ก.ค.262019ศาสนา620726_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เครื่องบ่งชี้ความเป็นคนคือต้องมีศีล อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1M3XzOiZRPeeTdiBedTRqitFKvWcLybIsqx8aVMxsnZA/edit?usp=sharing ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1J3COPgrd8tVc9mO_KwQF_ejkvA41bUtO สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้ก็มีค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า ค่าย “ขอทำตามรอยพ่อ” ครั้งที่ 39 ณ บวร ราชธานีอโศก ศุกร์ที่ 26 – อาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม2562 รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้) สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865 ##### สมัครonline ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP หรือสื่อธรรมะพ่อครู ตอนนี้ถ้าเราดูโทรทัศน์ก็จะเจอการแถลงนโยบายของรัฐบาล เมื่อคืนนี้นายกฯลุงตู่ กับพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวสก็เป็นช่วงของกังฟูไฟติ้ง ผลปรากฏว่านายกตู่ได้ 97 เปอร์เซ็นต์ พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ได้ 3% พ่อครูว่า..เป็นการทดสอบการคุมอารมณ์ของพลเอกประยุทธ์ สมณะฟ้าไทว่า…ผมพูดเสียงดังแต่ไม่ได้โกรธนะผมยิ้มอยู่นะ พ่อครูว่า…อาตมาพูดเสียงดังเช่นกันอย่างรู้จิตเจตสิกของตัวเองอย่างจริง ดีกว่าไปดูแข่งมวยหรือเตะบอล หรือตีกอล์ฟ ดูอย่างนั้นไปเกิดรสชาติอบายมุข ดูอย่างนี้ก็สนุกเหมือนกัน รสนิยมของคน ทัศนคติของคน ถ้าไปนิยมอบายมุขก็หลง แต่ถ้าเปลี่ยนทัศนคติอย่างนั้นมันควรเลิกได้แล้ว จะมีปัญญาเห็นจริงว่ามันไร้สาระมันไม่มีประโยชน์เสียเวลาทุนรอนแรงงาน เป็นความสูญเสียที่สูญเสียที่สุดอาตมาสรุป 3 อย่าง ความสูญเสียเวลา ทุกคนได้เวลาเท่ากันหมดในโลก เกิดมามีชีวิตได้เวลาเท่ากันหมดเวลาไม่เคยคดโกงคน ทุกคนได้เวลาเท่ากันแต่ใช้เวลาเป็น ใช้เวลาเป็นการเสียประโยชน์หรือได้ประโยชน์ เวลาก็ดีทุนรอนที่ลงไปก็ดี จะลงทุนอย่างไรก็แล้วแต่เป็นทรัพย์สินเงินทองข้าวของวัตถุ และแรงงานแรงกายแรงใจ 3 ความสูญเสียนี่แหละ เวลา ทุนรอน แรงงาน(แรงกายแรงใจ) 3 อย่างนี้เป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คนไม่มีปัญญาสูญเสียไป ถ้าคนมีปัญญาก็จะกอบกู้เอาความสูญเสียของข้าคืนมา ได้ความสูญเสียนี้กลับคืนมาเอาใช้ประโยชน์ได้มหาศาลใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ใช้ทุุนรอนให้เป็นประโยชน์ ใช้แรงงานที่มีความรู้ความสามารถ เป็นประโยชน์ สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้ไปกิจนิมนต์ ก็ถามเขาว่ารู้จักได้อย่างไรก็บอกว่าดูจาก YouTube เขาอยู่เยอรมันแล้วมาสร้างบ้านอยู่ที่อุบลฯ เขาบอกว่าคนอุบลที่อยู่เยอรมันรู้จักเรา เราก็เลยบอกว่าคนอยู่ใกล้ไม่รู้จักคนอยู่ไกลรู้จักก็เลยนิมนต์เราไปที่บ้าน ก็เลยแนะนำให้เขารู้จักร้านอาหารมังสวิรัติ ซึ่งญาติเขากินเจ ศรัทธาชอบที่ไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก เขาบอกว่าจะถวายเงิน เราก็บอกว่าต้องมาคบคุ้นถึง 7 ครั้งอ่านหนังสืออย่างน้อย 7 เล่ม แสดงว่าธรรมะของอโศก ออกไปนี่ คนก็ได้ดู เขาก็ได้ประโยชน์เปิดดูเขาแสวงหาก็ได้ประโยชน์ สามีเขาก็เป็นมะเร็ง มารักษากับหมอของเรา คนแสวงหาแล้วคนก็ทุกข์ก็มาทางนี้แหละคนแสวงหาก็มาทางนี้แหละคนกำลังทุกข์ทรมานก็มาหาเรา ไม่ว่าจะเป็นการกินการอยู่การดำเนินชีวิตก็เป็นโทษภัย พวกเราอยู่กันอย่างสบายจิตใจสบายอยู่กันอย่างมีความผาสุกในชีวิตเพราะเรามีธรรมะโลกุตระ ที่พ่อครูอบรมสั่งสอนเรา เราจึงเป็นคนโลกุตระที่แท้จริง โยมเขาบอกว่าได้ไปนั่งสมาธิดีมากเลย เราก็บอกว่าสมาธิไม่ได้ไปปฏิบัติอย่างนั้นหรอก โยมอายุ 70 ปีแล้ว เราก็บอกนั่งสมาธิจะเป็นเส้นยึดนะ เขาก็ว่าจริงๆ พวกเราไม่ได้นั่งสมาธิ พวกเรากิน นั่ง นอน ทำงาน ก็ทำสมาธิลดละกิเลสจนจิตใจตั้งมั่นไม่หวั่นไหวต่อกิเลสได้ พ่อครูว่า…SMS วันที่ 24 ก.ค. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครู) ศาสนาพุทธต้องมีหมู่กลุ่มสืบทอดได้ _กาน จันทร์ทรัพย์ประเสริฐ · ฟังพ่อท่านวันนี้มึนตึบทำไงถึงจะรู้เรื่องยากค่ะ ฟังพ่อท่านไม่อยากไปวัดอื่นแล้ว เรื่องบุญกับกุศลลูกยังงงๆๆอยู่ค่ะ พ่อครูว่า…ที่บอกว่าฟังแล้วมึนแต่ก็ไม่อยากฟังวัดอื่น แสดงว่าในจิตลึกๆของคุณรู้ว่าใช่แล้ว ถ้ามีความรู้สึกอย่างนี้จริงมันชัดเลย นี่แหละ อาตมาตอบนี่ มันเป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์หยั่งรู้ใจคุณนะ ที่จริงคุณก็บอกมาอาตมารู้ตามที่สื่อออกมาให้รู้ได้ แสดงว่า ถ้าคุณเป็นอย่างนี้จริงๆ ฟังไม่เข้าใจ แต่ว่าลึกๆบอกว่าฟังดี มันมีความยินดีมีความพอใจที่จะฟังทั้งที่ไม่ค่อยรู้เรื่อง มันก็ต้องมีอะไรดี มันมีปฏิภาณลึกๆความเฉลียวฉลาดแหลมคมของเราเอง มันเป็นตัวตัดสิน เป็นตัวบอกกับตัวเอง เมื่อเปรียบเทียบกับอันอื่นที่คุณผ่านมาหมดแล้วก็ให้คะแนนอันนี้ แม้จะมีรสชาติยินดีปรีดากับทางโน้นแล้วก็ตามแต่มาอันนี้ก็ดู มึนตึ๊บ แต่มันมีอะไรที่ชี้ชวนมีองค์ประกอบให้เห็นว่า มีราศีกว่าเยอะเลย อาตมาก็พยายามไขความอธิบายสภาวะธรรมที่มันเป็นตัวที่คุณจะทำให้เกิดอาการอย่างนี้ อธิบายให้ฟัง มันไม่มีภาษาเหมือนกัน ก็ดีแล้วล่ะ พยายามติดตามฟังให้ดีๆ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าต้องคบหาสัตบุรุษฟังธรรมให้บริบูรณ์ คบหาให้เต็มๆ เหยาะแหยะไม่ได้เรื่องหรอก เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม ๙ ข้อ ๓๔) ถ้าไม่ได้ฟังจากพระพุทธเจ้าก็ต้องฟังจากสัตบุรุษ ธรรมะของศาสนาพุทธนะรู้เองไม่ได้มีแต่พระพุทธเจ้ารู้เอง แล้วผู้ที่ได้ภูมิธรรมนั้นติดตัวมาเองเรียกว่า สยังอภิญญา พระพุทธเจ้าตรัสรู้เองไม่มีใครรู้ได้ ซึ่งจริงๆแล้วก็ได้มาจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ จนท่านมาตัดขอบเขตว่าท่านรู้เองเป็นโพธิสัตว์มาจนกระทั่งผ่านปัจจัตตัง เวทิตัพโพวิญญูหิ รู้ได้ด้วยตัวเองจนมาเป็นปัจเจกระดับต้นเป็นตัวของตัวเองติดตัวมา เป็นพระโสดาบันติดตัวมาแล้วมาชาตินี้ก็เป็นปัจเจกในตัวติดตัวมา เป็นของตนเองมาก็มาเพิ่มอีก ยิ่งเพิ่มภูมิรู้โลกุตระ จนกลายมาเป็นสยังอภิญญา ปัจเจก มาเป็นสยังอภิญญา เป็นการได้ของตัวเองข้ามชาติมา จนมาในยุคที่ไม่มีสัตบุรุษตนเองก็เป็นสัตบุรุษเอง ผู้ที่เป็นปัจจัตตังมาเป็นปัจเจกเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ในยุคที่ไม่มี จะเอาคำสอนมาแล้วก็มีคำสอนที่ตัวเองมีบารมีถึงขั้นจะเอามาตั้งเป็นก๊กเหล่าทำกลุ่มหมู่ได้ คนที่เป็นปัจเจกแต่ยังไม่ถึงขั้น สยังอภิญญา จะสร้างหมู่กลุ่มให้เป็นรูปร่างไม่ได้ มีใครต่อใครที่มีบารมีมาสอนกันอย่างท่านพุทธทาส หรือแม้แต่สมเด็จพุทธโฆษาจารย์สมเด็จประยุทธ์ท่านก็สร้างกลุ่มไม่ได้ จนกระทั่ง ส.ศิวรักษ์ เคยเข้าใจว่าศาสนาพุทธเป็นสถาบันไม่ได้ จับกลุ่มเป็นหมู่ไม่ได้ ถือว่าเป็นตัวตน คือ ร่วมเป็นคณะไม่ได้ ศาสนาพุทธจะต้องกระจายเผื่อแผ่ให้แก่ทุกคน หากว่ามาตั้งหลักให้แก่ตัวตนเกิดหมู่กลุ่ม… ไม่ได้ อาตมาพอจำได้ว่าส.ศิวรักษ์คิดอย่างนี้ ว่า เกิดกลุ่มหมู่เป็นพวกจะเกิดอัตตามานะได้ ทั้งที่ศาสนาพุทธนั้นถ่ายทอดมาขนาดนี้จะไม่มีหมู่กลุ่มได้อย่างไร มีความซับซ้อนลึกซึ้งอย่างนี้ อาตมาทำได้ในยุคนี้ที่มีเหตุปัจจัยเป็นองค์ประกอบซึ่งเป็นยุคที่แย่กว่าสมัยพระพุทธเจ้า อาตมาทำได้ขนาดนี้ไม่ได้เก่งกว่าพระพุทธเจ้านะ อย่างพระพุทธเจ้านั้นท่านไม่ทำมากสอนแต่ใบไม้กำมือเดียวก็มีคนมาเป็นอรหันต์แต่นี่อรหืด ดึงทึ้งกันกว่าจะได้ แต่ก็มีคนที่มั่นคง ถามว่าใครจะไปจากที่นี่บ้างก็ไม่มีใครหรอก อาจจะไปวอบแวบไม่เสถียรก็เป็นธรรมดาแต่จิตลึกเสถียรมี แม้แค่อาตมาบอกว่า บุญเป็นวิบัติ กุศลเป็นสมบัติ แค่นี้ พวกเถระฯก็จะหาว่าทำความแตกแยก ระหว่างบุญกับกุศล แต่เราไม่ได้ทำความแตกแยก แต่แยกแยะให้ชัดเจนต้องเห็นความแตกต่างอย่างกระจ่างสมบูรณ์ ให้ติดตามดู ไม่ไปวัดอื่นก็ดีแล้ว ติดตามฟัง ปฏิบัติจะได้เข้าใจมากขึ้นว่าความแตกต่างระหว่างบุญกับกุศลเป็นอย่างไร บุญคืออาวุธฆ่ากิเลสที่เกิดในปัจจุบันเท่านั้น ไม่มีในอนาคตไม่มีในอดีต บุญนี่ แต่กุศลสั่งสมเป็นอดีตได้อนาคตก็จะมีมาตามจริต มันเป็นสมบัติ ส่วนบุญนั้นเป็นวิบัติ เหมือนพลังงานนิวเคลียร์ อยู่ในระเบิดเมื่อทิ้งระเบิดให้พลังงานระเบิดทำงานเสร็จกิจ ทำลายอะไรเรียบร้อย เหมือนบุญทำลายกิเลสแล้วคุณจะเอาพลังงานนิวเคลียร์ของระเบิดลูกนั้นมาผสมอีกไม่ได้แล้ว ยกตัวอย่างวัตถุชัดๆ มันก็หมดไปแล้วมันหายไปแล้วเป็นแก๊สที่เหลือเป็นกัมมันตภาพรังสี เศษขยะของวัตถุที่มาประกอบเป็นลูกระเบิดนั้น มันก็กระจุยกระจายไปหมดแล้วอย่างนี้เป็นต้น มันไม่เป็นอันเดิมแล้วอัตภาพมันหายไป ค่อยๆฟังไปเรื่อยๆ อาตมาไม่ได้ออมมือนะ _สตาร์แอร์ ทุ่งคอก · ท่านกล้าข้ามฝัน ท่านย่อยธรรมะได้น่าฟังครับ ได้เข้าใจง่ายขึ้น กราบนมัสการครับ พ่อครูว่า…สม.กล้าข้ามฝันก็คงจะขอบคุณอยู่ในใจก็เลยใช้อาเทสนาปาฏิหาริย์ตอบแทน ถามตัวแล้วไม่ผิดด้วย ก็ตีกินง่ายๆอย่างนี้ ไม่เห็นจะยากอะไร _นันท์มนัส · เวทนา เป็น กรรมฐาน ของพระพุทธเจ้า พ่อครูว่า…กรรมฐานแปลว่าฐานแห่งการปฏิบัติแห่งการกระทำแห่งการประพฤติ แห่งการดำเนินการประพฤติธรรม ไม่มีเวทนาหรือนอกจากเวทนาไม่มีกรรมฐานอื่น ไปเอากรรมฐาน 40 ที่อรรถกถาจารย์สอนกันไว้ อย่างนั้นเป็นสมถะหมดเป็นเรื่องนอกรีตหมดเลย เป็นเรื่องไปทางวัตถุ ไม่ได้เกิดความรู้กิเลสแล้วล้างกิเลส ต้องมาเอานามธรรมของเวทนาเป็นตัวรู้สึก เพราะตัวนี้เป็นอริยสัจเวทนาเป็นอริยสัจ อยู่ในปฏิจจสมุปบาท อัญญธาตุเกิดขึ้นได้เช่นไร _สุพัฒน์ เบ้าวันดี · เห็นด้วยว่าการอยู่ป่าคนเดียวมันฆ่ากิเลสไม่ได้ กิเลสมันหลบเพราะสมาธิ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญญาพิจารณายังหนทางอยู่ แต่การอยู่กับคนใช่ว่าจะฆ่ากิเลสได้ มันต้องใช้ปัญญาเหมือนกัน พ่อครูว่า…ใช่คุณเข้าใจได้แล้วคุณต้องใช้ปัญญาแต่คุณต้องชัดเจนว่าปัญญาคือความรู้ความฉลาดเฉลียวแบบไหน? ปัญญาไม่ใช่ฉลาดเฉลียวแบบโลกีย์ คำว่าโลกีย์ ต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่าต่างกับโลกุตระอย่างไร ความรู้ในโลกีย์คือเทวนิยม ความรู้วนอยู่ในโลกที่จะตกเป็นทาสลาภยศสรรเสริญสุข ยังวนอยู่ในวังวนของสังสารวัฏยังเป็นทาสยังอยู่ใต้อำนาจของลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอยู่ ส่วนโลกุตระนั้น ความฉลาดแบบโลกุตระเป็นความฉลาดที่ตรงกันข้ามกับโลกีย์ ไม่ได้กดข่ม แต่ต้องเข้าใจว่าต้องฆ่ากิเลสตัวเหตุ ต้องจับตัวเหตุได้ ต้องมีความรู้ใน สักกายทิฏฐิ มีทิฐิมีความรู้มีความเห็นว่าต้องรู้กิเลสต้องจับตัวกิเลสได้ เรียกว่าสักกายะ สักกะแปลว่าตัวตนหรือตัวเรา กายคือรูปนาม จะต้องรู้รูปนามที่เป็นตัวตนของกิเลสของเรา ต้องอ่านอาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของกิเลสได้ พ้นสักกายทิฏฐิ จึงเป็นเบื้องต้นข้อแรกของโสดาปัตติมรรค รู้สักกายะจนพ้นวิจิกิจฉาก็จะแน่ใจยิ่งขึ้น ตัวนี้แน่นะมีแต่กิเลสไม่ใช่เอาธาตุจิตอื่นมากดข่มหรือทำลายมั่วไปหมด จิตสะอาดจิตดีๆเสียไปหมด ต้องเฉพาะกิเลสนะ เรียกว่าตัณหาก็ตาม หรือเป็นอุปาทานที่เป็น static คุณต้องชัดเจนว่า อาการลิงค นิมิต คุณต้องกำหนดหมายนิมิตรู้เครื่องหมายของกิเลสความเป็นอาการของจิต อาการเป็นอกุศลจิต อาการเป็นกิเลสเป็นตัวมีโทษภัยต้องรู้ชัดเจนอาการนี้ของตัวเองเลย สักกายทิฏฐิ รู้จนกระทั่งไม่สงสัยไม่ลังเล พ้นวิจิกิจฉา และรู้จนไปถึงกระทั่งวิธีหรือศีลพรต หรือยัญพิธี หรือ ต้องรู้ถึงมีวิธีปฏิบัติบทปฏิบัติ หรือศีลพรต ต้องมีวิธี มีศีล พรตคือความประพฤติ รู้ข้อศีลสำหรับตนเหมาะกับตน มีศีล 5 เป็นต้น ศีลพื้นฐานครั้งแรก แล้วต้องรู้ว่ามีการประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ มีชีวิตปกติ ไม่ใช่ว่าประพฤติหลับตาอย่างนี้เป็นต้น โดยทฤษฎีโดยวิธีปฏิบัติ ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ อย่างถูกต้อง แม้ถึงข้อ 3 ของสังโยชน์ ศีลพรต แต่คุณก็ยังไม่เอาจริงยังเล่นหัวๆ ปฏิบัติเหลาะแหละปรามาส ยังทำแบบลูบๆคลำๆไม่เอาจริงมันก็มีผลไม่ได้ ถือว่าเป็นมรรคทั้งนั้นเลย สามข้อนี้ จนกว่าคุณจะปฏิบัติพ้น สีลัพพตปรามาส พ้นสังโยชน์ข้อที่ 3 ดูกิเลสรู้วิธีปฏิบัติ ด้วยการพิจารณาเห็นไตรลักษณ์จริงๆว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ ถ้ามันไม่มีเหตุนี้ไม่มีอาการนี้ในจิต มันก็ไม่มีทุกข์ คุณจะต้องปฏิบัติเห็นเองรู้เองเกิดเองในชีวิตจริงได้ผลจริงๆเลย ตั้งแต่ขั้นต้น ศีลข้อ 1 2 3 ศีลข้อเดียวก็ตามก็ต้องปฏิบัติรู้เห็นอย่างนี้ข้อ 1 เกี่ยวกับสัตว์ข้อ 2 เกี่ยวกับพืชกับข้าวของ ข้อ 3 เกี่ยวกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กามคุณ 5 คุณก็ต้องชัดเจนตามคำสอนพระพุทธเจ้าเลย ศีลข้อที่ 5 พื้นฐานในจิตคุณก็มีศีล 5 ข้อเป็นพระโสดาบันได้อย่างนี้เป็นต้นจะปฏิบัติได้ปฏิบัติให้ได้ ปฏิบัติศีล 5 ไม่ได้ก็ไม่ได้เป็นพระโสดาบัน แม้จะมีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่ยังติดอยู่ ก็ไม่หยาบไม่ต่ำไม่จัดไม่จ้าน อาตมาอธิบายยังยากแต่ก็ทำให้อาตมาได้หยิบสภาวะต่างๆมาขยายเป็นภาษาให้ฟังผู้ที่ยินดีในนิพพานจริงๆ จึง แหม มึนๆงงๆอย่างไรก็เอา ยากเท่าไรก็ต้องเอา แต่ไม่เอาอันอื่นมันเอาอันนี้แหละ จิตของเรามันมีตัวธาตุรู้ มันจะบอกตัวเองเลย ยิ่งคนที่ไม่มีบารมีจะไม่ติดง่ายๆแต่ว่าคนมีบารมีใส่ใจแสวงหาจะเกิดภูมิรู้ของโลกุตตรจิต เป็นธาตุรู้อัญญธาตุ เป็นธาตุรู้ตัวใหม่ ไม่ได้วนในโลกียะ เป็นธาตุรู้พิเศษที่ทวนกระแสโลกีย์ พอมาเริ่มต้นเป็นตัวหนึ่ง อัญญธาตุ ก็เป็นตัวจริงแล้วมันเป็นธาตุใหม่จริงๆเลย อาตมาถึงอธิบายโกณฑัญญะได้ อัญญาสิวตโภโกณฑัญโญ เพราะถ้าจิตตัวนี้ พอพระพุทธเจ้าเปิดฉากเอาธรรมะของศาสนาพุทธมาเทศน์ สูตรแรก อัญญาโกณฑัญญะก็รู้เลย พอยิ่งสอน อนัตตลักขณสูตร อัญญาโกณฑัญญะขอเป็นพระอรหันต์เลยอย่างนี้เป็นต้น กลับไปที่สูตรแรกเลย เป็นอัญญธาตุ เกิดที่อัญญาโกณฑัญญะ อัญญาแปลว่าธาตุรู้ ถ้าเป็นเอกพจน์ก็คือสิ่งที่ต่างจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว อัญญะ ต่างจาก ประ เพราะอัญญะเป็นธาตุ ส่วน ประ เป็นธรรม ธาตุเป็น สิ่งที่ละเอียดเล็กเป็นต้นเค้า ธาตุนี้เป็นธาตุเอกตัวท้ายเลย ธาตุเป็นเอกแต่ธรรมะเป็นธาตุผสม เป็นคู่สองคู่ เป็นที่สุดแห่งการที่จะรู้ สุดท้ายผู้จะจบอรหันต์จะต้องแยกธาตุแยกธรรมออก สุดท้ายคุณทำลายธาตุเป็นอุตุธาตุ ทำลายธรรม ก็กระจายเป็นธาตุอุตุไป อาจจะมีเศษเหลือเป็นพีชะนิดหน่อยก็รวมกันไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้ว ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต. (ภาษาไทย) สี. ที. ๙/๔๓-๔๔/๙๐ พระพุทธเจ้าสอนต่อเพื่อนของพระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ต่อไป ทำไม อาตมาจึงรู้สิ่งเหล่านี้ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 จึงรู้และพอขยายความได้ อาตมาจึงเป็นไก่ตัวพี่ที่จะพูดอันนี้ได้ ใครได้เคยฟัง แม้ขยายความของอัญญาโกณฑัญญะ เป็นตำนานเป็นเรื่องราวของโกณฑัญญะ ใครเคยได้ฟังจากอัญญธาตุนี้ ที่โกณฑัญญะได้ธาตุมาใหม่ซึ่งเป็นสิ่งที่ต่างจากโลกเก่าที่เป็นโลกียะ แต่เป็นโลกุตระ อัญญา หรือประ อัญญะมันลึกกว่า การใช้พยัญชนะกับสภาวะจึงมีนัยยะสำคัญจะแปลเป็นตัว Synonym ที่ใช้แทนกันได้ แต่คนที่รู้รายละเอียดก็จะรู้ความต่างกันเดาไม่ได้ จะวน ตีลังกาหกคะเมน _คุณนักรบธรรมจะพูด แต่ไม่มีไมค์พ่อครูจึงบอกว่า หากพูดไม่เข้าไม่ตรงก็จะเบรค เหมือนคุณชวน _แพรวพันธ์ · น้อมกราบพ่อท่านด้วยความเคารพยิ่ง ลูกจะไม่แบ่งบุญให้ใครอีกแล้วเจ้าค่ะ พ่อครูว่า..รู้ตัวแล้ว ว่าขายขี้หน้ามาหลายทีแล้วเอาส่วนบุญมาฝาก เอาบุญมาฝาก ใส่ตระก้ามาเลยอย่างนี้ เราพูดแล้วก็น่าสงสาร คนฟังไม่ดีก็จะหาว่าเราเยาะเย้ยเขา ขออภัยไม่ได้มีจิตใจเยาะเย้ยอะไรหรอก บางทีนี้มันมีลีลาสำเนียง ลีลาอย่างพลเอกประยุทธ์นี่แหละดูแล้วไม่เบื่อ ถามจริงๆ ลีลาของคุณชวน หลีกภัย กับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาลีลาของใครมันกว่ากัน …พลเอกประยุทธ์ ลีลาคุณชวนก็มีอะไรขึ้นเยอะ แต่ก่อนนี้จืดกว่านี้ แต่เดี๋ยวนี้ชัก อีกสักวันก็ออกลูกร็อค เอาภาษาดนตรีมาใช้หน่อยว่า ดนตรีร็อคหมายถึงระดับไหน เรื่องลูกรำคาญแม่จะแก้อย่างไร _6601น้อมนมัสการบูชาพ่อครูลูกมีเรื่องจะเรียนถามพ่อครูว่า ตอนนี้ลูกต้องดูแลแม่อายุเก้าสิบกว่า ท่านจะมีอาการเหมือนเด็ก เอาแต่ใจ บางครั้งไม่ได้ดั่งใจก็ร้องไห้ แต่เรียกหาตลอดเวลาจนคนดูแลไม่มีเวลาทำงานอะไรต้องคอยเฝ้ากัน ผลัดกันเฝ้า งอแงเวลาค่ำมาก็กลัว อาการอยู่คนเดียวไม่ได้ค่ะ ทำให้ลูกเกิดอาการ เบื่อ หงุดหงิด รำคาญใจมาก เพราะมันเหนื่อยและต้องคอยตามใจค่ะ ลูกอยากขอข้อธรรมะจากพ่อครูเป็นกำลังใจในการดูแลแม่ด้วยจิตที่ดีไม่เป็นอกุศลจิตด้วยค่ะ ขอพ่อครูเมตตาด้วยค่ะ พ่อครูว่า..คงจะมีกรณีอย่างนี้อยู่ไม่ใช่น้อยในคน เรื่องนี้ก็ขอสรุปลงไปตรงที่เป็นวิบากของคุณ วิบากของคุณ คนที่มีแบบนี้ไม่ใช่น้อย วิบากของคุณตัวเองทั้งนั้น วิบากนั้น ถ้าอย่างคุณนี้อาตมาพิจารณาวินิจฉัยให้ได้ว่า มันเป็นวิบากเก่ามามากกว่าวิบากใหม่ บางคนสร้างวิบากใหม่ก็ได้ คนที่สร้างวิบากใหม่ได้ลูกขี้รำคาญ จะรำคาญอย่างอันธพาล ถ้าเป็นวิบากใหม่ ถ้าเป็นวิบากเก่าจะรำคาญก็รู้สึกว่า อย่างไรเขาก็เป็นแม่ มันจะทิ้งไม่ได้ แล้วมันก็จะไม่ตีทิ้งง่ายๆ จะไม่ลบหลู่จะเป็นเชิงกุศลมากกว่า ก็ขอให้กำลังใจคุณว่า คุณเกิดมาคุณจะมีแม่ แม่ก็คือแม่ ไม่ใช่แม่เลี้ยงแต่นี่คือแม่แท้ๆแม่ทางสายเลือด คนจะมาเกิดเป็นสายเลือดกันต้องมีวิบากร่วมกันมา จะมีวิบากเพราะความรักหรือความแค้นก็แล้วแต่ บางคนลูกกับพ่อกับแม่เกิดมาแก้แค้นกัน ชาตินี้ก็ยิงกันตายก็มี ก็ไม่เจอธรรมะก็เลยเสริมวิบากซ้อนกันไปอีก ก็ต้องศึกษาให้ดีๆเรื่องวิบากเรื่องกรรมวิบาก เป็นเรื่องที่ศาสนาเทวนิยมไม่รู้เรื่อง เป็นเรื่องที่ศาสนาเทวนิยมไม่รู้เรื่องกรรมวิบาก เป็นเรื่องอจินไตย เรื่องที่นึกคิดเอาเองไม่ได้ต้องศึกษาให้ดีๆมีภูมิธรรมลึกซึ้งจึงจะรู้ อย่างอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ก็ยังไม่รู้กรรมวิบากได้มากเท่าไหร่แต่ก็ยังพอพูดได้บ้าง คนที่อวดดีจะไปแก้กรรมให้คนนั้นคนนี้ คุณนั่นแหละ จะได้รับวิบากซ้ำซ้อนอวดดี เลอะเทอะ ไปเอามิจฉาทิฏฐิอะไรไปทับถมให้ผู้อื่น ด้วยความโง่ไม่ใช่ความฉลาดจริงของตัวเอง ซวยทั้งตัวเองทั้งผู้อื่น บอกว่าแก้กรรมๆ พูดขึ้นมาก็นึกถึงแม่ชีคนหนึ่งคือแม่ชีทศพร ซวยมหาศาล แล้วพระก็ไม่รู้เรื่องปล่อยให้แม่ชีนี้ใช้วัดแก้กรรม ศาสนาพุทธมันจึงเสื่อม เห็นแล้วมันน่าสังเวชใจ พูดไปก็เพราะว่ามีเรื่องจริงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมันผิดเพี้ยนไปเยอะแล้ว อาตมาจึงจำเป็นต้องพูดต้องอธิบายต้องข่ม อาตมาไม่มีจิตอกุศลอะไรมีแต่เมตตาเกื้อกูลจะช่วยให้ชัดเจนขึ้น ศึกษาให้ดีจะได้ประโยชน์ สรุปอีกที ถึงอย่างไรคุณจะต้องพยายามทำใจให้คลาย มันเป็นวิบากแต่ปางก่อนคุณสร้างมาเองของคุณเองต้องยอมรับ แม้ถึงตาย คุณก็ต้องยอมรับ ที่พูดนี้ให้มันแรงๆหน่อย คุณจะได้เข้าใจ เพราะคุณจะไปทำอย่างไรบอกว่านี่ไม่ใช่แม่? คุณเกิดมาจากรูกระบอกหรืออย่างไร มันไม่ได้ ดีแล้วยังมีแม่ให้คุณได้ทดแทนบุญคุณ ต้องพยายามรู้ว่านี่คือการทดแทนบุญคุณ อย่างน้อยมันเป็นกุศลของคุณ คุณก็ทำใจของคุณอย่าให้เกิดกิเลส อย่างเช่นอาการหงุดหงิดไม่ชอบใจ คุณทำกิเลสให้ลดลงไปนี่คือประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่นก็เป็นกุศลวิบากเสริมให้แก่ผู้อื่น เรื่องนี้ก็จะได้คลายลง เกิดมาในชาติหน้าอกุศลวิบากนี้ก็จะลดลง สำคัญคือ คุณทำจิตใจอย่าไปหงุดหงิดรำคาญอย่าไปมีอาการอารมณ์ที่เป็นอกุศลจิต ที่เป็นจิตที่มันทุกข์รำคาญพวกนี้ทั้งนั้น ยิ่งไปทำเป็นโกรธหรือตัดทิ้งทำประชดทำรุนแรงก็ยิ่งร้ายใหญ่ อย่าเชียวนะ อย่าเป็นเช่นนั้น สมณะฟ้าไท..ว่า ตัวเราในอนาคตอาจจะเป็นมากกว่าแม่ก็ได้ พ่อครูว่า…เราในอนาคตอาจจะเป็นคนขี้โกรธก่อเรื่องให้คนอื่นเขาลำบากลำบนมากกว่าแม่ก็ได้ เพราะฉะนั้นนะเราพยายามทำให้มันลดกิเลสตัวนี้ จะได้ลดวิบากไป ชาติหน้าจะได้ไม่มีวิบาก เห็นไหมว่าคนเรานั้นมันน่าเบื่อเกิดมาเป็นคนอวิชชา แม่คุณไม่รู้หรอกเป็นอวิชชาไม่ได้เจตนาจะมาทำให้คุณรำคาญหงุดหงิดให้คุณมีทุกข์ แม่ก็ไม่มีคนไหนอยากทำให้ลูกเป็นทุกข์หรอก นอกจากคนวิปริต จิตบ้า ทำให้คนทุกข์ทรมานทำให้เสียหาย อย่างนั้นก็เป็นคนที่ไม่ต้องพูดกันแล้ว คนเลวร้ายอย่างนี้ ถ้าคนไปคิดในแง่ร้ายอย่างนี้ก็ไม่ต้องพูดกัน แต่ถ้าคนที่ยังพูดรู้เรื่องอยู่ก็ให้มาทำอย่างนี้ใส่ใจทำ สรุปแล้วก็พยายามอดทนเอา แล้วก็พยายามใช้ภูมิปัญญาปล่อยวางใจให้ว่างให้มีเมตตา แม่ของเราเราไม่เมตตาช่วยเหลือเกื้อกูล มันก็หมดแล้วไม่มีใคร ขนาดพ่อแม่ลูกยังไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลแล้วจะมีใคร ไม่มีที่จะพูดกับคุณต่อไปอีกแล้ว องค์ประกอบของพลังงานบุญคืออะไร _0015 องค์ประกอบหลักที่เป็นพลังชำระกิเลส(บุญ) คืออะไรครับ พ่อครูว่า…คำถามนี้จะต้องตอบอีก 84,000 พระธรรมขันธ์ หลักที่เป็นพลังชำระกิเลสคือศีล สมาธิ ปัญญา หลักของการจัดสร้างพลังงานบุญคือศีลสมาธิปัญญา นี่ก็เป็นคำไข อันหนึ่งที่อาตมาพูดได้ชัดเจนขึ้น บุญเกิดได้จากศีล สมาธิ ปัญญา ผู้ที่มีธาตุรู้รู้จักวิธีต้องเริ่มจากศีล สมาธิ ปัญญา แล้วก็ใช้ศีล สมาธิ ปัญญาจนถึงที่สุด แม้ที่สุด ศีลที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติแล้วก็ต้องมีศีลของตัวเอง เช่น คุณเมื่อสุดท้ายแล้วจะเป็นพระอรหันต์ยังเหลือมานะ อุทธัจจะ คุณก็ตั้งข้อปฏิบัติซึ่งอันนี้แหละเป็นสิทธิของบุคคล จริตไม่เหมือนกันต้องตั้งเกณฑ์ว่าเราต้องปฏิบัติอย่างนี้อยู่ในเกณฑ์อย่างนี้ มันถึงจะฆ่ามานะอุทธัจจะของเราได้จบ อันนี้โตแล้ว พ้นนิติภาวะสุดท้ายแล้ว ไม่ต้องให้ใครบอกหรอกต้องเป็นเองต้องหาเหตุปัจจัยเองต้องตั้งหลักเกณฑ์ของตัวเองมันจะรู้เองอันนี้มันจะมีปฏิภาณ คุณไม่ต้องห่วงหรอกมันจะมีปฏิภาณรู้เอง ไม่ต้องขยายความมาก สรุปแล้วหลักที่ชำระนั้นคือการปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา แล้วคุณเจริญด้วย อธิมุติ จิตโน้มไปหาวิมุติ ไปสู่ที่สุดที่สูง อธิมุติก็เป็นวิมุติ แล้วถึงจบด้วย วิมุตติญาณทัสสนะ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ -สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน -สมณะเดินดิน _3867 รัฐข้ารองบาทลุงคนดีผู้รักษ์สัตย์ปฏิญาณฯในสภาศิวิไลซ์อันส่งเสริมคนดีที่มวลมติมหาชนน้อมใจตามรอยสุรเสียงฟ้าสีเหลืองทองฯที่มวลมหาประชาชนจะได้ประจักษ์ในสภาบรรลัยวิไลซ์อันเสื่อมโทรมด้วยธาตุแท้อันไม่บริสุทธิ์ใจต่อข้ารองบาทด้วยกัน?ฤาในสภาศิวิไลซ์อันเจริญธาตุรู้อันบริสทธิ์ใจต่อชาติศาสน์กษัตริย์ประชาชน?มวลมหาประชาชนจะได้เห็น ชัดทุกธาตุ?ในสภาฯสาธุธ.บุญนิยม!เจริญธรรม _7757 ปลูกต้นไม้อย่างน้อยวันละ ๑ ต้น. -นายสันติ จรูญวิทยากร- พ่อครูว่า…เอาเลย ปลูกต้นไม้เข้าไป ก็ไปคบคุ้นกับท่านเพาะพุทธฯ _พิมพ์เพชรรุ้ง สภาวะ พรหมวิหาร 4 ลูกมีสภาวะเกิดจากการปฏิบัติศีล 5 ข้อที่ 1 และเกิดจากการปฏิบัติให้มีความเมตตาต่อตนเองและผู้อื่น ต่อมาลูกเข้าใจสภาวะของกรุณาจิตที่เกิดจากการปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 และอิทธิบาท 4 ลูกขอให้พ่อท่านอธิบายการปฏิบัติให้ได้มุทิตาจิตซึ่งลูกเข้าใจว่าเป็นจิตที่พัฒนาสูงขึ้นกว่าจิตเมตตาและกรุณา ถ้ามีการลดละอัตตา เพื่อให้เข้าถึงสภาวะจิตอุเบกขาแบบเนกขัมมะ 2 ข้อนี้ถูกต้องหรือไม่ พ่อครูว่า..ถูกต้อง.มรรคมีองค์ 8 จะปฏิบัติก็มีอิทธิบาท 4 มีโพชฌงค์ 7 เข้าร่วมเสมอ เป็นหมวดธรรมที่เป็นสามเส้า ที่จะช่วยกันปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมะถูกต้องก็จะมีความเมตตากรุณาเกิดขึ้น ถูกต้องถูกสัดส่วนของธรรมะ เมตตาเป็นจิตที่ปรารถนาจะให้คนอื่นพ้นทุกข์ ทีนี้พอกรุณา ก็เป็นผู้ที่ลงมือช่วยเขา ถ้าเราช่วยได้แต่ช่วยไม่ได้ก็อย่าไปช่วย ถ้าช่วยไม่ได้ก็จะเป็นการหลงตัวเองอวดดีมากก็กลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อม เห็นช้างขี้ขี้ตามช้าง ไม่ได้ ต้องดูตัวเอง อัตตัญญุตา ว่า เราจะช่วยเขาได้ไหม โดย 1. ไม่หลงตัวเอง 2. เขาก็ไม่หลงตัวเองด้วย ดูตัวเราเองว่าเราจะมีบารมีพอ มีความสามารถมากพอจะช่วยเขาได้ไหม ประมาณตน อัตตัญญุตา หากว่าพอช่วยได้ก็ลองดูได้ หากว่าลองดูแล้วไม่ไหวยิ่งเขาแสดงท่าทีของเขาออกมา ต้องทัน คุณต้องรู้ตัวอย่าไปอวดดีอย่าไปหลงตัวเองว่าตัวเองเก่ง เขายิ่งมาจะต่อต้าน เราก็ยิ่งอยากจะอวดดีทั้งที่ไม่มีดีจะอวดก็จะบ้ากันใหญ่ เมตตา คือจิต กรุณาคือกรรม ขั้นลงมือช่วย เมตตาคืออยากให้เขาพ้นทุกข์หรือตัดสุข ดับเหตุแห่งทุกข์สุขมันก็จะหมดไปด้วย เมื่อเราลงมือช่วยคือกรุณาลงมือทำ ช่วยจนเขาพ้นทุกข์ ดับสุขดับทุกข์ หรืออย่างน้อยก็พ้นทุกข์พอสมควรยังเหลือความสุขอยู่บ้าง หมดสุขก็คือหมดทุกข์สิ้น หมดทั้งคู่เลย เพราะความทุกข์กับความสุขมันคู่กัน ความสุขเหลือน้อยความทุกข์ก็เหลือน้อยความทุกข์เหลือน้อยความสุขก็เหลือน้อย หมดความสุขความทุกข์ก็หมดทั้งสองอย่าง หรือคุณช่วยเขาให้ได้ดียิ่งขึ้นคุณก็มีจิตเห็นดีนั้น ทำดีนะ ถูกต้องนะ เห็นจริงเลยเขาพ้นทุกข์จริงๆพ้นทุกข์ทั้งภายนอกกายวาจา พ้นทุกข์ไปถึงจิตเขา ถ้าเราสามารถตรวจสอบหรือรู้ได้ถึงจิตเขาอย่างนั้นอย่างนี้พอสมควร ถ้าคุณสามารถจะพอรู้ ไม่รู้ก็เอากายกับวาจาก็แล้วกัน กายวาจาพ้นทุกข์ก็บอกเราด้วยวาจา อาการของเขาก็ดูว่าเขาพ้นทุกข์แล้วเบิกบานร่าเริงด้วยกรรมกิริยา นัจจะคีตะวาทิตะ เห็นได้ว่าเขาพ้นทุกข์ เมื่อเขาพ้นทุกข์ เราก็อนุโมทนาด้วยมุทิตา หมายความว่าก็ยินดีกับเขาอนุโมทนาด้วย อนุโมทนาก็คงจะเข้าใจ ยินดีกับเขาที่ได้ดีแล้วก็อย่าไปหลงติดยินดีกับเขาที่ได้ดี แล้วก็อย่าไปหลงติดจนกระทั่งไปยึดว่านี่เป็นฝีมือเราเพราะว่าเราได้ช่วยเขา ทำให้เขาได้ดี มันก็เลยไปเป็นอัตตาเรา ต้องให้ละเอียดยิ่งขึ้นสูงสุดสัจจะมันก็จริงแล้วเราช่วยเขาก็ดีแล้ว ธาตุรู้ของเราก็รู้ว่าเขาได้ดีแล้ว อนุโมทนาด้วย มุทิตา แล้วก็วางใจเป็นอุเบกขา มุทิตาก็หมดไป ไม่ต้องไปยินดี แต่มันก็เป็นความยินดีไปแล้วเราจะไปล้างความยินดีออกก็ไม่ได้แล้ว คุณก็ไม่จำเป็นจะต้องซ้ำแซะไปจดจำว่าเป็นเราเป็นของเราก็ไม่ต้อง มันเป็นแล้วดีแล้วได้แล้ว คุณอย่าไปยึดตัวตนยึดสภาวะดีมาเป็นเราเป็นของเราอยู่ทำไมล่ะ ไม่ต้องยึดเป็นเราเป็นของเรามันเกิดที่ตัวสภาวะธรรมนั้น ได้ดีพ้นทุกข์แล้ว เราได้ทำให้พ้นทุกข์จริง ข้อสำคัญจริงไหมถ้าจริงแล้วก็จบ เมื่อวางได้จิตคุณถึงฐานอุเบกขาจิต ก็ว่างจากการบำเรอตัวตน หยาบ กลาง ละเอียด ว่างจากตัวเราของเรา หมดแล้วสำหรับอันนี้ เหลือ 40 กว่านาทีเอง ตั้งใจวันนี้จะอธิบายพระไตรปิฎกเล่ม 9 พรหมชาลสูตร เป็นพระสูตรหลักของศาสนาเลย เริ่มต้นที่คนจะชมเราหรือจะติเราก็ต้องทำใจคนจะชมเราก็อย่าไปหลงเหลิง คนตำหนิก็อย่ามีใจทุกข์ ให้ตรวจสอบว่าเขาพูดอะไรถ้าจริงตามนั้นแล้ว ถ้าเขาเองตำหนิเราก็มีสิทธิ์บอกเขาว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่า คุณเข้าใจผิดนะ การเข้าใจผิดนั้นมันไม่ดีหรอก เราก็ช่วยเขาอยากให้เขาเข้าใจผิดเราก็ต้องตอบต้องบอกเขา บอกไปแล้ว เขาไม่รับฟังก็ประมาณดูว่าคนนี้พูดไปแล้วเขาก็ไม่แก้ไขไม่รับฟังเขาก็ยังยึดมั่นถือมั่นของเขาอยู่อย่างนั้นก็จบ จบ เราก็รู้แล้วเท่านั้น ทีนี้เราก็บอกคนอื่นที่พอบอกได้ต่อไปเรื่อยๆ จะเป็นเชิงคำชมหรือคำติก็ตาม มาชมเราหรือติเรา ติก็อย่าให้เกิดอกุศลจิตเชิงพยาบาทในทางโทสะมูล ชมก็อย่าไปเกิดทางราคะมูล ใจเราอย่าไปเกิดชอบชัง ก็เข้าใจให้ดีว่าจริงตามที่เขาว่าไหมถ้าจริงแล้วก็จบ ผิดก็ตอบไปแก้ไข ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าเขาติเตียนมาผิดเราก็ให้เฉยไว้ ไม่ใช่ เราก็ต้องบอกเขาว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาติ ถ้าเขาเข้าใจผิด ความจริงมันถูกต้องมันดีอย่างที่เราทำแต่เขาเข้าใจความถูกว่าเป็นความผิด แล้วเราก็ใจดำปล่อยให้เขาเข้าใจผิดอย่างนี้ต่อไป เราเป็นคนใจดำนะ เราโหดร้ายนะ ใช่ไหม มันซ้อนอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นที่อาตมาแล้วกระหน่ำซ้ำอยู่อย่างนี้ไม่รู้จักเลิกไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงตอกแล้วตอกอีกอย่างที่พูดอยู่นี่ ไม่เอาอะไรมากแค่ประเด็นนั่งหลับตา เลิกมาได้เลยมาลืมตาปฏิบัติแล้วเรียนรู้ไป คุณจะมานั่งสมาธิอย่างลืมตาบ้างก็เถอะ แต่ไปหลับตาออกป่านั้นออกจากป่าเสียทีแล้วเลิกหลับตาได้ มาเรียนรู้การลืมตานี่แหละ แล้วการหลับตาจะง่าย หลับตานั้นกิเลสก็ไม่จริงด้วยกิเลสมันเป็นเพียงความจำมันไม่ใช่ความจริง กิเลสที่เกิดตอนหลับตานั้น อาจจะมีความจริงในตัวจิต กิเลสของจิตในจิต ซึ่งรู้ได้ยากรู้ถูกต้องก็ยาก มันไม่เป็นลำดับ คุณมารู้ตา หู จมูก ลิ้น กาย กามคุณ5. ภพภายนอก สัมผัสแล้วคุณจะรู้กิเลสเบื้องต้นแล้วทำให้เป็นลำดับ จะเถียงพระพุทธเจ้าไปถึงไหนแย้งไปถึงไหน ต้องทำให้เป็นลำดับ หยาบ กลาง ละเอียด แค่นี้จะย้อนแย้งทำไม ปฏิภาณไม่มีหรือ ตา หู จมูก ลิ้น กายนี่แหละกิเลสที่มันเกิดก็มีจริง แล้วคุณไปนั่งหลับตาจะมาเจอของจริงทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่ไหน เอาแต่ความจำที่เกิดตากระทบรูป จำเสียง กลิ่น รส สัมผัสเสียดสีว่ามันเป็นรสทั้ง 5 ทวารอย่างนี้ มันเป็นความจำเท่านั้น มันก็ไม่จริงสักที มันอาจจะมีผลบ้าง ถ้ากิเลสของคุณไม่หนา หรือกิเลสของคุณได้ปฏิบัติมาก่อนปฏิบัติภายนอกได้แล้วไปเหลือแต่ภายในคุณก็ไปนั่งหลับตาแล้วก็ทำภายในมันก็ได้สิเพราะคนนั้นทำได้จากภายนอกมาแล้วพระพุทธเจ้าไม่ได้ตีทิ้งคนที่หลับตา อาสวะบางอย่างหมดได้ เพราะฉะนั้นคนที่เป็น กายสักขี ก็จะมีรูปนามเป็นพยานเป็นสักขี ของคุณที่คุณได้ ถ้ากิเลสคุณภายนอกนั้นคุณดับไปหมดแล้ว เหลือแต่ภายในคุณก็ทำแต่ภายใน จะเป็นรูปราคะ เป็นต้นไป เป็นอุทธัมภาคิยสังโยชน์เป็นต้นไป คุณก็ทำได้ แล้วคุณก็ทำให้อาสวะบางอย่างหมดไปได้ แต่พระพุทธเจ้ายังไม่ตัดcurveให้คุณว่าเป็นพระอรหันต์ คุณจะเป็นพระอรหันต์ต่อเมื่อคุณลืมตามีปัญญามีพลังปัญญา ปัญญาจะต้องมีภายนอกด้วย เพราะฉะนั้นจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย กาย คุณก็เข้าใจผิดเพี้ยนไปว่าเป็นเพียงภายนอก ทำไมจะดันทุรัง อาตมาบอกว่ามาภายนอก เดี๋ยวนี้เขาเข้าใจผิดเพี้ยนกายเขามีแต่ภายนอกไม่เอาภายในจิตมาร่วมด้วย การสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย คุณก็จะต้องมาเรียนรู้วิโมกข์ที่มีภายนอก ถ้าหากเป็นวิโมกข์ที่มีภายนอกคุณไม่ได้เป็นพระอรหันต์ คุณอาจจะเป็นอนาคามีได้เป็นพระสกิทาคามีได้ สูงสุดเป็นพระอนาคามีได้ แต่ไม่มีวันได้เป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าตรัส curve บุคคลที่เป็นพระอรหันต์ ระดับที่เท่าไหร่? ต้องขั้นปัญญาวิมุติ ท่านถึงจะตัดเกรดให้ว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นอะไรมันคือไม่มีกลับฟื้นไม่มีเสียเวลาอยู่ในภพชาตินาน ในภพชาติ ของพระอนาคามี นี่มีนับไม่ถ้วน ผู้ที่เป็นสายปัญญาจริงอย่างพระพุทธเจ้าพระสมณโคดม อาตมาสมณะโพธิรักษ์นี้ ไม่เอาสุทธาวาสไม่ไปเสียเวลาอยู่ในนั้นหรอก จะมาเอาปัจจุบันที่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจนี้ปฏิบัติให้มันหมด มันเป็นการลัดคัดสั้นเร็วที่สุด อาตมาไม่ยินดีใน ปปัญญจารามตา ไม่ยินดีในความเนิ่นช้าอาตมาไม่เอา อาตมาไม่มีรามตาในปปัญญะ ความเนิ่นช้าไม่เอา จะว่าใจร้อนก็ไม่ว่า อาตมาไม่ได้ใจร้อนแต่อาตมาใจเย็น อาตมาทำลำดับให้เป็นลำดับ เพราะว่าสายปัญญานี้ชัดเจนอาตมาอธิบายนี้ละเอียดใช่ไหม ยกตัวอย่างนำหน้า เช่น อันตคาหิกทิฏฐิ ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า โลกไม่มีที่สุด ทิฐิถือเอาที่สุดเช่นนั้น จึงชื่อว่า อันตคาหิกทิฐิ ทิฐิอันถือเอาที่สุดว่า ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ทิฐิถือเอาที่สุดเช่นนั้น จึงชื่อว่า อันตคาหิกทิฐิ คุณฟังพยัญชนะรู้เรื่องหรือเข้าใจสภาวะจริงของมันหรือ มันไม่ง่ายนะใช่ไหม แล้วอาตมาว่า ในพรหมชาลสูตร พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรมติพระสงฆ์ ก็ตาม เธอทั้งหลายไม่ควรอาฆาต ไม่ควรโทมนัสน้อยใจ ไม่ควรแค้นใจในคนเหล่านั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคืองหรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นเป็นแน่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคืองหรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น เธอทั้งหลายจะพึงรู้คำที่เขาพูดถูก หรือคำที่เขาพูดผิดได้ละหรือ? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้ทีเดียว พระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรมติพระสงฆ์ ในคำที่เขากล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความไม่เป็นจริงว่านั่นไม่จริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรมชมพระสงฆ์ เธอทั้งหลายไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ ดูกรภิกษุทั้งหลายถ้าเธอทั้งหลายจักเบิกบานใจ จักดีใจ จักกระเหิมใจในคำชมนั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลายเพราะเหตุนั้นเป็นแน่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรม หรือชมพระสงฆ์ ในคำชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นจริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้คำนั้นก็มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาได้ในเราทั้งหลาย. พ่อครูว่า..ความโกรธความขุ่นเคืองความไม่ชอบใจแม้มีศัตรูของเรา เราก็อย่าให้เกิดความโกรธของเราแม้แต่เศษธุลีละออง อาตมาใช้คำว่า kick it out เศษธุลีละอองที่มันเป็นสายของโทสะมูลแม้น้อยก็ต้องรู้ตัวว่าอย่าให้มีในจิต ถ้ารู้ละเอียดลึกซึ้งก็ดีขึ้นยิ่งมีรายละเอียดที่เป็นธุลีละอองของสายโทสมูลก็ยิ่งดี สายโทสะ ไม่มีประโยชน์เลย สายราคะ ก็ยังมีประโยชน์ยังดึงเอาไว้เอามาศึกษาเอามาปรุงแต่งทำงานได้ แต่อันนี้โทสะ เอาออกไปออกไปเพราะมันเป็นตัว Nuisance โมหะ มันไม่รู้เรื่องนี้แน่นอน ก็มาไล่โมหะ เป็นอันดับสอง ส่วนจิตใจที่ยินดีคุณต้องใช้ประโยชน์คือฉันทะ คำว่า ฉันทะ คือ ยินดีพอใจที่ใช้ทวารทั้ง 6 ตัวอักษร ฉ ก็คือ 6 สรุปแล้วคุณก็ต้องฟัง ตั้งใจว่างๆฟัง ฟังเต็มๆ ฟังดีๆชัดๆ อย่าให้อกุศลอะไรมาอยู่ในจิต อาตมา Mark เอาไว้ว่า การตำหนินั้น จะเป็นการตำหนิถูกก็ดีจะเป็นการตำหนิผิดก็ได้แล้วแต่ว่าผู้พูดตำหนินี้จะมีภูมิปัญญาจริงหรือไม่จริง ข้อสำคัญที่พระพุทธเจ้าทรงสอนคือ ทำใจให้ไม่มี อกุศลจิตให้ได้ ทำใจให้ว่าง ไม่มีอคติใดๆ ไม่มีลำเอียงเพราะรักหรือชัง เพราะโมหะ มัวมืดหรือเพราะกลัว ไม่ต้องกลัวให้มีใจเต็มๆ ต่อมาอีกประเด็นที่สำคัญก็คือ ใครจะกล่าวชมเรานั้นสรุป ชมเริ่มต้นจุดแรกคือชมว่าเราเป็นคนที่มีศีล คนที่ชมว่าเรามีศีลนั้นยังเป็นการชมที่ต่ำนัก คนที่ไม่มีศีลนั้นไม่ใช่คน คนที่จะนับเป็นคนได้นั้นจะต้องเริ่มที่มีศีล ไม่ได้ด่าใครไม่ได้ว่าใครนะ นี่เป็นวิชาการ คนจะเป็นคนได้นั้นต้องเอาศีลมาเป็นเครื่องพิสูจน์ความเป็นคนหรือจะเรียกว่ามนุษย์ก็ได้มนุสโส คือใจสูง คนจะนับว่าเป็นคนไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานจะมีศีลได้ไหม…ไม่ได้ แต่คนมีศีลได้ คนที่มีศีลอย่างมิจฉาทิฏฐิก็ยังไม่เข้าข่าย พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าจะชมเราก็ต้องเริ่มต้นชมที่เรามีศีลอย่างนั้นก็ยังต่ำนัก ต่ำนัก คือ อปมัตตกะ ที่เป็นภาษาบาลี คือมีประมาณน้อย แล้วก็ยังต่ำ ยังต่ำคือโอรัมมัตติกะ (โอรัมคือต่ำ อุทธัมคือสูง) เป็นเพียงแค่ศีล ฟังดีๆอย่าหาว่าด่า มันลึกซึ้ง คนที่เป็นคนนี้นะศีลข้อที่ 1 ก็ยังไม่มีศีลข้อที่ 1 เลย เป็นคนที่ไม่มีความหวังประโยชน์เพื่อสัตว์อื่นอยู่ ไม่เอ็นดู ไม่มีใจเอ็นดู คำว่าเอ็นดู คนไทยฟังก็คงเข้าใจ ไม่มีใจกรุณา หมายความว่า ไม่ลงมือช่วยเมื่อเห็นเขามีทุกข์ มีอาวุธ ทัณฑะ จนถึงฆ่า จากละเอียดไปหาหยาบ คนต้องเกี่ยวกับสัตว์ คุณหนีไปอยู่ป่าเขาถ้ำ ก็ยังต้องไปเกี่ยวกับสัตว์ที่อยู่ในโน้น ดีไม่ดี เผลอๆ ฆ่าสัตว์มากิน เอาเถอะ สัตว์มันตัวน้อยกินพวกแมลงอะไรไป มันไม่มีอะไรจะกินก็ต้องเอา หลายคนก็บอกว่าเลิกแล้วสัตว์ใหญ่ สัตว์ตัวน้อยก็ยังกินอยู่ หมายความว่าวัวควายช้างม้าไม่กินแล้วแต่ยังกินหมู กินไก่ กินปลาอยู่ ที่จริงมันก็ยังดีแต่มันช้าจังเลย กว่าจะหมดถึงแมลง หนักเข้า ก็จะต้องไปเป็นปลาวาฬไปกินแพลงก์ตอน ปลาวาฬมากินสัตว์เล็กมากคือแพลงก์ตอน อ้าปากไว้นาน มันไม่กินสัตว์ใหญ่ นี่มันเป็นธรรมชาติที่แปลกๆ เน้นอีกทีว่า คนจะต้องมีศีลจึงจะได้ชื่อว่าคน อย่างน้อยมีศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ คุณมีจิตหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ เป็นจิตใจที่มีเมตตาเป็นจิตใจที่มีความเอ็นดูมีความกรุณา ไม่ทำร้ายทำลายสัตว์ แม้ที่สุดแม้สัตว์จะทำร้ายเรา เราก็ไม่โกรธแค้นเคืองไม่ทำร้ายต่อ ยิ่งคนแล้วหากไปทำร้ายต่อก็ยิ่งมีวิบากกันยาว สัตว์มันก็ยังไม่ค่อยรู้ไม่เหมือนกับคน คนนั้นผูกพยาบาทเนียนนะ เพราะฉะนั้นสรุปแล้วคนที่ยังฆ่าสัตว์อยู่ ยังไม่ใช่คน ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของหรือพืช พืชไม่ใช่สัตว์ อธิบายพีชนิยามต่างจากจิตนิยามมาเยอะ พวกสัตว์เซลล์เดียวก็เป็นจิตนิยาม มันกินแหลกเลยพวกไวรัสพวกเชื้อโรค ก็จำนน มันจะกินอะไรเราก็ต้องเอามันออกก่อน แต่ถ้าเราทำดีๆมันก็ไม่มากินเราหรอกมันก็ต้องมีสัจธรรมของมัน ใครที่มีความขี้โรคอยู่ก็เป็นวิบากของคุณ ใครที่ไม่ขี้โรคเชื้อโรคมันก็น้อย อาตมาเชื้อโรคน้อย แต่มีวิบากของโรคทางอวัยวะเจ้าการไม่สมดุล ฝืนสรีระอยู่เกินกว่าอายุขัยไป 1 นักษัตรแล้ว สรุปแล้วศีลเป็นข้อชี้บ่งให้คน พระพุทธเจ้าบอกว่าชมเราด้วยศีลนั้นอย่างต่ำนัก ทุกคนก็เหมือนกันต้องมีศีลเป็นขั้นต้นขั้นต่ำที่สุดแล้ว อาตมาถึงพูดว่าคนที่ไม่มีศีลสักข้อนี้ไม่ใช่คน ข้อ 2 คือทำสิ่งที่ทุจริต อันไม่ใช่ของของเรา ซึ่งเป็นกิริยาของการขโมย อย่างนี้ผิดศีลข้อที่ 2 มันก็เป็นหนี้บาป อย่างน้อยต้องผิดกฎหมายจะต้องเข้าคุก ดีไม่ดีฆ่ากันฆ่าเลยของข้าใครอย่าแตะ แล้วไปขโมยเขามาเดี๋ยวก็ถูกตามฆ่ากันเท่านั้นเอง ถ้าเป็นของรักของหวงเขาจริงๆของข้าใครอย่าแตะมันก็จะเกิดวิบากกันมากมาย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นสัตว์ อย่าไปแย่งฆ่าของใคร 2.แม้แต่ของที่ไม่ใช่ของเราก็อย่าไปแย่งเดี๋ยวไปทำลายอย่าไปทำในฐานะอันเป็นขโมย คุณอยากจะมีของอะไรคุณก็สร้างขึ้นเองสิ สร้างขึ้นไม่ได้คุณก็ต้องแลกเปลี่ยนตามระบบของสังคมที่มีอยู่แล้ว คุณต้องกินต้องใช้ก็ต้องสร้างเองไม่สร้างเองก็ต้องมีระบบแลกเปลี่ยน เพราะฉะนั้นระบบที่ไม่แลกเปลี่ยนมีแต่สังคมสาธารณโภคีที่สุดยอด คุณก็จะมาทำได้อย่างบริสุทธิ์ทำงานโดยไม่ต้องสะสมเป็นเราเป็นของเราไม่ต้องไปแลกเปลี่ยน มาอยู่ที่นี่ไม่ต้องแลกเปลี่ยน คุณจะกินจะใช้อะไร คุณก็ใช้กับส่วนกลาง ถ้าคุณติดยึดเยอะใช้กินเยอะเขาก็ไม่ให้มาก คุณยังติดมากก็ต้องไปเอาจากข้างนอก มันก็ยังยืดยาดช้าไปตามเรื่องของคุณคุณยังกะมิดกระเมี้ยนยังเก็บเป็นตัวกูของกูเป็นข้าวเป็นของ หลุดจากสัตว์มาได้ก็มีข้าวของไม่เป็นขโมยก็ต้องสละออกจนเหลือน้อยลง จนกระทั่งมาอยู่กับหมู่กลุ่ม อาตมาถึงบอกว่าอาตมาบรรลุผลแล้ว ที่สร้างสังคมสาธารณโภคี ทุกคนจะมาปฏิบัติธรรมได้อย่างสะดวกมีฐานรับรองมากเลย พร้อมที่จะไปสู่พระอรหันต์ให้ลัดที่สุดแล้ว อาตมาทำไว้พร้อมทั้ง เสนาสนะสัปปายะ อาหารสัปปายะ บุคคลสัปปายะ ธรรมสัปปายะ ไป ที่จริงแล้ว สัปปายะมันก็มีมากกว่า 4 แต่สรุปลงที่ 4 อันนี้แหละ จะเป็นสัปปายะ 8 สัปปายะ 12 ก็มี ศีลข้อที่ 3 ตาหูจมูกลิ้นกายเรียกว่า 5 จึงเรียกว่าความใคร่อยากใน 5 กามคุณ 5 1เกี่ยวกับสัตว์ 2 เกี่ยวกับของ 3 เกี่ยวกับตาหูจมูกลิ้นกาย 3 ฐานนี้ หากคุณเข้าใจแล้วและปฏิบัติตนลดละได้ตามศีลของพระพุทธเจ้าตามศีลข้อที่ 1 2 3 นี้ คุณได้เป็นพระอริยะ แม้จะยังไม่บริสุทธิ์หมดเป็นพระอรหันต์ แต่เป็นพระโสดาบันก็เป็นได้เต็มตัว คำว่าโสดาบันเต็มตัวไม่ได้หมายความว่าคุณจะบริสุทธิ์หมดกิเลสทุกอย่าง ไม่ใช่ แต่กิเลสที่หยาบในสัตว์นี้เป็นข้อที่ 1 คุณหลุดพ้นมาได้คุณก็ได้ดี คุณก็ไม่ต้องไปกังวล เพราะฉะนั้นจะเป็นพระโสดาบันที่เลิกฆ่าสัตว์ อาตมาพาให้ปฏิบัติจนถึงขั้นไม่กินเนื้อสัตว์ มันเป็นการเพิ่มขั้นขึ้นมาในยุคนี้ ในยุคของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสเรื่องนี้ ให้ระบุไปเลยออกพระวินัยไปเลยว่าไม่ให้คนกินเนื้อสัตว์ ซึ่งพระเทวทัตมาขอ พระเทวทัตก็ไม่กินเนื้อสัตว์ ส่วนใหญ่เขาไม่กินเนื้อสัตว์ นักบวชเขาก็ไม่กินเนื้อสัตว์ ผู้ปฏิบัติธรรมของพุทธไม่กินเนื้อสัตว์ ส่วนศาสนาอื่นเทวนิยมจะกินเนื้อสัตว์ก็เรื่องของเขา แต่ผู้ที่ยังจะต้องอนุโลมให้เขา มันเป็นการให้อิสรเสรีภาพโดยที่เขาเจริญปัญญาของเขา เขาจะรู้แล้วเลิกของเขาเองมันวิเศษ มีปัญญาเลิกเองด้วยตัวเองมันวิเศษ โดยไม่ต้องไปบังคับเขาหรอกมันเป็นความซับซ้อนที่ลึกซึ้งมาก ขนาดไม่ต้องไปบังคับเขาก็พอแล้ว เพราะฉะนั้นในขั้นตอนของพระพุทธเจ้านี้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หลังสุดแล้ว ท่านถึงไม่ออกกฎระเบียบข้อนี้ เป็นมาตรฐานเอาไว้ แต่อาตมามาเข้มงวดขึ้น แต่อาตมาไม่ได้ไปอาละวาดคนอื่นนะ เป็นอิสระเหมือนกันคุณจะมาที่นี่ต้องไม่กินเนื้อสัตว์เป็นกฎเกณฑ์ของที่นี่ อาตมาต้องรักษาสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านี้เป็นสาธารณโภคีให้ได้ อาตมาจึงจำเป็นต้องตีกรอบตีรั้วไม่กินเนื้อสัตว์ ถ้าคนที่ยังหยาบอยู่แม้กินเนื้อสัตว์ได้ คุณเอ๋ย คนไม่กินเนื้อสัตว์นี่ยังไม่เอ็นดูสัตว์ได้อยู่นะ มันซับซ้อนหลายชั้น อาตมาที่ได้ตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาตามในยุคนี้อาตมาได้ตรองแล้ว ได้ทำแล้ว ไม่เช่นนั้นอาตมาพัง มันเป็นศีลข้อที่ 1 แล้วก็ต้องขยับอธิศีลขึ้นมาให้ประมาณนี้ ถ้าไม่เช่นนั้นไปไม่ออก มันจะพาไปไม่รอด นี่ก็เป็นภูมิธรรมของอาตมา ที่ได้ไตร่ตรองเลือกเฟ้นแล้ว ไม่มีจิตเบ่งข่มใคร มันไม่ได้กระทบใครเลยนะไม่ให้กินเนื้อสัตว์นี่ คุณจะกินก็เป็นปากคุณ ขนาดเราอยู่ที่นี่เราเขียนกระท่อมมังสวิรัติ เขาก็ยังเอาเนื้อสัตว์มากินนะ เราก็ยังไม่กล้าที่จะไปไล่อะไรเขา เราก็แค่บอกว่าเขาเขียนป้ายไว้นะกระท่อมมังสวิรัตินะ เราก็ไม่ได้ว่าอย่างแรง ระวังนะพวกเราอย่าไปเที่ยวได้รุนแรงว่าอย่าเอาเนื้อสัตว์มากินที่นี่ อย่าไปหยาบกร้านอย่างนั้น มีเชิงศิลปะที่ให้เขารู้สึกตัวเองแล้วมันได้ ถ้าเขารู้สึกแม้แต่กฎระเบียบก็ไม่รู้สึกไม่ได้ เพราะฉะนั้น สภา กฎระเบียบจึงต้องเข้ม ถ้าหากเป็นคนดื้อด้านกับกฎระเบียบเขาก็ต้องเชิญออก สุภาพที่สุดแล้วนะ ใครดึงไม่ออก เขาก็ต้องให้ตำรวจเอาออก ถ้าหากประธานบอกว่าให้ออกแล้วเขาก็มีตำรวจสภาเชิญออก เรื่องก็เคยมีมาแล้ว มันเป็นกฎเกณฑ์ของ สังคมเขาแต่ทุกวันนี้ แสดงให้เห็นว่าสภาเรานี้ไม่ต้องถึงขั้นให้ตำรวจมาเชิญออก สภาของเราจึงดีพอใช้ทุกวันนี้ แม้แต่ขนาดดึงดันขนาดนี้ก็เถอะ แต่ดูแล้วก็ โอ้โห..น่ากลัว ตัดพี่ตัดน้อง มันละเอียดลึกซึ้งแล้วนะ ที่จริงแล้วไม่ใช่พี่น้องจริง เป็นพี่น้องทางสายทหาร ขอวิจัยนิดหนึ่ง ถ้าเผื่อว่า พลตำรวจเอกนี้ ไม่ได้อยู่ในสายของเตรียมทหาร เข้าตำรวจไปเลยเป็นตำรวจโดยไม่ได้ผ่านโรงเรียนเตรียมทหารรุ่นเดียวกัน เป็นรุ่นพี่ของพลเอกประยุทธ์ มันจะยิ่งกว่านี้ ใช่ไหม แต่นี่ดีนะว่าเป็นสายเตรียมทหารเหมือนกันนะ แต่ขอแยกจากเตรียมทหารไปเรียนเป็นนายตำรวจที่สามพรานอะไรก็แล้วแต่ แม้แต่กฎระเบียบของพระพุทธเจ้าก็จะเข้าใจกันง่ายๆ ในวรรณะ 9 (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) ในนัยต่างๆที่อาตมานำมาซ้ำมาเติมมาขยายความเพิ่มอยู่อย่างนี้ เพื่อรายละเอียด ได้ฟังรายละเอียดเพิ่มขึ้นไหม สรุปแล้ว คนต้องมีศีล พระพุทธเจ้าบอกว่าชมเราว่ามีศีลนั้นยังต่ำนักน้อยนัก ต่ำนักคือโอรัมภาคิยะ น้อยนัก คือ อปมัตตกะ ต่ำนัก โอรัมมัตตกัง ใครจะเข้าใจอย่างที่อาตมาเข้าใจไหมว่ามันละเอียดลึกซึ้งจังเลย เพราะเปรียบชุดแรกที่เป็นขั้นต้น เครื่องชี้ความเป็นคน มันเป็นจุดแรกขั้นต้นของเครื่องชี้ความเป็นคน หรือว่าเป็นสัตว์ เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่มีศีล ยังเป็นคนที่ไม่มีข้อยืนยันได้ ไม่มีหลักเกณฑ์ของปราชญ์ยืนยันได้ หลักเกณฑ์ของมนุษย์เจริญยืนยันได้ ศีลข้อที่ 1 ยังไม่ได้ อย่างนี้ยังไม่ได้เป็นมนุสโส คนจิตใจสูงก็คือคน ไม่มีข้อยืนยันเลย คุณไม่ฆ่าสัตว์แล้ว นี่คือคุณเริ่มนับเป็นคนแล้ว ไม่เป็นสัตว์เดรัจฉาน คนใดที่ยังฆ่าสัตว์อยู่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดเลยว่า ฆ่าคน เพราะคนสูงกว่าสัตว์เดรัจฉานใช่ไหมล่ะ เอาเขตขีดคั่น ตัด curve กันที่ ยังฆ่าสัตว์อยู่ยังไม่ใช่คน ระวังขึ้นนะจะไปตบสัตว์เล็กสัตว์น้อย บี้สัตว์เล็กสัตว์น้อยอยู่ เอาล่ะ มันยังไม่มีวิบากมากก็ตามแต่ก็ยังไม่ได้ชื่อว่าคนนะ อยากเป็นคนไหมล่ะ อาตมาบอกแล้วว่า อยากจะรู้ว่าใครเป็นคน ดูที่ศีลข้อที่ 1 และศีลข้อ 2 และ ศีลข้อ 3 ศีลข้อที่ 3 ถ้าคุณยังติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของอบายมุขอยู่ มุข แปลว่าหัวหน้าแปลว่าใหญ่ แปลว่าปากทาง ต่ำที่สุดแล้วเท่าที่มันจะมีในโลก อะไรก็แล้วแต่ ที่โลกว่าต่ำสุด คุณก็ยังเลิกไม่ได้ คุณจะได้ชื่อว่าเป็นคนได้อย่างไร คุณต้องเจริญกว่านั้น คุณต้องเลิกได้แล้วในการที่จะไปติดอบายมุขสิ่งเสพติด ซึ่งมันซับซ้อนติดสิ่งเสพติด สิ่งเสพติดที่หยาบ ขอยกตัวอย่างสิ่งเสพติดที่หยาบ เช่น กินหมาก อาตมาว่า คนที่ไม่รู้ว่าหมากมันเป็นสิ่งเสพติด คนที่รู้ว่ายาฝิ่นเป็นสิ่งเสพติดก็มีปัญญาระดับหนึ่ง คนที่รู้ว่าหมากเป็นสิ่งเสพติดก็ต้องมีปัญญาระดับหนึ่ง คนแค่รู้ว่าไปติดฝิ่นนี้หยุดได้แล้ว แต่แค่หมากพลูนี้ คุณก็ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งเสพติด หมากก็ยังคือสิ่งเสพติด ยิ่งน้ำเปรี้ยวน้ำหวาน ก็คือสิ่งเสพติด แล้วคนคนนี้จะติดน้ำเปรี้ยวน้ำหวานไหม หมากยังติดอยู่นี่ หรือว่ามันไม่ได้ละเอียดเท่าน้ำเปรี้ยวน้ำหวาน หรือพอๆกันกับหมากพลู แล้วคุณจะไปรู้หรือไม่ต้องเอาคนที่สูงส่งมากมายก็พอจะรู้แล้ว อาตมามาพาพัฒนา คุณย่าคุณยาย คุณป้าคุณลุง ก็กินหมาก แรกๆ ก็พาให้เลิกกินหมากพลูบางคนกินมา 50 ปีติดมา 50 ปี ก็เลิกหมากพลูได้ ก็ดีใจแล้ว ก็เริ่มรู้จักสิ่งเสพติด คนที่ไม่รู้ว่าอย่างนี้คือสิ่งเสพติดเรื่องเสพติดแล้วจะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร ขออภัยนะพูดอย่างเป็นวิชาการก็ต้องขออภัยหลวงตาบัว ท่านเป็นภันเต เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปแปลกใจเลยว่าท่านจะติดในการหาเงินเข้าคลัง ภาคภูมิใจมากเลยติดไปไกลมากเลยเพราะมันยิ่งใหญ่นะ ใครจะหาได้เท่าเทียมท่าน หลวงพ่อคูณก็ไม่เท่านะ ตอนนี้โอ้โห ตีกรอบเลยว่าเอาเข้าคงคลังนะ มีพินัยกรรมบอกว่าเอาเข้าคงคลังไม่ออกเลยนะ มีสัญญา MOU ว่าอย่างนั้นเลย ซึ่งพวกที่ใช้กันเขาก็ไม่มีปัญหา เอาเก็บไว้ในคลังจะเอามาใช้หรือไม่ใช้ก็ไม่รู้หรอก ถ้ายังเป็นหนี้แล้วทำไมจะไม่เอาเงินคงคลังออกมาใช้ นอกจากจะเอาไว้ยืนยันให้แก่คนอื่น ก็เป็นกลวิธีของเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง เหมือนกับหลักเศรษฐกิจทุนนิยม เงินหมุนคล่อง แต่เป็นหนี้อยู่เท่าไหร่ไม่รู้ รวมแล้ว ถ้าจะเอาเป็นหนี้มาลบเงินที่หมุนอยู่นี้ก็ติดคุก เพราะเงินที่เป็นหนี้อยู่มันมากกว่าเงินที่หมุนอยู่ นี่คือหลักเศรษฐศาสตร์ที่กลับไปกลับมาสลับไปสลับมา สมณะฟ้าไท สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin26 กรกฎาคม 2019Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรมสำมะปี๋ซี่วิต Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:620724_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สยังอภิญญามาต่อศาสนาพุทธคือใครในยุคนี้NextNext post:503(525) นสพ.ข่าวอโศก ก.ค.รวมปักษ์ ‘๖๒Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024