620826_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 66
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1SfyYDxKYTOst-PQpVEo-PsGheTORx0NxhQa6U3rAStQ/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1MTq4NBnkXY5dwYoktslrXVjA52zd6LvV
ดูยูทูปที่
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ขอตอบsms ก่อนได้มั้ย
SMS วันที่ 25-26 ส.ค. 2562
_7630 กราบนมัสการพ่อท่านครับ วันนี้ได้ฟังพ่อกล่าวอย่างอาสโภอย่างมากก็เลยอยากจะถามว่าถ้าหากมีไครเขาอยากจะจัดรายการเชิญพระโพธิรัก-อ.สุจินต์(บ้านธรรม)-ท่านประยุทธ ปยุตโต-อ.บูรพา-ว.วชิรเมธี-พระคึกฤทธิ์ มาออกอากาศ พ่อท่านยินดีจะตอบรับไหมครับ? ..แล้วเมื่อนั้นพ่อท่านยังจะกล่าวอย่างอาสภะวาจาว่า”อาตมาคือลูกไก่ …(มีประโยคต่อแต่ใน sms ที่ส่งมาประกอบประโยคไม่ได้บางประโยคขาดหายจึงคัดมาเท่านี้)
พ่อครูว่า…เมื่อถึงเหตุปัจจัยอาตมาก็ต้องกล่าว จะไประย่ออะไร จะต้องกล้ากล่าวแน่นอน เพราะยุคนี้ ที่อาตมากล่าวไม่ใช่ไม่มีหลักฐาน กว่าจะพูดเรื่องเหล่านี้ ที่บอกว่าเป็นไก่ตัวพี่ เจาะกระเปาะไข่ออกมาได้ก่อนใครในยุคนี้ เพิ่งจะกล่าวในไม่กี่เดือนนี้ในยุคนี้ ไม่ใช่ว่าจะสุ่มสี่สุ่มห้ากล่าว ที่กล่าวนั้นกล่าวโดยได้ทำงานพิสูจน์ความจริงยืนยันว่าอาตมานี้เป็นผู้นำโลกุตรธรรม หรือนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาสาธยายอธิบายขยายความ ให้รู้จักสภาวะ สังเคราะห์สังขารกันอย่างไรต่างๆนานา อาตมาว่าก็ต้องพูดตรงนี้แหละ เพราะมันหมายถึงไก่ตัวพี่ ไม่มีใครมากล่าวได้อย่างอาตมาที่จะกล้ากล่าวเป็นคนแรกในยุคนี้ อย่างนี้ จึงเรียกว่าอาตมาเป็นไก่ตัวผู้ กล่าวอย่างอาสโภ เขาใช้คำว่าบังอาจ แกล้วกล้าไม่ได้หวั่นเกรงเลย
แต่อาตมาว่า อ.สุจินต์ ท่านประยุทธ ปยุตโต-อ.บูรพา-ว.วชิรเมธี-พระคึกฤทธิ์ จะกล้ากล่าวอย่างอาตมาหรือไม่ขออภัยฟังแล้วบางคนอาจจะหมั่นไส้
แต่ว่าอาจจะมาจำเป็นต้องพูดความจริง
_สมนึก • ดิฉันเชื่อพ่อครู. สมณะทุกรูป และสิกขมาตุ เทศเรื่องอะไรเชื่อไว้ก่อนเพราะทุกท่านทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างมา. เพื่อมวลมนุษย์. ถ้าโยมนินทา พ่อครู. สมณะและสิกขมาตุจะเงียบฟัง จะไม่พูดต่อไป จะมาทบทวนตนเองว่ามีความรู้สึกตนเป็นอย่างไรบ้างค่ะ
_ค่อยไท • กราบเคารพพ่อครูครับ ผมได้ติดตามฟังธรรมพ่อครู สมณะ สิกขมาตุ ไม่ว่าจะสอนธรรมท่านเดียวหรือสอนธรรมเป็นกลุ่ม แบบกลุ่มเช่น ข่าวตอนเช้า ย่อยธรรมมะภาคค่ำ จนผมมองว่าถ้าให้จัดดรีมทีมของผม ผมจะจัดได้สองทีม ณ ขณะนี้ ดรีมทีมที่1 ทีมโดนใจ โหด มัน ฮา ยิงตรงทรงปัญญา ทีมนี้ประกอบด้วย ท่านฟ้าไท (สมณะรูปแรกที่ผมได้คุยด้วยเพราะต้องติดต่อขอเข้าพักที่บ้านราช) ท่านถักบุญ ท่านด่วนดี ท่านสิกขมาตุกล้าข้ามฝัน ฟังทีมนี้แล้วถ้ากำลังทำกับข้าวไปฟังไปด้วยเวลาจะเทน้ำปลาอาจมีกระฉอก เพราะทีมนี้มีหนักมีฮา อาจสะดุ้งได้หรือขำจนน้ำปลากระฉอกตอนกำลังปรุงรสกับข้าว
ดรีมทีมที่2 ทีมดีใจใจดี ฟังเพลินเจริญใจไขปัญญา ทีมนี้ประกอบด้วย ท่านเดินดิน (ผู้ตั้งชื่อใหม่ให้ผมว่า คอยใคร) ท่านดินไท(ไอดอลผม) ท่านแสนดิน ท่านสิกขมาตุรินฟ้า ฟังทีมนี้ผมว่าฟังง่ายฟังเพลิน แม้ทำกับข้าวไปฟังไปเทน้ำปลาก็ไม่กระฉอก เพราะฟังได้เรื่อยๆแบบขับรถใช้ครูซคอนโทรล ความเร็วจะคงที่ไม่กระตุกสะดุดอะไร แต่ทีมที่มีอยู่จริงและผมติดตามฟังตลอดคือทีม พุทธะชีวะศิลป์ เพราะรายการอื่นๆจะมี สมณะ สิกขมาตุ และฆาราวาสร่วมกัน ซึ่งตอนนี้จะเปลี่ยนผู้รวมรายการไป 1 ท่าน จากท่านสิกขมาตุรินฟ้าเป็น ท่านสิกขมาตุสร้างฝันใหม่ ผมว่าก็ไม่ติดขัดอะไรครับ ส่วนรายการอื่นๆที่มี สมณะ สิกขมาตุ และฆาราวาสร่วมกันผมก็จะติดตามทุกรายการตลอดไปครับ สาธุ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน มุ่งรวยเพื่อช่วยคนอื่นอย่างสุจริตดีหรือไม่
_สมโชค • กราบนมัสการพ่อครู ขออนุญาตเรียนถามพ่อครูว่า การอ้างว่าเราเป็นคนดี ต้องมุ่งไปรวย แล้วช่วยเหลือคนอื่นๆ สร้าง รร. รพ. วัด อื่นๆ และยังให้ความรู้ผู้อื่นเพื่อมุ่งไปรวยอย่างสุจริต การคิดเช่นนี้เป็นวิชชา หรือ อวิชชา หรือไม่อย่างไร ครับ ช่วยอธิบายด้วยครับ ถ้าเปรียบกับการมุ่งไปจน อย่างชาวอโศก ครับ
พ่อครูว่า…ตอบไม่ยับยั้ง อวิชชา คิดจะหาเงินรวยเพื่อช่วยคนอื่น คุณคิดเหมือนกับ โรบินฮู้ด ที่จะปล้นคนรวยมาช่วยคนจน แต่ศาสนาพุทธไม่คิดอย่างนั้นคนจะรวยก็รวยไป คนจะทำรวยก็เรื่องของเขา มีคนที่รวยตามสุจริตตามบารมีกับคนรวยโดยที่ทุจริต ที่ไม่ใช่บารมีแต่เป็นสันดาน เป็นคนรวยตามสันดาน มันก็มี 2 อย่างใหญ่ๆสำหรับคนรวย ทีนี้ถ้าคนที่มีภูมิปัญญาโดยเฉพาะภูมิปัญญาโลกุตรธรรมและภูมิปัญญาของชาวพุทธแล้วจะไม่ทำตนเป็นคนรวย
พระพุทธเจ้าเป็นต้น พระพุทธเจ้าเป็นคนมีปัญญา ถ้าจะรวยก็รวยได้แต่ท่านไม่ไปเป็นคนรวย พระสาวกต่างๆหลายท่านหลายองค์มีปัญญา แล้วท่านก็ไม่ไปรวย ท่านทิ้งความรวยมา ไม่ว่าจะเป็นสาวกชายสาวกหญิงเยอะแยะ
การไปรวยนั้นคิดผิด เพราะคนไปรวยนี้แม้คุณจะสุจริตคุณก็ต้องเอาเปรียบมา ได้เปรียบมาจากสังคมแล้วก็กักตุน การเอามากักตุนไว้มาก โลกก็ขาดแคลนต้องแย่งชิงกัน เมื่อมีคนตั้งตนเป็นคนรวย 2คน 3คน 4คน คนอื่นก็ต้องยิ่งขาดแคลนยิ่งแย่ใหญ่เลยอย่างที่เป็นอยู่ในทุกยุคสมัยเป็นอย่างนี้
คนมีปัญญาที่แท้จริงจะไม่คิดรวย คนไม่มีปัญญามีแต่ความ เฉโก มีแต่ความเฉลียวฉลาดแกมโกง จะมีแต่เอาเปรียบโดยไม่ประสีประสาไม่เดียงสากับคนอื่นเลยว่า คนอื่นเขาทุกข์นะ เขาไม่พอนะ เขาขาดแคลนนะ เราเอามากักไว้อะไรกันนักกันหนาเราทำโดยความรู้ความสุจริตด้วย ถ้าคุณทำอย่างพอกินพอใช้นอกนั้นก็สะพัดให้คนอื่นจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนสังคมเดือดร้อนโลก จะมีปัญญาอย่างนี้จริงๆเลย เพราะฉะนั้นคนที่มีปัญญาจริงๆ เป็นวิชชาจะไม่ไปรวย คนที่คิดไว้มีแต่ เฉกา ไม่มีปัญญา มีแต่ขี้โกง ไม่ต้องพูดถึงทุจริตเลยตีทิ้งเข้านรกไปได้เลยอย่างนั้น คนที่เป็นคนรวยสุจริตก็ยังเป็นคนเฉโก อวิชชา
ไม่ว่าจะเป็นศาสนาไหนไม่ต้องเปลี่ยนศาสนาพุทธเท่านั้นถ้ามีภูมิปัญญาจะมาจอง แม้แต่ศาสนาเทวนิยมก็ตาม ถ้าศาสนาทุนนิยมไม่ยอมจนดอกจะมีแต่รวย พวกที่เป็นเทวนิยมเขาก็รู้ว่ามาจนนี้ดี แต่เขาทำไม่ได้อย่างแท้จริง ไม่มีภูมิปัญญาจะลดกิเลสได้จริง พุทธนี่ คนที่ลดกิเลสได้จริงจึงมีความถาวรเที่ยงแท้ไม่วนกลับมา ไม่ว่าจะชาติไหนก็จะลดลงไปทุกชาติๆ ภาวะจิตจะสะสมใจอนุสัยเป็นธาตุจิตที่ดี มันก็จะยิ่งมักน้อยสันโดษ อย่างอาตมาในชาตินี้ไม่สะสมเลยแล้วก็พาพวกเรามาไม่สะสมสุดยอดอย่างนี้
คนรวยได้แม้สุจริตก็เป็นอวิชชา
_อรัญญา • กราบสาธุค่ะ ธรรมะที่พ่อครูแสดงถือว่าเป็นธรรมะชั้นสูง ยากจะเข้าใจแต่ดิฉันก็ติดตามรับชมรับฟังเป็นประจำค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ
_gurux สาธุครับ
สื่อธรรมะพ่อครู(นิยาม 5) ตอน กรรมนิยามทำให้เกิดธรรมนิยาม
_เอื้อมพร กราบนมัสการพ่อครูค่ะ ได้ฟังคลิปนี้แล้ว เข้าใจเรื่องนิยาม ๕ ดีขึ้นมากค่ะ เรื่องการเปลี่ยนพลังงานในระดับต่างๆ ที่สำคัญ ก็คือกรรมนิยาม ต้องทำใจในใจ ไม่ให้กิเลสมาปะปนในการกระทำกรรมต่างๆ แต่ลูกอยากถามว่า เมื่อใด / อย่างใด จึงจะเรียกว่า “ธรรมะนิยาม” ค่ะ เมื่อถึงขั้นธรรมะนิยามแล้ว พลังงานขั้นนี้จะมีส่วนเกี่ยวพันอย่างไรกับกรรมนิยาม ขอกราบขอความกระจ่างด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณด้วยความเคารพค่ะ
พ่อครูว่า…ธรรมนิยาม 5 นี้ ทำความเข้าใจพลังงานในระดับอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม นี่เป็น 3 นิยามที่มีพลังงานแตกต่างกัน ผู้ที่มีความเป็นจิตนิยามเช่นมนุษย์เช่นคน ได้เรียนได้ศึกษาจะเข้าใจอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยามนี้ จะแยกออก โดยจะเข้าใจสภาพความเป็นจริงว่าอาการของพลังงาน อุตุนิยาม เป็นพลังงานเหมือน ความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นเรื่องของวัตถุธาตุ ดินน้ำไฟลมที่มันสังเคราะห์กันเป็นพลังงาน วิทยาศาสตร์เขาก็เรียนรู้กันอยู่
ในคนที่เป็นจิตนิยามมีพลังงานอย่างนี้อยู่แน่ และพลังงานที่เป็นชีวะปรุงแต่งขึ้นไป พีชนิยาม ซึ่งธรรมนิยาม 5 นี้ วิทยาศาสตร์สากลทั่วไปในโลกไม่สามารถรู้ได้ แม้แต่ศาสดาของเทวนิยมก็ไม่สามารถมีความรู้ที่จะรู้จักพลังงาน 5 นี้
แยกพลังงาน อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม จึงสามารถจัดการกับมโนกรรมให้อยู่ในสภาพของ อุตุ พีชะ จิต ได้ จนสามารถทำให้เกิดพลังงานนั้นยั่งยืนถาวรจึงทรงอยู่อย่างสามารถเรียกว่า วสวัตตีโก ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้
แล้วที่ถามว่า กรรมนิยามกับธรรมนิยามสัมพันธ์อย่างไร ก็คือเราจัดการกรรมเราได้ จัดการใจในใจเราได้ให้ทรงอยู่ได้ เรียกว่าธรรมะ
กรรมกับธรรมะก็ต้องเกี่ยวเนื่องกัน ทำสภาพให้จิตเราเป็นอุตุ เป็นพลังงานที่ไม่รับรู้อะไร ไม่เป็นชีวะเป็นของมันไปตามสภาพแวดล้อม หรือมันเป็น พีชะ มันไม่มีความทุกข์ความสุข ไม่มีบาปไม่มีบุญ ไม่มีผลักไม่มีดูดอะไร เป็นพลังานพีชะ สมบูรณ์ขั้นอุเบกขา
หรือจิตนิยาม เป็นได้ทั้ง อุตุนิยาม พีชนิยาม นั่นคือจัดการมโนกรรมหรือจัดการจิตตนเอง มนสิกโรติ จัดการใจตัวเองให้เป็นอย่างไรก็ได้ จึงเรียกว่าได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4 ทำสภาวะจิตให้เป็นได้ ฌาน 1 2 3 4 ซึ่งเป็นความสามารถที่ทำให้จิตมีพลังงาน อุณหธาตุ กำจัดกิเลสได้ แม้แต่อุปกิเลสก็จัดการได้
บางทีมันไม่ได้เป็นอุปกิเลสหรอก แต่มันเป็นจิตปรุงแต่งอภิสังขารได้ตามต้องการ โดยตนไม่ตกหล่น อย่างอาตมาปรุงแต่งให้คนอื่น เขาก็ดูเหมือนจะมีอาการรุนแรงก็ตีความที่อาการอาตมาเป็นอย่างนั้น
อาตมาเข้าใจเขาเพราะเขาดูโดยตามอาการ ตัดสินด้วยอาการ ในกาลามสูตร 10
_จากลูกเอี่ยมเช็ง กราบถามพ่อท่านดังนี้ ค่ะ สภาพของการรู้ทุกข์ คือการดับแล้วแต่เป็นสัญญาที่ดึงผูกมัดเอาไว้อยู่ จึงเป็นทุกข์ สิ่งที่เข้าไปยึดถือแล้วไม่ทุกข์ไม่มี. กราบขอคำอธิบายให้เข้าใจชัดเจนเพิ่มขึ้นค่ะ
พ่อครูว่า…มันก็เป็นความทุกข์โดยสภาพ ทุกข์โดยสภาวะที่เป็นสิ่งไม่เที่ยง แล้วมันก็เป็นอนัตตาเดี๋ยวมันก็พรากจากไป แต่ผู้ที่ดับทุกข์แล้วดับกิเลสแล้ว ใช้สัญญาอันนี้อยู่มันก็ลำบาก ไม่ใช่ว่าเราไม่ปรุงแต่ง เราปรุงแต่ง แต่ทุกข์อย่างนี้ท่านไม่ได้ยึด มันเป็นทุกข์ที่ไม่ใช่เกิดจากกิเลสครอบงำ แต่มันเป็นทุกข์ที่ใช้ศัพท์คำว่า ทรถ
มันยังมีความยากอยู่ในจิตใจอยู่บ้าง ซึ่งก็เสียสละทำเพื่อผู้อื่น
_พิมพ์เพชรรุ้ง บรรยากาศรายการสำมะปี๋ หากพูดเรื่องเดจาวู เหมือนยุคสมัยพ่อขุนรามคำแหงที่ปกครองประชาชน แบบพ่อปกครองลูก ประชาชนถ้ามีเหตุการณ์อะไรก็ไปสั่นกระดิ่งที่แขวนหน้าประตู พ่อขุนรามฯก็จะออกมาว่าความ
ขอใช้โอกาสนี้เสนอเรื่องหนึ่ง ถ้าเป็นในรายการสำมะปี๋ขอให้เป็นบรรยากาศพ่อคุยกับลูก ให้เป็นปัญหาสดกับปัญหาแห้ง
ขอให้ sms ไปตอบวันอื่น
พ่อครูว่า…พ่อครูให้โหวต ..ส่วนใหญ่เห็นด้วย แต่ สู่แดนธรรมเสนอว่า ให้คัดมาบางส่วน พ่อครูว่า ที่ใช้เวลามากเพราะอาตมาเอง เอาล่ะ ค่อยพิจารณาไป
สื่อธรรมะพ่อครู(นิยาม 5) ตอน แยกแยะจิตนิยามออกได้อย่างไร
_สมใจ…ตอนไปทำงานอุทยาน มีผัดชะอม พอผัดออกมา บางคนก็บอกว่าหอมจังเลยบางคนก็บอกว่าเหม็นจังเลย ก็เลยคิดว่าผู้ปฏิบัติธรรมด้วยกัน พ่อท่านสอน สภาวะนั้นก็เกิดขึ้นพ่อท่านสอนว่าเป็นสัญญา ขอถามว่า ขณะเกิดมันเป็นกายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน หรือว่ากายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน ในสัตตาวาส 9 กับผัดชะอม
พ่อครูว่า…ได้ ถ้าเข้าใจสภาวะก็เป็นกายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน หรือว่ากายต่างกันสัญญาต่างกัน
สัญญาคือจิตของเรากำหนดหมายแล้วก็ดูอาการหรือว่ารูปนาม ทำไมกายถึงต้องมีสองเสมอเพราะว่ากายนี้เป็นเรื่องของคน คนที่มีกายอยู่ สิ่งที่ไม่ใช่กายของเราแล้ว
-
มันเป็นชีวะอยู่แต่เป็นพีชะ มันไม่เจ็บปวดทุกข์ร้อนอะไรไม่มีความรู้สึก ถ้าเป็นชีวะของเราเราก็ต้องดูแลรักษาเพื่ออาศัยใช้สอยแต่คนที่ยึดถือก็หวงแหน พวกรักผม เป็นต้น หรือแม้แต้เล็บที่ยาวออกมาแล้ว ฟันก็ตาม ขนก็ตาม ผิวหนังที่อยู่ภายนอกขัดออกไปได้ ผมขนเล็บฟันหนัง หากคนไม่ยึดก็ไม่ทุกข์ คนยึดก็ทุกข์
ท่านถึงสอน การรู้จัก การรับรู้อะไรคือกาย อะไรคือจิต มันเป็นความรู้ของศาสนาพุทธ ถ้าหากแยกอันนี้ไม่ได้ไม่สามารถบรรลุอรหันต์ แยก นิยาม อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยามได้ โดยการจัดการกรรมนิยามให้ทรงสภาพเป็นธรรมนิยามได้ตามต้องการ
ต้องเข้าใจสภาวะนี้ว่าปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติอันนี้นิยาม 5 นี้ ทุกวันนี้ศาสนาพุทธไม่รู้เรื่องธรรมนิยาม 5 นี้ ยิ่งกว่าไปนั่งหลับตาปฏิบัติกันนี่ อาตมาพอดีไปเจอคำบรรยายของมหาบัว บรรยายอาการของตัวเองบรรลุ บันทึกไว้จำวันที่ได้ด้วย อาการมันพิลึกกระโดดโลดเต้น แสดงออกเหมือนคนไม่ปกติ ฟุ้งซ่านไม่ปกติ คนก็ยังเข้าใจไม่ได้ ว่ามหาบัว พูดอะไรบรรยายอะไรออกมา ซึ่งน่าจะตัดสินได้ว่านอกรีตนอกทาง แต่ก็อย่างว่า คนที่ไม่ได้ศึกษาลึกซึ้งก็ไม่รู้เรื่องอะไร ก็ยอมให้มหาบัวหลอกไป
ที่ต้องพูดถึงอันนี้เพราะว่าเป็นเรื่องสัจจะที่จะต้องกำราบตำหนิ จะต้องพูดให้รู้ว่าอย่าไปหลงว่าเป็นคุณพิเศษของศาสนาพุทธ มันเป็นคุณของผีเปรตไม่ใช้คุณวิเศษ ป่านนี้ต้องใช้กรรมที่อวิชชาไม่ได้ผุดได้เกิด น่าสมเพชเวทนา แล้วมาเปิดเผยบรรยายประกาศให้คนอื่นหลงผิดตาม แล้วคนอื่นก็งมงายตาม เท่ากับทำลายศาสนาพุทธ เท่ากับชวนกันลงนรกกันไป จึงจำเป็นเหลือเกินที่อาตมาจะต้องตำหนิต้องบอกความจริงให้รู้ว่า อย่าไปหลงผิดเชียว ศึกษาให้ดี ใครจะว่าอย่างไรอาตมาอวดตัวตน ยกตนข่มท่านก็แล้วแต่ อาตมาพูดด้วยความสุจริตใจไม่ได้มีจิตใจรังเกียจมหาบัว ที่จะไปถล่มทลายความผิดของคนผิด อาตมาไม่ได้ชิงชัง แต่สังเวชใจ ตอนนี้เขาเสียไปแล้ว แม้ไม่เสียเขาก็ไม่ฟังอาตมาหรอก
สิ่งที่เข้าไปยึดถือแล้วไม่ทุกข์เป็นไม่มี
ทุกสิ่งที่เข้าไปยึดถือไม่ทุกข์เป็นไม่มี อย่างอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ต้องยึดสภาพที่ทำงานศาสนาอยู่ไปอาตมาก็ต้องเป็นทุกข์แต่เป็นความทุกข์ที่เป็นทรถ ต้องทนทำ เหน็ดเหนื่อยอุตสาหะพากเพียรต้องใช้พลังงานแคลลอรี่จริงๆอย่างนี้เป็นต้น เป็นสภาวะที่ละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างนั้น
_กูรูแป้ง ใจจริงผมก็อยากจะช่วยพ่อท่านตอบคุณสุพัฒน์ เบ้าวันดี ที่เขาส่งคอมเม้นต์เข้ารายการวิถีอาริยธรรม มาว่า “เข้าใจพ่อท่านมีเจตนาที่อยากจะช่วยให้พวกเขาหายโง่ เพราะมันถึงที่สุดของพ่อท่านแล้ว แต่พ่อท่านควรหวนมองดูใจเขาบ้างว่า “ถ้าเขาปฏิบัติถึงที่สุดแล้ว เขาก็คิดว่าพ่อท่านผิดทางแล้ว และอยากให้พ่อท่านกลับมาให้ถูกทางบ้าง”
ซึ่งผมเองจะบอกคุณสุพัฒน์ว่า หากคุณฟังพ่อท่านมานาน จะต้องเคยได้ยินว่า สิ่งที่พวกเขาหรือพวกคุณพยายามปฏิบัติให้ถึงที่สุดแบบสายหลับตานั้น พ่อท่านก็บรรลุแจ้งในทางแบบนั้นมาหลายชาติแล้ว ทำไมคุณยังจะเรียกร้องให้พ่อท่านไปบรรลุในสิ่งที่พวกคุณยังต้องพยายามไปให้ถึงที่สุด ซึ่งสิ่งนั้นก็ยังมิจฉาสมาธิอยู่ (แต่พวกคุณหลงว่า เป็นของสุดยอดที่ครูบาอาจารย์กระทำตามๆกันมา) พ่อท่านผ่านและจบสิ้นมิจฉาสมาธิ มิจฉาญาณะแบบเก่ามานานแล้ว กำลังจะมาสอนให้เกิดอัญญธาตุใหม่ อันต่างไปจากวังวนมิจฉาเดิมๆ /
ตราบใดที่คุณยังพยายามมาสอนพ่อท่าน ด้วยคิดว่า ฝ่ายคุณมีผลแห่งความจริงอย่างสุดยอดแห่งสัมมายิ่งกว่า คุณช่วยเอาชีวิตฝ่ายคุณมายืนยันได้สักคนไหมว่า ฝ่ายคุณบรรลุผลแห่งการลาออกจากงาน ไม่มีเงินเดือน แล้วมารวมตัวกันได้อย่างไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันเอง หรือทะเลาะกัน คุณบริหารด้วยธรรมะอะไรจึงทำให้คนเหล่านั้นสงบศักดิ์ศรีลงได้ จนไม่ทะเลาะกัน จนกระทั่งรวมกันได้อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง จะมีสักกลุ่มก้อนไหม ถ้าได้ผลแบบนี้บ้างแล้ว จึงสมควรค่อยมาเหิมเกริมคิดทึกทักไปเองว่า ตนเองคือผลแห่งการบรรลุที่ถูกต้อง !
พ่อครูว่า…อาตมาเคยนั่งหลับตาทำสมาธิแล้ว แต่ไม่ได้มีอุปาทานหยาบคายอย่างมหาบัวอย่างนั้น พูดออกมาก็ขายขี้หน้า ทำให้คนหลงอรหันต์อย่างมหาบัว อาตมาก็ลำบากต้องมาแก้กลับ ไม่ได้แย้งเพื่อเอาดีเอาเด่น แต่แก้เอาธรรมของพระพุทธเจ้าคืน ไปหลงผิดอย่างมหาบัวมันก็ซวยสิศาสนาพุทธ นั่งหลับตาปฏิบัติมันก็ผิดตั้งแต่ต้นทางแล้วถ้าอ่านพระไตรปิฎกตั้งแต่พระสูตรแรกพรหมชาลสูตร
นั่งหลับตาปฏิบัติไม่มีจักษุปัญญาญาณวิชชาอาโลกะ มันอยู่ในทวารใจทวารเดียวเป็นภพชาติ จะเก่งให้ตายอย่างไรก็ดิ้นอยู่ใน อดีต 18 อนาคต 44 พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ในพรหมชาลสูตรพระสูตรแรกเลยแต่อ่านพระไตรปิฎกกันไม่แตก
สรุปอีกทีนั่งหลับตาไม่ใช่ของศาสนาพุทธเลยเป็นมิจฉาทิฏฐิ 62 ข้อ ได้แค่นั้น ระลึกตามขันธ์ อดีต อนาคต ได้ 18 กับ 44 ไม่ได้ขันธ์ปัจจุบัน
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีทิฏฐธรรมนิพพานทิฐิ หมายความว่ามีปัจจุบันชาติ เพราะฉะนั้นหลับตาตีทิ้งได้เลย ไม่ใช่ลัทธิของชาวพุทธ ในการคิดการพูดการทำปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ปฏิบัติสั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ เป็นสมาธิก่อนพระพุทธเจ้าไม่ใช่สมาธิของแต่ละทีที่นั่งหลับตาปฏิบัติเป็นหลัก ส่วนสมาธิของพระพุทธเจ้านั้นลืมตาปฏิบัตินั่นเป็นสมาธิที่สัมมา
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ฌาน สมาธิของพุทธไม่ได้เกิดด้วยการนั่งหลับตา
_จากพระไตรปิฎกเล่ม 22 จะมีญาณ 5 อย่างเกิดขึ้นเฉพาะตน เมื่อเจริญสมาธิอันหาประมาณมิได้
-
สมาธินี้มีสุขในปัจจุบัน และมีความว่างดีเป็นวิบากต่อไป
- สมาธิ ที่จะมีสุข(แปลว่าว่างนี่แหละดี) สมาธิเป็นอาริยะ ปราศอามิส แม้แต่สุขโลกีย์
- สมาธินี้อสัตบุรุษเสพไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์จะได้รับธรรมรสอันนี้
- สมาธินี้ละเอียด ประณีตอันได้มาด้วยความสงบรำงับและมิใช่บรรลุได้ด้วยการข่มธรรมะที่เป็นข้าศึกหรือห้ามกิเลสด้วยจิตที่เป็นสสังขาร
- เราย่อมมีสติเข้าสมาธินี้ได้ เรามีสติออกจากสมาธินี้ได้
พ่อครูว่า..การเข้าออกไม่ได้ไปหลับตาทำ แต่การเข้าออกคือจิตเข้าไปดูอารมณ์ที่เป็นสมาธิ ไม่ได้หลับตาปฏิบัติแต่ลืมตาปฏิบัติ เช่นอารมณ์อุเบกขา เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา เป็นฐานนิพพาน หลับตาสมาธินั้นเลิกไปเลยของศาสนาพุทธขอยืนยันเลยว่ามันไม่ใช่ของศาสนาพุทธเลย สมาธิของพระพุทธเจ้าต้องปฏิบัติมรรคมีองค์ 7 ปฏิบัติทุกขณะการงานอาชีพการพูดการคิด ไม่ใช่ไม่ทำการงานอาชีพอะไรเลยไม่คิดไม่พูดเอาแต่นั่งสมาธิ
ฌานของพุทธ ฌาน 1 2 3 4 เกิดจาก
-
ศีลเป็นตัวตั้ง
-
อปัณกปฏิปทา 3 มี สำรวมอินทรีย์ 6 โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคคะ การไปหลับตาก็ไม่เอาลืมตานี้ยังต้องให้ตื่นมีสติสัมปชัญญะปัญญารู้เต็มเลย ชาคริยา ต้องพากเพียรตื่นเต็ม อย่าว่าจะไปนั่งหลับตาเลย
-
จิตจึงมี ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา ต้องมีสติปัญญารู้ว่า กระทบอันนี้ เป็นเรื่องของบาปอกุศลที่จะเกิดความละอายกลัวเลยไม่เอาไม่ทำ ก็ประพฤติตาม เกิดเป็นพหูสูตเป็นคนเจริญเป็นปัญญาชน เห็นผลมีสติสมาธิปัญญา
-
สั่งสมลงเป็น ฌาน 1 2 3 4
-
โดยมีวิชชา 8 เป็นยาดำรู้มาตั้งแต่ตลอดสายตั้งแต่สังวรศีลสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ แล้วมีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติปัญญา