ประเทศไทยมีหมู่บ้านคนจน ชาวอโศกเป็นหมู่บ้านคนจนหลายหมู่บ้านแล้ว สักวันหนึ่งก็คงจะเป็นอำเภอ หรือเป็นตำบลคนจน เสร็จแล้วก็เป็นอำเภอคนจน เป็นจังหวัดคนจน บางคนอาจจะจนน้อยบางคนอาจจะจนมาก ก็ได้เป็นระดับ แต่เขาก็จะค่อยๆจนลงเรื่อยๆ พวกเราบางคนที่มานั่งอยู่ในนี้มี คนรวยก็มี
_SMS วันที่ 9 ก.ค. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ)
_พันธุ์ พอเพียง · เมื่อ 20 ปีล่วงมาแล้ว ท่านซาบซึ้งเคยสอนผมว่า ลูกผู้ชายถ้ามีเรื่องชกต่อย จะยอมแพ้ และถึงขั้นต้องวิ่งหนีก็ยอม ตอนนั้นผมงงมากในการสอนของท่าน แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วครับ ว่าถ้าเป็นพุทธบริษัท จะทำร้ายกันอย่างแรงที่สุดก็แค่คำพูด คือใช้ปากเป็นหอกทิ่มแทงกัน กราบขอบพระคุณครับ
พ่อครูว่า…ฟังให้ดีนะ พระโสดาบันขึ้นไปจะมีความรุนแรงอย่างมากก็แค่ปากหอก ไม่มีการใช้ไม้หน้าสามไม่มีอาวุธ ทัณฑะ หรือเอามือไปชก ไม่มี จะมีอย่างมากก็ปากหอก
ในญาณ 7 พระโสดาบัน สอนว่า
-
รู้จักปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุม คือกิเลสนิวรณ์ 5 (ยังวิวาทกันด้วยหอกคือปากเพราะคิดเรื่องโลกนี้/โลกหน้า) แม้ยังละปริยุฏฐานกิเลสไม่ได้ ก็รู้ ไม่มีที่จะไม่รู้จักปริยุฏนั้น และย่อมมีทิฐิตั้งปณิธานจิตไว้เพื่อไปสู่การตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย
พระโสดาบันจะรู้จักกิเลสแล้วทำกิเลสเบื้องต้นลดได้ รู้จักกิเลส กิเลสอันหนึ่งก็ลดลงไปได้แล้วรออยู่ในขั้นของกิเลสขั้นต่อไป ปริยุฏฐานกิเลส เป็นกิเลสชั้นที่ 2 คนรู้อย่างนี้คือญาณปัญญาของพระโสดาบัน ถ้าไม่รู้อย่างนี้ยังไม่ใช่ญาณข้อที่ 1 ไม่อย่างนั้นจะรู้ไม่รอบถ้วนว่ากิเลสมันเกิดอยู่ตอนนี้เป็นกิเลสระดับต่อมา ปริยุฏฐาน ไม่ใช่กิเลสที่เคยผ่านมาได้แล้ว ของใครของมันไม่เท่ากัน อันหยาบหลุดไปแล้ว มันละเอียดกว่านะอันนี้ ไม่ใช่กิเลสหยาบจะหยาบทางรูปธรรมนามธรรมก็แล้วแต่ว่า กิเลสของคนที่มันเป็นชั้นต่ำมันหมดไปแล้วไม่เกิดในจิต จิตเราไม่มีกิเลสอันนี้แล้ว อันนั้นไม่เกิด คุณจะมีเปรียบเทียบเป็นเทวดาเป็น 2 อย่างหยาบกับชั้นต่อมา ยังไม่เรียกว่าเป็นกิเลสละเอียด
ผู้ใดที่รู้เห็นจริงๆของตนเองพระโสดาบันขึ้นไปจะต้องชัดเจน ต่อวิติกมกิเลส ปริยุฏฐานกิเลส ถึงจะเรียกว่ามีปัญญาญาณข้อที่ 1
-
อริยสาวกเมื่อได้ความระงับเฉพาะตน (ลภามิ ปัจจัตตัง สมถัง ลภามิ ปัจจัตตัง นิพพุตตินติ). ย่อมเสพคุ้น(อาเสวนา) ทำให้มีผลเจริญ.(ภาวนา) ย่อมทำให้มากในทิฐินี้(พหุลีกัมมัง). .
-
อริยสาวกเชื่อมั่นในทิฐิฝ
ใเช่นนี้ ไม่ทั่วไปกับสาธารณะปุถุชน หรือไม่อาจหาทิฐิเช่นนี้ได้จากลัทธิอื่นนอกธรรมวินัยนี้เลย
-
อริยสาวกผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิ มีธรรมดาของผู้สำนึกรีบออกจากอาบัติ เปรียบเหมือนกุมารอ่อนนอนหงาย ที่ถูกถ่านไฟด้วยมือหรือด้วยเท้าเข้าแล้ว ก็ชักหนีเร็วโดยฉับพลัน นี้ญาณที่ ๔ เป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่เป็นของดาษดื่นทั่วไปกับพวกปุถุชน .
-
อริยสาวกถึงความขวนขวายในกิจใหญ่น้อยที่ควรทำ . ของเพื่อนสพรหมจารีโดยแท้อย่างไร ถึงอย่างนั้นความเพ่งเล็งกล้าในอธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา และอธิปัญญาสิกขาของอาริยสาวกนั้นก็มีอยู่ เปรียบเหมือน แม่โคลูกอ่อนย่อมเล็มหญ้ากินด้วย ชำเลืองดูลูกด้วย ฉันนั้น ฯลฯ
-
มีพลังทำประโยชน์ ทำไว้ในใจ กำหนดด้วยจิตทั้งปวง เงี่ยโสตฟังธรรมวินัยของตถาคต อันบัณฑิตแสดงอยู่ .
-
ได้ความรู้อัตถะ-รู้ธรรม ปราโมทย์ รู้จริงครบถ้วนธรรม
(เป็นทิฐิที่นำออกซึ่งบุคคลผู้ทำตาม ให้ไกลจากข้าศึก (กิเลส)
เป็นนิยายิกธรรม เป็นญาณมีองค์ 7 เพื่อตรวจสอบดีแล้วแก่ผู้แจ้งในผลโสดาบัน โกสัมพีสูตร ล.12 ข. 5 – 550)
สังคมที่มีพระโสดาบันเป็นต้นไปจะไม่มีการทำร้ายร่างกายกัน มีอย่างมากก็ปากหอก อย่างอาตมานี้หอกคมและลึก ไม่ใช่หอกทื่อภายนอก แต่หอกเสียบถ้ารู้แล้วจะรู้ว่าองค์นี้หอกทั้งแหลมลึก แรง
_มิตรภาพ ๑๘๑ • พระศาสดาท่านตรัสไว้ว่า ธรรมที่ตถาคตตรัสรู้แล้วนั้น เป็นธรรมที่มีอยู่ก่อนแล้ว ตถาคตเป็นเพียงผู้ค้นพบธรรมเหล่านั้น (เป็นคนแรก) และพระศาสดา สามารถนำธรรมเหล่านั้นมา ฝึกให้บุคคลทั้งหลาย ในโลกนี้ โลกสวรรค์ และอื่นๆ ให้ได้รู้ได้บรรลุ ไม่ต้องเวียนเกิดเวียนตายในสงสาร ตถาคตจึงเป็นพระศาสดาแห่งชาวเรา(พุทธ) …กสิณไม่ใช่ของพุทธ แล้วของใครครับ แล้วธรรมกาย ของใครครับ และคามที่ท่านประพฤติปฎิบัติอยู่นี้ เป็นหลักการของใครและการปฎิบัติของท่านมีจุดหมายใดเป็นที่สุด และหรือมีใครเป็นศาสดาของท่านครับ
พ่อครูว่า…ตอบข้อแรกก่อน ศาสดามีนามว่าพระพุทธเจ้า แต่อาจจะเป็นคนละองค์กับคุณก็ได้ คุณก็เชื่อผู้ที่ชื่อว่าศาสดาพระพุทธเจ้าเหมือนกันแต่เนื้อหาคนละเรื่อง อธิบายกันคนละรูปแบบอย่างนี้เป็นต้นต้องศึกษาเข้าไปให้ดีๆ คุณถามมานี้แสดงว่า คุณคนนี้ยังอีกเยอะ กว่าจะเข้าใจถึงนัยรายละเอียดของศาสนาพุทธยังอีกเยอะ อาตมาพูดสัจธรรมให้ฟัง
จุดหมายเดียวกันคือนิพพานนิพพานของอาตมามีละเอียดลออ หลักการของอาตมาก็คือหลักการของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำสอนเหล่านี้ท่านก็สอนไว้แล้วก็จำกันมา เดี๋ยวนี้เป็นพระไตรปิฎกมีตัวหนังสือ เดี๋ยวนี้ ก็ใช้พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ คุณฟังแล้วก็ปฏิบัติตามจะได้เป็นพระอรหันต์ได้ เป็นหลักการของพระพุทธเจ้า
กสิณเป็นของเดียรถีย์ ของศาสนาเทวนิยมที่หลับตาสะกดจิต มีสิ่งหนึ่งเป็นจุดที่จะต้องทำให้จิตสงบ เอาจิตใจไปยึดตรงนั้นไว้ อย่าให้แตกแยกจากอันนั้นเรียกว่ากสิณ แล้วจิตก็จะสงบ โดยไม่มีวิปัสสนาญาณไม่มีการวิจัยวิจารณ์อะไรออกเลย หยุดข่มอย่างเดียว นั่นคือกสิณไม่ใช่ของพุทธ การมีกสิณแล้วสะกดจิต เป็นวิชาการทั่วไปเป็นของฤาษีที่ต้องการสงบ แพร่หลายกันมาจากดึกดำบรรพ์บรรลุได้ง่าย แต่ไม่ใช่ของพุทธ แต่พุทธรู้ พุทธทำเป็น แบบนั้นเป็นของตื้นๆของเด็กๆ จะทำให้ได้นานๆจนกระทั่งหลงผิดเป็นอุทกดาบส อาฬารดาบสก็ได้
แต่ของพุทธมีวิปัสสนาญาณมีปัญญา อันนั้นไม่เกิดปัญญา เกิดแต่สัญญาอย่างเดียว ไม่ว่าคุณจะดูพยัญชนะที่อาตมาพูดแต่คุณเข้าใจไปอีกอย่างหนึ่งมันเป็น 2 สภาวะ คุณสนใจดีแล้วไม่เสียหลายหรอกขอยืนยันให้ศึกษาให้ดี ไม่ใช่ประเหลาะคุณนะ หากคุณสนใจศึกษาก็เชิญ
_สมคิด วงษ์ศิวิไล • ที่นี่เขตปลอดอบายมุข ปลอดอาชญากรรม ปลอดความเห็นแก่ตัว คนชอบเอาเปรียบ คนขี้โลภ คนขี้โกรธ จะอยู่ที่นี้ไม่ได้ ที่นี่ไม่ตามใจกิเลส ไม่หลงไปตามกระแสโลก คนที่นี้สุขภาพดี สุขภาพใจดี
_สําราญ ท่าบ่อ • อายุพ่อท่านต้องไม่ต่ำกว่าร้อยเจ้าค่ะ
_Nick Freeman •
ທ່ານໂພທິຮັກ ພູມລຳເນົາເດີມເປັນຄົນ ອຸບົລຣາຊທານີ ເມືອງນັກປຣາຊ ຣາຊບັນດີດ ມີນັກປຣາຊຫລາກຫລາຍຂະແນງການ ມີນິສັຍມັກມັກສັງເກດ ມັກສືກສາຄົ້ນຄ້ວາຕະລອດເວລາ ເປັນຜູ້ຣິເຣິມສີ່ງດີໆ ໃຫ້ສັງຄົມໂລກຫລາກຫລາຍ…
ວັດທີມີອິດທິພົນ ຕໍ່ສັງຄົມໄທ ມີ ວັດທັະກາຍ. ວັດສວນໂມກ. ວັດສັນຕິອາໂສກ.
ສນະຄະຕິສ່ວນຕົວ.
ປະເທສໄທ ພຣະພຸທສາສນາມີສອງ ນິກາຍ: 1 ມະຫານິກາຍ. 2 ທັມມະຍຸຕ.
-
ลว
ท่านโพธิรักษ์ภูมิลำเนาเดิมเป็นคนอุบลราชธานี เมืองนักปราชญ์ราชบัณฑิต มีนักปราชญ์หลากหลายแขนงการ มีนิสัยมักสังเกต มักศึกษาค้นคว้าตลอดเวลา เป็นผู้ริเริ่มสิ่งดีๆให้สังคมโลกหลากหลาย
วัดที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย มีวัดธรรมกาย วัดสวนโมกข์ วัดสันติอโศก
ทัศนคติส่วนตัว
ประเทศไทยพุทธศาสนามีสองนิกายคือ 1 มหานิกาย 2 ธรรมยุต
พ่อครูว่า…ถ้าคุณแยกนิกายก็มี 2 อย่างที่ว่าแต่อย่ามาแยกอาตมานะ ของอาตมาไม่ได้เป็นนิกาย อาตมาเป็นแค่นานาสังวาสกับมหานิกายและธรรมยุต และขณะนี้มี 2 นิกายในประเทศไทยจริง อย่าปฏิเสธความจริงเลย มหานิกายกับธรรมยุตเขามีอยู่อย่างนั้น อาตมาไม่ยอมรับนิกาย อาตมาก็พยายามเป็นนานาสังวาสกับท่าน ใครเข้าใจนานาสังวาสก็เข้ามาเชื่อมกับอาตมาได้จนลงกันได้ก็จะเป็นสมานสังวาส ถ้ายังลงกันไม่ได้ก็จะเป็นนานาสังวาสไม่ถือว่าเป็นนิกาย แต่ใครจะเป็นนิกายอย่างแท้จริงนั้นอาตมาก็จะรับลูกเอาเอง
เช่น คนที่เป็นนิกายอย่างแท้จริงเลยเช่นมาบวชแล้วมีลูกมีเมียได้ คนนี้ก็เป็นคนปาราชิก ไม่ได้เอาปาราชิก 4 มาใช้เลย อย่างนี้อาตมาก็ไม่เข้าร่วมด้วย คุณมาก็ถือว่าเหมือนกับฆราวาสเหมือนใครต่อใครเท่านั้นเอง ไม่ร่วมเป็นนักบวช อย่ามาร่วมทำสังฆกรรมกัน นานาสังวาส ก็มีวินัยที่ร่วมกันได้ คนที่ไม่ร่วมนานาสังวาสก็เป็นสังฆเภทยังเป็นนิกายอยู่ก็เข้ามาร่วมทำสังฆกรรมไม่ได้
เช่นพระอาคันตุกะมาในชาวอโศกหากจะมาร่วมปาติโมกข์เดียวกัน คุณต้องมีความบริสุทธิ์ อย่างน้อยที่สุด ไม่มีนิสสัคคิยปาจิตตีย์ คุณจะต้องหลุดพ้นคุณจะต้องไม่มีเงิน ไม่ถือเงินมา หากว่าคุณมีเงินอยู่ก็ต้องสละออกคุณจึงจะเข้าร่วมปาฏิโมกข์ได้ ถ้าปาติโมกข์เดียวกันนะ ก็วินัย 227 ข้อ อันนี้ได้ แต่นิกายอื่นก็มีพระวินัยอื่น แต่ของเรามีวินัย 227 ข้อ มาที่นี่จะสามารถสมานสังวาสกันได้เพราะมีพระวินัย 227 ข้อเหมือนกันเลย ลงกันได้ก็ว่ากัน แต่ถ้าวินัยไม่เหมือนกันอย่างเช่นมหายาน จากต่างประเทศ หรือในประเทศ เช่นนิกายของญวน นิกายของจีน มีวินัยคนละอย่างแล้วก็เข้ากันไม่ได้ นอกจากท่านจะสละให้ออกแล้วลงกันได้ จึงจะร่วมกันได้
ในประเทศไทยมี 2 นิกายคือธรรมยุตและมหานิกาย ใช่ ส่วนอาตมานั้นเป็นนานาสังวาสไม่ใช่นิกายกับเขา นานาชสังวาสไม่มีบาป แต่ว่าเป็นนิกายนั้นเป็นบาป ใครจะมาประพฤติกับอาตมาอย่ามาเป็นนิกายถ้าจะเป็นพระมาก็ต้องเป็นนานาสังวาส เอาพฤติกรรมไม่ใช่เอาแค่พยัญชนะอย่างนั้นก็โอเค มีโอกาสเป็นสมานสังวาสจนเป็นสังวาสเดียวกันรายได้ไม่แตกต่างกัน
_Paitoon Khemapanon •
Satuka thanks .He was a great natural personality a very humble righteous .Thanks for the great coverage ท่านเป็นคนมีบุคลิกธรรมดาที่ยอดเยี่ยม เป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนมาก ขอบคุณสำหรับการแสดงธรรมที่ประเสริฐมาก สาธุค่ะ
_รักษ์ มาตุภูมิ • ลูกยังมีวิบากเก่ามาก…จึงต้องทนลำบากรับกรรม…แต่ยังมีความพยายาม…..ที่จะไปให้ถึงพ่อครูให้จงได้….อีกสามเดือนจะเกษียณครับ…น้อมรับด้วยจิตคารวะครับ
_ชาญณรงค์ จินดาธรรม • 30ปีไม่เคยคลอนแคลน กราบนมัสการด้วยความเคารพยิ่งครับ
_วสันต์ จีนเกา • หมดตู่เมื่อไร พวกมึงอยู่ยากแน่ กิเลสทั้งนั้น นี่หรือพระ
พ่อครูว่า…อาตมาคงจะพูดกับคุณยากเสียแล้วคุณวสันต์ คุณมองอาตมาเป็นอะไรก็ไม่รู้นะ แล้วบอกว่า อาตมาขึ้นอยู่กับลุงตู่ คือนายกฯประยุทธ์ ถ้าหมดยุคลุงตู่มึงอยู่ยากแน่นอน ขออภัย อาตมาไม่ไปท้าทายอะไรไม่ไปตอแยกับคุณ ติดตามฟังการทำงานให้ดีๆทำใจกลางๆ แล้วอาจจะเป็นประโยชน์นะ อย่าไปทำใจอาฆาตมาดร้ายรุนแรงเลย ทำใจเย็นๆ
_ต๋อย สุชัญญา • ถนนคอนกรีตทุกสายในบ้านราช คุณภาพยังดีกว่าถนนงบ อบต.หลายๆหมู่บ้านอีก
พ่อครูว่า…คุณทดสอบแล้วหรือ มีหนาต่างกันแพงกว่ากันก็เป็นได้ของเราไม่มีคอรัปชั่นไม่มีคอมมิชชั่น พวกเราทำ ดีไม่ดีพวกเราเสริมทุนรอนให้ด้วย มันไม่ดีเต็มที่ก็เสื่อมเข้าไปบ้าง ถือว่าเป็นสาธารณูปโภคที่ใช้ร่วมกัน เรามีเรี่ยวแรงมีทุนรอนก็ร่วมกันทำ ถ้ามีสตางค์มากๆ อาตมาอยากจะทำสาธารณูปโภคช่วยหมู่บ้านต่างๆ ของเราด้วยของหมู่บ้านที่ใช้ร่วมกันด้วย ไม่ได้อยากอวดดี แต่มันเป็นเรื่องของสาธารณะ อาตมาเข้าใจคำว่าสาธารณโภคีดี จะร่วมกันได้กว้างขวาง เอื้อมเอื้อเกื้อกว้างได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
_Thailand in. Chinese • คำว่าคลุกคลีกับคบหาน่าจะคนละความหมาย สังสัคคัง กับ เสวนัง ต่างกันครับ
พ่อครูว่า…ได้
สังสัคคะ สังสัคคัง ที่จริงแปลว่าคลุกคลีด้วยหมู่ แปลพยัญชนะ ที่จริง สัคคะคือสวรรค์ นับถือสวรรค์อยู่ร่วมกัน มีสัมโภคกายร่วมกันเลย ร่วมสุขทุกข์ แม้จะมีนิรมาณกายอาทิสมานกายด้วย
เสวนาแปลว่าคบคุ้นคบหา
ถ้าคลุกคลีก็มากกว่า เสวนาก็เสพคุ้นเชื่อมต่อ อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ต้องทำให้เกิดผลทำซ้ำให้มากได้ผลนั้นมากขึ้น เป็นสามเส้าของการรักษาผล อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง
สู่แดนธรรม อ่านแล้วผมว่าเขาต้องการค้านแย้งพ่อท่านครับเรื่องที่ว่าไม่ให้คลุกคลีด้วยหมู่คณะ แต่พวกเราว่าให้คลุกคลีด้วยหมู่บัณฑิต
พ่อครูว่า..ความเห็นต่างกันเราก็ไม่แย้งหรอก จนกว่าคุณจะเข้าใจตรงกับอาตมา คุณเข้าใจต่างก็ทำของคุณไปอาตมาก็ไม่เถียง พยัญชนะจะสลับกันไป เป็นสิริมหามายา จนกว่าจะตรงกันแล้วก็จะไปอย่างเดียวกัน มันละเอียดมากอันนี้
_view6 view6 • วิบาก ก็อยูที่ทำแต่ละยุคสมัย เสมือนเพลงแต่ละเพลง ใน1ชิวิตวิบาก ถ้าไม่มีการเขียนเพลงเพิ่ม ก็ไม่มีวิบากที่จะต้อง คิดตามเพลงแต่ละช่วง / จงเป็นคน ผลิด CD ปล่าว เพือให้คนเอาไปใช้ในวิบาก
เอาง่ายๆ กินข้าวอร่อย ก็เอาตรงนั้นมาเรียนรู้ กับหู ตา จมูก สัมผัส ที่เหลือก็มา ทำใจในใจ เพราะ ข้างนอกรับรู้ง่าย ในจิต จะทิ้งยาก /ตัดการกินอร่อย มากินแล้วไม่รู้สึก มันเป้นแค่เครือง บำรุงร่างกาย เพื่อเป็นที่ สร้างประโยชน์ / เวลาปวดขี้แตก ไม่เห็นจะต้องทำอะไรเลย นั้นและ สามาธิ ที่ไม่มีสมาธิ ถ้าสมาธิหลับตา สกดขี้ได้ ผมจะยอมรับ
พ่อครูว่า…คนตัดการกินไม่ได้แต่คนตัดความอร่อยได้ ไม่รู้สึกก็ไม่ได้ คุณต้องรู้สึกความจริงตามความเป็นจริงสิ แตงโมลูกนี้กินเข้าไปมันมีรสขมคุณก็ต้องรู้ว่ามันขม ถ้ามันไม่มีขมก็ต้องรู้ว่ามันไม่มีขมก็ต้องรู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่รู้ความจริงได้อย่างไร แต่รู้ความขมความไม่ขม คุณมีชอบหรือไม่ชอบ ถ้ามันขมคุณก็ไม่ชอบถ้าไม่มีขมคุณก็ชอบ อันนั้นแหละคุณตัด คุณละล้างให้ได้ ต้องติดตามเพลงแต่ละช่วง คุณไปอ่านเพลงชีวิต ที่อาตมาเขียน
ศาลานี้ว่างจากช้าง ไม่มีช้างแม้ช้างมาชนก็เข้าไม่ได้ ช้างจะมาพังโรงนี้ก็ไม่ได้ อสังหิรัง มีรัศมีกันช้าง จริงๆ ช้างหรือกิเลสจะกลัวด้วยซ้ำ
เออดี อย่าไปศึกษาสมาธิแบบหลับตานั้นเลยให้มาศึกษาสมาธิแบบลืมตานี่แหละแล้วก็ทำใจในใจ ปวดขี้ก็ไปขี้ก็จบ
สมาธิหลับตาสะกดขี้ได้นะ แต่มันอาจระเบิดตอนนั่งหลับตาก็ได้นะ เพราะมันปวดขี้ คนเขาบอกว่า ฟ้าจะผ่า ฝนจะตก ลูกจะออก ขี้จะแตก พระจะสึก ห้ามไม่ได้ นี่ก็เหมือนกัน
_Thailand in. Chinese • การเมืองเปฺ็นเรื่องของผลประโยชน์..แบ่งฝักแบ่งฝ่าย.เป็นพวกฝ่ายหนึ่งต้องเป็นศัตรูกับอีกฝ่ายหนึ่ง.นักบวชผู้สละโลกแล้วไม่ควรเกี่ยวข้องหรือวิจารณ์
-
พ่อครูว่า…คุณก็ปล่อยให้การเมืองปู้ยี่ปู้ยำสังคมประเทศชาติไป คุณใจดำคุณไม่ช่วยเขาเลย ถ้าคุณช่วยไม่ได้ก็เรื่องของคุณแต่อาตมาช่วยได้ การเมืองจะต้องช่วยเขา อาตมาไม่ได้ต้องการไปแย่งชิงตำแหน่งไม่ต้องการแย่งชิงผลประโยชน์ การเมืองของอาตมาไม่ใช่การเมืองแบบที่คุณว่า คุณไปนิยามเองว่าการเมืองเป็นเรื่องของผลฝประโยชน์ มันไม่ใช่การเมือง การเมืองที่ชั่วบแบ่งผลประโยชน์แบ่งฝักฝ่าย เป็นศัตรูกันเป็นการเมือง เราก็พยายามอย่าให้เกิดการเมืองชั่ว ต้องให้เกิดการเมืองดี
คุณคนนี้คงจะต้องศึกษาอีกนาน คุณก็ค่อยๆฟัง อาตมาไม่ได้ดูถูกคุณนะ คุณยังเข้าใจได้ยากอยู่นี่เป็นสัจจะของพุทธ คุณยังไกล คุณยังไม่มีภูมิคุ้มกันที่จะมายุ่งกับการเมืองก็ดีแล้วล่ะคุณก็ทำของคุณไปจนกว่าคุณจะศึกษาถูกทุกอย่างสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาปฏิบัติมีสัมมาปฏิเวธได้จนกว่าถึงวันหนึ่งคุณจะรู้ว่า อ๋อ การเมืองคือการทำงานร่วมกับพลเมืองในประเทศในโลก อย่างไม่แบ่งฝักฝ่าย หากว่าคุณแบ่งฝักฝ่าย คุณไปอีกฝ่ายนึงไม่ได้หรอกคุณไม่มีภูมิคุ้มกันคุณอยู่อย่างนี้ดีแล้ว
_FR1ENDS Otto • ผมรู้สึก พระครูโพธิรักษ์ ว่าท่านน่าจะเป็นพระอริยะ ด้วยความพินิจ พิเคราะห์ ทบทวน ซ้ำ
พ่อครูว่า…เอาดีๆอย่าเพิ่งเชื่อง่ายๆ ดีแล้วแหละ
_เดาซิ สู้สู้ • ถ้าใครเข้ามาด่าขอให้คำด่านั้นคืนสนองสาธุจากคนชอบ
_FOR TRUTH 2559 • ขณะผัสสะ ตาเห็นผู้หญิงสวย(หรือไม่สวยแต่สวยในสายตาเราคนเดียวก็ตาม)แล้วเกิดอารมณ์รักชอบ ให้สังเกตอาการ(เวทนา)ของสรีระ(ร่างกายเรา) จะเกิดมี2อาการต่อเนื่องกันคือ อาการรู้สึกตามความเป็นจริงของสรีระว่านั่นผู้หญิงรูปทรงอย่างนั้นอย่างนี้(พระอรหันต์ท่านก็เห็นเหมือนกัน) อันนี้เวทนาแท้ ส่วนอีกอาการคืออาการชอบอาการรัก เป็นอาการของสรีระที่จิตทำให้เกิด อาการนี้คือเวทนาเท็จซึ่งเกิดขึ้นตามหลังอาการแรก เป็นอาการที่จิตทำขึ้นเอง สรีระจึงเกิดอาการตามพลังงานของจิต(จิตที่หลงหรือโมหะ) และทุกครั้งที่เกิดอาการรักชอบของสรีระ จิตจะจดจำไว้(เป็นสัญญา) และจิตจะโมหะยึดว่านั่น เป็นเรา(ที่รักที่ชอบผู้หญิง) เป็นตัวเรา ซึ่งตัวตนนี้ไม่มีอยู่จริง มันเกิดมาจากปัจจัยที่ปรุงแต่งกันขึ้นเองในกระบวนการของจิต(ที่มีโมหะหรืออวิชชา)
อาการที่เกิดตรงสรีระหรือร่างกายเป็นกายิกเวทนา สรีระหรือร่างกายเป็นตัวแท่งก้อนที่มีชีวิตเป็นตัวPlatformหรือฐานการปฏิบัติ ใช้สังเกตอาการเวทนาเท็จหรือเวทนาลวงที่จิตทำขึ้นเอง ถ้าไม่อาศัยสังเกตอาการ(กายิกเวทนา)ของกายนอก ผู้ปฎิบัติจะแยกกายแยกจิตไม่ออก หรือจะไม่เข้าใจความเป็นธรรมะ2 กายในจิต(มโนหรือวิญญาณ)มันเนื่องหรือสัมพัทธ์กันกับกายนอกคือสรีระหรือร่างกาย ตอนร่างกายยังไม่ตาย จิตก็หลงร่างกายเป็นตนที่รักที่ชอบสิ่งนั้นสิ่งนี้ ยึดเป็นตัวตนของตน(ธรรมะ2)
ขนาดตอนเป็นๆแล้วยังมองไม่ออกแยกไม่ออกว่านั่นไม่ใช่ตัวตน พอตายไปแล้วยิ่งไม่มีทางที่จะปฏิบัติธรรมให้รู้ความจริงได้เพราะขาดตัวร่างกายหรือสรีระหรือแท่งก้อนชีวิตที่จะใช้เป็นหลักฐานอ้างอิง ตายไปแล้วจึงเป็นโมฆะ ปฏิบัติธรรมไม่ได้
ข้าพเจ้าวิเคราะห์ตีความในฐานะนักศึกษาที่ฟังจากครูคือท่านโพธิรักษ์ที่อบรมสั่งสอนมานานหลายปี อาศัยการปฏิบัติลดละกิเลสเบาบางได้ในบางข้อจึงพอมองเห็นหรือพอจะเข้าใจธรรมะ2อยู่บ้าง เนื่องจากว่าข้าพเจ้ามีภูมิเพียงแค่เริ่มจะรู้ทางเท่านั้นเอง จึงยังอาจไม่แจ่มแจ้งทั้งหมด ผิดถูกประการใดข้าพเจ้าขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ขอกราบขอบพระคุณท่านโพธิรักษ์และสมณะทุกท่านครับที่เมตตาอบรมสั่งสอนและให้โอกาสแสดงความคิดเห็น
พ่อครูว่า…เอ้าดี
_บ้านเล็กเมืองน้อย…กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง
ผู้ที่มีรังสี ย่อมต้องเปล่งแสงเรืองรองออกได้จริงตามที่ตัวเองมี…… รังสีก็คือแรงเคลื่อน เป็นอาการชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นที่แสวงหาและเป็นประโยชน์ต่อสรรพสิ่งที่ต้องการแสงสว่าง….. แต่สำหรับผู้ที่ตั้งใจหลบซ่อนหากินในที่มืด ย่อมจะต้องระคายเคืองเป็นธรรมดา
มันเป็นเรื่องของผู้รู้ ที่มีปัญญา กับผู้ถูกรู้ ที่เฉกา ซึ่งเป็นธรรม๒ สัมผัสกระทบกัน…… จึงเกิดเป็นภาวะที่ ๓ คือมี ”อาการ” ปรากฏขึ้น หัวใจในการศึกษาพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าก็คือการอ่าน “อาการ” ที่เกิดนี้แหละ
ถ้าปราศจากสติในการ “อ่านอาการ” ก็ไม่สามารถเข้าไปรู้รายละเอียดภายในของสิ่งนั้นๆ และไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการเกิดขึ้นของพลังงานที่เป็นตัวตน (SELF)…..แล้วจะเอาอะไรมาแยกแยะออกได้ระหว่าง “SELFISH” หรือ “SELFLESS”
ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ถูกพ่อท่านว่ากล่าวพาดพิงถึง จึงไม่รู้ว่ามันคือ ”ความหวังดี” ให้เกิดประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งหลาย สำหรับผู้ที่ยังอวิชชา จะมี สัญญายะ นิจจานิ ซึ่งกำหนดความเที่ยงแท้ตามอัตตาของตน ที่ย่อมจะ “ไม่เที่ยงธรรม” คือ มีลำเอียงบ้าง ไม่ลำเอียงบ้างเป็นธรรมดา พระพุทธองค์จึงทรงเน้นย้ำในเรื่องการปฏิบัติที่ต้องสัมผัสวิโมกข์๘ ด้วยกาย… ไม่ใช่นั่งหลับตาปฏิบัติอย่างเดียว
พ่อครูว่า…ความสมบูรณ์แบบของพระพุทธเจ้าต้องมี 2 เสมอ มีทั้งภายนอกและภายในจึงจะเป็นเทวฺ กายะ เป็นธรรมะ 2 เสมอ คำว่า 2 คำว่าธรรมะ 2 จึงรวมไว้หมดทุกอย่างเลย จับคู่เทียบสุดท้าย หยาบตั้งแต่ต้นจะนับมหาศาล จนอันสุดท้ายก็เป็น อัตถิอุปมา หากนัตถิอุปมา คุณจะตัดสินอะไรเป็นโลกุตระอะไรเป็นโลกียะ อะไรหมดหรือไม่หมดก็ไม่ได้ เหลือน้อยนิดนึงกลับหมดเกลี้ยงก็เป็น 2 เพราะฉะนั้นขั้นสุดท้าย อากิญจัญญากับเนวสัญญา
หรือเนวสัญญานาสัญญายตนะกับสัญญาเวทยิตนิโรธ หรืออสัญญีสัตว์กับเนวสัญญานาสัญญายตนะ พระอรหันต์จะเข้าใจว่ามันต่างกัน หรือว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะกับสัญญาเวทยิตนิโรธมันต่างกัน เนวสัญญาฯยังไม่หมด แต่ สัญญาเวทยิตนิโรธหมดแล้วไม่มีเหลือเศษที่ไม่รู้ อากิญจัญญายตนะหรือมันสงสัยว่าหมดหรือยัง เนวสัญญานาสัญญายตนะหมดความสงสัย ตัวท้ายจึงเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ
อาตมาไม่รักกันจริงไม่บอกนะ ลึกลับที่สุดความลับสูงสุดแล้ว ถ้าใครเห็นว่าไม่ลึกลับแล้วก็เป็นอรหันต์ อันนี้คือจุดนี้
ที่รักกันจริงจึงบอก ถ้าไม่รักกันจริงไม่บอก คนที่ไม่มีภูมิธรรม อาตมาไม่พูดหรอก พูดเขาก็ไม่รู้เรื่อง พวกคุณเป็นอุปสัมบันฟังรู้เรื่องถึงบอกเรียกว่ารักกันจริง
วิโมกข์ 8 ไม่ง่ายนะ
-
ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ)
-
ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66) ย่อมเห็น รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี . เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) . (พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)
-
ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ อธิมุตโต . โหติ, หรือ อธิโมกโข โหติ (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามคึที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)