620715_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 58
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1Ppdsk5ov-pR3fBb88qCvcS1xbCBXx6JAXkfR29B5EAs/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1wDB1E-BGnQHmo5NKSUADyYkQrNzh5Zki
พ่อครูว่า…วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก เด็กรู้ไหมวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 เป็นวันอะไร ….วันอาสาฬหบูชา เข้าพรรษาก็แรม 1 ค่ำ เดือน 8
สู่แดนธรรมว่า…ในคืนวันที่ 16 กรกฎาคม เช้าวันที่ 17 เวลาประมาณ 04.00-05.00 น.จะมีปรากฏการณ์จันทรุปราคา
จันทรุปราคาคืออะไรเด็กๆ …คือพระจันทร์จะถูกบัง บังมากหรือบังน้อย คือ 15 ค่ำ พระจันทร์จะเต็มดวง แต่วันที่มีจันทรุปราคา พระจันทร์จะถูกบัง ไม่เต็ม เริ่มจากแหว่งๆ เหมือนเคียว แล้วแต่ แหว่งไปลึกขึ้น จนกระทั่งบังครึ่งดวง จนกระทั่งบังเต็มดวงก็ได้ ก็จะมีจันทรุปราคาแต่ละขนาด ถ้าจันทรุปราคาเต็มดวง ก็จะถูกบังเต็มดวงสูงสุด ธรรมดาดวงจันทร์ก็ไม่มีอะไรบังเค้า
เปิดรายการเลย ก็ขอเกริ่นก่อน ขณะนี้หลวงปู่อายุเท่าไหร่รู้มั้ย …ย่างเข้า 86 ปี จากวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ไล่มาเรื่อยๆ วันที่ 5 มิถุนายน หลวงปู่อายุย่าง 86 1 วัน เดือนนี้ กรกฎาคมแล้ว แสดงว่าหลวงปู่ เข้ามาสู่ 86 ครบ 1 เดือน แล้วเลยไปอีก 10 วัน เมื่อพ. ศ. 2563 ไปนับตัวเลข 86 เต็มได้ปี 2563 ต้องเลย 85 ไป 6 เดือนก็จึงบอกว่าอายุ 86 ปีได้
เกริ่นแค่อายุตัวเองก็พอสมควรแล้วเพื่อให้พวกเราเตรียมตัว
_ร้อยร่มบุญ…อยากบอกเล่าความประทับใจที่ เฮือนบวร ได้ไปปัดกวาดกระท่อมน้อย ก็มีคนมาคุยบอกเล่าเรื่องท้าวคำผง เมื่อเธอถ่ายทอดความรู้สึก น้ำตาของเธอก็อาบแก้ม ดิฉันก็จินตนาการไปว่าเคยไปร่วมรบกับท้าวคำผงหรือเปล่า ระลึกไปเมื่อปี 2525 ตอนนั้นอายุ 28 ปี พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ยกกองทัพธรรมไปที่จังหวัดยโสธร ทำให้ครอบครัวของดิฉันไปฟังธรรม มีลูกสาวทั้ง 5 คนไปฟังธรรมด้วย ปรากฏว่าตั้งแต่บัดนั้นการที่พ่อครูกรีธาทัพไปเหมือนกลับไปตามหาญาติ ครอบครัวของเราไม่เคยทิ้งธรรมตั้งแต่บัดนั้นมา
ที่พูดตรงนี้เป็นความประทับใจ ย้อนการสร้างเมืองอุบลของท้าวคำผงการเคลื่อนทัพของท้าวคำผง แล้วมาที่ราชธานีอโศก ดิฉันจึงเข้าใจที่พ่อครูประกาศชมพูทวีป เป็นอโศกเพื่อมนุษยชาติเป็นอู่อารยธรรม
วันนี้คุณดั่งเดือน ได้ถ่ายทอดสด ความรู้สึกเครื่องท้าวคำผง ดิฉันรู้สึกว่าสิ่งที่พ่อท่านพูด เลยอยากจะกราบเรียนแปลว่า การเคลื่อนทัพในสมัยโบราณ พ่อครูแต่ก่อนยกกองทัพไปจังหวัดนั้นจังหวัดนี้ดิฉันก็เคลื่อนไปตามตลอด ทำให้เกิดเป็นลูกของพ่อมา ณ บัดนี้
บัดนี้พ่อครูตามหาลูกผ่านทางโซเชียลอินเทอร์เน็ต ฉันฟังคำพูดที่ว่าพระโพธิสัตว์มีลูกเป็นพันอเนก หากลูกของพ่อได้ฟังทาง Social Media พี่น้องก็อาจจะประทับใจอย่างที่ดิฉันประทับใจด้วย
ตอนนี้เรื่องพลังงาน Co – Efficientl หวังว่าท่านที่ได้ฟังแล้วก็น่าจะมาร่วมกันกับการเคลื่อนทัพกองทัพธรรม ที่ราชธานีอโศกแห่งนี้
_ดั่งเดือน..ลำเรื่องท้าวคำผงยกทัพมาตั้งเมืองอุบล
_ดาวเพ็ญ…ตอนนี้เริ่มเข้าใจว่าพ่อครูพาทำอะไร ตอนนี้เริ่มเปิดประตูเมือง เราในฐานะลูกๆ ก็อยากให้มาเปิดรอยยิ้มเปิดไมตรี เปิดประตูมิตรภาพต้อนรับคนที่จะหลั่งไหลมาโดยเฉพาะวันเสาร์วันอาทิตย์คนมามากจริงๆ ดิฉันก็เลยลองสละเวลาสักครึ่งวัน พาเด็กไปเรียนที่นั่นเลย ให้ไปทักทายคนว่า เขามาทำไมได้ประโยชน์อะไร ให้เด็กตอบคำถามหรือถามคำถาม มีผอ. โรงเรียนข้างนอกพานักเรียนมา เขาก็นั่งล้อมวงคุยกับเด็กเรา เปรียบเทียบกับเด็กข้างนอกที่สอนว่ามันลำเค็ญอย่างไร เด็กม 2 ของเขาเขียนคิ้วทาปากแดงแจ๋ คุณครูเขาก็ไปให้ล้างหน้าทุกคนก่อนเข้าชั้นเรียน เด็กที่ไม่ยอมล้างหน้าก็หนีกลับบ้านไปเลย
ส่วนเด็กผู้ชาย จะสะกิดกับเพื่อนวัยรุ่นผู้หญิง นัดกันไปที่นั่นที่นี่ ซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์กันไป วันหนึ่งก็คลอดลูกเอาไปให้แม่เลี้ยง เด็กชั้นม 2 แล้วก็ขอลา จะไปคลอดลูกแล้วกลับมาเรียนอีกที ผอ.ก็บอกว่าไม่มีระเบียบให้ทำแบบนี้ แล้วก็ให้เด็กเราพูดขอบคุณ อาจารย์ที่เปรียบเทียบให้พวกเด็กเห็นภาพ สองวันนี้ก็พาเด็กไปสัมภาษณ์ ผอ.ก็บอกว่าอยากให้เด็กเรียนแบบนี้ที่ไม่ต้องเรียนแต่ในห้องเรียน
_หายโง่…สืบเนื่องจากการแสดงธรรมของพ่อครูในวันที่ 12 ได้อธิบายพลังงานบุญ อธิบายคำว่าอิสระ เกี่ยวข้องกับคำว่าบุญหรือไม่ สระคี่ อะ อิ อุ มีพลังงานเป็นของตัวเอง เช่นอิสระ อธิบายโยงใยไปถึงคำว่าบุญหรือไม่
พ่อครูว่า… อะ อิ อุ ก็สื่อสภาวะของสระ พยัญชนะก็สื่อสภาวะของพยัญชนะ แม้แต่เศษวรรคก็สื่อสภาวะของเศษวรรค
พยัญชนะ เศษวรรค จะเกี่ยวกับพลังงานเป็นหลัก ส่วนพลังงานวรรคทั้ง 5 จะเป็นทั้งพยัญชนะและสระ หรือเป็นรูปนามหรือเป็นตัวตน
สระ จะเป็นพลังงานที่เบาบางกว่าเศษวรรค แล้วสระคี่ จะเป็นสระสื่อสภาวะที่เต็มแน่น Static กว่าสระคู่ Dynamic
อาตมาก็สอนไม่ไหว ก็ค่อยแถมทีละนิด คนที่ตั้งใจก็เก็บไป อาตมารู้ว่าตัวเองยังไม่เก่งพร้อมทีเดียว ที่จะสอนทีเดียวทั้งหมด ก็นึกว่ารู้พอสมควรแต่มันยากยิ่งกว่าสอนสัจจะที่เป็นธรรมะ จะมีคนที่แววไว มีต้นทุนทางนี้ เรื่องนี้มากกว่าอาตมาจะมาต่อในอนาคต มีคนที่แสดงออกมาบ้างแต่ยังไม่ค่อย get เท่าไร
_ปัญหาแห้ง…
ตอน โอปปาติกะกับชาติ 5
_โอปปาติกา มีความสัมพันธ์กับ ชาติ 5 ที่พ่อท่านได้ขยายความเมื่อวันก่อนอย่างไร
พ่อครูว่า…ก็ต้องสัมพันธ์ เพราะโอปปาติกะ คือความเป็นสัตว์ของจิต เป็นพยัญชนะที่บอกว่า เป็นสัตว์ที่ใช้กับคำว่า การเกิดของนามธรรม เรียกเต็มๆว่า โอปปาติกสัตว์หรือสัตว์โอปปาติกา อยู่ในสัมมาทิฏฐิ หรือมิจฉาทิฐิข้อที่ 9 เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เข้าใจที่ศึกษาทางธรรมะ บอกว่าสัตว์ทางจิตวิญญาณ ก็เลยไปเข้าใจว่า เป็นจิตวิญญาณที่ล่องลอย จิตวิญญาณที่เป็นตัวเป็นตนเป็นจิตวิญญาณแบบมิจฉาทิฏฐิ ที่พระพุทธเจ้าเห็นว่าจิตวิญญาณแบบนั้นอย่าไปกล่าวถึงอย่าเอามาพูด เราไปรู้จริงหรือไม่จริงก็ไม่ได้ เพราะว่าอุปาทานมันมีเยอะแยะมันขึ้นมาก็ได้ เอาที่มันเป็นจริงมีผัสสะเป็นปัจจัยมีตาหูจมูกลิ้นกายใจเป็นผัสสะ แล้วจิตเกิดวิญญาณ พลังงานถ้าไม่รู้เกิดวิญญาณ แล้ววิญญาณนี้ก็จะให้เราได้ศึกษา
ศึกษาแจกแจงตั้งแต่วิญญาณคือขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วก็มาเรียนตั้งแต่ตัวเวทนา
เวทนา แปลว่าความรู้สึก เรียนแจกตัวนี้ละเอียดเราก็จะรู้ว่า จิตวิญญาณประกอบด้วย อุตุ พีชะ จิต แล้วจะเกิดพฤติกรรมต่างๆเป็นกรรม แล้วสั่งสมที่ทำมา เป็นธรรมะ
ธรรมะคือที่สั่งสมกองไว้ คู่กับคำว่า กรรม
ธรรมะ เป็น Static คำว่า กรรมเป็น Dynamic
เราก็จะเข้าใจถึงสภาพคู่ที่ทำงานสลับกันไปกันมา เป็นสิ่งที่ยาก คนไม่เข้าใจก็จะสับสน เป็นลักษณะของสิริมหามายา ก็จะเป็นแม่ที่เรียกว่าสิริมหามายา เหมือนพูดกลับกลอก เหมือนมายากลสลับไปสลับมา คนที่ไม่เข้าใจไม่เข้าถึงสภาวะ ไม่มีปฏิภาณพอจะไม่ทันจะไม่รู้ก็จะสับสน อันนี้สำคัญมากเลยตรงนี้ อาตมาก็ไม่เก่งกว่านี้อธิบายได้แค่นี้ก็ค่อยๆฟังกันไปจะค่อยๆชัดเจนเข้าใจ
ชาติ 5 ก็คือการอธิบายเรื่องชาติคือการเกิดของจิตวิญญาณ คำว่าชาติ มันเกี่ยวข้องกับรูปธรรม วัตถุธรรมด้วย
การเกิด ชาติ 5 มี ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ
หากไม่มีสภาวะจะแปลไม่ถูก ขออภัย เหมือนกับที่ท่านแปลกันในพระไตรปิฎก ของมหามกุฏราชวิทยาลัยก็แปลอีกอย่างหนึ่ง ของมหาจุฬาฯก็แปลเป็นอีกอย่างหนึ่ง สื่อภาษาแล้วไม่ค่อยรู้เรื่อง
ชาติ แปลว่าการเกิด
สัญชาติ แปลว่า บังเกิด อะไรอย่างนี้ แทนที่สัญชาตญาณก็คือสิ่งที่จำได้แต่ชาติเก่า เป็นความจำหรือกรรมวิบากของเราในตัวเราตามมา หรือแม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็มีสัญชาตญาณของมัน คนก็มีสัญชาตญาณของแต่ละคน ส่วนโอกกันติ แปลว่าการเกิดของสัตว์ ถ้าไม่รู้ถ้าหากมีอวิชชาทำกรรมทุกกรรมก็ สั่งสมหยั่งลง เป็นดีเป็นชั่ว ถ้าไม่มีโลกุตระส่วนมากจิตวิญญาณก็จะสั่งสมกิเลส เป็นสัตว์นรกเยอะ
จนมาสามารถเรียนรู้อาการสภาวะของจิต รู้อิตถีภาวะ ปุริสภาวะ รู้จัก โลกียะ รู้จักโลกุตตระ ก็ถึงจะจัดการทำใจในใจของเรา ให้เกิด แม้เกิดเป็นดี เป็นชั่วก็เกิดเป็นดีมากยิ่งขึ้นแม้จะเป็นโลกียะก็ตาม ดีชั่วเป็นแค่โลกียะ ถ้าหากทำให้เป็นโลกุตตรจิตได้ ก็จะเข้ากระแสโลกุตตระ เป็นโสดาคุณ สกิทาคามีคุณ อนาคามีคุณ จนเป็นอรหัตตคุณ ทำได้จริงของจริงก็จะสั่งสมลงไป โอกกันติ เป็นโลกุตระได้
สั่งสมโลกุตตรจิตก็เกิดเป็นสิ่งที่เรียกว่า นิพพัตติ สั่งสมตกผลึกสะสมเป็นสภาวะของความเจริญเป็นโลกุตตรจิต สูงขึ้นๆ สูงสุดจบก็เรียก อภินิพพัตติ เช่น จบรอบ โสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ เป็นอนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ไปเรื่อยๆ ก็เป็นความเจริญของจิตวิญญาณของแต่ละคนที่สร้างบารมีสะสมกันไป
_มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ท่านฟ้าไท หน้าตาเหมือนมหาตมะคานธี
พ่อครูว่า…มหาตมะคานธี หล่อนะ ทำเป็นเล่นไป เอาแว่นกลมๆใส่ อาตมาว่าหล่อกว่าคานธีนะ (ฮา..)
ส่วนท่านถักบุญเหมือนไอน์สไตน์ พ่อท่านมีความเห็นอย่างไรกับการตั้งข้อสังเกต
พ่อครูว่า…อาจจะมีจินตนาการฟุ้งซ่านไปว่าเป็นไอน์สไตน์หรือคานธีมาเกิด ตั้งข้อสังเกตได้แต่อย่าไปฟุ้งซ่านอย่าไปปักมั่น ดูไป ลองดูเนื้อหาสาระ จะเข้าใจวิบากกรรม เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเกิดอยู่ในสังคมโลกในจักรวาลนี้ วนเวียนอยู่ในโลกใบหนึ่ง ก็จะวนเวียนอยู่ในโลกใบนี้มากเป็นเรื่องอจินไตย การเวียนตายเวียนเกิด ซึ่งศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่พูดได้ตรง แต่ว่าไม่ได้เป็นศาสนาเดียวที่รู้จักการเวียนตายเวียนเกิด ศาสนาฮินดูก็มีการรู้จักเวียนตายเวียนเกิด แต่ศาสนาพุทธนั้นรู้จักการเวียนตายเวียนเกิดที่ครบครันมีเหตุปัจจัยจนกระทั่งถึงรูปนามถึงพยัญชนะถึงสภาวะ แม้ที่สุดคนไหนจะมาเกิดอีกอย่างพระพุทธเจ้า มีญาณหยั่งรู้ คนนี้มาเกิดเป็นคนนี้ชื่อนี้พ่อแม่ชื่อนี้ปู่ย่าตายายชื่อนี้ได้ถึงขนาดนั้น ไม่มีผิดเพี้ยนเลย อย่างนี้ป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่สูงส่งลึกซึ้งมาก แม้กระทั่งศาสนาพุทธทางทิเบตก็จะเวียนตายเวียนเกิดมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินไปตลอดกาลนานเป็นสัสสตทิฏฐิซึ่งผิดเพี้ยน ไปยืนยันว่าไม่ให้เจริญไปไหนเลยอยู่แต่แค่เป็นดาไลลามะของทิเบตอยู่ตลอดกาล ไม่ปล่อยให้ไปเป็นอื่นเลยไม่พัฒนาเป็นอื่นเลย เกิดชาติใดตายก็ต้องมาเวียนตายเวียนเกิดอยู่ที่ธิเบต ความรู้ก็เลยวนเวียนอยู่แต่ที่ธิเบต ก็ยังกลายเป็นจมอยู่ในสัสสตทิฏฐิจมเข้าไปอยู่ในนั้น แล้วเขาก็แน่ใจเลยว่าเป็นดาไลลามะองค์เก่า แล้วจะไปถูกกันไว้ทำไมมันกลายเป็นสัสสตทิฏฐิก็จะไม่บรรลุอรหันต์สักที
ในโลกนี้พวกที่เป็นอุจเฉททิฏฐิฟุ้งซ่านไปไม่รู้เรื่องตายแล้วสูญเลย ส่วนเรื่องของ สัสสตทิฏฐิก็จะตายแล้วกลับมาอย่างนั้นถูกอย่างนั้น ที่พูดไม่ได้ไปข่มดาไลลามะอะไร แต่เป็นวิชาการขอให้เข้าใจ
ตอน การบริหารแท้จริงคือการช่วยคน
_การบริหารแบบหลวงปู่บ้าง บารมีต้องสร้างด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้ขอเอา จากหลวงปู่ ต้องแก้ไขอย่างไรคะ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ค่ะ
พ่อครูว่า…อาตมาตอบยากเลย สำหรับคนแต่ละคนดำเนินไปสร้างไปมันมีรายละเอียดมากกว่านี้
คุณก็ต้องเรียงลำดับของตนเอง ศีลสมาธิปัญญาของตัวเองแต่ละข้อ คุณวิเศษของโลกุตรธรรม กับคุณธรรมที่ดีที่เจริญแบบโลกีย์ด้วยก็จะไปด้วยกัน ถ้ามีโลกุตรธรรมก็จะเจริญอย่างบริสุทธิ์มีประสิทธิภาพช่วยผู้อื่นและตัวเอง ช่วยตัวเองเจริญช่วยผู้อื่นก็เจริญได้ด้วย การช่วยเหลือผู้อื่นได้คือการบริหาร การบริหารตัวเองช่วยตัวเองนั้นไม่มีอะไรมาก
1 คนบริหารตัวเองแล้วก็เจริญได้ถูกต้องตามศีลสมาธิปัญญาของพระพุทธเจ้าก็เจริญความเห็นแก่ตัวลดลง มันก็ไปเป็นผลความเห็นแก่ผู้อื่นได้ดีมากยิ่งขึ้น คุณก็ไปเห็นแก่ผู้อื่นในที่แคบแค่ในครอบครัวลูกหลาน แล้วก็มากขึ้นเป็นความรักที่กว้างขึ้นเป็น 10 มิติ ไปกับญาติโกโยติกา จากนั้นก็ไปสู่มิตรสหายและสังคม ตามความรัก 10 มิติ ที่ขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ คุณไปช่วยคนอื่นได้มากก็คือคุณบริหารคนอื่นได้มาก
ลดกิเลสตนเองได้จริง ก็จะเป็นนักการเมืองชั้นดีเห็นแก่ผู้อื่นได้จริง อาตมาอยากจะเห็นเมืองไทย บริหารประเทศด้วยอาริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จนไปเป็นพระอนาคามีขึ้นไปจนถึงเป็นพระอรหันต์เป็นผู้บริหารให้แก่สังคม ประเทศชาติจริงๆมันจะดีขึ้นอย่างเห็นตำตาเลย อาตมาเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะเป็นตัวอย่างแก่โลกแต่คนทุกวันนี้ไม่เข้าใจศาสนาพุทธก็จะหาว่าอาตมาเพ้อเจ้อพูดอะไรก็ไม่รู้ ยิ่งสายหลับตาแล้ว บอกว่าพระอะไรจะมายุ่งกับการเมือง เป็นการเพ้อเจ้อ ก็คนนี้ขอให้ศึกษา พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) 3 คำนี้เป็นคำยืนยันว่าพระพุทธเจ้าเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่สองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว แต่ยุคนี้ไม่ใช่ยุคทาส ไม่ใช่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทุกคนมีสิทธิมนุษยชนเต็มที่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงต่างกันมีนัยต่างกัน อาตมาพูดไม่ได้ข่มพระพุทธเจ้าไม่ได้ใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า อาตมาทำให้หมู่กลุ่มนี้เกิดในยุคนี้ได้จนถึงขั้นเป็นประชาธิปไตย เศรษฐศาสตร์ประชาธิปไตย รัฐศาสตร์ ประชาธิปไตยถึงขั้นสาธารณโภคี เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก เศรษฐศาสตร์ สังคม แบบสาธารณโภคีก็ค่อยๆเรียนรู้ตามไปแล้วจะเห็น
_น้ำมนต์…ขวัญคืออะไรคะ (เพลงขวัญ)
พ่อครูว่า…คำนี้คนถามมาหลายคนแล้ว หลวงปู่ก็มีเพลงบอกว่า ขวัญคือมิ่ง สิ่งรักล้ำประจำร่าง เป็นนามธรรมที่รวมทั้งคนอื่นและรวมทั้งตัวเอง ขวัญเป็นสิ่งที่ดีเป็นพลังงานนามธรรมที่ดีที่มีอยู่ที่ใคร ใครมีขวัญที่ดี ขวัญดีเป็นคนมีขวัญดี มีทั้งกำลังแรงมีทั้งสิ่งที่เป็นประโยชน์ดีๆไปในทางที่ดีทั้งนั้น ขวัญคือมิ่งสิ่งรักล้ำ สิ่งที่ประสงค์จะให้เป็นได้ทั้งนั้นเลย ขวัญ จะไม่เป็นเรื่องร้าย ขวัญจะเป็นสิ่งที่ดี เป็นมิ่งมงคลที่จะได้เป็นนามธรรมที่ละเอียดมาก เป็นของใครของมัน ทำดีแล้วจะได้ขวัญดี
รู้จักดีไหม ดีคืออะไร ดีคือไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่ทะเลาะ ไม่ไปว่าแม่ ทำดีๆ
ตอน โอปปาติกะคืออะไร
-โอปปาติกะคืออะไร
พ่อครูว่า…โอปปาติกะ คือ พยัญชนะบัญญัติภาษาที่ใช้เรียกสภาวะของจิตวิญญาณของคน จิตวิญญาณที่พัฒนาหรือเสื่อม โอปปาติกะเสื่อมก็ไปเป็นสัตว์นรกก็ได้ไปเป็นเปรตหรือเทวดาก็ได้ ถ้ายังไม่สัมมาทิฏฐิที่เป็นเทวนิยม ก็จะรู้จะเข้าใจว่า โอปปาติกะ นี้ คือจิตวิญญาณที่ไปตกนรก แล้วก็จะมีภาพมีเรื่องเป็นตัวเป็นตนไปหรือจิตวิญญาณเป็นเทวดาก็จะมีสวรรค์วิมานอะไรไป ตายแล้วก็จะเป็นสวรรค์เป็นนรกจริงๆตามที่ตนเองยึดถือ อยู่อย่างนั้น ถ้าป็นโลกุตระก็จะรู้ว่าเป็นสุขเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น
ถ้าเป็นรูปธรรม ก็เป็นสวรรค์เป็นภพภูมิ ถ้าเป็นนามธรรมก็เป็นจิตวิญญาณ คนที่ศึกษาโลกุตระแล้วก็จะจัดการกับจิตวิญญาณที่ติดสวรรค์ไม่อยากตกนรก สวรรค์กับนรกเป็นอย่างเดียวกัน พระพุทธเจ้าถึงสอนตัวที่ไม่ต้องตกนรก เพราะเขาจะไม่อยากตอบ ถ้าอยากขึ้นสวรรค์ ท่านจึงสอน ให้มาล้างกิเลสที่อยู่ในสัตว์ โอปปาติกะ อยู่ในจิตวิญญาณที่เป็นสัตว์นรก เหตุที่เป็นสัตว์นรกอย่างไร มีอาการ ลิงค นิมิต อย่างไร ชัดเจนแล้วฆ่าตัวเหตุ การฆ่าคือการสร้างพลังงานให้เป็นฌาน บุญ พลังงานที่มีประสิทธิภาพเต็มที่ เป็นพลังงานไฟ ฌานนี่แปลว่า ไฟ
ผู้ที่เข้าใจไม่ได้เข้าใจ ฌาน อย่างมิจฉาทิฏฐิ ฌาน นั่งหลับตานั้นจะไม่เกิดไฟ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
_นักรบธรรม…แม้อดีต เคยเป็นคนที่มีปัญญาน้อย และคิดว่าตัวเองคงไม่มีอะไรที่จะไปเทียบชั้นกับเขาได้ แต่ก็ด้วยจิตใจฮึกเหิมที่ได้เกิดมาเป็นชาย แล้วก็เกิดมาในยุคสมัยของพระพุทธเจ้า เรียนวิชาอะไรก็ไม่ค่อยไปกับเขาได้เท่าไหร่แต่วิชาพระพุทธเจ้าหน้าที่ศีลธรรมนี้รู้สึกว่ามีจิตสำนึก อยู่ในจิตวิญญาณ มันเข้าใจอะไร วิชาศีลธรรมก็เพิ่งได้มารู้มาเข้าใจในชาวอโศก เป็นสุดยอดของความมีอดีตอนาคตไม่ได้มีความหมายอะไร ปัจจุบันรู้สึกว่า เราจะเทียบเคียงกับระดับไหนก็ไม่ได้น้อยหน้าใคร ขอให้ยืนหยัดยืนยันจนถึงวาระสุดท้าย อยู่ไปถึงพ่อครูอายุ 151ปี ผมก็ 132 ปี คิดว่าเรื่องจิ๊บจ๊อย
พ่อครูว่า…เอาเลย ไม่เท่าไหร่หรอกน่า 132 ปีเอง ไม่เท่าไหร่
_สม.กล้าข้ามฝัน…จริงๆสูตรของพ่อครู คือ อยู่กับปัจจุบันแล้วอ่านเวทนา ถึงไม่ค่อยมีปัญหา ปัญหาที่จะถาม เมื่อก่อนก็มักจะสงสัยอะไรมากมาย แต่เมื่อใช้สูตรนี้แล้ว ปัญหาอยู่กับปัจจุบันก็แก้ได้ทุกเรื่องแก้ไปตามภูมิได้ทุกเรื่อง แต่ก็อยากจะถามว่า พ่อครูมองลูกๆชาวอโศกตอนนี้ในตอนอายุ 86 ปีขึ้น ถ้าโดยรูปธรรม โดยองค์ประกอบ หรือเติมอีกสักหน่อยน่าจะดีนะ อยากจะให้ เจาะลงที่บ้านราชฯ มีสารพัดจริต จะบอกว่าให้เติมอะไรมันก็อาจจะไม่ใช่ มันบอกไม่ได้ เพียงแต่ว่าพวกเราทุกคนมัน..
พ่อครูว่า…จริตของคนมันอยู่ในฐานของชาวโลกุตระแล้ว แต่ละคนก็เติมตัวเองระดับโสดาบันก็เติมขึ้น สกิทาคามีก็เติมขึ้น อนาคามีก็เติมขึ้น อรหันต์ก็เติมขึ้นไปก็แล้วกัน ก็บอกได้โดยฐานที่แท้จริงเท่านี้แหละ
หากจะเจาะ ฐานโสดาบัน ก็จะไปอยู่ในจริตแบบไหนสายโลภะ- โทสะหรือโมหะจริตก็อีกเยอะแยะมันก็แยกไปอีกไม่ไหว อาตมาก็ไม่เก่งที่จะไปรู้จริตทุกๆคน จะว่าขาดอะไรต่างๆ ใครเห็นว่าอะไรพร่องหรือจะควรจะเติมอะไรอย่างเช่นร้อยร่มบุญที่บอกมา ก็เชิญบอกกันมา
_สมณะฟ้าไท…วันนี้มีเด็กหนุ่มที่มาอยู่บ้านราชฯ คนหนึ่งชื่อเบียร์มาอยู่ได้ 4 เดือนแล้ว ตอนนี้พ่อเขาก็มานั่งฟังธรรมะด้วย เขามาอยู่วัดกะมาอยู่แค่ 2 เดือนมาทำเกษตร แต่เมื่ออยู่ไปแล้ว 1 เดือน 2 เดือน 3 เดือน 4 เดือนก็ไม่กลับบ้าน ถามว่าทำไมไม่กลับบ้านก็บอกว่าอยู่ที่นี่สบายดี ถามว่าทำไมไม่ไปทำเกษตร บอกว่าไปทำข้างนอกก็มีแต่ปัญหาแย่งชิงกัน อยู่ที่นี่ทำให้ฟรีก็ไม่ต้องแย่งชิงกัน
พ่อครูว่า….เอาประเด็นที่ว่าทำเพื่อแย่งชิงที่จะได้รวย กลับทำแล้วไม่ต้องแย่งชิงสบายดี แค่ประเด็นแค่นี้มันคือ อาริยะ กับปุถุชน คือ ประเด็นของอริยะกับปุถุชนอย่างชัดเจน ทำแล้วเราก็ไม่ต้องห่วงอะไรกับการทำแล้วนี่ก็ของกู เสร็จแล้วก็จะต้องโลภมาก ทำแล้วก็จะให้ได้มากขึ้น มีคุณค่ามากขึ้นมีราคะมากขึ้นอะไรอีก อย่างนั้นเป็นแบบปุถุชนเต็มไปด้วยกิเลสเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ แต่แบบนี้มันสบาย จิตใจแค่นี้ก็ยืนยันสัจธรรม
สมณะฟ้าไทว่า…เขายังใช้โทรศัพท์อยู่ มาที่นี่ก็ใช้ดูหนังดูเพลง มาเข้าพรรษาตอนนี้ก็คิดว่าจะเลิกใช้โทรศัพท์สัก 1 พรรษา ฝากโทรศัพท์ไว้กับผม…
พ่อครูว่า..ดีแล้วมีวิธีการพัฒนาตัวเองมีเหตุปัจจัยที่จะค่อยๆพัฒนา พรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำ ตามที่พระพุทธเจ้าสอนนี้แล้วจะดี
สมณะฟ้าไทว่า…หากลูกอยู่ได้ พ่อแม่ปลดเกษียณแล้วก็จะมาอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน
พ่อครูว่า..เป็นของจริงเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคมอโศกบ้านราชนี้
_ทำอย่างไร เราจึงจะไม่หวังคะ จากเยาวชนใต้ร่มโพธิ์ค่ะ (พ่อครูว่า..คัดตัวหนังสือแบบโบราณได้เยี่ยมเลยทำอย่างไรจะไม่หวัง ดีมาก)
พ่อครูว่า…ทำอย่างไรถึงไม่หวัง อย่าหาว่าอวดตัวตนเลย ถ้าเผื่อว่าหลวงปู่ไม่มาเกิดในยุคนี้ เรื่องความหวังคนจะไม่รู้ถึงสิ่งที่ไม่ควรจะไปตั้งใส่จิต ทุกคนหวังทั้งนั้น หวังอันนั้นอันนี้ภาษาบาลีเรียกว่า สาเปกโข หวังที่จะได้อย่างนั้นที่จะเป็นอย่างนี้ ซึ่งความหวังนี้เป็นต้นเค้าของจิตที่มันเกิดภพชาติ เพราะฉะนั้นคนที่อ่านจิตเป็น ถึงจะทำได้ คนที่อ่านจิตไม่เป็น จะทำมนสิการ หรือมนสิกโรติ จะทำจิตของตนเองทำใจของตนเอง ไม่ให้เกิดพลังงานที่ส่งไปมีความหวังขึ้น หวังจะได้ดีก็ตาม
ทำไมไม่ให้หวังแล้วมันจะไปทำงานอะไรได้ ก็ต้องทำงานด้วยความรู้ด้วยปัญญา หรือว่าถ้าเราทำเหตุ
พระพุทธเจ้าสอนให้เราทำเหตุให้ครบ แล้วจะเกิดผลอย่างไร ผลยังไม่เกิด เราทำเหตุ ถ้าเรามี 1 เราต้องทำเหตุที่เพิ่ม 1 อีก เราก็จะมี 2 เราก็ไม่ต้องไปหวังว่าเมื่อไหร่จะได้ 2 สักที ไม่ต้องไปคิดให้พลังงานรั่วซึมไปหาความอยาก ไม่ต้องอยาก รู้เจตนาแต่อย่าอยาก มีแต่เจตนาว่าจะเป็น 2 ให้ได้ต้องรู้อาการจิตที่เป็นความอยาก คนที่เรียนรู้ชัดเจนก็จะเรียนรู้ว่าความอยากนี่คืออาการของตัณหา ยิ่งตัณหาล้ำหน้าอยากจะได้เร็วอยากจะได้มากยิ่งเละใหญ่เลย เพราะฉะนั้นมีเจตนาแต่อยาก รู้ว่ามีเจตนาจะมุ่งไปสู่ผลคือสอง เราก็ทำเหตุที่จะได้ 1 รู้เหตุให้ชัด เหตุอะไรมันจะเป็นผลอย่างนี้ เหตุอะไรซึ่งจะเป็นผลอย่างนี้ ทำเหตุให้เต็มให้ถูกต้องให้ครบ
ศาสนาพุทธจึงสอนทุกอย่างมาแต่เหตุ เหตุเกิดเหตุดับ แล้วท่านก็สอนความดับเพราะว่าไปสู่นิพพาน ดับเหตุทุฟฝฝ
กอย่างก็ดับได้สิ้น เหตุเกิดก็เหมือนกัน ทำเหตุโลกียะมันก็เกิดโลกียะ ถ้าหากทำเหตุให้เป็นโลกุตระมันก็เกิดผลโลกุตรธรรม ฟังไปตามลำดับ
_บุญยิ่งแก้ว…เมื่อสองสามวันก่อนได้ไปทำธุรกรรมให้กับที่บ้าน จะโอนบ้านให้ลูก สมัยทำงานเป็นหัวคะแนนนักการเมือง ถ้าอยากรู้ว่าพื้นที่ไหนเป็นอย่างไรก็ต้องไปเดินตลาด ก็ไปกับน้องเถากับนุ มีตลาดตอนเย็นกับตอนเช้า กระแสตอบรับก็ยังดีอยู่นะ ตรวจดูในจิตใจตัวเอง กลับมาคราวก่อนที่เคยไปหาเสียงช่วยนักการเมือง กับคราวที่ไปตอนนี้มันคนละรูปแบบกัน มี ผอ.คนหนึ่งที่ขอคุย ตอนนั้นอาญาดาเป็นเทศมนตรี ได้ทำมินิไลท์แอนด์ซาวน์ เขาก็บอกว่าทำ
ไมไม่มาทำความเจริญให้ที่นี่ ก็ตอบว่า มันคนละอารมณ์กันแล้ว เช็คดูตัวเองว่าอย่างไรก็ดึงออกไปไม่ได้หรอก เพียงแต่อยากจะเล่าความรู้สึก
แต่พอเกี่ยวกับเรื่องลูก ก็อยากดึงลูกเข้ามา แต่ด้วยการเลี้ยงลูกแบบตามใจมาก่อนเขาก็เป็นคนดีไม่กินเหล้าสูบบุหรี่ทำงานรับผิดชอบดี เห็นแม่ไปรู้ว่าแม่ไม่มีเงินเดือน เขาก็พยายามมาจ่ายเงินให้ แต่ใจก็อยากให้ลูกมาทางนี้
พ่อครูว่า…เอาละ ไม่ต้องอยากหรอกทำตัวให้ดี แล้วลูกเราจะบอก โดยเฉพาะเราทำดีแล้วคนในสังคมจะยกย่อง คนที่มีปฏิภาณปัญญา ทุกคนก็มีปฏิภาณปัญญาเท่าที่ตัวเองมีก็จะพอรู้ ว่า อย่างนี้แม่เราทำอย่างนี้มันดีอย่างนี้นะ มันจะมีความศรัทธามากถ้าเป็นพ่อเป็นแม่ทำให้เจริญแล้วก็มีคนยอมรับชัดเจนยิ่งขึ้น เราไม่ต้องไปกังวลเลยเราทำตัวเราให้ดีอย่างเดียว ลูกเขาจะมีบารมีของเขาตามมาเองอย่าไปห่วง ยิ่งห่วงไปยัดเยียดก็ไม่ดี
_บุญยิ่งแก้ว…ตอนนั้นที่จะไปอยู่ที่สีมาอโศก ตอนนั้นลูกก็ไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะว่ามันกลับไปอยู่ให้พระเลี้ยง แต่ตอนนี้ลูกก็ดีขึ้นเข้าใจมากขึ้น พูดถึงแม่อย่างภาคภูมิใจว่าไปเป็นชาวอโศก
พ่อครูว่า…ไม่ต้องกังวลหรอกทำที่ตัวเองนี่แหละ อาตาไม่กังวลเลยอาตมาไม่มีลูกเหมือนคุณแต่อาตมามีญาติพี่น้อง ไม่ต้องห่วงหรอกเขาจะมาเอง ไม่เคยเรียกร้องให้น้องนุ่งมา เขาจะเกิดภูมิธรรมของจิตตัวเอง มันเป็นสิ่งที่ดี ถ้าไปหว่านล้อมด้วยเหตุผลอะไรมันก็ไม่ใช่ของแท้ไม่ได้เรื่อง
_อภินิหาร ปัจจุบันนี้พอยังมีอยู่ไหมคะ
พ่อครูว่า…เจตนาถามนี้คืออภินิหารแบบเดินน้ำดำดิน อิทธิปาฏิหาริย์หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์หรืออนุสาสนีปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าสอนไว้ในเกวัตสูตร
อิทธิปาฏิหาริย์คือปาฏิหาริย์แบบประหลาดเหมือนหนังจีน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดูเหมือนเก่งพิลึกพิลือ ซึ่งเขามีตอนนี้บอกได้เลยว่าเขามีก็ไม่เก่ง
ก็ขอเล่านิดนึง อาตมาไม่เห็นเอง มีแต่เขาเล่ามา เช่น ฤาษีลิงดำแสดงการเหาะให้แก่ลูกศิษย์ดู แต่ก็เล่าว่า ฤาษีลิงดำ เหาะไปทั้งธรรมมาสน์ ไม่ได้ออกไปแต่ตัวอาตมาก็ดูเหมือนเล่นกลนะ เอาตัวเองเหาะธรรมดาก็ไม่ง่ายแล้ว ตอนนี้หอบไปทั้งธรรมาสน์มันเชื่อไม่ลงมันหนักนะ มันจะติดก้นขึ้นไปได้อย่างไรธรรมาสน์ฟังแล้ว อิทธิปาฏิหาริย์แบบนี้มันดูเด็กๆนะ แล้วคนพวกนั้นก็เชื่อ เขาเล่ามานะอาตมาไม่เคยได้พบกันไม่ได้เห็น
สรุปนะ อิทธิปาฏิหาริย์ทุกวันนี้ กับการหยั่งรู้ใจคนใจสัตว์ อันนี้เป็น อาเทสนาปาฏิหาริย์ ส่วนอิทธิปาฏิหาริย์ อาจเป็นอุปาทานเห็นได้หรือปั้นรูปปั้นร่างในจิตหลอกตัวเองได้ เห็นเปรต เห็นผี ทำนิทานทำหนังหลอกกันเต็ม มันไม่มีหรอก แต่คนมีอุปาทานจะบอกว่าเห็นจริงๆ เหมือนกับเขาบอกว่าเห็นคนนี้เห็นทะลุไปถึงกระดูกเลยเดินไปมา หรือนั่งสมาธิไปดีๆแล้วจะเห็นตัวเองนอนตายอยู่ตรงหน้า นอนตายแล้วก็เน่าเปื่อย เห็นความไม่เที่ยง เหมือนจริงจังเลย ตัวเองนั่งอยู่ตรงนี้ แต่ตัวเองมีภาพของตัวเองนอนเน่าอยู่ตรงหน้าแล้วตัวเองจะเป็น 2 ร่างได้อย่างไรเป็นซึ่งเป็นอุปาทานที่ซ้อนลึก เขาก็ติดพวกนี้กัน อาตมาว่าน่าสงสาร ยิ่งเป็นภาพในจิตตนปั้นขึ้นมา อทิสมานกาย สัมโภคกาย นิรมานกาย หรือเรียกอีกอย่างว่ามโนมยอัตตา
เป็นรูปร่างที่ตั้งขึ้นมาสำเร็จในจิตของตัวเองมันไม่มีรูปร่างจริงๆหรอก จะให้เป็นแสงสว่างมันก็เป็นอุปาทานทั้งนั้น หลับตาแล้วก็มีแสงสว่างเกิดขึ้นดีไม่ดีมีแสงสีต่างๆอีก อุปาทานทั้งนั้น หากคนหมดอุปาทานแล้ว หลับตาเข้า ถ้ามีแสงสะท้อนเข้าหนังตาก็จะมีแสงนิดหน่อยแต่ถ้ามันมืดหมดเลยก็จะไม่เห็นอะไรเลย
อย่างอาตมาบรรลุธรรมแล้วก็รู้จักอุปาทานดีถึงตอบได้บอกให้ฟัง หลับตาแล้วมันก็มืดมีสีดำ มันก็มืดอย่างเดียวไม่มีแวบวับ ดีไม่ดี เขาจะมีตัวตนอุปาทาน หรือเป็นนิมิต
ฝันกับนิมิตแตกต่างอย่างไร
ฝันก็เป็นตัวตนรูปร่างเรื่องราวซึ่งไม่ค่อยจะรู้เต็มตัวจริงจังนักหรือจริงจังก็แล้วแต่มันก็จะเป็นรูปร่างเป็นฝัน
ถ้าเผื่อว่าผู้ที่บรรลุธรรมแล้วก็จะเป็นนิมิตไม่เรียกว่าฝัน เป็นตัวเป็นตนเป็นรูปร่างเป็นเครื่องหมายให้รู้กัน แต่นิมิตเหล่านั้นก็จะเป็นเชิงธรรมะ ยิ่งเป็นโลกุตระก็จะเป็นธรรมะโลกุตระ ที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าเทวดา มีรัศมีกว้าง ยังเชตวันวิหารให้สว่างเป็นรูปธรรม ก็โอภาปราศรัยกัน ก็เอาภาษามาสื่อ
สภาวะ เนื้อหาสภาวะนั้นเอามาใช้ คำว่านิมิต มีได้ แม้พระพุทธเจ้าก็ยังมีได้ พระอรหันต์ก็มีได้ การนั่งหลับตาสะกดจิต เขาดับก็มืดเลยนะ สายเจโตไม่มีฝัน เขาสะกดจิตให้ดับแล้วก็ดับได้ตลอด นอนไม่ถึง 12 ชั่วโมงมันก็ไม่มีปัญหาอะไรเขาทำได้ เขาทำชำนาญ แล้วเขาก็ไปติดยึดว่า อรหันต์จะนอนหลับแล้วไม่ฝัน อรหันต์สายหลับตา การไม่คิดไม่เป็นอะไรมันไม่ได้ยากอะไรหรอก เขาก็เลยบอกว่าอรหันต์นั้นจะมีฝันหรือมีนิมิตไม่ได้ นอนหลับแล้วก็ต้องมืดไปหมดไม่มีคิดอะไรเลย แม้แต่ลืมตาเขาก็ไม่ให้นึกคิดด้วยซ้ำไปทางสายหลับตาเขาสอนอย่างนี้ เป็นความซับซ้อนมากเหลือเกินต้องเรียนรู้ให้ดี
ทำไมอาตมาต้องไปว่าเขาต้องพูดซ้ำซาก เพราะคนติดอยู่อย่างซ้ำซากไม่เคยจะลุกขึ้นมาเลยจะให้อาตมาไม่ไปช่วยแงะได้อย่างไร อย่าหาว่าอาตมาใจดำเลย ไม่ได้ใจร้ายใจดำแต่ปรารถนาดีจะช่วยคุณ จึงต้องแรงด้วยคำพูด จึงต้องแรงด้วยน้ำหนักแรงด้วยเสียงด้วยภาษาที่มันจะต้องกระทบให้แรง อาตมาต้องใช้แรงอย่างนี้เพราะว่าจะไปใช้ชะแลงทุบด้วยค้อนปอนด์ไม่ได้ ต้องด้วย มุขสตี หอกปาก ทำได้แค่นี้เป็นต้น
_สมณะคิดถูก…ต่อเนื่องเรื่องปาฏิหาริย์ อย่างโทรทัศน์ที่เราดูทุกวันนี้เป็นปาฏิหารย์หรือไม่ พ่อครูเทศน์อยู่ที่นี่แต่เป็นโผล่ได้ทั่วโลกเลย คนเดียวสามารถทำให้เป็นหลายคนก็ได้ แล้วก็เกี่ยวกับเรื่องที่พูดถึงท่านฟ้าไทกับท่านถักบุญ เรื่องวิญญาณคานธีกับไอน์สไตน์
ถามว่าคนเราสามารถ Copy วิญญาณกันได้ไหมไปเป็นคนโน้นคนนี้
พ่อครูว่า…เหมือนกันได้คล้ายกันได้ ในความเหมือนความคล้ายกัน มันก็จะเป็นสภาวะธรรม ที่สายไหน ชอบยินดีแบบไหน ก็จะค่อยๆสะสมของตัวเองเข้ามารวมตัว และที่มันเหมือนกันนี่ก็จะสูงขึ้น ก็จะมารวมกัน เรื่ิองตัวเรื่องตนจะเป็นการถ่ายทอดความรู้ความเห็นร่วมกันก็จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ความเป็นนามธรรมที่มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มันไม่ใช่ตัวรูปธรรมที่มันแยกไม่ได้ แต่นามธรรมนี้มันร่วมกันได้ เมื่อมันร่วมกันเข้าก็จะเป็นหนึ่ง อันนี้แหละเป็นสิ่งที่อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกูของกู เพราะสองคนนี้มารวมกันเป็นคนหนึ่งได้ พูดพยัญชนะว่าคน คนไม่ใช่นามธรรม คนมันคือพลังงานจิต จิตก็จะเป็นพลังงานมารวมกัน ก็พลังงานมันรวมกันได้ใช่ไหม มันก็จะค่อยๆผนึกร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวไปในที่สุด
ถ้าหากยึดมั่นถือมั่นมันตายตัวก็จะไม่สูญหาย หรือว่าถ้าสูญหายก็เป็นความเจริญอย่างเดียวมันก็ไม่ใช่ตัวใครของใครไม่ใช่ตัวกูของกู แต่ถ้าไปยึดถือเป็นตัวกูของกูอยู่ก็จะไม่หมดเสียที
_เท่าที่สังเกตท่านฟ้าไทว่า เหมือนคานธีที่ชอบล้างห้องน้ำและมีความรู้เรื่องกฎหมายด้วย แต่รูปร่างไม่รู้ว่าเหมือนหรือเปล่า ไม่เคยเห็น
พ่อครูว่า…เอาที่ปัจจุบันดูว่ารูปหล่อกว่าก็แล้วกัน หล่อกว่าคานธี
ตอน ตัณหาอุปาทานต่างกันอย่างไร
_สิกขมาตุเป็นหญิง…มีผู้ปฏิบัติธรรมอยู่ 3 คน คนแรกนี้มุ่งมั่นที่จะให้ตัวเองพ้นจากตัณหาในอุปาทาน คนที่ 2 บอกว่า ถ้าอย่างนั้นต้องเป็นพระอรหันต์สิ คนที่ 3 ก็งง บอกว่าความหมายเป็นอย่างไร
พ่อครูว่า…คนที่งงก็คือคนที่ยังไม่รู้เรื่องว่าเป็นอย่างไรจะเป็นพระอรหันต์ อีก 2 ประเด็นนั้นคนหนึ่งเป็นพระอรหันต์ อีกคนหนึ่งมุ่งมั่นที่จะเป็นพระอรหันต์
ถ้าเข้าใจเหตุปัจจัยของความมุ่งมั่น แล้วก็สรุปว่าถ้าคนทำเช่นนี้ได้ก็จะเป็นพระอรหันต์ คนที่เข้าใจว่าทำเช่นนี้ได้กับคนที่มุ่งมั่นทำต่างก็รู้กันทั้งคู่ ใครจะทำได้ก่อนกันล่ะ สองคนนี้ใครจะทำได้ก่อนกันคนนี้ก็เป็นพระอรหันต์ก่อน
อยากฟังความหมาย ก็คนมุ่งมั่นก็กำลังทำเหตุปัจจัยที่จะไปเป็นพระอรหันต์ คนนี้ก็พอเข้าใจจึงรู้ว่าอีกคนนี้มุ่งมั่นทำเหตุปัจจัยที่จะเป็นพระอรหันต์ ที่นี้ก็ถึงได้ตอบให้ฟังว่า ถ้าคนนี้ก็รู้แล้วก็เร่งทำของตัวเองสิ ตัวเองเสร็จก่อนตัวเองก็เป็นพระอรหันต์ก่อน ถ้าตัวเองแล้วทำให้เสร็จคนอื่นทำเสร็จก่อนก็เป็นพระอรหันต์ก่อน
_สิกขมาตุเป็นหญิง…เช่นกามาวจร เรากำลังกินข้าวอยู่ ข้าวนั้นก็จืดไป เราก็ว่าน่าจะหาซีอิ้วหน่อยมาให้เค็ม อย่างนี้กำลังสัมผัสอยู่แต่จิตเราจรอยู่ในปัจจุบัน เรียกว่ากามาวจร แต่ภาวะตัณหาในอุปาทาน อยากให้พ่อครูอธิบาย
พ่อครูว่า…มันเป็นผลจากความอยากที่เคลื่อนที่ออกมาเรียกว่าตัณหา ความอยากที่ฝังสนิทไม่เคลื่อนที่เรียกว่าอุปาทาน แค่นั้นเอง อนึ่งเป็นตัว static อนึ่งเป็นตัว Dynamic อุปาทานกับตัณหามันเป็นตัวต่อกันถ้าตกผลึกก็เป็นอุปาทาน ถ้ามันยังดำเนินบทบาทอยู่ก็เป็นตัณหาที่จริงแล้วมันเป็นตัวเดียวกันอันเดียวกัน สมมุติกามาวจรก็ตัวเดียวกันเป็นกามในตัณหาเป็นตัณหาในกาม เป็นกามุปาทาน
_ใจแก้ว…เมื่อวานนี้ฝนตกแรงกิ่งไม้ล้มเยอะ นอนประมาณตีหนึ่ง ก็ได้ยินเสียง ตอนกำลังลุกขึ้น ไม่ตื่นเต็มเห็นงูกำลังเหมือนจะกัดหนู จิตก็คิดว่า กินไปก็ดีมันจะได้น้อยลง แต่เมื่อติดใจตื่นเต็มร้อย ก็เลยบอกว่าตายล่ะ คิดได้อย่างไร มานึกถึงพ่อท่านเทศน์ว่า พระพุทธเจ้าแค่ไปยินดีที่ชาวประมงจับปลาได้เยอะ ตอนนั้นจิตใจเราก็ยังไม่ตื่นเต็ม จะมีวิบากกรรมอย่างไรบ้าง ถ้าไม่เจอพ่อท่านก็จะไม่สามารถคิดเช่นนี้ได้
พ่อครูว่า…อาตมาตอบไม่ได้หรอกว่าจะมีวิบากกรรมอะไรบ้าง ก็รู้แล้วทีหลังก็อย่าไปคิดแบบนี้ไปยินดียินร้ายอะไรกับเขา เป็นบาปใครบุญมันสัพเพสัตตาของใครของมัน ที่เทียบให้ฟังแค่จิตไปยินดีในชาวประมงหาปลาได้เยอะ วิบากก็ตามมาแม้แต่ตอนเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว วิบากก็ไม่น่าจะมากอะไรเลย ถ้าไปยินดีที่เห็นเขาจับปลาได้มากเท่านั้น ก็ยังมาทำให้ปวดหัวตอนเป็นพระพุทธเจ้า อาตมาถึงได้เอาพวกนี้มาอธิบายให้ฟังแค่ไปยินดีที่เขาจับปลาได้มากมันก็ยังมีวิบากขนาดนี้ ขนาดปฏิบัติจนบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้ววิบากนี้ก็ยังตามมาหลอกหลอน ทำให้เกิดภัยแก่ตัวเองนิดหน่อยได้เลย เพราะฉะนั้นถึงขั้นที่คุณไปยินดีกับอันโน้นอันนี้มากกว่านี้นี่นะ
เช่น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ไน ชีวกสูตร มันละเอียดมาก 5 ขั้น
-
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
-
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
-
สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60