620906_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ล้างอัตตาเทวนิยมได้จึงเป็นประชาธิปไตยสูงสุด
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/10f4ly3u3mZuWJGTr39rLN0iZ4pZw4v2UUdEae–NFxc/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1rP-kfjhG-ySTmhMtlLmO9ud0vnZMHlfB
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2562 บวร ราชธานีอโศก รายการเราว่างเว้นไปวันสองวันเนื่องจากน้ำท่วม เรียกว่าน้ำท่วมก็ไม่ค่อยตรงนัก น่าจะเรียกว่าน้ำหลาก สถานการณ์ที่ผ่านมาก็เก็บของกันตั้งแต่เช้าจรดเย็น พ่อครูงดรายการนี้ไปก่อนให้พวกเราเก็บของ ตอนนี้สถานการณ์เข้ารูปเข้ารอยแล้ว และมีพี่น้องต่างพุทธสถานมาร่วมช่วยด้วย ศีรษะอโศกปฐมอโศกและสันติอโศกกำลังมา สันติอโศกกำลังพานักเรียนมาอีก 70 แรง สิ่งตอนนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ระบบสาธารณโภคีของพระพุทธเจ้าที่พ่อครูเอามาให้พวกเราปฏิบัติ
ที่อื่นน่าสงสารกว่า ที่อื่นท่วมกัน ของเราก็ท่วมแน่ เพราะว่าแม่น้ำชีแม่น้ำมูล ก็จะมานัดพบกันที่อำเภอวารินชำราบ แล้วไปลงแม่น้ำโขง ปกติแม่น้ำโขงกับแม่น้ำมูลจะมีความต่างระดับกันถึง 11 เมตร ซึ่งทำให้สามารถระบายน้ำจากแม่น้ำมูลลงแม่น้ำโขงได้ โดยใช้เรือดันน้ำ แต่ปีนี้น้ำโขงสูงกว่าน้ำมูน ก็ไม่รู้จะดันไปทางไหน ดูว่าปีนี้น้ำไหลหลากนอกจากจะมากและก็จะยาวนานด้วย เราว่างเว้นการจัดงานฉลองน้ำมาหลายปี ปีนี้ก็พ่อครูเปรยว่าน่าจะได้จัดงานฉลองน้ำกัน
ปีก่อนจุดรวมศูนย์เราอยู่เฮือนเผิ่งกันกับเฮือนศูนย์สูญ ใช้เรือกระแชงต่อกัน ปีนี้เจ้าหน้าที่กรมชลฯประเมินกันว่า ปี 54 เราทำโรงครัวกันที่อาสนสงส์เฮือนศูนย์สูญ แต่ปีนี้น่าจะประมาณปี 45 น้ำท่วมชั้น1เฮือนศูนย์สูญ ปีนี้ จุดศูนย์กลางในการรวมของพวกเราน่าจะอยู่ที่เฮือน บวร ใหญ่กว่าเก่า ปี 45 ระดับนำ้สูงระดับหลังคาเฮือนเผิ่งกัน จุดเซฟโซนของเราจะอยู่ที่เฮือนศูนย์ฯกับเฮือนบวร
ดูหน้าตาพวกเราไม่เหมือนกับผู้ประสบภัยเสียเลย ดูระรื่นกันอยู่
พ่อครูว่า…ข้าวมีกินกับข้าวก็มีเยอะ ดินไม่มีเดินมีแต่น้ำ ที่นี่ตอนนี้ไม่มีปัญหาหรอกรอดด้วยมะละกอแน่ ทั้งลูกเล็กลูกใหญ่ มะละกอมันล้มตายลง เราก็เอาลูกมันมา ไม่เหมือนตอนแดนอโศก ต้องเอาต้นมะละกอมาดองเค็มกินกับข้าว
สมณะเดินดินว่า…อาราธนาพ่อครูแสดงธรรม
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 5 ก.ย. 2562 (บรรยากาศน้ำท่วม)
ส่วนมากเป็นข้อความส่งกำลังใจมาให้ชาวบ้านราช นำ sms มาบางส่วนค่ะ
_วิมล เจวรัมย์ · ติดตามเอาใจช่วยค่ะ
_Koithaitik Carp โค่ยไท · เห็นแล้วน้ำตาจะไหล
_Khantong Khantong ขันทอง ขันทอง· เป็นห่วงจัง! ขอให้พ้นผ่านโดยไว ปลอดภัยทุกท่าน
_Pleekhuan Pullap พลีขวัญ พูนลาภ· เตรียมตัวฉลองน้ำกันจ้ะ
_ธนศักดิ์ ปิ่นทองคำ · สงสารน้องๆสัมมาสิกขา เฮ้อออ
_เซาะเฮียง แซ่ลิ้ม · รับได้ทุกรูปแบบ ความสุขไม่เคยไปไกลจากบ้านราช เมืองเรือ เป็นกำลังใจให้ญาติธรรมทุกท่านนะคะ
_Mali La มะลิลา· เป็นกำลังใจค่ะพี่น้องชาวอโศกขอให้ทุกคนปลอดภัยค่ะ
พ่อครูว่า…สาธุผู้ที่มีน้ำใจก็ว่ากันไป
อาตมาก็เห็นว่า เรื่องการเมืองของบ้านของเมือง เราก็มีส่วนร่วมมีผลกระทบอยู่ด้วย ถ้ามันออกไปในแง่ใด ออกหัวออกก้อยไปในเชิงที่เราก็มองไปตามความรู้ของเราตามภูมิของเรา ว่ามันควรจะเป็นเช่นนี้ว่าจะดีอย่างนี้เราก็มีสิทธิ์ออกความเห็นตามระบอบประชาธิปไตย จะมีผลหรือไม่มีผลอะไรก็แล้วแต่เถอะ เดี๋ยวนี้ก็คิดว่ามันพอมีคนบ้างไม่มากก็มีน้อย เราก็เลยต้องออกความเห็นไปบ้าง
เรื่องการเมือง ทั้งโลกเขานี่แหละ เรื่องระบบการบริหารปกครองที่เรียกกันในภาษาว่าประชาธิปไตย คำว่าประชาธิปไตยนี้มีคนนิยามว่า เป็นระบอบที่ปกครองยังไม่ดีที่สุด แต่เลวน้อยที่สุด เขายังมีความหวังว่าเขาจะมีประชาธิปไตยที่ดีที่สุดกว่านี้อีก อาตมาก็ขอพูดซ้ำซากอีกว่าในระบอบ 3 อย่าง ที่เข้าใจในสากล 1. เผด็จการ 2. คอมมิวนิสต์ 3. ประชาธิปไตย ระบอบประชาธิปไตยนี่แหละดีที่สุด ทำไมว่าอย่างนั้น
เผด็จการบังคับ มันไม่อิสระ ยิ่งเป็นเผด็จการฟาสซิสต์อำนาจแต่เพียงผู้เดียวเลย เป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียวสั่งการให้ทุกคนอยู่ในอำนาจหมดเหมือนกับทุกคนเป็นทาส เราจะสั่งการอย่างไรก็ได้ดีไม่ดี ฆ่าทิ้งได้สบาย อย่างนี้เป็นต้นเป็นเผด็จการสูงสุดซึ่งไม่มีแล้วคนรู้ดีหมดแล้วไม่เอาแล้ว มนุษยชาติต้องมีสิ่งที่เป็นอิสระเสรีภาพเป็นมนุษยชน เท่าเทียมกัน การกดขี่กันขนาดนี้ไม่มีแล้วมันล้มละลายแล้วระบอบเผด็จการ แต่ขนาดนั้นก็ยังมีความซับซ้อนในความเป็นเผด็จการ ซ้อนอยู่ในคอมมิวนิสต์ ประชาธิปไตย โดยคนบริหารตัวเอ้ เป็นคนบริหารซ้อน แต่ไม่จัดจ้านเท่ากับโบราณ แสดงออกจากประสบการณ์น้อยที่สุดได้ดีที่สุดแต่ก็ใช้ความคิดของตัวเองเป็นหลัก
ระบบ คอมมิวนิสต์ ก็มีความเห็นของหมู่กลุ่มมาเอาเป็นใหญ่ แต่จะให้ประชาชนทั้งหมดมาเห็นร่วมกันก็คงไม่ได้ก็ต้องให้คณะหนึ่ง ให้ปัญญาชนคนฉลาดคณะหนึ่งมารวมกันบริหารอย่างซื่อสัตย์เห็นแก่มวลประชาชน มีทั้งคอมมิวนิสต์แบบไม่กี่คน คนอื่นถูกบริหาร หรือว่ามีคณะที่กว้างขวางขึ้นให้อำนาจแก่ประชาชนมากขึ้น ทำให้เกิดความเสมอภาคมากขึ้นได้เท่าไหร่ คอมมิวนิสต์ก็เจือจางมากขึ้นเท่านั้น
ส่วนประชาธิปไตยเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง คนมาบริหารต้องเอาให้ประชาชนเป็นน้ำหนัก น้ำหนักที่มันสุดโต่ง ก็เลยเอาประชาชนไปเลือกตั้งอย่างเดียว มีกลวิธีแค่การเลือกตั้งถือว่าเป็นประชาธิปไตย มีแทคติกกลไกเลือกตั้ง คนมีอำนาจก็ร้อยจมูกประชาชน ซื้อหาด้วยเงินใช้อำนาจบาทใหญ่ เพื่อหลอกล่อให้ได้มวลชน มันก็ยังไม่บริสุทธิ์
ส่วนประชาธิปไตยนั้น จิตทุกคนเท่าเทียมกันหมดมีอิสระเสรีภาพ ทุกคนมีสิทธิ์ทำ ไม่ต้องครอบงำความคิดซึ่งกันและกันนี่คือสูงสุด พระพุทธเจ้าทำมาแล้ว ไม่ต้องมีอัตตาตัวตนเอาความเห็นของหมู่เป็นหลัก แล้วมีทฤษฎีวิธีการระบบเผื่อแผ่เจือจาน
ต้องรู้จักฐานะทางจิตวิญญาณว่าคนนี้เขามีความเป็นประชาธิปไตยหรือเห็นแก่ตัว มากน้อยเท่าไหร่ แต่ละคนแต่ละคนจะมีความรู้ความสามารถ ลึกๆเรียกว่าหยั่งรู้จิตคน หยั่งรู้ความยึดติดของแต่ละคนได้ดีได้มากขึ้นๆ แล้วก็บริหารให้ได้ลงตัวเท่าที่คนเขายึดมาก ก็ใช้วิธีการ ใช้ความสามารถที่จะมีศิลปะ ในการที่จะทำให้คนเหล่านั้น เขาปฏิบัติตามที่เราเองเป็นผู้ที่กำหนด แต่มีจิตไม่เห็นแก่ใคร ไม่มีอคติ ไม่เห็นแก่ตัว เอาตามฐานะตามความเป็นจริงของบุคคลที่เหมาะสม บริหารอย่างได้สัดส่วนที่เหมาะสมที่สุด
ความละเอียดของคนและสังคมมีความละเอียดลึกซึ้งซับซ้อนเกี่ยวกับคุณธรรมภูมิปัญญาของแต่ละคน สุดยอด
ตุลาคมเดือนหน้า หนังสือพิมพ์เราคิดอะไรจะเป็นฉบับสุดท้าย ที่เราจะหยุดตามหมู่ฝูงในโลกสื่อสารมวลชน หนังสือพิมพ์เขาล้มระเนระนาด เราก็ไม่ขัดขวางเขาแล้วก็ล้มตามเขาก็แล้วกัน เราก็เป็นพวกประชาธิปไตยเราก็ไม่ขัดขวาง เราก็ล้มตามเขาก็แล้วกัน เรามาใช้สื่อ Social Media เท่าที่เราจะมีภูมิปัญญาทำได้ก็ใช้ ก็จะไม่ลงรายละเอียดสื่อสารมวลชนเทคโนโลยี เราก็เป็นไปตามโลกเค้าที่เราจะเป็นไปได้โดยที่เราเป็นคนจน แต่ก็กระทบไหล่ดารามาได้เรื่อยๆนะ
แพ้ได้ด้วย“สัจจะ”คือประชาธิปไตยสูงสุด
(๑) “คน”กับ“ประเทศ”นั้น คือ“สอง”
“กาย”กับ“จิต”ย่อมครอง คู่แท้
“ผู้นำ”ช่วย“ชาติ”สนอง “ประชาธิป- ไตย”เฮย
คือ“รับใช้ปวงชน”แก้ วิกฤตได้ฉันใด
(๒) พัฒนาไทยหากพร้อม “เทฺวธรรม”
หนึ่ง“ประเทศ”มี“ผู้นำ” ประเสริฐแท้ สอง“จิต”อาริยะสำ- คัญคู่ กันเอย
“อธิปไตย”สองเลิศแล้ “ชาติ”ทั้ง“คน”เจริญ
(๓) หากเผินแค่“เลือกตั้ง” บริหาร
เรื่อง“วิบากวิญญาณ” ไป่รู้
“ตาย-เกิด”วุ่นยืนนาน ข้ามชาติ
จบ“ชาติเดียว”อั้นตู้ เลิกรู้ไปเลย
(๔) ไม่เคยเรียนรอบรู้ เรื่อง“จิต”
เป็น“สัจจะ”เจ้าชีวิต ที่แท้
“พระเจ้า”จักปกาศิต “กรรมวิบาก” ได้ฤา
“คนพึ่งตน”จึ่งแก้ ทุกข์ได้โดยตน
(๕) มีผลรู้“ชาติห้า” พาเจริญ
[“ชาติ ๕”มี ชาติ,สัญชาติ,โอกกันติ,นิพพัตติ,อภินิพพัตติ]
สร้าง“นิพพัตติ”ให้เดิน แกร่งกล้า
ทุก“ปัจจุบัน”เผชิญ พิสูจน์เหตุ กันแฮ
มี“จรณะ ๑๕” ครบทั้ง ๘ วิชชา
(๖) พาชีวิตมนุษย์ได้ มรรคผล
ทั้งส่วนตน-ชุมชน เกิดแท้ ชีวิตสุขสงบสน- ใจศึก- ษาเลย
แปลก..ที่เป็น“ผู้แพ้” แต่ล้วนจิตสราญ
(๗) การเมืองการบ้านครบ คุณธรรม
สอง“อธิปไตย”สำ- เร็จพร้อม
เทฺว“โลก-อัตตา”กำ- กับเหมาะ ควรแล
ต่าง“รับใช้”กันน้อม “จิต”ล้วนกตัญญู
(๘) “จิต”อยู่ในอำนาจได้ วสวัตติ
พ้นมิจฉาทิฏฐิ ยิ่งไซร้
“สัจจะ”ปริสุทธิ เหนือโลก จริงจริง
“แพ้”ลด“อัตตา”ให้ สยบด้วย“ปัญญา”
“สไมย์ จำปาแพง”
๕ ก.ย. ๒๕๖๒
โลกต้องมีผู้ขัดแย้งเป็นธรรมดาประชาธิปไตยต้องมีความขัดแย้งที่พอเหมาะ หากไม่มีผู้ขัดแย้งเลยคนจะหลงเหลิง แต่ยิ่งมีผู้ขัดแย้งคนก็จะต้องพยายามปรับปรุงแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นอะไรที่เราผิดเราก็ต้องแก้ไข จึงจะได้ปรับปรุงพัฒนามากยิ่งขึ้น ถ้าใครยึดมั่นถือมั่นเอาตัวเองเป็นหลัก คุณเป็นศาสดาเป็นพระพุทธเจ้าแล้วหรือ
อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ ระดับ 7 นี่นะ ไม่รู้กี่ล้านๆชาติที่เกิดมา ขออภัยที่ต้องพูด ผ่านการเป็นผู้บริหารมาไม่รู้กี่ชาติ เป็นจอมจักรพรรดิก็เป็นมา จอมจักรพรรดิแบบโหดก็เป็นมาแล้ว จอมจักรพรรดิที่ดีมาเรื่อยๆตามฐานะอาตมา ก็ผ่านมาอยู่เรื่อยๆเป็นเรื่องซับซ้อน เพราะจะต้องมีความซับซ้อนที่ให้คนพัฒนาขึ้นมา มันไม่ใช่เรื่องตื้น เหมือนการเกิดตายเกิดดับของมหาจักรวาลของมนุษยชาติ มันนับอายุเวลาไม่ถ้วน ที่มันวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าการเกิดของคน 500 ปีตาย 100 ปีตายตอน 1 กัป มันน้อยมาก เพราะอายุคนนั้น ในพระไตรปิฎกมีกล่าวไว้ว่าอายุถึง 8 หมื่นปี ล้านปีเป็นไปได้ มันเกินที่จะคิด คนจะไปอยู่ได้อย่างไรอยู่เป็นแสนปี 8 หมื่นปี 5 หมื่นปี จะอยู่กันได้อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่สุดวิสัยที่จะคิดตาม เพราะฉะนั้นคนที่เขาไม่ได้ศึกษาดีๆ เขาไม่เชื่อ
อย่างอาตมานี้ฝืนสังขารมาก และพยายามที่จะสร้างสิ่งที่จะสร้างได้ในความเป็นโลกโดยทฤษฎี ทฤษฎีสากลที่เป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทางรูปธรรม ทางวัตถุ ทางนามธรรม อาตมาก็เอามารวมกัน ศาสนาพระพุทธเจ้าสอนทั้งรูปทั้งนาม ทั้งวัตถุและจิตทำได้ทั้ง 2 อันก็เอามารวมกันจนกระทั่งกลายเป็นองค์ประกอบของ 2 อย่าง พลังงานบวก พลังงานลบ พลังงานอิตถีภาวะ ปุริสภาวะ เอามาสังเคราะห์สังขารกันโดยเราเป็นประธาน
เดินลักษณะความเป็น 2 แล้วก็เป็น 3 เกิดวงจรเรียกว่า cyclic สภาพของปรมาณูใดๆเป็นสภาพที่จับตัวกันและทำงานกันโดยไม่รู้ตัวก็ตามมันเป็นวัตถุ เป็นอุตุนิยามมันมี 2 แล้วมันเป็นพลังงานรวมที่เกาะยึดมีแม่เหล็กเป็นประธาน วัตถุมันไม่รู้เรื่องหรอก แม่เหล็กเป็นประธานดึงดูดกันอยู่ แล้วมันก็ทำงาน ปฏิสังเคราะห์ ปฏิสังขารกันอยู่ยิ่งเล็กยิ่งมีพลังอย่างที่ไอน์สไตน์เขาค้นพบและเอามาใช้ อย่างพลังงานนิวเคลียร์
พลังงานนิวเคลียร์ ถ้ารวมกันอยู่ได้ก็นิวเคลียส ระเบิดกระจายออกไปเรียกว่านิวเคลียร์ แรงมากอย่างที่ได้ทำกัน มันเป็นความละเอียด จะบอกว่าเป็นดินน้ำไฟลมก็อยู่ในตัวมันครบ แต่มันละเอียดมากจึงไประเบิดดินน้ำไฟลมอื่นๆแม้แต่ชีวะ ชีวะจะขาดเยื่อใยก่อนเพราะเปราะบางกว่าดินน้ำไฟลม
ชีวะของสัตว์ถ้าโดยตัวมันเองแล้วตายง่ายกว่าพืช แต่ถ้าโดยตัวสัตว์มันฉลาดทำให้พืชตายก่อนตัวมันอย่างนี้เป็นต้น เป็นความซับซ้อนสิริมหามายากลับไปกลับมา เราต้องรู้ทันเมื่อไหร่พูดถึงอะไรนำ อะไรเป็นรอง อะไรเป็นนำ
ยิ่งการบริหารปกครองที่เป็นการเมืองมันพร้อมไปด้วยดินน้ำไฟลมและมีมนุษยชาติเป็นหลัก มีทั้งพืช ทั้งอุตุซ้อนในนี้
พระพุทธเจ้าศึกษาจึงรู้ละเอียดหมดเลยตั้งแต่อุตุ พีชะ จิตนิยามแล้วมาควบคุมกรรมนิยาม กรรมเป็นตัวพาเกิดพาเป็นสูงสุดเลย ของแต่ละอัตภาพที่มีจิตวิญญาณเป็นเจ้าของ เจ้าของจิตเรียกว่าอัตภาพหรืออาตมันหรืออัตตาในภาษาบาลี ควบคุมเอง เพราะฉะนั้นก็จะจัดการกับกรรม กรรมเป็นสภาพสภาวะที่เคลื่อนไหว ส่วนธรรมะเป็นส่วนที่เป็นแก่นแกนเป็น Static กรรมก็สั่งสมลงเป็นธรรมะเป็นแกน ก็เป็นภาวะคู่ระหว่างกรรมกับธรรมะ
กรรมกับธรรมะ เป็นภาวะที่คนเรียนรู้แล้วก็ใช้ในโลกนี้ ในธรรมะจะแบ่งเป็นธรรมะกับธาตุ เป็นภาวะ 2 อาตมาอธิบายมามากแล้ว ตอนนี้ธรรมยังไม่ลงรายละเอียด ธาตุนั้นจะลึกละเอียดยิ่งกว่าธรรมะ สุดท้ายสามารถแตกธาตุได้ไม่เหลือคู่
ธรรมะนั้นจะเป็นสภาพที่เป็นคู่ แต่ถ้าแยกละเอียดเป็นธาตุนั้นก็เป็นสภาพเดี่ยว เพราะฉะนั้นคนที่รู้จักนิพพานธรรม หมายความว่าธรรมะยังมีคู่อยู่เป็นนิพพานเต็มๆ ถ้าเป็นนิพพานธาตุก็หมดเลย ไม่เป็นคนแล้ว ไม่เป็นธรรมะแล้ว นิพพานธาตุก็แตกธาตุเป็นศูนย์
ถ้าเป็นธาตุก็แยกไป แม้แต่สุญญธาตุก็แทบไม่มีชื่อเรียกแล้ว หรือใช้คำว่าเอกธาตุเป็นธาตุหนึ่งธาตุเดียวก็ทำปฏิกิริยาอะไรไม่ได้
เพราะฉะนั้นก็เรียนรู้สภาวะของ 3 ทำให้เป็น 2 เรียนรู้ภาวะของ 2 ทำให้เป็น 1 สภาวะของ 1 ทำให้เป็น 0 นี่เป็นวิทยาศาสตร์ของศาสนาพุทธ อาตมาอธิบายได้เพราะเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 แม้จะไม่สูงสุดแต่ก็อธิบายได้ละเอียดกว่าใครในยุคนี้จึงเรียกว่าเป็นไก่ตัวพี่ เจาะกระเปาะไข่ออกมาได้ก่อนใครในยุคนี้
ซึ่งยุคนี้ความรู้มันเลือนมันเลอะ ซึ่งสังคมต้องการความรู้แบบนี้ควรจะแสวงหาความรู้แบบนี้มีเยอะ อาตมาไม่กลัวว่าคนที่ชังอาตมา คนที่ไม่รักอาตมาจะมีเยอะ แต่คนที่กลางๆที่จะรับสิ่งที่ดีๆนั้นมีเยอะกว่าคนที่ชังอาตมา นี่เป็นน้ำหนัก คนที่ยังไม่รู้แต่ต้องการอยู่จะมาอีกเยอะ แต่เขาจะไม่รู้หรอกเพราะอาตมาไม่ได้ทำให้เขากระเทือน แต่คนที่ชังอาตมาเขากระเทือน แต่คนที่แสวงหาก็ไม่ค่อยรู้ แล้วเขาก็จะมา สังคมในยุคนี้เข้าใจแล้วว่า ความรู้องค์รวมนั้นต้องการความรู้ที่เป็นสุดยอดเรียกว่าโลกุตระ อันนี้
โลกุตระอยู่ในเมืองไทย เกิดจากพระพุทธเจ้าค้นพบ เพราะฉะนั้นจะยังไม่มีที่อื่น ยังไม่ขยายไปสู่ประเทศอื่นจนกว่าประเทศไทยจะแข็งแรง แล้วประเทศอื่นจะเรียนรู้ตาม แล้วก็ไปสร้างประชาชนที่จะมีมากตาม แต่ประชาชนที่จะมีมากก็ตามจะเอาจากประเทศไทยไปสร้างของเขา ความซื่อสัตย์สุจริตเขาก็จะรู้ว่าเขาเอามาจากประเทศไทย ประเทศไทยเป็นแม่เขาเขาจะไม่อกตัญญู แม้แต่ประเทศไทยเป็นประเทศเล็ก ประเทศใหญ่จะมาเอาอันนี้ไป เช่นจีน แต่ก็จะเคารพประเทศแม่ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งน่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะว่าจีนเป็นประเทศที่กตัญญูต่อพ่อแม่มาก เป็นธาตุของประเทศจีนเขาอยู่แล้ว เป็นธาตุวิญญาณของจีน
สัจจะเหล่านี้ที่อธิบายไปตามลำดับมันจะค่อยเป็นไป ที่พูดนี้จะเรียกว่าเป็นคำพยากรณ์ก็ได้ จริงหรือไม่จริงก็ไม่ต้องไปเชื่อก่อน ดูไปก็แล้วกัน คุณปฏิบัติของคุณเองก็แล้วกันติดตามไป แล้วต้องปฏิบัติให้ดี ทำตนให้อย่ารีบตาย อยู่ไปนานๆ อาตมาอยู่ 150 พวกคุณอยู่ไปสัก 200 อย่างนี้เป็นต้น ไม่แน่นะทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เขาก็ช่วยเยอะนะคุณจะไปนึกว่าตัวเองไม่สามารถ แต่วิทยาศาสตร์ทางโลกเขาช่วยได้เยอะ พวกคุณอาจจะอายุยาวกว่าอาตมาก็เป็นได้ อย่าไปทำเล่น แต่ทำดีๆตั้งอกตั้งใจพากเพียรไป
ก็ขอสรุปเรื่องการเมืองอีกทีนึงว่า ที่อาตมาพูดนี้เป็นความจริงใจ บริสุทธิ์ใจไม่ได้ไปลบหลู่ประเทศอื่น แต่พูดโดยวิชาการว่าประเทศไทยมีประชาธิปไตย ที่เป็นประชาธิปไตยตามแบบพระพุทธเจ้า ซึ่งคนนักประชาธิปไตย นักรัฐศาสตร์ที่จบปริญญาเอกมาก็ยังไม่รู้หรอกขอยืนยันว่ายังไม่รู้ ขออภัยที่พูดเหมือนดูแคลน ยังไม่รู้ว่าประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้านั้นคืออย่างไรที่บริบูรณ์ ที่ครบพร้อม แต่อาตมารู้ ว่าเป็นอย่างไร เอามาพูดในยุคนี้ ในยุคของพระพุทธเจ้ายังแสดงออกต่อมวลสิ่งประกอบต่างๆไม่ได้ เพราะสังคมโลกมีข้อจำกัด เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มนุษย์ไม่รู้จักสิทธิส่วนตัว สิทธิมนุษยชน ยังเป็นสังคมทาส สิทธิ์ที่จะต้องมีในสมบัติวัตถุ จะต้องเป็นเจ้าของในความรู้ความสามารถ สิทธิในการพูดสิทธิในการแสดงออก สิทธิในอะไรสารพัด ยังไม่รู้เรื่อง คนยุคนี้รู้เก่งกว่าอาตมาด้วย พวกเรียนรัฐศาสตร์จะรู้จักสิทธิพวกนี้ เอามาเรียบเรียงเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญก็มีพวกสิทธิพวกนี้แบ่งเป็นไม่รู้กี่หมวด
ประชาธิปไตยของเมืองไทย ข้ามพ้นการเลือกตั้งไปแล้ว แต่คนก็ยังเอาการเลือกตั้งมาเป็นหลัก ขอท้าวความไปอีก เหมือนกับอาตมาพูดว่าตนเองหลงตัวเอง แต่อาตมาได้ไปทำประชาธิปไตยเป็นประชาชนคนหนึ่ง มีผู้นับถือ มีผู้พอเข้าใจก็นำหมู่พวกไป ก็ไปแสดงสภาวะความจริง คนอื่นเขาไม่ได้ศรัทธา แต่เขาเห็นว่าอาตมาพาไปทำความจริงโดยนำพาประชาชนกลุ่มหนึ่ง เรียกว่าชาวอโศกออกไปทำ ประชาชนคนอื่นเขาก็เห็นดีเห็นด้วยเขาก็มาร่วม มาร่วมกินร่วมนอนร่วมสนุกสนานก็มี ก็ไม่เป็นไรมาเป็นมวลไปตามกัน แต่คนมีปัญญาเห็นว่าเข้าท่าก็มีคนเห็นทำตามแล้วพาพวกมาสมทบ
อาตมาจำไม่แม่น มีผู้ก่อหวอด แล้วอาตมาก็มาทำทีหลัง มีหลายรัฐบาล ตกลงแล้วใครจะเป็นก่อนหรือหลังก็ไม่มีปัญหา แต่มาร่วมทำการเมืองประชาธิปไตยกัน เข้าใจอย่างนี้กันก็ได้ ใช้ได้
ก็ออกไปร่วมกันทำพลังงานของประชาชนเรียกว่าอำนาจของมวลประชาชน ชนะต่อสู่ด้วยความสงบ ด้วยความจริง ก็มี Motto ว่า “ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมด” อย่างนี้เป็นต้น
แล้วยังมีหลักเกณฑ์อะไรอีกสารพัดที่อาตมาตั้งเอง
Neo Protest การชุมนุมประท้วงแนวใหม่
“สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น”
เป้าหมายของการชุมนุม
-
ไม่มุ่งหาปริมาณเป็นเอก แต่ มีปริมาณการแสดงออกเป็นประชาธิปไตย
-
แสดงคุณภาพของความเป็น ประชาธิปไตย (จิตที่มีธรรมะ)
-
เพื่อมาแสดงสิทธิ์ร่วมชุมนุม ยืนยันอำนาจอธิปไตยของมวลประชาชน
-
ไม่มุ่งหมายชนะหรือแพ้ ให้ความรู้ความจริงเป็นตัวตัดสิน
-
เอาวิถีชีวิตความเป็นสาธารณโภคีมาแสดง(มีทรัพย์สินเป็นของส่วนกลางให้ทุกคนต่างร่วมกินร่วมใช้ได้)
ยุทธวิธีการชุมนุม
-
สุภาพ สงบ และเรียบร้อย
-
ไม่มีความรุนแรง
-
เสนอ ความรู้ และความจริง
-
ไม่หยาบ ไม่ผิด กล่าวคำแรง เสียงดัง เท่าใดก็ได้
อาตมาพาออกไปชุมนุมตั้งแต่ปี 2549 ที่สนามหลวง ทำมาเรื่อยๆจนกระทั่งเป็นหมู่มวล ก็ไปยึดที่ถนนราชดำเนิน จนกระทั่งเป็นเรื่องราวผ่านมาเรื่อยๆ ต่อมาคุณสุเทพ เทือกสุบรรณมาจับกลุ่มกันที่สามเสน เริ่มต้นที่สามเสนออกมา เสร็จแล้วเห็นว่าอันนี้ดี ประชาธิปไตย คุณสุเทพเป็นนักการเมืองเต็มตัวอยู่แล้ว เขาเรียนรัฐศาสตร์ทางนี้มาด้วย ก็เลยไปทำวิธีการของเขา ได้มวลชนมา นำมาเลยก็ใช้วิธีที่เขาศึกษาก็ได้รับมวลชนมาเป็นล้าน เต็มถนนราชดำเนิน ยาวไปตั้งแต่สนามหลวงไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
สรุปเราก็ใช้วิธีนี้ออกไปตั้งหลายเที่ยว รัฐบาลตั้งหลายรัฐบาลตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ แล้วก็มีนอมินีมาเป็นรัฐบาลสมัคร เราก็ไปทำด้วยวิธีการเป็นประชาธิปไตยอันวิเศษ ประชาธิปไตยของประเทศไทยมีวิธีการประท้วงวิธีการรบอย่างมือเปล่า เอาความจริงกับความรู้และความอดทน ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ คนพวกนั้นจำนนแก่ความจริงทั้งนั้น เขาแพ้เพราะว่าเขาผิดจริง เราชนะ เพราะเราถูกจริงดีจริง เขาไม่ถูกไม่ดีก็แพ้ไป เรามีศาลยุติธรรมก็ช่วยกันด้วย ขออภัยจะต้องพูดอีกว่ามีทั้งเบื้องบนช่วยด้วย เพราะของพวกเรามีเบื้องบนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ เราเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่ประชาธิปไตยขาเดียวที่คัดเลือกใครก็ได้มาเป็นประธานาธิบดี แล้วเขาก็มองเองว่าอย่างนั้นเป็นประชาธิปไตยแท้ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ แต่เขาไม่รู้ลึกถึงองค์ประกอบทางจิตวิญญาณ ไม่ได้ศึกษาจิตวิญญาณ ที่มีสภาพกรรมวิบาก มีการสืบทอดของกรรมของวิบากต่างๆมายาวไกล คนที่จะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินนี่ไม่ใช่ว่าใครก็เป็นได้ คนไม่มีบารมีไม่มีกุศลหรือไม่มีโลกุตรธรรม เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ไม่มีกุศล ไม่มีทศพิธราชธรรมก็เป็นพระเจ้าแผ่นดินเละๆเทะๆไปได้เหมือนกัน
แต่พระเจ้าแผ่นดินที่มีทศพิธราชธรรม แล้วก็มีโลกุตรธรรม อย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 ประเด็นที่ชัดที่สุดคือ พาให้คนมาสงบ มามักน้อยสันโดษเอาแบบของเรานี่แหละไม่ต้องเอาตามต่างประเทศ เราพออยู่พอกินของเรานี่แหละ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ตรัสเอาไว้มีเยอะแยะเอาไปศึกษาให้ดีๆ อาตมายืนยันว่าในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นธรรมิกราชองค์หนึ่ง ที่เกิดมาในยุคนี้ ซึ่งท่านไม่อยู่แล้ว ตอนนี้ต่างประเทศก็ยอมรับไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องที่ไร้สาระอะไร ยอมรับอย่างเทิดทูนด้วยนะไม่ใช่ยอมรับกันโดยธรรมดาเลยนะ แต่เขาทำแบบนั้นยังไม่ได้เขาก็จะเอา
เพราะฉะนั้นสรุปแล้วสากลต่างประเทศ นักปราชญ์ผู้รู้ต่างๆเขาก็ยอมรับแล้ว เป็นเค้าเงื่อนของประชาธิปไตยของประเทศไทย เมื่อเราทำการประชาชนปฏิวัติได้สำเร็จ นายกตู่ก็เป็นทหารเต็มตัวมาเลย นายกฯตู่กำลังจะก้าวย่างสู่โพธิสัตว์แต่ไม่บอกว่าโพธิสัตว์ระดับไหน
เพราะว่า พระโพธิสัตว์มี 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งเอาตัวปลอมมาทำไม่ได้นะ ทำไม่ได้หรอก สรุปง่ายๆ ….
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยโลกุตระที่แท้จริง เพราะว่าปลูกฝังเชื้อทางจิตวิญญาณไว้ เป็นความรู้มาจากพระพุทธเจ้า เมืองไทยเป็นเมืองพุทธมาแต่อ้อนแต่ออกตั้งแต่เกิดประเทศไทยมาถึงวันนี้ เพราะฉะนั้นเชื้ออันนี้อยู่ในนี้ อยู่ในประเทศไทย อาตมาแม้จะเคยเกิดเป็นเจ๊ก เป็นอินเดียมาก่อนก็ตาม แต่ตอนนี้ต้องมาเกิดเป็นไทย อย่านึกว่าอาตมาไม่เคยเกิดเป็นคนอินเดีย เกิดเป็นคนประเทศจีน แต่ตอนนี้ต้องมาเป็นคนไทยมาสืบทอดอันนี้เพราะว่าเป็นสาระของโลก สาระของวัฏสงสาร ส่วนร่างกายตัวตนนี้ปัดโธ่มันเล็กน้อยเวียนตายเวียนเกิด ใครตั้งใจทำงานเพื่อจะรู้วัฏสงสารให้มากยิ่งขึ้นก็เชิญ พระพุทธเจ้าตรัสทฤษฎีไว้แล้ว ใครอยากจะทำก็ทำ หากไม่อยากเป็นเป็นอรหันต์แล้วก็จะปรินิพพานปริโยสานไปเลยก็ได้
แต่คนที่รู้ว่าเราไม่ทุกข์แล้วก็ฝึกฝน สร้างภูมิไปเรื่อยๆ มันก็น่าจะเป็นพระโพธิสัตว์ต่อไปนะ ไม่น่าจะต้องตายสูญ เคยอธิบายไว้หลายทีแล้วว่าเมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วก็จะเบาสบายขึ้นก็จึงจะต้องคิดว่าจะไปต่ออย่างไร เอาน่าพูดไปก็เท่านั้น ก็จะรู้เอง
บางคนก็มีความคิดเอียงจะตายแล้วสูญ
ตอนนี้การดำเนินไปของประชาธิปไตยเมืองไทยนายกตู่ก็อยู่มาขึ้นปีที่ 6 แล้ว ที่จริงแล้วนายกตู่ไม่ได้ปฏิวัติแต่เป็นการสืบทอดอำนาจจากประชาชน ประชาชนเป็นผู้ปฏิวัติได้อำนาจมาเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ไล่รัฐบาลเก่าออกไปหมด 4-5 รัฐบาลแถมรัฐบาลอภิสิทธิ์ด้วย ประชาชนปฏิวัติทั้งนั้น เป็นอำนาจประชาชน แน่นอนมี error มีประชาชนตายบ้าง แน่นอนข้างเราไม่ได้ทำ แม้ขณะนี้ก็ยังคาราคาซังอยู่ในศาลว่าใครยิงกันแน่
เราทำการปฏิวัติโดยประชาชนเสร็จ นำฎีกาไปถวายที่สำนักพระราชวังฯ แต่เขาเอามาคืนไม่เอาใบฎีกาไปทูลเกล้าก็ไม่ถึงพระหัตถ์ เราก็ถอยกลับมาทำต่ออีก เรายึดได้แล้ว นี่คือความไม่ลงตัวในความรู้ปัญญาประชาธิปไตยของประเทศไทย ถ้าเป็นตอนนี้ประชาชนปฏิวัติเสร็จแล้วและทูลเกล้าถวายฎีกา รับรองว่าจะได้ แต่สุดท้ายก็จบที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มายึดอำนาจ ก็เลยทำให้เขาเข้าใจรูปแบบง่ายๆตื้นๆว่าทหารปฏิวัติ แม้แต่ประชาชนก็ต้องมีตำแหน่งหน้าที่บ้าง ที่จริง ตอนแรกจะให้พลเอกปรีชา ประกาศเป็นผู้สืบทอดแต่เขาก็ไม่ยอม เพราะเป็นคนแก่ปลดเกษียณไปนานแล้ว พลเอกประยุทธ์มีน้ำหนักกว่าพลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ วันที่ 11 กันยายน นั่นแหละ พลเอกปรีชาบอกว่าขอยึดอำนาจขึ้นบนหลังคารถ 6 ล้อเลย ให้เขามารายงานตัว ไม่มีใครมาสักคนเลย มันเลยดูตลกแต่เป็นเรื่องจริง เอาไปสร้างหนังน่าจะสนุกมากเลย
มาถึงวันนี้แล้วเป็นประชาธิปไตยที่ทำเพื่อประชาชนเป็นใหญ่ ใจสะอาดบริสุทธิ์ แม้จะไม่สมบูรณ์แต่ก็ไม่เหมือนผู้นำประเทศอื่น ประเทศเรานี้สมพร้อม ทั้งตัวบุคคล วัฒนธรรมศาสนา ทั้งระบบของการเมือง ที่มีการบริหารกันมา ในหลวงรัชกาลที่ 9 บริหารมา 70 ปี ประชาธิปไตย 70 ปีที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 บริหารและทรงงานมา เป็นการปลูกฝังประชาธิปไตยให้เป็นตัวอย่างในการรับใช้ประชาชน โดยที่ไม่ได้พูดเป็นภาษา แต่ทำจริงๆเลย รับใช้ประชาชนจริงๆเลย มันเป็นความลึกซึ้งซับซ้อน เพราะฉะนั้นข้าราชบริพารทุกวันนี้ถึงได้เทิดทูนและทำตามเท่าที่บารมีของแต่ละคนจะทำได้ นอกจากพวกที่กระหือรือที่จะไม่เอา เสร็จแล้วก็ไปไม่ได้ก็ต้องหมกเม็ดไว้ก่อนไม่พูดว่าจะไม่เอาสถาบันกษัตริย์ แต่จิตใจลึกๆของเขานั้นไม่อยากเอาสถาบันกษัตริย์หรอก เขาไม่ได้ต้องการหรอก แต่เขาต้องพูดแบบนี้ เขารู้แล้วว่าสังคมยังไม่ยอมรับได้ ถ้าทำเขาจะไม่ชนะ เขาจึงต้องเอาชนะให้ได้ก่อนและออกกฎหมายให้ได้จึงต้องล้มกฎหมายรัฐธรรมนูญ
จะบอกว่ารัฐธรรมนูญไม่บริสุทธิ์ลำเอียงเข้าข้างกษัตริย์ คุณก็ว่าไปเถอะ เพราะว่าประเทศไทยนี้เป็นประชาธิปไตย 2 ขา มีกษัตริย์เป็นประมุข คุณไม่เข้าใจภาษาคนหรือไง กษัตริย์เป็นประมุข ประมุข แปลว่า หัวหน้า เป็นหัวหน้าเผ่า หัวหน้ารัฐ หัวหน้าประเทศชาติ นี่เป็นสัจจะนะ แล้วก็ไม่ได้มีความหมายว่ากษัตริย์ จะไม่มีที่มาที่ไป กษัตริย์นั้นมีที่มาที่ไป ซึ่งพวกประชาธิปไตยขาเดียวไม่มีความรู้ ไม่เข้าใจเรื่องจิตวิญญาณ ไม่เข้าใจเรื่องกฎมณเฑียรบาล ไม่เข้าใจเรื่องสืบสันตติวงศ์ ซึ่งต้องมีจารีตประเพณีวัฒนธรรมการศึกษา ต้องประพฤติและบำเพ็ญตนต้องเรียนรู้ แม้แต่ในกษัตริย์ก็ยังมีการคัดเลือกในระหว่างกษัตริย์เอง ในสันตติวงศ์ของกษัตริย์ก็ต้องมีการคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมมาเป็นกษัตริย์ อย่าว่าแต่จากประชาชนเลย แล้วก็ต้องฝึกฝนอบรมเรียนรู้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ มันยังไง โดนัลด์ ทรัมพ์ หากินทางทุนนิยมอยู่ แต่เมื่อมีเงินมีอำนาจก็ได้มาเป็นประธานาธิบดี ไม่ว่าจะเป็นโอบาม่าก็ตาม
อำนาจที่ให้ประชาชนกับอำนาจที่ข้าเป็นใหญ่ก็เป็นความจริงที่ต่างกัน ซึ่งมันซับซ้อนลึกซึ้งมาก อาตมาไม่ได้รู้ความหมายเหล่านี้มาจากภาษาหรืออ่านจากตำรา ไม่ใช่ อาตมาผ่านชีวิตตอนนี้มาเอง เกิดตายเกิดตายเป็นกษัตริย์เป็นผู้บริหารมาทั้งนั้นแหละ ขออภัยที่พูดมาก พูดอย่างที่พวกคุณไม่สามารถเอาหลักฐานมายืนยันได้ อาตมาก็ไม่สามารถเอาหลักฐานมายืนยันได้ แต่อาตมาพูดความจริงไม่โกหกเพราะว่าโกหกมันเป็นบาปเป็นวิบากของอาตมา อาตมาจะไปโกหกทำไม และก็บอกเขาว่าอาตมาไม่เป็นผู้บริหารจะเป็นนายกหรอกแบบทางโน้นอาตมามาทำงานทางธรรม เหมือนพระพุทธเจ้า ให้ไปเป็นเจ้าจอมจักรพรรดิ์ท่านไม่ไปทำ อาตมาก็เป็นลูกพระพุทธเจ้าแท้ๆ อาตมาไม่สงสัยหรอกทางโลกไม่ได้อยากเป็นเจ้าจอมจักพรรรดิ์ เพราะผ่านมาแล้ว จอมจักรพรรดิที่มีอำนาจโหดด้วย ผ่านมาแล้วและจะไปเป็นอีกทำไม อาตมาไปตามทำนองครรลองของพระพุทธเจ้า
อาตมากำลังเดินทางอยู่ มีนัยลึกซึ้งว่า หากจะไปมีความบริบูรณ์สูงสุดเท่ากับพระพุทธเจ้าก็กำลังทำ หากจะไม่ไปก็ไม่มีความสงสัย แต่เนื้อหาของศาสนาพุทธที่ต้องใช้ทั้งคำอธิบาย ยืนยันของแท้ที่มีได้เป็นได้ อาตมาพาทำมา 40-50 ปีมาแล้ว ทำทางนามธรรมเป็นหลัก ในหลวงทำรูปธรรม ทางนามธรรมละเอียดละออมากกว่ายากมากกว่ามาก ในหลวงทำมา 70 ปีท่านทำสำเร็จ หากอาตมาทำไปอีก 20 ปี ทางนามธรรมยากกว่า แล้วจะคอยดูผลว่าจะเป็นอย่างไร อีก 20 ปีอาตมาก็อายุ 105-106 ก็คอยดูตอนนั้น ไม่ได้พยากรณ์นะ แต่พูดตามเนื้อหาสัจธรรม มันอาจจะไม่ดีก็ได้ ถ้าไม่ช่วยกัน …จะช่วยอาตมาไหม …ช่วย (ตอบกันเสียงดัง)
คนที่เข้าใจรู้อยู่แล้วก็มาช่วยมาเป็นมวลคนละนิดคนละหน่อย เราก็ภาคภูมิใจที่เราได้มีพัฒนาการ จิตวิญญาณมนุษย์ชาติเป็นอย่างนี้สุดประเสริฐแล้ว
ขอสรุปซ้ำซากว่า เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่มีอะไรดีกว่าทางธรรมะ ที่จะเอามาใช้กับมวลมนุษยชาติกับสังคม รวมศาสตร์ต่างๆวิชาการความรู้ต่างๆอยู่ในนี้หมดแล้ว จะไปเก่งวิชาการศาสตร์ต่างๆ เก่งเฉพาะด้านก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ก็ได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเท่านั้นเอง แม้จะเก่งทางด้านโลกีย์เป็นคนดีคนเก่ง เป็นศาสดาแต่ลดอัตตามานะไม่ได้ ทำความสมบูรณ์ในเรื่องโลกุตรธรรมไม่ได้ มันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่หรอก
เพราะฉะนั้นความเป็นมนุษย์ในจิตวิญญาณนั้นความเป็นโลกุตรธรรมนั้นสูงสุดแล้ว เพราะฉะนั้นก็จะมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนใดที่เกิด อัญญธาตุ ก็จะเริ่มต้นเข้าสู่กระแสของโลกุตรธรรม อัญญ แปลว่าอื่น โลกียะ คือ ความวนสูงต่ำดีชั่ว แต่จะไม่เข้าใจความสุขความทุกข์ที่เป็นอริยสัจที่เป็นความประเสริฐยิ่งใหญ่ ความดีความชั่วไม่ใช่อริยสัจ เป็นสมมติสัจจะ ไม่ใช่ปรมัตถสัจจะไม่ยิ่งใหญ่เท่า ความสุขความทุกข์เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดเพราะว่าความสุขความทุกข์เป็นเรื่องของการติดยึดอัตตา
จะล้างอัตตา ต้องมาเรียนรู้ความสุขความทุกข์ ความดีความชั่วเป็นการแข่งขันเสริมอัตตาเท่านั้น คุณต้องดีกว่าเขาไปเรื่อยๆ แต่ความสุขความทุกข์นั้น ล้างความสุขความทุกข์ออกจากความยึดติด หรืออัตตา คุณล้างสุข ล้างทุกข์ออก อัตตาคุณก็ลดลง แต่หากคุณเพิ่มดีๆๆๆ อัตตาคุณไม่ลดหรอก
หากคุณดีใครก็ต้องยอมให้ คุณก็ยึดถือไว้ แล้วคุณก็ต้องทำดีต่อไปอย่าปล่อยปละละเลยหากไม่มีดีแล้วเสียเลยนะ แต่ความสุขความทุกข์ไม่มีปัญหาคุณปล่อยความสุขก็ได้ปล่อยความทุกข์ก็ได้ ปล่อยไปเลยหมดเลยความสุขความทุกข์ แจ๋วมาก สูญเลย
เห็นไหมว่าความดีความชั่ว ความสุขความทุกข์ นั้นมันต่างกันมีนัยยะลึกซึ้งมาก
ศาสนาที่มีอัญญธาตุ ก็มาเข้าสู่กระแสเรียนรู้ความสุขความทุกข์
ยิ่งเป็นสุขนิยม เทวนิยม สุขสูงสุด สบายที่สุด ใหญ่ที่สุด รู้ที่สุด เก่งที่สุด เป็นพระเจ้า
ขออภัยนะ ไม่รู้เรื่อง “ที่สุด” ก็คือพระเจ้า หรือไม่มีใครรู้จัก “ที่สุด” เลยคือพระเจ้า
อย่างเก่งก็มีพระบุตร นำคำพระเจ้ามาประกาศ ตัวเองก็ยังไม่รู้ตัวเองเลยพระบุตร บอกว่าเอามาจากพระเจ้าไม่ใช่ของตัวเองหรอก คนนั้นยังไม่รู้ตัวเองยังไม่รู้จักอัตตาของตัวเอง
ศาสดาทุกองค์มีของตัวเองมีภูมิเท่านี้ ศาสดาแต่ละองค์ก็มีแนวคิดความรู้ของแต่ละองค์ ก็ตราหลักธรรมของตัวเองของแต่ละศาสดา ไม่ว่าจะเป็นเหล่าจื้อ ขงจื้อ หรือทางได้อินเดียก็ใครต่อใครมาก็แล้วแต่ ศาสดาเทวนิยมต่างๆ จนถึงพระบาฮาอุลลาห์ จะเอาเทวนิยมรวมกับอเทวนิยม พระบาฮาอุลลาห์ เป็นศาสดาของศาสนาบาไฮ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะรวมเพราะเป็นคนละตระกูล นิกายยังรวมไม่ได้จะรวมแต่ละศาสนาได้อย่างไร
ทุกวันนี้ศาสนาแต่ละศาสนาจะพยายามทำงานร่วมกัน ก็ได้ ได้แต่เปลือกโลกีย์ แต่เอาปรมัตถ์จิตวิญญาณรวมกันไม่ได้ แต่จะมีแนวร่วมมา “จน” โอ้โห.. ชาวพุทธนั้นจนสู้ศาสนาเชนไม่ได้นะ “จน”กระทั่งผ้านุ่งเขายังไม่เอาเลย มีแต่ชามใส่ข้าวกิน เอาแส้ปัดสัตว์เล็กสัตว์น้อยออก แต่สัตว์ที่มันมีวิบากต่างๆกันนั้นมีรายละเอียด เป็นความมากความน้อยของกรรมวิบาก ขอย้ำอีกทีเรื่องสัตว์
คนไม่ได้เข้าใจง่ายๆเลยเรื่องของ “สัตว์” พระพุทธเจ้าไม่ฉันเนื้อสัตว์ แล้วท่านก็สอนไม่ฉันเนื้อสัตว์ เพราะว่าเป็นบาปเป็นอันมาก ในชีวกสูตร
-
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
-
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
-
สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60