ส.ค.232019ศาสนา620823_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อันตคาหิกทิฏฐิ 10 โดยพิสดาร อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1RMfmht5ykT7AzI6ia-mIFJi7uix5zZ25oA5BaSusehI/edit?usp=sharing ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1jejpBxCT1-fmzxAo7OeJ3Bx_eNRCFka9 สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก เรามีร้านพิสูจน์จิตอาสาขายราคาเท่าทุน พ่อครูว่า…แม้เราจะขายช้าๆน้อยๆอย่างนี้แต่เราไม่มีดอกเบี้ย แล้วเราก็เป็นคนมีคุณธรรมสมบูรณ์แบบเป็นคนไม่มีหนี้ มีสมรรถนะความรู้ความสามารถขยันหมั่นเพียรทำงานสร้างสรร พออยู่พอกินเกินอยู่เกินกินเหลือ ปัจจัยที่จำเป็นต่อชีวิตเรามีเหลือเราทำให้มากให้เกินและเอาไปแจกหรือขายถูกด้วย ตลอดเวลาเราทำ 4 หลักนี้ 1. ไม่เป็นหนี้ 2. พึ่งพาตัวเองรอด 3. ทำให้มากให้เกินที่กินใช้ 4. มีเหลือเอาไปแจกจ่ายหรือขายถูก ไม่มีหนี้ แต่ระบบสินเชื่อนี้เป็นเรื่องเลวร้ายที่สุด ใครที่คิดระบบนี้ขึ้นมาป่านนี้ตกนรกหมกไหม้ยังไม่ได้ผุดได้เกิด เป็นวิธีการความโลภ คิดวิธีการซับซ้อนด้วยสินเชื่อ ลึกซึ้งซับซ้อน อธิบายรายละเอียดทั้งหมดยังไม่เก่ง พระพุทธเจ้าใช้เวลาไม่รู้กี่ล้านๆๆๆชาติเพื่อศึกษาความเป็นคนกับความเป็นสังคม เรื่องอื่นก็ศึกษาด้วยแต่เป็นเพียงความรู้ข้างเคียง แต่ความรู้หลักก็คือศึกษาความเป็นคนกับความเป็นสังคมเป็นหลักแล้วท่านก็มาทำงานหลักการนี้จนกระทั่งเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ถ่ายทอดความรู้นี้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทำเช่นนี้แล้วก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ละความเป็นพระพุทธเจ้า ละความเป็นอัตภาพเลิกเป็นจิตนิยาม แตกเป็นอุตุธาตุได้หมดเลยเป็นดินน้ำไฟลมได้หมดเลยจิตวิญญาณแตกสลายแยกเป็นดินน้ำไฟลม จะประกอบขึ้นเป็นจิตนิยามไม่ได้แม้ให้เป็นพีชนิยามก็ยังไม่ได้เลย _ลูกเพิ่งมาอยู่บ้านราชเมื่อ 7 มิ.ย. 62 ที่ผ่านมาก็ต้องทำงานดูแลพ่อแม่ แม่เป็นเส้นเลือดสมองแตกผ่าตัดสมองพ่อเป็นมะเร็ง ลูกได้ดูแลพ่อและแม่จนท่านสิ้นลมเมื่อ 21 กรกฎาคม 2561 ลูกได้ทำหน้าที่ลูกที่สมบูรณ์แล้ว ได้ทำหน้าที่ภรรยา 38 ปีสมบูรณ์แล้ว ได้ทำหน้าที่แม่ 33 ปีสมบูรณ์แล้ว ตอนนี้ทำหน้าที่ยายคือเอาหลานมาเรียนประถม 4 ที่บ้านราชฯ ลูกมีความสุขที่ได้มาอยู่ดินแดนนี้ ลูกฝากชีวิตไว้ที่นี่ขอชื่อทางธรรมของพ่อครูด้วยค่ะลูกชื่อสุนันท์ สุทธิพิบูลย์ นามสกุลพ่อบ้าน อุตาลกาญจนา เกิดวันจันทร์เดือน 7 ขึ้น 7 ค่ำพ.ศ 2507 .. พ่อครูว่า…เดี๋ยวค่อยตั้งให้ SMS วันที่ 22 ส.ค. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ สมณะ สิกขมาตุ ราชธานีอโศก) _Somnuek Lailak · ตอนยังไม่ฟังธรรมมะก็คิดว่าตนเองด้อย. พอได้ฟังธรรมแล้วคิดว่าตนเองมีความสุขที่สุดเจ้าค่ะ _จาก ลูกศีรษะอโศก กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพบูชายิ่ง 5 ปีที่ผ่านมาลูกได้ฝึกสลายพลังงานดูด (ตัวชอบ)ก็พอได้บ้าง ลดลงพอไม่ให้เดือดร้อนตัวเองและผู้อื่น 2 ปีต่อมาลูกก็ฝึกสลายพลังงาน ผลัก (ตัวไม่ชอบ) ฝึกกับคนเท่านั้น ส่วนสัตว์และสิ่งของก็เบาๆ (ไม่ทุกข์) ลูกขอยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นสดๆดังนี้ค่ะ สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย วิโมกข์ข้อที่ 1 (รูปนอก) เห็นคนทำโครงการโสดาบันเดินเข้ามาหาเขาชื่อคุณ จ. ค่ะ เขาขอคุยด้วยเรื่องโครงการโสดาบัน เราคุยกัน 3 ชั่วโมงกว่า เขาชี้แจงอธิบายให้เห็นความสำคัญของโครงการทุกอย่าง วิโมกข์ข้อที่ 2 พอลูกได้รับฟังข้อความทั้งหมด ลูกก็เกิดสำนึกและอ่านจิตตัวเองว่า “เรานี่หนอ..ช่างโง่จังเลย ไม่รู้ว่าโครงการมีความสำคัญมากๆมีรายละเอียดที่เรายังไม่รู้อีกมาก” ขอบคุณ คุณจ. มากๆที่ทำให้รู้ตื่น (ชาคริยานุโยคะ) ทำให้เราได้สาระประโยชน์ และจะได้พัฒนาตัวเองให้ดียิ่งๆขึ้นไป ตามลำดับ ขอโทษนะ คุณจ. ที่พี่เคยไม่ชอบและคิดไม่ดีกับคุณ คุณคงให้อภัยนะ วิโมกข์ข้อที่ 3 คิดได้ดังนั้นจิตก็สลายความไม่ชอบออกไปกับสายลมและแสงแดดในจิตคือญาณ และขอชื่นชมกับคุณ จ. ที่ทำโครงการนี้ค่ะ เพื่อถนอม เสียงของพ่อท่าน ขอยกมาที่วิโมกข์ข้อที่ 8 หมดสิ้นแล้วกับอารมณ์ความไม่ชอบใจสำหรับคุณ จ. ต่อไป ก็มีแต่ความเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ผิดถูกอย่างไร กราบขอคำชี้แนะจากพ่อท่านด้วยค่ะ พ่อครูว่า…ใช้ได้ วิโมกข์ข้อที่ 8 ก็คือสัญญาเวทยิตนิโรธ _กราบนมัสการพ่อครูด้วยบูชายิ่ง ดิฉันเห็นความสำคัญของสาธารณะโภคีและยิ่งเห็นว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเมื่อเจอว่าสาธารณโภคี ต้องก้าวด้วยสัมมาอริยมรรค มีจิตใจที่ฉลาดพิเศษคือปัญญา และต้องบรรลุธรรมที่เป็น อันตคาหิกทิฎฐิ 10 ถึงตรงนี้ก็ต้องสะดุดเพราะยังไม่เข้าใจ “ อันตคาหิกทิฎฐิ 10 ” อยากให้พ่อครูขยายความ กราบขอบพระคุณค่ะ หิ่งห้อยถือศีล _ใบฟ้า…ความอ่อนน้อมถ่อมตนคืออาวุธที่แข็งแกร่ง ประโยคทองนี้คำสอนของท่านปัจฉาสมณะเดินดิน ติกขวีโร ที่ดิฉันได้รับฟังเมื่อหลายสิบปีก่อนยังจดจำได้ไม่เคยลืม ซึ่งสอดคล้องกับมงคล 38 ข้อที่ 23 นิวาโตจะ และสอดรับกับยุทธศาสตร์ของชาวบุญนิยมที่พ่อครูได้บัญญัติไว้อย่างสมบูรณ์ครบพร้อมและทรงพลังยิ่งขึ้นคือ อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ ดังที่ชาวอโศกได้น้อมนำไปปฏิบัติเพื่อมวลมนุษยชาติเกิดมรรคผลดังแจ้งแก่ตนและหมู่กลุ่ม หากขาดคุณสมบัติข้อนี้โดยเฉพาะนักการเมืองที่เรียกกันว่าสส.แล้วผลลัพธ์ก็ปรากฏดังกรณีของสส. ที่เป็นข่าวฉาวโฉ่ผ่านมาหมาดๆเจ้า กราบขอบพระคุณด้วยเศียรเกล้าฯ สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน อันตคาหิกทิฎฐิ 10 พิสดาร มาขยายความ อันตคาหิกทิฎฐิ 10 อันตะคือที่สุด คา คือเกาะกลุ่มกันอยู่ คนใดมีคาหิกะ มีความรู้ไม่เป็นอาริยะและยึดในความเป็นที่สุด 10 ประการ ยังมีอยู่เยอะ อันตคาหิกทิฏฐิ 10 (ความเห็นอันถือเอาที่สุด, ความเห็นผิดที่แล่นไปสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง — the ten erroneous extremist views) คือเห็นว่า 1. โลกเที่ยง (The world is eternal.) 2. โลกไม่เที่ยง (The world is not eternal.) 3. โลกมีที่สุด (The world is finite.) 4. โลกไม่มีที่สุด (The world is infinite.) 5. ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น (The soul and the body are identical.) 6. ชีวะก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง (The soul is one thing and the body is another.) 7. ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก (The Tathagata is after death.) 8. ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมไม่เป็นอีก (The Tathagata is not after death.) 9. ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก ก็ใช่ ไม่เป็นอีก ก็ใช่ (The Tathagata both is and is not after death.) 10. ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก ก็มิใช่ ย่อมไม่เป็นอีก ก็มิใช่ (The Tathagata neither is nor is not after death.) พ่อครูว่า…ที่สุดเขายึดอยู่ตรงนั้นไม่ได้เข้าใจว่ามันมีก็คือมีไม่มีก็คือไม่มี แต่นี่ยึดความหมาย 10 อย่างนี้ไว้ ซึ่งอันที่ไม่มี ไปยึดความไม่มีมันก็ไม่มี แต่ไปยึดความไม่มีเป็นมีอีก 1. โลกเที่ยง (The world is eternal.)ไปยึดเอาว่าโลกเที่ยง ไม่เปลี่ยนแปลงไม่มีความเสื่อมคงที่อยู่อย่างนั้น คำว่าโลกก็ต้องไปขยายความอีก โลกคือข้อมูลบนความเคลื่อนหากไม่มีความเคลื่อนไหว ก็เรียกว่าโลกดับ หรือใช้ศัพท์ว่าโลกนิโรธ นิโรธมีสองแบบ 1 มิจฉานิโรธ ดับเหมือนกันแต่ว่าดับโลกีย์ดับธาตุรู้ที่ไปรับรู้สิ่งอื่น ไม่ได้รับรู้สิ่งนั้น สิ่งนั้นคืออะไรสิ่งนั้นคือกิเลส ดับกิเลสได้ละเอียดหมดแล้วเราจะชัดแจ้งว่าสิ่งที่มันปรุงแต่งที่เรียกว่าสังขารทั้งหลาย มันเป็นการมีพลังงานปัญญาเป็นตัวเข้ามาร่วมรู้ หากไม่มีก็เป็นพลังงานอุตุ เป็นพลังงานปรุงแต่งกันอยู่ความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า มันก็แค่นั้น พอมาเป็นชีวะเป็นพืช เป็นสภาพแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า เมื่อมีชีวะ พีชะก็มีธาตุประธานแล้วธาตุบวก ธาตุลบ ปรุงแต่งกันเป็นสามเส้าเป็นความวน cyclic ไม่ออกไปจากความวน ผู้ที่มีความรู้แจ้งสามารถตีแตกแยก 3 อย่างนี้ได้แล้วทำให้ 3 อย่างนี้เปลี่ยนแปลงได้โดยมีความรู้ความสามารถทำให้เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงสภาพลบ บวก ได้ประทานก็จะเปลี่ยนแปลง จนทำให้ลบบวกนี้เป็นหนึ่งจนกระทั่งทำให้เป็น 0 ได้ก็จบ จากนั้นจะเป็นหนึ่งเป็นสองเป็นสิบเป็นร้อยเป็นหมื่นเป็นล้านก็ไม่มีที่สุดก็ทำได้ แล้วถึงขนาดไม่มีตัวเลขให้นับเราจะไปถึงทำไม เพราะฉะนั้นพวกที่ไม่มีที่สุดนี้คือพวกที่ยึดถือว่าไม่มีที่สิ้นสุดก็คือความโง่ เพราะมันมีที่สุดแต่เขาไปยึดถือความไม่มีที่สุด แต่จริงๆแล้วมันมีที่สุด เขาก็ยึดถือว่าอย่างไรไม่มีที่สิ้นสุดนิรันดร แล้วพวกมีที่สิ้นสุดนี้มีหรือไม่มี…ก็มี ก็กลายเป็นคนมี แต่ที่ไม่มีที่สุดนี้ไม่มีบัญญัติว่าไม่มี แต่เขาไม่เข้าใจความไม่มี เขาไม่ซาบซึ้งความไม่มี เขาไม่ได้ไม่มีตั้งแต่โลกอบาย มาโลกกาม ต่อไปอีก ซึ่งเราก็มีได้ แต่ไม่ได้ยึดเป็นเราเป็นของเรา เราอาศัยใช้ทำประโยชน์เท่านั้นเอง ตายไปแล้วเราไม่ได้ยึดถือมันก็สลายไปได้ พลังงานจิตของเราไม่ดูดไม่ผลัก เป็นอุเบกขา แล้วรู้สภาวะ 2 ที่มันปรุงแต่งกันเป็น 2 เป็น 5 เป็นร้อยเป็นแสนเป็นล้านก็รู้ แต่ว่าจิตของเราทำได้ ของเราสักแต่ว่ารู้ แล้วเราก็ไม่ดูดไม่ผลักกับเขา เราจะอนุโลมร่วม ทำทีเป็นกับเขาไปเท่านั้นได้ แล้วเราก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น ทำได้ เราไม่ทำก็วาง ปล่อย แต่เราร่วมกับเขาได้เหนียวแน่น แล้วเราก็วางได้ นี่เป็นความสามารถของจิต ผู้ใดมีตั้งแต่สิ่งที่หยาบต่ำสุดก็คืออบาย มันมีอยู่ในโลกแต่เราก็ไม่ดูดไม่ผลัก มันมาก็รู้ว่ามันมีมาคนที่เขาติด เราก็เห็นเขารู้ว่าเขาหลงอยู่กับอันนั้น ถ้าจิตเราไปลบหลู่เขา แต่ดูความจริงว่าจิตใจเขาต่ำแต่เราไม่ต้องไปข่มเขา หากข่มจิตเราก็เบ่งข่ม หากจิตไม่เบ่งข่ม เราก็น่าช่วยให้จิตเขาสูงกว่านั้น เป็นความซับซ้อนของจิตที่มีความปรารถนาอย่างนั้นจริง อาตมาพูดถึงทักษิณธัมมชโยหรือมหาบัว จริงๆ อาตมาอยากให้เขาเข้าใจอยากให้เขาดีอยากให้เขาเจริญขึ้นมาอย่างแท้จริง ถ้าเขาเป็นคนดีขึ้นมาเขามีความเฉลียวฉลาดอยู่ในตัวเขาเยอะ เมื่อมาเป็นสัมมาทิฐิเอาความสัมมาทิฏฐิมาใช้ให้ฉลาดมันก็จะเป็นประโยชน์ต่อโลก แต่นี่เขาไม่ปล่อยวางก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เอาก็พยายาม เห็นว่า มันน่าปลดตัวตน คำว่าตัวตนคำเดียว แต่เขาไม่ได้ศึกษาหัดล้างตัวตน ตัวตนระดับอบาย ระดับกามจนหมด เหลือรูปภพอรูปภพก็ล้างอีก เป็นสภาวะจริงเลยคุณจะมีความรู้ความจริงพวกนี้แล้วก็หัดทำออกเนกขัมมะ มันก็จะหมดลงได้ คุณเข้าใจโลกไม่ได้แต่เข้าใจว่าโลกมันเที่ยงที่จริงแล้วมันไม่เที่ยงทำให้ 0 ได้สำหรับคนที่ทำได้คนไม่รู้ก็ปล่อยให้เที่ยงไปตลอดนิรันดร คนไปยึดไม่เที่ยง แล้วก็ไม่ทำความเที่ยงให้ 0 คุณก็ทำไม่เป็น แต่คุณไปยึดถือสภาพที่มันไกลสุดกู่ไม่เที่ยงเลย อันนั้นก็คือโลกมันมีที่สุด แต่คุณไม่เข้าใจว่ามันไม่มีที่สิ้นสุด มันไม่เที่ยงมันไม่มีที่สุด ไปยึดมันทำไม คุณก็จำกัดโลกให้ได้ทีละโลกแล้วคุณจะรู้ที่สุดแห่งโลกแล้วโลกก็จะดับไปจนหมดโลก กามโลก รูปโลก อรูปโลก คุณก็จบแล้วนี่ แต่ถ้าคุณไม่เป็นไปตามลำดับไม่ตามคำสอนพระพุทธเจ้าคุณก็ทำไม่ได้ แล้วคุณก็ยึดถือ คนที่ยึดถือว่าโลกไม่เที่ยง กับคนที่ยึดถือว่าโลกมีที่สุด คนที่เขายึดถือในความเที่ยงเขาก็ไม่ได้มาเรียนรู้ว่ามันทำให้ 0 ได้มันทำให้สิ้นสุดไปได้ ที่สุดมีอยู่นะ ทำให้เกิดความมีของความไม่มี คุณทำความมีให้ไม่มีได้มันก็หมดที่สุด ที่สุดถึงไม่มี ทำความมีให้ไม่มีได้ก็ที่สุดแห่งความไม่มี พยัญชนะเช่นนี้ก็มาทำสภาวะให้ได้ โลกจะมีที่สุดหรือไม่มีที่สุดคุณก็ยึดถืออีก คุณก็ไปยึดถือความมีมันก็ไม่สุด ความมีมันใช้อาศัยเท่านั้น แม้แต่อาลัยก็เป็นภาวะซ้อน อาศัย หมดอาลัย อาลยะไม่มีเยื่อใยที่อาลัย ย ร ล คือสามเส้าของ cyclic คุณก็ทำลายละนี้ได้ โดยมีพลังงาน ย ตัว ลัย คือ ล กับ ย สรุปแล้วคุณจะรู้ว่าความมี คือมีคนที่ยึดถือว่าโลกเที่ยง มีคนที่ยึดถือว่าโลกไม่เที่ยงมันก็มี แล้วมันเป็นอย่างไรคุณจะยึดถือว่าเที่ยงหรือไม่เที่ยง คุณเอาปัจจุบันเป็นหลัก มีที่สุดก็มี ไม่มีที่สุดก็มี มันมีทั้งคู่แต่คุณก็ไม่ยึดถือได้ทั้งคู่ ชีวิตกับร่างกายเป็นคนละอย่างกับอย่างเดียวกัน…ร่างกายคือสรีระ มันมีชีวิตแต่ไม่นิรันดร ชีวิตระดับพีชะต่างจากจิตตรงไม่มีกรรมวิบากไม่ก่อเวรกรรม ชีวะของมันก็ดำเนินไป ดูดเอาของตัวเองมาใช้เท่านั้นไม่เป็นพิษภัยกับสัตว์อื่น หากไปรู้จักผู้อื่นแย่งจากผู้อื่นมา นี่คือเร่ิมจิตนิยาม เป็นสัตว์แต่ถ้าพืชมันดูดได้ก็ดูด หรือแย่งได้ก็แย่ง พลังงานดูดเอามาเป็นของตน หากดูด อุตุธาตุก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าพีชะกับพีชะ มันก็ไม่ทะเลาะกันใครมีแรงมากมันก็ได้มากกว่าเท่านั้น จะได้เท่าไหร่มันก็เอาเท่านั้น พีชะ พืชกับดินน้ำไฟลม ไม่มีธาตุรู้มันก็อยู่ได้ อะไรแพ้ก็เสียไป อะไรชนะก็ได้มาแต่ไม่ได้จองเวรจองกรรมกันไม่มีเรื่อง ก็ยังชีพตัวเองไป หากตัวเองไม่คารบร่อยหรอไป สุดท้ายสลายเป็นน้ำไฟลมมันก็เป็นอัตโนมัติของอุตุธาตุ แต่ถ้ามีปัญญารู้คำว่าจิตนิยาม เราก็แยกมาเป็นพีชะเพื่ออาศัยไม่ดูดไม่ผลักไม่ทำร้ายใคร เอาอันที่เขาให้แล้วมาเลี้ยงขันธ์ ศีลข้อที่ 2 เรารับแต่ของที่เขาให้ เราไม่รับของที่ใครเขาไม่ให้ แย่งไม่เอา คนนี้ก็ไม่ได้มีบาปเวรกันใคร แต่หากเขาจะเอาคืนก็เป็นความโง่ของเขา ยิ่งให้แล้วเอาคืนมากกว่าหลายเท่าก็ไม่ดีเราก็ไม่ทำ สรุป เที่ยงมันมีโลก กับอัตตา อัตตามีตั้งแต่พืช ระดับนี้ อัตตาระดับจิตนิยามเป็นอย่างนี้ เราก็รู้ในอัตตาในความเป็นโลก ชีวิตชีวะ พืชมันก็หมุนเวียน แต่ระดับสัตว์ เราก็รู้ว่า มันต่างจากสัตว์มันก็ไม่เบียดเบียนใครได้ พระอรหันต์สามารถทำให้จิตวิญญาณเราเป็นวิญญาณของพืชได้เราก็หมดพิษภัยต่อผู้อื่น มีแต่สร้างประโยชน์แล้วก็แถมมีจิตนิยามด้วย เราจะมาสร้างสรรให้มากๆ ช่วยคนอื่นให้มากๆทำของที่ดีเราก็ทำต่างๆลงไปมันจึงเป็นคุณค่าประโยชน์ ประกันชีวิตในระดับพืชชีวิตในระดับสัตว์ กับที่เป็น กาย กายคือรูปกับนาม อันนี้แหละที่เป็นที่สุด กายกับจิต หรือกายกับรูปนาม พีชะเป็นพลังงานชีวะ เรายังไม่เรียกนาม เราเรียกพลังงานอรูป พลังงานที่มีตัวประธานสร้างตัวเอง ในความเป็นชีวะของพืช มันต่างจากสัตว์ รู้จักกรรมที่ถึงขั้นสัพพปาปัสสอกรณัง กุสลสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง อาจมีน้ำหนักดีมากกว่าไม่ดี ดีก็กำราบไม่ดีได้บ้าง เป็นสัจจะอีกอันก็จะเชื่อว่าวิบากดีวิบากชั่วมีน้ำหนักเราทำดีไว้ด้วย ส่วนกิเลสมีแต่ทำร้าย มีบุญไว้ทำลายกิเลส ปุญญะ กับกุศล มันเป็นคนละอย่าง กุศลเป็นสมบัติส่วนบุญเป็นวิบัติอันนี้แหละยากมากและมีความลึกซึ้งซับซ้อน นัยสำคัญละเอียดมาก ชีวิตคือชีวะ ส่วนสัตว์กับพืชก็ต้องแยกกันให้ออก สัตว์ตายแล้ว สัตว์ยังมีวิบากหมุนเวียน หากมันตายแล้วคุณไปยึดว่ามันไปไหน ไปเกิดที่ไหน เหมือนเทวนิยม ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้าและพระเจ้าอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ พระเจ้าอยู่ที่สวรรค์ แล้วพระเจ้าก็เป็นผู้ที่สั่งให้ลงนรกได้ด้วย คนก็ต้องเอาใจพระเจ้าเอาไว้ ที่สุดของเขาคืออยู่กับพระเจ้าและพระเจ้าเป็นนิรันดรพระเจ้าไม่มีที่สิ้นสุด เขาก็ตีไม่แตก สุดท้ายก็ไปอยู่กับความไม่รู้ไปอยู่กับพระเจ้าเพราะตายแล้วเชื่อถือว่าไปอยู่กับพระเจ้า ศาสตร์ของพระเจ้าไม่ได้สอนเอาไว้เลย ไม่มีโลกุตรธรรมเลยของพระเจ้าไม่มี อยากมีก็มาเรียนโลกุตรธรรมกับพุทธ เรียนรู้แล้วคุณจะเชื่อตามหรือไม่เชื่อตามก็เป็นอิสระเสรีภาพ ถ้าคุณตัดสินว่าจะมาเอาอย่างนี้อย่างอื่นไม่เอาก็จะมามีที่สุดอันใดอันหนึ่งของ 2 เทวฺ คุณก็เลือกเอาอันใดอันหนึ่ง คุณมาเอาที่สุดแห่งพุทธ ก็จะมีที่สุดแห่งตายแล้วไม่เกิดอีกหรือตายแล้วเกิดอีกก็ทำให้แก่จิตเราได้ แม้แต่เราเป็นสัตว์ แต่เป็นสัตว์เจริญ แล้วเราก็ทำธาตุจิตของเราให้ตายแล้วไม่เกิดอีกก็ได้ เกิดอีกก็ได้ ไม่เกิดอีกอย่างสลายธาตุจิตให้เป็นอุตุนิยาม แม้แต่พีชนิยามก็ไม่ให้เหลือ หรือจะรออีกนิดหน่อยก็แล้วแต่ แต่มันไม่กลับมาเป็นจิตนิยามได้อีกแล้ว แยกธาตุไม่มีสัญญาอีกแล้ว ไม่เหลือ เป็นดินน้ำไฟลมไปหมดแล้ว พอมาเป็นสัตว์ มันอยู่ในคลังความจำ พอระลึกได้ก็เอามาเล่ามาบอกคนอื่นได้หากระลึกไม่ออกก็เอามาบอกคนอื่นไม่ได้ คนเขาจะรู้ได้เพราะคนนี้มีธาตุรู้ที่เคยผ่านมาแล้วเป็นอดีตผ่านมาแล้วดึงเอาอดีตมาใช้ เอามาพิสูจน์ยืนยันด้วยว่ามันเป็นอย่างที่ว่าไหม มันดี มันสูญ มันทุกข์มันสุข มันน้อยหรือมากก็เป็นพยัญชนะที่ระบุสภาวะ คุณทำได้ตรงหมด คุณก็รู้ได้เลยทำให้ตัวเองที่เป็นสัตว์นี้ไม่เกิดอีก แยกธาตุได้ก็จบ แต่ทีนี้พวกไม่ชัดวิตักกะ สัตว์ตายแล้วเกิดอีกก็มี ไม่เกิดอีกก็มี ชนิดที่ 9 ชนิดที่ 10 สัตว์ตายแล้วเกิดอีกก็ไม่ใช่ไม่เกิดอีกก็ไม่ใช่ ใครโง่มากกว่ากัน…อันที่ 10 มันก็มากกว่าเพราะมันสับสนว่าใช่หรือเปล่า ไม่ใช่หรือเปล่าแล้วไปยึดถือไม่ใช่ว่าเป็นความใช่ มันก็ยังคุมเครือมันใช่หรือไม่ใช่ เกิดอีกก็ไม่ใช่ไม่เกิดอีกก็ไม่ใช่คนนี้ก็ยึดไปสุดเลย อันตคาหิกทิฏฐิ คนชนิดนี้แม้แต่พระพุทธเจ้าแยกไว้ในทิฏฐิ 62 เป็นอดีต 18 อนาคต 44 แต่นี่ย่อเป็นอันตคาหิกทิฏฐิ 10 คุณก็ต้องมาเอาเกิดอีกก็ได้ไม่เกิดอีกก็ได้ ไม่เกิดอีกแบบสูงสุดเป็นอรหันต์แยกธาตุจิตนิยามเลยก็ได้ คุณเกิดอีกก็ได้ไม่เกิดอีกก็ได้ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ก็ยังจะทำเกิดอีก อาตมามั่นใจที่จะทำให้ไม่เกิดตั้งแต่ โลกอบาย โลกกาม โลกธรรม โลกอัตตา แค่กามนี้ก็มากมายแล้ว กามนอกไม่มีแล้วก็มาที่รูป ลดลงไปอีกจนน้อยมาก อรูป มันไม่มีรูปมีน้อยมากแล้วก็ยังมีอยู่คืออรูป ตัวนี้ก็ทำให้มันไม่มีไปอีกเป็นสุดท้ายแล้ว มันไม่มีตัวตนใดๆ อรูปมาหลอกหลอนไม่มี นิ่งสูญสนิทเลย คุณก็พิสูจน์สิ คุณจะพิสูจน์ไป 10 ปี 20 ปียืนยันพิสูจน์ อรูปนี่แหละ คุณก็จะเป็นอรูป หรือเป็นสัตว์ชนิดอรูปสัตว์ที่นาน คุณจะต้องพิสูจน์กันไป คุณงงของคุณเองก็ไม่รู้ จนคนรู้จบ อรูป มันก็ไม่ใช่ตัวตนไปยึดถือมันทำไมคุณก็รู้จักอาการยึดถือ อาการไม่ยึดถือกับอาการปล่อย มุญจิตตุกัมยตาญาณ ปล่อยเปลื้อง พลังงานที่มันปล่อย หมดแรงดูดจริงๆคุณก็ต้องรู้ว่าคุณทำได้ จะปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณก็เลิกได้ คุณก็รู้หมดเลยความเป็นสัตว์ที่เกิดอีก ตายแล้วเกิดอีกก็มีตายแล้วไม่เกิดอีกก็มี อันสุดท้ายโง่สุดมันเกิดอยู่หรือไม่เกิดก็ไม่รู้ใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่รู้ คุณก็เลยกลายเป็นโง่ที่สุด นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ… สม.กล้าข้ามฝัน _อโศกสัมปวังโก…กระผมเห็นด้วยกับพ่อท่านที่ได้กำราบตำหนิชี้โทษนักปฏิบัติสายหลับตาทั้งหลาย โดยไม่ต้องคำนึงถึงยุทธศาสตร์ แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง ตามคำแนะนำของนักยุทธศาสตร์ท่านหนึ่ง กระผมเห็นว่า นักปฏิบัติธรรมของสายหลับตาไม่มีความเหมาะสมที่จะใช้เป็นจุดร่วมกับพวกเราชาวอโศก และยังเป็นจุดต่างๆ ที่ไม่ควรจะสงวนไว้ด้วย เพราะพวกเราชาวอโศกแน่ชัดแล้วว่าการนั่งหลับตาสมาธินั้นเป็นการปฏิบัติที่ผิด นอกรีตนอกพระพุทธศาสนา นอกจากเราปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 จนเกิดมรรคผลในตน ถึงขั้นที่ท้าทายให้มาพิสูจน์ได้ ยุทธศาสตร์แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่างๆเป็นยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายเชิงปริมาณ ใช้กับสงครามแย่งชิงมวลชนทางการเมืองที่ผ่านมา ส่วนยุทธศาสตร์แบบธรรมาธรรมะสงคราม เป็นสงครามระหว่างธรรมะกับอธรรม เป็นยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายเชิงคุณภาพ มุ่งสร้างจิตวิญญาณของความเป็นพุทธแท้ เพื่อสืบสานพระศาสนา แบบนี้อาจไม่เป็นที่พอใจของชาวอโศกบางท่าน เขาไม่อยากให้พ่อท่านพูดกระทบหรือตำหนิกลุ่มศาสนาใดๆ เพราะจะทำให้เป็นการเพิ่มศัตรูกับชาวอโศก ความปรารถนานั้นสวนทางกับ พฤติภาพ ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พยายามกำราบชี้โทษ ตำหนิบริษัท 4 เพื่อความเจริญในอารยธรรม พ่อครูว่า…เราก็ไม่ได้ตำหนิศาสนาอื่นเราตำหนิในศาสนาพุทธแม้พุทธนอกรีต เดียรถีย์เราไม่ไปตอแยเขา แต่ตอแยกพุทธนานาสังวาส เป็นพุทธร่วมกันแต่มีความเห็นต่างกันเราก็ตำหนิแล้วตำหนิอีก กับพวกที่เราถือว่าเป็นชาวพุทธร่วมกัน ส่วนท่านผู้ใดที่ไม่ได้ถือว่าเราเป็นพุทธเป็นนิกายคนละรูปนามคนละ 2 ไม่แล้ว เขาอยู่กับพวกโน้นเลย เรามี 2 นี้ไม่เอาพวก 2 เขาเอาพวก 1 เทวนิยม มีแต่กายไม่มีจิต แต่เขาตีกาย 2 ไม่ออก แยกรูปนามไม่ออก แยกความเป็นเทวฺไม่ได้เลย เขาได้แต่ตามคำสอนของพระเจ้าคือเทวนิยมไม่หมดสุขหมดทุกข์ อย่างดีก็มีแต่ดีกับชั่ว แต่ดีไม่เที่ยงชั่วก็ไม่เที่ยง ท่านพุทธทาสท่านเข้าใจว่าชั่วและดีก็อัปรีย์ทั้งนั้น มันก็มากไป อัปรีย์ ปรียะ คือที่รักแต่มันไม่เป็นที่รักทั้งนั้นแหละความชั่วความดี คุณก็ไม่ต้องไปรับความชั่ว ความดีก็ต้องอาศัย เพราะในฐานะที่คุณมี คุณก็ต้องอย่างน้อยอยู่โลกียะคุณก็อยู่กับเขา คุณก็อยู่กับโลกียะของคนดี คนชั่วเราไม่เอาก็แล้วไป ก็มีขั้นตอน แต่ถ้าไม่มีขั้นตอนกันเลยชั่วและดีอัปรีย์ทั้งนั้นแล้วคุณจะอยู่กับใคร มันไม่เป็นขั้นตอนไม่เป็นลำดับ _อโศกสัมปวังโก…ความคิดดังกล่าวขัดแย้งกับพุทธพจน์ที่ว่าจงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต จงสละอวัยวะเพื่อรักษาธรรม อยากทราบว่าความเห็นดังกล่าวตรงกับพ่อท่านหรือไม่อย่างไร สุดท้ายเรื่องการปฏิบัตินั่งยืนลืมตา และการเดินจงกรมนั้นกระผมเองเชื่อมั่นว่าไม่ใช่การปฏิบัติในพุทธศาสนาแน่นอน เมื่อผมได้รับคำยืนยันจากอาจารย์ ลักขโณ เคยเป็นสมณะชาวอโศกขณะนี้ท่านได้ใช้ชีวิตในไต้หวัน โดยอาจารย์ท่านนี้ได้ยืนยันว่าในไต้หวันจีน ทิเบต บรรดานักบวชได้ใช้การนั่งขัดสมาธิหลับตาโดยการหายใจเข้าออกลึกๆเพื่อการบริหารปอด ส่วนการเดินจงกรม ก็เพื่อการบริหารฝ่าเท้า เป็นจุดลมปราณ ที่เชื่อมโยงกับอวัยวะหลายๆส่วน ภายในร่างกายเท่านั้น ไม่ได้มีความมุ่งหวังเพื่อจะบรรลุธรรม หรือเกิดมรรคผลแต่อย่างใด ไทย พม่า ลาว เขมร กระผมอยากให้พ่อท่านได้หยิบยกคำกล่าวดังกล่าวมาขยายผลเพื่อคลายความสงสัยให้แก่เหล่านักปฏิบัติธรรมทั้งหลายด้วย พ่อครูว่า…ก็ได้ ..ผู้ที่ยึด ทางจีนทิเบต ไต้หวัน เดิมแท้นี้ไปจมกับไต้หวันทิเบต ก็เลยยึดเอาทางโน้น โดยเฉพาะทางทิเบตเป็นการยึดถือนิรันดร สัสสตทิฏฐิ ดาไลลามะตายไปแล้วก็ไปตามหาว่าไปเกิดที่ไหนก็เอาองค์เก่ามาเป็นดาไลลามะอีก ก็เป็นองค์เดิม อีกไม่เคลื่อนไปเป็นองค์อื่นอีกเลย แล้วมันจะเจริญขึ้นไปได้อย่างไร แล้วผู้ที่เป็นดาไลลามะเป็นองค์เก่า ไม่เป็นองค์ใหม่เลย อย่างอาตมาใครจะมาว่าเป็นพระสารีบุตรนั้นอาตมาว่าอย่างนั้นไม่เจริญ จะให้อยู่อย่างนั้นกี่รอบกี่รอบก็จะเป็นสารีบุตร อาตมาเจริญกว่าสารีบุตรแล้วรูปก็ไม่ใช่นามก็ไม่ใช่แล้วแล้วจะให้อาตมาเป็นสารีบุตรอีก ดูถูกอาตมา เป็นเรื่องของความไม่เที่ยงความไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างแท้จริงต้องเอาปัจจุบัน ปัจจุบันอาตมาเป็นโพธิรักษ์ระดับ 7 หรือ 8 แล้วก็ยังไม่รู้ แต่ไม่เป็นไร 7 ไปก่อนก็ได้ ธรรมะ ไปถึง 8 ก็ไม่เป็นไร เราบอก 7 แต่เราพูดไปมันเป็น 8 ก็ไม่เป็นไร สภาวะมันเจริญก็ใช้ได้อย่าให้มันเสื่อมก็แล้วกัน สรุปแล้วพวกที่ไปยึดถือไต้หวันทิเบตทางโน้นเขาจะเป็นสัสสตทิฏฐิ ทาง ไทย ลาว เขมร พม่า ที่จีนก็เห็นใจเขา เขามีเยอะก็เลยต้องใช้พลังงานลักษณะอย่างนั้นเป็นคอมมิวนิสต์คือก็ยังไม่เป็นการอิสระเสรีภาพสมบูรณ์เหมือนประชาธิปไตยแท้แบบไทย นี่เป็นความซ้อนลึกซึ้ง คอมมิวนิสต์สู้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบไม่ได้ ยิ่งเผด็จการยิ่งไม่อาจเทียบ หรือแม้คอมมิวนิสต์เป็นคณะเผด็จการหมู่ ก็ยังดีกว่าเผด็จการแบบคนเดียว บงง แต่ซ้อนในประชาธิปไตยนั้นผู้ที่สูงส่งจริงๆท่านจะไม่เผด็จการ แต่ท่านรู้ท่านเข้าใจจริงๆเลย ท่านพูดไปแล้วคนอื่นก็เอาตามท่านไปเลย เป็นผู้ที่คนให้ความเชื่อถือเชื่อมั่น ท่านไม่บังคับใคร ท่านปล่อยอิสระเลยเอาตามก็เอาไม่เอาตามก็แล้วไป คนนี้สุดยอดไม่บังคับใคร ไม่ข่มใครเลย เห็นไหม เป็นภาวะสิริมหามายาที่ซับซ้อนสองรวมเป็นหนึ่ง ผู้ที่ไม่ถูกกดข่มก็จะให้ผู้นี้เลย มากดเถอะ อยากให้กด เพราะเชื่อจริงๆว่าท่านบริสุทธิ์สะอาดสุดยอดเรายิ่งไม่เอาเขายิ่งให้ ลักขโณ เป็นสายฟุ้งซ่าน แต่เขาพยายามทำได้เท่านี้ก็ดีแล้ว พ่อครูว่า…มาทางการเมืองบ้าง ในเราคิดอะไรฉบับกันยายน “หนึ่งเดียว”ในโลกคือประชาธิปไตยไทย ๑) ไทยเปลี่ยนระบอบใช้ “ประชา- ธิปไตย” แปดสิบเจ็ดปีมา ตราบนี้ การเมืองย่อมพัฒนา เจริญ“รูป- นาม”แฮ “พุทธศาสตร์”ชัดช่วยชี้ บ่งให้โลกเห็น (๒) เป็นศาสตร์รู้จบแจ้ง ทุกนัย ทั้ง“อัตตาธิปไตย” ชัดแท้ “โลกาธิปไตย”ไข ได้หมด สิ้นเฮย “อธิปไตย”จึ่งใช้แก้ “เทฺว”ได้โดย“ธรรม” (๓) รู้“กรรม”จึงชัดถ้วน “ธรรมะ” รู้“อำนาจ”โลกุตระ วิเศษไซร้ ทั้ง“โลก”ทั้ง“อัตตะ” ครบเทฺวะ “๒”รา จึง“สยบ”ด้วย“สงบ”ได้ เด่นด้าวโดยธรรม (๔) กำราบความชั่วร้าย สำเร็จ ด้วย“สัจจเทฺวะ”เสร็จ ถูกถ้วน “มวลชน”ร่วมกัน“เผด็จ- การ”จบ ลงแฮ “ทหาร”ช่วยระวังล้วน ถูกต้อง“เทฺวธรรม” (๕) กำจัดทรราชแล้ว โดยประชา ทหารจึ่งยื่นมือมา ต่อไม้ สืบทอดร่วมรักษา ระเบียบ ระบบ ใช่“เผด็จการทหาร”ได้ ชื่อผู้ลงมือ (๖) ซื่อบื้อกันสู่รู้ ดีนัก หลงเปลือกบ่รู้จัก แก่นแท้ ไทยประพฤติสิทธิศักดิ์ ตรงพุทธ- ศาสตร์เลย เป็น“รัฐประหาร”แก้ วิกฤติได้ประชาทำ (๗) สำเร็จ“พฤติภาพ”นี้ ของไทย ชื่อ“ประชาธิปไตย” วิศิษฏ์ชี้ ไทยปฏิบัติวิสุทธิ์ใจ ซึ่งสัมผัส ได้จริง ยืนหยัด“ไทย”ก่อนกี้ ตราบท้าวปัจจุบัน (๘) สำคัญต้อง“สัมผัส”ถ้วน จากไทย เป็น“ประชาธิปไตย” ต่างหล้า “ตัวอย่าง”สุดประเสริฐใน โลก“หนึ่ง- เดียว”เฮย เด่น“เดี่ยว”แกร่งเกินกล้า แก่นแท้“กายสักขี” “สไมย์ จำปาแพง” ๑๙ ส.ค. ๒๕๖๒ [นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ ๓๕๐ ประจำเดือนกันยายน ๒๕๖๒] หากจะใช้คำว่า เผด็จการ แต่เป็นประชาธิปไตย ก็เช่น ประชาชนทั้งหมดร่วมกันเผด็จการจัดการทรราช เป็นต้น อย่างทักษิณ ไปว่าจะไปเปิดพิธี กีฬาที่ต่างประเทศแต่ไปแล้วก็ไปเลยไม่กลับมา ตอนนี้น้องสาวก็ร่อนเร่เหมือนพี่ชายอีกเพิ่งได้สัญชาติ เซอร์เบียร์ ประชาธิปไตยต้องมีเสียงค้าน หากไม่มีเสียงค้านเป็นเผด็จการรัฐสภาก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย ต้องมีการค้าน ประเทศไทยมีประชาธิปไตยโดยธรรมชาติที่สวยงาม ที่ยังมีเห่าออกมาอวดดีออกมาก็เป็นส่วนน้อย ไม่มีน้ำหนัก เป็นแต่เพียงว่าพล.อ.ประยุทธ์อย่าประมาท เป็นปัจฉิมโอวาทของพระพุทธเจ้าและตัวสุดท้ายในอุปกิเลส 16 ต้องพยายามมีสติสัมปชัญญะระแวดระวังอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าทำ อย่ารีบ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) ส.ฟ้าไท…สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin23 สิงหาคม 2019Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:620821_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อยู่กับบัณฑิตที่ให้คำตำหนิได้จะไม่มีวันเสื่อมNextNext post:620825_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ จรณะวิชชาที่พาเป็นคนจนอยู่เหนือคนรวยRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024