620811_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เรื่องของนามกับการสลายจิตนิยาม
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1rs6qq-wsswee3vt7lIsw6ygVSt2_dBWasU2SHWtL3VM/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ .https://drive.google.com/open?id=1FLO3IRPSzLG2eKzCdZCoesFkiDt6t8Qx
สมณะฟ้าไท…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ประชาสัมพันธ์ หนังสือพิมพ์เราคิดอะไร
วันนี้เป็นวันที่ แม่ของนักเรียนสัมมาสิกขา ได้มางานวันแม่ที่ราชธานีอโศก มาฟังธรรมะจากพ่อครูสมณะโพธิรักษ์จะได้เป็นแม่ที่แท้จริงเป็นแม่ที่มีศีลแม่ที่มีปัญญา ในสัมมาทิฏฐิ 10 คำว่าแม่ คำว่าพ่อ เรามีความเป็นแม่เป็นพ่อในตัวเองได้เราจึงจะมีความเป็นแม่ที่แท้จริง
พ่อครูว่า…ก่อนอื่นอ่านกลอนจาก อ.เป็นต้น นาประโคน
พระคุณแม่มากกว่าฟ้า มหาสมุทร
ประคองร่างแม่พ้น คืนวัน
เมื่อแม่เริ่มตั้งครรภ์ ลูกน้อย
ถนอมลูกดั่งจอมขวัญ ของแม่ ลูกเอย
สุดจะเรียงพจน์ร้อย แม่ล้ำ คุณเหลือ
แม่เมื่อคลอดคลาดแคล้ว อันตราย
จุมพิศร่างรูปหมาย บอกให้
ปวดท้องแม่เจียนตาย ให้ลูก รอดเฮย
จารึกแม่ยากไร้ ลูกรู้ ไฉนฤา
จำเริญวัยส่งให้ เข้าเรียน
หวังว่าลูกพากเพียร รับรู้
เห็นลูกเริ่มอ่านเขียน แม่กลับ ดีใจ
เงินบ่มีแม่กู้ เพื่อให้ ลูกเรียน
รับปริญญาจบแล้ว ทำงาน
ใจแม่เริ่มเบิกบาน แน่ไซร้
ดีใจอยู่ไม่นาน แบกทุกข์ อีกครา
เงินที่กู้หลวงไว้ ดอกต้น หลวงทวง
โอ้ลูกหาสะใภ้ มาอวด
แต่แม่อยากให้บวช นะเจ้า
คำปู่ย่าตาทวด สอนสั่ง มาเฮย
แม่โศกแม่กุ่นเศร้า สุดซึ้ง กำสรวล
คุณแม่มากกว่าฟ้า มหาสมุทร
ใดเท่ามาเทียมดุจ แม่ได้
ลึกสุดลึกห่อนขุด เทียบค่า แม่ฤา
โสตสดับประทับไว้ ห่อนเว้นคืนวัน
ชาวพุทธเอยอย่าอ้าง อวดใคร
เป็นลูกที่ทันสมัย ยุคนี้
แม่คร่ำครึเกินไป เสียศักดิ์ ลูกเอย
บุญบาปจะบ่งชี้ หากเจ้าเนรคุณ
อ.เป็นต้น นาประโคน
พฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม 2562
พ่อครูว่า… sms
SMS วันที่ 9-10 สิงหาคม 2562
_6601น้อมกราบนมัสการบูชาพ่อครูค่ะ ลูกได้ติดตามฟังธรรมพ่อครูมาหลายปีแล้วฟังไปลูกคิดว่าสิ่งที่พ่อครูแสดงธรรมมาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะถ้าปฏิบัติชัดเจน ลูกรู้แต่ถูกต้อง แต่ลูกจะพยายามรักษาศีลให้ถูกต้องไม่ผิดค่ะ ลูกอยากให้พ่อครูสรุปให้กระชับหัวข้อธรรมที่ต้องปฏิบัติให้ด้วยค่ะ และลูกเองก็ดูจิตตัวเองแต่มีบ้างที่ยังไม่ทันอารมณ์ค่ะ ขอพ่อครูเมตตาลูกด้วยค่ะ น้อมนมัสการค่ะ
_0424ชอบดูช่องนี้เพราะธรรมะดีๆทั้งนั้น
_นพดล ทองโคตร · พ่อครูให้ธรรม ให้ความอบอุ่น. แด่ชาวอโศก แด่ชาวโลก.
_งามศีล เอี้ยมนอก · ขอชมทางทีวีบุญนิยมค่ะ?ภาพใหญ่ดูเต็มตาดีค่ะ..สาธุ??
พ่อครูว่า…วันนี้อาตมาตั้งใจทบทวนที่ได้สาธยายไปแล้ว ตอนที่สาธยายไปนั้นเรียบเรียงแค่ 1-2 หน้า ตอนนี้ขยายความไปถึง 9 หน้า ก็จะเอาอันนี้มาขยายทวนในรายการนี้
คำว่ารูปคือสิ่งที่ถูกรู้ ใครสามารถมีนามที่จะรู้ได้เท่าไหร่ ลึกกว้างขนาดไหน จะเป็นความเฉลียวฉลาดหรือบ้องตื้นแค่ไหนก็อยู่ที่แต่ละคน
เรื่องของนามกับการสลายจิตนิยาม
คำว่า “นาม” อาตมานิยามคำว่า นาม นี้ให้ฟัง เพื่อความเข้าใจแล้วเอามาใช้ศึกษา
“นาม” หมายความถึง สิ่งที่ไม่ใช่รูป คือจิต อยู่ในตระกูลจิตนิยาม
จิตนิยามเป็น“นาม” แม้แต่พีชนิยามก็ยังไม่ได้เรียกพลังงานของพืชว่า “นาม” เรียกได้แค่อรูป ที่เป็นชีวะ ไตร่ตรองพิจารณาการใช้พยัญชนะกับสภาวะให้ดีๆ พีชะเป็นชีวะแล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้นจิต ซึ่งจิตก็คือชีวะแท้ๆ
เพราะฉะนั้นพลังงานของพืชเป็นแค่“อรูป” ไม่ใช่“นาม”
แม้อรูปก็ยังมีที่เป็นอุตุ และยังมีอรูปที่เป็นพีชะ อรูปมีแม้แต่ในความเป็นจิตอีกนะ
และความเป็น “ชีพ”หรือ“ชีวะ” นั้นยังแยกเป็น 2 อย่าง
คำว่า “ชีพ”หรือ“ชีวะ” แยกเป็น 2 คือ พีชนิยามกับจิตนิยาม
พืชนั้นยังไม่มีธาตุรู้บริบูรณ์ คือธาตุรู้ยังไม่บริบูรณ์ด้วยขันธ์ 5 เหมือนจิต พืชมีแค่ขันธ์ 3 คือ รูปขันธ์ สัญญาขันธ์และสังขารขันธ์ เท่านี้คือพีชนิยาม พืชยังไม่มีเวทนาขันธ์ ยังไม่มีวิญญาณขันธ์แน่นอน จึงยังไม่มีกรรมวิบาก พืชชื่อว่าทำกรรมไม่เป็นอันทำให้เกิดเป็นวิบากที่สืบต่อจองกรรมจองเวรในวัฏฏะไปนานเท่านาน เหมือนจิตที่มีกรรมวิบากสืบต่อจองเวรกรรมกันข้ามชาติได้ไปนานนับไม่ถ้วน นานถึงขั้นนิรันดรกันทีเดียว
ผู้ที่แตกสลายจิตวิญญาณให้สูญไม่ได้ตีไม่แตก ก็ต้องจำนนอยู่กับความเป็นนิรันดรอยู่กับพระเจ้า โยนให้พระเจ้า ที่อยู่ที่แดนไหนก็ไม่รู้ วิญญาณเมื่อตายไปแล้วก็ไปอยู่กับพระเจ้า จะอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่จิตวิญญาณไปอยู่ที่นั่น มันเป็นทุกข์หรือเป็นสุขก็ไม่รู้ เพราะคุณไม่ได้เรียนคุณก็ไม่สามารถที่จะรู้ความมีภพชาติ หรือความดับภพชาติไม่มีไปไหนอีกแล้ว ไม่ไปหาทั้งสวรรค์ไม่ไปทั้งนรกไม่มีทั้งพระเจ้า มีแต่ทำปัจจุบันนี้ให้จบได้ ศาสนาพุทธทำได้ ส่วนศาสนาเทวนิยมทำไม่ได้
พืชยังไม่มีวิญญาณสืบต่อชาติข้ามชาติไปได้ พืชสืบต่อ DNA ของอรูปเท่านั้น ซึ่งเมื่อความเป็นพืชนั้นๆหมดพลังงานที่จะหมุนวนชีวะต่อไป พืชก็จบสิ้น DNA ที่เป็นแค่พีชนิยาม พืชจึงยังไม่มีพลังงานแห่งอัตตาข้ามชาติยังจองเวรจองกรรมกันไม่ได้ รักโกรธกันไม่เป็น ที่สำคัญยิ่งคือ ยังไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์ ที่พุทธศาสนาศึกษาเป็นโลกุตระ
นี่คือ นามกับอรูปของพืช ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ อรูปของพืชกับของอุตุจึงไม่จองเวรกรรมกันเลย
ถ้านักปฏิบัติธรรมไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความจริง“ธรรมนิยาม 5”นี้ ก็แยกความเป็นกาย-เป็นจิตไม่ได้
เพราะจะแยกนาม-แยกรูปไม่ได้ แยกเทฺวะไม่ได้ แยกกายไม่ได้นั่นเอง ก็ไม่มีทางจะบรรลุนิพพาน แม้แต่ชาวพุทธนี้ก็ยากทุกวันนี้ยากที่อาตมานำมาพูดนี้จะฟังรู้เรื่องก็แล้วแต่ จะมาจากสมาคมนักปฏิบัติธรรมจบเปรียญ 9 มา 2 ใบ ปริญญาเอกด็อกเตอร์ศาสนาก็ตามจะฟังอาตมาแล้วเอาไปปฏิบัติให้ได้นิพพานได้หรือไม่ หรือไม่ฟังเลยเพราะถือว่าอาตมาไม่ได้เรียนมา สำนักไหน ไม่มีครูบาอาจารย์ไม่มีใบรับรอง เขาก็จะบอกว่าเอ็งเป็นพระพุทธเจ้าหรือ
อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่เป็นสยังอภิญญา ซึ่งคุณจะเข้าใจคุณสมบัติระดับ ปัจเจก สยังอภิญญา สยัมภู มีภูมิเท่าไหร่ ก็ต้องมีภูมิรู้
ผมส่วนไหนที่เป็นอุตุไปแล้ว ผมส่วนไหนที่ยังมีความเป็นพีชะ ส่วนไหนเป็นจิตเลย ผมมันยาวไปเรื่อยๆ ส่วนที่ตัดขาดกันไปเลย ออกจากผมที่ติดอยู่ในตัวเรา ส่วนนั้นแน่นอนมันไม่ใช่กายเราแล้ว ส่วนที่ตัดออกไปมันเป็นอุตุแท้ๆ หมดความเป็นชีวะ
แต่ผมที่อยู่กับตัวเรายาวไปได้มีประสาทน้ำเลี้ยงให้ยาวไปได้แต่ไม่มีความรู้สึก ไม่มีประสาทรับรู้ความรู้สึก ส่วนนั้น ไม่เรียกว่ากาย แต่ผู้หญิงนี่ก็ยังบอกว่านี่ผมของฉัน ผู้ชายไม่ค่อยเท่าไหร่
การแยกกายแยกจิตถ้าไม่มีความรู้นี้มันแยกนามธรรมที่ไปยึดถือกายหรือจิตเป็นของเราตัวเรา กายมันก็ยึด ได้ง่ายกว่าจิต แม้กายก็ยังยากเลย เพราะว่าส่วนนั้นที่ยังเป็นกายแต่มันไม่มีความรู้สึก มันไม่มีความรู้สึกมันเป็นชีวะระดับพืช ส่วนที่รู้สึก ผมของเราส่วนไหนตรงไหนที่มันมีประสาทรู้สึก เอาส่วนนั้นเป็นจิตนิยามแท้ๆ
กายเป็นชีวะได้ แต่ตัดออกไปแล้วหมดชีวะ ยังไม่ตัดเป็นชีวะแค่พืชยังไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ เมื่อมีเวทนาไปรับรู้ได้นั่นแหละคือจิตนิยามเป็นกรรมวิบากได้เป็นทุกข์เป็นสุขได้ ศาสนาพุทธเรียนรู้การเรียนรู้วิบากเรียนรู้ความสุขความทุกข์ ส่วนความดีความชั่วนั้นศาสนาเทวนิยมเขาก็เรียนกัน แต่ว่าโลกุตระของพระพุทธเจ้านั้นเรียนความสุขความทุกข์อันนี้แหละเป็นเนื้อแท้เรียกว่าอาริยสัจ พระพุทธเจ้าให้มาเรียนรู้ทุกข์อาริยสัจดับความทุกข์อาริยสัจ ความสุขก็หายไปเพราะมันเป็นอันเดียวกัน
ผู้ใดแยกกายแยกจิตไม่ได้ อย่างถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิก็หมดสิทธิ์ที่จะบรรลุนิพพาน ไปนั่งหลับตาปฏิบัตินั้นปิดประตูนิพพานของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่อาตมามาพูดใส่ไคร้หรือพูดผิด เลิกไปเลยนั่งหลับตาปฏิบัติมันไม่มีสัมผัสครบ มันไม่ครบ มันจะบรรลุนิพพานไม่ได้อย่าดื้อดึงดันทุรังเลย
นาม อีกลักษณะหนึ่ง
นาม = ในภาษาไวยากรณ์ หมายถึง ชื่อเรียก หรือคำเรียกที่เป็นชื่อของสิ่งที่เป็นจิตนิยาม ซึ่งนักภาษาหรือนักไวยากรณ์หมายถึงบัญญัติหรือพยัญชนะ โดยเผลอไปว่า นามนั้นเป็นแค่“รูปรูป” ทั้งๆที่นามเป็น“กาย”แท้ๆ คือเป็นทั้ง“รูป”ทั้ง“นาม”เสมอ
คนไปติดใจในไวยากรณ์ แต่พอเราพูดถึงสภาวะเขาก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ตรงตามไวยากรณ์เขา ก็ไม่มีวันรู้สภาวะ แต่คนที่ตามรู้ก็จะรู้ได้
หากอาตมาไม่เอามาเปิดเผย คำว่า กาย เขาจะหมายถึงเพียงแค่วัตถุภายนอก ไม่ได้หมายถึงนามธรรมเลย ไม่ได้รู้ว่ากาย ต้องมี ทั้งนามและรูป เป็น 2 เสมอ ยิ่งไปหลับตาปฏิบัติยิ่งแย่กันใหญ่เลย
อาตมาต้องเหนื่อยในการอธิบายอีกมาก แต่ต้องเต็มใจตั้งใจอุตสาหะใจ
และ นาม ในความเป็นกาย (กาย นั้นต้องมีความเป็น 2 เสมอ เช่น “เทฺว ธรรมา” หรือรูปกับนาม)
นาม อยู่ในความเป็นกาย หรือเทฺว ซึ่งหมายเอา“วิญญาณ”หรือ“มโน”หรือ“จิต”เป็นหลัก
เมื่อเข้าใจผิดเพี้ยนว่า กายเป็นเพียงร่างภายนอก วัตถุภายนอกไม่มาเอาจิต มโน วิญญาณเป็นหลักก็ไปกันใหญ่เลยผิดก็คนละฟากฟ้า นี่เป็นความลึกซึ้งกับการที่ปฏิบัติกับพลังงานทางจิตได้ เป็นความยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ
กายก็มี 2 เสมอ เทฺว ก็มี 2 เสมอ ผู้โมหะว่า“เทฺว”เป็น 1 เดียว จึงเป็นลัทธิ“เทฺวนิยม”อยู่ เพราะยังไม่ชัดเจนคือรู้ไม่ทันในความเป็น“สิริมหามายา” ที่สลับไปสลับมาของ“ภาวะ 2” จึงสับสนในความเป็น“กายกับจิต”
อาตมาเป็นนักมายากลชั้น 1 เขาดูเขาฟังไม่รู้เรื่องเขาหาว่าเป็นนักมายากลที่ตลกๆ ความจริงอาตมาเป็นสิริมหามายา เป็นความดีที่ยิ่งใหญ่ด้วย แต่เขาดูความจริงไม่ออกเขาหลงว่าอาตมาเป็นนักมายากล มาหลอกล่อเล่นกลให้ดู แต่อาตมาเอาความจริงมาให้ดู เมื่อคนนั้นเห็นว่าเป็นความตลบตะแลงก็จะไม่ฟังไม่เชื่อถือ
แต่สิริมหามายา เป็นผู้ให้กำเนิดพุทธะเป็นแม่แห่งพุทธะเลย ในพยัญชนะในความเป็นจริงของตำนานหรือประวัติพระพุทธเจ้าเจ้าชายสิทธัตถะก็ยืนยันสิ่งนี้ แม่ของพระพุทธเจ้าชื่อสิริมหามายาแท้ๆ
ผู้ไม่รู้จักสิริมหามายาที่เป็นภาวะ 2 จึงสับสนสับสนในความเป็นกายหรือจิต แต่ว่ากายเป็นแต่เพียงภายนอกไม่มีภายในนั้น เป็นความมิจฉาทิฐิแท้ๆ
คิดดูสิว่านักรู้ผู้รู้ทั้งหลายเข้าใจคำว่ากายเป็นจิตหรือเปล่า เข้าใจว่ากายคือเพียงภายนอกเป็นธาตุส่วนภายนอกไม่มีภายใน จึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ น่าสงสาร อาตมาไม่ได้ลบหลู่ดูถูกแต่มันเห็นถูก เห็นความจริงนี่มันถูกจริงๆมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นจะต้องเข้าใจว่ามีภายนอกกับภายในเสมอ ต้องมี 2 เสมอ ต้องมี 2 ภาวะเสมอจึงจะเรียกว่ากาย เห็นมิจฉาทิฏฐิของผู้เป็นชาวพุทธไหมที่สำเร็จรูปไปเลย เป็นมิจฉาทิฐิสำเร็จรูปไปแล้ว มันก็เลยโมหะมันก็เลยจบเห่ ไม่มีทางจะปฏิบัติอะไรต่อไปได้เพราะมันตัดทางสว่างไปจมอยู่กับมิจฉา ใกล้จะต้องมีความเป็นจิตร่วมด้วยเสมอและกายกับจิตก็สามารถที่จะอธิบายได้
เมื่อได้ตัดขาดความเป็นกายเมื่อใด เป็นจิตธาตุ ตัดขาดความเป็นกายออกไปเมื่อใดเป็นจิตธาตุ เมื่อใดเป็นอุตุธาตุ แล้วเมื่อใดทำได้ตัดได้ คุณต้องมีนัย ปฏิภาณ รู้ความจริงว่าเมื่อใดที่ได้ตัดขาดความเป็นกายที่เป็นจิตธาตุ เมื่อใดเป็นพีชธาตุ เมื่อใดเป็นอุตุธาตุ
เมื่อใดมันมีความเป็นพีชะในตัวเรามันก็เป็นพีชะ แต่ไม่มีเวทนา อาศัยเท่านั้นเอง อย่างผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เอามาแยกธาตุกายกับจิตได้
แต่เดี๋ยวนี้อาตมาแน่ใจว่าสำนักปฏิบัติธรรมแยก 3 นิยามนี้ไม่ได้ ถ้าอาตมาไม่เกิดมา มาขยายความความรู้ความจริงนี้ก็เป็นอันสูญ คุณว่าอาตมาพูดจริงไหม?…พูดแล้วก็ไม่มีใครพูดอย่างอาตมาพูด ใครรังเกียจอาตมาไม่เชื่อว่าอาตมาเอาสัจธรรมความจริงของพระพุทธเจ้าที่ได้หายไปแล้วเอามาอธิบายใหม่ ใครไม่เชื่ออันนี้น่าสงสารเขาก็ไม่มีสิทธิ์บรรลุได้
กายเมื่อใดเหลือแต่จิตเมื่อใดเหลือแต่พีชะเมื่อใดเหลือแต่อุตุ ผู้ทำได้จึงรู้จักธรรมนิยาม 5
คนที่ปฏิบัติธรรมเข้าใจคำว่า“กาย”เป็นแต่เพียงภายนอกไม่มีภายในนั้นมิจฉาทิฏฐิแท้ จะต้องเข้าใจว่ามีภายนอก
กับภายในเสมอ ต้องมี“๒”ภาวะเสมอ จึงจะเรียกว่า กาย กายจะต้องมีความเป็นจิตร่วมด้วยเสมอ
และ“กาย”กับ“จิต” ก็สามารถอธิบายได้ว่า เมื่อใดตัดขาดความเป็น“กาย”เมื่อใดเป็น“จิตธาตุ” เมื่อใดเป็นแค่“พีชธาตุ” เมื่อใดเป็น“อุตุธาตุ”แล้ว จึงจะเป็นผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ธรรมนิยาม ๕”
ถ้าคุณแยกคู่เทียบ อะไรเป็นรูป นาม อะไรดี ชั่ว อะไรเป็นโลกียะ โลกุตระ อันนี้แหละสำคัญเทียบคู่สอง มันเป็นอุตุกับพีชะ หรือเป็นพีชะกับจิต หรือเป็นอุตุกับจิต อย่างอรหันต์ทำให้เป็นอุตุได้ พีชะก็ไม่มีความรู้สึกแต่มันเป็นชีวะ เป็นตัวกลาง คุณทำได้อันนี้เป็นตัวสำคัญ มันยังไม่แยกธาตุในคนมีทั้งอุตุ พีชะ จิต คุณทำให้เป็น อันใดที่อาศัยได้ก็เป็นอรหันต์ หากคุณทำให้อาศัยไม่มีทกข์ไม่มีสุข เป็นจิตนิยามที่ทำได้ก็ได้อาศัยมัน หากทำไม่ได้ไม่เป็นก็ไม่ได้อาศัยมัน
อาตมารู้ความจริงอันนี้เอามาสาธยายอธิบาย กายของเรามีจิต แล้วก็แยก จิต เจตสิก รูป นิพพาน พวกเราที่มีบารมีมีภูมิธรรมจึงทำได้เป็น พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ได้ ไม่มีใครเอาธรรมนิยาม 5 นี้มาอธิบายเลย มันไม่มีตัวแทนไปสื่อสภาวะ คุณไม่มีปฏิฆะสัมผัสโสก็ไม่มีการปฏิบัติ คุณไม่มีอธิวจนสัมผัสโส เอาพยัญชนะไปใส่ชื่อให้สภาวะนี้ได้
ปฏิฆสัมผัสโส มีการกระทบสัมผัสแล้วหากไม่มีชื่อสภาวะนั้นก็รู้แต่สภาวะ แต่ถ้าตั้งชื่อผู้รู้ผู้ศึกษาตั้งไว้ เป็นทุกข์เป็นสุข มันมีเหตุก็ได้ล้างเหตุ หมดทุกข์ก็หมดสุขด้วย
ศาสนาพุทธถึงได้สอนทุกอาริยสัจอย่างเดียว ศาสนาเทวนิยมหลงแต่สุขหลอกสุขเก๊ ของไม่มีจริงอนัตตา เขาไม่รู้เรื่อง จมกับสุขนิยมนิรันดร ตายไปอยู่กับพระเจ้า มิดจีรี ไม่รู้เรื่องเลย เงียบกริบเลย
ผู้แยกกายแยกจิตได้ จะแยก เทวฺ คือ ความเป็น 2 ได้ หรือแยกธรรมนิยาม 5 ได้ จึงสามารถแยก “สังขารรูป” หรือ “สังขารจิต” ได้ว่า “สังขารรูป” นั้นเป็นการปรุงแต่งของ “อุตุธาตุ กับ อุตุธาตุ” หรืออย่างเก่งก็แค่ “อุตุธาตุ กับ พีชธาตุ”เท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นการปรุงแต่ง “อุตุธาตุ กับ จิตธาตุ” หรือ “พีชธาตุ กับ จิตธาตุ”
เพราะฉะนั้นการแยกกายแยกจิตที่เป็นมูลกรรมฐาน 5 ของภิกษุที่มาบวชทุกองค์ อุปัชฌาย์จะให้กรรมฐาน 5 นี้ไปทำความเข้าใจ
ก็ขอแวะถึงแยกกายแยกจิตของมิจฉาทิฏฐิ เขาก็นั่งสะกดจิต ถอดกาย หรือเขาว่าถอดกายทิพย์ ออกจากร่างไปแล้วความรู้ไปอยู่กับกายทิพย์ อยู่ที่ไหนก็แล้วแต่แล้วมองมายังร่างเดิม เสียเวลานัก อาตมาเล่นมานักแล้ว ถอดจิตถอดกาย
อาตมาเล่นถอดจิตถอดกายไม่มีปัญหา แล้วอาตมาไม่มีปัญหาอีกเช่นสร้างพลังงานให้เหาะได้ เข้าไปสู่สมาธิแล้วจะเหาะ แต่อาตมาไม่ได้ออกจากภพ เลยไม่รู้ว่าจะเหาะได้ อาตมาทำคนเดียว ไม่มีใครเห็นตอนทำ ตอนกลางคืนทำได้สนิท ไม่ได้ลืมตา ลืมตาแล้วสมาธิจะเคลื่อนแต่อาตมารู้อย่างหนึ่งว่า นั่งแล้วตอนลืมตามาไม่ได้อยู่ที่เก่า ไปอยู่ที่ใหม่ มันเคลื่อนไปได้อย่างไร เคยได้ยินเขาทำแบบว่า เอาอะไรไปเหน็บที่ฝา แล้วตื่นมาก็หยิบมาได้ คือเหาะได้ แต่อาตมาไม่ได้ทำแบบนั้น แต่อยู่ที่ใหม่ ไม่ได้อยู่ที่เก่า ทั้งที่นั่งนิ่งเป็นพรหมลูกฟัก
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไทว่า…พ่อครูอธิบายนิยาม 5 อุตุ พีช จิต กรรม ธรรมะ
พ่อครูว่า…อุตุคือธาตุหมดชีวะแล้วอย่างเลือดระดูของผู้หญิง ออกมาแล้วบาลีเรียกอุตุ
สมณะฟ้าไทว่า…ถ้าพีชะก็มี แค่รูป สัญญา สังขาร แต่จิตนิยามมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
พ่อครูว่า..
ถ้าเข้าใจนิยาม 3 นี้ไม่ชัดเจนถ่องแท้ ตัดขาดความเป็นอุตุ ตัดขาดความเป็นพีชะ ตัดขาดความเป็นจิตไม่ได้ คุณไม่มีทางจะบรรลุอรหันต์ เพราะจะปฏิบัติกรรมนิยามธรรมนิยามไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ไม่สามารถบรรลุอรหันต์แน่นอน รายละเอียดของพวกนี้ไม่ใช่ง่ายๆ
อรหันต์เก๊ที่หลับตาปฏิบัติ พูดชัดแล้วว่า หลับตาปฏิบัตินั้นเป็นโมฆะในความเป็นนิพพาน ไปหลงอย่างอาฬารดาบส อุทกดาบส ไปยอมรับว่าเป็นอรหันต์แบบนั้นก็จบเลย เสร็จเลยมืดเลย อาตมาไม่ได้อยากอวดดี แต่มาแก้ความจริงที่ปฏิบัติผิดกันมานานแล้ว
คนที่พยายามตั้งใจแสวงหาแล้วฟังด้วยดีจะได้เข้าใจด้วยปัญญา ถ้าเข้าใจนิยาม 3 นี้ไม่ชัดเจนถ่องแท้ ตัดขาดความเป็นอุตุ ตัดขาดความเป็นพีชะ ตัดขาดความเป็นจิตไม่ได้ คุณไม่มีทางจะบรรลุอรหันต์ เพราะจะปฏิบัติกรรมนิยามธรรมนิยามไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ไม่สามารถบรรลุอรหันต์แน่นอนรายละเอียดพวกนี้ไม่ใช่ง่ายๆ
การหลับตาปฏิบัติโดยไม่ชัดเจนอย่างที่อาตมาพูด แต่ถ้าคุณจะหลับตาอย่างสัมมาทิฏฐิก็เป็นอุปการะ หลับตานั้นมี ทำได้ถ้าสัมมาทิฏฐิ โดยชัดเจนว่า
1) ทำเพื่อพักผ่อน
2) ทำเพื่อศึกษาจิตเจตสิกในภพภูมิของสัญญา หลับตามีแต่อดีตกับอนาคต จะศึกษาก็ศึกษาสภาวะอาการที่อยู่ในสัญญา ซึ่งไม่ใช่ของจริง ของจริงต้องมีสัมผัสปัจจุบัน อดีต อนาคตไม่ใช่ปัจจุบัน ปัจจุบันต่างจากอดีต อนาคต หลับตาไปมีแต่สัญญาเป็นอดีต อนาคต ก็ไม่เป็นความจริง ปัจจุบัน
พระสูตรแรก พรหมชาลสูตรก็บอกถึงอดีต 18 อนาคต 44 ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ คุณรู้แล้วก็เลิกไปอยู่กับอดีตอนาคต มาอยู่กับปัจจุบัน เป็นทิฏฐิธรรมนิพพานทิฏฐิ เป็นปัจจุบันชาติ การเกิดในปัจจุบันนี้ นอกจากปัจจุบันไปสุญโญเลย
3) ทำเตวิชโช ตรวจสอบลงบัญชี บุพเพนิวาสานุสติญาณ-จุตูปปาตญาณ-อาสวักขยญาณ ระลึกถึงของเก่าก็นึกถึงสิ่งที่เกิดสิ่งที่ดับแล้วจุตูปปาตญาณ ทบทวนสิ่งที่เราปฏิบัติมาคุณทำให้กิเลสมันดับ กิเลสมันเกิดขึ้นก็รู้ว่ามันเกิดและคุณก็ทำให้มันดับคุณก็จะรู้จักจุตูปปาตญาณ ทั้งอุบัติมันเกิด ทั้งจุติมันดับ ก็รู้หรือหมดอาสวะ ดับสิ้นอาสวะ คุณก็ต้องอ่านความจริงเหล่านั้นให้รู้พยัญชนะก็ท่องกันได้แต่สภาวะจริงๆนั้นเป็นอย่างไร ผู้ที่ทำเตวิชโชคุณต้องปฏิบัติให้ได้ก่อนแล้วจึงจะไปลงบัญชี เหมือนการค้าขายให้ได้เงินทองก่อนจึงจะไปลงบัญชี ค่อยทำการเตวิชโช แต่นี้ไปแต่ไปเตวิชโชทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยคุณก็ได้แต่ขยำขี้เอาของเก่ามาลงว่าเป็นเตวิชโช ทั้งที่คุณยังไม่ได้ทำ ทำอะไรไม่ได้เลยก็เอามาลงบัญชี ก็กลายเป็นเรื่องเลอะเทอะที่ยังไม่มีอะไรทำยังไม่ถูกเลยไม่เป็นลำดับ เตวิชโชนั้นสำหรับผู้ที่ทำได้แล้ว แล้วตรวจสอบลงบัญชีว่าทำได้หรือเปล่าแน่ใจหรือไม่
4) ทำเอาไปเล่นฤทธิ์เดชเป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์ อิทธิปาฏิหาริย์ อย่างนี้ของพุทธตีทิ้ง ไม่สนใจ ผู้สนใจอยู่คือ คนนอกรีตศาสนาพุทธ พุทธะคือผู้ตื่นไม่ใช่ไสยะคือผู้หลับ
ทุกวันนี้อาตมาก็ยังใช้“หลับตา”ก็ตามอย่างสัมมาทิฏฐินี้อยู่ เป็นอุปการะมาก ทุกวันนี้ก็ยังใช้ หลับตา พิจารณาไตร่ตรองตรวจสอบ หรือตัดทวารดับไป ไม่ได้สงสัยลังเลอะไร เฉพาะอย่างยิ่งไม่ได้หลงผิดติดยึด
สรุปตอนนี้ นามธรรมกับอรูปต่างกันอย่างไร หรือนามธรรมในโลกที่ศึกษาทางไวยากรณ์ นามนั่นหมายถึงพยัญชนะ แต่แท้จริงด้วยสัจจะแล้ว นาม หมายถึงสภาวะ นามไม่ได้หมายถึงพยัญชนะแค่“อธิวจนสัมผัสโส”แต่ต้องมี“ปฏิฆสัมผัสโส”ด้วยเสมอ
หากจะบัญญัติ“รูปกาย”ก็ต้องมี“อธิวจนสัมผัสโส” และถ้าจะบัญญัติ“นามกาย”ก็ต้องมี“ปฏิฆสัมผัสโส”จึงจะสามารถยืนยัน“ความจริงหรือสัจธรรม”แก่กันและกันสำเร็จ
“รูปกาย”หรือ“นามกาย”นั้นเป็น“กาย”ต้องมี“2”แยกกันไม่ได้
ตัวนี้แหละเป็นภาษาของสิริมหามายา ผู้ที่ยึดติดอยู่แต่พยัญชนะอย่างเช่นเป็นสายเปรียญ 9 ด็อกเตอร์การศึกษาเต็มหัวหมด เอาไวยากรณ์ วจีวิภาค-วากยสัมพันธ์มา ไม่ตามสภาวะที่อาตมาอธิบาย พวกนี้จบเห่ ยึดถือพยัญชนะ ยึดถือภาษา คำว่านามก็กลายเป็นชื่อเป็นพยัญชนะเป็นภาษาบัญญัติไปหมด เข้าไม่ถึงสภาวะ น่าสงสาร หลายคนมีความรู้ทางภาษาเขามีเยอะแต่ใช้ให้เป็นสภาวะไม่ได้ ก็เลยสับสนระหว่างสภาวะกับพยัญชนะ
อธิบายคำว่ากาย คำว่าบุญ คำว่าสมาธิ สับสนไปหมด สมาธิก็กลายเป็นนั่งหลับตา กายก็เป็นเรื่องภายนอกเพียงวัตถุ หรือเทวฺ หรือแม้แต่คำว่านาม คำว่ารูป ก็แยกกันไม่ชัดเจน เพราะแยก“กายกับจิต”ใน“กรรมฐาน 5”ไม่ได้ แค่ไหนเป็นอุตุ-แค่ไหนเป็นพีชะ-แค่ไหนเป็นจิต แยกไม่ถูกต้อง จึงปฏิบัติกรรม-ปฏิบัติธรรมไม่มีผล
เพราะจะแยกแม้แต่สังขารธรรมกับสังขารจิต หรือสังขารโลก ไม่สัมมาทิฏฐิ
สังขารธรรมหมายถึงอะไรที่รวมกันอยู่มีบริบทและเน้นเข้ามาหาจิต สังขารจิตหมายถึงเจาะเข้าไปถึงอาการของจิตเป็นสภาวธรรม คำว่าสภาวะธรรมนั้นเป็นดีเป็นชั่วก็ได้ เป็นโลกุตระเป็นโลกียะก็ได้ ส่วนสังขารโลกหมายถึงร่วมกันไปสู่ภายนอกมากขึ้นใหญ่ขึ้น
อาตมาได้สาธยายเข้าไปถึงจิต และกำลังจะแยกตีแตกไปถึงความเป็นธาตุ
ธาตุนั้นเน้นเข้าไปหาความเป็นหนึ่ง จึงเป็นเอกกว่าธรรม
ธรรมนั้นขยายออกไปหาความเป็นสองหรือทุกสิ่งทุกอย่างคือธรรมะ
คำว่าธาตุ ตัวไหนเอาคำว่า ธาตุ มาเรียกเพราะฉะนั้นตัวนั้นเรียกแยกเฉพาะตัวนั้น แต่มันก็เป็นสภาวะ 2 ได้หรือเป็นเท่าไหร่ก็ได้ จนกระทั่งถึงนับไม่ถ้วน
เทวนิยมเขาไม่แยกแยะเลยเขาจำนนแล้วว่าเทวะมีหนึ่งเดียว ใครก็ห้ามแตะอ่านว่าอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น จึงไม่มีการเคลื่อนที่ออกมาทางโลกุตระเลยเป็นเรื่องยึดมั่นถือมั่นในโลกียจมอยู่กับนรกสวรรค์วนเวียนดีชั่วตกต่ำขึ้นสูง ดี ชั่ว อย่างนั้น ทุกข์ๆสุขๆ ลงนรกขึ้นสวรรค์ไม่มีวันจบ เป็นนิรันดร เพราะฉะนั้นพวกเทวนิยมนิรันดรจึงไม่ดับความสุขความทุกข์
พระพุทธเจ้าเป็นไก่ตัวพี่ เจาะกระเปาะจากโลกกะลาครอบได้ จึงสามารถทำลายกะลาได้ ถึงได้รู้ว่าจิตเป็นอนัตตาแล้วมีอุปาทานเท่านั้นไปยึดถือไว้ เมื่อไม่มีอุปาทานเสียแล้วชัดเจนแล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น ยึดเพียงสมาทานอาศัย จึงจบที่สมณะ สงบได้
ถ้าเทวะสอง คุณต้องเรียนรู้ความเป็น 2 แยกแยะให้ได้ทีละ 2 หรือทีละคู่ แยกนาม-รูป แยกกาย-จิต แยกดี-ชั่ว แยกมาก-น้อย หรือคู่อื่นๆทั้งนั้นๆได้หมด โดยเฉพาะแยกโลกียะ-โลกุตระ อันนี้ตัวสำคัญ แยกลึกลับ-เปิดเผยสัมผัสได้
เรื่องธาตุกับธรรม สังขารรูปกับสังขารจิต ก็ต่างกัน
สังขารรูป เป็นการปรุงแต่งระหว่างอุตุธาตุกับอุตุธาตุ เป็นการปรุงแต่งอย่างหนึ่งสังขารรูป เช่น ไฟฟ้าแสงสีเสียงแม่เหล็กความร้อน ก็ปรุงแต่งกันอยู่ พวกนี้เป็นพลังงานที่เป็นอุตุธาตุทั้งนั้น ปรุงแต่งกัน หรือ อุตุธาตุกับพีชธาตุปรุงแต่งกัน ยังไม่ถึงขั้นที่เป็นอุตุธาตุปรุงแต่งกับจิตธาตุ
จิตธาตุมันก็จะมีพีชธาตุอยู่ในนั้นด้วย เพราะว่าจิตธาตุนั้น มีทั้งอุตุธาตุ มีทั้งพีชธาตุ และมีทั้งจิตธาตุ
พระอรหันต์จึงสามารถทำให้จิตเป็นพีชธาตุได้ แล้วอาศัย ไม่เอาจิตที่ไปสังขารโลก ตัดตั้งแต่โลกอบาย โลกกาม โลกรูป โลกอรูปก็ตัดได้ จึงสามารถดัับความเป็นโลก-เป็นธรรม-เป็นธาตุได้เฉพาะตน
อาตมาเขียนไว้อธิบายคำว่านาม ขยายความสิ่งเหล่านี้ มันก็มีประโยชน์ รู้ชัดขึ้น ไม่ได้ลงลึกไปจนกระทั่งขยายซ้ำอีกว่า แล้วเมื่อไหร่มันจะเป็นอุตุธาตุ เมื่อไหร่เป็นพีชธาตุ จิตธาตุ แล้ว จึงจะไปปฏิบัติกรรมนิยาม-ธรรมนิยามได้ จึงจะทำกรรมสำเร็จ บรรลุธรรมสมบูรณ์ หากไม่ดับขันธ์ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ต้องทำกรรมต่อไป
อรหันต์ทำให้จิตเป็นพีชะได้ ไม่มีสุขทุกข์ ท่านทำแต่สุจริต ไม่ทำบาปทำแต่ดีหากมีชีวิตอยู่ ส่วนสิ่งสูงสุดท่านหมดแล้วไม่มีบาปไม่มีบุญยังมีกรรมก็มีแต่กุศล คนมีชีวิตแบบนี้กรรมกิริยาไม่มีบาปเลยมีแต่กุศล ทำแล้วไม่ยึดตัวตนอีก ไม่เป็นภัยเป็นโทษมีแต่ประโยชน์ต่อผู้อื่นมีแต่คุณถ่ายเดียว นี่คือความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ทำให้คนเป็นอรหันต์จบแล้ว หากจะศึกษาต่อไปเป็นพระพุทธเจ้าอย่างอาตมาก็เชิญ แต่คุณมีสิทธิ์ตายไปปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ทำได้ แต่จะเรียนต่อเป็นโพธิสัตว์เป็นพระพุทธเจ้าก็เชิญ
ถามใครที่คิดว่าตัวเองน่าจะต่อโพธิสัตวภูมิ…ยกมือสิ..มีไม่มาก
คนที่บรรลุอรหันต์ส่วนมากจะต่อพุทธภูมิ แต่คนไม่บรรลุจะไม่กล้าต่อ เพราะมันกลัวทุกข์ แต่ว่าเป็นอรหันต์แล้วหมดทุกข์ ก็จะต่อไปได้สบายไม่เบียดเบียนใครแล้ว มีแต่สัมภาระของรูปขันธ์ นามขันธ์ไม่มีปัญหา เมื่อนั้นคุณจะคิดใหม่ น้อยที่อรหันต์จะจบสูญ จะต่อ แต่ต่อไปแล้วมันยากแฮะ จึงรีไทร์กลางทางกันเยอะมาก แต่ก็ดีไง เพราะผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วไม่เป็นภัยเป็นโทษกับใครอีกจะมีเท่าไหร่ก็ไม่เสียหาย สรุปแล้วความรู้ของพระพุทธเจ้ามีแต่ดีกับดี ไม่มีเลวเลย
สู่แดนธรรมว่า..คนที่ใช้ความเพียรเป็นพระอรหันต์นั้นง่ายกว่าคนที่ใช้ความเพียรให้เป็นพระพุทธเจ้า
พ่อครูว่า…อันนี้จริงที่สุดเลย เพราะว่าต้องช่วยคนอื่นมากมายจึงต้องเรียนรู้คนอื่นให้มากเป็นพวกเสือใส่เกือก หากไม่รู้จักเขาก็ช่วยเขาไม่ได้มันก็เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ถ้าหากคิดอย่างชาวเถรวาทว่าอรหันต์ตายไปแล้วสูญ ป่านนี้ศาสนาพุทธไม่มีการสืบต่อเลย (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า…สกทาคามีสู้กับกามพยาบาท หากพ้นได้ก็สบาย คนอยู่ฐานสกทาคามีจะไม่อยากต่อ แต่ถ้าสบายได้ก็อยากต่อ
พ่อครูว่า…ผู้แยกอุตุ พีช จิต ได้ขาดจากกันได้ ก็จะไม่เกิดอีกได้
ถ้าแยกธาตุ อุตุธาตุ พีชธาตุ จิตธาตุ ให้ขาดกันไม่ได้ ก็ไม่สามารถแยกจิตตัวเองให้เป็นอุตุได้ พระอรหันต์ที่เขาบอกว่าตายแล้วไม่เกิดอีก อย่างเช่น มหาบัวบอกว่าเป็นชาติสุดท้ายแล้ว ตายแล้วไม่มาเกิดอีกแล้ว
มหาบัวหลงผิด
-
หลงตัวเองว่าเป็นพระอรหันต์แต่เป็นอรหันต์เก๊