620729_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 60
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1w0gTu4m6069Hne0e6BGl6DJNMb_PIAfABnNOWusKfHA/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=15EhqWCDagDZ8FjRCbIJS2RcscRakDaAk
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม 2562 บวร ราชธานีอโศก
เริ่มต้นด้วยบทกวีของ อาจารย์เป็นต้น นาประโคน
ภาษาเป็นเอกลักษณ์แห่งเอกราชของชาติไทย
อิสระภาพ ภาคพื้น ภาษา
โดยพ่อขุนราม มหา-ราชไซ้ร์
สื่อ คำศัพท์ อุปมา เก่งแน่ ไทยเฮย
ควรภาคภูมิใจไว้ ชั่วฟ้า ดินสลาย
สุโขทัย เริ่มต้น นัครา
เมืองหลัก แห่งอาณา จักรโน้น
เอกราชแห่งภาษา ใช้สื่อ กันเฮย
บูรพกษัตริย์โพ้น ภาคพื้น พิภพ
อักขระ วิบัติบ้าง เพี้ยนฉบับ
คำหยาบ คนเขากลับ ชอบใช้
ภาษาเกิดย่อยยับ ย่ำแย่ ยุคนี้
จงรีบแก้ ไขให้ พลิกฟื้น คืนมา
ประนมกร กราบก้ม บาทา
แห่งพ่อ ก่อภาษา สื่อสร้าง
มีเอกราช ราชา ในโลก นี้แล
เอ่ยโอษฐ์ ขออวดอ้าง โอบเอื้อ ภาษา
จุดนิพพานคือจุดดับสุขดับทุกข์
พ่อครูว่า…กวีตาบอดประพันธ์ออกมา ในเรื่องของภาษาคำพูด มนุษย์ยิ่งกว่าสัตว์ใดๆในโลกสัตว์เดรัจฉานต่างๆมันก็ส่งเสียงเป็นภาษาของมันเหมือนกัน เป็นสัญญาณกันพอเข้าใจมันมี มีสัญญาณให้ความเข้าใจแต่มันแค่เล็กน้อยไม่มาก แต่คนนี่ ทำคำที่มันออกมาจากปากได้สารพัดหากนับสารพัดภาษาในโลกมนุษย์ จะเป็นแสนเป็นล้านภาษา ที่คนสร้างขึ้นมาแล้วก็ใช้กัน ที่หายไปก็มี บางภาษาก็หายไปแล้ว แล้วภาษาที่สื่อ สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล ได้เยอะมากเรื่องภาษา โดยเฉพาะ ถ้าไม่มีภาษาเราจะไม่รู้จักโลกุตรธรรมเด็ดขาด เพราะฉะนั้นตั้งใจฟังคำพูดหรือภาษาที่สื่อ พยายามฟังให้ดี
อาตมาเห็นความสำคัญแล้วก็ใช้ภาษาตลอดเวลา ก็ใช้ภาษาที่จะสื่อ นอกจากนั้นก็ใช้พฤติกรรมสังคม หมู่มวลสังคมในทางธรรมที่เป็นพุทธได้สำเร็จ อาตมายืนยันว่าทำงานศาสนาพุทธมาได้ประสบผลสำเร็จอย่างน่าพอใจได้ดีทีเดียวปัจจุบันนี้ แม้จะมีอุปสรรคนานาสารพัด เดี๋ยวนี้นี้ก็ยังมีอุปสรรคจากคนที่เขายังตราหัวไว้ แต่เขาไม่สามารถที่จะทำอะไรอาตมาได้แล้วทุกวันนี้ ทำมา 40 กว่าปีแล้ว ที่ยืนหยัดยืนยันได้ไม่ใช่เพราะว่ามันนานแต่เพราะว่ามันเป็นความจริง ที่แม้เขาจะไม่ค่อยรู้จักไม่ค่อยเข้าใจ แต่เขาเห็นแล้วว่ามีอะไรลึกๆ
คนที่ไม่รู้อะไรเลยแม้แต่ชาวต่างชาติต่างศาสนา เมื่อเขาสัมผัสกับสังคมชาวอโศกแล้ว สำหรับคนที่ตั้งใจมีจิตที่รับทราบอะไรบ้างได้ จะรู้ว่าคนกลุ่มนี้มันแปลกคน มันจะไม่แปลกได้อย่างไร คนในโลกเขาก็ต้องมาแย่งลาภยศสรรเสริญจะต้องไปร่ำรวยต้องแข่งดีแข่งเด่น ต้องไปแข่งสวยแข่งงาม แข่งเก่งอะไรก็แล้วแต่ในโลกีย โดยเฉพาะแข่งอวดสุขจะต้องได้เสพสุขแล้วก็โชว์ว่าฉันมีสุข ได้เสพสุขมากกว่าใครๆ
แต่จุดสำคัญของศาสนาพุทธ “จุดนิพพานคือจุดดับสุขดับทุกข์”
ซึ่ง ชัดเจนว่าสุขทุกข์เป็นเทวฺ เป็นธาตุรวมที่เป็น 1 เทวะคือ 2 แล้วก็ฆ่าหรือดับสุขทุกข์นี้ได้ มีศาสนาเดียว แม้แต่ในคนชาวพุทธเอง ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจอย่างที่อาตมาพูดนี้ ว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่มีความสุขความทุกข์ เขาก็อาจจะผ่านหูผ่านตาคำสอนพระพุทธเจ้ามีเยอะแยะ แต่เขาไม่เข้าใจ เขาก็จะมาเอาสุข เขาเข้าใจอย่างผิวเผิน ไม่เข้าใจว่าสุขทุกข์นี้มันอันเดียวกัน ที่เป็นความลึกซึ้งของสัจธรรม สุขทุกข์นี้มันแยกกันไม่ออกเหมือนเหรียญสองด้าน
ศาสนาพุทธก็กล่าวแต่ว่าดับทุกข์ก็พอ ให้เป็นอุเบกขาหรือ อทุกขมสุข คือ ไม่มีทั้งทุกข์และสุข เขาก็ต้องผ่านคำนี้มาทั้งนั้น อุเบกขาเป็นฐานจุดสำคัญที่สุดของศาสนาพุทธ ส่วนศาสนาทั่วไปนั้นจุดสำคัญของเขาอยู่ที่ดีและชั่ว ไม่ทำชั่วทำแต่ดี เขาจบที่นั่น สอนกันแค่นี้ ไม่สอนเรื่องสุขเรื่องทุกข์ แล้วเขาก็หลงเสพสุข สุขเท่าไหร่ก็บำเรอแล้วจะต้องทำดี ดีเท่าไหร่แล้วจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า ของพระพุทธเจ้าไม่มีสวรรค์ไม่มีนรกกับความสุขความทุกข์ไม่ได้ไปสวรรค์ไม่ได้ไปนรกจบสูญเลย นี่คือความหมายสำคัญของศาสนาพุทธที่อาตมาสรุปสั้นๆไว้แค่นี้ เดี๋ยวนี้ไม่รู้เรื่องแล้ววงการพุทธศาสนา มันเสื่อมสูญไปหมดแล้ว เนื้อหาสาระสัจจะแท้ของพุทธนั้นหมดไปศูนย์ไป แม้อาตมาจะนำขึ้นมาเอามาพูด ใช้ภาษาอธิบายการขนาดไหน ก็ไม่ง่าย
อย่างพวกเรารู้ภาษาดีแล้วหลายคนก็ยังทำได้ไม่สำเร็จไม่ได้ดีอาจจะพอรู้บ้างในความสุขความทุกข์ของฐาน ภูมิหยาบๆภูมิอบาย เรื่องที่ไปปรุงแต่งเป็นภพชาติสุขทุกข์ที่หยาบ ก็เลยไม่เอาแล้ว จิตไม่ต้องไปเสพไม่ต้องไปแสวงหาไม่ต้องไปเสียเวลา โดยลึกๆอัตโนมัติมันก็พอรู้แล้วก็เลิกมาหยุดมา โดยภูมิลึกๆโดยความเข้าใจโดยญาณปัญญา ตัวลึกๆเข้าไปมันก็จะมีบ้างในพวกเราเพราะว่าอาตมาใช้ภาษาสื่อธรรมะ มันเป็นสภาวะที่ถูกต้อง ผู้ที่ฟังแม้จะไม่เก่ง แต่มันเข้าไปถึงสัจธรรมได้ เพราะฉะนั้นภาษาจึงสำคัญที่สุด
_Uamphon Aoi Bringsoe …วันนี้เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ ขอน้อมกราบพ่อครู ผู้เป็นเจ้าของภาษา ฟังธรรมจากพ่อครูได้ทั้งธรรมะ ได้ทั้งความรู้ในด้านบัญญัติภาษา บวกกับสภาวะธรรม ฟังมานาน หลายครั้งมากค่ะ ฟังจนกระจ่างถึงความแตกต่างของ บุญ กับ กุศล คำว่ากาย
ตอนเป็นเด็ก ผู้ใหญ่อธิบายว่า บุญคือการถวายเงินให้พระ ให้วัด หากเอาเงินให้ “คน” หรือ ขอทาน ก็ได้กุศล ฟังตอนนั้น ก็ยังงงๆ ค่ะ แต่พอได้ฟังพ่อครู จึงเกิดความกระจ่างค่ะ
หากชาตินี้ไม่ได้ เจอพ่อครู ไม่เจอหมู่กลุ่มชาวอโศก ก็ไม่รู้ว่าจะหลงโง่ งมงายไปอีกนานเท่าไหร่ หาไม่ง่าย ที่จะได้ยิน ได้ฟัง การขยายความ จากพระไตรปิฏก บวกกับความลึกซึ้งในภาษาไทย ให้เข้าถึงสภาวะธรรม
กราบนมัสการพ่อครู ด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ
พ่อครูว่า…ไม่ใช่ว่าอาตมาเป็นเจ้าของภาษา ทุกคนเป็นเจ้าของภาษา
บุญเป็นเรื่องที่มนุษย์ไม่ควรมีอย่าไปหลง บุญเป็นเรื่องที่ไม่ควรไม่ควรได้ เพราะตราบใดที่คุณยังมีกิเลสคนนั้นจะต้องสร้างพลังงานบุญขึ้นมาล้างกิเลส เพราะฉะนั้นคนที่ไม่มีกิเลสแล้วไม่เกี่ยวเลยบุญอย่ามีในเราอีก พระอรหันต์ทุกองค์ไม่มีบุญอีกเลย จบสิ้นสิ้นบาปสิ้นบุญ
คำว่าหมดบุญ ในภาษาไทยทั่วไปเขาแปลว่าตาย มันถูกต้องนะ กิเลสตายไม่ฟื้นเลย คำว่าตาย ในภาษาไทยคือหลับไม่ตื่นฟื้นไม่มี แต่อันนี้หนีพ้นเลยบุญไม่ต้องมาตอแยกันอีกเลย ที่เขาหมายแค่การตายทางร่างกาย แม้แต่พระพุทธเจ้าร่างกายก็ต้องตาย แต่คนที่หมดบุญแล้วนี่ หลับไม่ตื่นฟื้นไม่มีจริง หนีไม่พ้นไม่ใช่แล้ว พ้น นี่ก็เป็นนัยที่ใช้ภาษา สื่อให้ฟัง
คำว่า กาย สำคัญมาก ศาสนาพุทธเข้าใจว่า กายคือร่างสรีระเท่านั้นจึงจบเห่ เข้าใจคำว่า กายต่างๆ กายกลิ กายปัสสัทธิ กายคตาสติที่เป็นกาย เข้าใจผิดเพี้ยนไปจึงปฏิบัติผิดหมดทุกคำที่ท่านได้ตรัสไว้คำว่ากาย เข้าใจกายเป็นซีกเดียว มันไม่เต็มตัว เข้าใจได้แต่เรื่องร่างกายข้างเดียว จริงๆแล้วเนื้อหาคำว่ากายเน้นที่สุด คำว่ากายนี้ตถาคตเรียกว่า จิต มโนวิญญาณ ก็เลยไปกันใหญ่เลยศาสนาพุทธ
ยังมีโชคของอาตมา หรือเคราะห์ดีที่มีพระไตรปิฎกยังมีรับรองที่อาตมาพูดอยู่ ไม่ได้ผิดไปจากที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ อันนี้ทำให้คนอื่นสะดุ้ง คนที่ศึกษาติดตามเอาใจใส่เรื่องศาสนาจะรู้ว่าเราเข้าใจผิดจริงๆ เราไม่ได้เข้าใจอย่างนี้ เราเผินไปเผลอไป เขาก็จะสะดุดใจว่าอาตมานำเอาสิ่งที่เขาเข้าใจผิดมาเตือนให้เขาได้ฟังได้
เรื่องลางสังหรณ์เป็นจริงได้หรือจะทำใจอย่างไรกับมันดี
_8768พ่อท่านคะ หนูก็ศึกษาธรรมะตามคำสอนพ่อท่านมาหลายปีค่ะ พยายามล้างอุปาทานและความเชื่อเดิมๆจนได้ดีระดับหนึ่งค่ะ แต่มีบางอย่างที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆค่ะคือมีบางอย่างเรียกว่าลางสังหรณ์ มักจะเกิดขึ้นในจิตของหนูเสมอ หากคิดใน100มักเกิดขึ้นเป็นจริงเสมอทั้งดีและไม่ดีค่ะ หนูอยากล้างตัวนี้ออกจากจิต พยายามอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุดทุกครั้งที่รู้ตัว..พ่อท่านคะขอคำแนะนำเพื่อล้างอุปาทานนี้ค่ะ พ่อท่าน. กราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า…เรื่องอย่างนี้มันมีได้ หลายคนก็เคยได้ยินหลายคนก็มี คนนี้มีจนกระทั่งสะดุดใจว่ามันมีเยอะและกระทั่งถูกต้องด้วย ก็มีคำแนะนำอยู่ว่าสิ่งเหล่านี้ จะว่าดีก็ดีแต่อย่าไปยึดมั่นถือมั่นแล้วอย่าไปกลัวเกรงว่ามันเป็นอุปาทานอะไรนักหนา เป็นแต่เพียงว่ามันเกิดมาก็ให้รู้ว่ามันเกิดแล้วก็วางไป คุณว่าพยายามจะล้าง คุณก็อย่าไปถือสามันมันจะเกิดก็เกิดมันเกิดมาก็แล้วไปอย่าไปจริงจังอะไรกับมัน เท่านั้นเอง คุณก็ไปนั่งสังเกตว่ามันจริงนะ แล้วลางสังหรณ์ที่ไม่จริงของคุณก็คงน้อยหรือไม่มี อาตมาว่าก็คงจะมีแต่คุณก็เผลอๆก็เลยไม่จำใส่ใจตัวเองจำได้แต่ลางสังหรณ์ที่มันเป็นจริง มันก็เลยดูเหมือนเป็นจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นลางสังหรณ์ก็ไม่ใช่เรื่องบอกสัจจะที่เป็นจริงทั้งหมด ถ้ามันเป็นจริงได้ พระพุทธเจ้าก็เอามาให้ใช้แล้วสิ ให้วางปล่อยๆไปไม่ต้องไปลำบากใจอึดอัดอะไรกับมันหรอก
ประชาธิปไตยสองขาจึงสมบูรณ์
_1182ปชธต.ไทยเป็นไทแก่ตัวเองด้วยปชธต.2ขาระหว่างสถาบันฯกับประชาชน ปชธต.ไทยนิยมปฏิรูปปท.ตามรอยพระราชปรารภฯปชธต.ไทยตามรธน.พระราชานุมัติมติมหาชนฯปชธต.ไทยรักษ์พระราชอำนาจโดยธรมฯคือปชธต.ไทยรักชาติแท้จริงเพื่อปย.สุขปวงชนโดยข้ารองบาทรักสัตย์ฯด้วยภักดีฯ!ทุนสามานย์ทำไม่ได้!ทุนสุจริตทำได้!
พ่อครูว่า…ลักษณะของประชาธิปไตยไทย เป็นลักษณะประชาธิปไตย 2 ขามีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่เป็นประชาธิปไตยขาเดียว ตัวอย่างประชาธิปไตยที่อเมริกาเป็นผู้สร้างซึ่งจอร์จ วอชิงตันเป็นผู้ที่สร้างขึ้นมาในโลก ทั้งๆที่เขาแตกแยกมาจากอังกฤษที่เป็นประชาธิปไตยสองขาแต่เดิม ก็มาตราระบอบประชาธิปไตยขาเดียวให้แก่อเมริกา คนก็เข้าใจเบี่ยงเบนไปเลยว่าประชาธิปไตยต้องขาเดียว ต้องประชาชนเท่านั้นไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน ทั้งที่ประชาธิปไตยมีเกิดมา 2 ขาในอังกฤษแท้ๆเลย แต่เสร็จแล้วก็ ดัดจริตเอาประชาธิปไตยขาเดียว คำว่า 2 ขาหรือขาเดียวมีความหมายลึกซึ้งมาก
ประชาธิปไตยเป็นของคนเพื่อคนโดยคน คนต้องมี 2 ต้องมีธาตุจิตวิญญาณ กับสรีระ กษัตริย์นี้เป็นตัวแทนของวิญญาณ ส่วนสรีระนี้คือประชาชนในชาติทั้งชาติ ต้องร่วมกันเป็นราชประชาสมาสัย ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน นี่เป็นสัจจะ แล้วมันมีนัยลึก
ถ้าเผื่อว่าคนไปแยกประชาธิปไตยออกไปเป็นขาเดียวมันจะขาดวิ่น แล้วขาดความต่อเนื่องของจิตวิญญาณ จิตวิญญาณของกษัตริย์ ต่อทอดกันทั้ง DNA ทางสรีระ ราชวงศ์มา ต่อทอดทั้งกฎมณเฑียรบาล ที่จะเป็นกรอบของกฎหมายใหญ่เลย สันตติวงศ์ทุกคนอยู่ในกฎหมายทุกองค์ จะต้องอยู่ในกรอบของกฎหมายอันนี้ทั้งนั้น ซึ่งบังคับให้เป็นผู้สืบทอดความอยู่ในกฎเกณฑ์ความประพฤติปฏิบัติ แล้วกฎมณเฑียรบาลของกษัตริย์ทุกคนพระราชวงศ์ทุกคน เป็นผู้ที่มีหน้าที่ หรือว่าประชาชนพลเมืองเป็นลูกที่จะต้องคอยช่วยเหลือเลี้ยงดูอภิบาล มีความหมายอยู่อย่างนั้น จึงเป็นหน้าที่ของ ผู้ที่ต้องดูแลประชาชนมาตลอดเป็นเป้าหมายทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งมาก แต่เมื่อไปเป็นขาเดียวแล้วไม่มีลูกไม่มีหลานมันมีแต่ตัวกู ทุกคนก็ไม่ใช่ลูกใช่หลาน เลือกตั้งมาใครใหญ่เท่านั้น ฉันก็ใหญ่ฉันก็บังคับให้คนอื่นอยู่ใต้อำนาจกลายเป็นเผด็จการทางจิตวิญญาณ ที่ประชาธิปไตยขาเดียวเป็นเผด็จการทางจิตวิญญาณ
ศาสนาพุทธมีทางเดียวคือลืมตาปฏิบัติ
_สุพัฒน์ เบ้าวันดี · เห็นด้วยกับท่านโพธิรักษ์ทุกประการไม่มีอะไรโต้แย้ง ปฎิบัติอย่างท่านว่าก็ตรงตามธรรมอันสมควรแก่ธรรม แต่ที่แย้งไม่ใช่ว่าต้องอย่างที่ท่านว่าเท่านั้น ทางอื่นผิดหมด นั่งสมาธิหลับตา สะกดจิตตัวเอง มันจะบรรลุได้ยังงัย นั่งสมาธิหลับตามันผิดตรงใหน พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ในอดีตท่านนั่งหลับตาหรือลืมตาที่ท่านบรรลุธรรม อธิบายให้มันชัดเจนไปเลย อย่ามาพูดลอยๆหลักฐานอะไรก็เอามาอ้าง ถ้าไม่ชัดเจนอย่าพูด ยิ่งที่เป็นลูกศิษย์อย่าพูดเลยมันไม่เหมือน อธิบายไม่เป็น แล้วนั่งสมาธิมันจะต้องสกดจิตหรือนั่งพิงจารณาธรรมไม่ได้หรือ ผมเห็นว่านี่เป็นวิธีการปฎิบัติชึ่งอาจมีวิธีต่างกันได้ของเพียงให้ยึดมรรคมีองค์แปดไว้ ยืนเดินนั่งนอนหายใจ คิด กำหนด เป็นเพียงวิธีการ ไม่ถ้าอย่างนั้นมนุษย์คงมีใจเหมือนกันหมด อยากกินแกงก็ต้องแกงเหมือนกัน กินอย่างอื่นไม่ได้ อย่างนั้นหรือ ผมว่ามันไม่มีเหตุผล ท่านว่าผมเป็นมิจฉาทิฏฐิ ผมก็ยอม มิจฉาก็มิจฉา ไม่เห็นด้วยกับการตำหนิคนอื่นว่าตัวเองถูกคนเดียว สาธุ.
พ่อครูว่า…ภาษาของคนคนนี้กลับไปกลับมา
ศาสนาพุทธถ้าพูดกันว่าเป็น _”มรรค มีองค์ ๘”นั้นคือ “ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น”(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) ล.25 ข.30 เดี๋ยวนี้พูดถูก ศาสนาอื่นไม่มีมรรคมีองค์ 8 ไม่มีสมณะที่ 1 2 3 4 ชัดเจนทุกอย่างพระพุทธเจ้าตรัสไว้หมด คุณมาแย้งก็ผิดไปแล้ว
นั่งสมาธิหลับตามันสิต้องไปนั่งหลับตาแล้วก็ไปทำสมาธิ สมาธิของพระเจ้านั้นไม่มีหลับตา ปฏิบัติอยู่ในขณะปฏิบัติธรรมงานอาชีพลืมตาหากินเลี้ยงชีพอยู่ เป็นคนสามัญ มีทั้งกัมมันตะกิริยากรรมทุกอย่างมีทั้งการพูดอยู่มีทั้งการคิดด้วยมีอยู่ในมรรคมีองค์ 8 แล้วพระพุทธเจ้าตรัสว่าสมาธิของพระพุทธเจ้านั้นปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ ในมหาจัตตารีสกสูตรพระไตรปิฎกเล่ม 14 คุณไปอ่านดู อาตมาไม่ได้พูดเล่นพูดพล่อย พูดอย่างมีการอ้างอิงสัจจะความจริงถ้าจะตั้งใจศึกษาให้ดีอย่าไปแย้งเพื่อเอาชนะคะคานอาตมา ศึกษาดีๆแล้วก็ยอมรับเสียบ้าง จะได้เจริญจะได้มีปัญญาจะได้เกิดพัฒนาก้าวหน้า
หลับตานี้อาตมาพูดหนักเป็นการสะกดจิตตัวเองแล้วมันจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นการสะกดจิตแต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาตื่น ชาคริยานุโยคะ เป็นศาสนาผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน นั่งหลับตามันผิดตรงไหนคือศาสนาพุทธไม่ได้พาทำลายพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ในอดีตท่านนั่งหลับตาลืมตาที่ท่านบรรลุ มีพระอรหันต์ท่านนั่งหลับตาและบรรลุบอกมาสักองค์ บอกมาเลย
แม้แต่พระพุทธเจ้าที่บอกว่านั่งใต้ต้นโพธิ์ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ท่านลืมตาหรือท่านหลับตาคุณจะไปรู้กับท่านได้อย่างไร ท่านก็นั่งระลึก อนุสติ ย้อนอดีต ศาสนาพุทธต้องลืมตาปฏิบัติทั้งนั้นเป็นทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ
ต้องเป็นปัจจุบันชาติ ทิฏฐกาละ นิพพานต้องเกิดในขณะปัจจุบันเป็นปัจจุบันชาติ ไปดูในพจนานุกรมก็ได้ นิพพานนั้นเป็นปัจจุบันชาติ คือมันเกิดในปัจจุบัน ในอดีตในอนาคตไม่มีนิพพานจะเกิดในนี้นิพพานคือการบรรลุ นี่คือคำตอบว่าลืมตาหรือหลับตาบรรลุธรรม
คุณฟังแล้วไม่แจ้งชัดเพราะคุณโง่ ขออภัยบอกให้คุณรู้ตัวเป็นความจริงไม่ใช่ด่าว่าคุณนะ อาตมากำลังอธิบายสัจธรรมไม่จำเป็นจะต้องมาข่มมาด่าว่า ที่เป็นอกุศลอาตมาไม่ทำ
อาตมาอธิบายทำให้คนฟังชัดเจนอยู่เยอะแยะแต่ทำไมคุณถึงดักดานอยู่อย่างนั้น โง่ดักดาน อาตมาไม่ได้พูดลอยๆ อ้างอิงหลักฐานที่มันถูกต้องเป็นของพระพุทธเจ้าก็เอามายืนยัน คุณพูดถูกแล้วถ้าหากอาตมาไม่ชัดเจนก็ไม่เอามาพูดอาตมาไม่ทำ
ในมรรคมีองค์ 8 ไม่มีการนั่งหลับตาทำสมาธิหรอก แต่มีการกระทำการงานมีการพูดมีการคิด คุณไปตามให้ดีๆ คุณยึดถือมรรคไว้แต่คุณไปทำอย่างอื่นอีกล่ะ
เป็นเหตุผลของคนอ้างสุ่มสี่สุ่มห้ามาเป็นโวหาร เป็นการหาเรื่องมาแย้งมาเถียงเฉยๆไม่ได้เข้าเรื่องเข้าราวไม่ได้เข้าเป้าเลยเจ้าประคุณเอ๋ย แต่คุณไปเก็บอะไรที่ไม่ใช่สาระมาแย้ง ใช้ภาษาอ้างไปเรื่อยๆ
ใครกันแน่หนอที่ไม่มีเหตุผล ไปตรวจสอบตัวเองให้ดีๆ หรือไม่ก็ต้องกินยาบ้างนะ
ขอพูดซ้ำอีกว่า อาตมาเกิดมาในชาตินี้คำที่อาตมาพูด คำที่อาตมาสาธยายคำที่พูดไปทั้งหมดนี้อาตมาถูกอยู่คนเดียวในยุคนี้ อาตมาจึงได้พูดว่าอาตมาเป็นไก่ตัวพี่ที่เจาะกระเปาะไข่ออกมาก่อนใครในยุคนี้ ใช้คำพูดนี้ของพระพุทธเจ้ามาพูด มั่นใจว่าไม่ได้ยกตัวตีเสมอพระพุทธเจ้า แต่มันเป็นสัจธรรมที่เอามาสื่อภาษาสื่อความหมายสัจธรรมให้ฟัง อาตมาต้องทำตามพระพุทธเจ้า ซึ่งมันเป็นเรื่องจริง พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาจัตตารีสกสูตรในมิจฉาทิฏฐิทั้ง 10 อย่าง และสัมมาทิฏฐิทั้ง 10 อย่าง
ถ้าเข้าใจโดยเฉพาะข้อที่ 10 นัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ
มันไม่มีแล้ว สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ ไม่มีอยู่
พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ไม่ใช่อาตมาพูดเอง มันไม่มีแล้ว แล้วมีอาตมามาเกิดมาเป็นแต่คุณไปยึดถือผู้ที่ไม่มีสัมมาทิฏฐิ หรืออาจจะตรงบ้างเพียงเล็กน้อย คุณเข้าใจมรรคมีองค์ 8 อย่างลึกซึ้งหรือเปล่า มรรคมีองค์ 8 ประกอบด้วยศีลสมาธิปัญญา ก็ไม่มีการพูดอย่างนี้กัน ก็มีคนพูดบ้างแต่มีน้อย มรรคมีองค์ 8 จะต้องปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาและเกิดวิมุตแล้วก็ต้องขยายความได้ ปฏิบัติศีลแล้วจะเกิดสมาธิอย่างไรเกิดวิมุติอย่างไรเกิดปัญญาอย่างไร
แล้วตรงที่ตัวเองถูกคนเดียว อาตมาเป็นผู้เดียวที่ถูกสมบูรณ์แบบ นอกนั้นก็ผ่านๆเผินๆจไม่เข้าเป้า 100% มันไม่สมบูรณ์แบบ อาตมาจึงเป็นผู้ที่เป็น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
ที่พูดกันอยู่ในยุคนี้มันไม่มี อาตมามีมาแล้ว ในยุคนี้จึงเป็นผู้เดียว อธิบายยังไม่ได้ลงตัวลงตนยกตัวอย่างตนแต่พูดจะทำให้ฟัง ผู้ที่เข้าใจชัดเจนแล้วไม่มีอคติ สั่งวันนี้แล้วก็ยิ่งชัดเจนว่ามันเป็นจริง แต่คนจะเข้าใจสัจธรรมของพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตระ ที่อาตมานำมายืนยันเปิดเผยขึ้นจนกระทั่งพวกเรามาปฏิบัติธรรมเป็นสมณะที่ 1 2 3 4 พระโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์จริงกันได้ แต่เขาไม่เชื่อไม่รู้แล้วเขาก็เป็นอรหันต์เก๊ ไม่พูดกันถึงเรื่องโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีแล้ว อาตมาไม่ได้มีกิเลสข่มเบ่งใคร หรือดูถูกใคร แต่พูดสัจธรรม
ตั้งใจฟังให้ดีคุณฟังก็ดีแล้ว แต่คุณอย่าเพ่งโทษอาตมาเลยมันเป็นอกุศลมันเป็นบาปตั้งใจฟังให้ดีแล้วคุณจะได้ประโยชน์ แต่ถ้าคุณฟังไม่ได้จริงๆไม่เห็นด้วยรับไม่ได้ขอแนะนำว่าคุณหยุดฟังอาตมาเถอะไปฟังท่านที่บรรยายกันทั้งหลายที่คุณศรัทธาจะสบายใจกว่าแนะนำอย่างนั้นไม่งั้นคุณจะทุกข์ใจได้
_ธนศักดิ์ ปิ่นทองคำ · เป็นเรื่องปกติของเด็กสัมมาที่ต้องโดนแบบนี้ เป็นมาทุกยุคทุกสมัย อะไรๆ ต้องโทษเด็ก เปรียบเทียบเด็ก แต่ครูว่าบางคนก็ยังมีภูมิธรรมยังไม่ได้ครึ่งของเด็กเลย บางคนยิ่งอยู่นาน ยิ่งเลอะเทอะ เฮ้ออออ ?
พ่อครูว่า…เขียนมาไม่มีประเด็นไม่มีเป้าหมายเลย คือครูและผู้ใหญ่ก็ต้องติเตียนเด็ก ส่วนเขาจะติเตียนตัวเองก็แน่นอน เขาต้องอบรมสั่งสอนดูแลเด็กแม้เขาจะเป็นผู้บกพร่องมีความผิดอยู่ในตัวเขาสอนเด็กก็ต้องบอกในสิ่งที่ไม่ดีให้เด็กเลิกทำอย่าไปประพฤติ สิ่งที่ควรทำควรประพฤติก็ต้องแนะนำ การสอนเช่นนั้นก็ต้องเป็นธรรมดาสามัญ หากจะไปสอนว่าอย่าไปตำหนิเลยจะสอนแต่เรื่องดีๆ คุณเก่งกว่าพระพุทธเจ้าหรือ พระพุทธเจ้าให้ตำหนิในสิ่งที่ควรตำหนิให้ชมในสิ่งที่ควรชม
ฌานพุทธมีแต่ในปัจจุบันไม่มีเสื่อม
_(ช. รักชีวิตวิเศษ) สอบถามได้ไหมครับ สกิทาคามี ฌานเสื่อมตอนทำกาละ จะสามารถได้ฌานอีกภพหน้าได้ไหมครับ เป็นคำถามที่อยากรู้ ไม่มีเจตนาจะไปคิดไม่ดีและเผยแพร่แต่อยางใดครับ
พ่อครูว่า…เขาไปแยกอีก ว่าอรหันต์บางคนไม่มีฌาน แต่ที่จริงแล้ว ผู้ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าไม่มีฌานไม่ได้ แต่อรรถกถาจารย์บางคนบอกว่าไม่ต้องมีฌานก็ได้แล้วจะบรรลุอรหันต์แบบแห้งแล้ง สุขวิปัสโก ซึ่งเข้าใจเพี้ยนไปเรื่อยๆผิดไปหมด บัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ
เอาเนื้อหา
คำว่า ฌาน ของศาสนาพุทธนั้นเป็นอจินไตยไม่ใช่รู้กันได้ง่ายๆ มันไม่เหมือนกับฌานของฤาษีที่เขาเข้าใจกันทั่วไป ฌาน เป็นพลังงานไฟ เป็นพลังงานจิตวิญญาณ วิธีทำใจในใจให้เกิดพลังงานที่เรียกได้ว่าเป็นฌาน เป็นพลังงาน อุณหธาตุ ไฟทางจิตวิญญาณ มันจะสูงส่ง ไปกำจัดไฟราคะไฟโทสะไฟโมหะ ได้ นั่นเรียกว่า ฌาน
ฌานต้องมีปัญญา ปัญญาต้องเป็นโลกุตรธรรม ไม่ใช่ปัญญาโลกียะ ต้องมีธาตุโลกุตระจึงเข้าใจฌาน ต้องมามีอัญญธาตุมีความฉลาดทางธรรมะของพระพุทธเจ้าเสียก่อนจึงจะไปทำฌานได้ ไม่เช่นนั้นไม่มีทางทำได้ เพราะต้องมีปัญญา ปัญญาจึงจะมีฌาน ถ้าไม่มีปัญญาจึงไม่มีฌาน เป็นคู่หูกันทีเดียว
ฌาน ไม่หลับตา ฌานไม่นั่งหลับตาทำ แต่ฌาน จะเกิดได้ตลอดเวลาที่ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ปฏิบัติให้มีวิปัสสนาญาณ ให้เกิดปัญญาหรืออย่างที่จะเรียนรู้ ปัสสะ แปลว่าเห็น จะต้องมีการรับรู้ด้วยผัสสะ ปัสสะ แปลว่าเห็นแปลว่าตื่น เข้าใจปัสสะที่นี้ก็ต้องไม่ไปนั่งหลับตาแล้ว ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ตื่น ชาคริยา
หากไม่สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ก็ไม่ใช่แล้ว แล้วก็พิจารณาในโภชเนมัตตัญญุตา แล้วสำรวมอินทรีย์มีชาคริยานุโยคะ เป็นหลักปฏิบัติที่ไม่ผิดของศาสนาพุทธทางปฏิบัติอยู่ในหลักนี้
-
อินทรียสังวร (การสำรวมอินทรีย์ทั้ง ๖ ทวาร) .
-
โภชเนมัตตัญญุตา (ความรู้จักประมาณในสัดส่วน . ทั้งอาหารกาย, อาหารอารมณ์, อาหารวิญญาณ) .
-
ชาคริยานุโยค (การหมั่นตื่นออกจากกิเลสโลกีย์)
(พตปฎ. เล่ม 20 ข้อ 455)
มีสังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขณาปธาน ในสัมมัปธาน 4 เขาก็ปฏิบัติไม่ได้แล้ว เพราะไม่มีสำรวมสังวรอินทรีย์ ปหานปธานไม่เกิด ปหานไม่ได้ เพราะมันไม่เกิดเวทนาไม่เกิดกิเลสตัวนั้นขึ้นมาไม่มีภาษาไม่มีตัวกิเลส กิเลสจะเกิดในทิฏฐกาละ กาละปัจจุบัน คุณหลับตาแล้วจะเกิดกิเลสมันไม่ใช่กิเลสมันเป็นแค่ความจำ คุณหลับตามันเป็นอกุศลในความนึกคิด ไม่ใช่กิเลสที่มันเกิดให้คุณฆ่า หากเข้าใจหรือว่าปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าต้องมีปัจจุบันชาติ ทิฏฐกาละ ไม่ได้มีอยู่ในอดีตไม่ได้มีอยู่ในอนาคต ถ้าหากเป็นอดีตและอนาคตก็เท่ากับทำเจโตสมาธิในพรหมชาลสูตร ที่พระพุทธเจ้าท่านได้สอนไว้
ผู้เรียบเรียงก็เอาไว้ในสูตรแรกเลย คุณไปจมในอดีตกับอนาคตจะไม่มีปัจจุบันชาติไม่มีการลืมตาปฏิบัติอยู่กับปัจจุบันชาติ เพราะฉะนั้นจะมีมิจฉาทิฏฐิทั้ง 62 อย่าง เขาก็ตีไม่แตก
คำว่าฌาน ผู้ใดที่บอกว่าฌานเสื่อมตอนทำกาละ แล้วก็เข้าใจอย่างนั้นแล้วจะบอกว่าได้อีกในอนาคตไหม ก็คงเข้าใจว่า ทำกาละคือตายจากภพนี้ชาตินี้แล้วไปชาติหน้าจะได้ฌานอีกไหมในภพหน้า สำหรับสกิทาคามี
ฌาน ขอยืนยันว่าเกิดในปัจจุบันธรรม ฌาน ไม่เกิดในอดีตหรือในอนาคตไม่ต้องถามเลยว่าตอนทำกาละตายแล้วเป็นอดีตหรืออนาคต มันไม่มี
ฌาน มันไม่มีเสื่อม เพราะฌานมันไม่มีที่ตั้ง ฌาน ไม่ได้ตั้งอยู่ในที่ไหน มันเป็นปัจจุบันชาติ ฌานเป็นต้นทางของบุญ ต้องทำใจในใจให้เกิดพลังงานที่เป็นไฟธาตุที่จะเป็นพลังงานไฟพิเศษที่จะไปเผาไฟราคะโทสะโมหะ ในปัจจุบันชาติ ในปัจจุบันนั้นๆเท่านั้น
พอไม่ได้ทำ มันก็ไม่มีฌาน ฌานมันไม่มีค้างอยู่ที่ไหนเลย ไม่ต้องไปถามเลยว่าตายเกิดอีก ฌาน เป็นต้นทางของบุญ
อาตมาไม่เก่งกว่านี้ ทำให้คุณเข้าใจไม่ได้
_หายโง่ ขอบคุณที่พ่อครูให้ชื่อนี้ จะได้ไม่ทำอะไรที่โง่ๆเดี๋ยวจะทวงชื่อคืน มีบางคนถามว่าหายโง่จริงหรือ แต่เป็นบางเรื่อง และบางขณะ ดิฉันจะพยายามพัฒนาให้หายโง่ จนถึงที่สุดไปทีละเรื่องไปตามลำดับ ด้วยการฟังธรรม ทบทวนธรรม และปฏิบัติธรรมตามที่พ่อครูแสดง
เราโน่ ฝากกราบคารวะพ่อครู สมณะ สิกขมาตุและเจริญธรรม เด็กๆที่น่ารักทุกคน ขณะนี้เราโน่ อยู่ที่บ้านลูกสาวคนโตเมืองเฮลซิงกิ ฟินแลนด์ จะกลับมา บ้านราชฯไม่เกินเดือนกันยายนนี้
_น้องน้ำมนต์ ทำอย่างไรหนูจะไม่ทำให้คนอื่นทุกข์คะ
พ่อครูว่า…คำถามนี้สำนึกสูงมาก นี่เป็นเด็กเขาถามนะนี่
เดี๋ยวหลวงปู่ถามน้ำมนต์ก่อนว่า คนอื่นเขาทุกข์นี้เขาเป็นอย่างไร
น้ำมนต์ตอบว่า…ทุกข์เพราะหนู
พ่อครูว่า…ทำอย่างไร ก็ทำตนเองให้เป็นเด็กดี ผู้ใหญ่ใครอื่นหรือเด็กด้วยกัน ถ้าเราเป็นเด็กดีคนอื่นก็จะชอบสบายใจจะชื่นชม เขาชื่นใจเขาชื่นชมเขาก็ไม่ทุกข์ นี่เป็นคำตอบที่ตรงที่สุดแล้ว ทำตนให้เป็นเด็กดีแล้วคนอื่นจะไม่ได้ทุกข์กับเรา
ชมพูทวีปขณะนี้มีแต่ในเมืองไทย
_แสงไฟธรรม …คำว่า สุรภาวโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส
สติมันโต ในธรรมพุทธสุดลึก บอกว่าผู้มีความแกล้วกล้าอาจหาญแต่ในที่ขึ้นบนจอนั้นแปลว่าผู้มีอาการ 32 ครบอะไรถูกต้องกว่ากัน
พ่อครูว่า…ถูกทั้ง 2 อย่าง คำว่าแก้วกล้าอาจหาญก็คือมีครบพร้อมอาการ 32 มีกายกรรมวจีกรรมโนกรรม มีสิ่งที่เป็นองค์รวมของความเป็นตัวเรา ส่วนใหญ่ส่วนมาก สุระ แปลว่ากล้า เต็ม แข็ง สมบูรณ์เลิศ มีครบทุกอย่าง
เพราะฉะนั้นคนทุกคนนี้ ถ้าพูดง่ายๆก็คือร่างกายชีวิตของคน นั้นเต็มสุรภาโว
สองสติมันโต มีสติได้ถึงที่สุด มีสติได้สมบูรณ์ได้เจริญ จนสติจะนำพาให้ปฏิบัติธรรม เพราะสติ เป็นอธิปไตยเป็นกำลังเป็นพลังเป็นแรงเป็นอำนาจ
อิธ คือส่วนนี้แหละโลกนี้แหละ
สรุปสามคำนี้ชี้ที่คน คนที่มีสุรภาโว มีองค์รวมของความเป็นคนเต็มแข็งแรงแก้วกล้า แล้วก็มีสติดีใช้สติเป็น ใช้สติประพฤติธรรมะได้ผล นี่แหละเท่านี้แหละเรียกว่า คนนั้น มีโลกอิธโลก ในความเป็นสุรภาโว สติมันโต ในเรานี้จะปฏิบัติพรหมจรรย์ได้สำเร็จเป็นที่อยู่ของพรหมจรรย์อันนี้แหละ
แล้วไปขยายถึงสถานที่ เช่น ไป ขยายความว่าประเทศอินเดียเคยเป็นชมพูทวีป ก็คงเคยได้ยิน อาตมาก็เอามาบอกแล้วว่าไม่มีแล้ว อินเดียไม่ได้เป็นชมพูทวีปแล้วไม่มี สุรภาวโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส แต่ว่าชมพูทวีปได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองไทยแล้ว เพราะว่าเมืองไทยมีคนที่มี สุรภาวโว สติมันโต แล้วพากันปฏิบัติพรหมจรรย์ อิธพรหมจริยวาโส จนบรรลุเป็นพระโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ ได้แล้วในเมืองไทยไม่ได้พูดเล่น ที่นี่มีจริงเป็นจริง
อาตมาเองขออภัย ขอพูดอย่างที่ไม่น่าพูด มันอวดตัวอวดตนนะ ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ มันได้เสื่อมไปจริงๆ มันไม่เต็มเต็งจริงๆเลย จนอาตมาใช้คำว่าเสื่อมหมด เพราะมันกู้ไม่ขึ้น ถ้าไม่มีอาตมามานี้มันกู้ไม่ขึ้น มันจะจมหายไปในทะเล หายไปในสายลม พระเนื้อหาสาระของศาสนาพุทธนั้นมันหมดไป วันที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ อาณิสูตรว่า โลกุตรธรรมนั้นจะสูญหายไปเหมือนกลองอานกะ
มาถึงปัจจุบันนี้มันไม่มีแล้วกลองอานกะ เนื้อของกลองนี้ไม่ได้เหมือนเดิมแล้วมีเนื้อหาอื่นมาเป็นเนื้อของมันไปหมดแล้วแต่ชื่อมันยังเหมือนเดิม เหมือนศาสนาพุทธก็ชื่อศาสนาพุทธเหมือนเดิม แต่เนื้อแท้เนื้อแก่นเนื้อหนังที่ประกอบเป็นกลอง ไม่ใช่ของเก่าแล้วเป็นของปฏิรูปของทำให้เพี้ยน ไม่ใช่เนื้อแท้ของพระพุทธเจ้ามาใส่แทนหมดแล้ว
ถ้าอาตมาไม่เกิดมาในยุคนี้ กลองอานกะก็ยิ่งปลอมเละไปหมด อาตมากำลังเอากลองอานกะใบเก่า เอาโลกุตรธรรมขึ้นมาสถาปนาใหม่ในโลกจากนี้ไป เพื่อต่อเชื้อศาสนาพุทธให้ไปถึง 5000 ปี
ประกาศแล้วก็เลยพูดได้ชัดเจน คนที่ไม่ติดใจในเรื่องที่อาตมาประกาศตัวเองไปแล้วสบายใจก็จะได้ประโยชน์ส่วนคนที่ติดใจอยู่ก็น่าสงสาร อย่าคิดอย่างนั้นเลยต้องพยายามฟังธรรมให้ดีๆ อาตมาเป็นสัตบุรุษ สยังอภิญญาที่มาเกิดในยุคนี้
_น้อมยอดธรรม…ทำงานที่อุทยานบุญนิยม เริ่มแรกไม่รู้จากความยึดถือ ต่อมาก็เข้าใจมาเรื่อยๆ 10 กว่าปีแล้วที่อยู่มา เราเป็นแม่ค้านี้เรายึดอยู่แล้ว เราถือดี แต่เวลาเราใช้เพื่อนยกของ เขาก็บอกว่ายังๆ เราก็ยังยึดเอาอย่างใจ แต่ทุกวันนี้ไม่ได้เอาแต่ใจ มันหนักเราก็ขอแรงเพื่อน แต่ทุกวันนี้ก็บอก ให้ท่านนายยก ช่วยยกให้ก็ได้ผล ทุกวันนี้ก็ไม่ยึด แต่ก็ทำงานได้ผลขึ้น
ถามว่า การที่ยึดนี่ แล้วก็ไม่ยึดนี่ มันก็อยู่ด้วยกันใช่ไหมคะ แล้วดิฉันก็ไม่ได้ลำบาก
พ่อครูว่า…นี่แหละคือการปฏิบัติธรรมปฏิบัติธรรมแล้วก็ต้องมีการระลึกรู้ตรวจดูจิตใจพยัญชนะที่บอกว่าเป็นอาการยึด แล้วเราก็รู้ว่าอันนี้เราจะเยอะหรือไม่เยอะในขณะนี้มันมีเรื่องราวมันมีนิทาน มีหม้อมีแกงมีอาหาร มันหนักมันยกไม่ได้ ก็หาให้นายยกมาช่วยยก เป็นผู้ชายแสดงว่านายยกคนนี้ไม่ใช่นางยก
_สมัยก่อน ตามเพื่อนไป ขอให้พอครูตั้งชื่อให้ พ่อตั้งให้ว่าน้อมยอดธรรม ตั้งชื่อให้แล้วมันจะดื้อมาก มี ย ยักษ์ ยึกยัก
พ่อครูว่า..น้อมยอดธรรม เข้าใจความยึดถือแล้วก็ปฏิบัติธรรมให้ไปสู่สภาวะธรรม เข้าใจสภาวะธรรมที่เป็นความยึดถือตอนนี้เราก็ปล่อยวางไม่ให้เป็นความยึดถือแก้ไขปรับปรุงนี่แหละพูดอย่างสบายๆง่ายๆนี่แหละ ชัดเจนแล้วนี่คือปฏิบัติธรรมได้ผลอาตมาสอนธรรมะได้ผล
_นักรบธรรม…พ่อครูได้กล่าวถึงการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เปรียบเสมือนพวงมะม่วงที่หล่นลงมาแล้วแตกกระจายไม่สามารถที่จะเอามาติดเป็นพวงมะม่วงเดิมได้แล้ว ผมคิดว่า นี่คงเป็นปริศนาธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทิ้งไว้ให้กับนักบวช นักบวชทุกท่านจะต้องเป็นเช่นนี้สามารถเผยแพร่ธรรมะให้กว้างไกลไปจนถึงที่สุด มันน่าจะเป็นแบบนั้นหรือไม่
ก็ยังซึ้งว่า ท่านทิ้งท้ายไว้ ว่าหากนักบวชของท่านยังไม่แกล้วกล้าอาจหาญ
พ่อครูว่า…คุณเดาเอาไม่ใช่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าท่านแยกธาตุของท่านเหมือนพวงมะม่วงเมื่อตัดจากขั้วลงหล่นแตกกระจาย อาตมาก็อธิบาย
ฌานเกิดก่อนสมาธิ
_อุบาสิกา รินอุรา…ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการนั่งหลับตาที่พ่อท่านได้เทศนาไว้เมื่อปี 2524 ตอนนี้ฟังเข้าใจเพิ่มขึ้น ตอนนั้นเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อสดก็นัดกันว่าเย็นนี้จะไปนัดกันเจอกันในฌาน เขาก็นัดกันทุกเย็นอยู่ในชมรมพุทธศาสตร์ของกระทรวง ดิฉันไม่มีความรู้เรื่องนี้ก็เลยเหมือนฟังไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อมาฟังพ่อท่านแล้วจึงเข้าใจว่าอันนี้มันเป็น ทางที่ไม่ใช่ทางของพระพุทธเจ้าสอน ทราบข่าวว่าคณะที่นั่งหลับตาปฏิบัติเข้าฌานคุยกัน ตอนนี้เขาเป็นอัมพฤกษ์ ได้มีโอกาสไปเยี่ยม ปรากฏว่ามีแม่ชีเป็นร้อยที่ปฏิบัติ มีที่เป็นอัมพฤกษ์กันตั้ง 20 กว่าคน
พ่อครูว่า…เป็นเรื่องทรมานร่างกายสรีระน่าจะเสียไปหมด ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ต้องตีแตกให้ชัดเจนจริงๆ เพราะออกมาไกลหลงผิดกันไปมาก การนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมจะปฏิบัติเป็นแกนแก่นโดยเข้าใจว่าเป็นสัมมาสมาธิที่มีอยู่ในมรรคมีองค์ 8 เข้าใจสัมมาสมาธิว่าเป็นการนั่งหลับตานี้ อาตมาว่าก็พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว
ไปดูในมหาจัตตารีสกสูตรนั้นตรัสไว้ชัดเจนว่าสัมมาสมาธิของพระอริยะ อริโยสัมมาสมาธิเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ด้วยมีเหตุมีบริขาร 7 ท่านใช้ภาษา อุปนิโส อปิขาโร 7 อย่างคือ สัมมาทิฏฐิสัมมาสังกัปปะ …แล้วอุปนิโสจะเป็นเหตุเป็นองค์ประกอบ ปริขาโร เป็นองค์ประกอบที่จะพาให้เกิดสัมมาสมาธิ ใน 7 องค์นี้ไม่มีการไปนั่งหลับตาสมาธิ แต่มีการทำงานอาชีพอาชีวะกัมมันตะวาจา พูดอยู่คิดอยู่ทั้งนั้นเลย แล้วปฏิบัติให้เกิด ฌาน เกิดสมาธิ
ฌานกับสมาธิก็แยกกันไม่ออก ทำให้เข้าใจกันไม่ได้ไปปนเปเละเทะ ไปนั่งสมาธิแล้วจะได้ฌานมันไม่มี มันต้องทำฌานก่อนถึงจะเกิดเป็นสมาธิ เข้าใจสมาธิไม่ได้ แต่ว่าสมาธิเขาไปแปลกันว่าสงบแบบหยุดนิ่งเฉยซึ่งมันไม่ใช่ สมาธิเป็นจิตที่แคล่วคล่องว่องไวปราดเปรียว เป็นผู้ที่มี ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
มุทุ เป็นจิตวิญญาณที่มีแคล่วคล่องว่องไวทั้งเวทนาสัญญาสังขารตาลืมรู้ หูได้ยินเสียงแล้วคล่องไปหมด ไม่ใช่ไม่แคล่วคล่อง แต่ในคิดอะไรไว ไปเที่ยวรู้จิตใจคนอื่นคนนั้นคนนี้มันไม่ใช่ทั้งนั้นเลย อาตมาก็สรุป จำกัด ความเป็นฌานให้ชัด ว่าฌาน คือพลังงานที่ทำให้เกิดการเผาไฟ ราคะโทสโมหะ เผาสำเร็จเมื่อไหร่ก็เป็นบุญเป็นความสำเร็จที่ชื่อว่าบุญคือการชำระกิเลส
บุญคือสันตานังปุนาติวิโสเทติ คือ ชำระกิเลสในสันดานให้หมดไปได้ต้องสร้างไฟฌานที่ไปกำจัดไฟราคะโทสะโมหะจนจิตใจสะอาด วิโสเทติ
บุญไม่ใช่เป็นเรื่องกุศล ไม่ใช่อย่างที่เข้าใจกันผิดๆ ว่า
จริงๆแล้วบุญไม่ตกผลึกเป็นธาตุอะไรด้วย
บุญจะเรียกว่าพลังงานในระดับ ไฟ ลม เป็นธาตุของน้ำของดินไม่ได้ จริงๆ อนุโลมว่าไฟลม แต่จริงๆแล้วเป็นพลังงานนามธรรม แต่มันละเอียดเท่านั้นเอง มันเป็นพลังงานเหมือนกับลมพัดแรงเหมือนไฟมันเผาแรง เอาเนื้อหาของลมของไฟเอามาใช้เท่านั้นเองแต่มันเป็นนามธรรม มันไม่ได้เป็นมหาภูตรูป มันเร็วยิ่งกว่าพลังงานปรมาณูทำงาน ปึ๊ด แล้วสลายไปเลยเหมือนระเบิดปรมณูทิ้งไปแล้วก็หายเลยระเบิดตูมแล้วก็หายไปเลย
_สมณะคิดถูก…อยากถามว่า เข้าใจถูกหรือไม่ ยกตัวอย่างพระเวสสันดรที่ ยกลูกให้กับชูชก ก็เป็นการทำทาน เสร็จแล้วพระเวสสันดรเห็นชูชกกระชากลูก ก็เลยเกิดโทสะ ไม่ชอบใจ แต่ว่า ขณะนั้นท่านก็ทำฌานแล้วเผากิเลสได้ ก็เกิดบุญ
พ่อครูว่า…กระชากลูกนี่ก็เขียนเติมเองหรือไม่นะ
มันก็อาจเกิดอาการอารมณ์ไม่ชอบใจขึ้นมาจะเรียกหยาบๆว่าโทสะก็อาจจะเป็น เพราะว่าท่านก็เป็นโพธิสัตว์อะไรก็ว่ากันไป อาจจะมีอาการที่ยึดถือในลูกเราลูกเขาอยู่ เป็นต้นก็เป็นไป อธิบายกันไป สู่รู้แผนพระเวสสันดรก็เยอะ
หากทำจิตให้เป็นฌาน ฌานก็เผากิเลส เผาก็เป็นบุญ ฌานคือพลังงานที่สร้างขึ้นเผาเสร็จก็เป็นบุญ
_ในชาดก กล่าวถึงกษัตริย์ที่ชื่อพรหมทัตในสมัยพระเจ้าปทุมุตตระ ขอเรียนถามว่า กษัตริย์ที่ชื่อพรหมทัตหรือพระพุทธเจ้าปทุมุตตระเป็นการสมมุติใช่ไหม ไม่ใช่ชื่อจริง
พ่อครูว่า…ชื่อจริงของแต่ละคน ในสมัยโน้น เหมือนชื่อทางด้านภาษาอังกฤษ เขาจะมีชื่อซ้ำกัน ไม่ได้มีภาษาเหมือนที่อาตมาตั้งนี้หรอก สมัยโน้นก็จะมีวนเวียนอยู่อย่างนั้นแหละ
_พ่อพูดถึงประชาธิปไตย เคยพาพวกเราไปไล่พวกเผด็จการรัฐสภา เมื่อมองในองค์กรชาวอโศกพวกเรา มีความซับซ้อนขึ้น หลายอย่างมีนโยบายที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อให้บ้านราชกลายเป็นสังคมต้นแบบให้ชาวโลกมาดูสถานการณ์ท้าทายวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ที่จะต้องมี ปรโตโฆษะ ใจกว้าง การเป็นผู้บริหารไม่จำเป็นต้องรู้ทุกสิ่งแต่จำเป็นต้องใช้คนเป็น เท่าที่ดูตอนนี้มีทั้งคนเก่าและคนใหม่ที่เห็นต่าง และนำเสนอสิ่งดีๆเพื่อองค์กร ทุกคนต่างเต็มไปด้วยความปรารถนาดีในจิตวิญญาณ ก็ไหนพ่อครูบอกว่า “ความขัดแย้งที่พอเหมาะจะทำให้สังคมเจริญ” ดังนั้นสังคมเราน่าจะมีการปรับตัวเปิดกว้างเปิดใจมากกว่าการชี้นำว่า คนเห็นต่างคนอยากพัฒนาบ้านราชฯคือคนที่สร้างความแตกแยก หาไม่พูดที่พูดชี้นำเช่นนี้จะกลายเป็นสร้างความแตกแยกกันเองเรื่องนี้พ่อท่านเห็นเป็นอย่างไร
พ่อครูว่า.ผู้บริหารที่มีลักษณะนี้ฟังไว้ เป็นสำนวนที่ว่ากันได้ ว่า เห็นความแตกต่าง ผู้ที่เห็นความแตกต่างโดยได้เรียนรู้ขึ้นมาแล้วก็แยกแยะกันให้ออกว่านั้นต่างอย่างที่ว่านี้ต่างอย่างไร แล้วก็เอาไปแก้ไขความต่าง สภาพความแตกต่างกันนี้ มันห้ามไม่ได้ มันจะต้องมีคววามแตกต่างกัน มีความขัดแย้งกัน
อาตมาถึงสรุปเป็นโศลกว่า ความสามัคคีคือความขัดแย้งที่พอเหมาะ ไม่มีอะไรจะเหมือนกันทั้งหมดเลย สามารถอนุโลมปฏิโลมเข้ากันได้บ้าง เห็นกันว่า ความต่างมันจะมีต่างกันเล็กต่างกันน้อยต่างกันบ้าง ใครไปติดใจอยู่ในความต่าง เสร็จแล้วก็เอาให้ได้ดั่งใจ ตามใจตัวเองให้ได้ มันไม่ได้หรอก อาตมาเอง อาตมารู้ดี อาตมารู้ถูกต้อง แล้วอาตมาอยู่กับพวกเราก็ต้องอนุโลม เพราะว่าคนรู้ดีที่สุดเท่าอาตมาไม่ได้ อาตมาก็ต้องเข้าใจกับคนนี้แล้วอนุโลมให้ทำขนาดนั้นขนาดนี้มันเป็นธรรมดา
ผู้ที่บริหารคนอื่นจะต้องเข้าใจความเห็นต่างถ้าเราแม้จะยึดถือว่าของเราถูกของเราดี คุณก็ต้องเห็นใจคนอื่นบ้าง แต่แน่หรือว่าของคุณถูกของคุณดีคุณอาจจะผิดก็ได้คุณเห็นต่างแล้วก็แย้งๆๆ ก็ต้องเข้าใจเขาเข้าใจแล้ว แล้วก็ต้องประนีประนอมกันบวกลบคูณหารทำเท่าที่ทำได้โดยมีหลักเกณฑ์ มันจะขัดแย้งกันพอสมควร ก็ต้องแย้ง
เป็นแต่เพียงว่าวิจัยวิจารณ์กันให้รู้ว่าคืออะไรแล้วเราก็ตกลงกันให้เป็นมติว่าจะเอาอะไรแค่ไหน แล้วก็เอาอันนั้นเป็นตัวหลักโดยมีหลักว่า ถ้ามันยากก็ต้องตัดสินด้วยการเอาคะแนนเสียงส่วนมาก ก็เป็นวิธีการที่ชัดเจนอยู่แล้วสังคมในยุคนี้เขาก็ทำ หากจะไปยึดถือตัวเองมั่นใจตัวเองมันก็ไม่จบ
_การที่มาฟังธรรมด้วยกันแล้วเพ่งโทษผู้อื่นพอเจอกันก็ถามว่า ใช้แป้งอะไรกลิ่นแรง พ่อท่านคะวันนี้ลูกอาบน้ำตอนบ่ายแล้วใช้แป้งเด็กแคร์ ตอน 13:00 น.ไม่ได้อาบน้ำแต่ญาติธรรมท่านดีเคร่งมาก พ่อคะคิดว่าคุณป้าคนนี้เป็นขั้นไหนคะ
พ่อครูว่า..ตอบไม่ได้เลย ไม่เก่งขนาดเอาเหตุผลแค่นี้มาเป็นขั้นไหน ตอบ..ตอบไม่ได้ จริงๆนะไม่ได้เล่นลิ้น ถามเหตุประกอบมานิดเดียว แค่การทาแป้งไม่ทาแป้ง
_ถ้าเราจับกิเลสได้แล้ว แต่เรายังไม่ทันได้พิจารณาแล้วก็หายก่อน แล้วจะทราบได้อย่างไรว่ากิเลสตายจริงหรือ หลบหายแล้วกลับมาใหม่ ถ้ามันไม่ตายจริงๆแล้วจะมีวิธีการให้เท่าทันอย่างไรก
พ่อครูว่า..ขณะมีผัสสะ กิเลสมันจะเกิดต่อเนื่องยังไม่หายไปไหน ดูอันนั้นก็พอแล้ว เมื่อเลิกสัมผัสแล้วมันก็หายไป เมื่อสัมผัสแล้วปุ๊บมันก็หายไป แต่ถ้าคุณสัมผัสต่อกิเลสตัวนั้นมันก็จะเป็นอย่างนั้นแหละอ่านใจตัวนั้นที่สัมผัสอยู่ คุณอ่านพยัญชนะเท่านั้นมาถาม แต่พฤติกรรมจริงๆคนเราสัมผัสอะไรแล้วมันก็เลิกเลยหรือ สัมผัสแล้วมันก็ต่อเนื่องกันแล้วกิเลสมันก็ต้องต่อเนื่องมาให้เรียนรู้ ดีแล้วพยายามจับสภาวะจากการเอาพยัญชนะที่เรียนรู้ไปปฏิบัติ
_ปัญญากับเจโต จะเกิดขึ้นพร้อมกันได้ในกรณีใดบ้าง
พ่อครูว่า…เราเข้าใจพยัญชนะคำว่าปัญญาอันหนึ่ง กับเจโตอันหนึ่ง เป็นภาษาที่ท่านเเยกไม่ได้เอาไปรวม ลักษณะอาการของปัญญาคืออะไร ลักษณะของเจโตคืออย่างไร เข้าใจให้ชัด ท่านแยกเป็น 2 อย่างท่านใช้ภาษา 2 คำ
ปัญญากับเจโตจะเกิดขึ้นพร้อมกันไหมมันจะต้องอยู่ด้วยกัน ภาษา 2 อย่างนี้แยกกันเพื่อให้รู้ว่าธาตุจิต หรือจิตธาตุตัวธาตุรู้ ธาตุจิตจริงๆแล้วมันไม่ได้มีความคิดความรู้ ตัวจิตจริงมันเป็นตัวเจโต หรือ เจตสิกแตกต่างจากจิตได้อีก เจโตกับจิตก็ใกล้กันยิ่งกว่าจิตกับเจตสิกกับจิตอีก
ส่วนปัญญานั้นเป็นอาการของจิต ถ้าเข้าใจอย่างที่อาตมาอธิบายมาแล้ว ปัญญาไม่ได้เกิดในคนง่ายๆ ในโลกียะหรือในโลกเทวนิยม ไม่มีธาตุรู้ขั้นปัญญาเลย โดยสัจจะความจริงแต่เดี๋ยวนี้ไปขี้ตู่เอาภาษาคำว่าปัญญาไปใช้เป็นความรู้สึกประหลาดซึ่งมันผิดหมด
ความรู้ทางโลกคือเฉโก แต่เขาไม่ใช่คำนี้ เพราะดูแล้วมันไม่เท่มันสู้ความรู้อย่างปัญญาไม่ได้เขาก็เลยเอาปัญญาไปเรียกความรู้ทั้งหมด ปัญญาก็เลยเละเน่าไปหมดไม่เป็นความหมายจริงๆที่เป็นสุดยอดโลกุตรธรรม
ปัญญานี้ต้องเป็นพลังงานที่กำจัดกิเลสได้ปัญญาเรียกว่าญาณทัศนะทำให้กิเลสดับได้เรียกว่าวิมุต เรียกเต็มๆภาษาชื่อสภาวะว่าวิมุตติญาณทัสสนะ หรือปัญญาที่รู้จักกิเลสหมดหลุดพ้นจากกิเลสวิมุต เป็นความรู้ที่ซ้อนๆขึ้นไป ก็ใช้พยัญชนะเหล่านี้สื่อสภาวะไปตามลำดับของสภาวะแต่ละสภาวะซึ่งต่างกัน สงสัยกันว่าจะเกิดพร้อมกันได้ไหม
ถ้าเข้าใจแล้วมันเป็นคนละลักษณะไม่ใช่เกิดพร้อมหรือไม่พร้อม ถ้าเป็นคนละลักษณะก็พร้อมกันไม่ได้แต่มันซ้อนอยู่ด้วยกันมันเป็นจิตเหมือนกัน
_ถ้าเราเกลียดใครสักคน เราจะทำอย่างไรเกลียดมากถึงมากที่สุด
พ่อครูว่า…คุณก็เลิกเสียจะไปเกลียดทำไม อาการเกลียดมันเป็นอาการอย่างไรก็อย่าไปทำอาการอย่างนั้น ถ้าเป็นอาการที่ชอบใจยินดี ถ้าหากใจเราทำอาการพอใจชอบใจยินดี แทนเกลียดได้ คุณก็จะไม่ทุกข์ ถ้าไปเกลียดมันก็จะทุกข์
คนเขาจะไม่ดีหรือเขาจะเป็นอะไรก็แล้วแต่เขาก็เป็นของเขา เราจะไปเกลียดไปรักเขาทำไม ไม่ต้องไปรักไปเกลียด ความสัมพันธ์กันด้วยถ้าเป็นกิจการกิจกรรมมีการสังสรรค์กันที่จะเป็นประโยชน์แก่กันและกันก็เอาสาระอันนี้ คนที่ยังเป็นโง่งมงายที่ยังเกลียดๆรักๆซวย มีอาการเกลียดอาการรักยังโง่อยู่ อวิชชาอยู่ในจิต หมดเกลียดหมดรักก็หมดอวิชชาบรรลุธรรม
_หากยังขี้บ่นจะทำอย่างไร
พ่อครูว่า..ต้องรู้อาการบ่น พูดมาก็คงจะรู้ว่าเมื่อไปบ่นมันไม่ดีมันเป็นขี้ ภาษาทางโบราณเขาเรียกว่า ชั่วคือขี้ ดีคือแก้ว
_ผมมีความสนใจในชุมชนอโศกมานานแล้ว พอดีมีโอกาสมีจังหวะได้มาสังเกตการณ์ในชุมชนอโศก มีข้อสงสัยข้องใจบางอย่าง
เท่าที่สังเกตเห็น
-
ชุมชนอโศกมีคณะกรรมการชุมชนเป็นผู้บริหาร คณะกรรมการชุมชนมีวิธีการคัดเลือกอย่างไรมีการเลือกตั้งหรือแต่งตั้ง มีอายุในการบริหารงานกี่เดือนกี่ปี สมณะนักบวชมีส่วนในการบริหารชุมชนมากน้อยเพียงใด
- ถ้าคณะผู้บริหารชุมชนทำสิ่งที่ผิดจะมีวิธีจัดการอย่างไร
- ถ้าคณะผู้บริหารชุมชนเป็นเผด็จการทางความคิดและผูกขาดความถูกต้องแต่เพียงฝ่ายเดียว ว่าต้องเป็นอย่างที่พวกเขาคิดเท่านั้น จะใช่จิตใจคับแคบไม่เปิดรับผู้อื่นในฐานะที่เป็นคนในชุมชนควรทำอย่างไร
- มีความต้องการหลากหลายเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติของชุมชนคณะผู้บริหารชุมชนมีวิธีบริหารจัดการอย่างไร
- คณะผู้บริหารชุมชนมีวิธีป้องกันคนในชุมชนหรือมีเพื่อบริการสนับสนุนชุมชนและช่วยบริหารให้ชุมชนไปในทิศทางที่เหมาะสม
- และท่านพ่อครูมีส่วนในการบริหารชุมชนมากน้อยเพียงใด
พ่อครูว่า…เป็นความใหม่ที่คุณเพิ่งมาสัมผัสปัญหาอย่างนี้จะมีเยอะ เพราะฉะนั้นก็ขอฝากไว้ให้คุณมาคบคุ้นกับเราให้มากกว่านี้หน่อยปัญหาจะลดลงเอง แต่ถ้าคุณมาใหม่ๆปัญหาคุณจะเยอะ ปกติมันเป็นเรื่องต่างกับชุมชนโลกเขามาก ๆ แม้แต่ที่พูดถึงนักบริหารเป็นหลักทั้ง 6 ข้อ
เขาบอกคนใหม่ว่าคุณเข้ามาในนี้อย่าเพิ่งไปเป็นผู้บริหารจงมาทำตัวเป็นผู้ถูกบริหารก่อนถ้าคุณมาในฐานะผู้บริหารคุณอยู่ไม่ได้หรอก ขอบอกเลยนะ เพราะว่าสังคมนี้ เฮี้ยนนะ
คนที่จะมาอย่างที่ประเภทเอาทางโลกมาเต็มที่ อยู่ไม่ได้หรอกยาก แล้วเข้าใจไม่ได้ด้วย เพราะฉะนั้นต้องพยายามอ่อนน้อมถ่อมตนมาอยู่ในนี้ แต่ถ้าขืนมาแล้วเพ่งโทษผู้บริหารเลย ทำยังไงเราจะได้บริหารเขาจะบริหารอย่างไรเราจะได้บริหารอย่างไรเสร็จแล้วนะ คุณอาจจะไม่คิดเช่นนี้แต่อาตมาบอกโดยรวม คุณไม่รู้ตัวว่าคุณถามมานี้จิตใจของคุณอยู่ในตำแหน่งนี้ คุณจะไม่รู้ตัวหรอกแต่อาตมารู้ เท่านั้นเอง
ไม่ตอบหรอกรายละเอียด
ถ้าตอบแล้วจะยาวเพราะว่าในระดับผู้บริหารแล้วไม่ง่าย
_สวรรค์ชั้นดุสิตกับแดนสุทธาวาสคือที่เดียวกันหรือไม่
พ่อครูว่า..หากเข้าใจสภาวะแล้วสวรรค์ชั้นดุสิตหรือสุทธาวาสก็ตาม มันคล้ายกันหรือมันซ้อนกันที่นั่นแหละมันเป็นสมมติของผู้ที่จะสมมุติภาษาขึ้นมาเรียก สมมุติภาษาขึ้นมาด้วย ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่มีของจริงสักอย่าง สวรรค์ก็ไม่มีดุสิตก็ไม่มีที่สมมติขึ้นมานั้นเป็นอารมณ์จิตของคนที่ยึดมั่นถือมั่นว่ามันมีสวรรค์ จะแปล สวรรค์ว่าคืออารมณ์สุขแยกย่อยไปอีกว่ามีสวรรค์ 6 ชั้น
อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว มี 1.สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ 2.ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ 3.สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ 4.อิมํ เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ
อันที่ 2 ดาวดึงส์ คือ ทำทานเพราะว่าเห็นว่าเป็นความดี อันที่ 3 ยามา คือ ทำทานเพราะเพื่อเป็นประเพณี อันที่ 4 ดุสิต คือทำทานเพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารเองไม่ได้ อันที่ 5 นิมมานรดี คือทำทานเพราะทำตามฤาษีใหญ่ๆ อันที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทานเพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ(อตฺตมนตาโสมนสฺสํ) อันที่ 7 สหายแห่งพรหม คือทำทานอย่างมี จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ (ต้องทำปุญญาภิสังขาร ทำทานเพื่อลดกิเลส)
มันมีมาก่อนแล้วก่อนศาสนาพุทธจะเกิดด้วยมันมีในไตรภูมิพระร่วง มีก่อนไตรภูมิพระร่วงอีกมีในศาสนาพราหมณ์ มันมีภาษาเรียกว่าพระเวทย์มันมีอยู่ สาเหตุก็คือความรู้ต่างๆสรุปแล้วมันเป็นภพเป็นชาติ สวรรค์ก็ดีชั้นดุสิตก็ดีมันเป็นภพเป็นชาติ เข้าใจให้ได้ว่าคุณอย่าไปยุ่งกับมันไม่ต้องไปมีสวรรค์ คุณอยากจะมีอารมณ์สุข คุณล้างเหตุแห่งทุกข์ สุขก็หายสวรรค์ก็หาย
อย่าไปติดยึดสวรรค์ดุสิต เป็นตัวเป็นตนเป็นเรื่องลิเกละครทั้งนั้น
_ดิฉันเข้าใจว่ามโนมยอัตตา มี 2 แบบใช่หรือไม่คะ แบบหลับตา กับแบบลืมตา แบบไหนตกนรกลึกและร้ายกว่ากัน
พ่อครูว่า..ใช่ แบบหลับตานั่นแหละความรู้สึกและงมงายกว่าแล้วไม่รู้เรื่องมืดดำ ต้นแบบลืมตานั้นอธิบายกันได้พบกับคนนั้นคนนี้ได้ ไปหลับตานั้นอยู่คนเดียว ปั้น นิรมาณกาย คนอื่นจะไปสัมโภคกายด้วยก็ไม่ได้ ถ้าพวกเดียวกันก็ทำพวกเราร่วมกันแล้วเป็นเรื่องที่ต่างคนต่างตาบอดอาทิสมานกาย ต่างคนต่างปั้นของตัวเองไม่เห็นของกันและกัน
_คนที่ตายในขณะเกิดมโนมยอัตตาจะตกนรกลึกเหมือนกับการฆ่าตัวตายหรือไม่
พ่อครูว่า..เหมือนการฆ่าตัวตายนั้นแหละ อัตวินิบาต
_คนมักพูดกันว่า ปฏิบัติธรรม กรรมแตกธรรมแตกคืออาการของมโนมยอัตตาใช่หรือไม่
พ่อครูว่า..ใช่ เป็นการสร้างภพชาติขึ้นมางมงายจนจริงจังเกิดยึดถือมากก็เลยบ้าเรียกว่ากรรมแตก ธรรมแตก
_พ่อครูเห็นด้วยหรือไม่ว่าสาเหตุที่มีส่วนทำให้เกิดมโนมยอัตตา
1วิตกกังวลคิดฟุ้งซ่าน 2 ตัณหาล้ำหน้า 3ที่ร่างกายจิตใจอ่อนแอคิดอะไรวนเวียนซ้ำอ่านพัฒนาไม่เป็นจึงเกิดการสั่งสมกิเลสมากเข้าขึ้นทุกวัน จนจิตกผลึกสังสมอุปทานเป็นมโนมยาอัตตาที่เป็นภาพหลอนของจิตที่สั่งสมความอยากหยาบไว้มากๆเข้า พอถึงจุดๆหนึ่งก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้แล้วก็แสดงออกมาทางกายกรรมวจีกรรม ตามที่จิตใจตนเองต้องการ สั่งสมไว้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อนักปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก
พ่อครูว่า…ถูก ถ้าเข้าใจแล้ว ว่า อัตตาคือมโนมยอัตตาคือรูปที่สำเร็จด้วยจิตอย่างมีปัญญารู้ว่าทุกคนก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ขึ้นมาด้วยจิต แล้วก็เป็นสภาพนั้นๆ สภาพที่เป็นนี่แหละถ้าเราไม่รู้เราก็ยึดถือเป็นตัวเป็นตนเรียกว่าอัตตา ถ้ารู้สิ่งนั้นตามจริงเป็นจริง ก็เรียกว่าไม่มีอัตตา
แต่มโนมยอัตตา คือสำเร็จในจิต คุณสำเร็จอะไรมันก็มีขึ้นมาได้ถึงแล้วคุณถ้าไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นเราเป็นของเราเป็นอัตตา แต่คุณก็รู้ว่ามันเกิดเป็นอันนี้ขึ้นมาแล้วคุณก็พยายามปฏิบัติอย่างรู้ว่ามันเกิดมันมีมันเป็น ตามสภาพจริงของมัน คุณก็เอาอันนั้นมาทำงานได้อย่างไม่มีปัญหา
_เยาวชนใต้ร่มโพธิ์..ทำอย่างไรเราจะเลิกอคติกับคนอื่น
พ่อครูว่า..คนมีอคติกับอาตมาซวย อคติ คือลำเอียงด้วยกิเลสว่าไม่ชอบ หรือลำเอียงได้ติดใจที่ชอบ หรือจิตที่มันเงอะงะโมหะสับสน มันก็ลำเอียงแน่หรือกลัว ภยาคติ มันมี อะไร
-
พ้น ฉันทาคติ (ไม่ลำเอียงเพราะ รัก)
-
พ้น โทสาคติ (ไม่ลำเอียงเพราะ ชัง)
-
พ้น โมหาคติ (ไม่ลำเอียงเพราะ หลงผิด)
-
พ้น ภยาคติ (ไม่ลำเอียงเพราะ กลัว)