620918_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปรับปวาทะพาให้เกิดวิเวก 3
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1R10YuJHZ2D50XaRLf2wCOvzFPA3Fx6fqixOfd4ti9Cs/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1PYkfxnsg_eN3AgOQUCruBmxTOsxl1aDJ
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันพุธที่ 18 กันยายน 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้น้ำลดลงเป็นลำดับ ระดับน้ำสูงสุดในวันที่ 13 กันยายน ที่อาคารบวร วันนี้มีการช่วยกันทำความสะอาดพื้นอาคาร ซึ่งยังทำไม่หมดพื้นที่มีเป็นจำนวนมาก มีงานที่ต้องยกของกลับพื้นที่อีกมาก รอทำสถานที่ให้สะอาดและแน่ใจว่าน้ำไม่มาอีก
เรามีงานที่เตรียมสถานที่ขายอาหารเจในเทศกาลกินเจ
อีกงานหนึ่งคืองานช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มีน้ำมากที่ท่วมแต่ดื่มไม่ได้และมีน้ำที่เน่าเหม็น เราก็ไปช่วยบำบัดน้ำเสีย
อีกงานคือเรื่องการช่วยเหลือสุขภาพของชาวบ้าน เช่นโรคน้ำกัดเท้า เราก็หายาไปช่วยเขาอีก
ต่อมาข่าวว่าเดี๋ยวจะหนาว เราก็คิดไปหาเสื้อกันหนาวให้พวกเขาอีก
อีกอย่างคือ นาของชาวบ้านถูกน้ำท่วมหมด เราก็พยายามช่วยชาวบ้าน แม้ที่เราเองก็ต้องปลูกข้าวเช่นกันหลังน้ำลด
พ่อครูว่า…มาดู sms
SMS วันที่ 16 ก.ย. 2562 (วิถีอาริยธรรม สมณะสิกขมาตุ)
_1182เห็นน้ำตาชาวอุบลแล้วสงสาร!ชาวบ้านราชเสียที่ทำกินเรือกสวนไร่นาก็เห็นใจ! จำสัจธ.พ่อครูฯ มนุษย์ยุคสมัยนี้เก่งที่สุดแล้วจริง ๆ ในทางการสร้าง สรรและวางระบบต่าง ๆ อันเป็นเรื่องของวัตถุ!แล้ววัตถุก็จมน้ำ!แต่ชีวิตที่รอด พ้นน้ำสำคัญเหนือกว่าวัตถุเพราะชีวิตพังแล้วซ่อมไม่ได้เช่นวัตถุของ ๆ โลกที่ไม่ใช่ของ ๆ จิตวิญญาณใด!
_แก้วลา ไชยวงค์ · กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพและเชื่อมั่นในคำสอนของพ่อท่าน กราบนมัสการท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุเจ้าค่ะ
ติดตามข่าววันนี้น้ำในเมืองอุบลเริ่มลดลงแล้วทางบ้านราชน้ำลดหรือยังเจ้าค่ะ
_sarayut bunyago สราวุธ บุญญโก: ฟังแล้วฟังซ้ำ หวังว่าสักวัน อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญๆ” โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอๆ
พ่อครูว่า…คุณคนนี้มีปฏิภาณว่า ฟังแล้วก็ดี แต่ยังไม่ถึงอัญญธาตุ ก็เลยว่าฟังแล้วสักวันตนเองคงเกิดอัญญธาตุ
_Thailand in. Chinese
สอนอะไรก็ไม่รู้..อุตุ พีชะ เทวะ อเทวะยกตัวเอง คลิปใหนก็วกวนอยู่แค่นี้..ทำไมไม่สอนเรื่องทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์อันเป็นหัวใจพุทธศาสนา..ทุกคนเวียนว่ายอยู่ในทะเลทุกขเหมือนไฟกำลังลุกไหม้บนศีรษะแต่ไม่รู้ตัวเพราะอวิชชาบังใจไว้.บอกเขาสิ…ท่านอย่าประณามหลวงตาบัวเลย ผมฟังทีไรรู้สึกเหมือนหมาเห่าช้างทุกทีเลย..
พระพุทธเจ้าไม่เคยประกาศสาธารณโภคี ไม่เคยสอนให้คฤหัสถ์เป็นคนจนแต่ทรงสอนให้ขยันประหยัดอดออม(อุฏฐานสัมปทา อารักขฯ สมชีวิตา กัลยาณมิต)เรียกว่าทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์และยังทรงชี้ว่าคฤหัสถ์จะมีความสุขจะต้อง มีทรัพย์ ได้ใช้จ่ายทรัพย์ ไม่เป็นหนี้ ทำงานไม่มีโทษ(สัมมาชีพ) พระต่างหากที่ท่านสอนให้จนไม่มีสมบัติใดๆ และงดเว้นจากงานของคฤหัสถ์..
พ่อครูว่า…เอาล่ะ คุณทักท้วงถูกต้องมีความรู้ดีพอสมควรในเรื่องสัจธรรมพระพุทธเจ้า แต่อาตมายังไม่เก่ง อธิบายไม่กระจ่างพอ ไม่ชัดเจนพอคุณก็เลยสับสนหน่อย ที่คุณไม่รู้เพราะอาตมาเน้นโลกุตระเสียเยอะ โลกียะอาตมาพูดบ้างแต่ไม่มาก อาตมาก็เข้าใจนะว่าคุณยังไม่รู้เรื่องโลกุตระก็เลยบอกว่าสอนอะไรก็ไม่รู้
แล้วก็บอกว่าอาตมายกตัวเอง คือที่อาตมายกตัวเองเป็นปัคคัณเห ยกตัวเองมาบอกว่าอาตมาเป็นไก่ตัวพี่ในยุคนี้เป็นผู้ที่รู้โลกุตระในยุคนี้เอามาประกาศ แต่อาตมาก็ข่มตัวเองอยู่ตำหนิตัวเองอยู่ที่ไม่เก่งทางโลก ก็เก่งทางธรรมก็ยกย่องตัวเอง ที่ต้องยกย่องตัวเองเพราะว่าผู้ไม่มีอคติไม่มีปัญหากับอาตมาจะชัดเจน เพราะอาตมาพูดตรงสิ่งที่ควรยกก็ยก สิ่งควรข่มก็ข่ม แต่คุณคนนี้ไม่เชื่อ อาตมาไม่ยกหรอกคนไม่ควรยก
อาตมาไม่มีอื่นหรอก คุณจะฟังจนอาตมาตายก็ฟังวนอยู่อย่างนี้ อาตมาจะสอนเรื่องโลกีย์น้อย สอนโลกุตระมาก แต่คุณก็ฟังเรื่องโลกุตระไม่เข้าใจก็น่าเห็นใจ แต่คนที่แสวงหาโลกุตระก็มีอยู่แล้วก็จะได้แน่นอน แน่นอนว่าคนรู้โลกุตระก็มีน้อยคนไม่รู้โลกุตระนั้นก็มีมาก
อาตมาทำงานกับคนหมู่น้อยไม่ได้ต้องการทำงานกับคนหมู่มาก เพราะว่าแม้จะน้อยแต่เนื้อแท้แก่นแท้ของศาสนาพุทธนั้นคือโลกุตระ แต่ในยุคนี้โลกุตระนั้นไม่มีแล้ว อาตมาจึงต้องเน้นเรื่องโลกุตระให้มาก ก็จะวนอยู่อย่างนี้ บอกว่าทำไมไม่สอนเรื่องทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ที่เป็นหัวใจของศาสนา อาตมาว่าอาตมาสอนเรื่องนี้แต่คุณฟังไม่เป็นคุณฟังไม่ออก คุณฟังไม่เข้าใจเนื้อแท้ของโลกุตระนั้น ต้องรู้ความทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ รู้ความดับทุกข์ที่เป็นสัมมาทิฏฐิด้วย
ทุกข์มันไม่ใช่ว่าคุณไม่มีทรัพย์แล้วก็ทุกข์ ไม่ใช่ คุณมีทรัพย์แต่คุณก็ทุกข์ คุณไม่มีทรัพย์แต่คุณก็ทุกข์ แต่คนที่เป็นโลกุตระนั้นมีทรัพย์หรือไม่มีทรัพย์ก็ต้องเรียนรู้ทุกข์ที่เป็นปรมัตถ์ที่เป็นโลกุตระ ขออภัยที่พูดไม่ได้ข่มใครไม่ได้ยกใคร สิ่งควรยกก็ยก สิ่งควรข่มก็ข่ม แต่คุณไม่เข้าใจอาตมา เพราะอาตมาเป็นคนตรง สิ่งที่ถูกอาตมายกก็ต้องยก
สู่แดนธรรมว่า..เขาเห็นว่าพ่อท่านสอนฆราวาสทำไมสอนโลกุตระ จะได้เรื่องหรือ?
พ่อครูว่า..อาตมาขอยืนยันว่าฆราวาสนั้นจำเป็นต้องรู้จักโลกุตรธรรม ส่วนพระนั้นก็แน่นอนสอนโลกุตระ เพราะว่าผู้มาบวชย่อมมาหาโลกุตระแน่นอน ทีนี้สอนฆราวาส จะไปสอนโลกีย์อีกทำไม เพราะคุณว่าทางโลกสอนโลกียะมากแล้วหรือไม่ อาตมาจึงต้องเน้นโลกุตระ แม้เป็นฆราวาสมีทรัพย์หรือไม่มีทรัพย์ก็ไม่ได้หมายความว่าจะพ้นทุกข์ ต้องสอนโลกุตระ จะมีลาภหรือไม่มีลาภก็ต้องสอนโลกุตระ
อาตมาก็บอกก็สอนเรื่องพ้นทุกข์แต่คุณฟังไม่ออก อาตมาก็ซวยหน่อยคือสอนคนโง่ เขาก็ต้องมาด่าเราก็ขออภัยอีกทีหนึ่ง
สมณะฟ้าไทว่า…ทำไมคนนี้ไม่สอนเอง
พ่อครูว่า…ก็เขาไม่อยู่ในฐานะ
เขาว่าท่านอย่าประณามหลวงตาบัว เขาว่าเหมือนหมาเห่าช้าง…ใช่ คุณก็ต้องเข้าใจอย่างนั้น อาตมาทำไมต้องประณามหลวงตาบัว อาตมาไม่ได้ประณามเท่านั้นอาตมาด่าด้วย ประณามแปลว่ายกย่องชมเชย ประณามคาถาคือคาถายกย่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อาตมาต้องข่มหลวงตาบัว ไม่ได้ยกไม่ได้ชมเชยหลวงตาบัว แค่นี้คุณก็ไม่รู้แม้คำว่าประณามก็ไม่เข้าใจ ฟังดีๆ
หลวงตาบัวเป็นคนควรถูกข่มมากที่สุดเพราะว่ามาหลอกคนอื่นว่าตนเป็นอรหันต์ เว้นแต่หลวงตาบัวหลงตัวเองว่าเป็นอรหันต์ เพราะอวดอุตริมนุษยธรรมที่ไม่มีในตน อัตตาก็หนา เช่นภาคภูมิใจมากที่ตัวเองไปเรี่ยรายเงินหรือทองเข้ากองคลัง ได้รับความยกย่องนับถือจากคนไม่รู้กี่ระดับ ที่ไปเรี่ยไรคนแล้วเอามาให้แก่ชาติ ก็ดี แต่แบบตื้นเขิน เหมือนนักวิ่งตูน วิ่งแล้วเอาเงินมาให้แก่โรงพยาบาล ขณะนี้ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ กำลังดัง รวบรวมเงินบริจาคไปแจกคนก็เป็นเรื่องที่สวยที่ดี เด่น โก้ แต่การโก้อันนี้อาตมาขอยืนยันว่า มหาบัวไม่รู้ตัวหรอก เรี่ยไรได้มากเอาเข้าคลัง หลวงตาบัวมีมานะอัตตายินดี จิตติดในมานะอัตตา ยินดีในกรรมที่ตัวเองทำ ภพที่ตัวเองทำ แต่มหาบัวไม่รู้ตัว เขาภาคภูมิใจมาก
มีวิธีการเรี่ยไรเก่งๆแล้วเอามาให้คนอื่นต่อ มันต้องเท่แน่นอน คนอื่นเข้าใจว่าเก่ง แต่เก่งก็เป็นอย่างแค่โรบินฮู้ด เทียบกับธัมมชโย ธัมมชโยมีกลยุทธ์วิธีการเก่งกว่ามหาบัว เรี่ยไรได้มากกว่า แล้วไม่เอาไปทานให้ผู้อื่น เอามาปู้ยี่ปู้ยำสร้างอาณาจักร แต่คนก็จับได้ง่าย แต่มหาบัวคนจับไม่ได้ง่าย ๆ อย่างเก่งก็เท่ากับโรบินฮู้ด ไม่ว่าจะเป็นตูนก็ตาม ซึ่งอย่างนี้คนโลกีย์รู้ดี จะว่าไม่ดีไม่ได้ ดี แต่เอาดีนี้มาโชว์แล้วตัวเองก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองติดยึดดี ไม่ใช่โลกุตรธรรม แต่ตัวเองไม่รู้ตัวว่าตัวเองติด
อาตมาต้องไขความ ที่อาตมาต้องประณามมากเพราะมาหลอกลวงคนทั้งกาม อัตตาก็มาก แล้วมาหลอกคนว่าตนเองเป็นอรหันต์เพราะเป็นการทำลายรากของศาสนา อาตมาไม่ได้ชมมหาบัวนะแต่ต้องข่ม คุณไม่รู้ก็ว่าอาตมาเป็นหมาไปเห่าช้าง เป็นธรรมดาคนเราที่ยังอวิชชาจะเห็นความสูงเป็นความต่ำ ความต่ำเป็นสูง ความใหญ่เป็นความเล็ก
แล้วบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยประกาศสาธารณโภคี ใช่ แต่พระพุทธเจ้าตรัสในเรื่องสาธารณโภคีไว้ในสาราณียธรรม 6 ในโกสัมพีสูตร
ส่วนอาตมานั้นภาคภูมิใจมาก ที่สาธารณโภคี แน่นอนในยุคพระพุทธเจ้าท่านไม่ตรัสมาก ถ้าเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่คุณเข้าใจไม่ได้หรอกขออภัยที่พูดความจริง ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นยุคทาส ยังไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชน พระพุทธเจ้าไม่ได้ประกาศธรรมดาแต่ทำแล้วกับภิกษุทุกองค์ ก็อาจจะมีพระเกเรที่ไม่มีบ้าง แต่พระที่อยู่ในธรรมในศีลมีเยอะ คือไม่สะสมเงินทอง โภคขันธาปหายะ เป็นอนาคาริกบุคคล ไม่มีเงินทองข้าวของบ้านช่องเรือนชาน อย่างมีญาติปริวัตตังปหาย จริง แต่มีแต่ในสงฆ์ แต่ในยุคนี้เป็นคนละกาละ คนละยุคสมัย
ขนาดพูดวนขนาดนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกคุณยังเข้าใจไม่ได้ คนที่รู้จะเห็นว่าอาตมาอธิบายลึกละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ แต่คนไม่เข้าใจจะเห็นวนในที่ตื้น เขาอยู่กลางทะเลไม่เห็นฝั่ง เขาได้แค่นั้นตื้นๆ
ที่บอกว่าไม่เคยสอนสาธารณโภคี ขอยืนยันว่า เรื่องสาธารณโภคีเป็นเศรษฐศาสตร์เรื่องทันสมัยที่สุดในโลก คอมมิวนิสต์จะมี คอมมูน ส่วนกลาง สาธารณะ ให้รวมเป็นทรัพย์สินส่วนกลางมากที่สุด ประชาธิปไตยก็มีการรวมให้เป็นส่วนกลาง (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า…ในสมัยพระพุทธเจ้ายังเป็นระบบทาสอยู่ ก็จะทำไม่ได้อยู่แล้ว แต่ในยุคนี้เป็นอิสรเสรีประชาธิปไตย เขาไม่เข้าใจว่าจริงๆแล้วฆราวาสก็เป็นพระอาริยะได้ โพธิสัตว์ในร่างฆราวาสก็มีเยอะแยะ แล้วแต่ว่ากาละนี้จะทำอะไร พ่อครูเคยเป็นพระโพธิสัตว์ในร่างฆราวาสก็เคยเป็นมาแล้ว แต่ในยุคนี้เป็นในคราบนักบวชเท่านั้นเอง
พ่อครูว่า…ขออภัยที่สอนไม่เก่งพอ คุณก็เลยสับสน เรื่องของสาธารณโภคีเป็นโลกุตระอย่างยิ่งเพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยาก คุณบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยสอน ให้คฤหัสถ์เป็นคนจน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นเศรษฐีมาก่อนแล้วมาเจอพระพุทธเจ้าก็จึงมาเป็นคนจน แม้แต่นางวิสาขา ก็เป็นคนรวย ก็พยายามทำทานสละออกแต่มันไม่หมด คนสมัยโบราณสมัยโน้นเขารวยจริงๆ ทำทานยังไงก็ไม่หมด พยายามแกล้งทำทาน เอามหาลดาปสาธน์ เอาชุดเพชรชุดทองที่อลังการ แกล้งเอามาห้อยในวัด พระอานนท์จับแล้วก็ถือว่าเป็นของท่านก็เลยทำทานไป
เป็นฐานะองค์ประกอบในยุคนั้นที่คุณเข้าใจไม่พอ แต่มีหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎกโกสัมพีสูตร มีสอนเอาไว้ในเรื่องของสาราณียธรรม 6 ลาภัมมิกา เป็นลาภโดยธรรม เฉลี่ยลาภเป็นสาธารณโภคี
อาตมาทำตามสัจจะ คุณว่าคฤหัสถ์ต้องสอนให้เขามีความสุข อาตมาว่าไม่มีคำสอนใดที่พระพุทธเจ้าจะเน้นให้ฆราวาสมาเป็นคนมีความสุข แต่ถ้าจะพูดผ่านๆ ว่าพวกที่ยังต้องติดความสุข เป็นเรื่องของการเป็นการติดยึด มันเป็นเรื่องลึกมากเกิน ก็ยากที่จะอธิบายยากที่จะทำให้เข้าใจได้ เช่นใน คุหัฏฐสุตตนิทเทสที่ 2 ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นผู้มีกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว คือกิเลสหนาแล้ว นรชนเมื่อตั้งอยู่ ยังเป็นคนอยู่ก็หยั่งลงในที่หลง คนในโลกนี้ ยังข้องอยู่ในถ้ำ มีกิเลสมากแล้วตนเองก็ปิดบังไว้แล้วอีก
เพราะฉะนั้นเมื่อตั้งอยู่อย่างนี้ ก็หยั่งลงในที่หลง
ประชาชนคนทั่วไปเป็นคนอยู่ในฐานของความหลง ตั้งอยู่บนความหลง ก็หยั่งลงในที่หลง นรชนเช่นนั้นอยู่ไกลจากวิเวก 3 คือกายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก ก็เพราะกามทั้งหลายในโลกไม่เป็นอันนรชนละได้ง่าย
กามเป็นเบื้องต้น กาม ถ้าไม่รู้ละไม่ได้ การละตั้งแต่เบื้องต้น คุณคนนี้ เช่นมหาบัวเป็นต้น ติดหมากพลูเป็นกามของเสพติดก็ไม่รู้ จึงไกลจากวิเวก 3 สุดกู่
คำสอนพระพุทธเจ้า คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
คำว่าสงบมีหลายศัพท์ กว่าจะเข้าใจความสงบที่ครบถ้วน ไม่ง่ายหรอก สันตา ปณีตา สุขุมประณีต ละเอียดลออ
สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ คำว่าปุนาติ คือการชำระ
วิโสเทติ แปลว่าสะอาดหมดจน นิปุนา แปลว่าไม่ต้องชำระอีกแล้ว พวกที่เรียนไวยากรณ์บาลีจะปวดหัวที่อาตมาแปลแบบนี้ อาตมาแปลตามสาระของสภาวะ พยัญชนะมีรากจากสภาวะ อาตมาแปลจากต้นรากของสภาวะ อาตมาไม่พูดให้ผิดเพราะเป็นบาป
คุหัฏฐสุตตนิทเทสที่ 2 นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำคือกาย หรือข้องอยู่ในกาม
กาม เป็นกิเลสภายนอก เช่น กามคุณ 5 ถ้าภายในคือจิต มี 1
เมื่อมีจิตด้วย ทำไมต้องมีจิต ต้องมีจิต ต้องมีธาตุรู้ของคน สัตว์มันเริ่มมีกามแล้ว แต่มันเรียนรู้ไม่ได้ คนอเวไนยสัตว์ก็สอนไม่ได้ไม่รู้เรื่องกาม คนจะรู้เรื่องกามต้องเป็นเวไนยสัตว์โลกุตระ แล้วต้องรู้เรื่องคู่กันภายนอกกับภายใน เรียกว่า กาย
กายต้องมีภายนอกกับภายใน แล้วไม่แยกกันด้วย แยกเมื่อไหร่ คุณหมดทางศึกษา เพราะฉะนั้นผู้ที่เริ่มบวช อุปัชฌาย์จะต้องให้ไปพิจารณาแยก ธรรมนิยาม 5 แยกกายแยกจิตให้ได้
มูลกรรมฐาน คือกรรมฐานแรกของนักบวช หากเข้าใจแยกกายแยกจิตไม่ได้ ก็ไปสึกเสีย ไม่มีทางที่จะบรรลุธรรม
คุณคนนี้ว่าพูดอะไรก็ไม่รู้ อุตุ พีชะ แต่อาตมาก็ว่าอาตมาสอนผู้ที่จะไปโลกุตระ อาตมาไม่เก่งสอนโลกียะ ชาตินี้อยู่ทางโลก 36 ปีก็เก่งแล้ว มาอยู่ทางนี้เกิน 36 ปีแล้วก็จะอยู่ไปให้มากรอบต่อไป เป็น 96 ก็เลย 36 ปีมาสองรอบ
พ่อครูจิบน้ำ…
สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…
สมณะเดินดิน…
พ่อครูว่า…อาตมาสอนเรื่องโลกียะน้อยจริงๆ โดยเฉพาะจะสอนให้ไปอาศัยหรือแย่งชิงหรือไม่แย่งก็ตามมีซับซ้อนเยอะแล้วสอนโลกียะเป็นลำดับขั้นมีเยอะอยู่แล้ว อาตมาไม่จำเป็นต้องไปแย่งสอน แต่หาคนที่สอนโลกุตระมันหาไม่ได้ ไม่มีความรู้จริง รู้ผิดๆถูกๆก็ยิ่งแย่ เอาโลกุตระไปสอนผิดก็ยิ่งแย่ อาตมาจึงจำเป็นต้องสอนเรื่องโลกุตระนี้ให้หนักให้มาก จึงเป็นเรื่องยากที่ ผู้ที่ไม่รู้เรื่องโลกุตระฟังแล้วไม่รู้เรื่อง บอกว่าสอนอะไรก็ไม่รู้ก็ต้องขออภัย เพราะอาตมาไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะไปสอนเรื่องโลกียะมาก
แล้วอาตมาก็มีคนจำนวนน้อยที่จะมาฟังอาตมารู้เรื่องมายินดีในโลกุตระมีน้อย เหมือนอาจารย์สัญชัยเวลัฏฐบุตร บอกพระสารีบุตร เพราะเป็นเรื่องของที่ไม่ทั่วไปของปุถุชน เป็นของวิสามัญ เป็นของเฉพาะ อันนี้เป็นแก่น โลกุตระเป็นแก่นเป็นเนื้อหาสาระของศาสนาพระพุทธเจ้า ศาสนาอื่นใดไม่มี ในยุคนี้เป็นยุคที่มีความทุกข์มาก จึงจำเป็นที่จะต้องสอนเรื่องทุกข์ที่คุณว่า คุณฟังไม่เป็นเอง ธรรมะสอนใจเรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อาตมาไม่ได้สอนเรื่องอื่นหรอกแต่คุณฟังไม่เป็น โลกุตระเป็นอริยสัจเป็นเรื่องออกจากทุกข์ สอนให้ออกจากทุกข์ออกจากสุข ความสุขความทุกข์เป็นโลกียะทั้งคู่ เป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อนแต่คุณก็คงจะยาก อาตมาจึงต้องสอนแบบนี้ ก็ต้องขออภัยที่ทำให้คุณรำคาญรกหู อย่างไรก็ต้องดื้อสอน เพราะว่าเป็นสิ่งจำเป็น คุณฟังไม่ได้ก็ต้องไปฟังที่อื่น ฟังอาจารย์คนอื่นสอนไปตามภูมิที่คุณยึดว่าอันนี้เข้าท่า ตามฐานะของคุณ อันนี้ไม่ได้อยู่ในฐานะที่คุณจะฟังรู้เรื่องก็อย่าไปเคืองอาตมาอย่าไปชิงชังอาตมาเลย อาตมาไม่มีความปรารถนาร้ายไม่ได้มีจิตที่จะไปทำอะไรให้มันเสียประโยชน์ ไม่รบกวนหรอก เป็นแต่เพียงว่าคุณมาอยู่ในแวดวงพวกเรา ในหมู่มวลที่พวกเราเข้าใจได้ประโยชน์ไม่ได้เท่านั้นเอง คุณอยู่นอกกรอบของประโยชน์ที่อาตมาจะขยายประโยชน์ไปให้ฟัง เพราะฉะนั้นคุณรับประโยชน์อื่นที่ไม่ใช่ประโยชน์โลกุตระก็ไปเถอะ ส่วนอาตมาจำเป็นต้องสอนประโยชน์ที่เป็นโลกุตระ อาตมาก็ขอแล้วนะ คุณคนนี้จะว่ามาอีกหรือไม่ก็ไม่รู้นะก็ฟังดู
มาพูด คุหัฏฐกสุตตนิทเทสที่ 2 เป็นเรื่องยาก
เนื้อแท้มาขยายวิเวก
วิเวกมี 3 ข้อ กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก
กายนั้น ถ้าเผื่อว่าพูดถึงกายคือความหมายหยาบๆ ก็หมายถึงภายนอก เพราะฉะนั้นวิเวกแปลว่าความสงบสงัด ถ้าจะใช้ภาษาไทย วิเวกแปลว่าสงัด ถ้าสงบก็คือปัสสัทธิ เป็นความสงบแบบโลกุตระ
คำว่า สงบ มี สมถะ วิเวก ปัสสัทธิ
วิเวก แปลว่า ความสงัด ใครฟังพอเข้าใจนัยต่างของสงบกับสงัดไหม
สงัด แปลว่า เงียบจากสิ่งรบกวนภายนอก เรียกว่า กายวิเวก เน้นภายนอก
จิตวิเวก ก็หมายถึง ความสงัดภายใน จิตวิเวกภายใน
วิเวก ไม่ใช่ปัสสัทธิ
คนไปเรียนวิเวกภายใน ก็ได้แต่สมถะ สงบ แข็งทื่อ ตกเป็นสมถะ ไม่เป็นปัสสัทธิ
ผู้ที่เรียนรู้อย่างสัมมาทิฏฐิ ก็จะเป็นอุปธิวิเวก
ผู้เรียนรู้อย่างมิจฉาทิฐิก็จะเอาร่างกายไปออกป่าเขาถ้ำ บอกว่าสงบแล้วเป็นจิตที่สงัด ก็ไปนั่งสมาธิหลับตาก็ได้จิตที่สงัดเป็นจิตวิเวก ซึ่งมันไม่ใช่จิตแบบปัสสัทธิ
จะเป็นปัสสัทธิได้จะต้องรู้ อุปธิ
อุปธิ ต้องรู้กิเลส อุปธิมีขันธ์ก็ต้องรู้ขันธ์ อุปธิมีอภิสังขารก็ต้องรู้อภิสังขาร
ต้องสามารถแยกกิเลสจากจิต จากขันธ์ ต้องมีความรู้ในอภิสังขาร ปุญญาภิสังขาร กำจัดกิเลสได้ ขันธ์เราก็สะอาดขึ้น อภิสังขารเราเป็นสัมมาทิฏฐิ ล้างกิเลสได้หมดก็เป็นอุปธิวิเวกก็เป็นอมตะ เป็นนิพพานได้ ได้ธรรมะเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง สละทั้งกิเลสทั้งขันธ์ทั้งอภิสังขาร ที่ดับเป็นที่สำรอกออกจากตัณหาเครื่องร้อยรัด นี่คือ อุปธิวิเวก
วิเวก 3 อย่างนี้ กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก
ถ้าไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ กายวิเวกจะได้แค่การเอาร่างกายออกป่าเขาถ้ำ อย่างที่ท่านตรัสไว้ในข้อ 33 คำว่า นรชนเช่นนั้น ย่อมอยู่ไกลจากวิเวก มีความว่า วิเวก ได้แก่ วิเวก 3 อย่าง คือ กายวิเวก จิตตวิเวก อุปธิวิเวก.
กายวิเวกเป็นไฉน? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมซ่องเสพเสนาสนะอันสงัด คือป่า โคนต้นไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง และเป็นผู้สงัดด้วยกายอยู่คือ เดินผู้เดียว ยืนผู้เดียว นั่งผู้เดียว นอนผู้เดียว เข้าบ้านเพื่อบิณฑบาตผู้เดียว กลับผู้เดียว นั่งอยู่ในที่เร้นลับผู้เดียว อธิษฐานจงกรมผู้เดียว เป็นผู้เดียว เที่ยว อยู่ เปลี่ยนอริยาบถ ประพฤติรักษาเป็นไป ให้เป็นไป นี้ชื่อว่า กายวิเวก.
พ่อครูว่า…เข้าใจกายวิเวกแต่พฤติกรรมภายนอก
จิตตวิเวกเป็นไฉน? ภิกษุผู้บรรลุปฐมฌาน มีจิตสงัดจากนิวรณ์ บรรลุทุติยฌาน มีจิต
สงัดจากวิตกและวิจาร บรรลุตติยฌาน มีจิตสงัดจากปีติ บรรลุจตุตตถฌาน มีจิตสงัดจากสุขและทุกข์ บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน มีจิตสงัดจากรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา นานัตตสัญญา บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน มีจิตสงัดจากอากาสานัญจายตนสัญญา บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน มีจิตสงัดจากวิญญาณัญจายตนสัญญา บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน มีจิตสงัดจากอากิญจัญญายตนสัญญา (เมื่อภิกษุนั้น)
เป็นโสดาบันบุคคล มีจิตสงัดจากสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาสทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับสักกายทิฏฐิเป็นต้น
เป็นสกทาคามีบุคคล มีจิตสงัดจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ อย่าง กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อย่างหยาบ และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกันกามราคสังโยชน์อย่างหยาบเป็นต้นนั้น
เป็นอนาคามีบุคคล มีจิตสงัดจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์อย่างละเอียดกามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อย่างละเอียด และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับกามราคสังโยชน์อย่างละเอียดเป็นต้นนั้น
เป็นอรหันตบุคคลมีจิตสงัดจากรูปราคะ อรูปราคะ มานะอุทธัจจะ อวิชชา มานานุสัย ภวราคานุสัย อวิชชานุสัย กิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับรูปราคะเป็นต้นนั้น และจากสังขารนิมิตทั้งปวงในภายนอก นี้ชื่อว่าจิตตวิเวก.
อุปธิวิเวกเป็นไฉน? กิเลสก็ดี ขันธ์ก็ดี อภิสังขารก็ดี เรียกว่าอุปธิ.
อมตะ นิพพาน เรียกว่า อุปธิวิเวก ได้แก่ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่สำรอก เป็นที่ดับ เป็นที่ออกไปจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด นี้ชื่อว่าอุปธิวิเวก.
พ่อครูว่า…ทุกวันนี้อธิบายเข้าใจกันไม่ได้ กายวิเวกก็เอาร่างกายออกป่าเขาโคนไม้ป่าช้า ก็ไม่ผิดกายสังขารแบบโลกียะ แต่ถ้าเป็นโลกุตระแล้วจะเอากายไปอยู่ป่าเขาถ้ำก็ได้ ไม่อยู่ก็ได้ เข้าใจคำว่ากายแล้วแยกกายกับจิตออก อย่างนี้ไม่ใช่กายแล้วเป็นอุตุ อย่างนี้เป็นพีชะ แต่ไม่ใช่กาย อยู่กับตัวเรามีชีวะอยู่แต่ไม่ใช่กาย แต่คนเข้าใจยาก
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันอยู่ภายนอก มันไม่ใช่ของเราแล้ว ผมขนเล็บฟันหนังไม่ใช่ของเราแล้วก็ไปยึดถือว่าเป็นของเรา มันมีชีวะต่อเนื่องกับชีวิตของเรา ทั้งที่มันเป็นแค่พีชะไม่ใช่จิต
ผู้ที่ไม่สามารถแยกอุตุ พีชะ จิต หากแยกไม่ได้ คนนี้เป็นอรหันต์ไม่ได้
เพราะว่าแยกกิเลสจากจิตไม่ได้ มันเป็นจิตรวมกับอุตุ พีชะจิต
ต้องอ่านอาการ อุตุคือธาตุที่ไม่มีชีวิตแล้ว ผู้ที่ศึกษาศาสนาพุทธต้องทำจิตให้เป็นอุตุ ไม่ฟื้นอีกแล้ว โอปปาติกโยนิไม่เกิดอีกแล้ว ตายเป็นอุตุธาตุแล้ว ร่างกายเรา สิ่งที่เป็นวัตถุแต่ต้องมีชีวะหากไม่มีชีวะทิ้งไปได้เลย แต่ถ้าไม่ทิ้ง เช่น ผิวหนังมีขี้ไคลก็ต้องเอาทิ้งไปได้ ผมขนเล็บ ที่ไม่มีชีวะแล้วก็ต้องทิ้งไป เล็บก็ตัดส่วนที่ไม่ใช่กาย ฟันก็ไม่กรอทิ้งเดี๋ยวไม่ได้เคี้ยวอาหาร
ถ้าคนแยกกายแยกพีชะ แยกจิตไม่ได้ คนนั้นไม่สามารถเป็นพระอรหันต์ ผู้ที่จะบวชนั้นอุปัชฌาย์จะต้องสอนให้แยกกายแยกจิตในมูลกรรมฐานได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นลึกซึ้งคัมภีรภาพ
อาตมาพยายามอธิบายเนื้อแท้แก่นสารสาระ สัจจะของพระพุทธเจ้า ของศาสนาพุทธ ซึ่งมันได้สูญไปหมดแล้ว อาตมาไม่ได้พูดเล่น พูดจริงว่ามันไม่มีแล้วมันสูญไปแล้วโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ใน อาณีสูตรว่า กลองอานกะ ในยุคต่อไป จะไม่เหลือเนื้อของกลองเดิม เป็นของใหม่หมด ทั้งไม้ที่ประกอบเป็นกลอง หรือส่วนประกอบอื่นก็เป็นของใหม่แต่รูปลักษณ์เดิม ท่านตรัสไว้ตั้งแต่ศาสนาพุทธยังไม่เสื่อม ว่าต่อไปจะพูดโลกุตระกับคนไม่รู้เรื่อง มันเหมือนกลองอานกะ ก็เป็นชื่ออานกะ ศาสนาพุทธก็ชื่อว่าศาสนาพุทธเหมือนกันแต่มีแต่ชื่อเนื้อแท้นั้นไม่มีแล้ว แก่นแท้ของเก่าไม่มี
อาตมาเกิดมาในชาตินี้ ถึงมารื้อมาเอาเนื้อเก่ามาใส่ใหม่ใส่แทนของปลอม มาบรรจุแทนเข้าไปซึ่งยากมากเลย เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าสร้างกลองใหม่ง่ายกว่าเยอะเลย เอาสิ่งที่มาแทน แต่เขายึดถือว่าเนื้อของเขาเป็นกลองแท้ แต่ที่จริงมันเป็นกลองเก๊ เราจะเอาเนื้อแท้มาใส่ให้เขา มันยากเรือหายเลย เขายึดว่าเป็นเจ้าของและยึดว่าถูกต้องดีด้วย งมงายหนัก
อย่างคุณ Thailand in Chinese อาตมาเข้าใจเห็นใจ อาตมาพูดถึงโลกุตระที่ในยุคนี้ไม่มีแล้วอาตมาเป็นไก่ตัวพี่ ที่บอกว่าเป็นตัวพี่เพราะว่ารู้จักธรรมะโลกุตระแล้วเอามาประกาศโลกุตระเจาะกระเปาะไข่คือโลกียะออกมา คนที่ยังวนอยู่ในโลกียะยังอยู่ในไข่ เจาะออกมาไม่ได้ ผู้เจาะไม่ได้ก็วนในไข่คือโลกียะ อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ที่เจาะกระเปาะไข่ออกมาได้ อาตมามีรูปรอยเหมือนพระพุทธเจ้า ที่ท่านได้เป็นเจ้าของธรรมะโลกุตระเป็นธรรมะสามี เป็นไก่ตัวพี่ในยุคพระพุทธเจ้า เป็นไก่ตัวพ่อเลย ส่วนอาตมาเป็นไก่ตัวพี่ในยุคนี้ เจาะออกมาได้ก่อน
อาตมาไม่ได้หลงตน ใครเป็นไก่ตัวพี่ก็ออกมาประกาศได้เลย อธิบายเขาจะแสดงตัวว่าเป็นไก่ตัวพี่ ก็ได้ ถ้าเป็นโลกุตระเหมือนกัน มันก็ต้องลงรอยกัน ถ้าหากเป็นพี่ก็มาหาอาตมาที่เป็นน้องมาช่วยกัน แต่ถ้าไม่ใช่ ประกาศคนละอย่างก็ไก่คนละฟองคนละอย่างกัน นั้นก็ไม่ใช่ไก่ เป็นไข่อะไรไม่รู้ จะเป็นไข่งูก็ได้ ของเราเป็นไข่ไก่
เรื่องธรรมะโลกุตระเป็นเรื่องยาก แต่ยากก็ต้องนำมาคืน เมื่อมันหายไปเลือนไปเพี้ยนไปผิดไป ก็ต้องนำความถูกนำความหายไปคืนมาให้ได้ เขาก็ว่าอาตมาหลงตน อาตมาไม่ได้หลง อาตมาเป็นตัวจริง นำโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้ามาคืนให้แก่ศาสนาพุทธ ผู้ไม่มีอคติก็จะฟังรู้เรื่อง อาตมาไม่ได้พูดเล่นพูดโกหกพูดผิดเพี้ยน อาตมาไม่ทำหรอกสิ่งเหล่านั้นมันเป็นบาปจะไปทำทำไม อาตมาก็พูดความจริงแต่คนไม่เชื่อถือ พูดจริงอย่างไรเขาก็หาว่าอวดตัวตนยกตัวตนอยู่อย่างนั้นแหละ ขนาดยกตัวเองขนาดนี้คุณยังไม่เชื่อเลย แล้วไม่ยกไม่บอก
ที่จำเป็นต้องยกเพราะว่ามีคนอย่างมหาบัว มาหลอกคนว่าเป็นอรหันต์ อาตมาก็ยืนยันว่าอรหันต์ต้องมาดูอาตมา ไม่ได้ไปดูมหาบัว มหาบัวเป็นอรหันต์เก๊ อาตมาพูดจริงก็หาว่าไปดูถูกอีก แล้วมันถูกไหม …ถูก…พวกคุณฟังรู้เรื่องแฮะ ถ้าจะมาเห็นจริงว่าพูดถูกไม่ได้พูดผิด มหาบัวไม่ได้เป็นอรหันต์ อาตมาเห็นว่าถ้าเข้าใจอย่างมหาบัวไม่เข้าใจแม้แต่ กาม อัตตา ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเต็มไปด้วย กาม อัตตา มันมีหลักฐานยืนยันว่าไปหลงติดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสคือกามคุณ 5 ยังไม่รู้เรื่อง ติดหนัก เอาออกห่างไม่ได้นะ หาวหวอดๆ ไม่ได้ละวางไกลห่างนานไม่ได้แล้วไม่รู้ว่าติด
ส่วนอัตตา ไปหลงสร้างภพชาติ อรูปอัตตายิ่งใหญ่หนัก มานะ อติมานะ
ถ้าพูดถึงหาเงินเข้าคลังแล้ว จะฟังขึ้นมาเลยอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งไม่รู้ตัวเอง เห็นแล้วก็น่าสงสาร อาตมาจะปล่อยให้คนหลงผิดไปเข้าใจของเก๊เป็นของจริง แล้วไปยึดถือเอาจริงเอาจังแล้วขึ้นราคาหลอกขายด้วยนะ เอาเพชรเก๊มาหลอกขายแล้วหลงว่าเป็นเพชรจริงซื้อกันโอ้โห..นับถือบูชาด้วย หลอกกันด้วย จึงจำเป็นจริงๆเลย สายหลับตาทั้งหมดตั้งแต่อาจารย์มั่นมาเลย อาจารย์เสาร์มาเลย
สรุป การนั่งหลับตาหลงในภพชาติ ไม่ใช่ของศาสนาพุทธ เป็นเดียรถีย์ ข้องอยู่ในกาม ยังไม่รู้กาย เป็นสัตโต คุหยัง พหุนาพิชโนติ แปลเต็มว่า ผู้ข้องอยู่ในถ้ำ
เป็นผู้ไม่รู้จักกิเลส กิเลสมันบังไว้หมดเลย พูดเรื่องนี้เป็นเรื่องลึกเรื่องยาก
กายวิเวกที่เข้าใจตื้นๆว่าเอาร่างกายออกป่าเขาถ้ำ จึงตื้นมากมีเดียรถีย์เขาทำกัน
ส่วน ศาสนาพุทธต้องเข้าใจว่ากายคือภายนอกภายใน ก็ต้องแยกกายแยกจิตได้ ที่ไม่ใช่กายเราแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปแยก
กาย เอาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่เป็นตัวอย่างในการแยกกายแยกจิต
เล็บ ตัดเล็บส่วนที่ยื่นออกมานอก แม้เป็นชีวะอยู่แต่ไม่ใช่กายเราแล้ว ไม่มีเวทนาไม่ใช่วิญญาณ เป็นชีวะเหมือนพืช ตัดออกไปได้ไม่มีความสุขความทุกข์อะไร แต่เป็นชีวะ คุณก็จะเข้าใจว่าชีวิตของจิตนิยาม ถ้าทำจิตของเราให้เป็นพีชะ ไม่มีความสุขความทุกข์ ไม่มีบาปไม่มีบุญ ต้องเข้าใจอาการอย่างนี้แล้วทำจิตให้มีอาการอย่างนี้ได้ คุณจึงจะเป็นอรหันต์ คนที่ทำจิตให้เป็น พีชะไม่ได้ เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ จะมาบอกว่าไม่ให้พูดเรื่องอุตุ พีชะ เราจะไปสอนให้เป็นอรหันต์ได้อย่างไร เป็นมูลกรรมฐาน 5 แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้เรื่องแล้ว อุปัชฌาย์บอกว่าให้กรรมฐานอันนี้ กลายเป็นพิจารณาเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปไตรลักษณ์ ซึ่งมันไม่ใช่ ทำให้แยกกายแยกจิต แยกธรรมนิยาม 5 ศาสนาพุทธเนื้อแท้หายไปหมดแล้ว แล้วเอาไตรลักษณ์มาพิจารณาแทนธรรมนิยาม 5 ผิดหมดเลย
ไตรลักษณ์นั้นเป็นโลกียะ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ใครก็รู้ แต่ธรรมนิยาม 5 นั้นเป็นโลกุตระไม่ได้รู้กันง่ายๆไม่ได้เข้าใจได้ง่ายๆหรอก ตอนนี้มูลกรรมฐาน 5 ไม่ได้สอนกันแล้ว
ถ้าไม่ได้รู้ข้อมูลกรรมฐาน 5 คุณไม่สามารถโยนิโสมนสิการได้ คุณอโยนิโสมนสิการไม่แยบคาย ไปทำใจในใจยังหลับตาทำสมาธิ เป็นอโยนิโสมนสิการไม่ถ่องแท้ไม่ถูกต้องไม่ลงไปถึงที่เกิด เพราะไม่มีกาย นั่งหลับตาไม่มีกายไม่มีภายนอก ยิ่งหลับตาไป เหลือลมหายใจเป็นดินน้ำไฟลม ถ้ามีกายอยู่คือมีรู้สึกลมหายใจอยู่ แต่หากไม่รับรู้ลมหายใจก็ไม่มีกายให้ศึกษา คุณไม่มีฐานให้ปฏิบัติ ไม่มีมูลกรรมฐาน 5 ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กายที่เป็นกามคุณ 5 คุณก็ไม่มีกายที่จะปฏิบัติ เพราะไม่มีกามคุณ 5
พระพุทธเจ้าบอกว่า กาย คือ จิต มโน วิญญาณ คุณก็จะเข้าใจไม่ได้ ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 230
ถ้าอาตมาไม่ใช่ไก่ตัวพี่พูดไม่ได้นะ อธิบายไม่ได้แม้มีในพระไตรปิฎก อาจจะมาอธิบายได้ถ้าไม่อธิบายศาสนาพระพุทธเจ้าตรงนี้แก่นแท้เนื้อแท้ก็จะหายไป เพราะฉะนั้นผู้จะศึกษาโลกุตระอยู่ก็โปรดมาฟังอาตมา มาฟังเข้ามาอยู่ในกลุ่มชาวอโศก ชาวอโศกมีไก่ตัวพี่ที่เจาะกระเปาะไข่ออกมาได้และมาบอกโลกุตระ ผู้ที่ยังไม่ได้เจาะออกมา ยังอยู่ในไข่ พูดให้สวยก็คืออยู่ในกะลาครอบ ยังไม่ได้ออกมาจากโลกเทวนิยม ไม่มีโลกใหม่ที่เป็นโลกุตระ วนเวียนอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นต้น ไม้ไม่มีสะเก็ด ไม่มีเปลือก ไม่มีกระพี้ ไม่มีแก่น มีแต่ดอกใบผลคือลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ในมหาสาโรปมสูตร
สู่แดนธรรมว่า…เขาหลงผิด เขาจะไปเอาแก่นแต่หลงอย่างอื่นเป็นแก่น
พ่อครูว่า..เขาสำคัญผิดไปสำคัญว่าดอกใบผลเป็นแก่น
-
ลาภสักการะชื่อเสียง เปรียบเหมือน กิ่งไม้ใบไม้
-
ความสมบูรณ์ด้วยศีล เปรียบเหมือน สะเก็ดไม้
-
ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ เปรียบเหมือน เปลือกไม้
-
ญาณทัสสนะ หรือ ปัญญา เปรียบเหมือน กะพี้ไม้
-
อกุปปา เจโตวิมุติ คือ ความหลุดแห่งใจอันไม่กำเริบ เปรียบเหมือน แก่นไม้