620902_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 67
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1uEjg6HKOrrma3veLF6Lgk7ujXmjGeWB9Wp1oHt2XvUg/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1ZWG5mRxrH5E8rm4HBpe8FchY9-XPDT_T
ดูยูทูปที่
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562 ที่บวรราชธานีอโศก รายการนี้พูดคุยตามประสาพ่อๆลูกๆ หลานๆ เหลนๆ หากอาตมามีลูกก็น่าจะอายุ 68 ปีแล้ว เดี๋ยวนี้เขาก็ยังมีชีวิตอยู่นะ เป็นเรื่องของวิบากคน เล่นตลกกับคนเยอะ อาตมาก็เผชิญกับวิบากเป็นไป ก็ได้รู้ความจริงของตัวเองว่าจิตของเรามีจิตที่ดี ดีอยู่ตลอด แต่ว่ารักโลภโกรธหลง ก็เป็นสิ่งที่ได้พิสูจน์ตามวิบากเห็นเลยนะว่าเป็นคนจิตดี นี่ไม่ได้พูดด้วยความหลงตัวเอง แต่เอาความจริงวิชาการมาพูด เพราะว่าทุกวันนี้อาตมาพูดแต่ความจริง แต่คนเขาก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่เชื่อ อาตมาก็ยืนยันว่าพูดแต่ความจริง อย่างอาตมาบอกว่าอาตมาเป็นอรหันต์ เขาก็ไม่เชื่อกัน ซึ่งอาตมาก็ไม่มีปัญหาเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหา เพราะว่าอาตมาพูดความจริง ก็ยืนยันว่าตัวเองเป็นอะไร อรหันต์ต้องดูตามอย่างที่อาตมาเป็น ดูให้ละเอียด อรหันต์เก๊ นั้นมีลักษณะอย่างไร
ทุกวันนี้อาตมาสบายใจเพราะเอาพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ยังดีเอามายืนยันอ้างอิงได้ชัดเจนเลย ซึ่งมันเป็นเรื่องลึกซึ้งเป็นเรื่อง อย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
คนถามว่าอาตมารู้ได้อย่างไรว่าตัวเองเป็นอรหันต์
ถ้าหากอาตมาไม่มีความจริงเหล่านี้ในตัวเองแสดงความจริงอรหันต์ แล้วจะบอกความจริงว่าตัวเองเป็นอรหันต์ได้อย่างไร พูดได้อย่างอาจหาญแกล้วกล้าจริงจังคมชัดแข็งแรงไม่มีเหยาะแหยะ ไม่มีโป้งป้างเวอร์ๆเหมือนอย่างมหาบัวว่า ผู้มีปฏิภาณฟังให้ดีๆจะเข้าใจลักษณะ ภาษากับสภาวะ ศึกษาดีๆแล้วจะรู้
ขออธิบายนิดนึง ว่า อาตมารู้ว่าตัวเองเป็นอรหันต์ได้อย่างไร พูดเป็นภาษาธรรมดานะ อาตมารู้ได้ว่าอาตมาเป็นอรหันต์เพราะว่าอาตมาอ่านใจตัวเองเป็น อ่านใจตัวเองออกถึงอาการจิตเจตสิกรูปต่างๆ กามจิต รูปจิต อรูปจิตต่างๆ
เข้าใจอ่านออกเลยว่าโลกของกามเป็นอย่างไร รูป อรูปเป็นอย่างไร แล้วชาตินี้มีลิงลมข้าวพอง ก็มีอยู่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ความโกรธตั้งแต่เป็นฆราวาสนั้นไม่มี แต่มีกามบ้าง ก็เป็นอีกคู่รัก ตัดเสร็จแล้วต้องเผชิญกับวิบาก ก็ยิ่งเห็นเป็นนิทาน เป็นเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย ให้เราเห็นชัดเจนจริงๆเลยว่าจิตใจของเราเป็นจิตที่ได้ฝึกมาดีแล้วมันก็ดีต่อไป อาตมาก็ไม่ได้รู้ตัวเองก่อนหรอก แต่มันเป็นอย่างนั้น ยิ่งผ่านมาถึงปัจจุบันนี้ 40 กว่าปีแล้ว จิตใจที่ไม่มีกิเลส กิเลสเป็นอย่างไรก็รู้จักอาการกิเลสหยาบกลางละเอียด รู้จริงๆว่าเราไม่มีอาการอย่างนี้ มันมีนิดๆหน่อยๆเป็นลิงลมอมข้าวพอง แต่เป็นของคนอื่นเขามีอย่างหยาบเรามีเล็กๆน้อยๆอย่างว่า มันจึงไม่มีวิบากในชาตินี้ที่ต้องพัวพันจนไม่มีใครปล่อย ทั้งสายราคะทั้งสายโทสะ อาตมาก็ทำได้โดยไม่ยาก ง่าย แต่ละคนแต่ละคนที่ผ่านมาพัวพันเกี่ยวข้องกัน มันไม่มีอะไรรุนแรงไม่มีอะไรโหดร้าย ไม่มีอะไรที่จะต้องมาไม่ได้ ก็มาได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก
นอกจากจุดที่มีกิเลสก็รู้แล้วเราก็ทำจิตใจของเราไม่ให้มีกิเลสได้ จิตที่จะแบ่งโลกุตระแบ่งโลกียะ เราก็ชัดเจน ซึ่งทุกวันนี้เขาไม่รู้กัน เขาแบ่งไม่เป็นจิตใจแบบโลกุตระเป็นอย่างไรเขาอธิบายไม่ได้ด้วยโลกียะเป็นอย่างไร แบ่งมโนปวิจาร 18 18 อาตมายิ่งชัด นำมาอธิบายให้พวกเราเข้าใจแล้วปฏิบัติได้ด้วย
แล้วความเป็นอุเบกขา 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
อาตมาก็เอามาอธิบายยืนยัน แม้แต่ศึกษารูปนามศึกษาวิชชาจรณะ 15 จรณะ 15 วิชชา 8 แบ่งเป็น ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นอย่างไรชัดเจน อาตมาก็เอามาอธิบายตามที่มีความสามารถเก่งเท่านี้ และพยายามจะอธิบายให้ดีขึ้นอีก
ในความเป็นปฏิจจสมุปบาทเป็นอย่างไร อวิชชาและมีสังขารเป็นวิญญาณต้องเรียนรู้เรื่องนามรูป นามรูปจะเกิดได้ต้องมีเวทนา ก็ศึกษาขยายเวทนา เป็นเวทนา 108 ก็จะรู้จักกายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขารอย่างชัดเจน แล้วเราก็รู้ถึงภพชาติ แม้แต่ชาติ 5 ชาติ สัญชาติ โอกกันตะ นิพพัตติ อภินิพพัตติ อาตมาก็ชัดเจนเอามาขยายให้ฟังแยกโลกียะแยกโลกุตระ
ถ้าสามารถจะแยก เคหสิตเวทนากับเนกขัมสิตตเวทนา เราก็จะสามารถทำนิพพัตติ อภินิพพัตติได้ หยั่งลงจนถึงที่สุดเป็นอรหันตผล
อาตมาชัดเจนเอามาอธิบายได้ และอธิบายไปยิ่งชัดเจนในตนเอง อธิบายไปก็ไม่ใช่ไม่มีคนรู้เรื่องเลยมึนตื้อ แต่กลับกลายว่ามีคนเข้าใจได้ แม้ในยุคกึ่งพุทธกาลมันเสื่อมไปแล้วอาตมาก็เอามายืนยันได้ อาตมาเป็นสยังอภิญญา เป็นสัตบุรุษผู้นี้ที่เป็นไก่ตัวพี่เจาะกระเปาะไข่ออกมาได้ แล้วเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาประกาศอธิบายได้ อาตมาก็ประกาศว่าโพธิสัตว์ผู้พี่อยู่ที่ไหนมาหาน้องหน่อย ถ้าเป็นโพธิสัตว์ด้วยกันก็จะอธิบายได้เหมือนกัน ถ้าเป็นผู้พี่ในยุคนี้ก็ต้องทำได้ยิ่งกว่าอาตมา มีหมู่กลุ่มมีผู้ที่บรรลุธรรม อธิบายโลกุตระชัดเจนได้เด่นกว่าอาตมาใช่ไหม แต่นี่ก็ไม่เห็นมีใคร อาตมาก็ไม่ได้มาหลงตัวตนอยู่คนเดียว ว่าตัวเองเล่นคนเดียวไม่มีใครเหนือ ก็เหนือได้แต่อยู่ที่ไหนล่ะในยุคนี้ กาละนี้อยู่ที่ไหน ที่พูดไม่ใช่ท้าทายแต่พูดความจริงให้กันฟัง
รู้จักจิตเจตสิกต่างๆกิเลสมีหรือไม่มีแล้วมั่นใจว่าจะอยู่ให้นาน ๆ เพื่อให้พวกคุณหรือใครๆก็แล้วแต่พิสูจน์อาตมา พิสูจน์เลย เอาตำรามากาง วัดไปเลย ยืนยันเทียบอาตมากางพระไตรปิฎกใส่เลย อาตมาเพิ่งเห็นจริงว่าสัตบุรุษอธิบายสัจจะพระพุทธเจ้านี้ยังมีอยู่
ตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ ตราบนั้นโลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ ก็เข้าใจเห็นจริงพิสูจน์ดู อรหันต์เป็นอย่างนี้ ไม่ได้ปิดบังไม่ได้อำพราง แต่ก็ค่อย ๆ เปิดเผย ขณะนี้ในพวกเราก็มีอรหันต์เป็น ๆ อนาคามี อรหันต์จริงๆก็มีหลายขั้น อรหันต์ในพระโสดาบันอรหันต์ในพระสกิทาคามี อรหันต์ในพระอนาคามี อรหันต์ในอรหันต์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เกิดมาเป็นคนไม่มีอะไรเจริญสูงสุดเท่ากับทิศทางที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เพราะว่าพระพุทธเจ้าศึกษาความเป็นคนกับความเป็นมนุษยชาติ ก็เอามาสอนเรื่องเท่านี้แหละมันครอบคลุมทั้งหมด เป็นคนที่เป็นคนประเสริฐเป็นอริยบุคคล จะเป็นคนที่มีความรู้ของโลกความรู้ของอะไรต่ออะไรที่จะเอามาใช้เป็นประโยชน์ได้ คนไหนถนัดอะไรก็ยังทำอยู่ แม้จะถนัดหลายอย่าง เราก็เลือกเอาอย่างที่คนอื่นเขาไม่ถนัดเท่าเรา หรือไม่เก่งเท่าเราหรือเป็นเรื่องที่จำเป็นในโลกที่เราจะต้องเอาอันนี้มาทำให้แก่โลก เราก็เลือกอันนั้นทำไปแม้จะยากอย่างไรก็ตาม อย่างเช่นอาตมามาเลือกทิศทางในการสอนโลกุตระกอบกู้มนุษยชาติทำได้ยากมากถึงยากที่สุด ถ้าให้อาตมาออกไปหาเงินออกไปสร้างกิจการโดยเฉพาะทางธุรกิจ ทุกวันนี้ชัดเจนโลกทั้งโลกโลกของบันเทิงธุรกิจรวยและ รวยง่าย ได้อาตมาทำได้ แต่ไม่เอา ไม่ใช่ว่าไม่มีฝีมือ แต่มี มีตัวอย่างพอได้
ก่อนอาตมาบวช ได้สั่งตำราทางดนตรี ทางเมืองนอกมา จะเอาถึงวงคลาสสิกเลย เอา pop jazz ไปถึง classic มีทุกขั้น ตั้งใจอย่างนั้นเลย แต่ไปเห็นว่าทางโน้นให้เขาไปกันเถอะเขามีคนทำอยู่ทางโน้นไม่ต้องไปแย่งเขา เขาทำได้ ดีไม่ดีหลายคนเขาทำได้เก่งกว่าอาตมาได้ขนาดนี้แล้วอาตมายังจะต้องไปฟื้น อาตมาก็มาเอาทางนี้ดีกว่าหลายๆอย่าง อาตมาพูดด้วยศัพท์ทางโลกว่าอาตมาถูกหักแข้งหักขาไว้ ไม่ให้ไปแสดงอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชทางด้านอื่น ไม่ใช่ว่าไม่เคยเก่งอย่างนั้นไม่เคยรวยทางนั้น เคยมาแต่ว่าอย่าเลย หยุดแล้ว มาทางนี้ดีกว่าทางนี้ไม่มีใครทำ มาทางนี้เถอะ อาตมาจึงเลือกมาทางนี้ และก็ได้ประโยชน์ได้ผลจริงๆ
การที่จะเอาเด็กตัวแค่นี้มาฟังธรรมะ 2 ชั่วโมงแล้วเป็นธรรมะโลกุตระด้วยนะ ใครจะทำได้อย่างนี้ก็เอาลองดูกันบ้าง ไม่ใช่อาตมาเก่งนะ แต่เด็กพวกนี้เขามีบารมี เขามีของเขามา ถ้าไม่เช่นนั้นไม่อยู่อย่างนี้ได้หรอก ป่วน กว่าจะ 2 ชั่วโมงป่วนแน่ แต่นี่ไม่ สงบเรียบร้อย ไม่เหมือนผู้ใหญ่บางที่ ฟังชั่วโมงแรกก็ยังได้ฟัง 2 ชั่วโมงก็ชักจะทยอยออกไป ตอนแรกก็มีสัก100 คนเมื่อบรรยายไปตอนสุดท้ายเหลือ 10 คน แต่ของเราบรรยายไปตอนแรกมีน้อยแต่ตอนหลังก็แน่นขึ้นอันนี้เป็นเรื่องจริง
_สมณะมือมั่น…พ่อครูได้เล่าถึงการแต่งเพลง เพลงแรกที่พ่อครูแต่ง คือเพลงผู้หลอกลวง ประวัติของเพลงนี้ไม่มี อยากจะทราบความมุ่งหมายในการแต่งเพลงแรก ว่าเพลงผู้หลอกลวงแต่งไปเพื่ออะไรมีเนื้อหาอย่างไร เพราะว่าชีวิตของเราเกิดมาในโลกนี้ทั้งถูกหลอกลวงและหลอกลวงผู้อื่นปนเปกันไปมา แม้จะมาทางธรรมะก็ถูกหลอกลงไปนั่งหลับตาเสีย ตอนนั้นพ่อครูอายุ 14 ปีเอง อยากจะทราบ
พ่อครูว่า…อย่าเลย..1. มันเป็นเรื่องโลกีย์เรื่องโลกๆ 2.มันก็ไม่ค่อยเพราะเท่าไหร่ ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย ตอนนั้นก็บันทึกไว้ อาตมาบันทึกไม่เต็มเท่าไหร่ แต่พอจะดึงเอามาได้ แต่ก็ไม่น่าจะเอามาทบทวนอะไร 1 มันยังเด็ก และลีลาของเพลงก็ไม่ได้ไพเราะลึกซึ้งอะไรเท่าไหร่ เป็นเรื่องของโลกีย์ ผู้หลอกลวงก็เป็นเรื่องของคนโลกๆ ตอนนั้นยังเด็กอยู่อายุ 14 ตอนนั้นอาตมามีแฟนตอนอายุ 14 ตอนนั้นเรียนม. 6 เรียนอยู่ 2 ปี มันจะโตเกินวัยหรือเปล่าก็ไม่รู้ มีความคะนอง ขี่จักรยานผ่านหน้าโรงเรียนนารีวันละ 5 รอบ เป็นไก่แจ้ เป็นอารมณ์ของเชิงนักประพันธ์นักฝันเฟื่อง คนเราก็มีความทุกข์ความสุขความจริงความหลอกอะไรกัน ก็จึงมีไอเดียมีความคิดแต่งเพลงผู้หลอกลวง ก็มีเนื้อหาอย่างนี้
เพลงที่จะเป็นเชิงเนื้อหารักใคร่ก็ที่เอามาใช้ก็มีเพลงธารสวาท นอกนั้นก็เป็นเชิงโลกุตตระ อาตมาก็ไม่ได้ทำมากมายแต่งเพลงก็ประมาณ 100 กว่าเพลง เขาแต่งกันเป็นพันเพลง มีนักประพันธ์ศิลปินแห่งชาติ บางคนแต่งไม่ถึงร้อยเพลง แต่มีฝีมือก็ได้เป็นศิลปินแห่งชาติก็มี
ก็เป็นศิลปะชนิดหนึ่งใน 5 แขนงของศิลปะ วรรณกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม และวรรณกรรมดนตรีและเพลง มี 5 แขนงที่เป็นราก นอกนั้นก็ขยายออกไปมากมายหลายสาขา และมีลักษณะมอมเมาทางความคิดเยอะแยะมากมายหลอกลวงกันขายในราคาเป็นพันล้านก็มีดูแล้วไร้สาระจริงๆเลย คนเรายิ่งโง่ยิ่งดักดานเข้าไปพูดแล้วก็เหมือนกับไปหาศัตรูไปว่าเขาข่มเขา ถึงต้องปล่อยไปตามยถากรรมก็แล้วกัน เราก็ทำหน้าที่ของเราไป เพื่อนๆที่อยู่ในวงการของศิลปะแล้วมันไม่เป็นศิลปะอาตมาก็ว่า ระดับที่มันยังใช้ประโยชน์ได้อยู่ก็ว่าดี แต่ที่มันใช้ประโยชน์ไม่ได้ เป็นความมอมเมาอาตมาก็ว่าเขา ผู้ที่โด่งดังได้เงินได้ทองหากินอยู่ด้วยสิ่งเหล่านี้เขาก็รู้สึกไม่ชอบอาตมาไปทำลายสิ่งที่เขายึดถือเขาร่ำรวยเขาเด่นดังกันทั้งนั้น แล้วอาตมาไปทุบหม้อข้าวหม้อแกงไปฉีกหน้าเขา เขาก็ไม่ชอบ ในพวกโลกียะ แต่พวกที่มีปฏิภาณปัญญาก็จะรู้ว่าอาตมาไม่ได้เป็นคนเลวร้ายไปทำร้ายเขา มันมีเรื่องธรรมะของชีวิต ก็มีคนที่พอเข้าใจได้เป็นศิลปินเป็นผู้ที่หากินทางร้องทางรำทางศิลปะ
อาตมาก็แบ่งลักษณะของศิลปะเป็น 5 ประเด็น ลามก ราคะ สาระ ธรรมะ โลกุตระ
-
ลามก เป็นกามจัดจ้าน เป็นโทสะจัดจ้าน แบบโลกียะ โมหะก็ซับซ้อนวุ่นวาย จนรู้ไม่ทันได้ ถูกหลอกซ้ำซ้อน จัดไปต่ำที่สุดคือ อบายมุข
-
ราคะ คือ ก็ระดับการละเล่นและการบันเทิง ทุกวันนี้ก็ยังเด่นดังอยู่ในโลก ยังมีตุ๊กตาทองยังมีเหรียญทองอะไรต่ออะไรกันอยู่ บำเรออารมณ์กิเลสซึ่งเป็นอุปาทานทั้งสิ้น เป็นความสุขเป็นทุกข์เป็นความเอร็ดอร่อยเป็นโลกียะจัดจ้านจึงเรียกว่าราคะ ไม่ดูถึงขั้นขีดที่อย่างนี้เรียกว่าลามก แต่ที่เรียกว่าลามกกึ่งราคะว่าศิลปะ ซึ่งมันไม่ใช่ศิลปะเลยทั้งลามกและราคะไม่ใช่ศิลปะไม่ใช่สาระเลย แต่เขาก็บอกว่ากึ่ง ลามกกับราคะนี่แหละคือศิลปะ นี่แหละเป็นการหลอกคน แม้แต่สายทางซาดิสซึ่ม ชกต่อยรุนแรงเอาชนะคะคานกันด้วยเล่ห์เหลี่ยม ทั้งๆด้านการชกมวย สมัยโบราณมีศิลปะการต่อสู้ สู้กันแทบตายข้างหนึ่งเลยแล้วโชว์ว่าเป็นพระเอก แต่เดี๋ยวนี้เข้าใจกันได้บ้างแล้ว
ทุกวันนี้โลกทั้งโลกแสวงหาโลกุตระ แต่เขาไม่รู้ว่าอยู่ในเมืองไทย ชมพูทวีปตอนนี้อยู่ในเมืองไทยแล้ว อินเดียเป็นสายเทวนิยมที่อยู่ในสายศรัทธาลึกมาก จึงนิ่งและสงบ เรียบร้อยได้ทั้งๆที่มีพลเมืองมาก เดี๋ยวนี้ระหว่างจีนกับอินเดียไม่รู้ใครมากกว่ากัน อินเดียทางสงบ ในจีนนั้นเป็นเชิงฉลาดแต่เป็นแบบโลกีย์ จีนเป็นต้นฐานของปราชญ์ทางเฉลียวฉลาดแต่ยังไม่ใช่โลกุตระ แต่ก็ยังเป็นโลกีย์ไม่หมดกิเลส เป็นแต่เพียงว่าพักกิเลสไว้ใต้ก้นบึ้งของอนุสัย เสร็จแล้วก็เอาจิตดี จิตที่เป็นกุศล จิตใจที่เฉลียวฉลาดทางโลกียะ มาใช้ ซึ่งก็เป็นประโยชน์ในโลก มันไม่ได้เลวร้ายรุนแรง แต่มันไม่มีทางออกทำให้จิตที่มีกิเลสนี้ตาย ดับ จนกระทั่งกิเลสหมดไปจากจิตจริงๆ เป็นโลกุตระ ยังไม่มีทฤษฎีโลกุตระ
พูดไปนี้ฟังพอเข้าใจแต่ยังไม่รู้สภาวะจริงจะเข้าใจรู้สภาวะจริงไม่ง่าย ให้ไปทำอีกยังไม่ง่าย แต่ทำได้ ถ้าเป็นทฤษฎีที่เป็นสัจธรรมพระพุทธเจ้าตรัสรู้ อาตมาก็เอามาใช้แล้วเอามาให้ศึกษาเอาของพระพุทธเจ้ามา อาตมาเป็นผู้ที่สืบทอดธรรมะพระพุทธเจ้าตัวจริง ก็ยืนยันเปิดเผยหมดทุกอย่างแล้ว ใครไม่เชื่อไม่มีปัญหาแต่อาตมาทำหน้าที่บอกความจริงไป มีหน้าที่รักษาขันธ์ให้ยืนนานเท่านั้น ใครติดตามได้ก็ตามไป
-
มันไม่ได้ทุกข์ 2. มันไม่ได้ชั่วแล้ว 3.มันเป็นไปได้จริง 4. เป็นประโยชน์ต่อ