ส.ค.172019ศาสนา620816_รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 64 อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1QzPK-N-o1NpeD3kwTWGn_9oOsf1r15jtivDaxpaA8nY/edit?usp=sharing ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1lMQVompLCsC5pW0HCdZluafMtekM_evW ดูยูทูปที่ พ่อครูว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม 2562 ที่บวรสันติอโศก ก่อนอื่นต้องแจ้งข่าวคราวชาวเรา เรียนท่านผู้อ่านหนังสือพิมพ์“เราคิดอะไร”ทุกท่าน เนื่องด้วยหนังสือพิมพ์“เราคิดอะไร” ได้ดำเนินการเผยแพร่สัจสาระด้วยเอกลักษณ์ “ไร้มายา เข้มคุณค่า” มาจนถึงปีที่ ๒๕ แล้ว คณะผู้จัดทำหนังสือก็ล่วงเข้าสู่วัยวันอันสมควรที่จะต้องยุติงานนี้ตามความเป็นจริง ด้วยเหตุนี้จึงขอแจ้งต่อท่านผู้อ่านว่า คณะผู้จัดทำหนังสือพิมพ์“เราคิดอะไร”ได้มีมติว่า ให้ยุติการจัดพิมพ์หนังสือ“เราคิดอะไร” โดยฉบับที่ ๓๕๑ ซึ่งเป็นฉบับครบรอบปีที่ ๒๕ (แถมฟรี! หนังสือ“รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร” เล่ม ๓) จะออกในเดือนตุลาคม ๒๕๖๒ เป็นฉบับสุดท้าย ส่วนสำนักพิมพ์กลั่นแก่นยังคงดำเนินการต่อไป โดยจะรวบรวมคำบรรยายธรรมะของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์พิมพ์เป็นหนังสือเล่มเพื่อแจกแก่สมาชิก“เราคิดอะไร” ตามวาระที่เหมาะสม ขอกราบขอบพระคุณในน้ำใจเสียสละของนักเขียนและมิตรไมตรีของสมาชิกทุกท่าน ที่กรุณาสนับสนุนหนังสือพิมพ์“เราคิดอะไร”มาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ด้วยจริงใจไมตรี คณะผู้จัดทำหนังสือ“เราคิดอะไร” สำนักพิมพ์กลั่นแก่น พ่อครูว่า…ต้องขอขอบคุณนักเขียนที่เขียนลงในหนังสือเราคิดอะไร ไม่มีใครได้ค่าตอบแทนในการเขียนเลย ต่างคนต่างเสียสละในการทำเพื่อมนุษยชาติ แต่ก็ไม่ใช่จะหยุดทีเดียว จะทำในรูปแบบอื่นแทน อาตมาก็เห็นว่าเหมาะสมแล้ว ตอนนี้ก็เขียนแบบไม่ต้องมีอะไรมาบังคับ ก็จะเขียนตามที่ควร งานอื่นก็มีคนมาเอาภาระไปมากก็จะเบาลงมากแล้ว มีsms ก่อน SMS วันที่ 14-15 ส.ค. 2562 _1182ช่วงจำพรรษาพ่อครูบินจากบ้านราชมาสันติอโศกมาตรวจสุขภาพ? มางานบุญญตธ? ฤามาโรงเปาปุ้นจิ้นศาลไทฟง? กราบพ่อครูฯนมก.สณ.สม.จรธ .กทธ.ทุกบวรอโศกสาธุ!กบสิ้นโศก พ่อครูว่า…อาตมาไม่มีคดีอะไรแล้ว เดี๋ยวนี้เขาปลดปล่อยหมด ขนาด นปช. เขาก็ยังปลดปล่อยก็แล้วแล้วอย่างพวกเรานี่ก็คงจะคลายไปบ้าง ทุกอย่างกำลังคลี่คลายสังคมโลกนะไม่ใช่แค่สังคมประเทศเท่านั้น สังคมทั้งโลกกำลังคลี่คลายไปสู่สัจธรรมไปสู่สิ่งที่สูงที่ควรที่ดีจริงๆ _1182งานใดๆ ก็ต้องมีอุปสรรคมีปัญหาเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องแก้ปัญหาฯทำงานให้การบริหารปท.เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามสถานะการณ์ฯ โดยแก้ไขให้ตรงเป้าตรงจุดฯมีความเข้มแข็งอดทน! ขอให้ครม.และรบ.ได้มีกำลังใจมีพลังที่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีด้วยความถูกต้องต่อไป! พระราชดำรัสให้ครม.ใหม่!มวลมหาปชช.น้อมสดับรับฟังได้ยินพิธีถวายสัตย์จบครบบริบรูณ์ด้วยใจรักภักดี! พ.ค้านไม่ได้ยินฤา? เมื่อไรจะจบ? สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน โพธิสัตว์ผู้มาต่อเชื้อศาสนาในยุคกึ่งพุทธกาล _1182พิธีกรรมพุทธศ.สะท้อนศก.ปากท้องบ้านวัดโรงเรียน! พุทธไสยศาสตร์พึ่งเครื่องรางของขลังวัตถุมงคลเพื่อภาระ ค่าไฟน้ำวัดบำรุงรักษาวัดเลี้ยงครอบครัวญาติกาพระคนอาศัยวัดที่ใหญ่ โตเกินกำลังชุมชน! พุทธพานิชย์พึ่งสังฆภัณฑ์กฐินทอดผ้าป่าเพื่อค่าจ้างสารพัดช่างรับเหมาเลี้ยงชีพด้วยงานปลูกสร้างวิหารศาลาโบสถ์วัดที่ทำกินหลักของลูกจ้างไร้งานคนตกงานสังคม!สณ.สม.ว่าจริงไหม? พ่อครูว่า…มันก็เป็นจริงไปตามลำดับเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ การทำตัวเองให้เป็นผู้ที่มีคุณค่าสูง แต่เป็นคนที่เป็นภาระสังคมเป็นผู้ที่เปลืองผลาญในสังคมน้อยที่สุดๆได้ นี่เป็นหลักสัจธรรม ประโยชน์สูงประหยัดสุดที่เป็นmotto เป็นเพลงอริยะหมายเลข 1 ของชาวอโศก เพลงอริยะมีทั้งหมด 10 หมายเลข หมายเลข 1 ประโยชน์สูงประหยัดสุด ก็จะไม่ขยายความตอนนี้ อาตมามั่นใจในทฤษฎีพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสไว้แล้วพวกเราเอาไปปฏิบัติการเป็นไปได้จริงตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่การมีศีลเป็นคนมีศีลมีสังคมที่มีศีล มีศีลกันทั้งหมู่บ้าน จะรวมกันเป็นตำบล แต่ว่าหมู่บ้านของเรากระจัดกระจาย จึงไม่ได้เป็นอยู่ในตำบลเดียวกัน แม้ไม่เป็นหมู่บ้านทางนิตินัยอย่างเช่นกันที่อโศกไม่ได้เป็นหมู่บ้านทางนิตินัยแต่ก็เป็นหมู่บ้านใหญ่ อยู่กันอย่างมีวัฒนธรรมหลักเกณฑ์ของบุญนิยม จะอยู่กันอย่างที่จะอธิบายให้ชัดเจนได้ยากให้ครบได้ยาก ก็ต้องค่อยๆตรวจสอบดูให้ดีแล้วจะเห็นว่า อาตมาภาคภูมิใจที่ยังสามารถขยายความให้พวกเราเข้าใจ แล้วพวกเราก็มีอยู่เยอะที่เป็นคนมีบารมีเดิมเก่าแล้วก็มาต่อภพภูมิกัน พวกเราก็มาช่วยกันฟื้นภูมิเก่าและเพิ่มเติมสิ่งที่ใหม่เข้าไปที่ดีๆ ก็ขอกล่าวถึงตัวเอง อาตมารู้จริงๆว่าตัวเองอายุ 72 ต้องตายแล้วไม่ได้อยู่แล้ว เลิก ก็จะมาเกิดมาอีกทีก็จะเป็นเด็กเล็กกว่าจะโตอีก ในยุคกัปของโลก โลกกัปใหม่ในยุคใหม่ก็ค่อยว่ากัน แต่ทีนี้ อาตมาก็ไม่ยอมตายตามอายุขัย ฝืนทำ เพื่อให้ต่อเนื่อง จะมีอานิงส์มากกว่าไม่ต่อเนื่อง อาตมาก็ประกาศหาโพธิสัตว์ผู้พี่มาช่วยก็ไม่มีมา ที่จริงแล้วก็รู้ว่าไม่มีหรอกแต่ก็ประกาศไปอย่างไม่ได้นึกว่าตัวเองแน่จริง ถ้าเป็นโพธิสัตว์ผู้พี่ก็จะมีหมู่กลุ่มยืนยัน เป็นกายสักขียืนยันยิ่งกว่าอาตมานะ อาตมาก็มีกายสักขีให้ยืนยันได้ ในหลวงท่านก็มีกายสักขีอย่างแบบรูป แต่ทางนามท่านอธิบายไม่ได้ ทางนามมีอะไรให้อธิบายเยอะซับซ้อน แต่ท่านทรงงานมา 70 กว่าปีก็ชัดเจน จิตวิญญาณคนไทยก็มีโลกุตระก็ จึงเกิดเหตุการณ์ Bomb of love ซึ่งไอน์สไตน์ได้เขียนทิ้งไว้บอกลูกสาว แต่ก็ไม่ได้เขียนว่าจะเกิดอย่างไร แต่อาตมาก็มาย้ำว่าเกิดเหตุการณ์ Bomb of love ประชาชนคนไทยรักในหลวงไม่ได้รักที่ท่านรูปหล่อ หรือร่ำรวย แจกเงินทองก็ไม่ แต่ท่านมีคุณธรรมวิเศษที่เป็นโลกุตรธรรม ท่านเป็นนักรับใช้ประชาชน เป็นนักบริหารบ้านเมืองที่เป็นตัวอย่างของโลก สหประชาชาติก็เห็นเช่นกันจึงให้ถ้วยรางวัล สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงที่จะปรากฏแก่มนุษยชาติไปเรื่อยๆ อาตมาฝืนทำเกินอายุมา 1 นักษัตร 12 ปีก็อายุ ย่าง 86 ปี เต็ม 86 มิถุนายน 63 อาตมาเกิด 5 มิถุนายน ในหลวงประสูติ 5 ธันวาคม ครึ่งปีผ่านไป ก็เป็นเรื่องอจินไตยอย่างนึง ก็ต่อไป พอถึง 5 มิถุนายน 63 อาตมาก็จะครบเต็ม 86 ปี จะขึ้น 87 วันที่ 5 มิถุนายน 63 ก็เป็นวันขึ้น 87 ปีวันแรก ย่างเข้าสู่อายุ 87 ปี ดูว่าจะ fresh up ขนาดไหน อาตมาเชื่อในพลังงานสัมประสิทธิ์ เป็นพลังงานทางวัตถุก็ได้ให้เกิดสัมประสิทธิ์ มีสูตรของไอน์สไตน์ E=mc2 ทางด้านนามธรรมก็ทำได้พวกเราจะเป็นกลุ่มที่มีคนอายุยืนมาก ในมนุษยชาติมีประเทศญี่ปุ่นที่มีคนอายุยืนยาวอยู่มาก ในชุมชนหรรษาก็มีคนอายุยืนยาวมาก 100 ปีขึ้น แต่ก็มีสถิติไม่ได้เกิน 120 กันสักเท่าไหร่ เขาก็พยายามตรวจสถิติกันอยู่ ก็ทำสถิติกันเอาไว้ จนมี beat record กันไปเรื่อยๆ อนาคตชาวอโศกจะ beat recordกันได้นะ ไม่ได้อยากเด่นดัง แต่ก็มันเป็นเรื่องดีที่ถ้าทำได้ ทางด้านยาอาหารเราก็ทำอยู่ แต่ทางยาเภสัชจริงๆแบบทางโลกเราไม่เก่ง แต่ก็พยายามอยู่ จะมีคนมารับช่วงเสริมต่อยอดกันไป นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน ทิฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5 ประการ _ฟ้ารัก…อันเนื่องจาก ฌาน 1 2 3 4 มีความเห็นที่เป็นสัมมาทิฏฐิและมิจฉาทิฏฐิ ข้อปฏิบัติที่บรรลุวิชานั้นมีอยู่ในบทสวดพุทธคุณ 9 พุทธานุสสติว่าเพราะเหตุอย่างนี้พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นผู้ไกลจากกิเลสเป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ จรณะตรงนี้คือข้อปฏิบัติที่พาให้บรรลุวิชชา และก็มีข้อความ ประกอบด้วยศีลและสัมปทา อปัณกปฏิปทา และสัทธรรม 7 ฌาน 1 2 3 4 ในทิฏฐิ 62 พรหมชาลสูตร มีทิฏฐธรรมนิพพาน วาทะ 5 นั้นพระพุทธองค์ว่า มีสภาพบางอย่างที่เป็นปัจจุบัน 1) อัตตาที่อิ่มเอิบในกาม 2) ฌาน 1 3) ฌาน 2 4) ฌาน 3 5) ฌาน 4 ทั้ง 5 ข้อเป็นพวกปรารภขันธ์ในอดีต ผู้กำหนดข้อแรกว่า กำหนดกามเป็นนิพพานปัจจุบัน เป็นมิจฉาทิฏฐิใน 62 ข้ออันนี้พอจะเข้าใจ แต่มีความคลางแคลงใจอยู่ในทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิอีก 4 ข้อที่ใช้ชื่อว่า ฌานที่ 1 2 3 4 จะไปซ้ำกับการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 ในมหาจัตตารีสกสูตรและจรณะ 15 เพิ่งจะเกิดภาวะของ ฌาน 1 2 3 4 ตามลำดับ เป็นภาษาเดียวกัน อยากให้พ่อครูอธิบายให้กระจ่าง พ่อครูว่า..สำคัญ..ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พรหมชาลสูตรล่าสุด ยืนยันไว้ชัดว่า ผู้ที่นั่งเจโตสมาธินั้น ได้แต่อดีต18 และ อนาคต 44 และในอนาคต 44 ก็มีทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5 นี้อยู่ด้วย ก็ต้องมาขยายความให้ชัด ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิที่เป็นมิจฉาทิฏฐินั้น เพราะฉะนั้นต้องปฏิบัติผิดวิธีแน่ เพราะถ้าปฏิบัติถูกต้องจะต้องเป็นทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ มันเป็นคำเดียวกันแต่มิจฉานั้นเป็นทิฏฐิที่มิจฉาอย่างหนึ่ง ทิฏฐิอีกอย่างหนึ่งเป็นสัมมา คนนั้นจะต้องมีปัญญารู้เอง คำว่า กาม ไม่มีสงสัยกันหรอก คนหลงเสพกามคุณ 5 แล้วถือว่าเป็นนิพพานก็มีอยู่ในกามสูตร คนว่าเสพกามให้ถึงที่สุดแล้วจะบรรลุนิพพาน เขาก็หลงเชื่อว่าการเสพกามทำให้ถึงนิพพาน มาถึง ฌาน ซึ่ง ฌานของพระพุทธเจ้ากับแบบที่มิจฉาทิฏฐินั้นมันคนละอย่างกัน ฌาน ของการปฏิบัติมิจฉาทิฏฐินั้นอยู่ในภพ ไม่รับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายปิดทวารทั้ง 5 แล้วเขาก็ไปมีภพมีชาติ คือไม่มีกามภพ มีแต่ภพในภวังค์ 1 เดียวแล้ว คุณก็มี นิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย เสพเองอยู่ในภพ ฌาน 1 กายต่างกันกับ ฌาน 2 กายต่างกันกับ ฌาน 3 กายต่างกันกับฌาน 4 สัตตาวาสข้อ 1 กายต่างกันสัญญาต่างกัน สัตตาวาส ข้อ 2 เป็นปฐมฌาน เป็นสัญญาอย่างเดียวกัน เช่นพวกหลับตาก็สงบไม่มีนิวรณ์ 5 ลืมตาก็สงบไม่มีนิวรณ์ 5 กายต่างกันแต่สัญญาอย่างเดียวกัน กายมีรูปนามของศาสนาพุทธลืมตา แต่สงบเหมือนกัน ปฐมฌานเหมือนกันสัญญาอย่างเดียวกัน ส่วนกายอย่างเดียวกัน สัญญาต่างกัน ตอนนี้แหละสัตตาวาส ข้อ 3 ความหมายของพระพุทธเจ้ากับของฤาษีนั้นสัญญากำหนดต่างกันแต่กายอย่างเดียวกัน ตอนนี้ทางที่นั่งหลับตาอธิบายกายต่างกันไม่ได้ ยิ่งอธิบายฌาน ทางสายหลับตาต้องเข้าฌานหลับตาลืมตาไม่มีฌาน เพราะฉะนั้น ฌาน 2 3 4 ก็นัยเดียวกัน กายต่างกันหมด แม้ว่าจะเป็นกายอย่างเดียวกันก็ซับซ้อนไปอีก ยิ่งเป็นสัตตาวาส ข้อ 4 5 6 ยิ่งลึก ยิ่งเป็นนิรมาณกายคือรูปนามที่ปรุงแต่งในภพชาติเป็นวิมานสร้างเอง โดยคนอื่นๆที่ในพวกเดียวกันอุปาทานเดียวกันก็สัมโภคกาย พูดกันว่าใช่ๆ แต่กายต่างกันสัญญาอย่างเดียวกัน สัมโภคกายเดียวกัน แต่กายต่างกัน ถ้ามาเป็นภายนอกมันคนละเรื่องเลย แต่ของเขาภายนอกมันเป็นกายต่างกัน คนนี้ก็ปั้นเอง ของใครของมัน รูปคือสิ่งที่ถูกรู้เขาก็ถูกรู้เป็นนิรมาณกายของเขาแต่ละคน ยิ่งลงลึกไปก็ขอไว้ก่อนยังไม่อธิบาย ทองแก้วว่า…หลับตาแต่ละคนเขาก็คิดไปเองใช่ไหมคะ พ่อครูว่า…พวกนี้พวกมโนเอาเองทั้งนั้นต่างคนต่างมโน หลับตาก็มีพวกๆหนึ่งแต่พวกไม่มีพวกก็มี _ฟ้ารัก…อันเนื่องมาจากคำว่าปัจจุบัน…พวกที่หลับตาเขาก็ถือว่าเป็นปัจจุบันของเขาแต่พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นอนาคต พ่อครูว่า…คนที่ไปสร้างภพในจิตของตัวเองไม่มีคนอื่นจะรู้ด้วยมันไม่เป็นปัจจุบัน ปัจจุบันจะต้องมีแสง อาโลก มีจักขุ ตาหูจมูกลิ้นกายมีคนอื่นร่วมรับรู้ด้วยว่านี่มันเป็นสัจธรรมนี่มันเป็นธรรมะแท้ๆ ไม่ใช่คนรู้อยู่คนเดียว ถ้ารู้อยู่คนเดียวก็จะเป็น สัญญายนิจจานิ สัญญาของคุณเองเพียงแต่คนอื่นไม่เกี่ยวอย่างนั้นไม่ใช่ ยิ่งจะอธิบายสัญญายนิจจานิก็จะลึกไปอีก เอาไว้ก่อนวันนี้ไม่อธิบาย สัญญายนิจจานิ คำนี้คำเดียวทำให้ดอกเตอร์รินธรรมไม่ค่อยฟังอาตมาสักเท่าไหร่เพราะว่าความเห็นของดร.รินธรรมเป็น สัญญายนิจจานิ ดร.รินธรรม มีปริญญาเอก ปริญญาโทอีกหลายใบนะ สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยสัจ 4) ตอน ความจริงมีหนึ่งเดียวคือปัจจุบันเท่านั้น _ฟ้ารัก…ในคอลัมน์เปิดยุคบุญนิยม..ความจริงนี้ยืนยันอยู่เป็นหนึ่งเดียวก็คือปัจจุบันเท่านั้น ในภาวะ 3 ของโลกที่เป็นอดีตปัจจุบันอนาคต เว้นจากภาวะ 3 นี้อันได้แก่อดีตปัจจุบันอนาคตแล้ว ก็ไม่มีอะไรมีเลยในจักรวาล หรือในอนาคตอยู่ที่ไหน ในประดาภาวะที่มีกับไม่มีก็คือปัจจุบันนั่นเองที่เป็นความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ที่มีและจริงยิ่งกว่าอีกสองภาวะนั้น บทเพลงปัจจุบันแล้วก็ไม่มีอะไรอีกแล้วปัจจุบันนั้นเป็นจริงที่สุด เรียนภาวะที่เป็นปัจจุบันจะรู้ในทุกสิ่งทุกอย่างได้ครบหมด ที่ยังต้องการความกระจ่างจากพ่อครูคือ อย่าหลงปัจจุบันหรือตีทิ้งลบหลู่อดีตเด็ดขาดไม่อย่างนั้นคุณจะแย่ที่สุดยอดที่สุดและไร้ค่าที่สุดหรือคุณจะสูญเสียทุกอย่างชนิดที่ไม่มีอะไรเสียได้เท่าอีกแล้วในภาวะที่เรียกว่าความชิบหายทั้งมหาเอกภพ รบกวนพ่อครูอธิบายขยายความ พ่อครูว่า..สรุปคำตอบนี้สั้นนิดเดียว ภาวะที่จะเกิดความรู้ได้ต้องมี 2 คือเทวะ แปลว่า 2 ถ้าขาด 2 มีแต่ 1 หรือ 0 ไม่มีความรู้อะไรเกิดขึ้นได้ ความรู้ก็ไม่มีเพราะฉะนั้นความจริงก็ยิ่งไม่มีใหญ่ เพราะฉะนั้นถ้าคุณมี 2 อดีตกับอนาคตเทียบกัน หรือปัจจุบันกับอนาคตเทียบกัน อดีตกับอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่มี อดีตมันหายไปแล้วอนาคตมันก็ยังมาไม่ถึง เพราะฉะนั้น 2 อันนี้อย่างไรก็ไม่จริงเท่าปัจจุบัน ถ้าใครเข้าใจปัจจุบันไม่ได้ ก็คงจะพูดกันต่อไม่ได้ แค่อดีต ปัจจุบันอนาคตมีอะไรจริงที่สุดก็ต้องปัจจุบันจริงที่สุด อดีตมีสิ่งที่เป็นจริงผ่านไปแล้ว อนาคตยิ่งไม่มีใหญ่เลย หากเปรียบเทียบไม่ได้ ลิงค หรือเพศ ระหว่างอดีตปัจจุบันอนาคต หรืออดีตกับอนาคตมันต่างกันอย่างไรก็ไม่ต้องพูดกันเลย เพราะฉะนั้นเมื่อมาเทียบกับปัจจุบัน อดีตกับปัจจุบันหรืออดีตกับอนาคตคุณก็จะรู้ความต่าง เสร็จแล้วมาเทียบกันเลย เมื่อเทียบอดีตกับปัจจุบันอดีตมันยังจริงกว่าอนาคตกับปัจจุบัน แต่ปัจจุบันนี่สิจริงที่สุด ฟ้ารักว่า ปัจจุบันก็ต้องเป็น 2 คุณมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ถ้าคุณมีชีวิตต้องถือปัจจุบันที่มี มีปัจจุบันเป็นหนึ่ง แต่ถ้าคนไม่มีชีวิตปัจจุบันก็ไม่มีก็ต้องสูญ จริงกว่า ถ้าคุณ ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ต้องเป็น 0 จริงกว่าปัจจุบันก็ไม่มีอะไรก็ไม่มี 2 เป็นตัวสำคัญที่ต้องตีแตกแยกให้ออกถ้าคุณตีไม่แตกยึดถือแค่ 1 ก็จะไม่รู้จัก 2 3 4 5 และเป็นล้านๆ เกี่ยวข้องเป็นอิทัปปัจจยตาแต่คุณตีแตกแยกไม่ได้ เพราะฉะนั้นเทวนิยมยึดถือแค่ 1 ยังไม่ตีแตกถือว่าพระเจ้าใหญ่ที่สุดมหาเทวะใหญ่ที่สุด บอกว่าอย่างไรพระบุตรเอามาบันทึกไว้แล้วจากของพระเจ้า คุณก็ต้องทำตามนั้นอย่าไปตีแตกแยกแยะเป็นอันขาด นี่คือข้อจำกัด _ฟ้ารักว่า..เลยทำให้เขารู้ความเป็นจริงไม่ได้เกิดความผิด พ่อครูว่า…ก็เลยไม่มีความสูงที่สุดของมนุษย์พระเจ้าถือว่าสูงที่สุดของเขาแล้วแต่ก็เป็นนิรมาณกายไม่มีไม่เห็นได้ ตั้งภพเอา สูงเท่าไหร่ เราสามารถอธิบายความสูงที่สัมผัสได้พิสูจน์ได้ทุกอย่างในพระพุทธศาสนา แต่ของพระเจ้าในด้านเทวนิยมพิสูจน์ไม่ได้ ถึงแม้จะพิสูจน์ได้สภาวะของพุทธศาสนาก็พิสูจน์ได้เหนือกว่ามากกว่าเป็นแต่เพียงว่าเขาจะยอมรับหรือไม่ เช่นสภาวะของพระเจ้านั้นไม่มีนิพพาน สูญไม่ได้มีแต่มีตลอดนิรันดร ตีไม่แตกอย่างนี้เป็นต้น สภาวะของเทวนิยมนั้น เราจะมีความรู้ความเก่งความสามารถที่สุดแห่งที่สุดในร่างของความเป็นมนุษย์ไม่ได้ ต้องเป็นพระเจ้าเท่านั้น แต่ของพุทธนั้นผู้ที่เป็นคนนี่แหละมีครบอาการ 32 ทุกคนมีสิทธิ์สูงสุดเท่ากับพระพุทธเจ้า ของพุทธ ถือว่าพระพุทธเจ้าสูงสุดของเทวนิยมถือว่าพระเจ้าสูงสุดแต่พระเจ้าสูงสุดของเทวนิยมไม่เคยให้ใครมาเห็นตัวได้ มีแต่คำบรรยายแล้วก็บรรยายขยายความให้มากมายไม่ได้แต่ของพระพุทธเจ้าขยายได้หมด และคนทุกคนมีสิทธิ์เป็นพระพุทธเจ้าแต่คุณจะสามารถทำถึงหรือเปล่าเท่านั้นอาตมาคนหนึ่งกำลังพิสูจน์ _ทองแก้ว..หมายความว่า ทุกผัสสะในปัจจุบันหากเราทำให้เป็น 0 ได้ พ่อครูว่า..ใช่ตั้งแต่อบายภูมิต่ำสุดแล้ว คุณต้องตรวจความรู้สึกต้องรู้ว่า ในความรู้สึกซึ่งมันมีความต่าง ลิงค เพศ มัน 0 ไม่ดูดไม่ผลักแล้วสูญเที่ยงแท้ด้วย เราก็อยู่ในโลกเขาสูญไม่ได้ในอบายมุขเราก็อยู่กับเขากับสัมผัสกับเขาแต่จิตใจเราก็เป็น0 คุณอ่านเวทนาของคุณได้จริงๆมันหยุดได้จริง 0 ได้จริง คุณก็ทำได้ที่สุดยืนยันได้ทุกคน เอามายืนยันกันได้เลย โลกอบายเขาตะลิดติดชึ่งกันอยู่ แต่เราก็สูญ คุณก็ต้องรู้อ่านจิตใจตนเองว่าคุณติดหรือไม่ติดก็อ่านสภาวะยืนยัน เราไม่มีแล้วตรงกันกับคนอื่นอย่างไรมันก็เป็นผู้ที่สูงขึ้นต่อไปจากอบายภูมิ ก็จะพูดกันรู้เรื่องหมดเลย _ทองแก้วว่า..ถ้าเหลือ ถ้าเราเหลือนิดนึงแล้วต้องรอเวทนาใหม่อีกหรือ? พ่อครูว่า…มันต้องผัสสะจริง ผัสสะสิ่งที่มันมีอยู่ในโลกคุณไม่ต้องกลัวหรอกในโลกมันจะหยาบขึ้นตลอดเวลาเพราะฉะนั้นมันจะมีให้คุณสัมผัสตลอดเวลา ไม่ต้องแสวงหาด้วยมันจะวิ่งมาหาคุณ เดี๋ยวนี้กดในมือถือมันก็จะมา คุณไม่อยากสัมผัสมันก็จะได้ด้วยซ้ำไป สัมผัสมันเถอะแล้วคุณจะรู้ว่าเป็นอย่างไรคุณจะไม่โกหกตัวเอง ถ้าคุณไม่โกหกตัวเองคุณก็สบาย แต่ถ้าคุณโกหกตัวเอง ทำเป็นเราไม่เสพหรอก แต่ก็วุ่นวายไม่จบ แต่คนที่ไม่แล้วจริง มันเสียเวลาเสียแรงงานมันไม่เข้าท่า เสียแคลอรี่ มันจะชัดเจนจริงๆ _บ้านเล็กเมืองน้อย…กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง ถ้า อกุศล คือความมืด.. แสงสว่างย่อมเป็นตัวแทนแห่ง กุศล.. เมื่อ อกุศลจิตดับสูญไปหนึ่ง ด้วยพลังงานบุญ ผลของบุญ ย่อมเกิดเป็นกุศลจิตใหม่หยั่งลงแทน… เปรียบเช่น การเปิดสวิตซ์ไฟย่อมก่อให้เกิดแสงสว่างเข้าแทนที่ ความมืดมิดก็ไม่อาจดำรงคงอยู่ได้ต่อไป แต่ผู้ที่จะขับไล่ความมืดได้นั้น ก่อนอื่นต้องรู้ความแตกต่างของแสงสี… รู้จักชั่งน้ำหนักในใจ ระหว่างความซ่อนเร้นกับความเปิดเผย… ต้องแยกแยะความสำคัญของสภาวะดำมืดอันลึกลับ กับขาวกระจ่างแจ้งให้ถ่องแท้เสียก่อน จึงจะสามารถเข้าใจในสิ่งที่กำลังมุ่งแสวงหา ทำให้มีศรัทธาทุ่มเท เกิดความยินดีมุ่งมั่น ก็จะกล้าลืมตาขึ้นเผชิญโลกแห่งความจริง สอดส่ายสายตาค้นหาอย่างมีสติ แกะรอยสายไฟไปตามผนังด้วยปัญญา จนเจอสวิตซ์ จึงจะยื่นมือเปิดโลกสู่ความสว่างได้ พ่อครูว่า…พวกที่หลับตาไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริงจึงเป็นคนขี้ขลาด อย่าขี้อายไปเลย…ลองลืมตาเปิดรับผัสสะดู ละทิ้งภวังค์ที่ซ้ำซากอดีต และฟุ้งซ่านอนาคต… อยู่กับปัจจุบัน ด้วยสติแจ่มปัญญาแจ้ง จะมีอาการในเวทนาให้อ่าน พยายามแยกแยะอย่างสัมมา พร้อมไปกับมรรคทั้ง ๗ แล้วทำบุญกำจัดสัญญาผิดๆทิ้งไป ก็จะค่อยๆได้สัมมาสมาธิที่เฝ้าใฝ่หากันอยู่ โดยไม่ต้องนั่งหลับตาให้เมื่อยอีกต่อไป เสรีภาพที่ได้จากการหลุดพ้นคือ เป็นอิสระจากการโหยหาสุข และหลีกหนีทุกข์ อยู่เหนือกิเลสอย่างเป็นปกติวิสัย โดยไม่เดือดเนื้อร้อนใจใดๆ จึงไม่ต้องสะกดข่ม เสแสร้งทำตามมารยาทสังคม เพราะมีความซื่อตรงในการแสดงออก… ทีนี้เมื่อหลับตาลงอีกคราวใด ก็จะมี ปุพเพกตปุญญตา ให้เป็นอุปการะได้ พ่อครูว่า…ปุพพ แปลว่าผ่านไปแล้ว กต คือเสร็จแล้วได้แล้ว คือสิ่งที่ได้มาแล้วก่อนได้ปุญญะ ปุญญะคือไม่ได้ คือสิ่งที่ได้ล้างไปแล้วกำจัดไปแล้ว เป็นสิ่งที่ได้มาก่อน ปุพเพ ได้แล้ว ปุพเพกตปุญญตา คำว่าตาคือปัจจัยให้คำนี้เป็นคำนาม ปุพเพกตปุญญตา คือ พลังงานที่คุณได้ฆ่ากิเลสสำเร็จแล้ว แต่เขาไปแปลว่าบุญเก่าที่ทำมาก่อนแล้วเข้าใจว่าบุญเก่าเป็นสมบัติ แต่เราอธิบายบุญเก่าคือสูญไปแล้ว มาถึงปัจจุบัน อันนี้เป็นอุปการะ 0 เป็นสิ่งอุปการะ _สิ่งที่ดูเหมือนเป็นเรื่องผิดพลาดเล็กน้อย แต่แท้จริงแล้วส่งผลกระทบร้ายแรง คุกคามและบั่นทอนอายุขัยของพุทธศาสนา จนสูญเสียความเป็นพุทธะ ทำลายความเป็นศาสนาแห่งเหตุและผลไปจนหมดสิ้น กลายเป็นเรื่องของเดียรถีย์ที่งมงายในอภินิหารกันไปหมด….. พ่อท่านจึงมิอาจเพิกเฉยได้ ! โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ที่มากบารมี ทรงอิทธิพลต่อพุทธบริษัท กลับปฏิบัติผิดทิศผิดทางเสียเอง เป็นเหตุให้เกิดการเอาเยี่ยงเอาอย่างเป็นกระแสสังคม จนพากันเข้าใจพุทธศาสนาผิดๆกันทั้งบ้านทั้งเมือง… ทำให้ศาสนาของพระพุทธองค์ต้องมัวหมอง… สูญสิ้นผู้บรรลุธรรม… นำมาซึ่งวิถีปฎิบัติผิดๆ ที่ถูกพวกสมีสามานย์นำไปประยุกต์ใช้หากินจน ธรรมะกลาย……. มอมเมาสังคม จนศาสนิกชนพากันหลงผิด.. ศีลธรรมเสื่อมทราม กลองอานกะเหลือแต่ชื่อ……. ส่วนไหน ท่านใดที่ประเสริฐเลิศดี พ่อท่านก็ยกย่องสรรเสริญ.. ส่วนใดที่ผิดพลาดส่งผลร้ายแรงท่านก็จำต้องตำหนิ ต่อว่าตรงๆแรงๆ เพื่อกำราบพวกที่ยังอวิชชากันอยู่ …..เพราะนี่คือหน้าที่โดยตรงของ “ ผู้กอบกู้พุทธศาสนา ” พ่อครูว่า…ที่พูดมานี้ลึกไม่ใช่เล่น ..ใครไม่เข้าใจบ้างยกมือซิ …ไม่ใช่น้อยเหมือนกันที่ไม่เข้าใจ ส่วนใหญ่นั่งหลัง แต่พวกนั่งหน้าพวกนี้…ทุ่มเท ก็ขอขอบคุณที่ช่วยอธิบาย สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ผู้ค้ำจุนศาสนาพุทธและผู้มาทำลาย อาตมาก็ต้องขอบคุณพระเถระผู้ใหญ่ที่ช่วยศาสนาอยู่ในปัจจุบันนี้ ท่านสังฆราชองค์นี้ก็ตาม ท่านประยุทธ์ ปยุตฺโต ก็ตาม ท่านประยุทธ์ทั้งเป็นผู้ที่ซื่อตรงต่อความรู้ท่านรักความรู้ท่านศึกษาความรู้ท่านมีความรู้มากและท่านก็ซื่อตรงต่อความรู้ของท่านจริงๆ เท่าที่ภูมิธรรมของท่านมี ซึ่งอาตมาไม่บังอาจที่จะไปเปลี่ยนแปลงความรู้ของท่านได้แต่ท่านเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อความรู้ จริงจังต่อความรู้ และท่านเป็น learned man ท่านศึกษามากอาตมาต้องนับถือเลย อาตมาเป็นผู้ที่ศึกษาน้อยค้นคว้าน้อยก็ต้องนับถือผู้ที่ศึกษามากกว่า ท่านก็ทำงานเยอะแบบลักษณะท่านชวนอาจจะมาทำงานเยอะแบบลักษณะอาตมา ดีไม่ดี อาตมาอายุยืนยาวไปถึง 151 ปีก็น่าจะมีผลงานมากกว่าของท่านนะ ตอนนี้หนังสือธรรมะที่อาตมาเขียนมากกว่า 100 เรื่อง อาตมาเป็นคนอาภัพ เขียนนิยายเรื่องโลกๆก็ไม่ได้ตีพิมพ์สักเล่ม แต่ก่อนเขียนเรื่องสั้นเป็นร้อยเรื่อง คนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเพราะเป็นเรื่องโลกุตระ สรุป พระผู้ใหญ่ท่านบวชก่อน อาตมาเป็นอาวุโสท่านเป็นภันเต เรื่องคำว่าภันเตกับอาวุโสมันกลับกันกับทางโลกที่ไปเข้าใจข้าว่าอาวุโสนั้นสูงกว่า แต่ที่จริง อาวุโส ผู้น้อย ภันเตผู้ใหญ่ ท่านบวชก่อนอาตมาต้องเคารพเป็นภันเต ท่านก็ดำเนินของท่านไปซึ่งเป็นสถานะเก่า ให้อาตมาไปเป็นไม่ได้ ไม่อยูในฐานะอาตมาเป็นไม่ได้ อนุโลมมากไม่ได้ แต่ท่านนั้นน่ะ ท่านไม่อนุโลมหรอกแต่ท่านมีอย่างสมส่วนสมยุคสมัย แต่อาตมามีผู้ตามมีน้อยมวลก็จะน้อย ส่วนใหญ่นั้นเข้าใจอีกอย่างและยอมรับมวลมากกว่าเนื้อแท้ เพราะเขาไม่รู้เนื้อแท้ เขารู้ด้วยปริมาณจำนวนมากกว่า อาตมารู้กาลัญญุตาว่า กาละนี้เป็นอย่างไรอันควร อาตมาไม่ละลาบละล้วงก็ขอบคุณอนุโมทนาสาธุที่ทำงานของท่านไป เมืองไทยยังมี 2 ท่านนี้ก็ยังดีหนักหนา ก็ช่วยสังคมโลกสังคมประเทศชาติไทยในด้านศาสนาพุทธ ส่วนผู้ที่อาตมาต้องตำหนิก็ต้องตำหนิ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่ชัดเจน ผู้ที่จะชมก็ต้องชมผู้ที่จะตำหนิก็ต้องตำหนิ ผู้ที่อาตมาชมก็มีข้อตำหนิ อาตมาก็เคยตำหนิแต่ก็ไม่ได้ตำหนิอย่างซ้ำซาก ก็มีส่วนที่ควรชมมากกว่า อาตมาก็จะตำหนิน้อยกว่าชม ส่วนผู้ที่จะต้องตำหนิมากเช่นธัมมชโย แม้มหาบัวก็ตาม อาตมาก็ตำหนิไม่ใช่เล่น เพราะว่า ขอซ้ำที่มหาบัว คือ ความเสพติดแม้แต่เรื่องตื้นง่ายอย่างเช่นหมากพลูบุหรี่ ยานัตถุ์ยาอมยาดมยาหอมแม้แต่น้ำเปรี้ยวน้ำหวานเหล่านี้มันง่ายจะตายไป เสพติดน้ำเปรี้ยวน้ำหวาน ขอบอกนิดนึง แม้แต่ท่านพุทธทาสก็ยังเสพติดน้ำหวานท่านก็เลยอ้วน อะไรอย่างนี้แต่อาตมาก็ไม่ว่าท่านมากหรอก เพราะเสพติดหมากพลูแย่กว่าติดน้ำหวานแล้วไปตะโกนอีกว่าเป็นพระอรหันต์ เอาขี้หมามาแลกทองคำ แค่ขี้หมายังไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรแล้วเอาไปเทียบเท่ากับทองคำอาตมาไม่ยอมหรอก ขี้หมายังไม่ออกเลยแล้วจะบอกว่าคุณเป็นทองคำ มันขัดแย้งมันไม่จริงหรอก เพราะฉะนั้นในยุคนี้เป็นยุคที่ชำระ นี่ก็มีการชำระ อาตมาก็รู้สึกดีใจตอนนี้ก็จับสึกกันมีใครต่อใคร พระที่ไปเล่นไสยศาสตร์ก็จับสึก ก็ขออนุโมทนาสาธุ เถรสมาคม เขาก็มีหลักเกณฑ์ไว้แล้วทำไปเถอะแล้ว ศาสนาจะสะอาดไม่ต้องกลัวหรอกว่าทำไปแล้วศาสนาจะล้ม ที่เห็นเลอะเขลอะ แต่มันไม่นิดหน่อย มหาบัวไม่ได้ติดหมากน้อยๆนะ ขาดไม่ได้เลย ติดหนัก อันนี้ก็เป็นน้ำหนักของความติดยึด อย่าว่าแค่หมากเลย ติดยึดหมากหนักก็เป็นดีกรี หมากเป็นรูป แต่ติดลึกติดแน่นติดหนัก เป็นนามนะ รูปดูเล็กน้อยแต่คุณติดลึกเหลือเกิน ต้องเข้าใจสภาพพวกนี้เหมือนกัน ตัวเองไม่รู้ว่าตนเองติดภพความใหญ่ คือหาเงินเข้าประเทศกองโต เพราะภูมิใจมากเลย แม้จะแสดงกริยาท่าทางไม่หยาบโจ่งแจ้ง แต่ก็แสดงกิริยา พูดยาวไปไม่ดี เพราะควรละเว้นอย่างนี้เป็นต้น เป็นสิ่งที่เทียบเคียงอาศัยประสมประสานแล้วคุณก็ได้เสพอย่างนี้ได้คนมาทำทานมากบริจาคมาก ลำพังของมหาบัวคนเดียวไม่ได้เท่านี้หรอก ..พอ คำว่าชาติก็ยิ่งใหญ่แล้ว แล้วยังมีอีกก็จะไม่ได้เยอะได้อย่างไร แฝง ชาติศาสนาพระมหากษัตริย์มีครบเลยของมหาบัวที่เอาไปแฝงเพื่อที่จะหาเงินมา แล้วเอามาทำใหญ่ แล้วทานด้วยนะไม่ได้เอามาหาตัวด้วยนะ ให้ประเทศนะซ้อนไหม? มุมหนึ่ง ถ้าคุณได้รับบริจาคมาให้แก่คน มองในมุมหนึ่งแย่มาก ถ้าบริจาคให้แก่บุคคลมองอีกแง่มุมหนึ่ง สมมุติว่าให้เฉพาะในหลวง กับดูดี เห็นไหม? นี่คือสภาพเทวะสองอย่างเป็นสิริมหามายาเข้าใจ 2 มุมนี้กลับไปกลับมาได้ยาก เห็นไหม? สิ่งเหล่านี้อาตมาเอามาเปิดเผย มาให้ความกระจ่าง เป็นปฏิภาณที่คุณจะรู้ความซับซ้อนที่สลับไปสลับมาหลายชั้นหลายเรื่อง หลายเหตุปัจจัยที่เอามาพูดมาขยายความให้ฟัง เพราะฉะนั้นจึงไม่ง่าย ไปหลงอรูป มหาบัวหลงอรูป เรื่องความเป็นยศศักดิ์สรรเสริญเยินยอ ไม่ต้องพูดเลยว่าตัวเองจะมีความสุขขนาดไหน สุขโลกียะ น่าปลาบปลื้มใจมาก แม้สรรเสริญเยินยอยศศักดิ์ก็ซ้อนอยู่ในนี้ เป็นเรื่องที่เอามาอธิบายให้ฟังแล้วก็จะชัดเจนลึกซึ้งขออภัยก็ต้องขอบคุณมหาบัวที่เป็นอย่างนี้ส่วนหนึ่งที่อาตมานำเอามาเป็นเหตุปัจจัยในการบรรยายธรรมะนี้ก็ขอบคุณจริงๆด้วยความจริงใจ ซึ่งไม่มีใครจะจ้างให้ทำ เอาเงินเท่าไหร่จ้างให้ทำก็ไม่ได้ แต่ทำจริงมันก็ต้องเป็นอย่างนี้ ได้เข้าใจลึกซึ้งขึ้นก็ต้องขอบคุณกัน ผู้ที่เป็นศัตรูเป็นคู่ตรงกันข้ามกัน เราก็อย่าไปเกลียดชังอะไรกัน เห็นมุมที่จะเป็นประโยชน์แล้วก็จะเอามาศึกษาเป็นเหตุปัจจัยในการศึกษา ได้ประโยชน์อย่างยิ่ง _จะทำอย่างไรให้เรามีญาณถึงพระสัพพัญญู ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านมีการแผ่รังสีเพียงใครต่อใครแม้แต่องคุลีมาล พ่อครูว่า…บําเพ็ญไปเถอะนี่คือคำตอบ จะทำอย่างไรคุณใฝ่สูงก็ไม่มีปัญหาอะไรแต่บำเพ็ญไปไม่ต้องไปอยากสูง คุณหาเหตุ ดูตัวเราให้ถูกตัว ดูตัวให้เหมาะสมกับตัวเองและทำเหตุ เราทำไม่ได้ยังไม่ถึงขั้นก็อย่าไปละลาบละล้วงหรือทำได้ไม่ละเอียดไม่ได้บริบูรณ์ ก็ทำอย่างเป็นขั้นตอนไปอย่าไปใฝ่สูงเกินการณ์ _ _พลังเพ็ญ..คำว่าปัญญา ปกติจะส่งสินค้า พอมีลูกค้าคนนี้ จู้จี้จุกจิกมากไม่อยากจะคุยไม่อยากจะตอบก็เลย แต่ก็มีจิตอักตัวว่าก็ต้องตอบเขาไปตามจริง พ่อครูเคยสอนว่า เรารู้สึกผิดกับอะไรก็จะไม่อยากทำสิ่งนั้นเริ่มรู้จักปัญญามากขึ้น การอ่านอารมณ์มองความจริงตามความเป็นจริง เมื่อมีผัสสะเราก็มีสติกำหนด เพราะว่าอย่างเช่นก็เริ่มจะเข้าใจมากขึ้น การปฏิบัติมรรคองค์ 8 ในชีวิตประจำวัน พอเราคิดเป็นทุกข์คิดผิด มันจะจับอารมณ์ทัน ไม่อยากคิดผิด บางทีเราตามอารมณ์ไม่ทัน คิดผิด เราก็จะพูดจะทำไม่ดีกับเพื่อน การอ่านอารมณ์คือทำอย่างนี้ ถ้าเราตั้งศีลปฏิบัติแล้วทบทวน ศีลข้อ 7 เราดูโทรศัพท์ เราเห็นเยอะแยะ แต่เรามีศีลกำหนดว่าไม่ให้ทำอย่างไร เริ่มเข้าใจปฏิบัติศีลจะเกิดสมาธิ ปัญญา พ่อครูว่า..ที่พูดมานี้ก็ถูกแล้ว เป็นเรื่องลึกซึ้ง เรามีกรอบศีล มันหยาบไปมากไปเมื่อถึงเวลาเราก็จะรู้ ปัญญาเป็นโลกุตระรู้ความผิดความถูกของจิตและเราก็รู้ว่าได้ล้างได้ทำความสะอาดให้กับจิตของเราให้แก่ความรู้ของเราให้มันละเอียดขึ้นมากยิ่งขึ้นจริง นี่คือปัญญาโลกุตระความรู้โลกิยะไม่ได้เข้าใจสภาพพวกนี้เลย สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน เทียบกับโพชฌงค์7 _อยากให้พ่อครู อธิบายโพธิปักขิยธรรม 37 สู้กับบริวารกิเลสให้ได้แล้วค่อยสู้กับกิเลสตัวพ่อคืออย่างไร พ่อครูว่า บริวารกิเลสคือ กิเลสกระปิดกระปรอย จัดการให้ได้เสียก่อนอย่าเพิ่งไปโค่นตัวใหญ่ โพธิปักขิยธรรม 37 อยู่ในโลกุตรธรรม 46 โพธิปักขิยธรรม 37 แล้วมี โลกุตรธรรม 9 คือ โสดาปัตติมรรคโสดาปัตติผล สกิทาคามีมรรคสกิทาคามีผล อนาคามีมรรคอนาคามีผล อรหัตตมรรคอรหัตตผล ก็ 8 แล้ว 9 ก็นิพพาน ปฏิบัติอยู่ในโพธิปักขิยธรรม 37 นี่แหละ ฟังดีๆพวกที่หลับตาทั้งหลาย ถ้าคุณพิจารณาหรือเข้าใจสภาวะ เกิดจาก 37 นี้ไม่ได้ คุณจะไม่สามารถบรรลุอรหันต์ได้เด็ดขาด ที่พูดว่าบรรลุอรหันต์เผื่อไว้สำหรับผู้ที่มีบารมีแต่ไปจมเสียเวลาอยู่กับการนั่งหลับตา เขามีบารมีบ้างแล้วแต่ไม่ได้มาต่อภูมิ เพราะมีวิบากฟังดีๆจะได้ออกจากวิบากแล้วจะได้ไม่เสียเวลาเป็นชาติๆ เช่นอ.บูรพา ผดุงไทย เขียนลงหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ลูกศิษย์ลูกหาก็คงจะเลื่อมใสกันอีกไม่ใช่น้อย ศึกษาให้ดีๆที่เป็นเจตนาดีไม่ได้ไปข่มอะไร น่าสงสาร สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปทาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรค 8 เป็น 37 นี่คือพยัญชนะ หัวข้อขอแต่ละอัน มรรคองค์ 8 เป็นทางปฏิบัติมี 8 แล้วปฏิบัติเดิน ทางก็คือทาง เดินก็คือตัวผู้เดิน มี 7จึงเรียกว่าก้าวเดินด้วย7 ก้าวในทาง 8 สรุปสั้นๆก่อนว่า..มรรคองค์8 นั้นถ้าแตกฉาน พิจารณาให้แตกฉาน พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ชัดเจนในมหาจัตตารีสกสูตรว่าสัมมาสมาธิหรือสมาธิของศาสนาพุทธ ปฏิบัติแล้วจะได้เป็นพระอริยะเรียกพยัญชนะเต็มๆว่า อริโยสัมมาสมาธิ ไม่ใช่ของมิจฉาหรืออนาริยะ ไม่ใช่สาธารณะ เป็นของอาริยบุคคล ยืนยันว่าเป็นสมาธิของพระพุทธเจ้าปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติ 7 ข้อของมรรค แล้วจะเกิดผลสมาธิที่เรียกว่าสัมมาสมาธิจ-ประธาน มีสัมมาสติและสัมมาวายามะเป็น 2 ทหารเอกผู้ช่วย มีสติกับความพยายาม วายามาะกับสติ ช่วย ทิฏฐิ เป็นประธานต้องสัมมาทิฏฐิก่อน สัมมาทิฏฐิมี 10 อย่าง มิจฉาทิฏฐิก็มี 10 อย่าง เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา). ๑. ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ . ทินนัง) ทานแล้วอยากได้อะไรตอบแทนก็มีภพชาติ ทานแล้ว100 ขอคืน 90 ก็ยังดียังให้ 10 แต่คุณทานไป100จะเอาหมื่นพันแสนล้านไม่มีลิมิต คนนี้ทานล้มละลาย คือทานฉิบหาย แล้วก็ทำกันอย่างนี้ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นสอนกันตรงนี้แค่นี้ให้ถูกก่อนเถอะ ถ้าคุณทำทานยังไม่ขาดทุน คุณทำทาน 100 คนเอาคืนไป 99 คุณก็ยังให้ไปหนึ่ง อย่างนี้ได้ แล้วคุณเข้าใจจริงๆไหมว่าใจคุณเป็นอย่างนั้น คุณจริงก็จริงอย่างนั้นแต่ถามผู้ที่เขาได้ฝึกจริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้า ถึงได้ตรัสไว้ในทานสูตรว่าอย่าไปตั้งจิตเฝ้าหวังว่าจะได้อะไรในการทานเรียกว่าอย่าให้เกิดสาเปกโข ยิ่งคุณไปตั้งความหวังไว้นี้มันก็ไม่เป็นผลแล้ว เอาล่ะคุณยังตั้งความหวัง ได้ผลกุศล แต่ไม่ได้อานิงส์ละกิเลสละภพชาติไม่ได้ตัดภพชาติ ถ้าคุณยิ่งไปสะสมปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ ไปผูกพันว่าทานนั้นเป็นของข้าของเรา หวังนี้ละอียด เป็นนามธรรมแต่ไปผูกพันว่าทานแล้วต้องได้คืนมา แค่นี้ยังไม่พอ สั่งสม สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ เปิดเซฟเลย เป็นสันนิธิ สะสมไว้ ว่าจะได้เท่านั้นเท่านี้ลงบัญชีเราจะได้วิมาน 7 ชั้นเฟส 2 3 4 หรือฤาษีลิงดำ จะมีปราสาทเงินทองประสาทหลายชั้น พูดพยัญชนะให้คนวาดหวังสร้างภพชาติเป็นวิมานเป็นนิรมาณกายเพ่อพกเป็นวิมานลมๆแล้งๆไม่มีใครรู้จริงไม่มีใครเอามายืนยันในโลกนี้ได้ อันที่สี่อิมํ เปจฺจ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ ตายไปแล้วจะได้เสวยภพชาติต่อไป ยิ่งเป็นตัวตนเป็นรูปร่างเป็นเรื่องราวยิ่งหนักใหญ่ ธัมมชโยนี่แหละตัวดี ตัวดีนี่แหละเป็นตัวอย่างที่เลวที่สุดเลย ให้คนปั้นภพชาติติดยึด ไม่เข้าใจนิรมาณกาย สัมโภคกาย อาทิสมาณกาย ที่มีคนจับผิดธัมมชโย ที่บอกว่าทำทานส่งให้พ่อแล้วพ่อได้ไปอยู่สวรรค์ชั้นไหนแล้ว ธัมมชโยก็เลยบอกว่าพ่อของเธออยู่ชั้นนี้สวรรค์ชั้นไหน เปิดเผยออกอากาศ แต่คนนั้นก็บอกว่าพ่อผมยังไม่ตายแต่ผมเขียนนิยายหลอกท่านว่าท่านรู้จริงไหม..ตกลงคุณโกหก คนก็ยังหลงติดยึดทั้งทั้งที่โกหกอย่างนี้แล้ว อันนี้เป็นการยืนยันการอวดอุตริมนุสธรรมไม่มีใครที่ไม่มีในตนเป็นการปาราชิกอยู่แล้วการโกงเงินก็ปาราชิก เรื่องฆ่าคนก็ไม่รู้ว่ามีไหม เรื่องผู้หญิงก็ไม่รู้เหมือนกันตอนนี้ก็หายตัวไปแล้ว ทำอย่างไรก็ไม่ได้เพราะไม่เห็นตัว อาตมาว่าถ้าจับตัวออกมาได้ก็คงจะต้องได้ชำระกัน ตอนนี้เขาจะต้องดิ้นสุดที่เลยว่าไม่เห็นตัวจนกว่าเขาจะตายไป หรือตายไปแล้วก็ไม่รู้แล้วเขาก็ไม่บอกกัน คนทางนั้นเขาก็ต้องช่วยกันปิด โพธิปักขิยธรรมต่อ ถ้า พระพุทธเจ้าอุบัติมรรคมีองค์ 8 จึงเกิด พระพุทธเจ้าอุบัติโพชฌงค์ 7 จึงเกิด อยู่ในพระไตรปิฎกมีประโยคเหล่านี้ เป็นการยืนยันถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดมรรคมีองค์ 8 โพชฌงค์ 7 ไม่เกิดไม่มีใครมาอธิบายได้เพราะเป็นหัวใจของศาสนาพุทธเป็นรูปนามคู่ มีคนอธิบายให้เป็นรูปธรรมเช่นพระพุทธเจ้าเกิดมาแล้วเดิน 7 ก้าวได้ แล้วอาตมาถามต่อว่าก้าวที่8 เป็นอย่างไรต่อ นั่งลงหรือเดินต่อ? ที่จริงแล้วไม่ใช่หรอก เป็นหลัก 7 หลัก คนบางคนก็อธิบายกันว่าเผยแพร่ไปถึง 7 แคว้น จริงๆแล้วเป็นโพชฌงค์ 7 ขยายเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 เทียบกันได้ ๑. สติสัมโพชฌงค์ . . –> สติปัฏฐาน ๔ . ๒. ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ . –> สัมมัปปธาน ๔ . ๓. วิริยสัมโพชฌงค์ –> อิทธิบาท ๔ . ๔. ปีติสัมโพชฌงค์ –> อินทรีย์ ๕ . ๕. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ –> พละ ๕ ๖. สมาธิสัมโพชฌงค์ . –> โพชฌงค์ ๗ . ๗. อุเบกขาสัมโพชฌงค์ . –> มรรคมีองค์ ๘ . อย่างนี้เป็นต้น กายต้องมีภายนอกภายในต้องมีสองเสมอ มีรูปกับนามเสมอ กายต้องมีสองเสมอหรือเป็นเทวะ แล้วกายนี้ชัดเจนลงไปว่าต้องมีภายนอกกับภายใน หรือกายต้องมีรูปกับนาม มีสิ่งที่ถูกรู้กับผู้รู้ กายนอก ก็สัมผัสกับภายนอก แต่การสัมผัสภายนอกไม่ได้หมายถึงว่าต้องปิดตา กายในกายคือต้องหลับตาไม่ใช่ กายในกายคือ กายนอกก็สัมผัสอยู่ ตาสัมผัสอยู่กายในคือภาพที่เกิดภายในรวมเป็นสังขารภายในเป็นเวทนาสัญญาสังขาร วิญญาณข้างใน หรือตัวที่ปฏิบัติธรรมเป็นนามข้างใน รูปก็กระจายเป็นรูป 28 นามก็ขยายเป็นนาม 5 เจตนาสัญญาเจตนาผัสสะมนสิการ ในนาม 5 มีคำว่าผัสสะ ยืนยันว่า การปฏิบัติจะต้องมีรูปนามจะต้องมีผัสสะจึงจะเกิดมนสิการทำใจในใจของคุณได้ คุณจะรู้จักเจตนาโดยมีสัญญาของเวทนา สัญญาเป็นตัวงานเป็นตัวกำหนดรู้ แสดงว่าเป็นตัวเราเวทนาเป็นตัวถูกก็รู้ สัญญาของคุณเป็นนาม เวทนาเป็นรูป รูปถูกรู้แล้วคุณก็ใช้สัญญากำหนดรู้ เวทนา เวทนา ขยายไปถึง108 หากรู้อันนี้ไม่ได้ โมฆะจากศาสนาพุทธคุณจะไม่รู้จักเคหะสิตเวทนากับเนกขัมมสิตเวทนา เคหสิตะเป็นโลกียะ เนกขัมมสิตะเป็นโลกุตระ ต้องมีการสัมผัสทางทวารทั้ง 5 ต้องอ่านความแตกต่างที่เกิดเรียกว่า อาการ ลิงค นิมิต จับเครื่องหมายของเนกขัมมะเคหสิตะ เป็นอาการจิตเป็นความรู้สึก อาการมันเป็นโลกียะเป็นเคหสิตะ มันประกอบไปด้วยกิเลสปรุงแต่งกันอยู่ ส่วนเนกขัมมะ เป็นอาการที่คุณสามารถจับกิเลสได้แล้วทำให้มันลดลงได้จนถึงดับนี่คือเนกขัมมะ คุณต้องดูอาการจริงสภาวะจริงของสภาพเวทนาความรู้สึก เจตสิก เวทนา คุณจะต้องมีญาณปัญญาวิชชา อ่านตัวนี้ของคุณเองเกิดยังเป็นปัจจุบันทำ สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายจิตใจคุณร่วมไปด้วยเป็น 6 ทวารรูปนามครบ แล้วคุณก็แยกเวทนารวมลงเป็นความรู้สึกที่ปรุงแต่งเรียกว่า ตักกะ ในสังกัปปะ 7 ตักกะ คุณต้องมาแยกเลย แยกให้รู้ว่าตัณหากับอุปาทานเป็นคู่ๆ ตัณหาเป็นนาม อุปาทานเป็นรูป ตัณหาเป็นdynamic อุปาทานเป็น static ปฏิบัติกับอุปาทานนั้นมันยากแต่ถ้าคุณสามารถทำได้ก็ดีแต่ตัณหานั้นรู้ได้ง่ายกว่า เพราะฉะนั้นคุณจะต้องเรียนรู้เวทนาที่ถูกปรุงแต่งด้วยกิเลส แล้วก็ทำให้กิเลสมันดับ ด้วยการใช้ความรู้ทางรู้ทั้งเห็นเรียกว่าวิปัสสนา รู้เห็นแล้วเกิดความเข้าใจจริงๆอย่างลืมตาไม่ใช่ไปหลับตา ปัสสติ ตามวิโมกข์ 8 ต้องมีเห็นมีรูป แล้วมีผู้รู้รูป วิโมกข์ข้อ 1 ผู้รู้รูปคือคุณนั่นแหละ หากคุณตาบอดก็ไม่รู้รูปคนหูหนวกก็ไม่ได้ยินเสียงคุณจมูกพิการก็ไม่ได้กลิ่นลิ้นพิการก็ไม่ได้รสสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งไม่รู้เรื่องคุณก็ไม่มีการรู้ได้ คุณก็ต้องเป็นคนที่มีความครบบริบูรณ์ไม่อย่างนั้นมันจะแหว่ง และก็ต้องมาเรียนรู้จากเหตุปัจจัยในปัจจุบันที่เกิดจริงในปัจจุบัน ในจิตไม่ใช่ เอาอดีตมาล้างคุณก็ได้แต่ความคิดตรรกะ แต่นี่ไม่ตักกะเลย เป็นของจริงหลัดๆ อาการกำลังเกิดจริงเป็นปัจจุบัน พวกหลับตาปฏิบัติจะเข้าใจได้ไหมว่าคุณนั้นโมฆะจากความเป็นจริงที่เป็นปัจจุบัน ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พรหมชาลสูตร คุณไปหลับตานั้นได้แต่อดีต 18 อนาคต 44 คุณไปเว้นผัสสะไม่มีเวทนาให้ศึกษา อ่านพระไตรฯล. ๙ ข. [๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ ๕ ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ วิธีหลับตาทำสมาธินั้นเป็นของทั่วไปสาธารณะ ที่ปฏิบัติกันอยู่แต่ของพระพุทธเจ้านี้เป็นของเฉพาะวิสามัญ ต้องศึกษาเฉพาะ ไม่เช่นนั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะหลับตานี้อาตมาไม่ได้ไปลงโทษไม่ได้ไปข่มแต่ต้องตำหนิแล้วตำหนิอีกเราจะตำหนิแล้วตำหนิอีกอานนท์ เหมือนช่างปั้นหม้อที่ทำกับดินที่ยังเปียกอยู่ ดินที่แข็งแล้วจะไปทำอะไรได้ นี่ทุบไปทุบมาก็เจ็บมือเหมือนกันนะ โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 ในมรรคมีองค์ 8 ชัดเจนว่าจะต้องปฏิบัติในขณะทำการงานอาชีพเลี้ยงชีพคุณจะทำงานเลี้ยงชีพอะไรก็แล้วแต่ คุณจะมาเป็นสมณะภิกษุก็คืออาชีพจะต้องศึกษาตนเองให้บรรลุแล้วค่อยสอนคนอื่นเขา อาชีพอื่นของคนเรา อันไหนที่พระวินัยไม่ได้ห้ามเราก็ทำถูกต้องตามฐานะ เพราะฉะนั้นต้องมีอาชีพต้องมีการงาน กายกรรม การกระทำทุกอย่าง การงานทุกด้าน กายกรรมทุกอย่าง วจีกรรม มีการคิดสังกัปปะ เป็นคนธรรมดาไม่ได้หาสถานที่ ไปกดข่มแต่ทำการงานเหมือนคนสามัญทั่วไปของใครแต่ละคนให้เป็นสัมมาอาชีพ ละเว้นจากมิจฉาชีพ 5 เป็นต้น มิจฉา 3 ของกัมมันตะ มิจฉา 4 ของวาจา มิจฉา 3 ของสังกัปปะ ก็ต้องเข้าใจ จะไม่ลงรายละเอียด การปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้ไปหลับตาปฏิบัติเลยมีกรรมการงานอาชีพธรรมดาอยู่ในมนุษย์เพราะพูดจาก็ได้ การนึกคิดก็ทำได้ ไม่ใช่ไปไม่ได้คิดอะไรซะ มันต้องคิดไตร่ตรองอ่านให้ลึกลงไปถึงจิตในจิตเลย อ่านตักกะแล้ววิจัยแยกกิเลสให้ออกแล้วทำกิเลสลดลงๆเรียบร้อย ตักกะนี้ก็สุดยอดเป็นวิตักกะ เพราะที่ไม่ให้มี วิที่แปลว่าไม่กับวิที่แปลว่ายอด ไม่มีก็สามารถทำให้ไม่มีได้ตกลงสุดยอดแล้วจบกิจวิเศษ วิสุทธิ์ สะอาดบริสุทธิ์แล้ว วิตักกะ เป็นผลโดยการปฏิบัติสังกัปปะ 7 ตักกะวิตักกะสังกัปปะ dynamic เมื่อทำได้สะสมลงก็ตกผลึกใส่จิต เป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นรูปนาม เป็นปัสสัทธิกับปัญญา เสร็จแล้วก็สำเร็จเป็นวจีสังขารที่อยู่ในใจ ถ้ามันยังไม่เคยตั้งชื่อก็ยังไม่มีอธิวจนสัมผัสโส ถ้ามีชื่อเรียกแล้วจะเป็นภาษาบาลีหรือไทยก็ตามก็จะเป็นว่าวจีสังขาร ยังไม่ออกมาเป็นคำพูดนะเป็นแค่คำพูดในใจว่าวจีสังขาร วจีสังขารกับพฤติกรรมมันมีความต่างกันอย่างไรกับพยัญชนะ 2 คำนี้ จบ…. Category: ศาสนาBy Samanasandin17 สิงหาคม 2019Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:620814_รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 63NextNext post:620818_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก ฌานของพุทธต้องเกิดจากจรณะ 15Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024