620828_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สามัญผลสูตร ตอนที่ 1
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1SsZo_O01yrSQqUpsyFrFEcN38xx8gES3DJel0DwBDjU/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=15GsP7KD2FEZYOJfPbMPaaW79C8GdN9XZ
สมณะเดินดินว่า…วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก พรุ่งนี้จะเป็นวันพระใหญ่ ตอนนี้มีข่าวว่า ข้าวเหนียวมีราคาแพงมากขึ้นมาก ใกล้จะถึงเทศกาลกินเจกันแล้ว ที่จ.อุบลฯ ทางหน่วยราชการ ต่างจังหวัดก็ให้ความสำคัญกับประเพณีนี้มาก
พ่อครูว่า…เคยสาธยายสามัญผลสูตรไป ก็ยังไม่ต่อเนื่อง
SMS วันที่ 26 ส.ค. 2562 (สำมะปี๋ ซี๋วิต)
_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก · หากทุกๆคน โดยเฉลี่ยตั้งใจศึกษาและพยายามทำความเข้าใจชาวอโศกได้ซัก 5 เปอร์เซนต์ของประเทศ ผมว่าประเทศนี้ ศิวิไลซ์ ชัวร์ เมกาก็เมกาเหอะ เทียบเราไม่ติด
…ไปลุ้นอาจารย์หมอเขียว คนไม่ยอมรับไม่เป็นไร หยาบคายมากครับ หลายคน
พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าท่านให้นิสสัย 4 แต่เขาก็ไม่เข้าใจกันแม้แต่จบปริญญาก้าวไปบอกว่าเป็นน้ำฉี่โค ที่จริงก็น้ำฉี่ของเราเองเป็นน้ำมูตร ถ้าคูถก็อุจจาระ แต่มีน้ำมูตรเน่าดองยา อย่างนี้เป็นต้น เป็นความเห็นของผู้รู้ทั้งหลายที่อธิบายผิดเพี้ยนกันไปทีละนิด ก็ออกไปไกลๆจนกระทั่งศาสนาในยุคพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีการนั่งหลับตาทำฌาน ทำสมาธิ เพราะฌานเกิดจากจรณะ 15 เป็นวิชชาจรณสัมปันโนของพระพุทธเจ้าที่ออกมาประกาศสิ่งที่เป็นการขัดแย้งกับเดียรถีย์ แต่ไหนแต่ไร ถ้าหากพระพุทธเจ้าไม่เกิดไม่มีวิชชาจรณะเกิด ไม่มีฌานของพุทธเกิด เมื่อ 2500 กว่าปีผ่านไปมีความเสื่อมของศาสนาพุทธจนกระทั่ง ฌานโลกุตระหมดไป แยกไม่ออกว่าฌานโลกุตระกับฌานโลกียะต่างกันอย่างไร
อาตมาก็ต้องนำมาฟื้นประกาศ ดีที่มีวิชชาจรณะ 15 อยู่ ตั้งแต่ สังวรศีลสำรวมอินทรีย์โภชเนมัตตัญญุตาชาคริยานุโยคะ เกิดสัทธรรม 7 ฌาน 4 วิชชา 8 เกิดเป็นฤทธิ์อำนาจทางจิต มโนมยิทธิ สามารถทำให้กิเลสละอายหรือเราละอายต่อกิเลส กิเลสของเราละอายต่อปัญญาของเรากิเลสก็หลีกไปเลยหรือเกรงกลัว ไม่มาเลย ห่างไกลเลย มันจะเกิดคุณสมบัติอย่างนั้นจริงๆเลย เป็นฌาน อย่างลืมตา ด้วยจักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา แสงสว่าง ไม่ใช่ยิ่งฝึกยิ่งนิ่งยิ่งไม่รู้อะไรยิ่งขึ้น แต่ของพุทธนั้นยิ่งฝึกยิ่งคล่องแคล่ว ว่องไว รู้เร็วปรับเร็วเหมาะควรแก่การงาน อย่างสุขุม ละเอียดลึกซึ้งทำลายกิเลสได้จริง ไม่ใช่ไปทำให้เกิดความซื่อบื้อความทื่อในจิต
อาตมาเกิดมาในยุคนี้ก็ต้องมาต่อสู้จากสิ่งที่เขาหลงติดยึดความรู้ที่ได้มาแล้ว จากครูบาอาจารย์หลายคนที่มีเกียรติยศศักดิ์ศรีกว่าอาตมา อาตมาไม่ได้มีเกียรติ์ศักดิศรีอะไรมาในชาตินี้ ก็พวกคุณที่มีภูมิปัญญามารับรู้ปฏิบัติได้ แบบอย่างโลกียะนั้นมันก็อธิบายกันมานานแล้ว อาตมาก็ต้องตีหนัก ไม่อย่างนั้นเขาก็จมอยู่กับความผิดที่ยึดถือเป็นความถูกแล้วอย่างนั้น มันน่าสงสาร คนที่งมงาย และไม่ได้เจริญอะไรไปหลงความตกต่ำเป็นความเจริญอีกมีความซับซ้อนที่น่าสังเวชใจ ก็ต้องยิ่งขุดคุ้ยพลิกกลับขึ้นมาให้มาสู่ความถูกต้องชัดเจนที่เป็นตัวแท้เนื้อแท้ซึ่งมันยากจริงๆเลย
_ต้นเสียงธรรม คณะรินทร์ · กราบนมัสการครับ ติดตามฟังทางเฟสบุค ภาพเสียงชัดเจนครับ ปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้านครับ ขายอาหารเพื่อสุขภาพ ราคาต่ำกว่าท้องตลาด ต้องกินน้อยใช้น้อย ทำงานหนักจึงพออยู่ได้ครับ ด้วยภาระหน้าที่จำต้องเคร่งครัดปฏิบัติอยู่ที่บ้าน จิตศรัทธาหมู่กลุ่มชาวอโศกมาก ชัดเจนทุกคำสอนจากพ่อท่านและสมณะ สิกมาตุ แม้แต่ญาติธรรมกว่า 90% เป็นคนตั้งใจปฏิบัติตามคำสอน เพียงบางคนเท่านั้นที่กระทบผัสสะแล้ว เราต้องทำใจมาก ไม่เป็นไรครับ ทุกอย่างจะสงบ ต้องจบที่เรา อนุโมทนากับท่านๆที่ได้คลุกวงใน สาธุ สาธุ
สื่อธรรมะพ่อครู(การตำหนิ การชม) ตอน อย่ามาห้ามพ่อครูไม่ให้ตำหนิเสียให้ยากเลย
_สุพัฒน์ เบ้าวันดี · ผมก็ไม่ได้ว่าหลับตาหรือลืมตามันไม่เกี่ยว ผมว่าลืมก็ได้หลับก็ได้ อย่ามาอ้างว่าปฏิบัติมาหลายชาติแล้ว พูดให้คนเขาไม่เข้าใจ เขาไม่ได้ไปนั่งดูอยู่ด้วย ผมก็ยังไม่เชื่อว่าพระอรหันต์จะนั่งลืมตาทุกคนจะต้องมีหลับตาบ้าง ยืนเดินนั่งนอนได้ทั้งนั้น ท่านโพธิรักษ์มาจนถึงปลลายน้ำแล้วกลับไม่ได้ แต่ชอบความขัดแย้ง ทั้งทางโลก ทางธรรม ถ้าหลังพุทธปรินิพพานพระสาวกประกาศศาสนาแบบนี้ ศาสนาคงมาไม่ถึงปัจจุบันนี้แน่ ไม่เกี่ยวกับดีหรือไม่ดี
พ่อครูว่า…อาตมาไม่ได้อธิบายเรื่องดีหรือไม่ดี แต่อาตมาอธิบายเรื่องสุข เรื่องทุกข์ เรื่องดีหรือไม่ดีไม่ได้เน้น เพราะว่าดีหรือไม่ดีเป็นเรื่องสามัญของโลก ศาสนาไหนสามัญชนก็รู้ว่าต้องทำความดีแล้วงดเว้นทำความชั่ว ไม่ต้องมีศาสนา สามัญสำนึกเขาก็ทำกัน แต่ความสุขความทุกข์นี่สิ มีศาสนาเดียวคือศาสนาพุทธเท่านั้นที่สอน อันนี้เป็นเรื่องพิเศษ
_(โต้ตอบกูรูแป้ง)..ผมว่าคุณก็เกินไป จะยกอะไรมาอ้างอิงก็ขอให้มันอยู่ในหลักเกณฑ์ที่ชาวโลกเขารู้เรื่อง ไม่ใช่มาอ้างว่าการนั่งหลับตาพ่อครูท่านเคยทำมาแล้วหลายชาติ อภิโถ อภิถัง คุณเอาอะไรมาอ้างถ้าชาวโลกเขาฟังเขาจะว่าคุณมันเกินคนไป อยากจะเอาชนะอะไรของคุณ ผมว่าท่านโพธิรักษ์จ้วงจาบคนอื่นมันเป็นความผิดเท่านั้นแหละ อย่างอื่นไม่มีอะไรพิเศษหรอก.
พ่อครูว่า…อาตมาไม่ได้ไปจาบจ้วง แต่สิ่งที่เขาทำผิด อาตมาพูดก็ต้องตำหนิสิ่งผิด แต่ตำหนิด้วยเมตตา ไม่ได้ตำหนิเพื่อแย่งลาภยศ แต่ที่พูดนี้จะโดนคนมาตำหนิด้วยซ้ำ เช่นคุณว่ามาว่าอาตมาไปจาบจ้วงทำไม คุณจะใช้ภาษาว่าอาตมาจาบจ้วงก็ไม่เป็นไร ถ้าคำว่าจาบจ้วงหมายความแง่อกุศล แต่อาตมาไม่มีจิตอกุศล คำที่พาดพิงบุคคลนี้ อย่างที่ ในพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าว่าตำหนิอาจารย์ต่างๆท่านก็พูดถึง แต่จิตอกุศลท่านไม่มี แต่หากดูตามอาการ ก็ตีความไปเอง คุณอย่ามาห้ามเลย ที่อาตมาทำนี้คุณจะให้หยุดมันไม่ได้ผลหรอก อาตมาขอบอก
_เสรี สุขเกษม · ฟังเยอะๆให้รอบด้าน อย่าฟังนิดๆหน่อยๆแล้วด่วนสรุป น่าเห็นใจ
ผมท้าให้คุณลองพูดให้คนเลิกอบายมุขสัก 5 คนให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาคุยเรื่องอื่น ท่านทำได้ เทศน์ให้คนเลิกอบายได้เป็นร้อย มีหลักฐานตัวตนยืนยัน
_สุพัฒน์ เบ้าวันดี · ผมกำลังพูดถึงท่านโพธิรักษ์จาบจ้วงคนอื่น นี้คือประเด็นผมคุณมาท้าอะไรผม ก็ผมอ่านพระไตรปิฏกมา พฤติกรรมท่านโพธิรักษ์ มันผิดธรรมเพราะคำพูด อย่างอื่นไม่เกี่ยว วิธีการปฏิบัตินำคนมาปฏิบัติผมก็เห็นด้วยและชื่นชม เพราะเป็นแบบที่ดีเยี่ยม ไม่มีใครทำได้ แต่ที่ผิดก็นั่นแหละ ทำร้ายคนที่เขาไม่โต้ตอบ และท้ารบเขา ยังไงก็บาปก็ผิด คุณเข้าใจมั้ยลูกศิษย์เขากี่ล้านคนเขาจะรู้สึกอย่างไร ทั่วประเทศไทย พวกคุณอาจจะไม่กลัวรบเป็นรบ พวกคุณก็ยังโกรธผมเลยที่ผมว่าอาจารย์คุณ แล้วคุณว่ากล่าวจาบจ้วงอาจารย์คนอื่นแล้วจะไม่ให้เขาโกรธหรือ ผมรู้แต่ว่ามันผิดล้านเปอร์เซนต์ ไม่เป็นอย่างอื่น.
พ่อครูว่า…ความเห็นของคุณสุพัฒน์ก็เป็นความเห็นที่ดีปรารถนาดี อาตมาเข้าใจคุณแต่ขอละเมิดว่า อาตมาต้องแรงเพราะว่าในยุคนี้เป็นยุคที่คนมีความด้านมาก อาตมายืนยัน พระไตรปิฎกหลักฐาน ที่ทำนี้ก็ดูจะระคายผิวที่ด้านเข้าไปได้เรื่อยๆ บางคนใช้ศัพท์ว่าด้านตาใส หรือดื้อหนังหนา ก็แล้วแต่คล้ายๆกัน
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดินว่า..คุณสุพัฒน์ก็ปรารถนาดีไม่อยากให้พวกเราเดือดร้อน
พ่อครูว่า…คุณอย่าทำอย่างอาตมานะ คุณไม่มีบารมีเท่าอาตมาหรอก อาตมาทำอันนี้ได้เพราะบารมี ซึ่งเป็นของแต่ละคน ในความรู้สึกของคุณ คุณพูดถูกแต่คุณเอามาเทียบกับอาตมาแล้วจะให้ทำอย่างคุณ มันผิดฝาผิดตัว อาตมาก็มีสัปปุริสธรรมของอาตมาคุณก็มีของคุณ อาตมาทำมาก็ได้ผลไปเรื่อยๆ จนเป็นผลทุกวันนี้ อาตมาเห็นผลสำเร็จของอาตมา แต่คุณเข้าใจสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ สิ่งที่เป็นผลสำเร็จตามวิธีการและพฤติกรรมของอาตมาทำ มันจึงเป็นผล มันอธิบายยากกว่า อย่างนักมวย เขามีวิธีการชกต้องมีการดันการผลักการหลอกการชก ให้เขาชกแล้วเราก็บวกไปให้เกิดแรงมีประสิทธิภาพสูง อาตมาก็มีน้ำหนักในการให้เขาเข้ามาแล้วจะได้ยิงหมัดให้ได้แรงได้ตรง มันเป็นวิธีการความสามารถความเข้าใจของอาตมาซึ่งลอกเลียนได้ยาก อันนี้ลึกละเอียด ถ้าคิดว่าคุณเข้าใจแล้วก็คงไม่สามารถเข้าใจ อาตมาขอบอกคุณอย่าพูดเลยว่าไม่ให้อาตมาทำห้ามไม่ได้หรอก อาตมาขอบอกเลย คุณพูดมาเสียเวลาเปล่า แต่เขาจะเข้าใจแล้วจบหรือไม่ก็ไม่รู้นะ
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พระพุทธเจ้าหลับตาหรือลืมตานั่งบรรลุโพธิญาณ
_สราวุธ บุญญโก · คืนตรัสรู้ ก่อนพระพุทธเจ้าระลึกบุพเพสานุสติญาณ พระพุทธเจ้านั่งใต้ต้นโพธิ์ไม่ได้หลับตาใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า…เรื่องหลับตานี้มันเป็นประเด็นนะ หลับตานี้ ไม่ได้หมายความว่าหลับตาเฉยๆ แต่หมายถึงทำให้จิตเข้าไปอยู่ในภพภายในคุณตัดภพภายนอก คุณจะหลับตาหรือไม่หลับตา แต่ถ้าคนไม่รับรู้ภายนอกเลยคือหมายความว่าคุณหลับตาในความหมายหยาบๆ ความหมายอันลึกซึ้งคือคุณไม่ได้ใส่ใจในตาหูจมูกลิ้นกาย ไปเอาความรู้สึกไปอยู่ในภพภายใน อันนี้คือการปฏิบัติเชิงหลับตา ที่ถามมานี้พระพุทธเจ้าจะหลับตาหรือไม่หลับตาไม่มีปัญหา แม้แต่ลืมตาอาตมาสามารถทำจิตเข้าไปภายในไม่รับรู้ภายนอกก็ทำได้ ไม่เกี่ยวกับภายนอกก็ทำได้ไม่ต้องถึงพระพุทธเจ้าหรอก จะบอกว่าพระพุทธเจ้าหลับตาหรือลืมตาก็ไม่รู้ ถ้าหลับตาก็สบายๆตอนนั้นเป็นตอนกลางคืนด้วย จะนั่งหลับตาก็ได้ ในวันเพ็ญเดือน 6 15ค่ำยามหนึ่งยามสองยามสาม จะหลับตาหรือลืมตาก็ไม่มีปัญหาอะไร รายละเอียดจริงๆอาตมมาก็เข้าใจว่าคนไม่เข้าใจได้ง่ายๆหรอก อย่างของพระพุทธเจ้าท่านนั่งระลึก จะหลับตาหรือไม่ก็ได้ แล้วท่านก็ระลึกถึงของเก่าบุพเพนิวาสานุสติญาณ ท่านก็ระลึกถึงว่าท่านเป็นใครมาจากไหน ปฏิบัติมาแล้วกี่ชาติแล้วอย่างไร ท่านก็รู้ว่าท่านเคยผ่านมาแล้วจุตูปปาตญาณเคยมีมาอย่างนั้นถ้าเคยทำอย่างนั้น เป็นพระโพธิสัตว์มาจนบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วท่านก็รู้ของท่าน ท่านถึงชัดเจนเมื่อตรวจสอบตัวเองว่าจะทำงานตรวจสอบโลกแล้ว ว่าจะต้องประกาศหรือไม่ประกาศ ก็เหมือนเปิดตำรา ท่านก็ตรวจภูมิธรรมของท่านแล้วเอามาประกาศตามลำดับ นี่เป็นการขยายรายละเอียด
_ฝ่าตะวัน ศรีคำแซง · กราบนมัสการหลวงปู่ครับ ถึงจะไม่เข้าใจบ้างแต่ก็ฟังนะครับ
_พระเทียนทอง ธิติญาโณ ถามว่า
กิเลสมานะอัตตากับอัตตามานะเป็นตัวเดียวกันหรือเปล่า
เป็นไปได้หรือเปล่าที่กิเลสมานะอัตตาจะหมดก่อนโลกธรรม ( เคยได้ยินว่าเรียงลำดับกิเลสเป็นโลกอบายมุข,โลกกาม ,โลกธรรม และสุดท้าย โลกมานะอัตตา
คัจฉามิแปลว่าอะไรครับ
พ่อครูว่า…ก็เป็นอันเดียวกัน อัตตาก็กิเลสตัวหนึ่ง มานะก็กิเลสอีกตัวหนึ่ง เอาคำไหนขึ้นข้างหน้าหรือข้างหลังเท่านั้นเอง
คัจฉามิ… แปลว่า ขอเข้าถึง ขอเข้าไปหา ความเข้าถึง เช่น พุทธังสะระณังคัจฉามิ ขอเข้าถึงพระพุทธเป็นที่พึ่ง
กิเลสมานะอัตตาจะหมดก่อนโลกธรรมนั้น ขอยืนยันว่าคุณอย่ามาแย้งพระพุทธเจ้าเลย แม้แต่ในอุปกิเลส 16 มานะอัตตาก็อยู่ในข้อท้าย หมดกามก่อนอัตตามานะนั้นเป็นขั้นปลาย
_โค่ยไทย มาจากคำนี้ครับ koi อ่านว่า โคอิ แต่เวลาออกเสียงจะออกเสียงติดกัน เสียงจะออกเป็น โค่ย แปลว่า ปลาคาร์พ มารวมกับthai เป็น koithai ที่หมายถึง ไทย ก็แบบว่า ปลาคาร์พไทย ครับท่าน ชื่อเวบผมจึงชื่อ เวบ koithai.com ครับ
วันนี้ผมไปกินข้าวร้านประจำ เขาถามผมว่าเห็นผมไม่กินเนื้อสัตว์เหมือนเขา หมายถึงเขาก็ไม่กินเนื้อสัตว์ เขาเลยชวนคุยธรรมว่าเขาไปปฎิบัติธรรมที่ พุทธวัจนะ ผมก็เลยบอกว่า ที่นั่นนั่งหลับตา เดินจงกลม นี่ ของผมมาทางสันติอโศก สมาธิลืมตา เดินจงกลมก็เดินลงนาถอนหญ้า ไม่เดินเปล่าๆ เขาก็บอกว่า สันติอโศกเป็นลัทธินะ เอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาสอนแล้วแต่งเติมคำสอนของตัวเองเข้าไป ผมเลยบอกว่า พ่อครูสอนตามพระไตรปิฎกนะเท่าที่ฟังๆมา และเอาพระไตรปิฎกมาเทียบทุกครั้ง และชาวอโศกถือศีล5 แบบเคร่งครัดแถมไม่กินเนื้อสัตว์ทุกคนด้วยอบายมุขไม่มี ไม่หาเงินใส่ตัวเอง ไม่กอยโกย เขาฟังแล้วก็ผัดข้าวผมแบบกระแทกๆ
ขอถามว่าผมตอบแบบนี้ผิดไหมครับ
พ่อครูว่า…ถูกต้องแล้ว
ฝากประชาสัมพันธ์ค่ะ
_ท่านใดที่ต้องการเป็นสมาชิก นสพ.ข่าวอโศก ฉบับออนไลน์
โดยรับนสพ.ข่าวอโศก ผ่านช่องทาง ไลน์ (line)
สามารถติดต่อเป็นสมาชิกได้ที่ Asoke news/ข่าวอโศก เบอร์โทรศัพท์ 080-670-2600 หรือ
ID LINE / asoke.news หรือสแกน QR Code
ทางทีมงานจะส่งไฟล์ PDF และลิ้งค์เว็บ นสพ.ข่าวอโศกผ่านช่องทางไลน์ของท่านค่ะ
ท่านสามารถส่งข้อความนี้เพื่อช่วยกันเผยแพร่และช่วยส่งต่อข้อมูลให้กับผู้ที่ต้องการติดตามนสพ.ข่าวอโศกได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ
_สันติ ญาโนทัย · ขออนุญาตแสดงความเห็น เรื่องตลาดนัดบุญนิยม วันเสาร์ อาทิตย์ครับ น้ำดื่มขายขวดละ10บาท เท่าบนห้างสรรพสินค้าฯ เซเว่นฯขาย7บาทครับ ช่วยเรียนกรรมการผู้ดูแลตลาดด้วยครับ
พ่อครูว่า…ผู้ดูแลตลาดช่วยกันดูด้วย หากทำอย่างนี้ก็ขอให้ออกไป แล้วพวกเรากันเองด้วยก็คิดค่าเช่ากันแพง อาตมาฟังแล้วก็สลดใจกันจริงๆว่าทำไมต้องขี้โลภกันหนักหนาแทนที่จะเห็นอกเห็นใจกันแล้วช่วยกันทำให้ถูกลงเป็นตัวอย่างของโลกเขาบ้าง เห็นแก่ได้อะไรกันนักหนา มันไม่พอกินพอใช้กันหรืออย่างไร มันไม่ขาดแคลนขนาดนั้นหรอกอย่าไปทำ พฤติกรรมอย่างนี้ออกไปสู่โลกมันเห็นได้ง่าย มันเสียเรา ต้องทำให้สอดคล้องกับสัจจะที่เราตั้งใจทำกัน
ก็สอนพวกเราเองในตัวไปด้วย
ลสื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน บรรลุอรหันต์ได้ต้องเข้าใจนิยาม 5
_พ่อครูเทศน์เรื่องนิยาม 5 นี้เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าทรงค้นพบผู้อื่นไม่สามารถรู้ได้เพราะสิ่งที่วิทยาศาสตร์รู้เป็นความรู้เฉพาะเช่นรู้ว่าอุตุก็คือความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้าส่วนผู้ที่รู้ถึงการเจริญเติบโตของพืชแบ่งประเภทออกไปเรื่องจิตนักวิทยาศาสตร์ไม่ชัดเจนและความสัมพันธ์ของอุตุพืชจิตนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นการพัฒนากันอย่างไร คือไม่รู้ธรรมนิยาม ตัวอย่างเช่น การนั่งหลับตาของฤาษี เป็นการอธิบายได้ว่าจากการที่ฤาษีเป็นจิตนิยามแต่สามารถบังคับตัวเองให้เป็นพีชะหรืออุตุนิยามได้ ถูกต้องหรือไม่คะ
พ่อครูว่า…เขาทำไม่ได้
หรอกมันได้แค่สัตตาวาส กลายเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ทำจิตให้เป็นพืชเป็นอุตุไม่ได้ เพราะว่ามันไม่ได้มีการสัมผัสสัมพันธ์ครบ ทั้งอุตุ ดินน้ำไฟลมภายนอก ทั้งจิตที่มันเริ่มปรุงแต่งระดับพืช แล้วก็ปรุงแต่งระดับจิต ผู้รู้ทั้งอุตุ จิต พีชะ แล้วมันมีการเชื่อมโยงต่อกันอย่างไร แล้วก็จัดกรอบปริจเฉทขนาดได้ นั่นคือผู้ปฏิบัติเรียนรู้กรรมนิยามแล้วก็ทำให้เกิดการเป็นธรรมนิยาม พระอรหันต์สามารถทำให้จิตเป็นอุตุได้ ในจิตนะ ทำให้จิตเป็นจิตได้อุตุได้ พีชะได้ ให้ทรงอยู่เป็นธรรมะโดยกรรมการกระทำ แม้ในที่สุดทำให้ตายเป็นปรินิพานเป็นปริโยสานก็ทำให้จิตแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมได้ เป็นนักวิทยาศาสตร์ของพระพุทธเจ้าที่สามารถทำจิตของตัวเองให้มันเป็นอย่างนั้นได้จริงๆจึงเป็นผู้ที่สามารถปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ ถ้าผู้ไม่มีความรู้จะเข้าใจอย่างที่อาตมาพูดนี้ไม่ได้เลยนะ ถ้าไม่รู้ว่าอุตุเป็นอย่างไร พีชะเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร หากอาตมาไม่พูด ในวงการศาสนาก็ไม่รู้กันได้เลย จเข้าไม่ถึงหรอกพอไม่เข้าใจก็ปฏิบัติไม่ได้ ขนาดที่อาตมาพูดนี้พวกเราสามารถเข้าใจ เราต้องปฏิบัติถึงขนาดทำให้จิตของเราเป็นอุตุธาตุได้ คุณก็ต้องศึกษา ต้องเกี่ยวข้องกับโลกต่างๆ เช่นโลกอบาย ที่คุณเคยเป็นเคยมี ถ้าไม่เคยเป็นเคยมีก็เอาอย่างที่ยากที่สุดของคุณนั่นแหละ ปฏิบัติธรรมนั้นมันก้าวหน้าอย่างไร แต่ก่อนอย่างนี้มันจะต้องเสพติดอยู่ไปคลุกคลีเกี่ยวข้อง แล้วได้เป็นสวรรค์เป็นนรกกันอยู่เดี๋ยวนี้มันไม่มีแล้วเดี๋ยวนี้มีหิริโอตตัปปะ เข้าใจแล้วมีศรัทธามีปัญญาเข้าใจแล้วไม่สุขไม่ทุกข์กับมันแล้ว ถึงสัมผัสเดี๋ยวนี้ก็ไม่สุขไม่ทุกข์ นั่นคือจิตใจของคุณหลุดพ้นมาจากโลกที่ต่ำของคุณเป็นโลกอบายมุขมันมีไหมล่ะ คุณตรวจสอบตัวเองว่ามันมีไหม คุณจะรู้ว่าเช่นนี้เองคือจิตใจมันเป็นอุตุแล้ว ไม่ปรุงแต่งกับมันแล้ว มันจะรู้จักความจริงตามความเป็นจริงเป็นธาตุจิตที่สัมผัสแล้วก็รู้เข้าใจอันนี้เป็นพีชะอันนี้เป็นอุตุ แม้พืชเป็นพีชะตัดจากต้นมันจะว่ามันเป็นพืชก็ไม่ได้แล้ว หมดชีวะแล้ว เป็นอุตุ มีแต่จะสลายเป็นอุตุ หากไม่มีเหตุปัจจัยให้มันไปต่อได้บางอย่างก็อาศัยน้ำอาศัยอากาศก็แล้วแต่พืชบางชนิด แต่ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยมันก็สลายเป็นอุตุไป แต่ถ้ามันยังมีเหตุปัจจัยอยู่มันต่อเนื่องอยู่ยังมีรากก็ยังมีต้นก็ยังมีใบก็ยังมีมันก็เจริญตามลักษณะของพีชะของมัน
หากทำจิตให้เป็นพีชะ จิตก็ไม่สุขไม่ทุกข์ นี่เป็นเกณฑ์ของศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าตรัสให้เราทำจิตให้เป็น พีชะได้ อันใดที่แยกได้เป็นอุตุก็ทำได้ อันใดทำให้เป็นพีชะได้ก็อาศัยทั้งอุตุทั้งพีชะได้ ก็สำเร็จมีกรรมมีธรรมะเป็นอรหันต์
พระพุทธเจ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับสุดยอด แล้วทำได้จริงๆที่อาตมาพูดนี้อาตมามีสิ่งเหล่านี้เอาของตัวเองมาขยายให้ฟังให้ชัดเจนเป็นภาษาที่ง่าย เพราะฉะนั้นพระอรหันต์จะต้องมีความเป็นจริงอย่างนี้ อาตมานี้ถึงบอกว่าอาตมาเป็นพระอรหันต์ พูดอธิบายสภาวะที่ไม่สุขไม่ทุกข์แล้วแล้วก็อาศัยชีวิตนี้มีอยู่เป็นอยู่เท่านั้นเองเรื่องดีชั่วนั้นเข้าใจแน่นอนแล้วเรื่องความสุขความทุกข์นั้นไม่มีแล้ว อาตมามีอย่างนี้จึงอธิบายได้ชัดเจน เรียนรู้และปฏิบัติได้อย่างนี้คุณก็เป็นพระอรหันต์ ถ้าทำได้อย่างที่อาตมาพูด เพราะอาตมาเป็นอรหันต์พูดความเป็นอรหันต์ อธิบายความเป็นอรหันต์ให้ฟัง คนที่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติอย่างไม่สัมมาทิฏฐินั้นไม่ได้อย่างอาตมาหรอก นั่นเป็นอรหันต์เก๊ แล้วก็จะหาว่าอาตมาไปว่าเขา จะไม่ว่าได้อย่างไร เพราะมันผิดและเขาพูดกันผิดๆ แล้วจะมาห้ามอาตมาไม่ให้ต้านไม่ให้ตำหนิแต่อาตมาไม่หยุดหรอก จะบอกว่ามีเขามีลูกศิษย์ลูกหา อาตมาก็ไม่มีปัญหาแต่อาตมาต้องช่วยคน คนไม่มีภูมิอย่างอาตมาคุณทำอย่างอาตมาไม่ได้หรอกจริงๆ นี่ไม่ได้พูดข่มอะไร อาตมาต้องทำหน้าที่ของอาตมา
พระพุทธเจ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่มากแยกธาตุที่อยู่ในตัวจิตใจคนแล้วจัดการควบคุมได้ด้วย
สม.กล้าข้ามฝัน
ส.แสนดิน
พ่อครูว่า…มีข้อความของชาวบ้านราชฯว่า…ดิฉันเข้าใจว่าทำไมพ่อครูจะต้องพูดถึงการปฏิบัติที่ผิดตำหนิแล้วตอนนี้อีก เพราะว่าพ่อครูจะต้องประกาศธรรมะที่ถูกต้องให้ยืนหยัดไปถึงอีก 5000 ปี มรรคมีองค์ 8 ที่จะต้องลืมตาปฏิบัติ แล้วชี้บอกทางผิดคือนั่งสมาธิหลับตาเป็นทางที่ผิดเป็นมิจฉาผล
ดูจากชาวบ้านราชฯช่วงนี้เห็นมีคนใหม่มากหน้าหลายตาเพิ่มขึ้นเป็นผลจากความเพียรพยายามของพ่อครู สู้ต่อไปค่ะพ่อครู
พ่อครูว่า..แค่มรรคมีองค์ 8 ถ้าเข้าใจก็จะไม่หลับตาปฏิบัติ แล้วก็จะไม่มาขัดแย้งอาตมาอย่างนี้ เพราะอาตมาเจตนาดีบอกเป้าหมายที่สำคัญให้ ไม่ให้เลอะเลื่อนไหลไป ไปเป็นมิจฉาผล พูดแล้วก็นึกถึงคำอธิบายของมหาบัว อ่านแล้วก็รู้สึกว่ามันพิสดาร ขึ้นตีลังกาเอาให้มันตายอะไรต่ออะไร เป็นภาษาที่โอ้โห อ่านแล้วก็น่าสงสารว่ามันคือลักษณะของคนป่วง คนบ้าเพ้อเจ้อเลอะเทอะน่าสงสาร
มาฟังธรรมะที่วัดอโศกกันบ้าง ตอนเย็นทุกเย็น
พ่อครูว่า…พูดถึงสามัญผลต่อ
จรณะ 15 วิชชา 8 เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ไม่มีใครตรัสรู้ได้ ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าแล้วไม่มีใครรู้ได้
สังวรศีล
อปัณกธรรม 3 หลักปฏิบัติที่ไม่ผิด 3 สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ เอาหลักปฏิบัติ 3 ข้อนี้ไปจับสำนักต่างๆที่สอนให้ปฏิบัติได้เลย ซึ่ง 3 ข้อนี้เป็นหลักปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ หากปฏิบัตินอกทั้ง 3 ข้อนี้ก็ผิด ต้องมีครบ 3 ข้อนี้ด้วย มีสำรวมอินทรีย์ ต้องสำรวมทวาร 6 ด้วย ไม่ใช่ไปเอาทวารเดียวหลับอยู่ภายใน
แล้วปฏิบัติกับสิ่งที่เป็นอุปโภคบริโภค ปฏิบัติในขณะสัมผัสกับเครื่องกินเครื่องใช้ ไม่มีอะไรนอกไปกว่านี้หรอก แล้วก็ลดกิเลสจากสัมผัสเหล่านี้ให้ได้
เมื่อไม่เกิดสัทธรรม 7 ฌานก็ไม่ใช่ของศาสนาพุทธ หากปฏิบัติแล้วเกิด สัทธรรม 7 จะเกิดฌาน 1 2 3 4 แล้วมีวิชชา 8 เกิด
มาถึงคำว่า ฌาน ตัวนี้ จึงขอสะกิดเตือนคนไปนั่งหลับตาปฏิบัติฌาน มันเป็นฌานทั่วไปของสาธารณะเดียรถีย์นอกรีตไม่ใช่ฌานของพุทธ
สามัญผลสูตร ในยุคพระพุทธเจ้ามี 6 สำนักใหญ่ แต่ยุคนี้มี ไม่รู้กี่ 6 ล้านสำนัก พระพุทธเจ้าตรัสกับพระเจ้าอชาตศัตรูว่าไปพบมากี่สำนัก
พระเจ้าอชาตศัตรูก็ถามว่า การปฏิบัติของท่านทำให้เกิดการเจริญมีมรรคผลอย่างไร แต่เจ้าสำนักใหญ่ 6 สำนักตอบไม่เข้าเป้า ถามมะม่วงไปตอบขนุนสำมะลอ
ครูสญชัยเวลัฏฐบุตร โง่งมงายกว่าเขาทั้งหมด
ฉะนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูสญชัย เวลัฏฐบุตร กลับตอบส่ายไปเปรียบเหมือนเขาถามถึงมะม่วง ตอบขนุนสำมะลอ หรือเขาถามถึงขนุนสำมะลอ ตอบมะม่วงฉะนั้น หม่อมฉันมีความดำริว่า บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านี้ ครูสญชัย เวลัฏฐบุตร นี้โง่กว่าเขาทั้งหมด งมงายกว่าเขาทั้งหมด เพราะเมื่อหม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ อย่างไรจึงกลับตอบส่ายไป หม่อมฉันมีความดำริว่า ไฉน คนอย่างเรา จะพึงมุ่งรุกรานสมณะหรือพราหมณ์ผู้อยู่ในราชอาณาเขต ดังนี้ แล้วไม่ยินดี ไม่คัดค้านภาษิตของครูสญชัย เวลัฏฐบุตร ไม่พอใจแต่ก็มิได้เปล่งวาจา แสดงความไม่พอใจ ไม่เชื่อถือ ไม่ใส่ใจถึงวาจานั้น ลุกจากที่นั่งหลีกไป.
สันทิฏฐิกสามัญญผลปุจฉา
[๑๐๐] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันขอทูลถามพระผู้มีพระภาคบ้างว่า ศิลปศาสตร์เป็นอันมากเหล่านี้ คือพลช้าง พลม้า พลรถ พลธนู พนักงานเชิญธง พนักงานจัดขบวนทัพพนักงานจัดส่งเสบียง พวกอุคคราชบุตร พลอาสา ขุนพล พลกล้า พลสวมเกราะหนังพวกบุตรทาส ช่างทำขนม ช่างกัลบก พนักงานเครื่องสรง พวกพ่อครัว ช่างดอกไม้ ช่างย้อมช่างหูก ช่างจักสาน ช่างหม้อ นักคำนวณ นักนับคะแนน หรือศิลปศาสตร์เป็นอันมากแม้อย่างอื่นใดที่มีคติเหมือนอย่างนี้ คนเหล่านั้น ย่อมอาศัยผลแห่งศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์เลี้ยงชีพในปัจจุบัน ด้วยผลแห่งศิลปศาสตร์นั้น เขาย่อมบำรุงตน มารดาบิดา บุตรภริยา มิตรอำมาตย์ ให้เป็นสุขอิ่มหนำสำราญ บำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผลอย่างสูง เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดีมีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ฉันใด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์อาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน เหมือนอย่างนั้นได้หรือไม่ พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อาจอยู่ มหาบพิตร แต่ในข้อนี้ อาตมภาพจะขอย้อนถามมหาบพิตรก่อน โปรดตรัสตอบตามที่พอพระทัย มหาบพิตรจะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉนสมมติว่า มหาบพิตรพึงมีบุรุษผู้เป็นทาสกรรมกรมีปกติตื่นก่อน นอนทีหลังคอยฟังพระบัญชาว่าจะโปรดให้ทำอะไร ประพฤติถูกพระทัย กราบทูลไพเราะ คอยเฝ้าสังเกตพระพักตร์ เขาจะมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า คติของบุญ วิบากของบุญ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา ความจริงพระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหีบุตรพระองค์นี้เป็นมนุษย์ แม้เราก็เป็นมนุษย์แต่พระองค์ท่านทรงเอิบอิ่มพรั่งพร้อมบำเรออยู่ด้วยเบญจกามคุณดุจเทพเจ้า ส่วนเราสิเป็นทาสรับใช้ของพระองค์ท่าน ต้องตื่นก่อนนอนทีหลัง ต้องคอยฟังพระบัญชาว่าโปรดให้ทำอะไรต้องประพฤติให้ถูกพระทัย ต้องกราบทูลไพเราะ ต้องคอยเฝ้าสังเกตพระพักตร์ เราพึงทำบุญจะได้เป็นเหมือนพระองค์ท่าน ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต
สมัยต่อมา เขาปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิตเมื่อบวชแล้ว เป็นผู้สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจอยู่ สันโดษด้วยความมีเพียงอาหารและผ้าปิดกายเป็นอย่างยิ่ง ยินดียิ่งในความสงัด ถ้าพวกราชบุรุษพึงกราบทูลถึงพฤติการณ์ของเขาอย่างนี้ว่า
ขอเดชะ ขอพระองค์พึงทรงทราบเถิด บุรุษผู้เป็นทาสกรรมกรของพระองค์ผู้ตื่นก่อนนอนทีหลัง คอยฟังพระบัญชาว่าจะโปรดให้ทำอะไร ประพฤติถูกพระทัย กราบทูลไพเราะคอยเฝ้าสังเกตพระพักตร์อยู่นั้น เขาปลงผมและหนวดนุ่งผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิตเมื่อบวชแล้ว เป็นผู้สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจอยู่ สันโดษด้วยความมีเพียงอาหารและผ้าปิดกายเป็นอย่างยิ่ง ยินดียิ่งในความสงัด มหาบพิตรจะพึงตรัสอย่างนี้เทียวหรือว่า เฮ้ยคนนั้น จงมาสำหรับข้า จงมาเป็นทาสและกรรมกรของข้า จงตื่นก่อนนอนทีหลัง จงคอยฟังบัญชาว่าจะให้ทำอะไร ประพฤติให้ถูกใจ พูดไพเราะ คอยเฝ้าสังเกตดูหน้าอีกตามเดิม.
พระเจ้าอชาตศัตรูทูลว่า จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้เลย พระเจ้าข้า อันที่จริงหม่อมฉันเสียอีกควรจะไหว้เขา ควรจะลุกรับเขา ควรจะเชื้อเชิญเขาให้นั่ง ควรจะบำรุงเขาด้วยจีวร บิณฑบาตเสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ควรจะจัดการรักษาป้องกันคุ้มครองเขาอย่างเป็นธรรม.
มหาบพิตร จะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้น สามัญผลที่เห็นประจักษ์จะมีหรือไม่?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น สามัญผลที่เห็นประจักษ์มีอยู่อย่างแน่แท้.
ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน ซึ่งอาตมภาพบัญญัติถวายมหาบพิตรเป็นข้อแรก.
สันทิฏฐิกสามัญญผลเทศนา
[๑๐๑] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์อาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบันแม้ข้ออื่น ให้เหมือนอย่างนั้นได้หรือไม่?
อาจอยู่ มหาบพิตร แต่ในข้อนี้ อาตมภาพจะขอย้อนถามมหาบพิตรก่อน โปรดตรัสตอบตามที่พอพระทัย มหาบพิตรจะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน สมมติว่า มหาบพิตรพึงมีบุรุษเป็นชาวนา เป็นคหบดี ซึ่งเสียค่าอากรเพิ่มพูนพระราชทรัพย์อยู่คนหนึ่ง เขาจะมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า คติของบุญ วิบากของบุญ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา ความจริง พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหีบุตรพระองค์นี้ เป็นมนุษย์ แม้เราก็เป็นมนุษย์ แต่พระองค์ท่านทรงเอิบอิ่มพรั่งพร้อมบำเรออยู่ด้วยเบญจกามคุณดุจเทพเจ้า ส่วนเราสิเป็นชาวนา เป็นคหบดีต้องเสียค่าอากรเพิ่มพูนพระราชทรัพย์ เราพึงทำบุญ จะได้เป็นเหมือนพระองค์ท่าน ถ้ากระไรเราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต
สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว เป็นผู้สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจ อยู่สันโดษด้วยความมีเพียงอาหารและผ้าปิดกายเป็นอย่างยิ่ง ยินดียิ่งในความสงัด ถ้าพวกราชบุรุษพึงกราบทูลพฤติการณ์ของเขาอย่างนี้ว่า ขอเดชะ ขอพระองค์พึงทรงทราบเถิด บุรุษผู้เป็นชาวนา เป็นคฤหบดีซึ่งเสียค่าอากรเพิ่มพูนพระราชทรัพย์ของพระองค์อยู่นั้น เขาปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว เขาเป็นผู้สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจอยู่ สันโดษด้วยความมีเพียงอาหารและผ้าปิดกายเป็นอย่างยิ่ง ยินดียิ่งในความสงัด มหาบพิตรจะพึงตรัสอย่างนี้เทียว หรือว่า เฮ้ย เจ้าคนนั้น เจ้าจงมา จงเป็นชาวนา เป็นคหบดีเสียค่าอากรเพิ่มพูนทรัพย์ตามเดิม.
จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้เลย พระเจ้าข้า อันที่จริงหม่อมฉันเสียอีกควรจะไหว้เขา ควรจะลุกรับเขา ควรจะเชื้อเชิญเขาให้นั่ง ควรจะบำรุงเขาด้วยจีวร บิณฑบาต เสนานะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ควรจะจัดการรักษาป้องกันคุ้มครองเขาอย่างเป็นธรรม.
มหาบพิตร จะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้น สามัญผลที่เห็นประจักษ์ จะมีหรือไม่?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น สามัญผลที่เห็นประจักษ์มีอยู่อย่างแน่แท้.
ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน ซึ่งอาตมภาพบัญญัติถวายมหาบพิตรเป็นข้อที่สอง.
[๑๐๒] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์อาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบันแม้ข้ออื่น ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์เหล่านี้ได้หรือไม่?
อาจอยู่ มหาบพิตร ถ้าอย่างนั้น มหาบพิตรจงคอยสดับ จงตั้งพระทัยให้ดี อาตมภาพจักแสดง.
ครั้นพระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหีบุตร ทูลสนองพระพุทธพจน์แล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรมหาบพิตร พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว
(สุคโต พ่อครูว่า..จากจุดที่บรรลุแล้วจะไปต่อไปมีแต่ดีไม่มีตกต่ำเลยมีแต่ดีถ่ายเดียวเรียกว่าสุคโต เสด็จไปดีแล้วโลกียะวน ดีกับชั่ว แต่ เมื่อมาปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าแล้วจะเริ่มต้นจุดแรกคือพ้นไปจากโลกของอบายมุข สูงไปกว่านั้นก็หมดกามเป็นอนาคามีไม่วนเรื่องกาม ก็ล้างรูปภพอรูปภพอีก สุดท้ายสุคโต ไม่วนไปโลกอบาย โลกกาม รูปภพอรูปภพอีกแล้วไม่วนเวียนกับดีชั่ว สุข ทุกข์ ของพุทธทำได้ถึงดีไม่มีชั่วตลอดไปและไม่มีสุขไม่มีทุกข์ด้วยเป็นโลกุตระซ้อนขึ้นไปอีก)
ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว
(พ่อครูว่า..ไม่มีโศกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาสะ ขออภัยขอถามคุณเคยเห็นอาตมาโศกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาสะไหม…ก็ไม่ อาตมาพูดไปนี้อวดอุตริมนุสธรรมเพื่อบอกว่าเป็นคนก็เป็นได้เบิกบานสำราญใจ อย่าว่าแต่อาตมาเลย ในสังคมชาวอโศกก็มีน้อย ใครยังมีอยู่ก็จะรู้ว่าเราลดน้อยลง แต่ก่อนเคยเคืองโกรธอย่างไร แต่ตอนนี้ก็ไม่ค่อยมีหรือไม่มีแล้ว ไม่มี โศกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาสะ
โศก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสะ มันไม่มีหรือมีก็เบาลงน้อยลง)
เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว
(พ่อครูว่า..โลกอบายเขาก็มีกันเต็มโลก แต่เราไม่ได้ไปติดไปเสพ ไม่ได้สังคณิกะ แม้แต่จิตพรหมโลกก็ไม่ติด โดยเฉพาะพรหมแบบโลกียะหรือเทวนิยมก็ไม่ไปติด แต่ทำจิตแบบพรหมที่เป็นพุทธทำจิตให้สะอาดปราศจากกิเลสได้)
ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่งย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้ว ได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลีบรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว สำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.
-
ถึงพร้อมด้วยศีล
- คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย
- ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ
- เป็นผู้สันโดษ.
[๑๒๑] ดูกรมหาบพิตร ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้ ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เลย
เพราะศีลสังวรนั้นเปรียบเหมือนกษัตริย์ผู้ได้มุรธาภิเษก กำจัดราชศัตรูได้แล้ว ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะราชศัตรูนั้น ดูกรมหาบพิตร ภิกษุก็ฉันนั้น สมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้แล้ว
ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะศีลสังวรนั้น ภิกษุสมบูรณ์ด้วยอริยศีลขันธ์นี้ ย่อมได้เสวยสุขอันปราศจากโทษในภายใน ดูกรมหาบพิตร ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล.
พ่อครูว่า…
-
ถึงพร้อมด้วยศีล คือศีลอันเป็นอาริยะ ต้องเข้าถึงใจด้วย เช่นไม่ฆ่าสัตว์ คุณต้องอ่านจิตว่ามีหิริโอตตัปปะไหม มีจิตชอบ รัก หรือชังหรือไม่ถ้ามีจิต ทั้งรักทั้งชัง ที่ดูดทั้งผลัก คุณจะมีความละอาย เกี่ยวกับสัตว์ คุณพบสัตว์ก็จะมีความรู้อย่างอาตมาว่า