620922_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ชาวอโศกคือคนไม่ทุกข์ ที่เข้าสู่วิรชะคือไม่สุข
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/16Poz2hOCvs0202fZ64V6j4Zgd9_OXtPlX_Nbbq_eH-I/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1llAwqb8sRNbROGXS7GY9D1V_YHQPdl_S
สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2562 ที่อุบลราชธานีอโศก วันนี้รายการเป็นรายการเย็น เพราะว่าเป็นความพร้อมของคนฟัง เนื่องจากอยู่ในภาวะน้ำท่วม
ของเราอยู่กันอย่างเบิกบานสำราญใจแม้ประสบภัยน้ำท่วม
พ่อครูว่า…มาดู sms กันก่อน
_จิน จินตนา · สาธุค่ะพ่อครู สมัยก่อนก็เคยเป็นแบบคนนั้นเหมือนกัน ฟังพ่อครูไม่ค่อยเข้าใจ แล้วก็ไม่ค่อยฟัง ต่อมามันเจอทุกข์มาก แล้วอยู่วันหนึ่งก็เปิดเจอพ่อครู ฟังครั้งนี้ เข้าใจที่พ่อครูพูดแทบจะทั้งหมด ก็เลยฟังมาตลอด พ่อครูพูดธรรมมะสูงขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นคนที่ธรรมยังไม่ถึง เข้าใจยากค่ะ เหมือนที่โยมเคยเป็น
พ่อครูว่า…ขอยืนยันว่าโลกถ้าไม่ถึงโลกุตระจริงมันจะวนเวียน แล้วก็ตกต่ำแล้วก็สูงขึ้นแล้วก็ตกต่ำ ไม่แน่นอนไม่มั่นคง ไม่ตั้งมั่นไม่เที่ยงแท้ เป็นอย่างนั้นเป็นธรรมดาธรรมชาติเป็นสัจจะ อันนี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ คือความเที่ยงอันเป็นโลกุตรธรรม โลกียะไม่มีทางเที่ยงหรอก พระพุทธเจ้าตรัสรู้จุดที่ทำให้เที่ยงแท้ได้อย่างไร
จุดที่จะทำให้เที่ยงคือ 1. ความบรรลุโลกุตรธรรม 2. แม้จะเป็นโลกุตรธรรมแล้วก็ไม่ประมาทต้องทำซ้ำ อาเสวนา ทำให้เกิดโลกุตระอย่างเคยได้ ทำอีกๆๆ พหุลีกัมมัง ทำให้มาก เป็นการรักษาผล อนุรักขนาปธาน นี่คือความไม่ประมาทของพระพุทธเจ้า แม้ว่าจะรู้สิ่งนี้เป็นโลกุตรธรรม ไม่มีอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เขามีแต่อัปปนา
ทำให้เหนียวแน่น แข็งแรง มั่นคง แล้วต้องการรักษาผล สมบูรณ์แบบ
ธรรมะพระพุทธเจ้าจะวน แต่อาตมาพาวนอย่างเป็นลำดับ วนมาเกือบ 50 ปีแล้ว วนแบบก้นหอย แต่มีขั้นตอนที่สูงขึ้นๆ ไปหายอด แต่คนไม่รู้จะบอกว่าวน มันก็ซ้ายขวาอย่างเก่า แต่มีขั้นเพิ่มขึ้นมา หากคนไม่เข้าใจจะไม่รู้จัก
SMS วันที่ 20 กันยายน 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ)
_9309 จะสิริมหามายายังไงผมก็ยังคิดถึงนายกฯทักษิณ ชินวัตร เค้าเคยมาบ้านราชและไปนอนที่ศรีษะอโศกเป็นนายกคนเดียวและกลัวจะเป็นคนสุดท้ายที่มาอโศกด้วยขอกราบขอบคุณครับ
พ่อครูว่า…ไม่มีปัญหาอะไร ลางเนื้อชอบลางยา …เขาเป็นนายกฯก็มาตามหน้าที่ บ้านราชฯเรามีนายกฯเคยมาหลายคน
_คุณสู่แดนทำ ศีลคุณบริสุทธิ์แค่ไหนจิต คุณยังหยาบโลนอยู่หรือเปล่า คุณควรพิจารณาตัวเองนะระวัง วิบากด้วยคุณไปว่าพระป่าว่าเป็นพระ เถื่อน ในชีวิตของพวกคุณไม่อยากจะมีเพื่อนสหธรรมิกในจังหวัดอุบลเลยหรือ พระป่าเป็นพระที่ ในหลวงรอเก้าท่านเดินทางไปกราบไปไหว้แสดงว่าในหลวงรอเก้าท่านไปไหว้พระเถื่อนนะสิ ขอเถอะครับ ท่านจะพูดถึงแนวทางปฎิบัติของท่านก็พูดไปเถอะไม่มีใครว่าอะไรหรอก แต่อย่าพูดถึงบุคคลที่สามเลย พวกท่านก็คงอยากจะมีเพื่อนนะครับ
พ่อครูว่า…อาตมาขอตอบ อาตมาจะพูดถึงบุคคลที่ 3 ที่ 4 เพราะเขาเป็นพุทธร่วมกับอาตมา หากเขาพูดผิด อาตมาต้องพูดถึง หากรู้อยู่ว่าผิดก็ยังพูด อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน อาตมาว่านั่นแหละปาราชิก แต่อย่าห้ามอาตมาไม่ให้พูดถึงเลย
หากมีเพื่อนผิดๆอาตมาไม่อยากเอา อาตมาต้องทำให้ถูก เพื่อนผิดต้องรีบบอกเขา
คำว่าป่า แปลว่า เถื่อนอยู่แล้วไม่ผิดด้วยพยัญชนะ แต่ความหมายหรืออัตถะ หมายความว่าไม่ใช่พระแบบพุทธ พุทธ เป็นพระที่มีสังคมมีความเจริญมีพัฒนาการ ไม่ใช่แบบป่าเถื่อนงมงาย มิลักขะ แต่เป็นพวกอาริยกะ จึงต้องเตือนกัน
ออกไปอยู่ป่าอยู่เถื่อนมันผิดจากศาสนาพุทธ อาตมาพูดไปนี่ยังไม่กระเตื้อง พระพุทธเจ้าท่านออกบวชก็เป็นลิงลมอมข้าวพอง เหมือนอาตมาก็ไปหลงเดรัจฉานวิชชา ไสยศาสตร์เช่นกัน พระพุทธเจ้าท่านหลงทางไป 6 ปี ต้องไปใช้วิบากที่ท่านไปว่าพระกัสสปะพระพุทธเจ้าในชาติก่อน แต่ชาตินี้ท่านหลงไปแล้วก็รู้ตัวก็ได้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็สอนบอก คนอื่นขอให้เป็นพระอรหันต์
ท่านจะเดินทางต่อ ก็กลับหลังหันจากอันเดิมแล้วเข้าสู่เมืองนิคม อ่านประวัติพระพุทธเจ้าให้ดี
ที่ต้องพูดถึงพระป่าพระเถื่อน เพราะมันผิดแล้วเข้าใจกันว่าเป็นอรหันต์ด้วย อาตมาจึงต้องบอกไม่ผิด ไม่ใช่ อาตมาต้องตำหนิแล้วตำหนิอีก ส่วนที่ถูกนั้นก็ดีอยู่แล้ว พูดหรือไม่พูดเขาก็ยังต้องปฏิบัติดีต่อไปไม่มีอะไรให้เสื่อมเสีย
และที่บอกว่าไม่อยากมีเพื่อน หากเพื่อนทำผิดเราก็ต้องเตือนต้องบอก
นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว นรชนเมื่อตั้งอยู่ ก็หยั่งลงในที่หลง นรชนเช่นนั้น ย่อมอยู่ไกลจากวิเวก
พระสูตรนี้ชัดเจนเป็นเช่นศาสนาพุทธในทุกวันนี้
_นันธิยา วงสุโท น้อ!!เราช่วยตัวเองได้เรา..ok..นะคะ
_นาตยา วัฒนเสรีกุล : น้อมกราบนมัสการค่ะพ่อท่านและสมณะฟ้าไทวันที่ 1 พ.ย จะไปอยู่บ้านราชช่วยปลูกต้นไม้หลายเดือนเลยค่ะซื้อตั๋วแล้วค่ะ
_พิศิษฐ์ แซ่โง้ว : สภาวะที่ผม แผ่การรับรู้ดูจิตดูกายตนเอง บางครั้งน้องชายผมพูดคำเดียวออกมายังไม่ถาม ผมกลับบอกวิธีแก้ไขได้ออกมาก่อนเขาจะพูดจบหลายครั้งแล้วครับ
เมตตา กระผม แปลได้ว่า เม ดูไปข้างหน้า ต สำรวจตนช้าๆ ตาสำรวจตนในที่เบื้องหน้า เมตตา กระผมแปลว่า ดูไปข้างหน้าสำรวจช้าๆ หาตนในที่เบื้องหน้า เมตตาคนจน แปลว่า ดูคนยากจนสำรวจหาตนในคนยากคนจน
ท่านพ่อสมณะพูดถูกหมดเลยครับ หลับตาไม่มีทางนั่งนานได้จะหลับ เพ้อฝัน ต้องมีคนคอยสะกดจิตให้ทำตามถึงนั่นนานได้ครับ แต่ลืมตานั่งดูใจ มองอารมณ์ ตนเองรู้สึกสิ่งวนเวียนรอบตัวได้ครับแผ่การรับรู้ทั้วพร้อม
ไม่ลืมตา คือ หนีผัสสะ หนีความจริง ข้องในอดีต อยากอนาคต หรือ อยากเห็นโน่นเห็นนี่ขณะหลับตา เช่นอยากเห็นเลข เห็นหวย เพราะลืมตาแล้วคนหลับตานั่งไม่เห็น อยากได้เห็นมารก็ให้เห็น แล้วมาเรียกว่านิมิตร
สื่อธรรมะพ่อครู(มูลกรรมฐาน 5) ตอน วิธีการแยกกายแยกจิต
พ่อครูว่า…แยกกายแยกจิต ศาสนาพุทธรู้จักจิตเจตสิก แยกอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยามออกได้ คนแยกไม่ได้เป็นอรหันต์ไม่ได้ ต้องรู้อาการ ลิงคะ นิมิตของจิต
พิสูจน์ เช่นกับอบายมุข กับสัตว์ เราสัมผัสสัตว์ แล้วก็รู้สึกเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บตาย เราสัมผัสกับข้าวของก็ไม่ได้เกิดความอยากได้
ศีลข้อ 3 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส กิเลสอันนี้เนื่องกับจิต หากไม่เรียนรู้ลดกามคุณ 5 เรื่องสัตว์ก็ไม่ให้ความสำคัญ เรื่องของก็ไม่เข้าใจ แต่หากทำแบบเชนไม่เกี่ยวข้องเลย เช่นกับสัตว์ก็ไม่เกี่ยวเลย เรื่องของก็มีน้อยมากมีไม้ปัดสัตว์กับภาชนะกินอาหาร แบบนั้นสุดโต่งเกินไป ป่าเถื่อนเกิน ศาสนาพุทธเอาอย่างพอเหมาะพอดี
กายต้องมีสองสภาพเสมอ มีอย่างเดียวไม่เรียกกาย เช่นมีรูปอย่างเดียวไม่เรียกกาย แต่มีนามอย่างเดียวยังเรียกกายเลย ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230
แต่ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่เข้าใจคำว่ากาย และไกลจากวิเวก ไม่มีกายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก
การแยกกายแยกจิต ถ้าแยกเป็นธาตุอุตุไม่ได้ คุณไม่มีปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายแล้วกลับมาเกิดอีกก็ต้องเป็นชีวะ
พีชนิยามนั้นกึ่งหนึ่งเป็นชีวะ มีสัญญากับสังขาร ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ หากใครสามารถทำจิตตน ให้มีคุณลักษณะเป็นพีชะ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีบาปไม่มีบุญได้ก็เป็นอรหันต์ คนถามว่าอาตมารู้ได้อย่างไรว่าตนเป็นอรหันต์ เพราะอาตมาสามารถทำจิตตนเองให้เป็นพีชะได้
คือแยกจิตที่ประหนึ่งเหมือนอุตุ ทำอย่างไรจะรู้จิตเราเป็นอุตุได้ ต้องปฏิบัติให้หลุดพ้นจากกรอบของโลกๆหนึ่งได้ตั้งแต่โลกอบาย สัมผัสแล้วต้องมีความรู้สึกความสุขความทุกข์เป็นเราเป็นเขาอยู่ ต้องล้างกิเลสออกจากจิต จนพ้นออกจากโลกของอบายมุข สัมผัสแล้ว จิตคุณก็เฉยเป็นอุเบกขา แต่ก่อนเราต้องสุขทุกข์มีชีวิตชีวากับสิ่งเหล่านี้ แต่เดี๋ยวนี้เราก็สัมผัสกับสิ่งเหล่านั้น แม้มันจะสัมผัสกับเรา มันก็ไม่มีความรู้สึกสุขทุกข์ มีแต่ธาตุรู้เป็นสัญญากำหนดรู้ว่าอันนี้คืออย่างนี้ อันนี้คือเขาเล่นไพ่ อันนี้เขาเต้นแร้งเต้นกา เราก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง จิตใจเราไม่หวั่นไหวไม่เปลี่ยนแปลง มันกลางสบายอยู่อย่างนี้ จิตอย่างนี้คือจิตที่อาศัย ดินน้ำไฟลม แล้วมีพีชธาตุ
จะเรียกว่า relation connection corridor continuum อยู่ในนี้หมด
เราจะรู้ความเกี่ยวเนื่อง แล้วทำให้เกิดเป็นได้ทุกระดับ อุตุ พีชะ จิต จึงเป็นผู้ทำความสำเร็จ ในร่างกายก็มีอุตุ ดินน้ำไฟลม ก็ปรุงแต่งอยู่ในเรา
ปรุงแต่งระดับพีชะ ปรุงแต่งก่อเป็นชีวิตินทรีย์ มันเจริญจนธาตุรู้ เลยขีดพีชะเป็นจิตนิยามก็รู้ชัดเจน แต่พอเป็นจิตนิยามโดยอวิชชา ไปเป็นสัตว์ จิตนิยาม
มันจะไม่เข้าใจพีชะ อุตุหรอก เซลล์เดียว สองเซลล์หรือจนเป็นมนุษย์ จะไม่รู้ แยกไม่ได้ อุตุ พีชะ จิต โดยเฉพาะจะทำโยนิโสมนสิการ ให้จิตเป็นอาการพีชธาตุ
ธาตุรู้ที่เป็นปัญญาจะไม่เป็นไปตามโลกเขาเป็น เป็นธาตุโลกุตระ ปัญญาเป็นอุตระ สติเป็นอธิปไตย ปัญญาจะเป็นโลกุตระ จัดการธาตุจิตให้อยู่ได้ มีวสวัตตีโก ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ทำได้อย่างคล่องไว มุทุภูตธาตุ ทำได้อย่างกายมุทุตา กายปาคุญญตา กายกัมมัญญตา
เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธมีความรู้เสื่อมไปมาก พูดถึงกายก็ไม่รู้เรื่องกันแล้ว อาตมานำเอามากู้กลับคืนมา กายนั้นไม่ใช่แค่ร่างกาย กายนั้นเป็นจิตด้วยซ้ำไป แต่มีร่างติดไปด้วย หากตายไปเหลือแต่ร่าง ร่างนั้นไม่เป็นกาย เป็นศพไปแล้ว
แม้แต่เลือดระดู ยังไม่ออกจากร่างมันไม่มีไข่แล้วไข่ฝ่อแล้ว เลือดระดูอันนี้เป็นอุตุ ไม่ใช่จิตหรือพีชะ
คำว่า กาย กับไม่ใช่กาย หากแยกไม่ออก อุปัชฌาย์บวชแล้วต้องสอนลูกศิษย์ให้แยกกายแยกจิตให้ออก หากแยกไม่ออก ทิฏฐิไม่เข้าใจแล้วจะไปปฏิบัติให้ตรงได้อย่างไร จะบรรลุได้อย่างไร
ต้องแยกเวทนา 108 มโนปวิจาร 18 เคหสิตกับเนกขัมสิตะ แยกสองอันนี้ไม่ออก อย่าไปพูดถึงอุตุ แยกเนกขัมมะได้จึงทำจิตเป็นอุตุได้ ตายก็ตายได้ไม่เป็นโพธิสัตว์ อาตมาเป็นโพธิสัตว์จึงรู้อันนี้ หากตายอย่างปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ไม่เกิดชีวะอีกเลยได้
ความเป็นชีวะ พีชะ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
เล็บที่ยาวออกมาแล้ว ที่ไม่มีจิต แต่มีธาตุรู้ สัญญากับสังขารตัวมันเองมีชีวะอยู่อาหารหล่อเลี้ยง คุณจะตัดมันออกมันก็ไม่รู้สึก
เหมือนคนที่จิตตกไปเป็นมนุษย์พืช ไปทำอะไรกันร่างกายนี้ก็ไม่รู้เรื่อง
หากเป็นคนมีจิตนิยามเต็มรูป ต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้ จึงทำจิตให้เป็นพีชะได้ ไม่ทำบาปไม่ทำบุญ หมดบาปหมดบุญ ปุญญปาปปริกขีโณ อรหันต์ไม่ตายแต่สิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว
หากไม่เข้าใจสภาวะอย่างนี้ บุญบาปไม่มีแต่เป็นพีชธาตุ
จิตไม่เจ็บปวด แต่สรีระเจ็บปวดได้ ไม่สมดุลเจ็บปวดได้ แต่จิตไม่มีเจ็บใจปวดใจ ไม่มีจริงๆ ทุกข์สุข ไม่มี รักโกรธไม่มี เทวะคู่ที่มีรักชัง สุข ทุกข์ คู่สองเทวะต่างๆไม่มีแล้ว
ผู้ดับเทวะได้คืออรหันต์ ผู้ดับเทวะไม่เป็นเทวะแล้วเรียกว่าอเทวะ พ้นแล้วในธาตุคู่อาศัยธาตุเดี่ยวคือ 1 กับ 0 ทำจิตให้เป็น 1 กับ 0 ได้ เป็นคนมีเอกัคคตารมณ์อาศัย
จิตเป็น 1 อย่างยิ่งใหญ่ เอก กับ อัคคะ
พระอรหันต์คือยอดแห่ง เอกัคคตารมณ์
พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…
พ่อครูว่า..ขออภัยนะ ต้องพูด ท่านพุทธโฆษาจารย์ ที่เขียนคัมภีร์วิสุทธิมรรค ท่านยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์สมบูรณ์แบบ ยังมีความเป็นเทวนิยมอยู่ ยังกึ่งๆ
สมณะฟ้าไท..สรุปต่อ
_พิศิษฐ์ แซ่โง้ว : สภาวะที่ผม แผ่การรับรู้ดูจิตดูกายตนเอง บางครั้งน้องชายผมพูดคำเดียวออกมายังไม่ถาม ผมกลับบอกวิธีแก้ไขได้ออกมาก่อนเขาจะพูดจบหลายครั้งแล้วครับ
เมตตา กระผม แปลได้ว่า เม ดูไปข้างหน้า ต สำรวจตนช้าๆ ตาสำรวจตนในที่เบื้องหน้า เมตตา กระผมแปลว่า ดูไปข้างหน้าสำรวจช้าๆ หาตนในที่เบื้องหน้า เมตตาคนจน แปลว่า ดูคนยากจนสำรวจหาตนในคนยากคนจน
ท่านพ่อสมณะพูดถูกหมดเลยครับ หลับตาไม่มีทางนั่งนานได้จะหลับ เพ้อฝัน ต้องมีคนคอยสะกดจิตให้ทำตามถึงนั่นนานได้ครับ แต่ลืมตานั่งดูใจ มองอารมณ์ ตนเองรู้สึกสิ่งวนเวียนรอบตัวได้ครับแผ่การรับรู้ทั้วพร้อม
ไม่ลืมตา คือ หนีผัสสะ หนีความจริง ข้องในอดีต อยากอนาคต หรือ อยากเห็นโน่นเห็นนี่ขณะหลับตา เช่นอยากเห็นเลข เห็นหวย เพราะลืมตาแล้วคนหลับตานั่งไม่เห็น อยากได้เห็นมารก็ให้เห็น แล้วมาเรียกว่านิมิตร
_บ้านเล็กเมืองน้อย…กราบนมัสการพ่อท่าน ด้วยความเคารพอย่างสูง
ถ้าโลกถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 365 วันก่อน
สิ่งมีชีวิตแรกจะเกิดขึ้นในช่วง 30 วันที่ผ่านมา….
เผ่าพันธุ์มนุษย์เพิ่งจะเริ่มปรากฏตัวใน 15 นาทีท้ายสุด….
ขาดอีกเพียง 10 วินาทีจะครบปี ที่โลกผ่านกาลเวลามาได้อย่างสมดุล ไม่บอบช้ำเสียหาย มีอุกกาบาตพุ่งชนบ้าง ก็เยียวยาตัวเองได้…..
ในช่วงเพียง 10 วินาทีที่ผ่านมานี้เอง มนุษย์ไม่เป็นผู้อาศัยที่อ่อนน้อมยำเกรงอีกต่อไป แต่กลับครอบครองและเปลี่ยนแปลงโลกให้เป็นไปตามกิเลสของตนอย่างอหังการ ไม่ว่าจะเป็น ทรัพยากรแร่ธาตุใต้พิภพ ยันใต้บาดาลมหาสมุทร ล้วนถูกกระทำชำเรา….. เกษตรเชิงเดี่ยวที่เร่งผลผลิต รีดจากผืนดิน แล้วตอบแทนด้วยสารพิษ….. ก๊าซมีเทนจากฟาร์มทารุณกรรมสัตว์….. พาหนะที่จอดผลาญเชื้อเพลิงอยู่กลางถนน….. โรงงานโลภกรรมที่อ้างความอุตสาหะ….. อากาศที่ถูกปรับให้เย็นจนไม่รู้สึกถึงภาวะโลกร้อน…
ชีวิตล้นที่ไร้สำนึก สุขนิยมที่ไม่ใยดีต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้เป็นเหตุให้ธรรมชาติมิอาจเยียวยาได้เองอีกต่อไป ความแปรปรวนของภูมิอากาศ จนถึงภัยพิบัติจากความพิโรธของธรรมชาติ จึงตกเป็นมรดกที่ผู้สืบทอดเผ่าพันธุ์มนุษย์ ไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธได้
มันเกิดอะไรขึ้น หรือมีใครทำอะไรกับมนุษย์ในช่วง 10 วินาทีหลังสุดนี้ ? ไม่ใช่มนุษย์ที่อ่อนน้อมเดียวกันกับช่วง 14 นาทีก่อนหรอกหรือ? จนทำให้สุขลิกะที่มนุษย์ต่างมุ่งแสวงหา กลับกลายเป็นมหันตภัยที่นำหายนะมาสู่โลก และจะทำให้มนุษยชาติสูญพันธุ์ ตราบใดที่สุขนั้น ยังไม่สามารถเติมใจมนุษย์ให้เต็ม
ตามกฎ “Natural Selection” ของ ชาลส์ โรเบิร์ต ดาวินส์ มีว่า ผู้เซทระบบคือผู้ควบคุม…..
มิจฉาทิฏฐิเช่นนี้จึงถูกยึดถือเอาเองว่าเป็นหน้าที่อันชอบธรรม ที่มนุษย์จะครอบงำ..บงการผู้อ่อนด้อยกว่า ด้วยความต้องการที่จะอยู่เหนือผู้อื่น จึงเห็นเพียงพวกพ้องของตนเท่านั้นที่เป็นมนุษย์ สถาบันผู้กำหนดระเบียบแบบแผนสุขอนามัยอย่าง องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) จึงถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ.1948 ดำเนินงานด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ ทำหน้าที่ตรวจสอบ ออกใบรับรองผล บนโฉมหน้าของความช่วยเหลือให้ถูกสุขอนามัย แล้วในที่สุดก็แพร่หลายลุกลามไปทั่วทั้งโลกและได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็ว ตามหลังสินค้าส่งออกยอดฮิตอย่าง “ระบอบประชาธิปไตย” มาติดๆ
การศึกษาที่สอนวิชา “สุขศึกษาตามหลักสูตรตะวันตก” นี่แหละคือตัวปัญหา!!!
การจะมีความรู้ให้ผู้คนยอมรับจึงต้องผ่านนายหน้า กินอยู่อย่างปู่ย่า ตายาย กลายเป็นไม่ถูกสุขอนามัย คนจะสุขภาพแข็งแรงต้องบริโภค เนื้อนมไข่ ที่ถูกโปรโมท แต่ปู่ทวดท่านกลับแข็งแรงได้ โดยไม่ต้องมีใครมาบงการให้กินอยู่อย่างไร
แท้จริงแล้ว มันเป็นความจงใจ ครอบงำมนุษย์ด้วยวิชา“สุขศึกษา” นิยามความสุขให้แก่มนุษย์ ให้วิ่งไขว่คว้าหาความสุขแบบเดียวกันทั้งโลก ต้องกิน สูบ ดื่ม เสพ เที่ยว เล่น บันเทิงเริงรมย์จึงสุขได้ สุขภาพกายสุขภาพจิต กลายเป็นตัวประกัน ที่ต้องผ่อนส่งค่าไถ่ไม่จบสิ้น จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ยังต้องครอบครองสิ่งที่ถูกกำหนดมาให้แย่งชิง
ไม่ใช่ความบังเอิญ ที่ความสุขจากการใช้เทคโนโลยีสื่อสารอันก้าวล้ำ เย้ายวนใจ จนมนุษย์อยู่ไม่ได้ถ้าขาดมัน…..จึงตกเป็นเหยื่อของการ Doxxing ใช้เขียนเป็น algorithm อ่านจิต วิเคราะห์ใจ คาดการณ์พฤติกรรม เพื่อโน้มน้าว ล่อลวง อย่างที่ทำให้ ประธานาธิบดี Trump ชนะเลือกตั้ง หรือ ชาวฮ่องกงรุ่นใหม่ที่กำลังตกเป็นเหยื่อ แล้วก็มีผู้กอบโกยผลประโยชน์จากความโกลาหล
Chaos มีค่าใช้จ่าย อันประกอบด้วยสายแร่จำนวนมหาศาล….. ผู้อยู่เบื้องหลัง Chaos จึงร่ำรวยยิ่งๆขึ้น….
ในความสิ้นหวังของมนุษยชาติ ที่จะต้องเผชิญความเสี่ยงจากมหันตภัยทั่วโลก ทั้งจากมนุษย์เอง และจากธรรมชาติที่มนุษย์ล่วงเกินเอาไว้ ยังมีเรือเจิ้นเทิ่นลำหนึ่ง ภายใต้การนำของกัปตัน ผู้เป็นสยังอภิญญา……
ท่านได้ชุบชีพ กลองอานกะ น้อมนำวิชา สุขศึกษาแบบ ปรมังสุขัง อันเป็นโลกุตระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเผยแพร่ สามารถนำพาผู้คนกลุ่มหนึ่ง ล่องนาวาบุญนิยม ทวนกระแส สุขศึกษาโลกียะแบบตะวันตกได้สำเร็จ…… กลายเป็นสุขศึกษาของอาริยะชน เป็นต้นแบบแก่ผู้สืบทอดเผ่าพันธุ์มนุษย์ ให้มีสุขอย่างไม่มีพิษมีภัย ไม่ทำร้ายทำลายโลก…. เป็นสุขโดยไม่ต้องแย่งชิงกันจนวุ่นวาย ไม่ต้องล่อลวงบงการใครให้ได้มา มนุษย์ทุกคนสามารถค้นหาได้เองในจิตใจตน เมื่อเข้ากระแสแล้ว ยังสามารถเอื้อเฟื้อ เมตตาผู้อื่นได้อีก เป็นความสุขที่ไม่มีวันหมด เพราะเป็นคนจนที่มีวรรณะ๙ และมีโลกุตระจิต ที่ไม่สุขไม่ทุกข์ แบบเนกขัมมะอุเบกขาที่ถูกตรง สามารถเผชิญหน้ากับภัยพิบัติอย่างมีสติ ใช้ปัญญาแก้ปัญหา กอบกู้ตนเองที่ประสบภัย แล้วยังช่วยเหลือกู้ภัยผู้อื่น แม้จะต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติก็ยังสุขสำราญเบิกบานใจได้
กัปตันเรือเจิ้นเทิ่นได้กล่าวไว้ว่า… “ ถ้าสิ่งที่มนุษย์ในวินาทีต่อๆมาต้องการนั้น มันไม่ใหญ่โตอัครฐานอะไรนัก เป็นชีวิตง่ายๆ… ถูกๆ… ขยันๆ… รู้จักพอดี มีความซื่อสัตย์ มีเมตตา เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นเสมอ….. เรือเจิ้นเทิ่นก็จะกลายเป็นเรือโนอาห์ เหมือนดอกหญ้าเล็กๆ แต่มันใหญ่ยิ่ง เป็นมหาพลังเย็นโอบอุ้มโลกได้”
พ่อครูว่า…ผู้ที่ศึกษาธรรมะพระเจ้าจะได้รับความรู้เช่นนี้ เชื่อไหมผู้ที่เรียบเรียงมานี้เป็นชาวคริสต์ แต่มาเป็นชาวพุทธ แต่ศาสนาไม่มีปัญหา ศึกษาให้เข้าใจแล้วจะเป็นประโยชน์จะเป็นอะไรก็เป็น เราศึกษาแต่ความรู้ความจริงมาก็เป็นประโยชน์
สื่อธรรมะพ่อครู(มงคล 38) ตอน ชาวอโศกคือคนไม่ทุกข์ ที่เข้าสู่วิรชะคือไม่สุข
อาตมาเอง มันเบิกบานร่าเริง สุขสำราญเบิกบานใจตลอด ไม่เคยโศกเศร้า ความเครียดก็ไม่เคยรู้จัก ก็เก็งเอาว่า ความเครียดคงจะเป็นพวก เส้นสมองตึงๆ ก็ได้แต่ฟัง อารมณ์ความเครียดเป็นอย่างไร
อโศก แปลว่าไม่โศกเศร้า เป็นพวกหายโศก (วัดหายโศกมีหลายแห่ง)
เรามีศาลีอโศก ศีรษะอโศก ต่อมามีสันติอโศก ที่อยู่กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวง คนเลยเรียกพวกเราทั้งหมดว่าชาวสันติอโศก ก็ไม่มีปัญหา
มาถึงวันนี้พวกเราเป็นพวกไม่โศกจริงๆ นอกจากไม่โศกแล้วยังเป็นพวกสุขสำราญเบิกบานใจ
พวกเรา ตอนนี้ประสบภัยน้ำท่วมอยู่กลางน้ำ ต้องพยายามหาอะไรมาพัก ที่เคยเดินก็เดินไม่ได้นอนไม่ได้นั่งไม่ได้ ก็ได้แต่ลุยไป เอาอะไรมาเทินขึ้นสูง เจิ้นเทิ่นขึ้นมา บางทีไฟก็ใช้ไม่ได้
อาตมารู้ทีหลัง ว่าตนเองยังไม่อยู่ในระดับ 8 วิรชะ ระดับ 7 คืออโศกะ ระดับ 9 คือ เขมัง เราอยู่ระดับปลายตรงนี้มันเป็นอันนี้จริงๆไม่โศกเศร้า เราเตรียมไปเป็นวิรชะ
วิรชะ เป็นความยินดีพอใจ ถ้าเลยเถิด ติดในความยินดีพอใจเป็นรสเป็นชาติ ก็เป็นการลิ้มสุข อโศกะไม่ทุกข์ วิรชะ จริงๆแล้ว วิ แปลว่าไม่ ไม่รชะ คือไม่ยินดีแล้ว
อโศกะ ไม่ทุกข์ วิรชะ ไม่สุข เป็นตัวสุดท้ายของสัจธรรม ไม่ทุกข์ไม่สุข
พวกเราจึงอยู่ในฐานที่พ้นทุกข์ไม่ทุกข์ แต่ยินดีอยู่ในฐานสุข เป็นแต่เพียงว่าศึกษาสุข อย่าติดสุข
ผู้จะไม่ติดสุข จะต้องเป็นผู้ที่สังวรเสมอ บัดนี้เวลากำลังล่วงไปๆ เรากำลังทำอะไรอยู่ กายกรรม วจีกรรมที่ดีกว่านี้ยังมีอีก เราจะต้องทำกายกรรมวจีกรรมให้ดีให้เกิดประโยชน์
เป็นการสอนของพระพุทธเจ้าที่ลึกซึ้งมาก อันเป็นอภินิหปัจเวกขณ์
ในสัจธรรมของพระพุทธเจ้านี้ ซึ่งเป็นคำสอนที่สุดยอดของมนุษย์ในโลก ความเป็นมนุษย์ก็สุดยอดความเป็นสังคมพฤติกรรมสังคม หากมีสัมมาทิฎฐิปฏิบัติตนเอง ให้เป็นสังคมพระอาริยะแม้จะมีกิเลสอยู่บ้าง เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นพื้น
อย่างชาวอโศกเป็นหมู่ชนอาริยะ Civilization
อาริยะในระดับโลกุตระ มีพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นพื้น มีปุถุชนบ้าง แต่ปุถุชนตอนนี้เขามีปัญญาว่าเมืองนี้เป็นเมืองอาริยะ คนที่ไม่มีปฏิภาณรู้ว่านี่เป็นเมืองอาริยะไม่เข้ามาหรอก
คนพวกนี้(สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
คนมีศีลเป็นคนอย่างไร?
-
อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) .
-
ปามุชชะ – ปราโมทย์ (มีความยินดี)
-
ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .
-
ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)
-
สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)
-
สมาธิ (จิตมั่นคง)
-
ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .
-
นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .
-
วิราคะ (คลายกิเลส)
-
วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน)
(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24 ข้อ 1 , 208)
พ่อครูว่า..คนมีศีล เป็นคนที่มีสมาธิ สมาธิคือจิตตั้งมั่น คนเข้าใจสมาธิไม่ได้ ตีความสมาธิ เป็นขี้หมูขี้หมาสมาธิเสียไปหมด ต้องกู้คืนมา
สรุปง่ายๆ ศีลคือ สมาธิ ปัญญา วิมุติ
ศีลไม่ได้ตื้นๆแค่ไม่ฆ่าสัตว์เท่านั้น
ศีล สมาธิ ปัญญา
ศีลมีอานิสงส์เป็นลำดับจนได้วิมุติญาณทัสนะ
ยกตัวอย่างศีลข้อที่ 1 ผู้ที่ไม่ฆ่าสัตว์ต้องรู้ว่า สัตว์ เป็นจิตนิยาม มีชีวิต เราจะไปเกี่ยวข้องกับสัตว์ สัตว์ในโลกมีสัตว์เดรัจฉานกับมนุษย์ ง่ายๆ
สัตว์เดรัจฉาน อย่าไปยุ่งกับมัน มันเป็นไปตามวิบากของมัน เราเองยังมีวิบากเกี่ยวข้องกับสัตว์เดรัจฉานต่างๆไม่ใช่น้อยที่มีมาเก่าบุพกรรม ยังเกี่ยวอีกเยอะ หากเราไม่รู้ทัน จะพัวพันกับสัตว์เดรัจฉานไปอีกมากนานเกิดแล้วเกิดอีกในวัฏจักรชีวิต อีกมากมาย การไม่เกี่ยวข้องกับสัตว์เดรัจฉานใดๆ แม้แต่เราจะเลี้ยงหรือกินไม่เกี่ยวทั้งนั้น สัตว์มันก็อยู่ของมันไป
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ละเอียดที่สุดสุขุมปราณีตที่สุด เรื่องไม่กินเนื้อสัตว์นี้พูดไปมากแล้ว กรรมใครกรรมมันไม่เชื่อก็เรื่องของเขา ใครเชื่อก็ปลงภาระ ดำเนินชีวิตโดยไม่ต้องมีสิ่งเหล่านั้น
อาตมาเห็นอานิสงส์ของการไม่กินเนื้อ
-
ขึ้ไม่เหม็น มันก็เหม็นนิดๆไม่เหมือนกินเนื้อสัตว์
-
ตดก็ไม่เหม็น หรือเหม็นไม่มาก
-
เยี่ยวก็ไม่เหม็น หรือเหม็นไม่มาก
-
กลิ่นตัวก็ไม่เหม็น หรือเหม็นไม่มาก
มันก็มีกลิ่นบ้าง เชื่อไหมว่า หากเป็นฆราวาสจะมีกลิ่นต่างๆ เฉพาะกลิ่นน้ำหอม และกลิ่นเหม็นด้วย เหม็นขี้เต่า สารพัดเหม็น นั่งในห้องแอร์นี่ นี่ไม่ได้ฉีดอะไรดับกลิ่นเลยนะ
มีอะไรหลายอย่างอีกเยอะแยะ
สัตว์เดรัจฉานปล่อยเขาไป เกี่ยวกับคนก็เป็นวิบากต่อกันมากมายมหาศาล
หากหมามาอยู่กับเรา เราก็เอาไปปล่อย ไปไกลๆ จนมันไม่กลับมานั่นแหละ
หมามันมีสัญชาตญาณว่าอยู่กับเราปลอดภัยด้วย สัตว์อื่นๆก็เช่นกัน นกกระจาบก็มาทำรังที่หมู่บ้านเรา
คนนี่แหละ เราจะต้องเมตตากันตามศีลข้อที่ 1
พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางสาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่
แต่เขาศึกษากันทุกวันนี้ตัดไว้สั้นมาก ศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์แค่นั้น
ที่จริงมีความหมายกว้างกว่านั้น หากใครปฏิบัติศีลข้อ 1 โดยที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ สัตว์เดรัจฉานสัตว์มนุษย์ เราไม่ฆ่ากัน ไม่ฆ่าสัตว์มนุษย์ เว้นขาดจาการฆ่าสัตว์มนุษย์วางทัณฑะ อุปกรณ์ในการฆ่า วางศาสตรา คือเครื่องฆ่าชนิดที่เป็นความรู้ ทัณฑะ คือวัตถุอาวุธที่ใช้ในการฆ่า เช่น ลูกระเบิด ไม้หน้าสาม มีดผาก็วาง วางไม่ได้หมายความว่าไม่เอามาใช้งานเลยนะ มีดก็เอามาทำงานได้อย่าพาซื่อ วางคือไม่ฆ่า
หากคนมีศีลข้อ 1 ประเทศนั้นจะไม่สร้างอาวุธ ประเทศไทยไม่เก่งในการสร้างอาวุธอย่าน้อยใจอย่าเสียใจ ประเทศที่ก่อสร้างอาวุธนั้นเป็นประเทศที่สร้างบาปเป็นประเทศที่ได้บาป ยิ่งอาวุธร้ายเท่าไหร่บาปยิ่งมากเท่านั้น
สร้างความรู้เพื่อฆ่ามนุษย์ ยอกย้อน โจรก็สอนอย่างโจร แต่โจรผู้ดี นี้สอนอย่างซับซ้อน สอนการฆ่า เกิดมาชาตินี้อาตมาก็เห็นอยู่สองคน สอนการฆ่า คนหนึ่งจบทางโลก อาชญวิทยา ดร.ทักษิณ ฆ่ามนุษย์ด้วยศาสตรา ทุกวันนี้ก็ยังไม่หมดกระแสก็อาวุธ ที่ยัดใส่หัวของพวกติดอาวุธทางศาสตราไว้ เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้อยู่ตลอด ไม่วางศาสตรา
แม้แต่เป็นพระเป็นเจ้า ไม่เข้าใจก็สร้างความรู้เป็นศาสตรา ฆ่าศาสนาของตนเอง อาตมาอธิบายพิสดารให้ฟัง
การฆ่า สิ่งที่ไม่ควรฆ่า ไม่ละอาย คำว่าไม่ละอาย มันเป็นจรณะ 15 ของพระพุทธเจ้า เป็นสัทธรรมที่ลึกซึ้งมาก คำสอนพระพุทธเจ้าวิชชาจรณะสัมปันโน รวมไว้หมดแล้ว ตั้งแต่ศีล อปัณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 ศรัทธา หิริคือละอาย โอตตัปปะคือเกรงกลัว
การสัมผัสสัมพันธ์กับมนุษย์ด้วยกัน หากมีจิตคิดจะฆ่า จะทำร้าย คนที่หยาบถึงจะฆ่าจะละอาย ในจิตจะมีอย่างนั้นขึ้นมา คนที่มีจิตจริงๆ พอรู้สึกจิตตนเองมีอาการอยากฆ่าก็จะอายหากมีหิริ แต่โอตตัปปะจะกลัวเลย หากไปมีจิตคิดฆ่า
คนไม่มีจิตคิดฆ่าคน ฆ่าคนไม่ได้เลย คือมีหิริโอตตัปปะ หากโลกนี้คนฆ่าคนไม่ได้จะเสียหายไหม?…ไม่เสียหาย
นอกจากละอายแล้วยังมีความเอ็นดู
เชื่อไหมว่าอาตมาเอ็นดู มหาบัว เอ็นดูธัมมชโย เอ็นดูทักษิณ
อาตมาว่าอาตมาไม่มีจิตหยาบร้ายอะไร ไม่มี จิตในอุปกิเลสทั้งหมด
อภิฌาวิสมโลภะ พยาปาทะ โกธะ อุปนาหะ
อภิฌาวิสมโลภะ คือสายโลภ สายดูด
ต่อจากนั้น เป็นสายผลักทั้งหมด
-
อภิชฌาวิสมโลภะ (เพ่งเล็งอยากได้)
-
พยาปาทะ (ปองร้ายเขา)
-
โกธะ (โกรธ)
-
อุปนาหะ (ผูกโกรธ)
-
มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน)
-
ปฬาสะ (ยกตนเทียบเท่า, ตีเสมอท่าน)
-
อิสสายะ (ริษยา ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี)
-
มัจฉริยะ (ตระหนี่)
-
มายายะ (มารยา, มารยาทเสแสร้ง)
-
สาเฐยยะ (โอ้อวด, การโอ่แสดง)
-
ถัมภะ (หัวดื้อ, เชื่อมั่นหัวตัวเองมาก)
-
สารัมภะ (แข่งดี, เอาชนะคะคาน)
-
มานะ (ถือดี-ยึดดี จนถือสา)
-
อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน)
-
มทะ (มัวเมา)
-
ปมาทะ (ประมาทเลินเล่อ)