ก.ค.122019ศาสนา620712_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ บุญต้องลืมตาปฏิบัติจนกว่าจะหมดบุญ อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1yQ7amKtcP9o_BuZlE4q84zgVUV7LO0f9XxQsAi8fx7E/edit?usp=sharing ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1QZjEmI6Si1dbQIvnuajCg7b8OVgsM6oi สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม 2562 ที่ บวร ราชธานีอโศก ที่นั่งตอนนี้มีที่นั่งผู้หญิงรถเข้าไปในแถวผู้ชายสองแถว เรายังมีเก้าอี้ว่าง แต่ที่กระทรวงเก้าอี้ไม่ว่าง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีรัฐมนตรีช่วยกันว่าการถึง 4 คน ทำไมถึงมีคนมาก กระทรวงนี้มีงบประมาณถึง 108,000 ล้านบาท แต่ก็ยังดีที่ทำงานกัน ประเทศชาติจะได้เจริญขึ้น แต่ชีวิตของพวกเราที่มาฟังธรรมก็เพื่อพัฒนาตัวเอง ศาสนาพุทธมีการพัฒนาไม่หยุดยั้ง สังเกตว่าผู้ที่เป็นโพธิสัตว์ก็ไม่เห็นจะอยู่สบาย พระพุทธเจ้าก็ไม่เห็นจะอยู่สบายตรงไหน ทรงดำเนินด้วยพระบาทไปสอนคน ตลอด 45 ปีก็คงไม่ใช่น้อย ก็ทรงลำบาก พ่อครูเป็นโพธิสัตว์ซ้อนเราท่านก็ไม่เห็นจะอยู่สบาย ท่านก็ลำบาก พระพุทธเจ้าท่านนอนน้อยทำงานเยอะส่งงานมากมาย พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ที่ตั้งบนความลำบากกุศลธรรมเจริญยิ่ง ผู้ที่ตั้งตนบนความสบายอกุศลธรรมเจริญยิ่ง พ่อครูว่า…ใช้sms อธิบายขยายความ _SMS วันที่ 10 ก.ค. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ) _3867 เขาพระสุเมรุถึงกาลล่มสลายจมหายลงสู่มหานทีสีทันดร!พ่อครูเปรียบโลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็กจนกินตัวเองจะพบจุดจบน้ำท่วมโลกตามคัมภรี์ไตรโบราณไหม? บ่ฮู้? แต่พ่อครูลูกอโศกก็ ต่อเรือนาวาบุญนิยมอยู่มาหลายน้องน้ำแล้วละ เอ๊เห่สาธุหน๊อ! สื่อธรรมะพ่อครู(มรรคมีองค์ 8) ตอน ปฏิบัติธรรมมีทางเดียวไม่มีหลายทาง _1561 กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพครับ ผมเข้าใจว่าเป้าหมายสูงสุดของพุทธคือนิพพาน แล้วมีเส้นทางหลายๆเส้นทางที่จะไปถึงเป้าหมายนั้นได้เนืองจากคำสอนพุทธธรรมมีหลายหมวดและลึกซึ้ง พ่อครูพอจะเมตตาบอก เส้นทาง (road map) ของพ่อครูที่อยากให้ลูกๆเดินตาม แบบเป็นขั้นตอน ให้พอเห็นแนวทางได้ไหมครับ ขอบคุณครับ/ สรรพศิริ พ่อครูว่า…คุณเข้าใจผิดว่าเส้นทางนิพพานนั้นมีหลายทางนั้นเป็นเรื่องที่ผิด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเลยว่า ”มรรค มีองค์ ๘”นั้นคือ “ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น”(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) ล.25 ข.30 ล. 25 ข้อ[30 ] ทางมีองค์แปด ประเสริฐกว่าทางทั้งหลาย อาตมาบรรยายมาเกือบ 50 ปีแล้วก็บอกว่ามีทางเดียวนี่แหละ มันจะมีหลายหัวข้อธรรม มีหลายกระบวนธรรม แต่ต้องลงมาสู่ทางเดียวคือ คาถาธรรมบท มรรควรรคที่ ๒๐ [๓๐] ทางมีองค์แปด ประเสริฐกว่าทางทั้งหลาย ธรรมอันพระอริยะเจ้าพึงถึง ๔ ประการประเสริฐกว่าสัจจะทั้งหลายวิราคธรรมประเสริฐกว่าธรรมทั้งหลาย พระตถาคตผู้มีจักษุประเสริฐกว่าสัตว์สองเท้าและอรูปธรรมทั้งหลาย ทางนี้เท่านั้นเพื่อความหมดจดแห่งทัศนะ ทางอื่นไม่มี เพราะเหตุนั้นท่านทั้งหลายจงดำเนินไปตามทางนี้แหละ เพราะทางนี้เป็นที่ยังมารและเสนามารให้หลง ด้วยว่าท่านทั้งหลายดำเนินไปตามทางนี้แล้ว จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เรื่องนั่งหลับตาไม่ใช่เรื่องปฏิบัติธรรมตามพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องหลงทางเป็นแบบที่ฤาษีส่วนใหญ่เขามีกัน ทำสมาธิแบบนั้น เขาจะถือว่าทำให้จิตสะอาดบริสุทธิ์ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิด จิตบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้านั้นต้องตามเส้นทางมรรคมีองค์ 8 ตามโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 ขยายขึ้นไปเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 _อำภา รื่นใจดี · กราบนมัสการท่านพ่อครู ลูกขอโอกาสถาม พระอรหันต์สิ้นกิเลสแล้วคงไม่ต้องใช้ธรรมวิจัย แต่ผู้ปฏิบัติธรรมที่ยังไม่บรรลุธรรม ยังต้องอาศัยธรรมวิจัยทุกครั้งในการสร้างปัญญาเพื่อตัดกิเลส ใช่หรือไม่ ถ้าไม่ใช้ธรรมวิจัยจะตัดกิเลสได้หรือไม่ ด้วยวิธีใด เจ้าคะ พ่อครูว่า…ต้องแยกอาการกาย จิต กายในกายหรือเวทนาในเวทนา มีสองส่วนเสมอ แยกแล้วดูว่า อะไรเป็นอะไร ต้องรู้สมมุติสัจจะ ปรมัตถสัจจะ รู้โลกียะโลกุตระ มี 2 ให้เทียบเคียงเปรียบเทียบแล้วเลือกเอาสิ่งที่ดีที่สุดที่ถูกธรรมที่สุด สมกาลสมัย ใช้สัปปุริสธรรมเสมอจะได้ชัดเจนไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่ในทุกยุคสมัยก็จะพอบอกได้ว่า ยุคนี้ถืออันนี้ผิดแต่ถืออันนี้ถูก เช่นยุคนี้ถือว่านั่งหลับตาปฏิบัตินี้ผิด ต้องมาลืมตาปฏิบัติ นักศึกษาเรียนรู้ให้ดีถึงจะได้สัมมาทิฏฐิสัมมาปฏิบัติแล้วจึงจะลดละได้จริง เข้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ สรุปว่า ก็มีความเก่งเชี่ยวชาญมีธัมมวิจัยก็รู้โลกรู้โลกวิทู หลายอย่างที่คนอื่นเขายึดถือแต่เราไม่ได้ยึดถือ จะได้บอกได้สอนคนอื่นได้ _Chalong Ngohkeaw · ช่วงนี้พ่อท่านเทศน์เรื่องหนักๆ ผมตามไม่ทันเลย ฟังครั้งเดียวไม่รู้เรื้องต้องฟังครั้งที่2จึงจะเริ่มเข้าใจ พ่อครูว่า… ก็ บางครั้ง ๆ ที่ 3 ก็จะเข้าใจมากขึ้นครั้งที่ 4 ก็เข้าใจมากที่สุด ครั้งที่ 5 บรรลุธรรมเลย _จาก สู่แดนธรรม · พระบวชเข้ามาเพื่อศึกษาปฏิบัติเพื่อให้พ้นความเห็นแก่ตัว มีวินัย มีความเกรงกลัวต่อ “ปาราชิก” ฉันใด นักการเมืองก็ดุจเดียวกัน หมดความเห็นแก่ตัวแล้วจึงอาสาสมัครเข้ามาเพื่อรับใช้สร้างคุณประโยชน์ให้สังคม ย่อมมีความเกรงกลัวต่อ ปาราชิกของนักการเมือง ฉันนั้น ปาราชิกและสังฆาทิเสส (สังคมาทิเสส) ของนักการเมือง มีดังนี้ ปาราชิกคือ ถูกตัดสิทธิ์มิให้มาอาสาสมัครรับใช้บ้านเมืองอีกตลอดชีวิต เพราะได้ทำชั่ว ทำทุจริตหนักหนาสาหัจจนเปรียบเสมือน “ตาลยอดด้วน” ไม่สามารถสำนึกกลับตัวกลับตนเป็นคนดีได้อีกเลย ต้องตายไป๑ชาติ พ่อครูว่า…ปาราชิกไม่ได้ทำกันเล่นๆ สมีเข้ามานี้ให้ฟังเทศน์ไม่ได้ ต้องหยุดเทศน์เลย หนักกว่าพรหมทัณฑ์ ไม่สอนเฉพาะคนนี้ๆ แต่ปาราชิกนี้หนักกว่าพรหมทัณฑ์ แต่ทุกวันนี้ปฏิบัติการผิดเพี้ยนหมดเลย ปาราชิกก็เข้ามาเป็นมัคนายก เข้ามานำทำพิธีกรรมทางศาสนาอีก ทั้งที่ปาราชิกเป็นสมีไปแล้วก็ยังมาคลุกคลี ซึ่งมันเน่าเสียจนไม่รู้จะเน่าอย่างไรแล้วสังคมศาสนาพุทธทุกวันนี้ อาตมาจึงต้องขอลาออกมาเป็นนานาสังวาส ทุกวันนี้ก็เรียบร้อยดีแล้วสบาย แต่เขาทำกันอย่างหมักหมมเน่าใจ ส่วนสังฆาทิเสส หรือ สังคมาทิเสส (มีเศษเหลือนิดๆห้อยต่องแต่งเอาไว้ เพื่อให้รู้ว่ายังไม่ถูกตัดขาดไปจากสังคมคนดี) ก็คือ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5ปีบ้าง 10ปีบ้าง เมื่อพ้นโทษแล้วยังจะต้องส่งตัวไปเข้าปริวาสอีก เพื่ออบรมล้างจิตใจ เปลี่ยนจิตใจใหม่ สำนึกตนได้แล้ว จึงจะให้ใบประกาศนียบัตรผ่านปริวาสกรรม สามารถไปสมัครรับเลือกตั้งได้ นี่คือ อนาคตใหม่ของวงการนักการเมืองอาริยะ ควรมีมาตรฐานเป็นแบบนี้ พอได้ไหมครับ / พ่อครูว่า…ได้ เพราะปัจจุบันนี้ มาเป็นนักการเมืองกันได้ง่ายเหลือเกิน ไม่มีความเกรงกลัวต่อวินัย ที่เป็นกรอบกำหนดสำหรับความน่าละอายใจ ไม่ควรประพฤติ บางกลุ่มพยายามดันเอาความวิตถารขึ้นมาให้เป็นสิ่งสามัญ เช่น ใช้รัฐสภาเป็นแคทวอล์คเดินแฟชั่น จะแต่งตัวให้เว่อร์ๆ อย่างไรก็ได้ สิ่งอนาจาร (ไม่ควรประพฤติ) ก็จะประพฤติให้กลายเป็นเรื่องปกติ _ดาวดิน ชาวหินฟ้า “นโยบายยุครัฐบาลลุงตู่ เลือกปฏิบัติ อยากให้พ่อท่านได้รับรู้ จะได้ไม่หนุนรัฐบาลที่กดขี่ข่มเหงคนยากจน แต่อุ้มกลุ่มทุนในทุกเรื่อง …. เช่น ใช้ม.44 ยกเลิกกฎหมายผังเมือง และแก้รัฐธรรมนูญปี 50 ทำให้ไม่ต้องผ่านการประชาพิจารณ์ของทุกชุมชน โรงงานขยะพิษงอกราวกับดอกเห็ด แถมหุ้นส่วนโรงงานทั้งหลายมีญาติข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหุ้นส่วน นี่คือหายนะสิ่งแวดล้อมไทยนะคะ ฝากถึงพ่อท่านด้วยค่ะ ด้วยความเป็นห่วง /คนไทย จิตใจ รักชาติ ฝากมา พ่อครูว่า…อาตมาก็ว่าอาตมาไม่ได้ปิดหูปิดตานะ จะใส่ความกันมากไหม อาตมาก็เห็นว่าลุงตู่ถูกว่า ว่าแจกเงินคนจนบ้างหรือเอาโฉนดจากนายทุนมาให้คนจนคืนบ้าง จนกระทั่งหาว่าไปเป็นประชานิยมกับคนจน ก็ถูกว่าอยู่นะ มากมายหลายเรื่อง ทำไมไม่เห็นเรื่องพวกนี้เลย ทำไมไปบอกว่าลุงตู่ไปกดขี่ข่มเหงคนยากจน คือ คนไม่เห็นนี่ก็ตาบอดจริงๆนะ ดาวดินเอ๊ย! ตาจะบอดเอาแล้วนะมันมืดมัว พยายาม เอานี่พูดจริงๆเตือนสติ ไม่อย่างนั้นมันจะไปกันใหญ่ พยายาม รับรู้เรื่องราวอะไรต่ออะไร ขอยืนยันว่า นายกฯตู่เป็นนายกฯที่ทำงานเป็นประโยชน์ให้แก่สังคมเป็นผู้บริหารได้ แม้แต่ถูกรับรองจากประเทศภายนอกถ้าคุณไม่ตาบอดก็จะเห็นจริง อย่าไปหลงคารม มันเห็นเอียงมานานแล้ว แต่นี่พูดไปจะฟังรู้เรื่องไหม แทนที่จะมาเตือนผมคุณเตือนตัวคุณเองแก้ไขตัวคุณเองในฐานะอุปัชฌาย์ บอกสอนไปกลางที่สังคมเลย คุณรู้รายละเอียดหรือไม่ ยกกฎหมายนั้นมีเหตุผลหรือไม่ เขาไม่ได้คิดคนเดียว ลุงตู่ไม่ได้คิดกฎหมายคนเดียว มีคณะคิดกันแล้วก็ตัดสินกัน เรื่องการคอรัปชั่นก็จะเป็นเรื่องส่วนบุคคลไม่ใช่มีเฉพาะในยุคนายกฯตู่มันก็จะมีในทุกยุคสมัยมันหมดไปไม่ได้ง่ายๆหรอก สงสัยท่านดาวดิน copy มาอีกที _SMS วันที่ 11 ก.ค. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ สมณะ สิกขมาตุ บ้านราช) _ยุพา ชมชื่น · ชอบฟังท่านสมณะสิกขมาตุเอาธรรมพ่อครูมาย่อยมาอธิบายให้เข้าใจและนำไปใช้ได้ค่ะ _แก้วลา ไชยวงค์ · กราบนมัสการพ่อครู ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุ ด้วยความเคารพละศรัทธาอย่างสูงยิ่ง(เป็นทุกข์ที่นายทนาธรเดินสายเล่าความเท็จให้คนต่างชาติอยู่ในขณะนี้) พ่อครูว่า…เขาจะเอาไฟในออกนอก ซึ่งเป็นเรื่องที่คนดีเขาไม่ทำกัน พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสไว้ว่ามีแต่คนชั่วเขาทำ คนไม่รู้ดีรู้ชั่ว ทำงานสังคมอยู่ก็น่าสังเวช ทางการเขาก็ดูแลอยู่ อาตมาก็บอกว่าเขาก็ต้องชะลอค่อยๆทำ เขามีจิตวิทยาหลายด้านจะทำ แต่อาตมาบอกว่าไม่รอดหรอกธนาธรเอ๋ย เขาทำตัวเองขนาดนี้แล้ว แต่คณะนี้เขาไม่ทำอะไรโฉ่งฉ่างเกิน เพราะ Action reactionมันแรง อวดดีไปไม่รอด _ผู้ฟัง ขอความหมายคำแปลของคำว่า อุดมการณ์ และ อุดมคติ ค่ะ พ่อครูว่า…ก็มีคำว่าอุดม คำเดียวกัน ต่างกันที่การณ์กับคติ การณ์หรือกรณะ มันแปลว่า การกระทำเหตุการณ์ ส่วนคติ แปลว่าการฟัง การเดินทางการเดินไป ไปสู่ที่เกิดต่างๆ หรือบางทีก็แปลว่าที่ตั้งอยู่ ตกลงอยู่ตรงนั้น หรือคติก็คือความรู้หรือญาณก็ได้ สรุปแล้ว การณ์ คือทำเหตุทำเค้ามูล ความหมายของคำนี้ อาจหมายถึงการทำร้ายการเบียดเบียน ส่วนคติ ไปในทางดีทางสูง ถ้าเขาบอกว่าอุดมนำหน้าก็ไปทางสูง อุดมคติ คือไปทางสูง หากเทียบอุดมการณ์ คือ Static อุดมคติคือ Dynamic ก็ขยายความอย่างนี้ _ไกรวุฒิ อินราช • ท่านประยุทธ์ ดีตรงไหนครับ สำหรับพ่อท่านมันดี แต่อีกมุมของคนไทยบางกลุ่ม มันไม่ดีและดีไม่พอสำหรับพวกเขา ท่านประยุทธ์ เอาง่ายๆครับ แกดีไหม ดี ทำให้ประเทศชาติสงบดีเรียบร้อย งบประมาณก็เงียบหายหมดตรวจสอบไม่ได้ คำตอบเดียวตลอด คือ ไม่มี ทำไม มีปัญหาอะไร อยู่ไม่ได้ก็ย้ายสิ นี้แหละ ท่านประยุทธ์ _ดวงใจ โทนุวงค์ • ผู้แพ้เป็นเพลงที่เพราะมากพ่อครูเองเหรอแต่ง พระอาจารย์เป็นคนจังหวัดเดียวกับ หลวงปู่มั่น อรหันต์ที่ยิ่งใหญ่ของภาคอิสาน คืออุบลฯ พี่น้องทุกคนในครอบครัวชอบร้องเพลงทุกคน พวกพี่ชายคนโตหลายคนชอบฟังเพลงเก่าหวานๆเพราะหลายเพลงทั้งลูกทุ่ง ลูกกรุงเก่าๆ จึงทำให้รุ่นน้องลงมาชอบฟังเพลงเพราะหวานๆในอดีดตามไปด้วย แต่มีพี่ชายคนรองลงมาเขาจะเสียงดีร้องได้ดีเพราะมากทั้งลูกทุ่ง และลูกกรุง ลูกทุ่งเก่าๆจะเป็นเสียงครูทูล สมยศ ก้านแก้วและอีกหลายคน ส่วนลูกกรุงก็จะมี ชรินทร์ และอีกหลายท่าน รวมทั้งเพลงของนักร้องที่เสียงสุดเพราะและหวานอีกท่านหนึ่ง คือครูนริศ อารีย์ โดยเฉพาะเพลง ผู้แพ้ ของพ่อครูแต่ยังเด็ก เคยได้ยินชื่อท่านที่แต่ง แต่มาฟังอีกครั้ง ท่านเองที่แต่ง เราเองก็ชอบฟังและชอบร้องด้วย เพราะพี่ๆทุกคนก็ชอบ ตั้งแต่เด็กก็ได้แต่นั่งฟังพี่ๆเขาร้อง แต่ก็ร้องเล่นๆเวลาเดินไปตามท้องไร่ปลายนา จนโตขึ้นก็เคยขึ้นประกวดบ้างแต่ขึ้นเวทีทีไรมันจะประหม่าเวทีได้บ้างไม่ได้บ้าง มาถึงสมัยคาราโอเกะ มีประจำทุกหลังคาเรือน การร้องก็พัฒนาขึ้นจนหายประหม่า ทุกวันนี้การงานรัดตัวก็ไม่ค่อยจะมีเวลาร้องเท่าไหร่ พ่อครูว่า…สายนั่งหลับตาไม่มีอรหันต์ อ.มั่นไม่ใช่อรหันต์ จะเป็นอรหันต์ต้องปฏิบัติลืมตา การปฏิบัติหลับตานั่งหลับตานั้นได้แต่ทำ เตวิชโช นั่งทบทวน ไม่ใช่นั่งสมาธิแล้วจะบรรลุธรรมในการนั่งหลับตามันไม่มี ไม่เกิด ในพระไตรปิฎก 45 เล่ม ไม่มีพระองค์ไหนนั่งหลับตาและบรรลุ หรือแม้แต่ในพระไตรปิฎกก็ไม่มีตรงไหนพาดพิง ว่ามีการนั่งหลับตาทำสมาธิกันอยู่ ไม่มีเลยลองตรวจสอบดู แม้แต่คำว่าหลับตาคำเดียว ในพระไตรปิฎก 45 เล่มนี่ก็ไม่มี ถ้าหากว่ามีการนั่งหลับตาทำสมาธิ จะต้องมีการเอามาเขียนเป็นเรื่องราวไว้ มันจะต้องมีบรรจุไว้ในพระไตรปิฎก บอกไว้ว่าตอนนี้ท่านกำลังนั่งสมาธิอยู่ก็มี แต่นี่ไม่มีเลย ไปอ่านให้แตกฉานในพระไตรปิฎก มีแต่ให้ลืมตาพิจารณาตลอด กาย เวทนา จิต ธรรม นี่ก็ไม่รู้จะพูดไปอีกนานเท่าไหร่เพราะมันหลงผิดหลงทางกันมาไกล จนกระทั่งอาตมาซึ่งไม่มีเครดิต อาภัพ พูดเท่าไหร่ก็ไม่เชื่อ จนกระทั่งจำเป็น บอกว่าอาตมาเป็นผู้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ ก็พูดหมดเพื่อย้ำยืนยันให้เชื่อว่า ให้เข้าใจว่า อาตมากล้าพูดอย่างนี้ทีเดียว ถ้าหากอาตมาไม่มีของดี แล้วอาตมาไปพูดอย่างนี้ มีคนจับได้ไล่ทัน ป่านนี้อาตมาตายแล้ว ถูกเขาถล่มทลายแล้ว ผู้รู้มีไม่น้อยในสังคมศาสนา ถ้าหากอาตมาไม่จริงรับรองตอนนี้เป็นเศษธุลีแล้ว ถูกกระทืบแบน เป็นเศษผงแล้ว จริงๆ อาจารย์มั่น ไม่ใช่อรหันต์ ที่ต้องบอกว่าเขาหลงผิดกันมาก อรหันต์ปลอมแล้วเขาไปบอกว่าอรหันต์จริงได้อย่างไร ขอยืนยัน ถ้าเข้าใจหลวงปู่มั่นเป็นอรหันต์แล้วอาตมาไม่ใช่อันนั้นจบเลยศาสนาพุทธ ประมาณนั้นเป็นอรหันต์ ส่วนสายหลับตาแบบมหาบัวไม่ใช่อรหันต์ _สมประสงค์ สวรรค์นินิต • อ้าวบอกว่าเป็นพระอรหันทําไมไม่ถอดจิตหรือเหาะไปหาท่านจําลองละคับ พ่อครูว่า…อรหันต์ ของคุณมันหันลงเหวไปแล้ว การเหาะได้ไม่ใช่เรื่องยืนยันอรหันต์ _โมกข์ หิรัญเขว้า ผู้ปฏิบัติต้องมีกรรมกิริยาสัมผัสวิโมกข์8ด้วยกายอันคือนาม(วิญญาณฐีติ7)และรูป(สัตตาวาส9) รู้นอกรู้ใน รู้กายรู้จิต ปฏิบัติที่เวทนา เข้าใจเวทนา2 ศึกษาทีละหัวข้อเป็นลำดับไป พ่อครูว่า…ถูกต้อง สรุปตรงนี้เลย การปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าหัวใจสำคัญอยู่ที่เวทนา ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 อันนี้คือหัวใจสำคัญของศาสนาพุทธ เรียนตรงนี้ ถ้าไปเลอะเทอะอย่างอื่นไม่ใช่ทั้งนั้น ซึ่งรู้จักเวทนาในเวทนาก็จะรู้จักจิตในจิตที่เป็นสภาวะของจิต สราคะ สโทสะ สโมหะ แล้วทำให้เป็นวีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ ทำได้ผลแล้วก็จะเป็น วิกขิตตัง กับสังขิตตัง ตามจริต เจโตหรือปัญญา ก็ทำให้เจริญขึ้นอีกเป็น มหัคตจิต หากทำแล้วไม่สามารถเจริญได้ก็ไป อมหัคตจิต ทำแล้วจิตดีกว่านี้มีอีกหรือไม่ สอุตระ กับอนุตรจิต ทำแล้วเป็นสมาหิตะ อสมาหิตะ เป็นวิมุติหรืออวิมุติ นี่คือเจโตปริยญาณ 16 เราจะต้องชัดเจนตรวจสอบได้แล้วก็ปฏิบัติเวทนา ท่านแยกไว้ 108 ในศาสนาพุทธทุกวันนี้เขาไม่พูดกันแล้วเวทนา 108 ถ้าไม่พูดถึงเวทนา 108 แล้วก็ไม่เข้าใจ เคหสิตเวทนา ที่เป็นมโนปวิจาร 18 กับ เนกขัมสิตเวทนา อีก อย่างละ 18 แล้วแยก เคหสิต เนกขัมมะ อ่านอาการลิงคนิมิตอุเทส เป็นเวทนาที่ออกจากโลกีย์เป็นเนกขัมมะ หากไม่รู้รูปนามอ่านอาการไม่ได้ ถ้าหากแยกชนิดไม่ได้แล้วก็ทำให้กิเลสที่เป็นเคหสิตะ แล้วกำจัดกิเลส โดยวิธีวิปัสสนา แล้วจึงสามารถกิเลสจางคลายจนดับได้ ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่นั่งหลับตาเด็ดขาด ต้องลืมตามีผัสสะเป็นปัจจัย ต้องมีผัสสะ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ถึงจะเกิดเวทนา ไปหลับตาปฏิบัติโมฆะจากศาสนาพุทธ มโนปวิจาร 18 เกิดไม่ได้ มโนปวิจาร 18 ต้องเปิดทวารทั้ง 6 ปฏิบัติ ต้องดูให้ดี พวกที่เป็นเปรียญ 9 ด็อกเตอร์ทางศาสนาก็มีเยอะแต่ทำไมถึงไม่ชัดเจนอันนี้ ทำไมก็เพราะว่าผิดเพี้ยนไปตามอาจารย์ที่ถ่ายทอดความผิดมาหลายร้อยปี จะเป็นพันปีหรือเปล่าก็ไม่รู้ อาตมาต้องมากู้ต้องมาดึง เอาสิ่งที่ถูกขึ้นมาใหม่ อาตมาเลยกลายเป็นคนแปลก อธิบายไม่เหมือนอาจารย์ของอาจารย์เขาอธิบายกันเลย มาจากไหนแล้วเอ็งมาจากไหน น่าสงสารมากเลยอย่าอคติกับอาตมา ที่คนยึดถือกันนั่งหลับตาปฏิบัติอาจารย์ส่วนมากทำผิดแล้ว ตั้งใจให้ดีๆแล้วทำคืนให้ได้ _จากคุณ Saksit Bigpig หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ตอบปัญหาธรรมและการปฏิบัติธรรม คำถาม : บุคคลกลุ่มหนึ่งชอบกล่าวอ้างพระองค์นั้นพระองค์นี้เป็นพระอรหันต์ หลวงปู่เองก็มีผู้จดหมายถามว่าหลวงปู่เป็นพระอรหันต์หรือเปล่า และบางครั้งยกยอให้หลวงปู่เป็นพระอรหันต์ หลวงปู่ก็ได้เมตตาตอบจดหมายเขาเหล่านั้น หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ตอบ : ที่ให้คะแนนหลวงปู่เป็นพระอรหันต์ แท้จริงแล้วหลวงปู่หาพระอรหันต์ในสกลกาย สกลใจ สกลวาจามาช้านานแล้วไม่พบเลย พบแต่กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขารเท่านั้น แม้จิตสังขารเล่าก็เกิดดับเร็วยิ่งกว่าพยับแดด ติดต่อกันเป็นรอบๆ เป็นพืดหาระหว่างมิได้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็คือผลลัพท์ พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าให้รู้ อาการ ลิงค(เพศ) นิมิต (การกำหนดหมาย) จากอุเทสที่ผู้รู้แสดงให้ฟัง การฟังอุเทสที่ผิดถึงไม่มีสัมมาทิฏฐิจะไปปฏิบัติได้ถูกต้อง ใครก็ว่าอาตมาไปข่มสิ่งผิด แล้วหากไม่ได้ข่มสิ่งที่ควรข่ม อาตมาก็ตกงานเลย การปฏิบัติกาย วาจา ใจให้ถูกทางเป็นหนทางไปสู่พระอรหันต์เท่านั้น ไม่ใช่กาย วาจา ใจเป็นพระอรหันต์ ถ้าปฏิบัติผิดเล่าก็เป็นทางไปสู่ความเสื่อม จิปาถะนรกก็ว่าเพราะมันรกอยู่ที่ใจเดือดร้อน เมื่อมีผู้สรรเสริญว่าหลวงปู่เป็นพระอรหันต์ หลวงปู่ก็เฉยเสียไม่รับไม่ปัด มีผู้ยกยอปอปั้นว่าเราเป็นพระอรหันต์ก็อย่าดีใจ เพราะพระวินัยทรงห้ามปรามไว้แจ่มแจ้งแล้ว พ่อครูว่า…พูดเท่ พูดโก้ นะ แต่ในอภิณหปัจเวกขณ์ พระวินัยไม่ได้ห้ามไม่ให้บอก แต่ต้องบอกด้วย บรรลุแล้วต้องบอกในโลหิจสูตร เป็นความมิจฉาทิฏฐิ ลงทะเลยะเยือกเย็นเลย ท่านไม่ได้ห้าม ในโลหิจสูตรบอกไว้ และในอภิณหปัจเวกขณ์ ข้อที่ 10 อัตถิ นุ โข เม อุตตะริมะนุสสะธัมมา อะละมะริยะ ญาณะทัสสะนะวิเสโส อะธิคะโต, โสหัง ปัจฉิเม กาเล สะพรหมะจารีหิ ปุฏโฐ นะ มังกุ ภะวิสสามีติ ปัพพะชิเตนะ อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง บรรพชิตพึงพิจารณาโดยแจ่มชัดอยู่เนืองนิจว่า, ญาณทัสสนะอันวิเศษควรแก่พระอริยเจ้า, อันยิ่งกว่าวิสัยธรรมดาของมนุษย์, ที่เราได้บรรลุแล้ว, เพื่อเราจะไม่เป็นผู้เก้อเขิน เมื่อถูกเพื่อนสหพรหมจารีด้วยกันถามในภายหลัง, มีอยู่แก่เราหรือไม่, ดังนี้ พ่อครูว่า…ใครมาถามต้องตอบได้ไม่เก้อ ตอบได้ทันที ไม่ต้องเก้อยากไม่อิดออดเลย ไม่ใช่เข้าใจว่าบอกไม่ได้ ผู้ที่เข้าใจว่าบรรลุแล้วบอกไม่ได้ ในโลหิจสูตร โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่… ฯลฯ ” . พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีคติ ๒ คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง (พตปฎ. เล่ม ๙ ข้อ ๓๕๘) ผู้เข้าใจว่า บรรลุแล้วบอกใครไม่ได้มีคติสองทาง คือตกนรกหรือเดรัจฉาน โทษหนักนะ นี่ ในขณะนี้ รู้ในระดับที่เขายกย่องกันยังพูดครั้งอย่างกับอาตมา แล้วบอกว่า ผู้ที่บอกว่าตนเองบรรลุแล้วคือผู้ที่มาจะรู้อย่างนี้เลยนะ อาตมาถึงว่า ผู้พูดผู้นี้อาตมาเคารพนะ ว่าท่านเป็นผู้ที่ตรงต่อการศึกษาซื่อสัตย์ต่อพระไตรปิฎกพระธรรมวินัย แต่ท่านอธิบายผิดเพี้ยน ท่านลอกมาถูกจากพระไตรปิฎก แปลผิดก็มี เช่น อปุญญาภิสังขารท่านก็แปลว่า สังขารที่เป็นบาป ซึ่งเป็นการแปลที่ผิด หากบุญล้างกิเลสแล้วไม่จบ คุณจะเอานิพพานจากที่ไหนคุณก็วนอยู่กับบาปกับบุญ บุญไม่มีการกลับไปเป็นบาปอีก บุญมีหน้าที่ฆ่ากิเลสอย่างเดียว กิริยาของบุญ คือผู้ที่สามารถสร้างพลังงานจิตให้เป็นกิริยาของบุญและพลังงานบุญ เป็นอุหณหธาตุ เป็นไฟ ภาษาบาลีเรียกว่าฌาน ไฟฌานจะไปฆ่าไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะได้ อาตมาว่าใช้คำอธิบายไม่ยากแล้วนะ แต่คนจะเข้าใจบุญอย่างสัมมาทิฏฐิครบนั้นยากจริงๆ อาตมาถึงต้องเปิดคอลัมน์ในหนังสือเราคิดอะไรว่าเปิดยุคบุญนิยม แต่เขาเอากุศลไปใช้เป็นบุญ ศาสนาอื่นก็ยืมใช้ ศาสนาเทวนิยมใช้คำว่านักบุญเลยนะ ที่จริงแล้วศาสนาเทวนิยมไม่มีบุญหรอก แม้แต่ชาวพุทธก็ไม่รู้เรื่อง เขาไปปู้ยี่ปู้ยำก็ไม่รู้เรื่อง นิมนต์พ่อครู จิบน้ำ สม.กล้าข้ามฝัน ส.แสนดิน ขณะนี้คุณ Saksit Bigpig ก็เขียนตอบมาว่า… นี้คือการแลกเปลี่ยนนะคับ…สาธุ การสำเร็จแต่ก่อนมามีอะไรแสดง..เช่นกะดูกแปรเป็นพระธาตุ..เพราะได้การชักฟอกจนบริสุทธิ์.. มีในพระไตรปิฎกเล่มไหนที่บอกว่ากระดูกเป็นพระธาตุเป็นเครื่องยืนยันความเป็นพระอรหันต์ นี้คือการแสดง..ที่คนธรรมดาใช่ทำได้ พระอรหันต์ไม่มีในรูปกาย นามกายคือขันธ์ ๕ เพราะรูปกายนามกาย ขันธ์ห้าเป็นขันธมาร กิเลสมารก็เข้าไปสิ่งถือเอาเป็นตัวตน เรา เขา สัตว์บุคคล ชนะกิเลสมารด้วยพระปัญญาอันถ่องแท้แน่ใจ มารทั้งหลายก็หายหน้าไปพร้อมกันทันเวลาพริบตาเดียว พ่อครูว่า…แบบนี้เป็นการปฏิบัติที่ไม่มีเบื้องต้นท่ามกลางบ้านปลายนั่งหลับตาปฏิบัติแล้วบรรลุเลยอย่างนี้มันน่าสงสาร ทั้งนั้นเลยไปเข้าใจอย่างนี้หมดซ้อนกันมาผิดๆ อย่างนั้นมันเป็นเรื่องตรรกะ คำพูดเท่ๆเท่านั้น หากรู้ก็รู้ชัดเจน เอามาสอนได้ด้วย รู้แล้วก็หายไปอย่างนี้ไม่ใช่ เอาคำเท่ๆโก้ๆมาพูดทั้งนั้นเลย เอาคำโวหารมาพูด รู้เท่าอันใดนั้นก็หายไปเพราะไม่ได้มาสงสัยอันนั้นอีกใช่หรือไม่ ใจที่ฝึกฝนดีแล้วกลายเป็นทรงธรรมอันไม่ตาย ไม่ได้มาบัญญัติว่าใจอีก แต่เพียงบัญญัติว่าธรรมอันไม่ตาย ธรรมทรงธรรม นิพพานทรงนิพพานก็ว่าได้ ส.ฟ้าไทว่า คนฟังหลวงปู่นี้จะรู้เรื่องไหม พ่อครูว่า…จะเคลิ้มเลย แต่ไม่รู้เรื่องเป็นตรรกะหวานๆ จดหมายของลูกๆ นั้น หลวงปู่ได้รับแล้วรู้สึกซาบซึ้งในสัมมาวาจาที่ลูกๆ พูดลูกๆ ปรารภ การที่ลูกให้คะแนนว่าหลวงปู่เป็นพระอรหันต์นั้นมันเป็นเรื่องของลูกๆ ต่างหาก ไม่ใช่เรื่องของหลวงปู่เลย หลวงปู่มาตรวจดูในรูปขันธ์ก็สักแต่ว่าเป็นรูปขันธ์ไปเสีย มาตรวจดูในนามขันธ์ก็เป็นแต่สักว่านามขันธ์เสีย มาตรวจดูในคำว่าหลวงปู่ก็เป็นแต่สักว่าคำว่าสมมติหลวงปู่ไปเสีย พระอรหันต์ไม่มีในหลวงปู่เสียแล้ว เหตุนั้นหลวงปู่จึงไม่ดีใจเสียใจในเรื่องนี้ พ่อครูว่า…เป็นเรื่องการพูดแบบเก้อยาก มังกุ ที่พูดมานี้แบบเก้อยาก กระมิดกระเมี้ยนไม่หนักแน่น บอกสิ มันมีก็ว่ามี ไม่ใช่ว่าว่าไม่ใช่ ผิดมาก็ว่าผิดมาก ผิดน้อยก็ว่าผิดน้อยแต่นี่พูดเหมือนเก้อเขิน อนึ่ง รูปขันธ์ก็ดี นามขันธ์ก็ดีที่เรียกว่าเราๆ เขาๆ ท่านๆ ตลอดจนถึงจิตใจและผู้รู้ ถ้าปฏิบัติถูกก็เป็นศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหนทางเดินเข้าสู่พระนิพพาน ถ้าทำถูกทางก็เป็นหนทางเพื่อเข้าสู่พระอรหันต์ ถ้าทำผิดก็ตรงกันข้าม หนทางเข้าสู่พระอรหันต์กับหนทางสู่พระนิพพานก็รสชาติอันเดียวกัน ต่างกันก็แต่คำว่าชื่อเท่านั้น พ่อครูว่า… สุดท้ายด้วยเดชพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงเป็นสุขทุกถ้วนหน้าในโลกุตรธรรมของพระบรมศาสดาอยู่ทุกเมื่อเทอญ +++++ หลวงปู่หล้า เขมปัตโต พ่อครูว่า…ยิ่งอ่านก็เห็นว่าเป็นพวกเดาไม่ชัด ไม่อาจหาญแกล้วกล้า ตอบจริงๆไม่ได้ สมณะฟ้าไท คนที่มาสายแบบนี้ก็ชอบแบบนี้ ยืนยันไม่ชัดเจนดูอ่อนน้อมถ่อมตน พ่อครูว่า…ผู้ชัดเจนแล้วจะไม่พยายามทำให้คนคลางแคลงสงสัยจะบอกอย่างชัดเจน ไม่ใช่ตอบอย่างเบลอเพี้ยน แต่ที่เขาพูดมานี้เบลอ ในพระไตรปิฎก ท่านก็ตอบระหว่างภิกษุด้วยกัน ว่าเราเป็นอรหันต์กันมาตั้งนานแล้วอย่างนี้เป็นต้น อย่างเช่นพระพักกุละ เป็นต้น ในอภิณหปัจเวกขณ์ข้อที่ 10 บรรพชิตพึงพิจารณาโดยแจ่มชัดอยู่เนืองนิจว่า, ญาณทัสสนะอันวิเศษควรแก่พระอริยเจ้า, อันยิ่งกว่าวิสัยธรรมดาของมนุษย์, ที่เราได้บรรลุแล้ว, เพื่อเราจะไม่เป็นผู้เก้อเขิน เมื่อถูกเพื่อนสหพรหมจารีด้วยกันถามในภายหลัง, มีอยู่แก่เราหรือไม่, ดังนี้ ต้องตอบอย่างไม่มังกุ ไม่ใช่ตอบอย่าง หลวงปู่หล้านี้ แบบนั้นไม่ใช่อรหันต์ แต่เป็น “อรหเหว” ไม่ใช่ว่าไปดูถูกดูแคลนนะ ความจริงให้ชัดเจน ว่าจะไปหลงใหลกันไปถึงไหนหนอ อาตมาสอนธรรมะมาจะ 50 ปีแล้ว เขาก็ยังไปยึดมั่นถือมั่นงมโข่งอยู่ อาตมานี้ไม่มีราคาเลย พูดเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้นเขาไปจมอยู่กับสิ่งที่ผิดอยู่ คุณใบฟ้า…ถามเกี่ยวกับ ฐานะ 4 _ทุกฐานะสามารถปฏิบัติธรรมะเป็นพระอรหันต์ได้หรือไม่ พ่อครูว่า…สามารถปฏิบัติได้ทุกฐานะ _บุคคลฐานะที่ 1 สามารถสวมบทบาทของอีกฐานะหนึ่งได้ตามสถานการณ์และความจำเป็น ตัวอย่างเช่นนักบวชท่านหนึ่ง สามารถเป็นทั้งนักบริหารนักบริการและนักผลิต เช่นเดียวกับฆาราวาสคนหนึ่ง สามารถเป็นนักบวช โดยนำทาง นักบริหารนักวิชาการนักธุรกิจได้เช่นเดียวกัน ความเข้าใจเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่อย่างไร พ่อครูว่า..ถูกต้องเป็นได้ แต่อาจจะเด่นไปต่างกัน อย่างอาตมาฐานะนักบวชก็เด่น ฐานะนักบริหารก็เด่น แต่ฐานะนักบริการก็มี นักผลิตก็เป็น มันไม่ได้เป็นเรื่องประหลาด พ่อครูว่า… 1 ฐานะนักบวช เป็นชนชั้นที่ปรึกษาเป็นปุโรหิตเป็นผู้ทรงธรรม เป็นผู้ที่มีธรรมะแล้วเป็นครู 2 ฐานะนักบริหาร ชนชั้นนักบริหาร เป็นผู้อาสาช่วยสังคม ชีวิตจนจน นักบริหารจะเป็นผู้มีชีวิตเป็นคนจนอย่างเช่นในหลวงรัชกาลที่ 9 ถ้าเราไปบริหาร โดยเฉพาะทางเศรษฐศาสตร์ถ้านักบริหารเป็นคนจน และบริหารให้คนมาเป็นคนจน การพัฒนาเศรษฐกิจ การบริหารเศรษฐกิจ จะได้ประโยชน์ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว ไม่มีตัวอย่างมันไม่ได้หรอก มันไม่มีประสิทธิภาพไม่มีประสิทธิผล ไม่ศักดิ์สิทธิ์ 3 ฐานะนักบริการ นักบริการ ชนชั้นพ่อค้า ถ่ายโอนการผลิตสินค้าหรือว่า เป็นผู้ที่รับค่าตอบแทนอยู่ แต่ก็รับน้อยลงไปเรื่อยๆถ้าเป็นนักปฏิบัติธรรม จึงไม่ต้องสะสม กักตุนทรัพย์สินเงินทองให้ตนเองมีมาก ถ้าเข้าใจความเป็นจริงพวกนี้จริงๆ แล้วปฏิบัติตามที่ว่าสังคมจะเจริญอย่างมาก สังคมจะเป็นสังคมอุดมสมบูรณ์ไม่ต้องแย่งชิงฆ่าแกงกัน เป็นสังคมสงบสุขอบอุ่น เป็นญาติโกโหติกาพึ่งพาอาศัยกันไปทั่ว 4 ฐานะนักผลิต ชนชั้นนักผลิตจะออกเรี่ยวแรง เป็นคนทำเป็นกรรมกร จึงสมควรมีรายได้มาก เพื่อตนเอง มากกว่าฐานะอื่น มีได้มากจริงตามกิจของตนๆ ต้องมีเงินสมควรที่จะทำกิจการได้ 5 นักปฏิบัติที่เป็นนักเรียนนักศึกษา ยังไม่มีงาน ยังไม่มีรายได้ แม้แต่ ฐานะ 4 นี้ นักบวชจะจนที่สุดเป็นลำดับ 1 นักบริหารก็จะจนรองลงมา ก็จะมีเงินบ้างในฐานะที่ 2 ส่วนนักบริการ ก็จะมีส่วนได้มีเงินทองมากขึ้น ส่วนนักผลิตเป็นกรรมกรแท้ๆจะต้องมีเงินมากที่สุดนี่คือสารสัจจะที่ถูกต้อง แต่ตอนนี้มันกลับหัวกลับหางไปหมดเลย สังคมทุกข์ยากเพราะมันตีลังกากลับ กลายเป็นว่านักบวชรวยที่สุด เชื่อไหมว่านักบวชนี้รวย ไปสอบในธนาคารสิ รวมเงินของนักบวชรับรองชนะหมดเลย นายห้างใหญ่ทั้งหลายแหล่สู้นักบวชไม่ได้หรอก แล้วภาษีก็ไม่เสียมีดอกเบี้ยเจริญตลอดกาล ดีไม่ดีเอาไปเล่นหุ้นด้วยเอาไปลงทุน กิจการนั้นกิจการนี้ด้วยนะ นักบวชทุกวันนี้ พูดแล้วมันสยองจริงๆสมเพชเวทนา บาปกินหัวหนักๆ คนพวกนี้ ไม่รู้จะตกนรกขนาดไหน นักบวช นักบริหาร คือคนที่จะต้องมาเป็นตัวอย่างทางด้านเศรษฐกิจ ในหลวงเราท่านเป็นในหลวงท่านมีทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในฐานะที่มีพอสมควร ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านบอกว่าท่านเป็นคนจน แต่คนไม่เชื่อ คนก็นึกว่าท่านรวยมีกิจการมากมาย พวกที่หาเรื่องก็หาบาปใส่ตัวต่างๆนานาสารพัด ท่านตรัสว่า เราเป็นคนจนเรากินข้าวกล้อง แล้วก็สอนให้บริหารสังคมแบบคนจน ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งมาก เป็นสิ่งที่สูงส่งเป็นนักบริหารเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่สูงส่ง มีฐานะทางธรรมสูงมากคนเข้าใจได้ยากมาก ขนาดนั้นพวกเทวนิยม สหประชาชาติก็ยังพอเข้าใจ แต่คนชาวพุทธเองไม่เข้าใจ เป็นเรื่องที่น่าสังเวชในศาสนาพุทธ ส่วนนักบริการกับนักผลิต เป็นฐานเลย์แมน เป็นคนทั่วไป ก็เป็นนักผลิตนักบริการผู้แบกหามนักสร้างนักก่อ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน จับกังแบกลังทองตลอดเวลา เพราะนายทุนหลอกไว้ นี่เป็นความเพี้ยนไปหมด แม้แต่บุคคลฐานะสังคมแต่ละหน้าที่ อาชีพ แต่ละกิจที่แต่ละคนทำ อาตมาเลิกจากฐานะที่เป็นเชิงนักบริการ ผลิตก็ผลิตเรื่องความรู้ อาตมาไปทำงาน จะผลิตเรื่องบันเทิงเริงรมย์ชอบมากก็อยากทำ แต่เขากันไม่ให้อาตมาทำ อาตมามีผลงานเขาก็ไม่ให้ทำบันเทิงแต่ได้ทำรายการวิชาการ คนก็นึกว่าจบปริญญาโทปริญญาเอก แต่ที่จริงแล้ว ไม่ได้จบปริญญาเลย ได้แต่ติดต่อคนนั้นคนนี้มาออกรายการ นำเสนอกิจการทางวิชาการทางการผลิต ต่างๆนานา ทำเป็นเท่มาก ทั้งที่อาตมาอยากทำบันเทิง ก็ถูกกีดกันตลอด คือมันเป็นว่า อาตมาถูกกีดกันสรุปง่ายๆไม่ให้ไปอยู่ในทางนั้น เลยทนทำอยู่ตั้ง 12 ปี เรียนจบแล้วก็ทำงาน อยู่ในบริษัทไทยโทรทัศน์ นอกนั้นก็เป็นงานฟรีแลนซ์ของตัวเองเป็นอาชีพครูเป็นต้น เงินเดือนทางโทรทัศน์อาตมาออกมาเดือนหนึ่งได้ 1,250 บาท แต่รายได้พิเศษอื่นๆหาได้เดือนละ 20,000 บาท เมื่อ 60 ปีที่แล้ว ตอนนั้นนายกรัฐมนตรีเงินเดือน 8,500 บาทแต่อาตมาได้เดือนละ 20,000 อาตมาขี่รถติดแอร์คันแรกของประเทศไทย เขาเอาเครื่องแอร์ดัดแปลงติดเข้าไปในรถ Ford คอร์แซร์ ตอนนั้นก๋วยเตี๋ยวชามละ 50 สตางค์เอง ถ้าอาตมาอยู่ทางโลกก็เป็นเจ้าสัว ออกมาทางธรรมะก็ร่ำรวยในการแสดงธรรมะ หากว่าอยู่ทางโลกก็จะทำธุรกิจบันเทิง เพราะว่าอาตมาถนัดทุกอย่าง มีทั้งสำนักพิมพ์สำนักโทรทัศน์ มีเพลงมีการแสดงรวมหมดเลย ทั้งบริษัทภาพยนตร์ทั้งโรงพิมพ์สำนักพิมพ์ต่างๆมีหมดเลย ทั้งร้อง แสดง แต่ง เพลง วาด พากษ์ ถ่ายอาตมารวบหมดถ้าอยู่ทางโลก แน่นอนอากู๋อาจไม่ได้เกิด เอาเฮียฮ๊อ ก็อาจไม่ได้เกิด หรือเป็นแค่สาขา อาตมาเชื่อในกรรมวิบากบารมี อาตมาไม่ไปทางโน้น เหมือนพระพุทธเจ้าถ้าไปทางโลกก็เป็นจอมจักรพรรดิ์ แต่อาตมาไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้านะ แต่ว่าอยู่ในฐานโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็มีรอบที่เป็นสูตรเดียวกัน แต่ยังไม่ถึงเป็นพระพุทธเจ้า ก็พูดความจริง พวกที่ไม่ศรัทธาเลยก็อาจจะหมั่นไส้ อาตมาเป็นผู้แพ้แต่ชื่อ แต่เป็นชนะในฐานความจริง เป็นเรื่องสิริมหามายาตลบตะแลงกลับกลอก ถ้าคนไม่เข้าใจก็จะไม่เข้าใจ คนเข้าใจก็จะยิ่งชัดเจน เราบอกสภาวะธรรมต่างๆ แต่ต้องทำความเข้าใจ ว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ซึ่งไม่มีภาษาที่พูดชัดภาษาสุดท้ายแล้วก็จะมี 2 อย่าง สิริมหามายา อาตมาก็เอาเนื้อหาสาระของธรรมะ เรียงร้อยไว้ ก็คือเรื่องของบุญ จะต้องพูดกันอีกนานพอสมควรเพราะเป็นเรื่องใหญ่เป็นเรื่องสำคัญมากเลย บุญ บุญ เป็นโลกุตรธรรม แต่ทุกวันนี้เขาไปปู้ยี่ปู้ยำแต่เรื่องโลกียะเละ น่าสงสารธรรมะพระพุทธเจ้า บุญ เป็นโลกุตระแท้ๆที่มีความหมายพิเศษสุด “บุญ”ของศาสนาพุทธมี“คุณค่า”ในแบบ“อุตุนิยาม” มี“คุณสมบัติ”แค่“พลังงาน”ไม่จับตัวกันเป็น“สสาร”เลย “บุญ”ไม่มีรูปร่างดัง“สรีระ”ด้วย “บุญ”ไม่ใช่“ชีวจร” บุญจึงไม่มี“ชีพ” ยังไม่เข้าเขต“พีชนิยามหรือจิตนิยาม” “บุญ”ไม่มี“หน้าที่”อื่นเลยนอกจาก“ฆ่ากิเลส”ที่พิเศษสุดๆ จึงไม่มี“หน้าที่”เหมือนใคร และไม่มีอะไรเลยในโลกเหมือน“บุญ” “บุญ”เป็นคำเฉพาะที่พระพุทธเจ้าทรง“บัญญัติ”ขึ้นมาใช้เรียก“พลังงานวิเศษของจิตนิยาม” แต่ทุกวันนี้คนเอาไปใช้ผิดเอง “บุญ”เป็นภาษาไทย ที่มาจากบาลีคำว่า“ปุญญ” จากพยัญชนะ“ป” สระ“อุ” สะกดด้วยพลังงาน“อัญญะหรืออัญญา”(ธาตุรู้พิเศษ) “ป” คือ ภาวะที่มีขึ้น บ่งบอกทิศทางของ“ความเคลื่อนไหว”ไปข้างหน้า ซึ่งเป็นพยัญชนะที่หมายถึง ภาวะดำเนินไปกระทั่งถึง“ม”ท้ายสุดของวรรค ถึงขั้น“จิตนิยาม”เลย ส่วนสระ“อุ” คือ ขั้นที่ ๓ ของ“สระคี่” ซึ่งมี“อะ,อิ,อุ” เป็น“พลังงานที่ผันไปถึงรอบ” เกิดพลังงาน“วงวน”หมุนถึง“จุดเกิด”ของความเป็น“ตน(อัตตา=ISH)” เริ่มขึ้นจาก“พีชนิยาม” หากเจริญขึ้นๆได้ จึงจะพัฒนาขึ้นเป็น“จิตนิยาม” หรือ“จุดตาย”ของ“บุญ(ปุญญ)”ที่สลายความเป็น“ตน”ลงได้สำเร็จ และถึง“อู”ก็“๐” สระ“คี่”มีนัยะต่างจากสระ“คู่ (อา,อี,อู)”คือเด็ดเดี่ยว มีพลังเป็นของตนเอง เป็นเอกบุรุษ ดังนั้น เมื่อเกิดอาการของ“สระ(“ส”กับ“ร”)”ขึ้น ๓ ตัว คือ “อะ-อา-อิ” ก็เป็น“รอบหนึ่ง” ของ ๓ สระ” เรียกว่า“อิสระ(เอาสระ“อิ”มาใช้เรียก)” ก็เป็นตัวของตัวเองได้“วงหนึ่ง”หรือ“ตัวตนหนึ่ง” เกิดเป็น ๑.เธอ ๒.เขา ๓.ประธานผู้ควบคุม‘เธอ-เขา’(ประธาน=I, เธอ=S, เขา=H)”ได้ภาวะ(วงวน ๓ เส้า)นั้นขึ้นมา แต่เป็น“เอก”ในตัวเอง มิใช่ ๒หรือ ๓ อาตมาพูดเพื่อสื่อสภาวะธรรม ไม่ได้รู้แต่พยัญชนะแต่รู้สภาวะและพยัญชนะถึงรากเหง้า เอามาอธิบายซึ่งเป็นความลึกมากไกล แต่ถ้าไม่พูดเอาไว้มันก็จะจมหายไปในโลก อาตมาจำเป็นต้องพูดเอาไว้ใครพอรู้เรื่องก็จะได้เก็บเอาไว้ช่วยกันไว้ ไม่อย่างนั้นไม่ถ่ายทอดเอาไว้มันก็สูญหายไป ที่สำคัญสุดๆขอย้ำคือ “บุญ”ทำหน้าที่แล้วเสร็จ ก็หายวับไปจากปัจจุบันนั้นๆทันที “บุญ”ยังมีความละเอียดยิ่งๆ ผู้เขียนจะพยายามสาธยายออกมาดู ก็ตามภูมิที่มีนะ “บุญ”ไม่ใช่“ตัวตน” “บุญ”ไม่มีสถานที่ “บุญ”ไม่มีอะไรจะข้ามกาละเวลาไปจาก“ปัจจุบัน”เลย จึงไม่“ตั้งอยู่หรือทรงไว้”ในที่ไหนเลย “บุญ”จึงมิใช่“ธรรม” “บุญ”จึงเป็น“ธรรม”ก็มิใช่ เป็น“อธรรม”ก็มิใช่ “บุญ”เป็น“อัพยากฤต” คือ กลางๆ “จบ”ปัจจุบันใด “บุญ”ก็จบด้วย ณ ที่นั้น “ตัวตน”ของ“บุญ”ก็ไม่มี สถานที่ตั้งของ“บุญ”ก็ไม่มี และพ้นจาก“ปัจจุบัน”ไปแล้ว “บุญ”ก็ไม่มี แล้วจะเอาอะไร ข้ามชาติไปเป็น“ผลในอดีต”กันอีกเล่า บุญมีแค่ปัจจุบัน “บุญ”ทำงานได้ผลในขณะ“ปัจจุบัน”เท่านั้น แล้วก็หายไปพร้อมกับ“ปัจจุบัน” นอก“ปัจจุบัน”ไม่มีใครทำ“บุญ”ได้ “บุญ”ทำได้ในขณะที่มี“ความต่อเนื่อง ของปัจจุบัน(continuing)”อยู่เท่านั้น ไม่สะสม บุญจึงไม่มี“ภพ” ไม่มี“ชาติ”ตั้งขึ้นในที่ ไหน นอกจากมี“อาการ”ในปัจจุบันแค่นั้น จะว่าเกิดว่าเป็นว่ามี ก็เกิด-ก็เป็น-ก็มีในขณะที่“พลังงาน”กำลังทำหน้าที่“บุญ” ณ ปัจจุบันนั้น เท่านั้น ทำหน้าที่เสร็จก็สิ้นไป จึงมิใช่“การเกิด”ที่เป็น“ชาติ”ข้ามชาติ ส.ฟ้าไท สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin12 กรกฎาคม 2019Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรมสำมะปี๋ซี่วิต Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:620710_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาพาทำใจในใจให้เป็นพระอาริยะNextNext post:ข่าวมรณานุสติ น้องตั้ม นายณัฐพล กุลเมืองโดนRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024