620724_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สยังอภิญญามาต่อศาสนาพุทธคือใครในยุคนี้
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1Rj7l8VvrUqHwzRrK3Cs1sOsVuAYoZcZQztJRNrAFoLY/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1_EwRJNSNIXic05e-y-NrjC_fcJwQwKlW
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธที่ 24 กรกฎาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันที่พระครูทำงานโพธิกิจมา 48 ปี 8 เดือน 7 วัน อายุของพ่อครู 85 ปี 1 เดือน 19 วัน
สมณะชาวอโศกตอนนี้มี 86 เพิ่งจะเสียท่านธาตุบุญไป พ่อครูมีอายุ 85 สมณะมี 86 ปี จำง่าย
ในช่วงเข้าพรรษานี้จะมีงานเข้าค่ายสัมมาอาริยมรรค
ขอเชิญเข้าค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า
ค่าย “ขอทำตามรอยพ่อ”
ครั้งที่ 39 ณ บวร ราชธานีอโศก
ศุกร์ที่ 26 – อาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม2562
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่ขนาทีได้)
สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ
โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865
##### สมัครonline ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP หรือสื่อธรรมะพ่อครู
พบกับกิจกรรมตามมรรคมีองค์ 8 พบกับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีที่จะพาคุณสู่ “ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น”(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) อันจะพาไปสู่ความบริสุทธิ์จนถึงสัมมาวิมุติ
โฆษณาไม่ค่อยขึ้น พ่อครูก็จะติดป้าย แดนเพลิน เชิญพัก(ผ่อน)
บรรยากาศสำคัญในประเทศก็คือจะมีการอภิปราย จริงๆแล้วเป็นการแถลงนโยบายแต่ดูเหมือนเขาพูดกันจะเป็นการไม่ไว้วางใจรัฐบาล ดูกันว่านายกฯตู่จะคุมอารมณ์อยู่ไหม
การจะเข้าสู่บริษัทแล้วไม่เก้อเขิน จะต้องมีพลัง 4 จึงพ้นภัย 5
-
ปัญญาพลัง (กำลังคือ ปัญญา) . . .
-
วิริยพลัง (กำลังคือ ความเพียร ขยัน) . .
-
อนวัชชพลัง (กำลังคือ การงานที่ปราชญ์ไม่ติ) . ,
-
สังคหพลัง (กำลังคือ การสงเคราะห์ช่วยผู้อื่น) ,
พ่อครูว่า…ผู้รู้พูดขึ้นต้นด้วยอะไรก็จะไปหานิพพานทั้งนั้น นิพพานังปรมังวะทันติพุทธา
_SMS วันที่ 22 – 23 ก.ค. 2562
_8525กราบขออนุญาตพ่อครูแปลคำว่า บุญอรณะ ค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า…บุญคือเครื่องชำระกิเลส ส่วน อรณะ แปลว่าไม่รบ ไม่มีสงครามแล้ว ส่วน อรหะ แปลว่าไม่ลึกลับ
จะมาอยู่ในชุมชนอโศกได้อย่างไร
_ธนัชพร สิริยานนท์ · อยากเข้าไปอยู่บ้างคะ ที่ราชธานีอโศก ต้องทำอย่างไรคะ
พ่อครูว่า…อ๋อ คุณต้องเดินทางมาไม่ยากหรอก ถ้าใกล้ๆก็เดินมา ถ้าอยู่ไกลก็นั่งพาหนะมา ก็คงเหาะมาไม่ได้นะ ก็มาได้ คนจะมาอยู่ที่ราชธานีอโศก มาแต่ตัวกับหัวใจเลยไม่มีปัญหามาได้สบาย มาอยู่แล้วก็พร้อมที่จะประพฤติปฏิบัติกับที่นี่เขา ผู้มีศีลที่ยังไม่ได้มาเชิญมา ผู้ไม่มีศีล อย่ามาเลยที่นี่ อย่างน้อย คุณต้องถือศีล 5 เป็นอย่างน้อยเป็นพื้นฐานของศาสนาพุทธ มาเลย ไม่ได้หมายความว่าคุณบรรลุศีลนะ ถือศีลมีศีลในตน ไม่ใช่เป็นคนที่ไม่มีความรู้ไม่เอาอะไรเลย จะมาอยู่บอกว่าคุณถือศีล แม้ไม่รู้มาก่อนคุณก็ต้องมาถือศีล ถ้าบอกว่าถือได้ แต่ไม่ใช่ว่าบรรลุเลยก็ไม่มีปัญหา เข้าใจว่าการถือศีลคืออะไรก็ได้ เข้าใจยังไม่ได้เท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร ก็มาได้ แล้วก็มาอยู่ได้ ที่นี่เขามีเกณฑ์ 3 ข้อใหญ่
ในชุมชนชาวอโศกทุกแห่งไม่ว่าที่ไหน
-
ต้องถือศีล 5 , 2. ไม่มีอบายมุข 3. ไม่กินเนื้อสัตว์ ข้อที่ 3 อาจจะยากหน่อยสำหรับคนทั่วไป 3 ข้อนี้เป็นหลักเลยปฏิบัติได้ก็มาอยู่ได้ ไม่เสียค่าเช่าค่าอะไรเลย เรื่องเงินเรื่องทองพวกเราไม่ค่อยวุ่นวายอะไร
การเห็นความจางคลายเห็นอะไร?
_อำภา รื่นใจดี · น้อมกราบนมัสการท่านพ่อครูลูกขอโอกาสถามมีสำนักสอนปฏิบัติวิปัสสนา ด้วยการเจริญสมาธิ ไม่ใช่การนั่งทำจิตให้นิ่ง แต่ให้จิตรู้ความจริงตามความเป็นจริง คือ นั่งก็รู้ว่าอยู่ในอาการนั่ง กายผัสสะกับพื้น ความแข็งเกิดขึ้นก็รู้ว่าแข็ง มีลมเย็นมากระทบกายก็รู้ว่าเย็น นั่งนาน ๆ ร่างกายเกิดอาการปวดก็รู้ทุกขเวทนารวมถึงอื่น ๆ ที่ร่างกายได้รับ จิตก็จะรู้ความจริงไปตามความเป็นจริงอย่างนั้น รวมถึงเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เช่น นั่งจนชินกับความปวด ความปวดนั้นก็จะคลายลง ได้เห็นความจางคลายเกิดความเปลี่ยนแปลงก็จะเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ปัญญาก็จะเกิดขึ้นตามที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง ที่อธิบายมานี้ สำนักเหล่านั้นสอนมีส่วนถูก หรือไม่ถูก อย่างไรเจ้าคะ
พ่อครูว่า…ทำให้คนมีสรีระเสียไปเยอะแล้วการทนเอาอย่างนี้ การเห็นความจางคลาย ตรงนี้ คุณก็เห็นความรู้สึกที่คุณทนมันหายไป ซึ่งเป็นวิธีที่ กดข่ม เปลี่ยนอุปาทานไปก็ตามแต่ มันก็คือเห็นสภาพ ไม่ใช่ความจางคลายของกิเลส แต่เป็นความจางคลายของอะไรก็ได้มันก็ต้องมีเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ในโลก เป็นธรรมดาของกฎไตรลักษณ์ แต่ความจางคลายที่เรียกว่า วิราคานุปัสสี ต้องเห็นความจางคลายของกิเลส จึงจะเข้าเป้า ถ้าไปเห็นความจางคลายอย่างอื่นนั้นไม่ใช่เป้าหมายของศาสนาพุทธ
เขาไปเห็นการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ของกาย กระทบสัมผัสธรรมดาไม่ได้เห็นความจางคลายของกิเลส มีตัวตนเท่านี้ ต้องมีการทำด้วยนะ ต้องมีวิธีที่ทำให้จางคลายด้วยนะ ไม่ใช่ว่ามันจางคลายไปเอง ต้องรู้จักเหตุที่มันเป็นกิเลส ทำให้เกิดความทุกข์ความสุข แล้วทำให้เหตุจางคลายหมดไป พิจารณาเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ปัญญาก็จะเกิดขึ้นตามที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง
ที่เขาสอนมานี้มีความไม่ถูกที่ลึกไปมาก เพราะว่าไปหลงเป็นความถูกละเอียดลึกซึ้ง ทำให้มันไม่ถูก ซ้อนลึกจมเข้าไปในความไม่ถูก อย่างน่าสงสาร เพราะฉะนั้นถ้าปฏิบัติไม่ถูกตามที่พระพุทธเจ้า ตรัสสอน มันก็จะไม่ตรงทีเดียว นี่พูดในแนวลึกซึ้งละเอียด
การบรรลุวิชชาและจรณะไม่ได้ไปปฏิบัติในป่า
_พันธุ์ พอเพียง · ยินดีในป่า น่าจะเป็นการปฏิเสธการถวายลาภยศในสมัยนั้น เพราะมีเจ้าลัทธิต่างๆมักจะได้รับการถวายบ้าน ถวายทาส ถวายแคว้นให้ปกครอง จากพระเจ้าแผ่นดิน พระพุทธเจ้าทรงมองเห็น ว่าอันตรายต่อพรหมจรรย์(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)ในศาสนาของพระองค์แน่ๆ พุทธเจ้าทรงตรัสเหมือนวางกฏเพื่อให้ภิกษุ ใช้ปฏิเสธเวลาจะต้องรับของทาน เช่นถ้าเขาจะถวายบ้านถวายทาส ถวายสัตว์ (เหมือนจะมีในศีล ) จะได้ตอบเขาไปว่า อาตมารับไม่ได้หรอกมหาบพิตร เพราะพระศาสดา พึงให้ภิกษุยินดีในเสนาสนะป่า ประมาณนี้แหละครับ
พ่อครูว่า…มันยากเพราะมีความลึกซึ้ง ใช้คำว่าความยินดีในป่า อาตมาก็อธิบายไปนับไม่ถ้วนแล้วเพราะมันน่าสงสารประเทศไทย ที่ทุกวันนี้หลงผิดกันในวงการศาสนาทั่วประเทศ แล้วอาตมา เอามาพูดเขาก็ไม่ฟัง ฟังก็ไม่สนใจ ฟังเหตุผลหลักฐานอ้างอิงอย่างไร อาตมาค้านแย้งว่าไม่ใช่เลย คำว่ายินดี อาตมาก็ยินดีในป่า จิตใจยินดีป่า หลักฐานอาตมาไม่เคยไป ยึดที่ป่า ไม่เคยไปบุกป่า แม้แต่ป่าสาธารณะ แต่สร้างป่าขึ้นมาในทุกที่ที่เป็นชุมชนพวกเราอยู่ มีต้นหมากรากไม้เยอะทุกแห่งเลย
ซึ่ง ความยินดีในป่านั้นก็อย่างหนึ่ง แต่เรายินดีในป่าก็มีข้อเปรียบเทียบ ถ้าภิกษุผู้มีภูมิปัญญาต่อธรรมะที่เป็นไปเพื่อนิพพานแล้ว จะยินดีในเรื่องของ คำว่า ในป่า คือไม่วุ่นวายในเรื่องโลกีย์ คำว่าในเมืองคือโลกโลกีย์เต็มไปหมด นี่คือสาระของมัน
เพราะฉะนั้นยินดีในสิ่งที่ไม่เป็นไปตามโลก ในขั้นตื้นๆความหมายต้นๆง่ายๆเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นมาฟังธรรมไปเรื่อยๆ ดีๆ แล้วก็มีค้านแย้งเป็นหลักเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้กับพระอุบาลีซึ่งพระอุบาลีก็มีบารมีนะ
พระอุบาลีปรารถนาจะไปอยู่ป่า และราวป่าอันสงัด
พระพุทธองค์ตรัสว่า… ป่าและราวป่าอันสงัดอยู่ลำบาก
ทำความวิเวกได้ยาก ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียว. ป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย
ผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้ คือ จักจมลงหรือจักฟุ้งซ่าน เปรียบเหมือนกระต่ายหรือเสือปลาลงสู่ห้วงน้ำใหญ่ หวังจะเอาอย่างช้างใหญ่สูง 7 ศอก หรือ 7 ศอกกึ่ง กระต่ายหรือเสือปลานั้น จำต้องหวังข้อนี้ คือ จักจมลง หรือจักลอยขึ้น !! (พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 99)
วิเวกมี 3 กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก
สมาธิไม่ใช่ไปเอาที่ป่าในที่สงบอย่างนั้น การสงบที่เรียกว่าสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าคือสงบจากกิเลส ไม่ใช่สงบเพราะมีร่มบังเพราะมีที่เงียบๆ เพราะไปอยู่ป่าไม่ใช่ ศึกษาให้ดีๆ ใจของภิกษุไม่ได้สมาธิยิ่งไปออกป่า จะถูกป่าทำจิตที่ไม่เป็นสมาธินั้นให้จมหรือไม่ก็ลอย ฟุ้งกระจาย
เหมือนตอนที่พระพุทธเจ้าออกบวชใหม่ๆนอกจากว่างก็เข้าป่าเหมือนเขา ไปทำทุกรกิริยา ซึ่งเป็นกิริยาที่ทุกข์ทั้งนั้นเลย ไม่ได้แปลว่าทุกข์ทรมานนะ แปลว่ากิริยาที่ชั่วไม่ดี แล้วเขาไปแปลทุกรกิริยาว่าทรมานกาย นั่นไม่ใช่แต่ว่าเป็นกิริยาที่เลวที่ไม่ควรประพฤติที่ไม่ควรทำ เป็นทุกรกิริยาของศาสนาทั้งนั้นเลย ผิดหมด
เพราะฉะนั้นตามที่ประวัติมี พระพุทธเจ้าว่า…เราเคยเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จาก โพธิมณฑลที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง” ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา 6 ปี เราถูกบุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป(ปุญญปาปปริกขีโณ)(ล.32 ข.392)
ในอัมพัฏฐสูตรก็ยืนยันไว้ ว่า จะหลงไปบรรลุวิชชาและจรณะต้องไปในป่า ไปแสวงหาในป่า เป็นความเสื่อม เป็นความเห็นความคิดอย่างนั้นเสื่อมเลย เข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมต้องไปปฏิบัติในป่าจึงจะได้วิชชาจรณสัมปันโนของพระพุทธเจ้า นั้นเป็นทางที่ผิด เราไม่ได้บรรลุด้วยทางนั้น การบรรลุของพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นไปในทางป่าเลย แต่ท่านปฏิเสธอย่างสุภาพ
บัดนี้เราเป็นผู้ที่สิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ อรหันต์ทั่วไปก็เป็นผู้ที่สิ้นบุญสิ้นบาป พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
_นันท์มนัส · thong D thong K อย่าไปสนใจ อย่าไปแคร์กับคนที่เห็นต่างเลย ยังไงๆมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ดีกว่า คนเราลงไม่ชอบขึ้นมาอะไรก็ไม่ดี ถึงให้ทำได้ดีขึ้นมาก็มีปัญหาที่จะโต้แย้ง และจะไม่มีการสำนึกย้อนว่าเวลาพวกตัวเองทำไม่ดี เสียหายแค่ไหนก็ตาม ตัวเองก็ย่อมเห็นดีเห็นงามตามฉันใดก็ฉันนั้น
_พุทธพจน์ “จงทำงานให้สมกับอาหารที่บริโภค” คำคม อย่างนี้ถูกต้องหรือไม่
พ่อครูว่า..อาตมาทำงานคุ้มอยู่นะกับอาหารที่บริโภค
คำคมอย่างนี้ก็ถูก
_สุพัฒน์ เบ้าวันดี · ผมยอมให้ท่านโพธิรักษ์ว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะความเห็นต่างในวิธีการปฎิบัติ แต่ผมว่าจุดหมายในการปฎิบัติธรรมอยู่ที่การหมดกิเลสพ้นทุกข์ ไม่ว่าจะมีวิธีอย่างไร
มีลืมตาหลับตาอยู่ป่าอยู่บ้านกินเนื้อกินผัก ถ้ามันหมดกิเลสได้มันดีทั้งนั้น แต่ถ้ามันไปเพิ่มกิเลสอัสมิมานะกูเหนือกว่ามึงมันจะดีอย่างไร อวดตัวอวดตน แม้ว่าจะไม่มีกิเลสแล้วก็ตาม มันก็ผิดที่ไปสร้างบาปกรรมให้กับเขา ท่านก็อ้างว่ากรรมใครกรรมมัน แต่ท่านนั่นแหละต้นเหตุของกรรม พอโดนว่าท่านก็หนีไปอรหันต์ ก็ต้องมีปัญหากันต่อไป
พ่อครูว่า..จุดหมายในการปฎิบัติธรรมอยู่ที่การหมดกิเลสพ้นทุกข์ ตรงนี้ถูกต้องมาก แต่มรรคที่ปฏิบัติมันจะตรงไหม ถ้าไม่ตรงไม่มีทางหรอกฝันไปเถอะจะหมดกิเลส คนนี้เอามาพูดดูเก๋เท่ แต่ที่จริงพาออกนอกทางไปเยอะ
ไม่ว่าจะมีวิธีอย่างไร
มีลืมตาหลับตาอยู่ป่าอยู่บ้านกินเนื้อกินผัก…ค้านแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้า 100% หันหลังเลย พวกนี้น่าสงสาร ยำเละเลย แต่พูดโก้ๆมาอธิบายความเห็นของตัวเอง คนนี้จมไม่รู้จะจบอย่างไรเพราะเอาความเห็นที่ดูดีเอามาอธิบายการปฏิบัติของตนเองที่ออกนอกทาง คุณก็จงอยู่อย่างที่เรียกว่าดึงไม่ขึ้น
แต่ถ้ามันไปเพิ่มกิเลสอัสมิมานะกูเหนือกว่ามึงมันจะดีอย่างไร อวดตัวอวดตน แม้ว่าจะไม่มีกิเลสแล้วก็ตาม ถ้าคนไม่มีกิเลสแล้วจะเอาที่ไหนมาอวดตัวตน เพราะการอวดตนมันเป็นกิเลส สาเฐยจิต แต่คนที่หมดกิเลสแล้วจะไปมีอย่างไร คนนี้พูดภาษาก็ไม่รู้เรื่อง หากคนนี้เป็นพระอรหันต์ไม่มีกิเลสแล้ว หมดแม้อุปกิเลสจะอวดตัวตนมันก็ไม่มีแล้วจะเอาที่ไหนมาพูดเพราะอาตมาเป็นพระอรหันต์แล้ว พูดไม่รู้กี่ที แค่นี้ก็น่าจะเข้าใจ
แม้จะไม่มีกิเลส มันก็ผิดที่ไปสร้างบาปกรรมให้กับเขา ขออธิบายซ้อน หากไม่ให้พระอรหันต์อวดตัวตน อาตมาเป็นอรหันต์แล้วจะให้ไปเป็นอะไร อาตมาหนีไม่ออก ตกลงความเห็นของเธอก็อย่างหนึ่งความเห็นของเราก็อย่างหนึ่งเป็นความเห็นที่ต่างกัน
พ่อครูว่า…มาไขความกันต่อ
เรื่องประเด็นการนั่งสมาธิ
สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นไม่ว่าจะนั่งเดินยืนนอนไปอย่างไรก็แล้วแต่ อย่างคุณสุพัฒน์ เบ้าวันดีว่านี่แหละ ขอให้มันหมดกิเลสก็แล้วกันเขาพูดมาก็มีส่วนถูก จะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม สมาธิ ของพระพุทธเจ้านั้นจะมีได้ไม่ใช่อยู่นั่งแล้วทำเอา ไม่ใช่ อันนี้ผิดมาตั้งแต่ต้น
เพราะการจะได้สัมมาสมาธินั้นพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาจัตตารีสกสูตรว่าจะต้องปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์
1.สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) เป็นประธานไปทุกมรรค
2.สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) . เป็นประธานปฏิบัติ
3.สัมมาวาจา (เจรจาชอบ) เป็นตัวปฏิบัติ .
4.สัมมากัมมันตะ (ทำการงานชอบ) เป็นตัวปฏิบัติ
-
สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ) เป็นตัวปฏิบัติ .
-
สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ) เป็นตัวเร่งห้อมล้อม
-
สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) เป็นดวงตาห้อมล้อม .
-
สัมมาสมาธิ (สะสมลงเป็นจิตใจที่ตั้งมั่น) เป็นผล .
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 252-281) .
มีการคิด สัมมาสังกัปปะ มีการพูดเป็นสัมมาวาจา การนั่งสมาธิ คุณไปใส่คำว่านั่งเอง
สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นคิดก็ได้ ในขณะคิดในขณะพูดสัมมาวาจา ในขณะทำกรรมกิริยาทุกอย่างก็ทำสมาธิได้ทำอาชีพสัมมาอาชีวะ คุณจะทำอาชีพเลี้ยงตัวเองอยู่ จะทำงานอะไรก็แล้วแต่จะทำกสิกรรม อุตสาหกรรม จะทำงานค้าขาย ทำงานอะไรก็ตาม ทำให้เป็นสัมมาอาชีพก็แล้วกัน แล้วก็อ่านทุกอิริยาบถของคุณ โดยการมีปัญญาที่จะรู้ความจริงตามความเป็นจริง อ่านกรรมฐานสำคัญก็คือ จับเวทนาในเวทนาให้ได้
ที่พูดอย่างนี้คือเวทนาเป็นกรรมฐานหลักของศาสนาพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีเวทนาแล้วจะปฏิบัติธรรมไม่ได้ ไม่มีเวทนาไม่มีโอกาสจะปฏิบัติธรรม ในพรหมชาลสูตรพูดไว้ชัดเจน ท่านสรุปเอาไว้ว่า การปฏิบัติธรรมของท่าน
ล. 9 ข. [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
เอาคำว่าสมาธิก่อน
การเข้าใจสมาธิอย่างตื้นๆแค่ว่า คุณไปนั่งสมาธิแล้วจะเกิดสมาธิ ไม่มีทาง การนั่งหลับตาสะกดจิตไม่มีทางเกิดสมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้า เพราะการนั่งอย่างนั้นจะไม่มีจิตสะอาดจากกิเลสเลย ไม่มีจิตที่ปราศจากกิเลสไปตกผลึกเป็นสมาธิเลย
สมาธิแปลว่าจิตตั้งมั่น เป็นจิตที่สะอาดที่แข็งแรงแล้วเป็น ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นการรักษาผลสิ่งที่ทำได้แล้วทำซ้ำจึงจะตั้งมั่น สมาธิจึงไม่ใช่ด้วยการนั่ง ถ้าไม่ใช่สัมมาทิฏฐิปฏิบัติให้ถูกกิเลสมันไม่ถูกกำจัดแล้วจิตจะไม่สะอาด กิเลสไม่ถูกกำจัดแล้วจิตจึงสะอาดที่จะตกผลึกเป็นจิตที่ตั้งมั่น จิตไม่สะอาดลงไปตกผลึกตั้งมั่นก็เก็บตกผลึกจิตที่ไม่สะอาดไว้ในใจอีกก็เป็นเชื้อโรคแบคทีเรีย
เพราะฉะนั้นทำอย่างไรคุณถึงจะเกิดจิตสะอาดก่อน แล้วจิตสะอาดนั้นจึงจะค่อยๆสั่งสม ตกลงไปเป็นจิตที่เรียกว่าสมาธิ เป็นจิตที่แข็งแรงตั้งมั่น
วิธีที่จะปฏิบัติจิตให้สะอาดจึงมาก่อน
วิธีจะทำให้จิตสะอาดคือจะต้องสร้างฌาน สร้างฌานให้เกิดบุญ
ฌานแปลว่าไฟ เดี๋ยวนี้เขาแปลฌานว่าคือการนั่งสะกดจิตอีก
คุณไม่สามารถสร้างฌานได้ ยังดีนะ ในพจนานุกรมบาลีคำว่าฌาน เขายังมีแปลทิ้งไว้ว่าเป็นไฟกองใหญ่ แต่เขาแปลไว้อีกว่าการเพ่งอารมณ์ให้สงบ ในพจนานุกรมบาลีทั้งนั้นเลย
พจนานุกรมบางเล่มไม่มีคำว่าไฟด้วย นี่คือการสูญหายของสัจธรรม
จะต้องตามติดอ่านกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม กายแปลว่าสภาวะหมวดของเจตสิก กายคือจิตนะ ดีที่ในพระไตรปิฎก ยืนยันไว้ว่ากายคือจิต ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.16 ข.230
ในพจนานุกรมก็แปลว่าคือหมวดของเจตสิก 3 กายจะต้องมีคู่เป็นธรรมะ 2 เสมอ
ถ้าสรีระแปลว่าร่างไม่มีจิต แต่กายต้องมีจิตร่วมด้วยเสมอ ถ้าไม่มีจิตร่วมด้วยไม่ใช่กาย
ศาสนาพุทธเมื่อมีพระมาบวชเริ่มต้นอุปัชฌาย์จะต้องให้กรรมฐานแยกกายแยกจิตให้ได้ก่อน เป็นมูลกรรมฐาน 5 มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
ก็จะพิจารณาจากผม จากขน พิจารณาจากเล็บ จากฟัน จากหนัง อันใดอันหนึ่งก็ได้แล้วแยกความเป็นกายกับความเป็นจิตให้ได้
ถ้าเผื่อว่าแยกกายแยกจิตอันนี้ไม่ออก ในความเป็นภิกษุเป็นผู้มาบวช อุปัชฌาย์จะต้องให้กรรมฐานนี้ไปพิจารณาอ่านแยกให้ได้ ถ้าแยกไม่ถูก ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ไปไม่เป็น กายกับจิตแยกถูก แยกเพื่อรู้เท่านั้น แต่แยกให้ขาดกันไม่ได้เพราะเป็นเทวะ มีสองในหนึ่ง หนึ่งในสอง ทูอินวัน มันมีอยู่ด้วยกันแยกไม่ได้ แต่แยกโดยสภาวะสัจธรรมได้ แต่ภาษาเขาแปลว่า กายคือรูปนามเป็นเทวะ คุณต้องศึกษาเป็นความสำคัญของศาสนาพุทธ
เพราะฉะนั้นโลกุตรธรรมข้อที่ 1 คือพิจารณากายในกายในโพธิปักขิยธรรม 37 เป็นโลกุตระ
ถ้าแยกกายแยกจิตเป็นจะมีภูมิธรรมรู้ว่าอุตุนิยามเป็นอะไร พีชนิยามเป็นอะไร จิตนิยามเป็นอะไร แล้วจึงจะปฏิบัติ กรรมนิยาม เป็นธรรมได้ เป็นธรรมนิยาม 5
นิมนต์จิบน้ำ …
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน
สมณะฟ้าไท
พ่อครูว่า…แยกกายแยกจิต ต้องเน้น ก็ไม่ใช่รู้กันง่ายๆถ้าแยกตรงนี้ไม่ออกมันไม่สามารถทำความเป็นอาริยะให้ถึงอรหันต์ได้
อุตุ พีชะ และจิต
อุตุนั้น สภาพของดินน้ำไฟลมสภาพที่ไม่เป็นชีวะ เป็นวัตถุธาตุที่แท้จริงมหาภูตรูป 100% คือ สภาพตัวที่หมดชีวะไปแล้ว แม้จะเคยเป็นชีวะ แต่พ้นจากความเป็นชีวะ
เช่น อาตมาเคยสงสัย เขาแปล ระดูว่า อุตุ menstrual
พิจารณา ผมขนเล็บฟันหนังมันมีภายนอกด้วยจึงอธิบายได้ง่ายกว่า เอา เล็บนี่อธิบายได้ง่ายชัดเจนกว่า
เล็บที่ติดอยู่กับตัวเราข้างในเลย
เล็บเป็นภายนอก จิตนิยาม เล็บที่ยาวออกมาจากร่างกายไม่ใช่จิตนิยามแล้วเป็นพีชนิยาม คนที่เป็นมนุษย์พืชแล้ว ต้องเป็นพืชจริงๆนะ หมอก็ดี ใครจะถอดสายออกก็ไม่มีบาป ไม่เป็นการทำลายชีวิตอะไรเลย มันเป็นพีชะไม่บาป แต่ก็ถอดไม่ได้ เพราะว่าญาติไม่ให้ถอด แต่ถ้าญาติให้ถอดหมอก็ถอดได้ ไม่มีบาป สังคมต้องเข้าใจให้ลึกๆมันเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าเข้าใจว่ายังหายใจอยู่ แค่ไม่รู้สึกตัวเท่านั้นเองมันยังไม่ตาย ใช่ มันยังไม่ตายในความเป็น พีชะ แต่ในจิตนั้นตายแล้ว
_คนถามว่า เลือดของเราที่เอาไปบริจาค
พ่อครูว่า…เลือดของเราเป็นจิตนิยาม ออกไปก็เป็นพีชะ เป็นเลือดของสัตว์ เพราะฉะนั้นกรรมฐาน 5 ถ้าแยกกายแยกพืชแยกจิตไม่ได้ คนนี้ไม่มีทางปฏิบัติธรรมบรรลุปรมัตถธรรมของพระพุทธเจ้า
แยกพลังงาน
พลังงานในอุตุ ในวัตถุมีพลังงานในตัวมันเหมือนกัน พลังงานแสงสีเสียงแม่ทนนเหล็กไฟฟ้าฟิสิกส์ วิทยาศาสตร์เรียนรู้พลังงาน อุตุได้ แต่พีชะก็เรียนได้ระดับหนึ่ง ระหว่างนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ในโลกเป็นชาวเทวนิยม ถ้าหากว่านักเรียนเป็นชาวพุทธจะศึกษา Biology ได้อย่างดีทีเดียว เสร็จแล้วทางเทวนิยม เรียนเรื่องของจิตวิญญาณเรื่องของชีวะไม่รู้ จึงเรียนได้แค่ เขาเรียกว่าเทวศาสตร์หรือเทววิทยา
ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยมแยกความเป็นเทวะได้ แยกแยะธาตุแม้ธาตุพีชะ กับความเป็นอุตุ แยกแยะแม้ธาตุจิตกับความเป็นอุตุ หรือ ธาตุจิตกับความเป็นพีชะ แยกได้อีก
เพราะฉะนั้นพระอรหันต์จึงมาแยก ในขณะที่เราเป็นชีวะหรือยังไม่ตายปรินิพพานเป็นปริโยสาน เราก็ต้องมีชีวะมีจิตอยู่ แต่จงทำจิตให้เป็นพีชะอาศัย
แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อจิตของพระอรหันต์เป็นพีชะแล้วจะโง่เหมือนกับพืช ไม่มีความรู้ในระดับจิตที่จะรู้อะไรได้กว้างได้ลึกได้มาก ไม่ใช่ แต่มันมีอยู่แล้วเป็นจิตหรือยังอยู่แล้ว ทำจิตให้เป็นพืชได้ ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ไม่มีบาปไม่มีบุญ ปุญญปาปปริกขีโณ พพระอรหันต์ไม่มีบาปไม่มีบุญสิ้นบาปสิ้นบุญแล้วไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว
ศาสนาพุทธจึงสำคัญอยู่ที่ความสุขความทุกข์
ส่วน ศาสนาเทวนิยมนั้นไม่รู้จักความสุขไม่รู้จักความทุกข์ แต่หลงสุขเป็นสุขนิยม จะเอาแต่สุข เริ่มไม่รู้จักเหตุแห่งความสุขความทุกข์
ศาสนาพุทธจึงสูงสุด เป็นจิตนิยาม แล้วทำจิตนิยามให้เป็นพีชะ อาศัยพีชะแล้วบอกว่าเรียนรู้ธาตุพีชะว่าแยกเป็นอุตุได้ เมื่อแยกเป็นอุตุได้ก็หมดชีวะได้ เพราะฉะนั้นจึงรู้จัก ชีวิตินทรีย์ ในรูป 28 อุปาทายรูป 24 จะแยก ชีวิตินทรีย์ เมื่อดับ ชีวิตินทรีย์ อินทรีย์ในชีวิตไม่มีแล้วจึงจะเป็นธาตุที่เป็นอุตุ แต่จิตนิยามยังอาศัยธาตุรู้อยู่ ธาตุรู้พีชะก็ทำได้ แยกพีชะเป็นอุตุได้ ผู้แยกได้ในธาตุรู้ของตัวเองพูดนั้นจึงเป็นอรหันต์ได้ การแยกกายแยกจิตจึงไม่ใช่ตื้นๆเลยในเรื่องของมูลกรรมฐาน 5
เมื่อเล็บที่ยาวออกมา มันไม่มีความรู้สึกแล้ว เป็นพีชะแล้ว แต่ไม่ใช่กายของเราแล้ว ตัดขาดออกมาจากร่างกายเป็นอุตุสมบูรณ์แบบ เป็นธาตุดินน้ำไฟลมสมบูรณ์แบบ อย่างนี้เป็นต้น แต่เดี๋ยวนี้มูลกรรมฐาน 5 อุปัชฌาย์เองก็ยังไม่รู้ ขออภัยอย่าหาว่าดูถูกเลย บอกให้ท่องเท่านั้นเอง แล้วให้พิจารณาบางทีก็ไม่กล้าพูด ว่าให้พิจารณาแยกกายแยกจิตในมูลกรรมฐาน 5 บอกโยงไปว่าแยกกายแยกจิตและไปนั่งสมาธิถอดจิตออกจากร่าง เขาบอกว่าเก่งมากเลย ถอดจิตออกไปได้แล้วบอกว่า จิตที่ถอดไป ร่างจะแข็งเป็นหินเลยเหมือนพรหมลูกฟักนับถือกันเลยบอกว่าคนนี้เก่งฌานเก่งสมาธิ
สยังอภิญญามาต่อศาสนาพุทธคือใครในยุคนี้
การปฏิบัติสมาธิของพระพุทธเจ้าเกิดจากการปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์
วิธีการคิดการพูดการทำการทำอาชีพ จะไปตัดของท่านทิ้ง
ผู้ที่ปฏิบัติธรรมะไม่ได้ทำการงานอาชีพไม่มีกรรมกิริยาไม่มีกัมมันตะไม่มีวาจาไม่มีการคิด คนนี้ เป็นเดียรถีย์ 100% ไม่ได้อยู่ในระบบของศาสนาพุทธเลย เข้าใจเป็นมิจฉาทิฏฐิที่สมบูรณ์แบบ เพราะไม่เข้าใจมรรคมีองค์ 8 ต้องมามี สติ วายามะ พยายามที่จะปฏิบัติธรรมอยู่ในศีล สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ
ถ้าสัมมาทิฏฐิไม่มีก็เข้าใจผิดว่าต้องไปนั่งหลับตา ต้องไปตัดความรู้สึก ก็เดียรถีย์ สมบูรณ์แบบ คุณจะมีสติมีวายามะอย่างไรก็โมฆะทั้งนั้น เพราะว่ามีมิจฉาทิฏฐิเป็นประธานแล้ว อย่าไปพูดถึงสัมมาสมาธิเลย คุณจะไปได้ฌานจะไปได้อะไรก็แล้วแต่ไม่ได้วิมุติ วิมุติก็เป็นวิมุติเก๊ อรหันต์ก็อรหันต์เก๊ทั้งนั้น. ที่เอาแต่ไปนั่งหลับตา
ใครจะมาแย้งว่าพระพุทธเจ้าก็นั่งสมาธิเหมือนกัน เดี๋ยวจะขยายความอธิบาย
เพราะฉะนั้นผู้ที่นั่งหลับตา ตีอีก ย้ำอีก ก็ขออภัย วจีสังขารอาตมาบอกว่าทืบอีก แต่ไม่พูดออกมานะ ว่าปิดประตูเลยนั่งหลับตา
อาตมาพูดอย่างนี้ ในศิษย์ทั้งหลายถือว่าไปนั่งหลับตาทั้งนั้นเลย จึงแย้งอาตมา เกือบจะทั้งนั้นเลย แม้แต่พระทั่วไป ก็ไปถือว่าการออกไปนั่งหลับตาคือการปฏิบัติธรรมแบบพุทธเจ้า
การปฏิบัติฌานสมาธิของพระพุทธเจ้าต้องไปนั่งหลับตา ถ้าฌานของศาสนาอื่นได้ ถ้าสมาธิของศาสนาอื่นได้ก็เป็นแบบของเขา ซึ่งเป็นเรื่องนอกรีตเป็นของ เดียรถีย์ ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของศาสนาพุทธ ถ้าของศาสนาพุทธนั้นมีแบบเดียว แต่นี่อ้างว่าไปทางไหนก็ได้ขอให้กิเลสหมดเถอะ จะกินผักกินเนื้อจะอยู่ป่าอยู่บ้าน
ทั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มรรค มีองค์ 8″นั้นคือ “ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น”(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) ล.25 ข.30
ที่อาตมาเอามาพูดย้ำ ทั้งบ้านทั้งเมือง หลายร้อยปี พูดกันมาโพธิรักษ์ตีทิ้งเลย อาตมาไม่ได้ดูถูกอาจารย์ของคุณ จะกล่าวนามอาจารย์ของคนที่เอาธรรมะผิดไปใช้มันก็เลยติดไปกับอาจารย์ของคุณ เขาว่าพุทธเหมือนกัน แต่เราเห็นน้องนุ่งเห็นใครต่อใครทำผิด หากอาตมาไม่ช่วยเลยก็จะกลายเป็นคนใจดำอำมหิตโหดร้าย อาตมาจะไปทิ้งขว้างปล่อยปละละเลยไม่ได้
สรุปอีกทีเลยไกลมากเลยคนที่จะมีจิตเป็นสมาธิอย่างที่พูดกัน ถ้าคุณไม่สร้างพลังงานสร้างจิตให้เกิดพลังงาน แล้วพลังงานนั้นเรียกว่า ฌาน ฌานก็จะทำงานเผาไฟ ราคะ
พยัญชนะ ฌาน คือ ไฟ ต้องสร้างพลังงาน ฌาน ไปเผาราคะ หากมันเผากิเลสลงไปได้ ก็เรียกว่าบุญ หากเผาได้ส่วนหนึ่ง ปุญญภาคิยา ก็เรียกว่าได้ส่วนบุญคือส่วนที่กิเลสตายไปลดไปหายไป ส่วนที่มันหายไปเสียไปไม่ได้ จึงเรียกว่าส่วนบุญคือได้ส่วนที่ไม่ได้
มันไม่มีพยัญชนะจะพูดแล้ว
แต่ก่อนนี้กิเลสมันอยู่กับเราเลย มันได้ไว้มีไว้เป็นไว้อยู่กับเรา แต่ตอนนี้มันได้แล้วฌานฆ่าได้แล้วเผาได้แล้ว จึงสำเร็จการชำระกิเลสเป็นส่วนๆ ถ้าบุญคุณตัวโตเท่าร้อยได้ไป 40 50 60 ก็เป็นส่วนแห่งบุญมันเหลืออยู่ก็ให้มันหมด กำจัดให้มันหมด
ถ้าเข้าใจว่าได้ส่วนบุญคือเอาบุญไปแบ่งกันนั้นไม่ถูก ส่วนบุญคือส่วนของกิเลสที่มันเสียไปหายไปตายไปแต่คุณจะเอากิเลสไปแบ่งให้เขา ส่วนบุญส่วนที่คุณทำให้เสียทำให้กิเลสมันตายลงไป แต่คุณเอากิเลสที่ตายไปแล้วให้คนอื่น มันให้ไม่ได้ นี่คือความงมงาย ซับซ้อน เขาไปแบ่งส่วนบุญ
แล้วไปขอด้วยนะ พวกเปรตขอส่วนบุญคือพวกโง่งมงาย ส่วนบุญคือส่วนที่ถูกทำลายไปแล้วคือกิเลสที่ถูกทำลายไปแล้วไม่ใช่สิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็นเลย ส่วนที่ให้บุญมันเผาไป พวกที่บุญหมดแล้วก็เพราะกิเลสหมดแล้วก็หมดบุญ เห็นไหม?
ใครฟังที่อาตมาอธิบายแล้วไม่เข้าใจบ้างยกมือขึ้น …ไม่มี เป็นบุญแล้วหนอ เข้าใจภาษาโลกเพราะ คุณเข้าใจบุญรู้จักบุญมาฟังความเป็นบุญได้ก็เกิดเป็นบุญ
กุศลกับบุญไม่ใช่อันเดียวกันเลย กุศลกับบุญนั้นคนละเรื่องเลย กุศลคือสมบัติ บุญคือวิบัติ บุญที่เต็มแล้วหมดเกลี้ยงเลย
ส่วนบุญที่มีผลต่อขันธ์ (อุปธิเวปักกา) ส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์คือ ขันธ์ของคุณสะอาดขึ้น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันก็สร้างขึ้นจากกิเลสขึ้นไปเรื่อยๆมีผลแก่ขันธ์ที่แท้จริง นี่คือนัยละเอียดลึกซึ้งขึ้นทั้งพยัญชนะและสภาวะของธรรมะ ที่ขยายให้ฟัง
คนที่จะมาขยายต้องมีความรู้ละเอียดลออ ถ้าไม่เช่นนั้นหัวหมุน ใครสับสนบ้าง …ยกมือ…ใครไม่สับสนแต่งงๆ ยังไม่เข้าใจทะลุ ยกมือ…น่าจะมีนะ..(ไม่มี) โอ้ เข้าใจละเอียดชัดเจนเลยหรือ อาตมาไม่ชมตัวเองว่าเก่งแต่ต้องว่าพวกคุณฉลาด
เอาเข้าสู่เนื้อแท้หลักเกณฑ์ของพุทธเจ้า คุณจะมีสัมมาสมาธิจะต้องมีสัมมาทิฏฐิก่อนเป็นประธาน
ทีนี้มาไล่ดู สัมมาทิฏฐิ 10
เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).
-
ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ . ทินนัง) . . . .
-
ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง)
-
สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง)
-
ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ (อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก) . .
-
โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .
-
โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ .
-
มารดา มี (อัตถิ มาตา) . . .
-
บิดา มี (อัตถิ ปิตา) . .
-
. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา) . . .
-
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) . . . . .
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 257)
โดยเฉพาะผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบผู้นี้ท่านเน้นย้ำว่าต้องเป็นผู้ที่เป็น สยังอภิญญา
ผู้ที่เป็นสัตบุรุษที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่ใช่แค่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบธรรมดา แต่เป็นระดับอรหันต์มาแล้วแน่ มีของตนเองมาก่อน สยังอภิญญา เป็นอภิญญา สยะ หรือสยัง แปลว่าอันเป็นตน
ถ้าสยัมภู เป็นพระพุทธเจ้าเลยเป็นตัวท่านเต็มๆ
สยัมภู กับสยังอภิญญาต่างกัน สยังอภิญญา เป็นโพธิสัตว์ที่มีภูมิธรรมะของตัวเองมาเกิดในชาตินั้น เมื่อเป็นสยังอภิญญา โพธิสัตว์มาเกิดมีของตนเองแล้ว ถึงไม่เอาความรู้จากใคร ชาตินี้ถึงมาเกิดในยุคนั้นก็จะไม่มีอาจารย์ไม่ได้เอาความรู้ทางธรรมะจากใคร มีของตัวเองมา อาตมาจึงรู้ว่าตัวเองคือคนนี้ เป็นอจินไตยแล้วนะ
ทีนี้ ทำไมบอกว่าตัวเองเป็นคนนี้ ก็เพราะว่ารู้ 9 สัมมาทิฏฐิ แล้วเอามาอธิบายให้คนปฏิบัติได้ด้วย
ในยุคนี้ต้องมีสยังอภิญญามา เพราะว่าในยุคนี้ไม่มีสัตบุรุษแท้ จึงต้องอาศัยผู้ที่เป็น สยังอภิญญามาเกิด
แม้แต่ผู้ที่ไปยึดถือการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างผิดๆ จึงเห็นค้านแย้งกับสยังอภิญญา เพราะท่านไปถึงความผิดแล้ว แต่ถ้าท่านถือแล้วถูกตรงกับพระพุทธเจ้าก็จะถูกตรงกับอาตมา หรือว่าถ้าคุณถูกอาตมาก็ผิด แต่อาตมายืนยันตรวจสอบเช็คตามพระไตรปิฎก อ้างอิงพระไตรปิฎก แล้วอ้างอย่างมีประชาชนปฏิบัติได้จริงมีมรรคผลจนเป็นหมู่กลุ่มชุมชนพฤติกรรมสังคม จนอาตมาบอกว่าเป็นเมืองแผ่นดินพุทธเป็นชมพูทวีป พูดยืนยันทุกอย่างของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ใช่แค่แผนดินพุทธนะ แต่บอกว่าเมืองไทยเป็นชมพูทวีป
เพราะมี มนุษย์ชาวชมพูทวีป ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตร-กุรุทวีปและเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ 3 คือ
เป็นผู้กล้า (สุรภาโว) เป็นผู้มีสติ (สติมันโต) เป็นผู้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์อันเยี่ยม (อิธ พรหมจริยาวาโส)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีปประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีป และพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ 3 ประการนี้แล (พตปฎ. ล.23 ข.225)
มีสติเป็นอธิปไตย แล้วถึงจะปฏิบัติพรหมจริยวาโส และหลายคนมาปฏิบัติได้เป็นร้อยเป็นพันคนอยู่ในดินแดนนั้น ดินแดนนั้นจึงเป็นชมพูทวีป ถูกต้องธรรมะพุทธเจ้ามีมนุษย์ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้ามีมรรคผลของพระพุทธเจ้าจริง มีพระโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์อยู่ในที่นี้ ในที่นี้จึงเป็นชมพูทวีปที่แท้ ในอินเดียไม่มีแล้ว มามีในประเทศไทย ประกาศไปแล้วว่ามีพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แต่คุณเองเข้าใจไม่ได้จึงไม่เชื่อ ถ้าคุณเข้าใจได้จะพอเชื่อถือ ถ้าเข้าใจดีจะเชื่อมากขึ้น ถ้าเข้าใจชัดเจนจึงจะยอมรับนับถือว่าจริง แล้วก็จะรู้ว่าเมืองไทยเป็นชมพูทวีป เมืองไทยเป็นแผ่นดินพุทธเมืองไทยมีชาวพุทธที่แท้จริงที่บรรลุธรรมะอาริยธรรมของพระพุทธเจ้าที่แท้จริงได้
เพราะสามารถที่จะมีสัมมาทิฏฐิทำทานก็อัตถิทินนัง
อัตถิทินนัง คือ ทานที่มีผลทำให้กิเลสออก ส่วนทานที่เขาสอนกันนั้นมีแต่ทำให้กิเลสเพิ่ม เพราะทานแล้วยังมี สาเปกโข เสริมความหวังให้ด้วย ทานแล้วจะได้สวรรค์ ทานแล้วจะได้กุศลจะได้ความสุขจะได้สารพัด เขาบอกว่าให้พร ให้รวยด้วย อายุวรรณะสุขะพละปรารถนาอะไรขอให้ได้สมความหวัง เอาให้ได้หมดเลย ทั้งที่ศาสนาพุทธนั้นลดความอยากหมดความอยากสิ้นความเสพ ทำให้หมดความอยากแต่เขาก็จะทำให้เพิ่มความอยาก สอนทานให้อยากๆๆ นี่คือความไม่รู้ อาตมาก็ทำท่าทางด้วยนะ มันจริงๆเลย
จึงล้มเหลวตั้งแต่สอนการทานก็เป็น นัตถิทินนัง ทานแล้ว
1.ทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล (ไม่เห็นการลด) (นัตถิ ทินนัง). . . .
2.ยัญพิธี(พิธีการ)ที่บูชาแล้ว ไม่มีผล (นัตถิ ยิฏฐัง) ปฏิบัติเสร็จแล้วไม่มีผลลดกิเลส มันเป็นโมฆะทั้งนั้นเลย จะเป็นวิธีปฏิบัติที่คนตั้งใจทำนั้นไม่ว่าจะเป็นการเดินจงกรมนั่งสมาธิจะทำอะไรก็แล้วแต่ แต่เป็นมิจฉาทิฎฐิไม่สามารถลดกิเลสได้
3.สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว ไม่มีผล (นัตถิ หุตัง) เช่นจีนไหว้เข้า เอาของไปถวายเข้า เอาไก่ เป็ด ปลา อาตมาว่า เอาไปถวายวิญญาณได้แต่วิญญาณซีกุ้ย ไม่ได้วิญญาณเซียนนะ คุณอยากจะไหว้เจ้าก็ต้องเอาเจไปไหว้สิ จะได้ถูกกับเซียนบ้าง แต่ไปไหว้เป็ดไก่ต่างๆหัวหมูบ้าง ก็ได้แต่ไหว้ซีกุ้ย วิญญาณชั้นต่ำ อาตมาก็เคยบอกเขา
สรุปก็คือ วิธีปฏิบัติธรรมอะไรก็แล้วแต่มันล้มเหลวหมดเลยไม่มีผลอะไรเลย สรุปแล้วสามข้อนี้
ทินนัง ยิฏฐัง หุตัง คือ ทาน ศีล ภาวนา
ข้อที่ 3 ภาวนา แปลว่า การเกิดผล คือหุตังคือ จิตเกิดผล แต่ปฏิบัติธรรมแล้วมันไม่เกิดผลเลย ปฏิบัติธรรมก็มีอยู่ 3 อย่างนี้แหละ แล้วก็เพิ่มเติมในบุญกิริยาวัตถุ 10
-
ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว ไม่มีผล (นัตถิ สุกตะทุกกะฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก) . .
-
โลกนี้ ไม่มี (นัตถิ อยัง โลโก)
-
โลกหน้า ไม่มี (นัตถิ ปโร โลโก) . ทา
-
ไม่มีปัญญาเห็นมารดา (นัตถิ มาตา) .
-
ไม่มีปัญญาเห็นบิดา (นัตถิ ปิตา) . .
-
ไม่มีปัญญาเห็นสัตว์อุบัติขึ้นเอง.(นัตถิ สัตตา โอปปาติกา). . .
-
ไม่เห็นสมณพราหมณ์ทั้งหลาย.เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองในโลกนี้ (นัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญจ โลกัง ปรัญจ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) . . . . (พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 255)