620717_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เทวนิยมกดข่มจมกับ 2 ที่ตีไม่แตก
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1VomTfin_3zsX8Juc13pffraRqFjG-scwSRWJPzSzp-I/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1MoVq-7VDZpT61-QoEReRYI8K0HlzW3Cf
สมณะเดินดินว่า… วันนี้วันพุธที่ 17 กรกฎาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันเข้าพรรษาวันแรก เราก็จะได้มีความพรั่งพร้อมทั้งสมณและสิกขมาตุญาติธรรมที่จะอยู่ร่วมกันในอีก 3 เดือน ตอนนี้มีความลงตัวหลายด้าน รัฐบาลก็เริ่มทำงานในวันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่มีความสำคัญทางศาสนามาร่วมด้วย น่าจะเป็นฤกษ์ดีของประเทศไทย
วันนี้มีนิมิตหมาย ปกติพ่อครูจะตื่นมาออกกำลังกาย ในที่นอน แต่วันนี้ พ่อครูตื่นขึ้นมาถูพื้นชั้นที่ 4 ถูประมาณ 20 นาที ท่านดินไทถ่ายภาพไปในไลน์สมณะ สมณะก็บอกว่าพ่อครูดูหนุ่มขึ้นนะ
อาตมาเคยนึกถึงในพระไตรปิฎก พูดถึงอานิสงส์ของการทำความสะอาดปัดกวาด ก็มีอานิสงส์อยู่หลายข้อ คนเราถ้าไม่ได้ออกกำลังกายเลยจะป่วย เหงื่อออกมากน้ำตาไหลน้อย เหงื่อออกน้อยน้ำตาไหลน้อย หากเหงื่อไม่ออกเลยก็จะมีความเจ็บป่วย
การกวาดขยะในวัดนี้เขาถือว่า..ทำให้ผิวพรรรงาม ทำให้โรคเรื้อนหายไป คนโบราณเขาถือกันอย่างนั้น การกวาดวัดมีอานิสงส์ถึง 5 อย่าง คือ
-
บุคคลเห็นเข้า ก็เลื่อมใส
-
เทวดาเห็นเข้า ก็เลื่อมใส
-
จิตของผู้กวาดตั้งสมาธิได้เร็ว
-
ผิวพรรณผ่องใส
-
เมื่อตายไปก็ไปบังเกิดในสวรรค์
นั่นคือ ประโยชน์ของการกวาดวัด
วันนี้ถือเป็นนิมิตหมายพ่อครูทำความสะอาดวัตถุก็จะหมายถึงการทำความสะอาดศาสนาที่เป็นนามธรรมด้วย
พ่อครูว่า…ใช้sms อธิบายขยายความ
_จากยูทิวป์ช่อง BuddhaThailand
เผยแพร่เมื่อ 6 เม.ย. 2016
โพธิรักษ์ สันติอโศก ประกาศตน บรรลุเป็นพระอรหันต์ ขั้นปฏิสัมภิญาณ / ใครบ้างเชื่อ!! บุคคลผู้นี้เป็นอรหันต์???
ต่อมามีคนมาเขียนคอมเม้นท์ไว้ส่วนหนึ่งว่า
_ยักษ์กี้ ศรีนคร….6 เดือนที่ผ่านมา
ตอนนี้เข้าข่ายอวดอุตริ บรรลุจริงไม่ใช่บอกไม่ได้แต่คนบนรู้จริงจะไม่บอก คนที่บอกคือไม่บรรลุ เข้าใจตรงกันนะครับ
พ่อครูว่า…นี่คือเป็นหลักของคนไทยยึดถือกันทั่วประเทศที่บอกว่าคนที่บรรลุแล้วบอกใครไม่ได้ ขืนบอกเท่ากับคนนั้นไม่บรรลุ แต่อาตมาก็เอา โลหิจสูตรมาค้านแย้ง และก็อีกหลายสูตร เขาทำเก่งทำเกินกว่าคำสอนพระพุทธเจ้า บัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัตินี้มันบาปนะ ขอบอก เตือน อ่านดีๆ อย่าไปพูดเอาเองไม่ใช่ของง่ายๆนะ
_Tunthagorn Nanchotipong 6 เดือนที่ผ่านมา
พระอรหันต์ มีทั้งประกาศและไม่ประกาศ แต่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสรรเสริญ พระอรหันต์ที่ไม่ประกาศ
หมายเหตุ : อ้างอิงจากพระมหาเถระผู้ทรงพระไตรปิฎก เรื่อง พระพุทธเจ้าทรงตรัสสรรเสริญ พระทัพพะ กับ พระโสณะ ที่ท่านทรงมิได้ประกาศความเป็น อรหันต์
พ่อครูว่า…ท่านไม่ประกาศก็เรื่องของท่าน แต่ผู้ที่ประกาศก็ประกาศสิ ที่อ้างมานี้เป็นคำพูดของอรรถกถาจารย์ ซึ่งเขาใช้คัมภีร์ของอรรถกถาจารย์เรียนกันในเมืองไทย ของท่านพุทธโฆษาจารย์ที่แต่งคัมภีร์วิสุทธิมรรค ก็เป็นอรรถกถาจารย์
อรรถกถาจารย์นี่แหละ สัมมาทิฏฐิก็ได้หรือยังไม่สัมมาทิฏฐิก็ได้ อย่างของท่านพุทธโฆษาจารย์ที่แต่งคัมภีร์วิสุทธิมรรค ที่เป็นชาวลังกา ยังมีเทวนิยมเยอะเลย อาตมาก็ดูว่ามีผิดก็มีถูกก็มี และมีที่ไม่มีสัมมาทิฐิเยอะ ถูกต้องก็มีไม่ถูกต้องก็เยอะ หากใครไปยึดถือเอาส่วนที่ไม่ถูกต้องของอรรถกถาจารย์มาก็แย่ไป มันมีรายละเอียดโดยเฉพาะคำว่าเทวะ คำว่าภพชาติ แม้แต่คำว่าบุญคำว่ากาย ที่อาตมานำมาอธิบาย ติดตามให้ดีๆถ้าหากรักศาสนาพุทธจริงและอยากเอาศาสนาพุทธไปปฏิบัติให้ได้
ทางโน้นก็เขาก็บอกว่าเขาบรรลุ ถ้าทางโน้นไม่ถูกก็ต้องบรรลุแบบไม่ถูก แต่ทางนี้ก็ย่อมยืนยันว่าบรรลุแบบที่อาตมาสอน อาตมาตะถือว่าเป็นอรรถกถาจารย์ก็ได้ แต่อาตมาก็เคยอ้างว่าอาตมาเป็นมหาเถรมาเกิด เป็นสยังอภิญญา รับมอบจากพระพุทธเจ้ามากอบกู้ศาสนาในยุคนี้อาตมาก็อวดอ้างตัวเอง ไม่อยากจะออกชื่อ มหาเถระองค์ที่สืบทอดมาจากพระพุทธเจ้าแล้วก็มีหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎก ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 นอกนั้นเดี๋ยวจะได้ขยายความ ว่าทำไมต้องบรรลุแล้วต้องประกาศ คนบรรลุอรหันต์เป็นอย่างไร
_ประสิทธิ์ จันทร์โอชา 5 เดือนที่ผ่านมา
ของจริง นิ่งเป็นใบ ไม่ได้แปลว่า ไม่พูดเลย แต่หมายถึง ความเป็นปัจจัตตังของจิตที่ไม่เอนเอียงไม่ยึดติดอุปาทานในสภาวะทั้งปวง
พ่อครูว่า…อันนี้ก็ถูกต้องขยายความมาอย่างนั้น
_Chumpornphimmate Phimmate 4 เดือนที่ผ่านมา
โบราณว่า ฆ้องดังเองมันจังใร
พ่อครูว่า…เขาหมายถึงว่าประกาศตัวเองนั้นจัญไร อาตมากว่าจะตีฆ้องตัวเอง อาตมาไม่ได้ประกาศต่อสาธารณะกัน อาตมาบรรลุออกมาทำงานเขียนหนังสือธรรมะ รวมพิมพ์เป็นเล่มแรกคือคนคืออะไรทำไมสำคัญนักแล้วก็บอกว่าอาตมาบรรลุในเล่มนั้นในวันนั้น แล้วก็อาภัพจริงๆโพธิรักษ์ จะบรรลุในตรงไหนก็ไม่บรรลุไปบรรลุในท่าเยี่ยว ลุกมาเยี่ยวแล้วก็บรรลุในท่านั้น พระอรหันต์องค์อื่นท่านบรรลุอยู่ในถ้ำกระบอก อาตมาก็โกหกไม่เป็นด้วย อาภัพจริงๆ แค่บรรลุธรรมก็อยู่ในท่านี้ อย่างพระสารีบุตรก็บรรลุธรรมในขณะกำลังโบกพัดวี พระอานนท์ก็บรรลุในท่าเอนนอน บางคนเหาะไปก็บรรลุ บางองค์เดินไป 7 ก้าว ก็บรรลุ ก็นับเป็นล้านองค์พระอรหันต์ทั้งหลาย ก็ต่างกัน
อาตมาก็ชาตินี้วิบากอาตมาหนักหนามาก ความอาภัพเยอะ ไม่มีอะไรรับรอง
สู่แดนธรรมว่า สถานที่ที่บรรลุคือสถานที่ที่ปลดทุกข์
พ่อครูว่า…แสดงว่าที่ที่อาตมาบรรลุคือที่ปลดทุกข์ เจ๋งเลย แก้รอด ทุกข์ภายนอกภายใน ทุกข์ทางธรรม ทุกข์ทางกายหมดไปทั้งสองด้าน ยิ่งลึกใหญ่เลย สิ้นทุกข์ทั้งโลกียะโลกุตระ
สมณะเดินดินว่า…ถ้าจะโกหกกันก็น่าจะเล่าในที่ขลังๆหน่อย
พ่อครูว่า..น่าจะบอกว่าที่สวยๆหน่อย แต่เรื่องจริง อาตมาเป็นคนจริง
_ธัชชัย เกษมสุวรรณ 2 เดือนที่ผ่านมา
ยิ่งพูด จิตยิ่งแกว่ง เมื่อจิตแกว่งมันก็หลุดไปสู่กิเลส โทสะ โมหะ ฯลฯ จากอรหันต์ดิ่งไปสู่นรกภูมิทันที ของจริงจึงนิ่งเงีียบและดับไปเมื่อถึงกาลของรูปกาย
ตอน อนูปวาโท การไม่กล่าวร้ายคือกล่าวเช่นไร
_Anusit Songjitsawat 2 เดือนที่ผ่านมา
ธรรมะข้อไหนครับที่ทำให้ท่านบรรลุธรรม. เห็นยังอยู่ฝ่ายการเมืองของกปปส. กล่าวร้ายฝ่ายตรงข้ามก้อหลายครั้ง. ท่านคงเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า. มโนเองรึป่าว. ยังไม่เห็นปล่อยว่างอะไรเลย
พ่อครูว่า…ติดตามฟัง ขอขยายความนิดนึง คำว่ากล่าวร้าย คืออุปวาโท ตรงกันข้ามกันก็คือคำว่า อนูปวาโท เป็นคำของพระพุทธเจ้าในโอวาทปาฏิโมกข์ 6 ตั้งแต่ สัพพปาปัสสอกรณังไป
คำว่า อนูปวาโท คือไม่กล่าวร้าย ถ้าอุปวาโท คือกล่าวร้าย ผู้ใดใช้คำว่ากล่าวร้ายก็ไม่ถูกต้อง ต้องไม่ใช้คำกล่าวร้าย
คำว่ากล่าวร้ายคืออะไร?
คำว่ากล่าวร้ายคือไม่ใช่ว่าไม่พูดความผิดไม่ติเตียนใคร แต่ต้อง ติเตียนแล้วติเตียนอีก กระหน่ำแล้วกระหน่ำอีก ผู้มีมรรคผลจะทนอยู่ได้
คำว่ากล่าวร้ายคือทำให้เสียหายทำให้ผิดทำให้พังทำให้พินาศ ถ้าหากคำกล่าวที่ไม่ได้ทำให้เสียหาย แต่ทำให้เจริญทำให้ส่งเสริมให้ดี จะติอย่างไรก็ติให้เจริญไม่ใช่ติให้เสื่อม นั่นคือคำกล่าว อนูปวาโท ไม่ได้กล่าวร้าย
ถ้าอุปวาโท คุณจะพูดให้หวานแม้ไม่ได้กล่าวตำหนิเลย แต่ก็จมอยู่ในกิเลสจมอยู่ในโลกก็ทำ นักเข้า นี่คือคำกล่าวร้าย พูดไพเราะพูดไม่ติเตียนใคร กล่าวชมเชยคนทั้งหมด มีแต่กล่าวชมไม่ได้กล่าวร้ายเลย อย่างนี้สิ ยิ่งไปกล่าวไปแล้วก็ไม่ถูกต้อง ยิ่งเป็นคำหลอกลวงป้อยอ ให้มาเป็นบริวาร เอาลาภยศสรรเสริญมาให้เหมือนกับธัมมชโย ขออภัย อีกหมัดนึงนะ เหมือนมหาบัว กล่าวแรงนะ ว่าให้เอาเงินมาช่วยประเทศ คนก็ศรัทธาเลื่อมใสว่าเป็นพระอรหันต์ก็เอาเงินมาใหญ่เลย ปลุกเร้า โดยที่ไม่มีคำอธิบายอะไร คนก็หลงเชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วเอาเงินมาอ้าง
ที่ท่านทำนี้เป็นกุศลเจตนา ดี ที่เอาเงินเข้าคงคลังช่วยประเทศได้เยอะแยะ ก็ยิ่งเป็นจุดเด่นก็ยิ่งหลงตัวเองใหญ่เลย เอาความหลงมาก เป็นมหัปปิจฉะ เอาความมากมาตัดสินว่าหาเงินช่วยได้มากแล้วช่วยโลกได้มาก แล้วโพธิรักษ์เป็นใคร คนมาศรัทธาอยู่กี่คน เป็นความซับซ้อนสำคัญที่ลึกซึ้ง ที่อาตมาเปิดเผยจุดนี้ของมหาบัวเอาไปไตร่ตรองให้ลึกซึ้งมันเป็นความอยากเด่นอยากดังอยากใหญ่ของท่านแล้วก็หลงภาคภูมิใจในเรื่องนี้มหาศาลเลย ท่านจะไปเทศน์เพื่อเรี่ยไรเอาคำเทศน์เรี่ยไรพวกนี้มาฟังให้ดี เพื่อให้ได้เงินแล้วตัวเองจะได้เด่น เพื่อโปรโมทตัวเอง เป็นโลกียะ
อธิบายไม่ได้ว่าการทำทานจะต้องไม่มีสาเปกโข เป็นอัตถิทินนัง การทำทานอย่างนั้น ยิ่งฮึกเหิม นัตถิทินนัง ได้โลกียะไปหมด เป็นเรื่องลึกซึ้ง ท่านแยกโลกียะโลกุตระไม่ได้
แม้แต่สัมมาทิฏฐิข้อที่ 1 อัตถิทินนังทานมีผลกับนัตถิทินนังทานไม่มีผล การทำในใจตัวเองต้องทำอย่างไร ท่านยังอ่านไม่ออก แต่ท่านทำใจนะ ท่านทำจิตนะ ทำสมาธิด้วยวิธีสมถะ ไม่ได้ด้วยวิธีทำให้สงบแบบพระพุทธเจ้าที่ท่านใช้คำว่าปัสสัทธิ แบบสำคัญ คำว่าวิเวก คำว่าสันตา หรือเป็นอุปสมาเป็นการสงบเป็นการบรรลุอย่างสงบ ปัสสัทธิ เป็นการสงบที่อยู่ในปหาน 5
ปฏิปัสสัทธิปหาน เกิดตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า เป็นปัสสัทธิแล้วจึงจะเป็นวิเวก วิเวกกาย วิเวกจิตแล้ว วิเวกจากกิเลส คือความสงบที่ขยายให้มาสัมพันธ์ว่าให้เกี่ยวข้องกับอะไร เกี่ยวกับการเกี่ยวกับจิตอย่างไรอธิบายให้ได้
ในมูลกรรมฐาน 5 สำหรับภิกษุที่มาบวช อุปัชฌาย์จะต้องให้กรรมฐาน 5 แต่เดี๋ยวนี้ให้ไปพิจารณาไตรลักษณ์ ให้ไปพิจารณาความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาไปหมดเลย ไม่ใช่ มูลกรรมฐาน 5 ให้พิจารณาแยกธรรมนิยาม 5 หรือให้แยกกายแยกจิตให้ได้
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน หากเราไปหาหมอแล้วไม่รู้ว่าหมอนี้สำเร็จความเป็นหมอได้หรือไม่ แค่นี้ก็ยุ่งเลย ไม่รู้จะไปรักษาได้อย่างไร
อย่างเราจะไปเรียนเป็นพระอาริยะ ก็ต้องดูว่าใครที่เป็นพระอาริยะจึงจะไปเรียนรู้ได้ หากไม่รู้ทั้งหมดก็เหมือนคนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ สุดท้ายก็ไม่รู้เรื่องกันซักคน
พ่อครูว่า…ติดตามฟังให้ดีๆอาตมาก็จะอธิบายการบรรลุธรรมที่มีหลักฐานยืนยันด้วย ยืนยัน กาย วาจา ใจ ศีล สมาธิ ปัญญา อาตมาก็พยายามอธิบายอยู่ ติดตามให้ดีๆจะรู้ว่าอาตมาอธิบายธรรมะนี้ไม่ใช่ตื้นเขิน มีนัยหลายอย่างที่ไม่ได้บันทึก ติดตามให้ดี จะเป็นการส่งเสริมให้รู้จักเนื้อหาสาระเนื้อแท้ เข้าใจยิ่งขึ้นๆ อ้างอิงพระไตรปิฎกของพระพุทธเจ้าเล่มที่ใช้นี่แหละ ฉบับสยามรัฐ ใครจะฉีกทิ้งใครจะบอกว่ามาทีหลังก็แล้วแต่ หากไม่มีอะไรอ้างอิงมันก็จะไปเหลืออะไรที่จะมายืนยัน
_SMS วันที่ 14 ก.ค. 2562 (วิถีอาริยธรรม)
_3867มวลชนไม่รู้ว่าหลวงตามหาบัวเป็นพระอรหันต์ฤาไม่?รู้แต่ท่านเป็นพระอาริย ะกู้ชาติปลดหนี้IMFให้หนี้สาธารณ์ต่อหัวของคนไทยเป็นอิสสระจากมหาอำนาจการเงินโลกที่ทุกรบ.ปชธต.ใบเลือกตั้งไร้ปฎิรูปคอยยัดเยียดอธิปไตยคนไทยให้เป็นหนี้ที่ปชช.ไม่ได้ก่อเอง ทุกระบอบกลียุค!(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า…การบอกว่าตนเองไม่โกรธแล้วนี่สำคัญนะ หากคุณประกาศว่าคุณไม่โกรธ ต่อไปทุกสายตาก็จ้องคุณว่าไม่โกรธให้ได้นะ หรือว่าประกาศว่าหมดกามแล้ว เราก็ต้องระวังตัว สาธารณชนก็จะจ้องดู ประกาศแบบนี้ไม่เห็นใครจะเอาลาภสักการะมาให้ เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์
_2166กุรุแป้งเอ้ย! ลองๆไปตีความในโลหิจจสูตรดีๆใหม่อีกทีเมื่อบรรลุธรรมแล้วไม่นำไปบอกไปสอนคนอื่นจึงจะถือว่าเป็นมิจฉาทิฐิ มิใช่หรือ? เปรียบเหมือนมีของแล้วไม่แบ่งปันคนอื่น? ไม่ใช่ไปเที่ยวอวดอ้างการบรรลุของตัวเอง ใช่ไหมครับกุรุแป้ง ผมถามเป็นเชิงวิชาการวิเคราะห์กันดูนะครับกุรุแป้งครับ/แก่นกรุ เพื่อนเก่า เมืองอุบล.
พ่อครูว่า…เขาว่าการบอกกับการอวดอ้างการบรรลุนั้นต่างกัน แต่นี่ก็ฟังดีๆตรงนี้
ผู้ที่บรรลุธรรมนี้แปลว่าคนนี้ไม่มีกิเลส ก็แล้วจะเอากิเลสที่ไหนไปบอก คนที่ไม่มีกิเลสคนที่เป็นอรหันต์ตัดเกรดตรงที่ เที่ยง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) “นิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง”
นี่คือเงื่อนไขของพระอรหันต์ เป็นพระโสดาบันก็อาจจะยังยึกยักแต่ไม่ตกต่ำ แต่พระสกิทาคามีก็เจริญขึ้นกว่าโสดาบันยิ่งไม่ตกต่ำใหญ่ เป็นอนาคามีถือว่าเที่ยงแล้วต่อผัสสะภายนอก
โสดาบันมีเงื่อนไข 4 อย่าง คือ 1. โสตาปันนะ เข้ากระแส 2. อวินิปาตธรรม ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา แม้จะตกลงบ้างแต่ก็จะทำคืนแก้ไข 3. จนมีคุณธรรมที่เที่ยงนิยตะไม่ยึกยักแน่นอนมั่นคงในศีลของโสดาบันแล้ว 4. จะเดินไปสู่ที่สุดที่สูง
หากเป็นพระอรหันต์แล้วจะเที่ยงไม่มีตกต่ำอีก ไม่มียึกยักไม่มีกิเลสอีกเลย กิเลสเป็น 0 แล้วท่านเป็นพระอรหันต์ แล้วจะเอากิเลสที่ไหนไปประกาศ หากท่านยังยึกยักตกต่ำอยู่ ก็ไม่นับว่าท่านเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นท่านเป็นผู้ที่ไม่มีกิเลสแล้วอย่างไม่ยึกยักไม่ตกต่ำ
ถึงบอกว่าต้องประกาศเป็นสติวินัยแก่พระอรหันต์ ท่านจะทำอะไรก็เป็นสมมติเป็นหลักส่วนปรมัตถ์ท่านสมบูรณ์แล้ว ท่านก็อนุโลมไปตามสมมติสัจจะเท่านั้น จะไปปรับว่าท่านมีกิเลสโลภโกรธหลงอีกได้อย่างไร ถ้ายังมีอีกท่านก็ไม่ใช่พระอรหันต์สิ ฟังให้ชัด
แต่มันมีประเด็นที่ยากก็คือ ลิงลมอมข้าวพอง แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังมีลิงลมอมข้าวพองเกิดมาก็ยังไม่เดียงสา จนกว่าจะรู้เดียงสา จากวันนั้นที่ท่านรู้ตัวเองแล้วท่านก็รู้ว่าเป็นพระอรหันต์ด้วย เป็นอรหันต์ปฏิบัติไปสะสมจนเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อเกิดมาก็มีโลกโลกีย์ฉาบอยู่เป็นลิงลมอมข้าวพอง ท่านไม่ติดยึดก็ละออกมาง่าย แต่ที่ดูเหมือนมีกิเลสก็คือเมาเหมือนลิงลมอมข้าวพอง
สรุปที่ว่า ผู้ที่บรรลุธรรมนั้นคือคนที่ไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้นกิเลสการอวดอ้างก็คือกิเลสอย่างหนึ่ง อยากอวดอ้างคือกิเลสอย่างไร ถ้าหากบรรลุธรรมแล้วก็จะไม่มีกิเลสอยากอวดอ้าง แล้วท่านผู้บรรลุอรหันต์ไม่มีกิเลสอวดอ้างเป็นอุปกิเลสก็ไม่มี จะเพ่งโทษพระอรหันต์พระอาริยะ โพธิสัตว์ พระพุทธเจ้าก็จะมีกรรมวิบากเป็นธรรมดา
__สู่แดนธรรมตอบเพื่อนเก่าไปว่า… กราบนมัสการครับพ่อท่าน ผมขอร่วมรายการด้วยครับ ดังที่มีคนถามพาดพิงมาถึงผม ว่าให้ผมไปตีความในโลหิจจสูตรดีๆ
ก่อนอื่นผมขอบอกก่อนว่า ผมเองศึกษาพระไตรปิฏก ก็ไม่ค่อยนิยมการตีความเท่าไรหรอกครับ หากผมสงสัยในคำใดๆ ที่แปลเป็นไทยออกมาแล้ว มันแปร่งๆ ขัดแย้งกับความรู้ของบัณฑิต ผมจะไปค้นหาคำตรัสของพระพุทธเจ้าโดยตรงเลย ซึ่งไม่ต้องตีความให้ยาก เพราะเป็นคำตรัสที่ใช้เป็นหลักฐานได้เลย ผมเองก็พบว่า
โลหิจจพราหมณ์ที่กล่าวว่า บรรลุแล้วไม่ควรบอก หรือไม่บอกผู้อื่น นั้น ความจริงแล้ว คำว่า ไม่บอก นี้ เขาก็ใช้คำโดยตรงเป๊ะๆ เลยครับ ว่า “อาโรเจยฺย” ซึ่งแปลว่า “บอก ประกาศ โฆษณา”
พ่อครูว่า…การมีปรโตโฆษะคือเปิดใจรับคำสอนที่เราเคยต้านเคยไม่เชื่อ ไม่มีความรู้แบบนั้นมาก่อน แล้วก็เอาไปทำใจในใจได้ จึงเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมได้ตลอด ในอวิชชาสูตร พบสัตบุรุษแล้วต้องคบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ จึงจะได้ฟังสัทธรรมได้บริบูรณ์ จึงเกิดความเชื่อถือศรัทธาเกิดความรู้ เกิดความเห็นถูก บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการให้แยบคายโดยบริบูรณ์
จะเกิดศรัทธาที่บริบูรณ์ต้องฟังสัตบุรุษอย่างบริบูรณ์ หากฟังอย่างอาบน้ำกลัวเปียก มันต้องบริบูรณ์จึงครบ เพราะลำดับของศาสนาพระพุทธเจ้ามีต้นกลางปลายที่เป็นลำดับ ราบเรียบลุ่มลึกเหมือนฝั่งมหาสมุทร เป็นความมหัศจรรย์อันดับ 1 ใน ปหาราทสูตรเลย
ธรรมะพระพุทธเจ้าจึงไม่ใช่เรื่องตื้นที่จะมาตีความง่ายๆ ต้องปฏิบัติเป็นลำดับ จากหยาบคือข้างนอกก่อน แต่ไปนั่งหลับตามีแต่ข้างใน ข้างนอกหยาบๆติดอบายมุขอยู่ก็ไม่รู้ ยกตัวอย่างมหาบัว หรือไม่ต้องพูดเลยธัมมชโยนั้นมหาศาลเลย ทั้งหลอกทั้งล่อทั้งโกหกมาสร้างนิยาย มอมเมาคน แต่มหาบัวยังไม่ถึงขนาดนั้น แต่ก็ยังไม่รู้อุปกิเลสตัวเอง ตัวเองเสพติดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ไม่รู้
_ (คำเต็มๆ มีว่า น ปรสฺส อาโรเจยฺย แปลว่า ไม่ประกาศบอกผู้อื่น)
จึงไม่ใช่ไปตีความเอากับคำว่า ไม่บอก นั้นหมายถึงไม่บอกสอน ดังที่คุณแก่นกรุ เกลอเก่า อ้างมาเลย
ฉะนั้น การที่พ่อท่านอธิบายมาก็ถูกแล้ว ว่า ก็ถ้าใครบรรลุธรรมแล้ว ไม่บอก ไม่ประกาศ ไม่โฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ผู้อื่นทราบ ย่อมมิจฉาทิฐิ
ยิ่งอ่านไปให้ครบใจความของพระสูตร ก็ยิ่งจะมีรายละเอียดอีกว่า ศาสดา 3 จำพวกที่ควรติ ควรท้วง โดยไม่ผิดต่อธรรม ไม่เป็นบาป คือ
-
ศาสดาไม่บรรลุ แต่ดันจะไปบอกสอนให้สาวกของเขาบรรลุ และสาวกก็ไม่ตั้งใจฟัง ไม่ได้บรรลุประโยชน์
พ่อครูว่า…ศาสดาชนิดที่1 นี้คือปทปรมะ เป็นบัวเหล่าที่ 4 สภาวะของศาสดาแบบนี้มีไหม แล้วตัวเองก็บรรลุไม่ได้ ทั้งที่สอนคนอื่นอยู่
-
ศาสดาเองไม่บรรลุเลย แต่ดันไปสอนสาวกให้บรรลุได้ ก็จงมาดูตรงที่สาวกบรรลุได้นี่แหละ ว่า แล้วใครล่ะจะไปล่วงรู้การบรรลุของสาวกได้ ก็สาวกเองนั่นแหละย่อมบอกเอง ปฏิญาณตนเองว่าบรรลุมิใช่หรือ ศาสดาจึงจะรู้ได้ว่าสาวกบรรลุแล้ว
พ่อครูว่า…ก็เหมือนปทปรมะ แต่สอนลูกศิษย์ให้บรรลุได้เพราะว่าเอาบัญญัติของพระพุทธเจ้ามาแต่ตัวเองไม่ได้บรรลุเลย
แต่ผู้ที่เป็นสาวก มีปฏิภาณปัญญาเป็นก็มีธรรมะในใจสัมโพชฌงค์ เลือกเอาสิ่งที่ถูก ในกาลามสูตรก็บอกว่าอย่าเชื่อเพราะว่าเป็นครูบาอาจารย์ของเรา ไม่เชื่อตัวเอง ก็จะมีผู้ที่ฟังแล้วเข้าใจปฏิบัติได้ทั้งที่อาจารย์ไม่ได้บรรลุ แต่ผู้ฟังมีปฏิภาณเอาไปปฏิบัติและบรรลุได้ ก็ยังดีกว่าคนแรก สอนกันไม่ได้บรรลุกันเลยทั้งครูและอาจารย์แต่อันนี้สอนให้บรรลุ
แล้วใครจะไปร่วมการบรรลุของสาวกได้ พระสารีบุตรสอนลูกศิษย์อยู่แต่ลูกศิษย์บรรลุแล้ว สาวกยังไม่รู้เลยยังไปทักท้วงลูกศิษย์ ทั้งที่คนนี้บรรลุแล้ว ลูกศิษย์ด้วยกันที่รู้ว่าบรรลุแล้วก็บอกอาจารย์ว่าคนนี้บรรลุแล้วแก่พระสารีบุตร ไม่ใช่มันจะเดาด้วยอาการได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นสาวกเองนั่นแหละไม่ยอมบอกเอง สรุปแล้วบรรลุแล้วก็ต้องบอก
-
ศาสดาบรรลุแต่สอนลูกศิษย์ไม่บรรลุ ลูกศิษย์ไม่ตั้งใจฟัง ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ได้รับประโยชน์จากการที่มีศาสดาเป็นผู้บรรลุแล้ว เลย (ทั้งสามศาสดานี่แหละที่ควรทักท้วงได้ โดยไม่ผิด ไม่บาป)