620809_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ศึกษาวิชชาจรณะให้เข้าถึงปรมัตถธรรม
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1R48d6xKK20DPPJZp1ye_hKpryk0d1r-bIP6trP9uEBY/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1hbu8O7_MKuRDi4uTiE-8mSzOfL_-lorr
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2562 ที่บวร ราชธานีอโศก ระยะนี้ที่ชุมชนราชธานีอโศกมีคนสนใจมาดูงานทุกวันเลย มีคนโทรมาเบอร์ของอาตมาติดต่อทุกวัน นอกจากดูงานแล้วยังมีติดต่อซื้อสินค้าเช่น เกลือดำอีก แสดงให้เห็นว่ากาละนี้ คนสนใจชุมชนที่มีธรรมะโลกุตระอย่างชาวอโศกมากขึ้น ผลงานที่พ่อครูแสดงเอาไว้ทำให้คนสนใจในสิ่งนี้มากยิ่งขึ้น ขึ้นอยู่กับตัวพวกเราที่จะได้แสดงสิ่งที่ได้รับจากพ่อครูให้เป็นรูปธรรมให้ได้ เช่น การลดละกิเลส การเสียสละตัวเอง เพื่อผู้อื่นได้
แต่ก่อนปุ๋ยบ้านราชฯขายได้มากเฉพาะช่วงเมษายนแต่ตอนนี้มีคนติดต่อมาเรื่อยๆตลอดปี คนสนใจธรรมะและผลผลิตของชุมชนมากยิ่งขึ้น
สื่อธรรมะพ่อครู(3 อาชีพกู้ชาติ) ตอน สามอาชีพกู้ชาติต่อไปจะเจริญยิ่งขึ้น
พ่อครูว่า…ขอสำทับที่ท่านฟ้าไทพูดไปแล้ว ปุ๋ยของเราขายดีขึ้น ก็อยากจะสำทับว่าเรื่องปุ๋ยเป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำคัญ อย่างที่พวกเราได้รู้เรื่องสามอาชีพกู้ชาติอาตมาได้กำหนดไว้มานานทีเดียว ถึงสามอาชีพกู้ชาติ ก็ค่อยๆเข้าใจ
มีกสิกรรมธรรมชาติก็ไม่มีปัญหา ทุกวันนี้เข้าใจกันมากขึ้นว่ากสิกรรมธรรมชาติคืออะไรเสร็จแล้วเราก็พัฒนาการขึ้นมาจนเป็นที่ยอมรับ ก็น่าจะดีให้ยิ่งขึ้นกว่านี้อีกให้สังคมมีความอุดมสมบูรณ์และสุขสบาย ได้ตระหนักถึงคุณค่าของผลผลิตที่ดี ที่มีความซื่อสัตย์บริสุทธิ์ ขายสดงดเชื่อเบื่อทวง
ปุ๋ยสะอาด หลายคนก็บอกว่าพอถูไถไปได้ จะกู้ชาติได้อย่างไร ปุ๋ยอีกหน่อยก็ต้องออกต่างประเทศนะ ตอนนี้เราขายอยู่ในประเทศก็พอสมควรก็พอเป็นไป อย่างบ้านราชฯเราก็มีโรงงานปุ๋ย ปฐมอโศกก็มีโรงงานปุ๋ยโรงงานยา ศีรษะอโศกก็มีโรงงานยา แต่ว่าบ้านราชมีโรงงานปุ๋ยไม่มีแต่โรงงานยา อาจมีแปรรูปบ้าง ไม่มีอะไรเป็นหลัก ที่เป็นเงินแสนเงินล้าน ตอนนี้ก็อาศัยคุณทิวเมฆมาขยายโรงงานปุ๋ย คุณทิวเมฆ ทำโรงปุ๋ยพลังแผ่นดิน ของเรานี้โรงปุ๋ยพลังชีวิตผลิตปุ๋ยงอกงาม ของทางโน้นปฐมอโศกมีโรงปุ๋ยพลังแผ่นดินผลิตปุ๋ยขวัญกสิกร ของทางปฐมอโศกนั้นมีความเสถียร
ก็ขอให้พวกเราตั้งใจ อีกอันหนึ่งคือ ขยะวิทยาด้วยหัวใจ แต่ก่อนนี้ยิ่งไม่เข้าใจกันว่าจะมากู้ชาติได้อย่างไร ต่อมาเราก็ใช้ว่าเพื่อมวลมนุษยชาติ เป็นสามอาชีพเพื่อมวลมนุษยชาติ ที่นี่สมณะหินจริงก็ทำงานเรื่องขยะหนัก เราไม่ได้บังคับกันใครมีน้ำใจก็ไปช่วย ใครเห็นดีเห็นงามก็ไปช่วยด้วย ใครเห็นความสำคัญ อาตมาก็ค่อยๆแนะนำ ผู้ใดเห็นความสำคัญก็ไปช่วย ที่นี่อาจจะเป็นเมืองเล็ก อุบลฯ แต่ก็ไม่เล็กเท่าไหร่หรอก ขยะมันก็จะน้อยกว่าที่กรุงเทพฯ มันก็เลยมีกิจการขยะมาก ขยะหมุนเวียนเยอะ มีการสะพัดทางเศรษฐกิจเยอะเพราะเป็นเมืองกรุง แต่ที่นี่มันเมืองบ้านนอก สุดของอีสานเลยนะมันก็เลยไม่เท่าไหร่ แต่ก็เจริญขึ้นเรื่อยๆ อาตมาก็มั่นใจว่าเป็นอีกอันหนึ่ง
กสิกรรมธรรมชาติ ปุ๋ยสะอาด ขยะวิทยา 3 อันนี้ ค่อยๆเข้าใจเพิ่มขึ้นแล้ว เอาเลยเต็มที่ ถ้าหาก 3 อย่างนี้เจริญงอกงามมีผล “คนมีบุญ-คุณมีค้ำ-กิจกรรมมีผลเจริญ”
ภาษาสื่อสภาวะ แล้วปฏิบัติออกมีผลมีประโยชน์ต่อตัวเราต่อสังคมมนุษยชาติอย่างแท้จริง ก็ขอย้ำอีกทีหนึ่งว่า เราจะก้าวหน้าได้ดีได้เร็ว ช่วยมนุษยชาติได้มากขึ้น
ต่างประเทศเขายังไม่เข้าใจถึงจุดสำคัญของคุณธรรมโลกุตระ ก็จะเห็นกันเลย แม้แต่เขาถือว่าเป็นประเทศมหาอำนาจ ประเทศที่ยิ่งใหญ่ คนยอมรับนับถือมา ในยุคนี้พ.ศ.นี้ เมืองไทยยังไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรนะ สำหรับในโลกเขา แต่ว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศที่เป็นผู้นำ ผู้นำที่ไม่ต้องใหญ่ ผู้นำที่ไม่ต้องรวย ผู้นำที่ไม่ต้องเบ่งอำนาจ จะเป็นผู้นำที่ตีกลับจากโลกียจากโลกที่เขาทำ มันจะเป็นมาอย่างนี้จริงๆมาเป็นโลกุตระ ซึ่งเป็นการสวนกระแสกับโลกียะ และมันก็จะค่อยๆดีขึ้น เพราะฉะนั้นในระยะต่อจากนี้ไปเรื่อยๆ อาตมาบอกเป็นตัวเลขสังขยาไว้ว่า ประมาณ 500 ปี นี่มันก็ 40 กว่าปีแล้วจะ 50 ปีแล้วที่อาตมาทำมา ไปเรื่อยๆ ถึง 500 ปีก็เจริญสูงสุด แล้วถึงจะค่อยๆเสื่อมลงไปเป็นรูปสามเหลี่ยมที่ทำให้ดูเป็นรูปแบบไว้
_MS วันที่ 7 – 8 ส.ค. 2562
สื่อธรรมะพ่อครู(ฌาน อรูปฌาน) ตอน อรูปฌาน 4 ตอน สภาพสภาวะอากาสานัญจายตนะ
_8768กราบนมัสการพ่อท่านค่ะ ขออนุญาตทำความเข้าใจสภาวะสุดท้ายของวิโมกข์ 8 ค่ะ
ขออนุญาตยกตัวอย่าง นะคะ เช่น เมื่อเราไปเจอผัสสะด้วยถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามเรา ดุด่าเราแต่ตัวเรารับรู้ถ้อยคำนั้นชัดเจน จึงดับความรู้สึกไม่ชอบใจและความโกรธลงจนนิ่งเฉยและไม่โกรธ จนกระทั่งนิ่งเฉยได้อย่างไม่ใส่ใจ สภาวะแบบนี้เรียกว่าบรรลุอากาสานัญจายตนะหรือเปล่าคะ เพราะขณะนั้นจิตสงบเป็นศูนย์เหมือนกับว่าไม่ใช่คำด่าสงบจริงๆค่ะและรับรู้ว่าเขาด่า เขาดูถูกเหยียดหยาม จิตสูงเข้าบรรลุสู่วิญญาณัญจายตนหรือไม่คะ กราบนิมนต์พ่อท่านสาธยายจุดนี้อีกครั้งและกราบนิมนต์พ่อท่านยกตัวอย่างเพื่อเป็นไฟส่องทางแก่ลูกผู้มีฝุ่นละอองธุลีในดวงตาเป็นอันมากค่ะ. กราบแทบเท้าพ่อท่านโปรดชี้นำทางด้วยเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…มันเป็นการสะกดข่ม สะกดใจเรา ถ้าเป็นอากาสาฯจะไม่ต้องกดข่ม จะรู้ด้วยปัญญาด้วยมีจิตเมตตาไม่ลบหลู่แม้เขาจะมาด่ามาทำร้าย เป็นเชิงรุกรานเรามาเราก็ไม่ได้ถือสาไม่ได้มีใจที่จะไปต่อต้าน ไม่มี Reaction ฟังด้วยใจว่างสบายๆรู้สาระ รู้เนื้อแท้ของสัจธรรม แม้แต่พยัญชนะก็รู้ประกอบกันว่าสื่ออันนี้หรือพยัญชนะเข้าใจว่าตรงสภาวะอย่างนี้ตรงหรือกลับกัน แต่จิตของเราว่างด้วยปัญญาไม่ต้องกดข่ม กดข่มมันต้องช่วยหากยังไม่เก่งแต่เก่งแล้วไม่ต้องกดข่มเลย สู้ได้ไม่โกรธไม่โลภไม่หลงได้แท้จริง
ไม่โกรธเป็นฐานแรก ไม่รักไม่โลภฐานต่อมา ไม่หลงก็ต้องให้ชัดเจนไม่สับสน แล้วสุดท้าย เรื่องความโลภ ความชอบพลังดูดมันจะต้องอาศัยในชีวิตยุคสุดท้าย ส่วนพลังงานโกรธพลังงานผลักพลังงานทำร้ายตัดออกไปได้ก่อนเลย โกรธะ ราคะ โมหะ นี่โกธะ ตัดออกไปก่อนเพื่อนเลยไม่มีประโยชน์อะไร อาตมาก็ย้ำสอนเรื่องนี้มาไม่น้อย
ส่วนราคะโลภะ เป็นพลังงานที่ต้องอาศัยประคองไว้ แต่ไม่ได้ยึด เพียงอาศัย แม้แต่อาลัยก็ไม่มี
อาศัยคือเราก็ใช้ไป แต่อาลัยหากพรากจากกันจะรู้สึกห่วงหาอาวรณ์ มันก็จะเหลือเชื้อของความอาลัย ยังไงก็ต้องพรากจากกัน มันก็ต้องมีปัญญารู้ แต่ก็ต้องใช้อาศัยในปัจจุบันหมดปัจจุบันแล้วก็วางจบ จะเข้าใจสภาวะพวกนี้ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ
สรุป อากาสานัญจายตนะ คืออรูปฌาน 4 ซึ่งต้องอาศัย ในชีวิตต้องอาศัยใช้งาน ฌาน 4 แต่ไม่ได้อยู่ที่การหลับตา การศึกษานั่งหลับตาก็เป็นการได้พักผ่อนหรือได้ศึกษาจิตภายใน แต่ถ้าเราเข้าใจแล้วก็จะรู้ได้ลึกซึ้ง อย่านึกว่า ฌาน ลืมตาจะสมบูรณ์แบบได้ง่ายๆมันมีความลึกซึ้ง คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม ๙ ข้อ ๓๔)
ถ้ารู้ว่าเขาด่าไม่ต้องกดข่มนี่ก็มีปัญญาแล้ว
คู่ของอากาสาฯกับวิญญานัญจายตนะก็เป็นรูปกับนาม อากาสาฯเป็นรูปเป็นสิ่งที่ถูกรู้
อีกคู่คือ อากิญจัญยายตนะกับเนวสัญญานาสัญญายตนะ
อากิญจัญยายตนะ มองในเชิงไม่มี จะมองในแง่มืดก็ใช่ อากาสาฯก็มองในแง่สว่าง อากิญฯสว่างแต่นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มี มันอธิบายคำว่าไม่มีลึกเข้าไปอีก เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีเนวะสัญญานาสัญญายตนะเป็นตัวรู้ อากิญจัญญายตนะเต็มรูป ต้องดูให้ละเอียดเข้าใจหมด ไม่มีกับเหลือน้อยที่สุดนี้มันใกล้กันมากเลยนะ แยกกันไม่ออกเลย ก็ต้องชัดเจนว่าเหลือน้อยที่สุดกับหมดแล้วมันต่างกัน สิ่งเหล่านี้เราจะต้องรู้จักสภาวะ รู้จักพยัญชนะจะเข้าใจสื่อสารออกมา เรียนไปคุณก็เข้าใจได้ลึกซึ้งไม่ใช่น้อย
_7163พ่อครูให้เวลา SMS มากไป.น่าจะสัก30นาที พรรษานี้ญาติธรรมมาอยู่วัดมากน่าจะได้ฟังเนื้อหาธรรมะที่พ่อครูเตรียมมามากกว่านี้.คนที่อยู่ต่อหน้าสำคัญที่สุด
พ่อครูว่า…ก็จริงก็พยายามอยู่ เอารายละเอียดของผู้ที่อยู่นี้เป็นหลัก
_7757กราบนมัสการหลวงปู่ครับ กระผม นายสันติ จรูญวิทยากร ขอกราบอาราธนา หลวงปู่ให้ต้องสู้อดทนให้ไหวอยู่ให้ได้นานสุดๆให้ ถึง 151 ปี ให้ได้นะครับ ผมขอตั้งจิตติดตามหลวงปู่ไปตลอดครับ.
_บัวเรียน ลาธุลี · มหัศจรรย์ จริง หนอ ธรรมะ
พ่อครูว่า…อันนี้จริงนะสำหรับคนที่เข้าใจ ถ้าเคยรู้แล้วความมหัศจรรย์ก็ลดลงความเคยชินก็จะมากขึ้นเท่านั้นเอง เหมือนในพระไตรปิฎกที่มีข้ออุทานแบบนี้เยอะ
สื่อธรรมะพ่อครู(การตำหนิการชม) ตอน ธรรมะระดับโลกุตระคือการตำหนิสิ่งที่ควรตำหนิ
_Thailand in. Chinese • ดูคลิฟนี้แล้วก็สงสัยว่าพ่อท่านไปอุปวาทะ(ว่าร้าย)ทักษินทำไม..พระอริยะต้องมีจิตเสมอในเหล่าสรรพสัตว์คือมีเมตตาแผ่ไปโดยไม่มีประมาณคือรักทุกชีวิตไม่เลือกที่รักมักที่ชังไม่ใช่หรือ.ครับ.กราบคารวะ.ผิดพลาดประการใดขอประทานโทษ..
ท่านทำเป็นความดีครับเหมือนพระไปทำกับข้าวแจกชาวบ้าน ในภาวะน้ำท่วม.แต่เป็นความดีระดับชาวบ้าน(คัมโม).อริยะชนต้องให้อริยทรัพย์..คืออะไร..??
พ่อครูว่า…ขอยืนยันว่าอาตมาไม่ได้ทำในระดับชาวบ้าน(คัมโม)เลย มีเรื่องระดับชาวบ้านนิดหน่อย แต่หลักๆอาตมาทำทางด้านโลกุตระเยอะมันจึงได้น้อย ถ้าทำอย่างชาวบ้านแล้วป่านนี้ ไม่ได้น้อยหน้าธัมมชโยหรอก ใหญ่กว่านั้นอีกจะว่าไปแล้ว เพราะจริงๆอาตมาขออภัยนะต้องพูดถึงความจริง อาตมามีบารมีมากกว่าธัมมชโยไม่รู้จักกี่ชั้นของธัมมชโยนั้นเป็นอบายระดับนรกส่วนอาตมาเป็นโลกุตระเทียบกันไม่ได้เลย คนหนึ่งเป็นก้อนเห็ดอีกคนหนึ่งเป็นฟ้า ขออภัยไม่ได้ข่มนะ เดี๋ยวคุณก็จะบอกว่าข่มเขาทำไม
ไม่ได้ข่ม แต่พูดความจริงว่าประมาณนั้นเหนือจริง
เข้าสู่คำว่าอุปวาโท อนูปวาโท อาตมาไม่ได้ไปว่าร้ายใคร อาตมาเอาความจริงมายืนยัน ใครเขาเลวเขาไม่ดีก็เอามายืนยันให้เขารู้ตัว เขาไม่รู้ตัวว่าเขาทำอย่างนั้นมันเลว แม้แต่ธัมมชโยทำอย่างนั้นหลอกล่อให้ดูดีดูงามพาคนมาสบายมาสวยงามหรูหรา มันเป็นเรื่องเลวนะไม่ใช่เรื่องดี มันเป็นความซับซ้อนเป็นความหลอกลวงไม่รู้กี่ชั้น หรือไปติดอบายมุขอย่างมหาบัวมันเป็นเรื่องเลว หลงสภาวะเป็นอรหันต์เก๊ แบบฤาษี อุทกดาบส อาฬารดาบส อุตส่าห์เรียนถึงมหา แต่อาตมาไม่จบเปรียญสักประโยคเลย ยิ่งเรียนมาก็น่าจะสบาย แต่ใช้ไม่เป็นเลยมีแต่สภาวะที่ ปึ๊งปั๊ง กดข่มทั้งนั้นเลย วิธีแบบนั้นอาตมาก็เคยทำเป็นการนั่งสะกดจิต อาตมานั่งสะกดจิตมาจนมาทำงานศาสนาพุทธออกบวช คือความพยายามทำงานให้เกิดสัมมาทิฏฐิ แต่ก่อนก็ไปเล่นไสยศาสตร์สะกดจิตก็ชัดเจนทำมาทุกอย่าง แม้ตอนบวชใหม่ๆก็นั่งสะกดจิตอยู่วัดอโศการาม
เคยเล่าว่านั่งสะกดจิตอยู่ท่ามกลางยุงทะเลที่มีไม่ใช่น้อย เข้าไปอยู่ภายในไม่ได้รับรู้ภายนอกเลย จนกระทั่งยุงมารุมกัด แต่ก็ไม่รู้ตัว รู้สึกตัวออกมาก็เห็นเลยว่าทำไมยุงมันเยอะจัง เราก็ค่อยๆปัดออก แดงเป็นผื่นเยอะแต่ไปหมด ไม่รับรู้สึกอะไรเลยจริงๆ เหมือนกับ พรหมลูกฟัก หรือนั่งหลับตาให้เกิดฤทธิ์เดชอย่างไรก็เคยทำมา ก็ถึงรู้ว่าอย่างนั้นไม่ใช่อนุสาสนีปาฏิหาริย์ มันเป็นเพียงอิทธิปาฏิหาริย์หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์
สรุปแล้วในเรื่องของอุปวาทะ ให้คุณศึกษาให้ดีๆพระพุทธเจ้าสอน นิคคัณเห นิคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง
พระพุทธเจ้าสอนให้ตำหนิคนที่ควรตำหนิ แม้แต่ฝั่งตรงข้ามกัน ถ้าเป็นศัตรูไม่ต้องตำหนิเขา ถ้าเราไม่อยู่เป็นชาวพุทธร่วมกันก็ไม่ต้องไปตำหนิเขา ยิ่งเป็นคนละศาสนาก็ไม่ต้องตำหนิเขา เป็นแต่เพียงพูดสัจจะให้ระวังเท่านั้นเอง คนละศาสนาพูดสัจจะให้ระวัง แต่ไม่ต้องไปตำหนิเขา ส่วนศาสนาเดียวกันนี้เป็นนานาสังวาส แม้แต่เป็นนิกายก็ปล่อยได้เหมือนกัน นับถือกันคนละอย่างแล้วร่วมกันไม่ได้ ก็คนละอย่างไม่ต้องดึงกันมาให้เกิดเรื่อง แต่ว่าเป็นนานาสังวาสให้ค้านแย้งกันได้
อาตมากับพวกเถรสมาคมเป็นนานาสังวาสกัน ไม่ใช่นิกาย แต่ถ้าชาวเถรสมาคมคนไหนก็แล้วแต่ถือว่าอาตมาเป็นนิกาย ก็เพราะว่าคุณเป็นคนกำหนดจัดแจงเอง ใครจะมีความคิดเป็นนิกายก็เป็นของตน ถ้าเป็นความคิดทางนิกายคนนี้เป็นคนละนิกายกันแตกแยกกันก็ไม่เป็นปัญหา แต่ถ้ามันไม่ใช่นิกายเป็นนานาสังวาสแต่คุณมาตีความให้เป็นนิกาย เป็นอาบัติหนักนะไม่ใช่เรื่องเล่นเลย เพราะว่าคุณจะไม่มีสิทธิ์จะรู้เลยว่านานาสังวาสมีแค่นี้เป็นพุทธร่วมกันไม่ใช่แยกกันเลย แต่คนเขาถือดีมากเลยอแยกนิกายกัน จริงๆแล้วถ้าคุณผิด นานาสังวาสคือเห็นต่างกัน ถ้าคุณผิดอีกฝั่งหนึ่งต้องถูกใช่ไหม แล้วมันจะเป็นอย่างไร ถ้าคุณถูกนานาสังวาสอาตมาผิด ก็ชัดเจน ไม่มีอาบัติ แต่ถ้าคุณถูกคุณจริงเป็นตัวสัจจะของพุทธศาสนา แต่ถ้าอาตมาเป็นพุทธศาสนาตัวจริงคุณเป็นอย่างไร จะเกิดอนันตริยกรรมเอานะ ไม่ได้ใส่ความแต่ระวังนะคุณ
ตั้งใจให้ดีๆอาตมาบอกไปเท่าไหร่ไม่ว่าจะเป็นธัมมชโยหรือทักษิณอาตมาว่าให้หนัก อย่างมหาบัวไม่ได้ว่าหนักเท่าไหร่ แต่ธัมมชโยอาตมาว่าหนักและแรงมากเลย เพราะมันเป็นภัยต่อสังคมประเทศชาติศาสนา อย่างทักษิณทางโลกีย์โลกๆแต่ธัมมชโยนี้ทั้งเป็นเรื่องทางธรรมะและเรื่องทางโลกจึงถูกลงน้ำหนักมากกว่าทักษิณ ถล่มเลย ปฏิกโกสนา
ทักษิณเขาก็นับถือศาสนาพุทธ ยิ่งธัมมชโยเขาก็ยืนยันตัวเองว่าเป็นชาวพุทธแต่กลับมาทำลายศาสนาหนักหนาสาหัส อาตมาแค่ ปฏิกโกสนา คำแปลของท่านประยุทธ์กล่าวไว้ว่าการกล่าวคัดค้านอย่างจังๆ ก็ชัดเจน คือโต้ตอบกันอย่างหนักเลย ค้านหนัก ตำหนิหนักเลย พูดให้ชัดๆเลย ไม่เห็นด้วยจังๆ กล่าวด้วยเหตุผล ข่มขี่ที่มีน้ำหนักมากกว่าเท่านั้นแต่ไม่ถึงกับ อักโกสะ คือถึงกับด่า หยาบคายไป ซึ่งเป็นเรื่องไม่ดีไม่งาม ในการใช้คำหยาบ สาดเสียเทเสีย
ขอยืนยันว่าอาตมาไม่ได้พูดร้ายไม่ได้ทำร้ายแต่ว่าความเลวร้ายที่เขาเลวร้ายจริงๆ ซึ่งเป็นความเลวร้ายที่เอาความดีมาหลอกมาครอบงำมาปะหน้า ไม่ว่าจะเป็นทักษิณหรือธัมมชโยเขาใช้เช่นนั้น คนที่ไม่รู้ทันไปหลงทักษิณหลงธัมมชโยอยู่เท่านั้นเองเอาให้ดีๆ
ขอยกตัวอย่างทักษิณกับพลเอกประยุทธ์
พลเอกประยุทธ์ไม่ได้แสดงอย่างทักษิณ ทักษิณเอาความดีปะหน้าหลอกลวงแต่ว่าพลเอกประยุทธ์แสดงความจริงแล้วมันจะไม่ค่อยเอาใจใคร เลยกลายเป็นไม่เหมือนทักษิณ ทักษิณมีคนชอบคนรัก แต่ว่าพลเอกประยุทธ์คนจะชอบก็ต้องชอบสัจจะ ไม่ได้ชอบปะเหลาะ ไม่ได้ชอบหลอกลวง เอาสีผัดหน้าตาเอาแป้งผัดหน้ามาใส่ ไม่ใช่
ใส่ใจให้ดีๆอาตมาก็เห็นว่าคุณตั้งใจศึกษาอยู่
_จากผู้เริ่มกระจ่างธรรม…เมื่อเช้านี้ตื่นขึ้นมาประมาณตี 2 ความรู้สึกเกิดขึ้นกับตนเอง หวนนึกถึงเมื่อคืนที่ได้ฟังท่านฟ้าไท ท่านถักบุญ สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน ต่างก็พูดแง่มุมต่างๆของธรรมะ พร้อมกับเปิดคลิปพ่อครูให้ฟัง
ความรู้สึกกลับมาหาตนเอง ที่จิตใจไม่ค่อยสงบทุกวันนี้เพราะมัวแต่คิดว้าวุ่นอยู่กับเรื่องราวต่างๆที่ยังไม่เกิด…
มันต้องอย่างนั้น…มันต้องอย่างนี้…มันต้องอย่างโน้น…มันต้องไอ้นั่น…มันต้องไอ้นี่…มันเป็นอย่างโน้น…มันเป็นอย่างนี้.. ล้วนแต่เราปรุงแต่งคิดไปเองทั้งสิ้น จึงไม่เคยพบกับความสงบที่เป็นปัจจุบันเลย
ถ้าเราไม่ได้ฟังธรรมจากสัตบุรุษชีวิตเราคงไม่ได้พบสัจธรรมแน่
จึงขอกราบคารวะอย่างสูงสุดมายังพ่อครูสมณะ สิกขมาตุ มา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เริ่มกระจ่างธรรม
สื่อธรรมะพ่อครู(สติปัฏฐาน 4) ตอน เจโตปริยญาณ 16 ต่างกับมโนปวิจาร 18
_อโศกสัมปวังโก…กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพอย่างสูง
-
เมื่อหลายปีก่อนพ่อท่านได้ให้ความสำคัญและขยายความ “เจโตปริยญาณ 16” อยู่เป็นประจำ แต่ในทุกวันนี้ พ่อท่านให้ชาวอโศกสนใจเรื่อง “เวทนา” อันเป็นหัวใจของกัมมัฏฐานโดยเฉพาะ “มโนปวิจาร 18 กระผมอยากให้พ่อท่านได้บอกจุดประสงค์ของธรรมะทั้งสองหมวดว่า มีจุดประสงค์ในการใช้ต่างกันหรือไม่อย่างไร นักปฏิบัติจะให้ความสำคัญกับหมวดธรรมไหนก่อนหมวดธรรมไหนหลังอย่างไร ขอพ่อท่านช่วยไขความให้กระจ่างด้วยครับ
พ่อครูว่า…เจโตปริยญาณ 16 กับมโนปวิจาร 18
มโนปวิจาร 18 อยู่ในเวทนา 108 มโนปวิจาร 18 มีสองฝ่ายคือโลกียะกับโลกุตระ
เวทนานั้น เป็นตัวปฏิบัติ ส่วนเจโตปริยญาณ 16 นั้นเป็นหลักให้ตรวจสอบ
คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) .
รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์.
-
สราคจิต (จิตมีราคะ)
-
วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ)
-
สโทสจิต (จิตมีโทสะ)
-
วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ)
-
สโมหจิต (จิตมีโมหะ)
-
วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ)
-
สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) . สายศรัทธา
-
วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) สายปัญญา
-
มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)
-
อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น) อาจจะผิดก็ได้
-
สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)
-
อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) มันดีจบแต่พระพุทธเจ้าก็สำทับต่ออีกว่า
-
สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) static
-
อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)
-
วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) dynamic
-
อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง)
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135)
สรุปแล้วเตวิชโช มี บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ
เจโตปริยญาณมี 16 อย่าง ที่ถามมากับมโนวิจาร 18
เจโตปริยญาณเป็นมาตรวัด ส่วนมโนปวิจาร 18 เป็นสารัตถะที่คุณจะต้องปฏิบัติเวทนา 108 รู้จักเคหะสิตะกับเนกขัมมะ แยกให้ออก
วันนี้รู้สึกเป็นโลกียะอันนี้รู้สึกเป็นเนกขัมมะคือทำให้กิเลสออกได้ คุณไม่รู้อาการ ลิงค นิมิต ลักษณะอาการนี้มันเป็นโลกีย์
ตอนแรกตามเห็นความไม่เที่ยงอนิจจานุปัสสีมันลดลงก็ได้แต่มันก็ไม่เที่ยงเดี๋ยวก็ลดเดี๋ยวก็เพิ่ม แต่ตอนนี้ทำให้เที่ยงได้มันไม่เพิ่มแล้วมีแต่ลด ลดลงก็เป็นความไม่เที่ยงแต่มันลดลงเห็นความจางคลาย วิราคานุปัสสี จนกระทั่งสามารถทำให้มันดับได้ นิโรธานุปัสสี นี่คือความดับทำอย่างนี้แหละถูกต้องก็ทำการ อาเสวนา-ภาวนา-พหุลีกัมมัง ทำซ้ำทำซ้อน ปฏินิสสัคคานุปัสสี จนจบเห็นว่าเราได้ทำทบทวน อาเสวนาภวนาพหุลีกัมมัง รักษาผลทำให้เกิด อเนญชา จิตสะอาดตกผลึกตั้งมั่นแข็งแรง
สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน ทุกรกิริยากับการแต่งกายมอซอ
-
พ่อท่านได้ให้ความเข้าใจใหม่แก่ชาวอโศกและแฟนรายการเอฟเอ็มทีวีว่า “ทุกกรกิริยา”นั้น แท้จริงไม่ได้หมายความว่า ความประพฤติที่ทำได้อย่างลำบากยากยิ่ง หรือการทรมานร่างกายตนเอง แต่ความหมายที่แท้จริงนั้นคือ ความประพฤติที่ ชั่ว ทราม (ทุ) โดยสรุปแล้วหมายถึงความประพฤติที่ไม่เข้าข่ายจะทำให้ผู้ประพฤติพ้นทุกข์ได้เลย อยากให้พ่อท่านแสดงความคิดเห็นว่า การแต่งตัวด้วยอาภรณ์ที่เศร้าหมองเกินความเหมาะควร และการไว้หนวดเคราที่ยาวรุงรังที่คอยสร้างความรำคาญให้กับตัวเอง ของศิลปินชาวอโศกผู้หนึ่งว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นพฤติกรรมที่เข้าข่าย “ทุกกรกิริยา” ได้หรือไม่ ถ้าหากเป็นทุกกรกิริยาแต่เจ้าของพฤติกรรมดังกล่าว เป็นผู้มี”โลกุตรจิต” จะถือว่าเป็นกรณีพิเศษหรือข้อยกเว้น ในฐานะผู้ทำงานทางด้านศิลปะได้หรือไม่ และผู้ที่มองพฤติกรรมของศิลปินผู้นี้ว่า เป็นพฤติกรรมของ”คนบ้า”นั้น ถือว่าเป็นผู้ที่ยังเข้าใจศิลปินผู้นี้ผิดอยู่หรือไม่ อย่างไร ขอให้พ่อท่านให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ด้วย อนึ่ง พ่อท่านเคยยกเอามงคลงสูตรข้อที่ว่า “ศิลปะเป็นมงคลอันอุดม”มาขยายความเนื้อหาโดยสรุปคือ บุคคลที่จะสร้างศิลปะขั้นโลกุตระได้นั้น ต้องเป็นคนที่ถึงพร้อมด้วย “สีลสัมปทา” โดยพฤติภาพที่พิสูจน์ได้ในปัจจุบัน ศิลปินผู้นี้ได้รับการยอมว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสีลสัมปทาแล้ว จะถือว่าศิลปินผู้นี้ คือยอดศิลปินขั้นรองๆ ลงมาจากพ่อท่านได้หรือไม่ อย่างไร