620807_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พระโสดาบันเป็นผู้มีฌานจากจรณะ 15
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1c02WB35voSoH4p1yp22NwpYKYFk1KH7q1rfWSQO7pnk/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1RDnk0ltojKV4LVCO9QhitTOkY4lzn4PP
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันพุธที่ 7 สิงหาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 7 ค่ำเดือน 9 มีข่าวเด็กนร.เก็บกระเป๋าเงินคืนชาวชาติลาวได้ เขารู้สึกประทับใจมาก ได้เงินครบด้วย แม้เด็กแค่ป.4 ก็ทำดีได้ขนาดนี้
อีกเรื่องมีตายายไปโรงพยาบาล เหมือนกับคนบ้านนอกไม่รู้จะไปอย่างไรก็นั่งอยู่ที่ทางเดินควักข้าวเปล่ามากินกับน้ำ ภาพทำให้เห็นว่าไม่มีกับข้าวเลย คนเห็นแล้วก็สงสาร ก็เลยไปถามไถ่ ปรากฏว่ามาอย่างยากลำบาก เงินที่มีก็แค่เงินสำหรับผู้สูงอายุ มานั่งรอหมอ เมื่อข่าวไปใน Social Media ก็มีคนติดตามไปช่วยเหลือ
เป็นเรื่องที่สังคมไทยมีความอ่อนไหวง่ายในเรื่องคุณงามความดี พ่อครูเคยบอกว่าประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจทางคุณธรรมศีลธรรม เรื่องจิตใจเรื่องความดีงามอยู่ในอนุสัยของคนทุกคน แต่อนุสัยนี้จะเป็นอนุสัยที่เป็นวิชชาหรือเป็นอวิชชาเท่านั้นเอง
ในชีวิตของเราแต่ละคนก็มีทั้งสิ่งที่ฝังไว้ด้วยวิชาและสิ่งที่ฝังไว้ด้วยอวิชชา เราจะให้น้ำหนักกับทางไหน ที่จะไปเพิ่มวิชาหรือเพิ่มอวิชชาหรือจะล้างอวิชชาก็อยู่ที่กรรมปัจจุบันที่เรากำลังสั่งสมกัน แน่นอนต้องได้พบสัตบุรุษ จึงล้างอวิชชาออกไปได้ เพื่อทำให้วิชชาจรณะสมบูรณ์
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยสัจ ๔) ตอน นิยามความจริง 10 ประการ
พ่อครูว่า..ผู้ที่เข้าใจว่าอาตมาเป็นสัตบุรุษก็ตั้งใจเอาประโยชน์ให้ได้ คนที่เขาไม่เชื่อว่าอาตมาเป็นสัตบุรุษเขาก็ไม่เอา ไม่มีความยินดีเต็มที่ ผู้ใดเห็นคุณค่าแห่งความเป็นประโยชน์จริงก็เชิญ อาตมามีหน้าที่จะมาแจกแจงความจริงเท่านั้น
ภาษา คำว่าความจริงใครก็พูดได้ใครก็เชื่อว่าตัวเองมีความจริงได้แต่ความจริง จริงๆ ซึ่งเป็นความจริงที่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พระศาสดาต่างๆต่างก็ยืนยันว่าของตัวเองเป็นของจริง แต่ของพระพุทธเจ้าเป็นความจริงทางจิตเจตสิกรูปนิพพาน แยกนิยามชีวิต 5 อุตุนิยาม พีชะนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยามได้อย่างชัดเจนละเอียดละออจริงๆ
อาตมาเคยแจกแจงนิยามของความจริงไว้ 10 ข้อ
-
เป็นความดี
-
มีความถูกต้อง
-
มีคุณค่าเป็นประโยชน์
-
ต้องพ้นทุกข์อริยสัจ
-
ต้องเป็นไปได้จริง เขาปฏิบัติได้ถึงความจริงเวทนา 108 อาการอารมณ์ของความสุขทุกข์นี่แหละเป็นตัวตัดสินสูงสุด
-
รู้ได้จากสัมผัสปัจจุบัน แม้ที่สุด..รู้กระทั่งนามธรรมในระดับสุญญตา หรืออนัตตาอย่างแจ้งใจ อันนี้ก็สำคัญ ปัจจุบันจึงถือว่าจริง หลับตาไปอยู่ในภพมีแต่สัญญาไม่มีปัจจุบันที่เป็นปัญญา ปัจจุบันจะต้องมีการกระทบทางตาหูจมูกลิ้นกาย
คำว่ากายก็ต้องครบ 2 เป็นเทวฺ อาตมาแยกแยะให้รู้นัยสำคัญของกาย ของเทวฺ ซึ่งหมายถึงสภาพ 2 เหมือนกัน แต่เทวฺตีลึกไปอีก กายคือรูปนาม แต่เทวฺ คือสอง คนเข้าใจเทวฺสองอย่างกับคนเข้าใจอย่างเดียวหรือแยกเป็นหลายอย่างได้
คนตีเทวฺไม่แตก แม้จะมีพยัญชนะของศาสดาสอนไว้ ซึ่งก็จะผิดเพี้ยนไปเรื่อยๆเหมือนกันกับคำสอนพระศาสดา
ศาสดาของเทวนิยมองค์แรกบัญญัติว่าอย่างไร ก็เป็นเทวนิยมเป็นโลกียะเท่านั้นไม่เป็นโลกุตระ เพราะฉะนั้นสายเทวนิยมหรือโลกียะกับสายโลกุตระ แยกกันอย่างมี นัยะ พิสูจน์ได้ทุกปัจจุบันเพราะว่าโลกียะหรือเทวะนี้อยู่ในปัจจุบันไม่ได้ พระเจ้าไม่มีปัจจุบัน พระเจ้าไม่ปรากฏตัวในปัจจุบัน ต้องมีพระบุตรมาบอกอีกทีแล้วไม่สามารถแยกนามธรรมเป็นสุญญตาได้ด้วย
-
เข้าถึงความจริงนั้น หรือตนเองเป็นได้ ตามความรู้นั้นๆ แล้ว อย่างเต็มใจ
-
ผู้ฉลาดแท้หรือปราชญ์แท้ก็จะจำนนยอมรับต่อผลของความจริง ที่เป็นแล้ว – ที่มีแล้วนั้น
-
ไม่แปรเป็นอื่นอีกแล้ว (อวิปริณามธัมมัง)
-
ท้าทายให้มาพิสูจน์ได้ (เอหิปัสสิโก)
ต้องเชิญมาสัมผัสได้ การไม่ได้มาคบคุ้นกันมันรู้ไม่เต็ม
_เมื่อวานนี้ ดิฉันฟังรายการวิถีอาริยธรรม เข้าใจว่า โพธิสัตว์ระดับ 7 เท่านั้น จึงสามารถช่วยคนได้
พ่อครูว่า…ยังเข้าใจไม่ถูกต้องพระโสดาบันก็ช่วยคนได้แล้วประมาณ 1 พระโสดาบันที่มีความเฉลียวฉลาดมีความรู้ธัมมวิจัยเก่งก็สามารถให้ความรู้ให้ประโยชน์ได้แต่แน่นอน โซดามันก็ยังไม่เก่งเท่าสกิทาคามีสกิทาคามีก็ยังไม่เก่งเท่ากับ อนาคามีก็ยังไม่เก่งเท่าพระอรหันต์….ไปจนถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเก่งที่สุด ก็ต้องมีขั้นตอนที่จริงไปตามลำดับ อาจจะมีบางสิ่งบางอย่างเป็นปฏิภาณเก่งกว่าในบางมุม
พระพุทธเจ้าท่านยังชมพระมหากัจจายนะอธิบายรายละเอียดได้ดีกว่าพระตถาคต ท่านชมนะ ในการแจกแจงความรู้ให้คนอื่นฟังแม้แต่พระสารีบุตรก็ยังสู้ไม่ได้เลยสามารถแจงให้เข้าใจได้ง่ายเข้าใจได้ดี พระสารีบุตรนั้นเก่งในทางรวบรวมได้เยอะรู้ได้เยอะ แต่พระมหากัจจายะนั้นเอามาสรุปและสาธยายได้ดีกว่าอีก ย่อให้พิสดารได้ ขยายได้พิสดาร เหมาะสมได้สัดส่วน
พระโสดาบันก็ยังมีภูมิน้อยยังไม่รู้อะไรมากมาย
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พระโสดาบันใส่ร้ายป้ายสีคนได้ไหม
_ผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม….กราบเรียนพ่อท่านที่เคารพบูชายิ่ง
อยากถามว่าคนทำโครงการโสดาบัน แล้วพูดให้ร้ายป้ายสีคนอื่น เป็นโสดาบันไหมคะ กราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า…จริงๆแล้วคำว่าให้ร้ายป้ายสี กับคำว่า ปากหอก มุขสตีต่างกัน โสดาบันยังมีมุขสตี พูดทิ่มแทงกัน พูดกระแทกให้สะดุด พระโสดาบันยังมีอยู่แน่นอน
แต่การให้ร้ายป้ายสีนี้พระโสดาบันไม่มี คุณต้องเข้าใจว่าการให้ร้ายป้ายสีคุณต้องชัดเจนว่ามันเป็นความจริงเลยนะให้ร้ายป้ายสีจริงๆ แต่ถ้าพระโสดาบันไม่ได้รู้ความจริงของคุณว่าคุณเองเป็นอย่างนั้นพระโสดาบันมีความจริงซื่อสัตย์ นึกว่าคุณเป็นอย่างนี้จริงๆไม่ได้ป้ายสีไม่ได้ให้ร้ายแต่เข้าใจว่าคุณเป็นเช่นนี้ ทีนี้คุณยืนยันว่าตัวคนไม่เป็นจริงๆหรือเปล่าตัว คุณเองไม่รู้แต่พระโสดาบันนั้นรู้ แต่คุณไม่รู้ว่าคุณเองคุณผิดอย่างนั้น คุณนึกว่าคุณถูก นี่มันก็อีกนัยะ ไม่รู้อีกกี่มุมเหลี่ยมเพราะฉะนั้นก็ให้ดูดีๆอย่าเพิ่งรีบร้อนไปโทษคนนั้นคนนี้ เราไม่โทษใครเลย คนไหนเขาท้วงเราผิด เราไม่ได้ผิดอย่างนั้นเราก็เฉยเสีย นอกจากว่าเราจะมีใจกรุณา เมื่อเขาตู่เราผิดโทษเราผิด เราก็บอกความจริงเขาว่าเราไม่ได้เป็นเช่นนั้นเราเป็นเช่นนี้อันนี้ต้องบอกด้วเองพระพุทธเจ้าท่านสำทับก็ต้องบอกไม่เช่นนั้นเขาจะเข้าใจผิดว่าเราเป็นอย่างนั้นคุณบอกเขาหรือเปล่า ถ้าคุณจริงคุณถูกต้อง ผู้เป็นพระโสดาบันได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเขาอาจจะขอโทษได้ แต่ถ้าพระโสดาบันยังโง่อยู่ก็ไปบังคับความรู้ไม่ได้มันก็เป็นความไม่เท่ากัน รายละเอียดพวกนี้ก็พูดจนวนจนหมด
สรุปแล้วเมื่อมันไม่ตรงกันพระพุทธเจ้าก็มีที่จบ คุณก็ทำของคุณอย่างนั้นเขาก็ทำของเราอย่างนี้จะเกิดเป็นผล ทำผิดก็เจอทางเสียหายทุกข์ ถ้าเขาถูกเราผิดก็ไปเจอเรื่องเสียหายในอนาคต แต่ถ้าเราถูกก็อีกอย่าง ไม่ใครคนใดคนหนึ่ง
คุณสมบัติพระโสดาบันจนถึงอรหันต์อย่างพิสดาร
_จากลูกศีรษะอโศก
กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพบูชายิ่ง ขออนุญาตกราบเรียนถามค่ะ ขอความเมตตาจากพ่อท่านตอบให้ลูกหายสงสัยด้วยค่ะ
1.โครงการโสดาบันเป็นของใครจัดตั้งขึ้น
-
คนที่ทำโครงการนี้จะต้องบรรลุเป็นโสดาบันโดยสมบูรณ์ใช่หรือไม่คะ
-
โสดาบัน 25% ตัดเขตที่ เอกพีชี หรือ โกลังโกละ หรือ สัตตักขัตตุปรมะ
-
โสดาบันต้องมีศีล 5 บริสุทธิ์ พ้นสังโยชน์ 3 มีญาน 7 พ้นอบายภูมิ 4 พ้นอบายมุข 6 ไม่กินเนื้อสัตว์และไข่
5.โสดาบันยังมีอคติ 4 หรือไม่ ยังมีความเห็นแก่ตัวหรือไม่
-
โครงการโสดาบันใช้เวลากี่ปีและใช้ทุนมากน้อยเท่าไหร่ ณเวลานี้ที่ศีรษะอโศกใช้ทุนไปแล้ว หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นกว่าบาทแล้วค่ะ
กราบขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งค่ะ
พ่อครูว่า..ข้อ 6 นี้ก็ตอบแทนศีรษะอโศกไม่ได้
พระโสดาบันใช้เวลากี่ปีใช้ความรู้เท่าไหร่ก็ตอบไม่ได้ คนที่เขาทำถ้ามีเจตนาบริสุทธิ์ก็ดี แต่ถ้าเขาทำแล้วเจตนาไม่บริสุทธิ์ ทำไปแล้วก็อาศัยหลอกคนอื่นทำมาหากินใช้เงินทองเขาไปโดยที่ไม่ตรงก็เป็นวิบากของเขา เป็นบาปเวรภัยเขา แต่ถ้าเขาบริสุทธิ์ใจมีความรู้เท่านี้เท่านี้ก็ได้เท่านี้ อาตมาไม่บังอาจจะไปบังคับให้เขาฉลาดใครก็แล้วแต่ โสดาบันจะต้องฉลาดกว่านี้นะสกิทาคามีจะต้องฉลาดกว่านี้นะ อนาคามีจะต้องฉลาดกว่านี้นะคนเก่งทำได้ก็เชิญ อาตมาทำไม่ได้
สรุปสุดยอดจริงๆคนจงตรวจเจตนาในตัวกรรม เจตนาเป็นกรรม เราต้องตรวจเจตนาในตัวเองทุกคนถ้าเรามีกุศลเจตนาแท้ มันยากเหมือนกันที่จะรู้ว่าเจตนาของเราบริสุทธิ์แท้หรือไม่ อย่างอาตมาเจตนาจะช่วยคน ด่าอย่างแรงก็ไม่มีเจตนาจะทำร้ายเลยไม่เคยเกลียดชังไม่เคยอยากให้เขาตกต่ำ อยากให้เขาเจริญอยากให้เขาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่สูงขึ้น
อาตมารู้ของอาตมาแล้วว่าคนนี้ไม่ต้องไปบอกเขาหรอกเขาจะต้องรู้ของเขาเองเสียเวลาเสียแรงเปล่าๆแล้วเราทำยังไม่เอาลาภยศสรรเสริญแล้วจะไปทำทำไม ก็รู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเขาก็ไม่รู้เราก็ไม่ทำ แต่ถ้าคิดว่าเขาน่าจะรู้อยู่หน้าอย่างธัมมชโยหรือทักษิณมันก็ฉลาดเป็นกรดเลยนะ ฉลาดฉิบหาย แต่ทำไมมันไม่รู้ ขออภัยที่ใช้คำว่าฉิบหายมันเป็นจริงเลย ฉลาดโลกียะ ฉลาดมากๆ ทำไมไม่เอาตัวฉลาดพลิกกลับมาเป็นโลกุตระเสียบ้าง ถ้าตื่นมารู้สักครึ่งหนึ่งคุณจะไปได้ลิ่วเลย แต่นี่ไปดันทุรังอยู่อย่างนั้นก็น่าสังเวชน่าสงสาร
ถ้าคนที่ไม่มีปฏิภาณปัญญา พูดไปมันก็เหมือนกับเรือเกลือ ตอนนี้เราจะมีการทำเรือเกลือให้อาศัยเพื่อสุขภาพร่างกาย อาตมาว่าอย่าไปเห่อกับเขาเลย อย่าไปทำเลย อยู่เรือไม้อย่าไปอยู่เรือเกลือเลย ไม่ไปอยู่เรือเกลือแล้ว ไม่ต้องอาศัยไม่ต้องหลงขนาดเรือเกลือเลย อาตมารู้นะว่ามีข้อบกพร่องในเรือเกลือเยอะ แล้วคุณจะเว่อร์ไปทำไม ถ้าหากเกลือมันดีพระพุทธเจ้าก็เอามาอยู่ในพระสูตรพระพุทธเจ้าแล้ว
ส.เดินดินว่า…นี่ไม่ได้เป็นอย่างที่คุยกันตอนเช้าพ่อครูตั้งชื่อว่าเรือเกลือเองเลย
พ่อครูว่า…เขาเห่อกันนะ อย่างแม่ชีศันสนีย์ ก็ทำอยู่อย่างนั้น หลังฉากก็พูดประชดไปบ้าง อาตมาไม่เชื่อว่าเกลือจะเป็นสุดยอดของยาหรือสุดยอดของสิ่งที่เป็นยาครอบจักรวาลที่จะช่วยคนได้อาตมาไม่เชื่อ ถ้าเชื่อก็มีปราชญ์ผู้รู้เอาไปใช้นานแล้ว แม้แต่ศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งศาสดาพระพุทธเจ้าก็เอามาใช้แล้ว อย่างน้ำเยี่ยวนี้ดี พระพุทธเจ้าก็เอามาใช้ ถ้าเกลือมันดีทำไมจะไม่เอามาใช้
มีภาพแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุตไปอยู่ที่ถ้ำเกลือ เขาก็เจตนาดี แต่เจตนาดีที่พาลงเหวไปก็มี ก็ตั้งใจให้ดีๆก็แล้วกัน
พ่อครูว่า…ประเด็นที่ถามว่า โครงการนี้จะต้องบรรลุเป็นโสดาบันโดยสมบูรณ์ใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็ดีแล้วจะไปบังคับเขาได้อย่างไรถ้าไม่ใช่
คำว่าสัตตักขัตตุปรมโสดา เป็นพระโสดาบันขั้นต่ำสุด คือจะต้องหมุนเวียนอีก 7 กัป คำว่า กัป ไม่ได้หมายความว่าแต่ละชาติ 7 ชาตินะ กัป คือองค์ธรรม สังโยชน์ก็ดี อนุสัยก็ดี มีรายละเอียดตรงไปอีก ในรอบของสังโยชน์ ถ้าพระโสดาบันก็เป็นสังโยชน์ 3 ทีนี้โกลังโกละ นับตั้งแต่ 6 ไปถึง 2
ผู้ใดจะบรรลุ 6 กัป 6รอบ หรือคนนี้ 5 กัป คนนี้ 4 กัป คนนี้ 3 กัป ก็เป็นแต่ละบารมีของแต่ละคน
ส่วนเอกพีชีนี้ 1 กัป
เอกพีชี กับพระสกทาคามีต่างกันอย่างไร
พระสกทาคามีก็บอกว่า 1 ชาติก็บรรลุแต่เป็นรอบกว้าง
แต่เอกพีชี เป็นรอบของจิต
ถ้าสกิทาคามีอาจจะหมายถึงชาติที่เกิดเป็นชาติทั้งชาติ เกิดมาตั้งแต่อายุ 0 เป็น 1 ขวบ จนกระทั่งบรรลุสูงสุด อาจจะเป็น 50 ปี 30 ปี 80 ปีบรรลุตอนไหนก็แล้วแต่ก็เป็นหนึ่งชาตินั้น
ส่วนเอกพีชี หมายถึงเชื้อพีชะ ไม่ใช่เชื้อของจิต เชื้อของจิตนิยามทำจิตนิยามให้เป็นพีชธาตุได้ แล้วสามารถทำให้พีชธาตุนี่แหละเหลือสุดท้ายแล้วดับพีชหรือแยกพีชธาตุออกเป็นอุตุธาตุไดั ผู้นั้นก็บรรลุเอกพีชี ในชาติที่ยังไม่ตาย แล้วซ้อนในชาติที่ยังไม่ตาย ชาติของจิตที่คุณศึกษาจากอาจารย์ก็มาฟลล-ลงฟทำการแยกได้ มันซ้อนในจิตเจตสิกอีกที
ในคนนี้มีความรู้มีจิต ทั้งในจิตธาตุ ทั้งในพีชธาตุและอุตุธาตุ มีทั้งธาตุที่เป็นดินน้ำไฟลมมีทั้ง พีชะ และจิต คุณสามารถทำจิตให้มาอยู่ในฐานพีชะได้ ก็เป็นอรหันต์ ยิ่งถ้าทำให้เป็นอุตุได้ก็เป็นพระอรหันต์ลฟฟสมบูรณ์ ตายด้วยอุตุ
แต่อรหันต์ที่สามารถแยกๆๆๆๆ ฝธาตุจิตให้เป็น พีชะได้ หมดสุขหมดทุกข์เป็นอาหารที่หมดโศกหมดทุกข์ แต่คุณแยกธาตุให้เป็นอุตุนิยามไม่ได้ก็ต้องมาต่อให้สามารถทำได้จึงจะสามารถปรินิพพานเป็นปริโยสานได้
ถ้าคุณไม่สามารถแยกให้เป็นอุตุธาตุ แต่แยกเป็นพีชธาตุ ก็เป็นพระอรหันต์ได้ เกิดมาอีกกี่ชาติก็เป็นอรหันต์ อาตมาเกิดมานี้ไม่มีความสุขความทุกข์แล้ว แต่ยังไม่แยกขันธ์นี้ออกให้เป็นอุตุ เป็นปริโยสาน อาตมายังไม่ทำแต่สามารถทำได้เพราะว่าตั้งแต่
เป็นพระโสดาบันอาตมาก็ทำได้เด็ดขาด
กามอาตมาก็ทำได้
ไขความลึกลับของอาตมา อนาคามีอาตมายังแตกธาตุให้เป็นอุตุธาตุไม่ได้ พระอรหันต์ยิ่งทำไม่ได้ใหญ่เลย เพราะฉะนั้นถ้าอาตมาจะทำการปรินิพพานไม่มาเกิดอีกตอนนี้ก็ได้เชื้อที่เหลือก็จะสูญสลายไปเองในสุทธาวาส เพราะอาตมาหมด coefficient ไม่เติมสัมประสิทธิ์ให้แก่ตัวเองแล้ว อาตมาเข้าใจในตัวสัมประสิทธิ์ตัวนี้จะเป็นตัวขยายได้มากเลย
มันเป็นตัวที่เมื่อคุณมีลักษณะสีของรูปธรรม
1.อุปจยะ 2.สันตติ 3.ชรตา 4.อนิจจตา
ถ้าคุณจะเกิดอุปจยะก็ทำให้เกิดสัมประสิทธิ์ แต่ถ้าไม่สันตติ ก็ไม่ต่อก็จะเป็น ชรตาเสื่อมลง แม้ชรตาก็ฮึดกลับมาอีกได้ถ้ามีแรงพอ แต่ถ้าแรงไม่พอฮึดไม่ได้ก็อนิจจตา สุดท้าย
เห็นไหมว่าสุดท้ายแห่งสุดท้ายจริงๆจบด้วยอนิจจตา
เพราะฉะนั้นผู้รู้ความไม่เที่ยงนี้คือผู้ที่ทำความเที่ยงได้
อรหันต์คือผู้รู้สภาวธรรม 4 นี้แล้ว แล้วทำความเที่ยงได้ ถึงจะจบความเป็นพระอรหันต์
แล้วคุณจะรู้วสวัตตี เหนือ ชรตา อนิจจตา สร้างอำนาจเหนือรูป 4 สุดท้ายนี้ได้
แถมลึก ยังไม่เคยอธิบายอย่างนี้ ถามพระโสดาบันต่อไปถึงอรหันต์เสียลึกเลย
สัตตักขัตตุ เป็นรอบ 7 ที่นานมาก หลัก 7 จึงเป็นหลักที่ยิ่งใหญ่มาก ไปได้ดี ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดาแล้ว 7
ขยายความสามเส้า เป็น cyclic order โลกียะจะหมุนในลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมีดีมีชั่วมีชั่วมีดียังไม่รู้จักสุขจักทุกข์ เพราะฉะนั้นจะวนเวียนอยู่ตายไปแล้วอยู่กับพระเจ้าแล้วก็จะมาเกิดแล้วคุณก็ไม่รู้เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้สอนความเกิดใหม่ แต่คุณก็ต้องมาเกิดมีความทุกข์ความสุขวนเวียนจนกว่าคุณจะมาเจอสัตบุรุษ คุณจะรู้ว่าไปอยู่กับพระเจ้ามาเสียนานไม่รู้กี่ล้านชาติ พอมาเจอกับสัตบุรุษจึงรู้ว่ามีทางออกก็จะเพิ่มมาเป็นสี่ออกจากวัฏฏะ สามเส้า พอได้อัญญธาตุก็มาพัฒนาเป็นอัญญา เป็นความรู้ของโลกุตระแล้วก็จะเป็นสัญญาเป็นกัญญา ชัญญาไปอีก
ความรู้อย่างนี้โมเมเอาไม่ได้ถ้าหากเอาความรู้ผิดไปบอกออกไปมันก็เป็นบาปแล้วตัวเองไม่ต้องการลาภยศสรรเสริญโลกียสุขแล้วจะทำผิดให้มันเกิดบาปทำไม ใครจะโง่ทำตัวเองอย่างนั้นก็เชิญ อาตมาไม่ทำ
พูดวนซ้อนขนาดนี้เข้าใจไหม
พูดที่ชัดเจนมีความจริงใจแล้วไม่ทำสิ่งที่เป็นบาป สัพพปาปัสสอกรณัง ถ้าภูมิของเรามี ถ้าหากภูมิของเราไม่รู้ว่าอันนี้เป็นบาปมันก็เป็นเรื่องสุดวิสัย แต่ถ้าเรารู้อยู่ว่าเป็นบาปไม่มีใครแกล้งไปทำบาปนะ ไม่มี ยิ่งอรหันต์ไปแล้วไม่มีเด็ดขาด โสดาบันก็ยังละอายแต่ยังไม่มากพระสกิทาคามีก็จะละอายมากขึ้นหรือไม่ทำ อนาคามีก็จะไม่ทำแล้ว หยาบอย่างอบายหรือกามภพไม่ทำแล้วอนาคามี ก็เป็นขั้นตอนเป็นอย่างนั้น
สรุปอีกที เอกพีชี เป็นรอบของจิต รู้ความเป็นพีชะ แม้ชาตินี้เกิดมาจะมีบารมีแค่ สัตตักขัตตุ 7 รอบก็จะบรรลุ แต่ถ้าคุณฮึด ก็จะบรรลุได้ในชาตินี้เลย เป็นเอกพีชีเลย pass ชั้นได้เลย เป็นความสามารถส่วนตัว น้อยคนจะทำได้ ไม่อย่างนั้นคุณก็เป็นไปตามลำดับแทนที่จะเป็น 7 ชาติก็เป็น 6 ชาติหรือ 5 ชาติ 4 ชาติ 3 ชาติ 2 ชาติ ก็เป็นโกลังโกละ
จะเข้าใจ 25% 50% พระโสดาบันแน่นอน 25% ก็ตกต่ำได้ ถ้า50% ก็ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดาแล้วแน่นอน ยิ่งเป็น 75 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป โสดาบันนิยตะเที่ยงแท้แน่นอนไม่มีตกต่ำ ถ้าหาก 25% ก็อย่าทำเป็นเล่น อย่างโสดาบันที่แท้จริง ซวยที่สุด คุณจะต้องออกไปถึง 7 รอบ หลุดไปโลกีย์ปู้ยี่ปู้ยำ 7 รอบ
7 รอบอาจเป็นล้านชาติ สับสนไหม?
7 รอบ 7 กัป ของพระโสดาบันที่หลุดออกไปอาจจะเกิดตายอีกเป็นล้านชาติก็ได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปเล่นกับ กาละ และกรรม อย่าไปเล่นกับกรรมกับกาละ
กาละนี้เป็นสภาพที่มีในมหาจักรวาลก็มี กาละนี้อยู่ กาละระหว่างโลกลูกนี้กับพระอาทิตย์พรุ่งนี้ กาละระหว่างโลกลูกนี้กับพระอาทิตย์ 5 ลูกนี้ก็ไม่เท่ากัน แต่มันคือการเคลื่อนที่ของวัตถุธาตุ คุณจะอยู่โลกไหนก็ต้องเป็นอย่างนี้ กว่าจะพัฒนาจากอุตุนิยามมาเป็น พีชนี้ยากกว่าจะมาเป็นจิตนิยามเป็นสัตว์เซลล์เดียวและพัฒนาขึ้นมาเป็นสัตว์หลายล้านเซลล์ก็ไม่รู้ว่านานขนาดไหน
รอไปจนอาตมาอายุถึง 90 96 ปีอาจจะต้องรีบฉลอง ถ้าไม่ฉลองจะไปไม่ออกแล้วอย่างนี้เป็นต้นจะตายวันตายพรุ่งนี้หรือไม่ก็ค่อยว่ากันนะ หรือว่า 96 ก็ยิ่งแข็งแรงขึ้นกว่าเก่าอย่างนี้ 108 สบายๆ
ถ้า 108 นี้ ฟื้นจาก 96 แล้วอาตมาว่า เป็น 120 สบายๆ แล้วกระเสือกกระสนไปถึง 132 จาก 132 เป็น 144 ตอนนี้คงอยู่ดูกันก็แล้วกันอย่าเพิ่งรีบตาย มันจะเป็นไปได้อย่างไร บางทีมันไม่ได้สัมผัสจริงก็จะไม่รู้ว่าดีอย่างไร แล้วเราจะตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรต่อ จะต่อไปเหนือกว่าอรหันต์อีกไหมน่าลุ้นๆ คุณจะตัดสินเอง
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…
สรุป คุณคนที่ถามมาก็ขอเตือนว่าให้ศึกษาไป เขาจะทำผิดหรือถูกก็เป็นวิบากของเขาเราเองเอาตัวรอดก็แล้วกัน ไม่ต้องไปแก้ไขให้คนอื่นเขาหรอกไม่อย่างนั้นคุณจะเหนื่อย ดีไม่ดีจะขอเอา ก็ถามมาเยอะหลายข้อ จะต้องไปเพ่งเล็งว่าพระโสดาบันต้องมีศีล 5 บริสุทธิ์ ต้องมีญาณ 7 พ้นอบายมุข 4 อบายมุข 6 ไม่กินเนื้อสัตว์ไม่กินไข่ รู้หมดรู้เยอะหรือพระโสดาบันยังมีความเห็นแก่ตัวหรือไม่ ก็ยังมีสิ ไม่มีก็เป็นพระอรหันต์
โครงการโสดาบ้านใช้เวลากี่ปี ใช้เวลามากน้อยเท่าไหร่ ใช้เงินไป 100,000 แล้วตอนนี้ เอาน่า อย่าเพิ่งไปเพ่งโทษคนนั้นคนนี้ก็แล้วกัน ก็ไม่ได้ทำเลวร้ายอยากร้ายอะไรกันมากก็อยู่กันไปแก้ไขกันไป ถ้าคุณทนไม่ได้ก็ไปบอกผู้ใหญ่ที่คิดว่าเขาจะช่วยเราได้ รายงานเขาไปแล้วเขาจะช่วยหรือไม่ช่วยก็อยู่ในดุลพินิจของเขาคุณบอกไปสำหรับผู้ที่เราคิดว่าบอกคนนี้ให้ไปช่วยเขาเถอะ ท่านจะช่วยหรือไม่ช่วยเราก็จบแล้วก็ทำหน้าที่อย่างมีจิตเมตตาเกื้อกูลแล้วก็จบเท่านั้น
_เพราะเหตุใด พ่อครูถึงตั้งชื่อสมณะเป็น 2 ชื่อคือชื่อเป็นภาษาไทยและเป็นภาษาบาลี เช่นชื่อท่านพอแล้ว เป็นภาษาไทย ส่วนภาษาบาลีบอกว่า สมาหิโต แล้วทั้งสองชื่อความหมายเหมือนกันหรือเปล่า แล้วคำว่าพอแล้ว สภาวะของภาษาคืออย่างไร
พ่อครูว่า…พอแล้วภาษาสภาวะคืออย่างไร คุณไม่รู้จริงๆหรือว่าสภาวะของความพอแล้วเป็นอย่างไร ถ้าคุณไม่รู้จริงๆว่าเราควรพอแล้วมันพอแล้ว พอแล้วเราควรจะหยุดแล้วคุณไม่รู้นะอาตมาขอ บาย สำหรับคุณอย่าให้อาตมาเหนื่อยเลยสำหรับคนแค่คำว่าพอแล้วคุณก็ยังไม่เข้าใจอ่ะทักมาว่าคุณค่อยปฏิบัติไปเถอะ อาตมาคงจะไม่ไหวนะมันหนักไปมันยากไป
คำว่าพอแล้ว มันไม่น่าจะยาก คุณก็พอสิอย่าเกินกว่านี้สิ พอแล้วคุณก็ไม่เอาต่อ แม้แต่ความคิดพอแล้วก็ต้องมีคิดต่อไม่ปรุงต่อ รสขนาดนี้หวานพอแล้วเปรี้ยวพอแล้วอะไรก็แล้วแต่เสียงเท่านี้พอแล้วแรงกว่านี้จัดตัวนี้ไม่เอาแล้วคุณก็ต้องรู้เขตอะไรที่มันจัดมันเกินกว่านั้นและคุณก็ต้องพอ ไม่อย่างนั้นคุณจะกำหนดความพอได้อย่างไรมันต้องพอให้น้อยลงน้อยลงจนน้อยที่สุดมากที่สุด คุณเข้าใจไม่มีระดับไม่มีอันดับไม่มีขั้นตอนที่คุณจะปฏิบัติให้ได้บรรลุเลย คำว่าพอแล้วคุณยังไม่รู้เลย แต่พอแล้วคุณยังไม่รู้เลยแล้วจะไปรู้ระดับได้อย่างไร
อัน นี้มันแรงมากแล้วจัดแล้วควรพอ แต่คุณก็ไม่รู้ว่าควรพอเป็นอย่างไรจะพูดกันรู้เรื่องหรือไม่นี่
_เหตุใดพ่อครู สร้างเรือนเรือหลายหลัง เรือเรือนหลายหลัง เอาเรือมาจากที่ใด แต่ละลำใหญ่สูงมากเลยสำหรับคนกลัวความสูง
พ่อครูว่า..คุณเรียนรู้ธรรมะเถอะอย่ามาถามอะไรตรงนี้เสียเวลาไปปล่อยอาตมาก็แล้วกัน อย่าไปรู้เลย ไม่รู้ก็ไม่เสียหายคุณ คุณส่งข้อความเข้าใจของคุณปฏิบัติลดละให้ได้อ่านจิตอ่านใจตัวเองให้ดีๆ นั่นแหละจะเจริญ
จะไปรู้ว่าเอาเรือมาจากไหน พระพุทธเจ้าเหมือนกับบอกว่าผู้ที่ได้ลูกศรอาบยาพิษมา กำลังจะตายก็ไม่ยอมให้ผ่าไม่ยอมให้รักษาต้องบอกก่อนว่าใครชื่ออะไรมันยิงศรมาจากไหนอาบยาพิษแบบไหนมา พระพุทธเจ้าบอกว่า ไอ้คนที่ตายไปก่อนที่จะเรียนรู้
ต้องจัดการให้เขารักษายาพิษก่อน
_ดิฉันเข้าใจว่าโสดาบันที่เป็น เอกพีชี หมายถึงรอบของสังโยชน์หรือกิเลสแต่ละเรื่องแต่ละอย่างจะเกิดเพียงรอบเดียว ก็ประหารได้เด็ดขาด ไม่เวียนกลับมาเกิดอีกชาติเดียวก็จบได้ อรหัตตผล
พ่อครูว่า…ชาติเดียวแล้วปฏิบัติได้อรหันต์นั้นคือสกทาคามี อย่างไรคุณเกิดมาในชาตินี้จะต้องบรรลุ ส่วนเอกพีชี นัย ละเอียดลงไปอีก คุณเป็นสกิทาคามีก็ได้อนาคามีก็ได้ แล้วคุณ เร่งรัดพากเพียรอย่างวิเศษบรรลุได้เลยในชาตินั้น เพราะฉะนั้นเอกพีชี จึงสูงกว่าสกิทาคามี พาสชั้นได้เก่งกว่า
เอกพีชี คุณเพียรบรรลุในชาตินั้นเลย หรือคุณอาจจะต้อง 6 ชาติ แต่คุณก็ทำชาติเดียวได้ หรือ 5ชาติจะต้องบรรลุแต่คุณทำได้ในชาติเดียวนั่นแหละ เอกพีชี หรือว่าบารมีคุณแค่ 4 ชาติ 3 ชาติ 2 ชาติจะบรรลุ แต่คุณก็ทำได้ในชาติเดียวนะนั่นแหละเป็นสัมประสิทธิ์ของคุณ
พ่อครูว่า..แม้แต่ทำน้ำตกน้ำไหล ก็บอกคนมาดู มันก็ต้องใช้องค์ประกอบอีกเยอะมันมีเรื่องเยอะ กว่าอาตมาจะทำงานโพธิสัตว์มันมีมากมายให้เป็นไป อาตมาชาตินี้ไม่ได้เป็นโพธิสัตว์ที่จะสร้างถาวรวัตถุใหญ่เหมือนโพธิสัตว์ที่สร้างนครวัดนครธม สร้างอะไรต่างๆนานาที่เป็นลักษณะวัตถุใหญ่ อาตมาพ้นมาแล้ว เพราะอาตมาเป็นโพธิสัตว์ที่เกินกว่านั้นแล้ว อาตมาทำงานนามธรรม มีวัตถุธรรมเล็กน้อยก็สร้างอย่างนี้แหละทำอย่างนี้แหละ น้ำตกทำน้ำไหลก็ทำ เป็นต้น ไม่ได้ทำอย่างเป็นเรื่องสร้างทัชมาฮาล สร้างนครวัดนครธม สร้างปราสาทหินพิมายอะไรอย่างนี้เป็นต้นหรืออะไรอย่างอื่น โลหะปราสาท หรือสร้างแบบตะวันตกเขา
ทางด้านโน้นเขาเป็นเทวนิยม แม้มาเป็นอเทวนิยมแล้วก็ยังมีระดับอีกเหมือนกันก็ว่ากันไป อาตมาทำขนาดนี้ก็ว่าใหญ่แล้วนะสำหรับอาตมา ยิ่งใหญ่แล้ว มันเป็นการสร้างที่อาตมาจริงใจ ก็มีบารมีจริงเอง อาตมาไม่ได้เป็นคนสร้างหรอก ผู้ที่มาประกอบพร้อมมีฝีมือพวกเราช่วยกัน ท่านคมคิดก็ช่วยกันท่านคมคิด เปีย หม่อง ใครต่อใคร ไม้ร่ม มาช่วยกันคนละไม้คนละมือ เนรมิตไป ฝีมือคนนั้นทำได้
เจตนาทำเพื่อมอมเมาเขาหรือเป็นฐานอาศัยให้เขาเข้ามาสู่สภาพที่ไม่ได้มอมเมาร้ายแรงไปกว่านี้หรือย้อมใจหนักหนาสาหัสกว่านี้ไม่ได้เลยเถิดอะไร เป็นการทำงานที่ยากที่สุดสำหรับผู้ที่จะเข้าใจ ก็ค่อยๆเป็นไป
_อโศกสัมปวังโก…1. หลายครั้งที่ผ่านมากระผมได้ให้เหตุผลคนที่เห็นแย้งในประเด็นที่ว่า การเมืองนั้นเกี่ยวข้องกับศาสนาอย่างไร เหตุผลที่ผมใช้ยืนยันก็คือศาสนาพุทธเกิดขึ้นในโลกด้วยจุดประสงค์เพื่อประโยชน์แด่ผองชนทั้งหลายทุกสาขาอาชีพรวมทั้งนักการเมืองด้วยไม่ยกเว้นสาขาอาชีพใด
พ่อครูว่า..อาตมาประมาณแล้วว่าการเมืองของเมืองไทยไม่ได้ตกต่ำก็ไม่ได้เร่งนัก ทำภายในฐานของพวกเราให้เพียงพอ หากอาตมามีพลเมืองสักห้าแสนนักการเมืองจะมา หรือล้านก็ทำได้ ยิ่ง 10 ล้านยิ่งทำได้
_แท้จริงแล้วทุกคนบนโลกนี้มีสิทธิ์ที่จะได้รับประโยชน์จากคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกันทุกคนจึงไม่ควรมองว่านักบวชในพระพุทธศาสนาไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรือบุคคลผู้ทำงานทางด้านการเมืองไม่ควรนำเอาหลักการของพุทธศาสนาไปใช้ในการบริหารบ้านเมือง
อีกอย่างหนึ่งหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าพระอริยบุคคลควรจะยุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่นั้นกระผมได้ยกเอาเรื่องของพระเจ้าพิมพิสารเป็นข้อยืนยันว่า หลังจากที่พระองค์ได้บรรลุธรรมชั้นพระโสดาบันแล้วพระองค์ก็ยังทรงดำรงอยู่ในตำแหน่งพระมหากษัตริย์และบริหารบ้านเมืองอยู่อย่างเคย ถ้าหากว่าการเมืองการปกครองไม่เกี่ยวกับพระอริยบุคคลพระเจ้าพิมพิสารก็คงจะสละราชบัลลังก์ออกบวช เข้าไปอยู่ดำรงชีวิตอยู่ในป่า อยากให้พ่อท่านได้วิจารณ์ว่าการตอบปัญหาของกระผมต่อบุคคลที่มีความเห็นแย้งดังกล่าวนั้นเป็นการตอบปัญหาที่ชัดเจนและเอื้อประโยชน์ต่อความเข้าใจได้ดีแค่ไหนหรือไม่อย่างไรครับ
พ่อครูว่า..ถูกต้องแล้ว
2.พ่อท่านชี้แจงว่าการสังคายนาครั้งแรกมีพระมหากัสสปะเป็นอัครสาวกสายเจโตเป็นประมุข จึงทำให้สำนวนที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกนั้นมีคำว่าป่าอยู่มากมายและถ้าหากว่าผู้ทำการสังคายนาเป็นอัครสาวกสายปัญญา สำนวนที่ปรากฏในพระไตรปิฎกนั้นจะใช้คำว่าบ้านซึ่งตรงกับความเป็นสัตว์สังคมและความเป็นปกติวิสัยของมนุษย์การชี้แจงดังกล่าวทำให้ผมเข้าใจว่าสำนวนในพระไตรปิฎกที่พระมหากัสสปะได้สังคายนาไวนั้นเป็นการใช้สำนวนที่อิง พฤติภาพของตนเองไม่ได้ใช้สำนวนที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าโดยตรงใช่หรือไม่อย่างไร
พ่อครูว่า…แม้พระ 500 รูปที่ไปร่วมสังคายนา ก็ไม่ได้หมายถึงพระอรหันต์ทั้งหมด ปลาที่ไปร่วมกับพระมหากัสสปะก็ต้องเป็นพระสายที่สนิทด้วยกันมันจึงรวบรวมได้อย่างนี้จริงๆไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะ พระมหากัสสปะจะรวบรวมเอาเถรวาทะ และจากพระโอษฐ์ พระเถระ คือองค์ที่เกิดในสมัยพระพุทธเจ้า ก็เอาคำพูดของพระเถระบ้างพระพุทธเจ้าบ้าง พระไตรปิฎกจึงมีคำพูดของพระพุทธเจ้าและพระเถระ แต่การเอาอาจารย์หลังยุคพระพุทธเจ้า พบสัตบุรุษหรือไม่พบสัตบุรุษก็ไม่รู้ดีไม่ดี เขียนใส่เองนั่นแหละเป็นอาจาริยวาท นั่นแหละพาเสื่อม เรียกว่าอรรถกถาจารย์หรืออาจาริยวาท ซึ่งมันห้ามไม่ได้หรอกมันมีมาตลอดพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ต้องเจออย่างนี้ มันมีเป็นธรรมดาธรรมชาติ
ศาสนาพระสมณโคดม 5000 ปีก็เสื่อมไปแล้วมันจะไม่สูญทีเดียวมันจะไม่มีฤทธิ์แรงพอดีไม่ดีเชื้อพระโสดาบันอันสุดท้ายหรือไม่มีแม้แต่พระโสดาบัน ถ้าไม่มีเลยแม้แต่พระโสดาบันก็มีแต่พวกโลกีย์หมดเลย ก็กลายเป็นเทวนิยม 100% ถ้ามีเชื้อพระโสดาบันเหลือติ่งก็ยังมีพระโสดาบัน เพราะฉะนั้นจึงต้องเผื่อให้พอประมาณให้ได้ อาตมาจึงจำเป็นต้องกระเสือกกระสนอยู่ไป วันนี้ก็รู้จักฟิตได้วิธีออกกำลังกายใหม่ซอยเท้า 3 นาทีเช้าเย็น เข้าท่าสูตรนี้ ดูแล้วรู้สึกว่ามัน stimulate จริงๆ fresh up ขึ้นมา
มันเป็นธรรมดาเป็นองค์ประกอบที่เหมาะสมพระมหากัสสปะจะทำการสังคายนา ไม่ใช่ให้พระสารีบุตรมาสังคายนามันจะเป็นอีกอย่างหนึ่งเลย มันจะต่างกันนะในขั้วของพระสารีบุตรกับขั้วของพระมหากัสสปะ ในขั้วของพระมหากัสสปะ เป็นพระป่าเต็มรูปโดย ส่วนพระสารีบุตรเป็นพระบ้านเต็มรูปเลยอย่างนี้เป็นต้น ส่วนพระโมคคัลลานะนั้น กึ่งกลาง
_SMS วันที่ 5-6 ส.ค. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ)
_1182 คนโลกเงียบทำงานฝีมือเพ้นท์สีลงลายศิลป์ทุกวัสดุถูกแพง?ก็ขายตามที่พ่อ ครูชี้แน่ะให้ขายถูกไม่ขายแพง!ชิ้นเล็กทำวันนึงคืนนึง25-35฿ใบกลาง50-80ตามลายยากง่าย!ชุดใหญ่ภาพพุทธประวัติลายวรรณคดีทำ2-3วัน 100 กว่า฿ขึ้นไป!กำไรต่อชิ้นได้น้อยกว่าลูกจ้างทำต่อวันได้ค่าแรงงาน300฿เป็นเท่าตัว!ตนขายแพงฤาเปล่า?
พ่อครูว่า…พอเลี้ยงขันธ์นะใช้ได้ เทียบค่าจ้างแรงงานทั่วไปก็ยังต่ำกว่าเก่งแล้วใช้ได้ น้อยเกินไปไม่พอเลี้ยงขันธ์จะตายนะ
_นันท์มนัส · ยึดว่า จะขวนขวาย หาของใส่บาตร แล้วทุกข์ เฮ้อ เลยตื่นให้เลยเวลา ที่พระมาบิณฑบาต บาปไหม
พ่อครูว่า…ช่างถามจริงๆ ก็รู้อยู่ว่าไม่ควรทำที่พูดมานี้รู้อยู่ว่าตัวเองไม่ควรทำแล้วถามว่าบาปไหม
ก็ถ้าเผื่อว่า คุณเองจะใส่บาตร ขวนขวายใส่บาตร การใส่บาตรก็เป็นกุศลธรรม เป็นแต่เพียงว่าเลือกในการใส่บาตรบ้างอย่อย่าำปเลี่ยงาใส่สุ่มสี่สุ่มห้า ผู้ที่เป็นพระหรือไม่ใช่พระไม่น่าใส่ก็ต้องมีศิลปะบอกว่าไม่ต้องมารับที่ฉัน ฉันไม่ใส่ท่านหรอก ท่านไปปรับปรุงตัวใหม่เถอะ
สรุปแล้วใส่บาตรนั้นมันดีคุณทำการขวนขวายนั่นดี อย่าไปเลี่ยงเลยรู้มากยากนาน
_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก · พ่อครูสร้างชั้นเรียนแบบรวมชั้นได้สุดยอดมากครับ เพิ่งสังเกตได้ บางทีพ่อท่านสอนพื้นฐาน บางคนภูมิปัญญาสูงแล้วแต่หลงลืมพื้นฐานสภาวะธรรมเลยไม่สูงขึ้น หากพ่อท่านสอนภูมิธรรมชั้นสูง คนภูมิธรรมสูงก็ได้ประโยชน์ คนภูมิธรรมต่ำกว่าก็รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามไว้รอภูมิธรรมสูงขึ้นก็ได้ใช้ความรู้ที่เก็บไว้ กราบนมัสการพ่อครูและนักบวชชาวอโศกทุกรูปด้วยความเคารพยิ่งครับ
พ่อครูว่า…คุณเข้าใจถูกแล้วใช้ได้
_ปองแสงพุทธ ทองสุขนอก · หนูก็ใกล้เกลือกินด่าง มีผักสดและผลไม้ไม่อยากกินแต่อยากกินม่าม่า 555 น้อมกราบนมัสการทุกรูปเจ้าคะ พุทธศาสนาสันติอโศก ใกล้เกลือกินด่าง
พ่อครูว่า…คุณจะกินด่างอีกนานไหม ก็รู้แล้วปรับปรุงเสีย
_นภารัตน์ อิ่มรัง · กราบแทบเท้าพ่อท่าน.เคารพสูงสุด.ฟังที่เชียงใหม่เจ้า.เริ่มปฏิบัติธรรมแล้วเจ้า
_Ming Pha Tharaboon …
จอมมารผู้อวตารมาเป็นมนุษย์..สุดเหี้ยมมำมหิต…เลือดเย็นนัก เป้าหมายพวกเขา…ทำร้ายทำลายล้าง…เหล่ามวลมนุษยชาติ…และเหล่าคนดีจะอยู่ในอันดับต้นๆ พวกเขามีชีวิตปะปนอยู่กับเราๆท่านๆไหนเทพ…ไหนมาร…เหล่ามนุษย์…แยกไม่ออก #พระสัมมาสัมพุทธเจ้า…ทรงรู้ดีเป็นที่สุด พยายามบอกเล่า…ผ่านมหาโพธิสัตว์ หามีใครเชื่อไม่
อนิจจา! โลกแลนด์กะลา…
พ่อครูว่า…อาตมายังค้างอธิบายฌาน 4 มาต่อ วิชชา 8
พยายามอธิบายจรณะ 15 ถ้าคุณไม่มีขั้นตอนของศีลเบื้องต้น แล้วมีการปฏิบัติที่ไม่ผิด 3 ข้อ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ อาตมาก็สำทับ หนักว่าชาคริยา คุณต้องทำการตื่น แต่ถ้าไปหลับตาก็ไม่ตื่นแล้วไม่ต้องนอนหลับหรอกหลับตาก็ไม่ ชาคริยา
ชาคริยาต้อง มี จักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา แสงสว่าง ต้องมีทวารทั้ง 6 กระทบสัมผัส
ถ้าคุณหลับตาโลกข้างนอกแสงสว่างคุณก็ไม่มี มันก็ไม่บริบูรณ์แล้วแล้ว คุณบอกว่าตื่นคุณก็ตื่นอยู่ในภพ ก็ใช่ คุณก็มีโลกอยู่ในกะลาครอบ คุณฉลาดอยู่ในโลกกะลาครอบกับคนที่มีโลกวิทู รู้โลกกว้างรู้มากมาย อันไหนมันครบกว่ากันล่ะ
แล้วคุณก็หลงโลกในกะลาครอบว่ามันเกิดปัญญารู้มากมาย คุณก็ไม่รู้ว่าปัญญาที่คุณรู้นั้นมันไม่ใช่มันเป็นเพียงสัญญาเท่านั้น จากความจำของคุณ คุณไม่รู้อะไรใหม่เลย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพรหมชาลสูตร นั่งหลับตาทำเจโตสมาธิทั่วไปคนที่เขาทำกันอยู่ มันมีอยู่ในคุณจะเลือกได้แต่อดีต 18 หรือฟุ้งซ่านไปในอนาคต 44 มีเท่านั้นไม่มากกว่านั้นแล้ว
เพราะฉะนั้นมันไม่มีปัจจุบันนี้ จบศาสนาพุทธ ไม่มีทางจะเป็นอรหันต์ ขยายมาจนกระทั่งถึงขั้นต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ก็เข้าใจยากอีก เพราะวิโมกข์ ข้อ 1 2 3 รวมอยู่แล้วทั้งรูปและนามต้องทั้งนอกและภายในมีหมด แต่คุณก็ไม่ออกมาภายนอกมีแต่ภายในดีไม่ดีแปลภาษาผิดอีก อัชฌัตตังอรูปสัญญี แปลไปว่าไม่มีสัญญาขภายนอกอีก
อรูปสัญญี คือ มีสัญญารู้ถึงภายในถึง อรูป แล้วต้องรู้เห็นตั้งแต่ภายนอกจนถึงภายใน สัญญีคือผู้มีธาตุกำหนดรู้ทั้งภายนอกและภายใน แต่นี่ไปแปลผิดเพี้ยนว่า ไม่กำหนดรู้ไม่มีสัญญาไม่มีความสำคัญมั่นหมายในรูปภายใน เลยยิ่งไปกันใหญ่เลย ไม่กําหนดหมายรู้อะไรเลยดับไปเลย อาตมาเข้าใจว่าผู้แปลไปตามทิศที่ตัวเองนั่งหลับตาสมาธิดับความรับรู้หมดเลยนั่นแหละคือนิโรธ ก็เลยแปลว่าดับทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ ดับหมดเลย แปลไปตามความเห็นความรู้ของตัวเองซึ่งมันผิด
เพราะฉะนั้นในวิโมกข์ 8 ข้อที่ 1 ก็บอกไว้ชัด
-
ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ) แปลว่าผู้มีตาเห็นรูป หูกระทบเสียงลิ้นกระทบรส จมูกกระทบกลิ่น กายสัมผัส เสียดสีเย็นร้อนอ่อนแข็ง ผู้ที่มีประสาทรับรู้ยังดีอยู่ก็ต้องมีการเห็น การได้ยิน การรับรส การได้กลิ่น การสัมผัส ชัดเจนครบแล้ว ข้อที่ 1 ก็ต้องมีรูปและต้องมีประสาทสัมผัสมีตา หู จมูก ลิ้น กาย และก็ต้องทำงานกระทบกัน
ต้องปัสสติ ต้องสัมผัสเห็น หรือรู้หรือได้ยินรวมทั้งหมด รูปีรูปานิปัสสติ
-
ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66) ย่อมเห็น รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี . เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) . (พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)
รูปานิ คือรูปภายนอก คุณอยู่เหนือภายนอกได้แล้วคุณก็ไปทำภายในต่อ คืออัชฌัตตัง คุณอยู่เหนือรูปได้ก็หมด อยู่เหนือรูปไม่ใช่ตาหูจมูกลิ้นไปอยู่ภายในไม่รับรู้ ไม่ใช่ แต่ว่าสัมผัสภายนอก กิเลสไม่เกิด ไม่อยากได้ไม่อยากมีไม่อยากเป็นแล้วสลับกิเลสภายนอก แต่ข้างในยังมีอะไรอาวรณ์ที่เป็นรูป เป็นอนาคามีภูมิขึ้นไป คุณก็ต้องลดของตนเอง จนละเอียดเหลือน้อยลงที่สุดคืออรูป คือไม่มีรูป แต่มันมีจนไม่มีนั่นแหละ มันมีน้อยเท่าไหร่ก็คืออรูปนั้นแหละ จนมันไม่มี สูญเลย สภาพสุขทุกข์ชอบชังไม่มีแล้ว กลาง ปริสุทธา แม้ว่ากระทบสัมผัสอยู่ก็ยังสะอาด ปริโยทาตา มุทุ จิตของคุณจะเร็วในการรู้และการปรับเปลี่ยน ถ้ามันแรงขนาดนี้คุณกระเทือนอยู่นะ คุณต้องรู้ว่าไม่สนิทนะ ยังไม่นิ่งสนิทก็ต้องเรียน ลดไปอีก จนกระทบเท่าไหร่แรงขนาดไหนก็ไม่หวั่น ก็ต้องพิสูจน์ว่าคนนี้เล่นแรงนะ แต่เราก็ไม่เกิดรู้กัมมัญญา ปภัสสรา
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน..คงขึ้นอยู่กับภูมิธรรมของผู้ที่แปล เขาแปลอย่างไม่รับรู้ดับอะไรเลย ในอินทรีย์ภาวนาสูตรก็การทำอินทรีย์ภาวนาของลัทธิหนึ่งว่าไม่รับรู้อะไรเลย ก็คือพระพุทธเจ้าบอกว่าเหมือนกับทำให้ตาบอดหูหนวกนั่นเอง
พระพุทธเจ้าบอกว่าหัวใจของอินทรีย์ภาวนา คือทำให้ความชอบหรือความชังมันหมดไปเมื่อตาเรากระทบรูปหูเรากระทบเสียง
วิโมกข์ข้อ 1 คือ เมื่อตากระทบรูป หูกระทบเสียง ก็ต้องรู้ความชอบหรือความชังของเรา ว่ามันมีมากหรือน้อย หรือว่ามันสูญ โดยไม่ต้องไปหลับตา
อันที่ 2 ต้องให้รู้ทั้งภายนอกและภายใน มีสัญญากำหนดรู้ตั้งแต่ภายนอกจนถึงภายในรูป อรูป จนมันเหลือน้อยที่สุดจนวันสูญไปเลย ต่างจากลัทธิอสัญญี ที่ไม่ให้ไปรับรู้อะไรเลย ก็แปลไปตามทิฏฐิของคนแปล
-
ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ อธิมุตโต . โหติ, หรือ อธิโมกโข โหติ (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)
พตปฎ. ล.10 ข.66 / ล.23 ข.163
พ่อครูว่า…สุภะแปลว่างามแปลว่าน่าได้น่ามีน่าเป็น สุภะ กับอันตะ คือสุดที่คุณยึดคุณจับไว้ว่าอันนี้ น่าได้น่ามีน่าเป็น
คนที่ไปยึดสวรรค์ ในระดับอาภัสรา (ใส)สุภกิณหา คือน่ายินดีแต่ไปยินดีในความดำคือกิณหา คือมืด ดำ ส่วนที่ไปนิยมความมืดกับนิยมความสว่าง
สายธัมมชโย นิยมความสว่าง สายอ.มั่นนิยมความมืด
สายธัมมชโย ขนาดหลับตายังไปเห็นความสว่างเลย เป็นความสุดโต่งของสองฝ่ายของอาจารย์มั่นและธัมมชโย ขออภัยที่ต้องกล่าวชื่อ เพราะว่าสายสภาวะดำมืดนี้ยังผลาญโลกน้อย ส่วนสายสว่างอย่างธัมมชโย ผลาญโลกได้มาก
สายหนึ่งมักน้อย อีกสายมักมาก อาภัสราร้ายกาจมากเลย ส่วนสายมักน้อยมืดดำ ไม่ได้ไปรบกวนใครมากมายแต่หลงติดในอัตตาภพชาติ นิรมาณกาย สัมโภคกาย อาทิสมานกาย ไปหลงปั้นรูปร่างในจิต อีกอย่างหนึ่งซึ่งเสียเวลามาก
ผู้ที่โน้มจิต จิตมันมีทิศทาง มันโน้มทางมิจฉาทิฏฐิหลงว่าเป็นสัมมาทิฏฐิไปได้ แต่วิโมกข์ 8 ของพระพุทธเจ้านั้นต้องไปในทางที่ถูก โน้มไปในทางที่สูงที่เจริญโน้มไปสู่ทางที่บรรลุได้หมายความว่าจิตมันเดินทางผ่านโน้มไปสู่ที่สูงที่สุด นี่คือข้อ 3
เมื่อจิตโน้มลดกิเลสไปสู่ที่สูงที่สุดได้ก็หมดรูป เข้าไปสู่อรูปก็แบ่ง 4
-
ผู้ล่วงพ้นรูปสัญญา(พ้นรูปฌาน) เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะ ไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง จึงบรรลุอากาสานัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่าอากาศหาที่สุดมิได้ (สัพพโส รูปสัญญานัง สมติกกัมมะ ปฏิฆสัญญานัง อัตถังคมา นานัตตสัญญานัง อมนสิการา อนันโต อากาโสติ อากาสานัญจายตนัง อุปสัมปัชชะ วิหรติ)
๕. ผู้ที่ล่วงพ้นอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง จึงบรรลุวิญญาณัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า วิญญาณ หาที่สุดมิได้ (สัพพโส อากาสานัญจายตนัง สมติกกัมมะ อนันตัง วิญญาณันติ วิญญาณัญจายตนัง อุปสัมปัชชะ วิหรติ ฯ)
๖. ผู้ที่ล่วงวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวงจึงบรรลุอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร (สัพพโส วิญญาณัญจายตนัง สมติกกัมมะ นัตถิ กิญจีติ อากิญจัญญายตนัง อุปสัมปัชชะ วิหรติ)
ไม่ว่าสัญญาทางกาม ทางปฏิฆะก็หายไปหมด ปฏิฆะมันหมดแล้วภายนอก เรื่องผลักไม่มีแล้วมีแต่ยึดเป็นราคะอยู่ภายในก็ไปติดราคะภายใน หยาบจนถึงละเอียดจนถึงอากาศไปยึดเอาว่างๆในว่างก็มีสอง สภาวะวิญญานัญญาคือตัวรู้ก็ต้องรู้เทวะ
อากาสาเป็นรูปวิญญานัญญาเป็นนาม เราต้องดูว่านามเราอยู่และไปยึดอากาศความว่างเป็นภพ ก็ยึด
แม้ลืมตาทำอากาสาฯได้ ว่างก็ไม่สามารถใช้จิตปรุงแต่งนึกคิดทำงานก็ทำไม่ได้คุณก็อยู่ว่างๆ ว่างจนเก่ง เก่งจนกระทั่งตาก็ไม่เห็น หูก็ไม่ได้ยินทั้งที่ตาก็ลืมอยู่นะแสงกระทบม่านตาคุณก็ไม่มีเอาประสาทมารับรู้คุณก็ว่าง เรียกว่าตาบอดตาใส ไม่รู้สึกว่ามีอะไรมาถูกตา อย่างนี้เป็นต้น หูก็เหมือนกัน มันมีเสียง แต่คุณไม่ได้ยิน
พระพุทธเจ้าเดินจงกรมในโรงกระเดื่อง ฟ้าผ่า วัวตาย 4 คนตาย 2 ก็มีคนมาบอกพระพุทธเจ้าว่าฟ้าผ่าดังสนั่น ท่านได้ยินไหม…พระพุทธเจ้าก็ว่าไม่ได้ยิน…เขาก็ว่าท่านเข้าสู่ภพใน ทำให้จิตไม่รับรู้เลยได้ เสียงไปกระทบแก้วหูอยู่นะ ท่านยังเดินอยู่ใกล้ๆไม่ได้ยินอย่างไร คนฟังก็ว่าอัศจรรย์จริงหนอ้ขาเรียกว่าฌาน ว่สมาบัติ
สมาบัติคือภาค ปฏิบัติให้แก่ตนเองจนเกิดคุณสมบัติอย่างหนึ่ง ท่านทำได้ถึงขนาดนั้นอาตมาทำไม่ได้อย่างพระพุทธเจ้าฟ้าผ่าก็ต้องได้ยินแน่นอน นอกจากบางทีหลับสนิทฟ้าผ่าก็ไม่ได้ยินเหมือนกันนะอาตมานอนหลับ แต่ถ้าลืมตาเห็นฟ้าผ่าอยู่ใกล้ๆมันก็ได้ยินถึง แต่ท่านเดินอยู่นะ ท่านมีคุณสมบัติถึงขนาดนั้น คนที่มาพบก็บอกว่าอัศจรรย์จริงหนอท่านทำการสมถะจิตของท่าน ดีเก่งเป็นคุณสมบัติพิเศษของพระพุทธเจ้าเราทำไม่ได้ขนาดนั้นก็เป็นความจริงเท่านั้นเอง
สรุปแล้วอากาสาฯกับวิญญานัญจา ก็เป็นคู่หนึ่ง ความว่างกับสิ่งที่ไปรู้ว่าว่าง
ส่วนอีกคู่คือ อากิญจัญฯกับเนวสัญญาฯ
อากิญจัญคือรูป นิดหนึ่งน้อยหนึ่ง คุณไม่มี สภาวะสัมผัสอันนี้ก็ไม่มี มันเกินกว่าว่างก็ได้ ว่างมันก็มีว่างแต่นี่ไม่มีอะไรเลย
เนวสัญญาฯคุณรู้ไหม จะว่ารู้ก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ไม่ได้ต้องพ้นจากความรู้ก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ ต้องพ้นจากเนวสัญญานาสัญญายตนะก็เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธต้องกำหนดรู้ให้หมดเลยจะว่ารู้ก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ไม่ได้ยังไม่ถือว่าเป็นพระอรหันต์ อรหันต์ต้องถึงสัญญาเวทยิตนิโรธต้องกำหนดรู้ความดับสนิทอันนั้นรู้แจ้งรู้หมดเลยในความไม่มี ว่างมันต้องมีความว่าง แต่มันไม่มีมันก็คือไม่มี มันหมดภาษาแล้ว
สุดท้ายพระพุทธเจ้าก็บอกว่าคุณก็ต้องใช้ความมีกับความไม่มีเป็นบัญญัติในการสื่อ
พระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 บอกไว้ นัตถิกับอัตถิ หรือโหติกับนโหติ เป็นพยัญชนะที่ใช้สื่อสภาวะเราก็จะไม่สงสัย
สรุปแล้ว บรรลุแม้เนวสัญญานาสัญญายตนะ กับอากิญจัญญายตนะ ฝจนเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นวิโมกข์ข้อสุดท้ายตัวที่ 8
-
ผู้ที่ล่วงพ้น อากิญจัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง จึงบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ (สัพพโส อากิญ-จัญญายตนัง สมติกกัมมะ เนวสัญญานาสัญญายตนัง อุปสัมปัชชะ วิหรติ ฯ) หรือจิตวิญญาณต้องพ้นสิ่งที่ไม่รู้ และไม่มีที่จะไม่รู้
8 .ผู้ที่บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญา-นาสัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง (สัพพโส เนวสัญญานาสัญญายตนัง สมติกกัมมะ สัญญาเวทยิตัง นิโรธัง อุปสัมปัชชะ วิหรติ) หรือพ้นอวิชชาสังโยชน์
อันผู้เข้าถึงแล้ว พึงทบทวนตรวจสอบอย่างอนุโลมบ้าง อย่างปฏิโลมบ้าง ทั้งอนุโลมและปฏิโลมบ้าง หรือบางขณะก็อยู่ในอารมณ์บางขณะก็ไม่อยู่ในอารมณ์แห่งวิโมกข์๘ อยู่บ้าง-ไม่อยู่บ้างตามคราวที่ต้องการ ตามที่ปรารถนาและตามกำหนดที่ประสงค์ จึงบรรลุเจโตวิมุติ – ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะสิ้นไป เพราะทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน นี้เรียกว่า อุภโตภาควิมุติ
มหานิทานสูตร พตปฎ. ล.10 ข.66 / ล.23 ข.163
กายต้องรู้ทั้งภายนอกและภายใน การที่จะรู้แล้วเลิกความติดยึดในวัตถุนั้นง่ายแต่กายนั้นพระพุทธเจ้าหมายถึงมโนจิตวิญญาณ ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.16 ข.230
ตกลงผ่านวิโมกข์ 8 นะ
พ่อครูว่า…มาพูดสิ่งที่เตรียมมา อาตมาจะสรุป ฌาน 4 ในจรณะ 15 แล้วจะเน้นปัญญา ญาณ วิชชา
ฌาน 4 ในจรณะ15 ตั้งแต่สังวรศีล
-
ถึงพร้อมด้วยศีล . . 9. ปรารภความเพียร (อารัทธวิริโย)
-
คุ้มครองทวารอินทรีย์ 10. สติอันเป็นอาริยะ . .
-
ประมาณในโภชนา 11. ปัญญา . .
-
ประกอบความตื่น 12. ปฐมฌาน .
-
ศรัทธา (เชื่อมั่น) . . 13. ทุติยฌาน
-
หิริ (ละอายต่อบาป) . 14. ตติยฌาน
-
โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป). 15. จตุตถฌาน
-
แทงตลอดในพหูสูต . (ล.13/34)