620805_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 61
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1MIL5Wvr5-mIqKRyHJDxw7jI5ZXEf46cAEKwDYsbcoFs/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=16mnZKXYIHiL7P4jenrC-U1V7vhjucZcz
พ่อครูว่า…ทุกๆคนตอนนี้สำมะปี๋ซี่วิต เข้าสู่รายการแล้ว วันนี้วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 5 ค่ำเดือน 9 ปีกุน อาตมาก็ 85 ปีสองเดือน โพธิกิจ วันที่ 7 พ.ย. 2517 มาถึงปีนี้ 2562 รวมแล้ว 45 ปี 8 เดือน 28 วัน ก็กาลเวลาก็ไม่คดไม่โกง ซื่อสัตย์ที่สุด เดินไปวันแต่ละวันวินาทีต่อวินาทีไปวันต่อวันไม่มีคดโกง ซื่อตรงมาก ถ้าหากคนเราทำให้ตรงอย่างกับเวลาที่เดินยอดเยี่ยมเลย เมืองไทยเราตอนนี้ก็จะปรับตัว เข้าเป็นผู้ที่มีศีลมีธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตดีขึ้นๆๆ เรื่อยๆ ซึ่งมันก็น่าอนุโมทนาสาธุ คนเรามีพัฒนาการสำหรับชีวิตสังคมมนุษยชาติ ก็มีอัตราการก้าวหน้าใช้ได้ทีเดียว ซึ่งก็อบอุ่นใจดี เมืองไทยเราอาตมาก็มั่นใจอยู่ว่า เราจะเป็นมหาอำนาจทางด้านศีลธรรม เป็นมหาอำนาจทางด้านคุณธรรมทางจิตวิญญาณ เพราะว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ อาตมามั่นใจว่าเป็นความจริง ในด้านของจิตวิญญาณคนไทยนี้มีพื้นฐานมีอนุสัยพูดให้ชัดๆลึกๆ อนุสัยคือจิตที่อยู่ในก้นบึ้งซึ่งเลวก็ได้ดีก็ได้ ผสมให้มันควบแน่นลงไปก็เป็นอนุสัยได้ พระอาริยะพระอรหันต์ก็สั่งสมอนุสัยในส่วนดี อย่างอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ก็ชัดเจน สืบทอดเจตนาสั่งสมมาหลายปางมาจนถึงยุคนี้ ก็มีอนุสัยนั้นติดมาเป็นฐานของจิตมา มันเป็นของจริง ซึ่งไปขโมยเอาของใครมาไม่ได้ แบ่งเอาของใครมาไม่ได้ตนเองทำก็ติดตัวมาติดอัตภาพมาเรื่อยๆ จนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน ธาตุอัตภาพนี้จึงแตกสลาย เป็นอุตุธาตุไม่จับตัวเป็นจิตนิยามอัตภาพนั้นก็หายไป ในมหาจักรวาลนี้คนผู้นั้นก็ไม่มีอยู่หายไปเลยแม้แต่เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็หายไป ซึ่งมีคนบ่นว่า ทำไมหายไปเสียดาย แหมสร้างมาได้ติดวิญญาณอัตภาพที่ดีเยี่ยมก็หมุนเวียนมาเกิดเพื่อจะช่วยโลกอีกสิ แล้วจะไม่ให้หยุดเลยหรือยังไง คนเราทำมากี่ล้านๆๆชาติ แล้วจะเลิกเป็นตัวท่านเองบ้างไม่ได้หรือไง มันก็มีกาละที่ท่านจะเลิกตัวเอง อุจเฉททิฏฐิว่า อรหันต์ตายแล้วจะต้องสลายไปเลยนี่คืออุจเฉททิฏฐิ เราเข้าใจผิดบรรลุอรหันต์แล้วถ้าร่างกายตายเมื่อใด อรหันต์ชาติเดียวสูญ
อาตมาก็ย้ำให้ฟัง มิจฉาทิฏฐิข้อนี้ตัดโคตรของศาสนาพุทธเลย ถ้าหากว่าอรหันต์ทุกองค์เป็นแล้วก็ตายไปเลยเหลือแต่อนาคามี อนาคามีเป็นพระอรหันต์ไปก็ต้องส่งอีก ก็ต้องน้อยลงไปอีกแล้วแต่สกิทาคามีมาต่ออายุศาสนา แล้วก็น้อยลงไปอีกเหลือแต่โสดาบัน ศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์มีกัปของแต่ละช่วงของศาสนาพุทธ ถ้าไม่ถึงเวลาก็ยังไม่เกิดมีผู้สืบทอด พระสมณโคดมตายไปไม่มีปัญหา ไม่มีผู้สืบทอด อาตมา ต้องพยายามมาประเมินคำนวณให้มันถึง 5000 ปี
_วางสุข จึงสิ้นทุกข์ · คนทั่วไปฟังภิกษุชรา ผิดถูกก็ไม่สนใจไม่อยากถือสาเอาความ แต่พ่อท่านไม่มีร่องรอยของความชราในคำพูด เขาจึงอยากตอแยด้วย…อีกแง่หนึ่งครับ กราบนมัสการด้วยความเคารพครับ
สื่อธรรมะพ่อครู(เทวะ อเทวะ) ตอน ตายไปแล้วไปอยู่กับพระเจ้านิรันดรมีสภาวะเช่นไร
_วาส ทองจันทร์ · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งครับ ผมพยายามทำตามปฎิบัติตามที่พ่อครูสอนอยู่เสมอ และไม่สงสัยในคำสอนที่พ่อสอนใด ๆ เลยครับ วันนี้มีคำถามเกี่ยวกับศาสนาเทวนิยมครับ ตามความเชื่อที่เขาเชื่อว่าเมื่อตายแล้วเขาจะได้ไปอยู่กลับพระเจ้านิรันดรนั้นมันเป็นจริงไหมครับ ถ้าจริงมันมีสภาพยังไงครับ
พ่อครูว่า…ไม่สงสัยแต่ทำไมมีคำถาม เอาให้ดีๆระหว่างพยัญชนะกับสภาวะเอาให้มันตรงกัน
ตอบอันหลังก่อน ถ้ามันเป็นจริง มันมีสภาพอย่างไร? อาตมาไม่รู้ครบ เพราะอาตมาไม่ได้ตกสภาพที่ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้าไม่มีเวียนเกิด อาตมามีเวียนเกิดเวียนตาย อธิบายไปแล้วแม้กระทั่งจะไปเสียเวลาจมอยู่ในสุทธาวาส 5 อาตมาสายพระสมณโคดม ไม่ไปเสวยสุขอยู่ในสุทธาวาส 5 ชั้น อาตมาไม่เอา ตายแล้วเกิดมามีสภาพเต็มที่ สุรภาโว สติมันโต อิทพรหมจริยวาโสดีกว่า การไปเสพสุขอยู่ในวิมาน จิตอย่างนั้นมันก็เป็นการเสพสุขชนิดหนึ่ง เป็นเศษของภพชาติที่เป็นรูปภพอรูปภพ คุณจะไปเสพสุทธาวาสอรูปภพ ก็จะอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้ามีปัญญาเข้าใจว่าอย่าไปติดภพชาติจะไปจมอยู่ทำไม
อาตมาว่าอยู่นิรันดรจะไม่เบื่อหรือ จะมีงานอะไรให้ทำ มันจะไม่เบื่อเหรอสบายๆตามที่จินตนาการกัน มันจะไม่เลี่ยนแย่หรือ ตายๆๆ นี่เป็นตรรกะ เชิงคิดคำนวณไป มันจะจริงหรือไม่จริงอาตมาก็ไม่รู้บอกไม่ได้เพราะว่าอาตมาไม่ได้ติดยึดจมอยู่ในภพนั้น ภพนี้ อย่างไว่า ยิ่งภพนิรันดรอาตมาไม่เคยเห็น
ถ้าหากคิดว่าสวรรค์นิรันดรแบบเทวนิยมมีจริงก็ไปปฏิบัติสายโน้นเลย อาตมาเป็นชาวพุทธก็รู้ว่ามันไม่จริงหรอก เพราะว่าการศึกษาเขายังไม่พอเกิดชาติเดียว ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้ามีความรู้สั้นแค่นี้มีการหมุนเวียนแค่ชาติเดียว แล้วกับคนที่ศึกษามาเป็นล้านชาติแล้วยืนยันอะไรมันจริงมากกว่า คุณไม่ได้เรียนทั้งชั่วดีให้ชัดเจน ทำชั่วก็ต้องตกนรกทุกข์ ดีก็สบายขึ้นสวรรค์ มันก็ต้องมีอันนั้นชัดเจน แล้วคุณก็มีชั่วไม่รู้เท่าไหร่แต่ว่าประจบพระเจ้าเอาได้ไปสวรรค์ แต่คุณก็ไม่รู้ว่ามันจริงหรือเปล่า คุณก็ต้องพิสูจน์ไปอีกหลายล้านๆ ชาติ จนไม่ทำชั่วเลย ทำแต่ดี ชาตินี้อาตมายียวนแต่ไม่มีใครมาชกปากอาตมาเลย แต่ที่พูดนี้ไม่ได้ยั่วให้คนมาทำนะ ที่สันติอโศกตอนนั้นเขามายิงก็ยิงไม่ออกก็เลยต้องกลับไปเอง
อาตมาพาพวกคุณมาพิสูจน์ทวนกระแสสังคม คุณมีสิทธิ์มีเงินหาเงินได้ แต่ไม่ใช่ว่าที่นี่เป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอกไม่มีความรู้ความสามารถ แต่เคยรวยเคยสะสมเอาเปรียบเอารัดเขามาได้มากทั้งนั้น แต่เสร็จแล้วไม่เอาทั้งนั้น เอาเปรียบเอารัดก็ทำอย่างสุจริตตามกฎเกณฑ์สังคมด้วยตามสาระสังคม แต่เอาเปรียบได้ตามกฎเกณฑ์ที่สังคมอนุญาต จะเสร็จแล้วเราก็ไม่เอาแล้ว ทำให้ตัวเองเป็นคนมักน้อยเป็นคนศูนย์ไม่เอาเปรียบเลย มีแต่มาเสียสละด้วย แล้วเราก็อยู่ได้สบายพออยู่พอกิน คำว่าสันโดษมันพอมีเท่านี้ก็พอกินเท่านี้ก็พอใช้เท่านี้ก็พอ ตัวสันโดษตัวพอนี้ยิ่งใหญ่มากจิตวิญญาณมนุษย์มันรู้จักพอ เพราะฉะนั้นไปพูดกับพวกที่รวยไม่รู้เสร็จมันพูดกันไม่รู้เรื่องเลย อยากรวยไม่รู้จบอยากมีอำนาจไม่รู้จบพวกนี้พูดอย่างไรก็ไม่พอ อำนาจมันก็ไม่พอเงินทองก็ไม่พอเสพกามมันก็ไม่พอ นอนได้นอนดีมันก็ไม่พอ รูปรสกลิ่นเสียงมันก็ปรุงแต่งจัดจ้านอย่างไม่รู้จักพอ จะไปพูดกับเขารู้เรื่องไหม มันไม่รู้เรื่องหรอก
เพราะฉะนั้นคำว่าสันโดษคำว่าพอจึงเป็นฐานที่ยิ่งใหญ่ ที่จะได้อธิบายกันในสามัญญผลสูตร
1. สำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ 2. สำรวมสังวรอินทรีย์อันเป็นอาริยะ 3. มีสติสัมปชัญญะเป็นอริยะ 4. มีความสันโดษอันเป็นอาริยะ 4 หลักนี้จะได้อธิบายกันไปอย่างสำคัญเลย ถ้าเผื่อว่าคุณได้ 4 ภาพนี้เป็นพระอริยะชั้นสูงได้เป็นอรหันต์แน่นอน ถ้าคุณทำถูกต้องตามเหตุปัจจัยนี้เป็นอะไรกันแน่นอน
ทางเรานี้จ้างให้คุณก็ไม่จบที่สวรรค์แล้วไม่ไปไหนวิบากของคุณจะต้องพามาให้เกิด ถ้าทำให้วิบากเลวร้ายมากป่านนี้ยังไม่โงเงยจากวิบากที่เลวร้ายเลย วิบากดีของคุณบางคนก็อาจหมุนเวียนอีกตกต่ำอีก เพราะมันมีแต่ชั่วแต่ดีมันก็แข่งกันทำดีให้มากแล้วมันก็ประมาทมันก็ลืมเลือน เลอะมันก็หลงตัวเอง สิ่งเหล่านี้เป็นอวิชชาที่ซ่อนอยู่ในความดีความชั่วทั้งนั้น ความดีความชั่วนั้นคืออวิชชามันซ่อนให้คุณผิดจากความดีแล้วก็มาชั่ว อวิชชานี่แหละมันเป็นตัวไม่เที่ยง นึกว่าคนมีความเที่ยงแต่ที่จริงแล้วมันมีอวิชชาทำให้ไม่เที่ยง
อวิชชามันเป็นความรู้ที่ไม่เที่ยงมันก็เอาแต่รู้เอาชนะเดี๋ยวมันก็ไปอวิชชาใหม่เพราะอวิชชาเป็นต้นตอ มันไม่มีวิชชานะ สำหรับอวิชชาโลกีย์ ต้องมาเรียนรู้ศาสนาพุทธจึงจะมีความรู้ใหม่ที่เรียกว่า วิชชา เป็นความรู้ อัญญธาตุ ไม่ฉะนั้นเราต้องวนอยู่อย่างนี้ไม่รู้กี่ล้านชาติ ต้องมามีจริงจึงจะเป็นอย่างนี้ได้จริง
อาตมาทำงานโพธิกิจมา 48 ปี 8 เดือน 28 วันกำลังจะเต็ม 49 ปีในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2562 พอขึ้นเต็ม พ.ย. 2563 ก็เต็ม 50 ปี พอถึง
สื่อธรรมะพ่อครู(พระวินัย) ตอน ออกบวชไม่ใช่แค่โกนหัวห่มจีวร
_Thailand in. Chinese 17 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ผมฟังคลิปนี้จนจบอยากฟังท่านวิเคราะห์สามัญญผลสูตรตรงนี้ครับ..คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีฟังธรรมแล้วเลื่อมใสออกบวชประพฤติพรหมจรรย์สมบูรณ์ด้วยศีลสำรวมอินทรีย์คือตา.หู.จมูก.ลิ้น.กาย.ใจ.มิให้บาปอกุศลเกิดขึ้นท่วมทับจิต มีสติสัมปชัญญะ.มีความสันโดษ ยอนดีด้วยปัจจัยสี่ตามมีตามได้..ออกป่าบำเพ็ญสมาธิ ละกิเลสที่เรียกว่านิวรณ์ห้าเสียได้จนบรรลุฌานที่1. 2. 3. 4. น้อมจิตไปเพื่อญาณทัสสนะว่ากายมีความแตกไปเป็นธรรมดาวิญญาณก็เนื่องอาศัยในกายนี้..บรรลุมโมยิทธิ..อิทธิวิธิ..ทิพโสตะ.เจโตปริยญาณ.ปุพเพนิวาสานุสติญาณ..และสุดท้ายคืบรรลุอาสาวักขยญาณ.จบกิจของมนุษย์..อยากฟังว่าท่านจะวิคราะห์ว่าอย่างไร.แต่ท่านก็อ่านพระสูตรให้ฟัง.ผิดหวังครับ..ที่ว่าออกป่าบำเพ็ญสมาธิคืออย่างไร..สำรวมตาหูจมูกลิ้นกายใจคืออย่างไร…
พ่อครูว่า…ออกบวชของคนผู้นี้ก็คือมานุ่งผ้าจีวรมาโกนหัวนั่นคือออกบวช ซึ่งออกบวชอย่างนั้นมันก็จะเป็นเพียงแต่บัญญัติภาษาพิธีรูปแบบเท่านั้น พวกเราอธิบายไม่มีปัญหาอะไรอรหันต์ของเรา ฆราวาสของเราก็เป็นพระอรหันต์กันตั้งหลายคนเผากันไปหลายคนแล้ว คุณก็ต้องศึกษาให้ดีหน่อยอรหันต์ ธรรมะพระพุทธเจ้าที่เป็นมรรคผลเป็นอย่างไร
การออกบวชของเขาต้องหมายถึงเอาร่างกายมาเข้าพิธีผ่านพิธีบวชแล้วก็มานุ่งห่มจีวรโกนผมมีรูปแบบตามสมมุติ ของเราเองไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้ปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาให้ถูกและผลของจิตมันจะลดกิเลสได้จริงเป็นได้จริง เป็นฆราวาสนี่แหละปฏิบัติเนกขัมมะ เนกขัมมะคือการออกจาก คือการงดเว้น เลิกจริงๆมันก็จะเกิดเนกขัมมะ ออกจากเลิกหยุดพฤติกรรมที่เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ มันจะเลิกมันจะหยุด ที่จิตของตนเองที่เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์มันก็จะเลิกมันก็จะขาดสนิทได้จริง จิตมันดับได้จริงแล้วกายกรรมวจีกรรมมันก็ได้ด้วยเพราะจิตใจเป็นประธาน มันขาดได้แล้ว เพราะฉะนั้นกายกรรมวจีกรรมมันก็ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน ต้องมีบารมีพอจึงมาสู่โลกุตระได้
_ภูเลิศ…สืบเนื่องจาก ป้าร้อยร่มบุญ ทำงานปฏิสันถาร ว่าเราก็น่าจะไปเช็คแฮนด์กับโรงเรียนที่อยู่รอบๆบ้านเรา เราก็ได้ไปมา 4 โรงเรียน ผมก็ได้ช่วยถือของไปด้วย โรงเรียนบ้านกุดระงุมโรงเรียนบ้านเทพพิทักษ์(โรงเรียนคริสต์) โรงเรียนบ้านวังกางฮุง และโรงเรียนบ้านกุดปลาขาว 4 โรงเรียนนี้ที่เหมือนกันคือทุกคนยินดีมากที่เราไปทักทาย ทุกคนก็อยากทำกิจกรรมร่วมกับเราอยากมารู้จักอโศกให้มากขึ้น สองคือพอเราพูดถึงสไลเดอร์หรือสวนน้ำของเรา ไม่มีเด็กคนไหนในโรงเรียนที่ไม่เคยมาทุกคนยกมือหมด ไม่มีใครไม่รู้จักพระปาง I love you คือ พระพุทธาภิธรรมนิมิต อันนี้คือทุกคนใน 4 โรงเรียนที่เห็นตรงกันหมด คือมาอีกอันหนึ่งคือ ที่แปลกคือว่า ทั้ง 4 โรงเรียนนี้จำนวนนักเรียนเขาน้อยลง ลดลง สาเหตุก็คือว่า มันมีระบบเรื่องเกี่ยวกับการแย่งตัวเด็กไปเรียน มีโรงเรียนมาโฆษณาให้มาเรียนต่อมีการให้หัวคิว ว่าถ้าได้เด็กคนนี้เหมือนขายประกัน ทำให้บางโรงเรียนมีนักเรียนน้อยมากเช่นโรงเรียนบ้านกุดปลาขาวมีนักเรียนเหลือแค่ 12 ถึง 13 คนมีครูอยู่ 3 คน สภาพมันเศร้ามาก คำว่าโดนโรงเรียนที่มีค่านิยมว่า เรียนโรงเรียนนี้สิสังคมถึงจะยอมรับ ทุกโรงเรียนจะถามว่าทำไมโรงเรียนสัมมาสิกขาไม่มาโฆษณาที่โรงเรียนเขาบ้าง เขาไม่รู้ว่าจะเข้ามาติดต่ออย่างไร แล้วก็ ทุกคนจะพูดเหมือนกันหมดว่า พอพาเด็กมาเล่นน้ำเสร็จแล้วไม่รู้จะคุยกับใครต่อไม่รู้ว่าจะรู้จักชาวอโศกได้อย่างไร เท่าที่คุยมาก็สรุปว่า เขาอยากรู้จักเรามาก เราก็ได้โอกาสออกไปเช็คแฮนด์กับเขาก็มีความยินดี มีประโยคที่แปลกที่ทั้ง 4 โรงเรียนพูดเหมือนกันว่า ใกล้เกลือกินด่าง พวกเราว่าพวกเขาเหมือนใกล้เกลือกินด่างทำอย่างไรจะกินเกลือได้จริงๆไม่ต้องกินด่างพ่อครูมีอะไรแนะนำก็ช่วยด้วย
พ่อครูว่า..เขาเป็นคนใกล้เกลือกินด่างเขาพูดถูก เพราะว่า
1. บารมีเขายังไม่ถึง เขาก็ได้แต่ใกล้เกลือกินด่าง เขาก็ไม่รู้ว่าจะมากินเกลือกับเราได้อย่างไรเขาก็ได้แต่กินด่างกับเขาอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะว่าเขาเองเขาไม่รู้จะกินอย่างไรเกลือมันกินได้ด้วยหรือ ก็ดูท่าทีมันดีนะ แต่เขาก็ไม่มีบารมีไม่มีแรงไม่มีอะไร เขาก็ไม่เข้ามา ก็จะให้ไปให้เขารู้โดยไปบอกมันไม่ชัดหรอก เขาต้องมาสัมผัสที่นี่ เราก็ไม่ได้มีการปิดบังไม่มีรั้วอะไรเลย เปิดให้มา แต่เห็นไหม บารมีของคนมันไม่ได้ ขนาดใกล้ๆยังมาไม่ได้ ป่วยการถึงคนที่อยู่ไกลเลยมันจะได้อย่างไร เรื่องเหล่านี้มันลึกซึ้ง ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้ว่ามันจะเป็นได้ง่ายๆ แปะๆปะๆไม่ได้ ทำไปเถอะ ก็เราจะขยันเชื่อมต่อก็เป็นเรื่องดีที่จะทำให้เกิดการขยายผลไปบ้าง แต่การขยายผลไปนั้น คนที่อยู่ข้างนอกนี่ ผู้จะมาได้ต้องมีบารมี เราจะไปตามหาลูกหลานไปตามหาคนที่ไม่มีบารมีไม่มีทางมาได้หรอกป่วยการกล่าวไปถึงคนที่อยู่ห่างไกลจนไม่รู้เรื่องว่ามีด้วยหรือแบบนี้ หรือว่าภูมิปัญญาไม่มีเลยแม้จะมาสัมผัสแล้วก็ไม่รู้ เหมือนกับปริพาชกที่พบพระพุทธเจ้า ถามหาว่าจะไปหาพระพุทธเจ้า พอบอกว่าเราเป็นพระพุทธเจ้าก็แลบลิ้นใส่แล้วไปเลย อย่าว่าแต่ฟังธรรมะทั้งคืนอย่างกามนิตเลย หรือภิกษุในตำนานซึ่งเขาเอาไปเขียนเป็นนิยาย คุยกับพระพุทธเจ้าทั้งคืนตอนเช้าก็ขอไปตามหาพระพุทธเจ้าต่อ คุยสนุกมากทั้งคืนแต่อย่างใดก็ขอเดินทางไปหาพระพุทธเจ้าต่อ พระพุทธเจ้าจะว่าอย่างไรเพราะเขาไม่ได้รู้สึกเลยเราจะไปบังคับเขาได้อย่างไร เขาก็ชอบใจแล้วนะพอใจแล้วนะสนุกมากยินดีมาก แต่ไม่เอา จะไปเอาตามที่ทิฐิของเขาเห็น ก็ต้องปล่อยเขาไปก่อน ขนาดพระพุทธเจ้ายังไม่รู้เลย ก็เรานี่แหละพระพุทธเจ้าจะไปไหน มันข่มเขาโคขืนให้กินหญ้าไม่ได้หรอก ภูมิเขามีแค่นี้แหละพระพุทธเจ้าจึงบอกว่ายากจะไปสอนคน
อย่างนั้นอาตมาถึงไม่ได้ไปหลอกล่อไม่ได้ไปหาเสียง แล้วพวกนี้จะได้มาก ก็ขนาดนี้อาตมาก็เมื่อยแล้วขนาดเป็นเด็กและผู้ใหญ่ที่เข้ามาเองตามบารมี ก็มีบารมีทั้งนั้นไม่อย่างนั้นเข้ามาไม่ได้หรอกนี่คือสัจจะ
คุณThailand in. Chineseยังติดอยู่ในการนั่งหลับตาสมาธิอยู่มันจะเป็นการปฏิบัติในภพไม่ได้บรรลุหรอก ยิ่งเข้าใจว่าจะเป็นพระอรหันต์ต้องไปบวช ฆราวาสไม่มีทางบรรลุอรหันต์ได้หรอก ขนาดเชื่อว่ามาบวชแล้วถึงบรรลุอรหันต์และคุณมาบวชหรือยัง ถ้ามาทางนี้คุณก็ต้องมาอย่างน้อยก็ต้องมาบวชที่นี่มาให้บวชได้ง่ายๆนะ คุณจะพอมาเป็นนักบวชของชาวอโศกได้หรือ มาลองดูสิ จะบวชทางโน้นคุณก็ยังไม่บวชเลย บวชประเภทมีอุปัชฌาย์กับชุดก็บวชได้แล้วไม่ยากเย็นอะไร ก็ลองดูสิคุณก็ยังไม่ลองเลย ทางนี้อาตมาว่าเขาไม่ได้ให้คุณบวชทันทีหรอกคุณจะมีค่าอุปัชฌาย์อย่างไรก็ตาม จะจ่ายแล้วได้บวชไม่มีทางหรอก ต้องมาเป็นผู้ปฏิบัติ ปะ นาค เณร จนได้เป็นสมณะ แต่ละขั้นๆ รับรองว่า เอ็นสะท้าน
ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรเพราะสภาวะที่อาตมาสื่อก็ยังไม่เก่งจะอธิบายให้ถึงธรรมะ 2 ระหว่างพยัญชนะกับสภาวะ มันกลับไปกลับมา
ถ้าไม่บรรลุเป็นปัจจัตตังก่อนไม่มีทางเจริญได้เลยต้องเอาตัวมาปฏิบัติจึงจะเกิดบรรลุเป็นปัจจัตตัง คือ ปัจจะ กับอัตตะ
ปัจจะคือแสงสว่าง ความรู้ กับตัวเรา อัตตา ต้องเข้ามาทำให้ได้เป็นของตัวเราเองเสียก่อนเริ่มต้น อัญญธาตุ เริ่มต้นเป็นพระโสดาบันจากศีลข้อที่ 1 ก่อนศีลข้อที่ 2 ศีลข้อที่ 1 เรื่องเกี่ยวกับสัตว์นั้นหยาบกว่า ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับพืชเกี่ยวกับข้าวของ ส่วนข้อที่ 3 ตาหูจมูกลิ้นกายนั้นยากกว่า 2 ข้อแรกอีก เรื่องของกามคุณ 5
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มาทดสอบเป็นเบื้องต้นอย่างจริงจังแยกแยะปรมัตถสัจจะกับสมมติสัจจะไม่ใช่ง่ายๆหรอก เพราะสัจจะก็อย่างหนึ่งธรรมะก็อย่างหนึ่ง สมมุติสัจจะกับสมมุติฐาน ปรมัตถสัจจะกับปรมัตถธรรมก็คนละเรื่อง
คุณเรียนรู้ที่เป็นสัจจะก็ได้สมมติสัจจะเป็นบัญญัติอย่างไรก็เรียนรู้ได้ เป็นเรื่องของบัญญัติภาษา แต่คุณต้องเกิดสภาพ ธร หรือธรรมะ ทรงไว้ในจิตของเราเองจิตของเราต้องเกิดสภาวะเป็นปัจจัตตังขึ้นมาเองมันจะถึงจะเป็นการทรงไว้ ต้องปฏิบัติต้องเรียนรู้จนได้ จาก ปัจจัตตัง มาเป็นปัจเจก มาเป็นสยังอภิญญา สยัมภู ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ และอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
_ฟังฝน…หมากพลูบุหรี่ ของแปลกสำหรับบ้านราชฯ
วันนี้วันอาทิตย์(4 ส.ค.62) พ่อครูเดินไปเฮือนบวร เห็นชาวประชาชนมาใช้บริการซื้อของกันอย่างไม่ขาดสาย ที่บริเวณตลาดอาหาร เห็นมียายสองคน กำลังนั่งตะบันหมาก กินหมากกันปากเปรอะเลย นั่งอยู่ริมทางเดินภายในอาคารเลย … พ่อครูก็เดินผ่านยิ้มๆ ยายๆก็ยกมือจบ(ไหว้)พ่อครูอย่างสวยเลย ยิ้มให้เห็นฟันสีหมาก อย่างสบายใจ
คนกินหมาก คนสูบบุหรี่ คนกินเหล้า คนซื้อหวย คนเล่นการพนัน คนมีอบายมุขเหล่านี้ จะเป็นเรื่องที่หาไม่ได้เลยในชุมชนชาวอโศก พอมียายมาตะบันหมากให้ดู จึงกลายเป็นเรื่องแปลกไปเลยสำหรับชาวบ้านราชฯ
วันนี้บ้านราชฯเปิดแผ่นดินพุทธ แดนเพลิน-เชิญพัก มีสถานที่ให้ประชาชนมาพักผ่อน มาซื้อของจำเป็นต่อชีวิตในราคาที่ถูกแสนถูก ประชาชนก็เลยหลั่งไหลมามากมาย ชาวอโศกเลยได้มีผัสสะ อะไรที่พออนุโลมได้ก็ต้องอนุโลมมากขึ้น และจะทำอย่างไรให้ประชาชนที่มาได้รับประโยชน์ที่แท้จริงจากการมาเยือนแผ่นดินพุทธแห่งนี้
ประโยชน์ที่ควรได้อย่างยิ่งในชีวิตของชาวพุทธ คือการได้ลดละเลิกจากกิเลสตัณหาอุปาทาน อันเป็นลำดับ ตั้งแต่อบายมุข กามคุณ โลกธรรม และอัตตา
สติต้องเต็มตื่น สัมปชัญญะต้องเต็มรู้
แต่กว่าจะได้ลดละกิเลสตามลำดับ ต้องได้มาคบคุ้นกับสัตบุรุษที่บริบูรณ์ มาได้ฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์จึงจะได้เกิดความศรัทธาที่บริบูรณ์ จึงสามารถทำใจในใจให้ออกจากกิเลสได้ ทำโยนิโสมนสิการได้ จึงจะทำให้เกิดสติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์
พ่อครูว่า สติสัมปชัญญะรอบทั้งนอกและในสติต้องเต็มร้อยปัญญาต้องเต็มรู้ สัมผัสแล้วจะมีสติที่มีพลังงานเป็นอธิปไตยรู้ทั้งนอกทั้งในมีอธิปไตยที่แข็งแรง แล้วปัญญามันต้องเต็มความรู้ ต้องมีความรู้เข้ามาทั้งนอกและในมีความละเอียด ทั้งตาหูจมูกลิ้นกายโดยเฉพาะใจอย่างลึกซึ้งมันถึงจะเต็มรู้พอขนาด รวมให้สร้างพลังงานฌาน พลังงานไฟ ที่จะเผากิเลสในแต่ละระดับได้ มันไม่ใช่ตื้นเขินง่ายๆดังที่หลายคนเข้าใจกันยังไม่พอ ถ้าเผื่อว่า ทำการโยนิโสมนสิการไม่ได้คุณก็สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ไม่ได้ สติปัญญาเกิดตามหลังโยนิโสมนสิการ มนสิการบริบูรณ์คุณก็มาปฏิบัติสติสัมปชัญญะ ฉันจะบริบูรณ์ต้องมีตาหูจมูกลิ้นกายใจมีสติทั้งรู้ข้างนอกข้างในครบมันถึงจะเต็มที่แล้วมันถึงจะปฏิบัติกายสุจริต 3 กายสุจริตวจีสุจริตมโนสุจริตได้ เพราะฉะนั้นถ้าสติสัมปชัญญะไม่บริบูรณ์คุณจะสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ไม่ได้บริบูรณ์ กายวาจาใจคุณจะได้บริบูรณ์ทั้งหมดได้อย่างไร คุณไม่ได้สำรวมข้างนอกเลย คุณสำรวมแต่ข้างในแล้วเมื่อไหร่จะทำกายกับวาจาได้ ฟังดีๆฟังทำให้แตกฉาน นั่งหลับตานั้นมันไม่บริบูรณ์จะทำผลให้เจริญสูงสุดเป็นอรหันต์ไม่ได้ มันปิดเลย พัฒนามาจากการสำรวมอินทรีย์ก็ได้แต่แค่ใจ กายวาจาใจคนไม่มีทางจะบรรลุผลสุจริตธรรมไม่เกิด เพราะว่าคุณได้แต่ใจ ไม่มีอิทธิพลต่อตาไม่มีเหตุปัจจัยให้ส่งเสริม เมื่อกายสุจริตไม่ได้มีแต่ทุจริตนิวรณ์ 5 ของคุณก็บริบูรณ์ คุณก็มีแต่นิวรณ์ 5 ที่บริบูรณ์ สติปัฏฐาน 4 ของคุณก็ไม่ไป โพชฌงค์ก็ไม่มี วิชชาและวิมุติ หมดสิทธิ์
คุณต้องมาทำการโยนิโสมนสิการให้บริบูรณ์แล้วจะปฏิบัติปฏิสัมพันธ์จะให้บริบูรณ์ทั้งนอกและในคุณจึงต้องมาสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 บริบูรณ์ สติของคุณอยู่แต่ภายในหมดโยนิโสมนสิการก็ทำจากภายในและคุณจะมาถึงการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ได้อย่างไร คุณก็ได้แค่สำรวมอินทรีย์แค่ 1 คุณต้องสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 รู้กิเลสและประหารกิเลสได้เป็นสังวรปธาน แล้วเกิดประหารประธาน ส่วนภาวนาปธานแล้วอนุรักขนาปธานแต่สัมมัปปธาน 4 คุณไม่เกิด เพราะฉะนั้น มันไม่สัมมาทิฏฐิเลย มันสังวรได้แต่ใจ ไม่ได้สังวร ตาหูจมูกลิ้นกายเลย สรุปอีก นั่งหลับตานั้นไม่มีการบรรลุอรหันต์ของพระพุทธเจ้า คุณจะบรรลุอะไรเล็กๆน้อยๆก็แล้วแต่ มีบารมีเก่าบ้างพระพุทธเจ้าถึงอนุโลมว่าอาสวะบางอย่างอาจจะดับได้ แต่ไม่มีทางเป็นพระอรหันต์ อาสวะบางอย่างจะดับได้นั้นแน่หรือไม่แน่ยังไม่รู้เลยว่าคุณได้แต่ กดข่ม ใครจะมาสำรวจตรวจสอบได้ เมื่อเอามาสัมผัสกับข้างนอกบางทีคุณนึกว่าคุณได้เมื่อกระทบแรงหน่อยยาวนานหน่อยคุณก็ล้มแล้ว คุณจะรู้ได้อย่างไรเอาแต่หลับตา กดข่มได้มากก็จะได้ยาวนานแต่มันไม่ถาวรแน่นอน
เพราะฉะนั้นถ้าไม่บริบูรณ์ด้วย สติปัฏฐาน 4 ที่จะต้องมีสุจริต 3 ที่บริบูรณ์ สติปัฏฐาน 4 บริบูรณ์โพชฌงค์ 7 ก็บริบูรณ์ โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์แล้ววิชชาและวิมุติก็บริบูรณ์ เรียกว่าอวิชชาสูตร เป็นอาหารสูตรวิชชาและวิมุติ แล้วจะมีอะไรเป็นอาหารก็ย้อนไปว่า ถ้าคุณอวิชชาก็มีนิวรณ์ 5 เป็นอาหาร นิวรณ์ 5 เป็นอาหารและคุณก็จะได้ทุจริต 3 เป็นอาหารอีก ทุจริต 3 เป็นอาหาร คุณก็มีการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ไม่ได้เป็นอาหาร คุณไม่ได้สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 เป็นอาหารสติสัมปชัญญะของคุณก็ไม่บริบูรณ์ ไม่เป็นสติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์เป็นอาหารก็ได้สติไม่เต็มสตางค์ สตางค์ไม่เต็มสติ มันก็ไม่เป็น เมื่อสติไม่เต็มคุณจะไปโยนิโสมนสิการให้บริบูรณ์ได้อย่างไรไม่ได้เลย เมื่อไม่ได้ศรัทธาคุณก็ไม่บริบูรณ์คุณก็จะไม่ฟังธรรมจากสัตบุรุษคนก็จะไม่พบสัตบุรุษ มาถึงวันนี้แล้วคุณก็จะไม่พบสัตบุรุษคุณจะเห็นอสัตบุรุษเป็นอาจารย์ แน่นอนต้นตอเลยย
ทำให้เกิดการสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ทำให้เราเกิดสุจริตกรรม 3 ทำให้เกิดสติปัฏฐาน 4 ที่บริบูรณ์อันเป็นอาหารให้เดินโพชฌงค์ 7 ได้บริบูรณ์ เกิดวิชชาและวิมุติได้ในที่สุด