621007_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 74
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1MVcyjLTAFOg0FZN2JfypVvRGlhstFM5WwhRfG-z1-io/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1iSf2yRRb92Bnu5LmFgPX73Z4mfTB82o6
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก อีก 6 วันก็ออกพรรษาแล้ว ใครเห็นภาพแล้วก็มาช่วยกัน น้ำท่วมมากและก็ลงเร็ว ทุกอย่างพยายามสู้เพื่อมีชีวิตแต่ก็ตายไปหลาย โดยเฉพาะพืชพรรณธัญญาหารต้นหมากรากไม้ กองเละเทะ พวกเราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร มันเยอะก็ต้องขอแรงจากผู้ไม่เดือดร้อนน้ำท่วม หรือผู้เดือดร้อนก็ยังมาช่วยกัน อย่างไรพวกเราก็เป็นญาติธรรมมาช่วยกันหน่อยเถิด
การร่วมมือกันมาลงแขก เป็นเรื่องสังคมที่สุดยอด กับสิ่งที่ดีงามพร้อมกัน ให้มันสำเร็จลุล่วง เป็นวัฒนธรรมไทยการลงแขก อันยอดเยี่ยม ร่วมกันทำงานนี้ให้สำเร็จเสร็จสิ้นไปแบ่งเบาคนละนิดคนละหน่อย แล้วก็ไปลงแขกช่วยกัน มันเป็นวิธีการที่ทำให้เกิดความไม่หนัก
ที่สำคัญคือมีจิตสามัคคีร่วมมือร่วมใจ อันนี้ถือเป็นคุณค่าอย่างยิ่งเลย เป็นความเจริญที่แท้จริง ที่จิตวิญญาณมีพัฒนาการไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ผู้อื่นมีภูมิปัญญารู้จักคุณค่าอันควรกระทำ แล้วก็กระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่าต่อมวลมนุษยชาติ ไม่เฉพาะบุคคล แต่โดยส่วนรวมอันเป็นคุณค่าสำหรับมนุษย์ทุกๆคน ซึ่งเป็นคุณธรรมที่พิเศษของมนุษยชาติ
คำว่าไม่มีกิเลสไม่เห็นแก่ตัว มันมีความลึกซึ้งซับซ้อนอยู่เยอะ แล้วทำให้สังคมอยู่ดีมีสุข อยู่ดีกันอย่างวิเศษ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่ทำให้เกิดจิตใจโลกุตระ ล้างความเห็นแก่ตัว
อาตมามีภาษาแล้วสื่อคุณธรรมของมนุษยชาติ เรารู้อย่างนี้แล้วก็ทำได้ แม้แต่ที่พาทำแล้วก็ดีแล้วเป็นโลกุตรธรรม และยังมีอีกที่ลึกซึ้งเอามาไขให้พวกเรา หลายคนอาจมีเชื้อแล้วแต่ไม่เข้าใจ คนมีเชื้อแล้วทำได้เร็ว คนไม่มีเชื้อก็ต้องฝึกฝน คนที่ไม่มีก็เข้าใจได้ก็พยายามสร้างเอา เป็นคุณธรรมที่เป็นความสะดวกของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าโลกุตรธรรม
เป็นสิ่งที่ดีงามเป็นสิ่งประเสริฐสุดยอด อาตมาเหนื่อยก็ต้องไม่เหนื่อย ที่จะต้องเอามาเปิดเผยบอกกล่าว พวกเราก็เข้าใจกันได้เพิ่มขึ้น มีคนที่ยังมี จิตอัญญธาตุ เป็นธาตุจิตโลกุตระเป็นธาตุใหม่ ธาตุอื่นจากโลกียะสามัญทั่วโลก ธาตุจิตที่ทวนกระแสโลก คนเขาชอบรวยเรามาชอบจน คนเขาติดเรามาวาง คนเขาไปตามกระแสลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ทางนี้ก็ไม่ชอบไม่ชัง รู้แล้ว ไม่ติดยึดในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เลิกมาแล้วมีวิธีปฏิบัติมีทฤษฎีมีสูตร ให้มาประพฤติปฏิบัติได้จริงๆ
เป็นความรู้พิเศษเจ้าเดียวของพระพุทธเจ้านี้ พูดไปก็เหมือนยกตัวตน เป็นความรู้ของมนุษยชาติทั้งโลก เจ้าเดียวที่เป็นความรู้สุดยอด รู้ธาตุของจิตวิญญาณประกอบด้วยดินน้ำไฟลม และชีวะ อาตมาเอามาแยก อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่เป็นเอกในโลกทุกยุคทุกสมัย ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ตรัสรู้โลกุตรธรรมสุดยอดที่เรียกว่าสัมมาสัมโพธิญาณ เท่าที่คนจะเป็นไปได้ แล้วเป็นได้ต้องสะสมบารมีไม่รู้กี่ล้านชาติ อาตมาชัดเจนของตัวเองเพราะเป็นโพธิสัตว์จริง พากเพียรมาจนถึงระดับ 7 ไม่ได้พูดเล่นอย่างไรก็มั่นใจ ไม่ได้โกหกและไม่ได้หลงตน จึงเข้าใจสอดคล้องกับที่พระพุทธเจ้าตรัส แม้จะยังสูงไม่ถึงที่สุดเท่าเทียมกับของพระพุทธเจ้า ก็รู้ตัว แต่ไม่เคยอวดดีว่าเราเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งมันเป็นเรื่องสุดยอด
อาตมาไม่ได้ไปดูถูกดูแคลนใคร ยุคนี้อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ ที่เจาะกระเปาะไข่ออกมาก่อน อาตมาก็ประกาศ ใครร่วมยุคสมัยที่เป็นพี่จะได้มาช่วยกัน ยกตัวอย่าง อย่าหาว่าอาตมาละลาบละล้วง ในหลวงร.9 ท่านตรัสก็ตรงกับอาตมาพูด ท่านทำทางรูปธรรม อาตมาทำทางนามธรรม อาตมาจึงสาธยายทางนามธรรม ท่านแสดงมา 70 ปี อาตมาก็คงจะใช้เวลาถึง 70 ปีนะ ตอนนี้ก็ 50 ปีแล้ว
สรุปว่า ธรรมะพระพุทธเจ้าจะเป็นพี่เป็นน้องจะเป็นตระกูลเดียวกันจะสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันมันเป็นหนึ่งเดียว แล้วหนึ่งเดียวในโลก
_ฝ่าฟัน…เขียนโคลง 4 สุภาพมา อาตมาตั้งชื่อให้เขา ว่า ฝ่าฟัน
หนึ่งเดียวในโลกนี้
หนึ่งเดียวในโลกนี้ อเทวา
มีสยังอภิญญา สืบไว้
สัจจะแห่งสัมมา ทิฏฐิ สิบเฮย
สานต่อพุทธะใกล้ เที่ยงแท้ ถึงกัป
ดับสองเป็นหนึ่งซึ้ง เทวา
สมถะวิปัสสนา อ่านได้
สุข ทุกข์ อุเบกขา ตีแตก
พ่อท่านสอนเราไซร้ ฝึกให้ ถึงสูญ
พ่อครูว่า…ความเป็นหนึ่งเดียวอาตมาก็ย้ำ ดูเหมือนยกตัวตน แต่ก็คือสัจธรรมที่นำเสนอ ว่าอันนี้ดีขั้นไหน ก็แยกให้รู้ไป อันนี้ชั่วขั้นไหนก็ว่าไปแจกแจงให้รู้ทั้งลำดับขั้นตอน ความมากความน้อยความต่ำความสูงความเจริญความเสื่อม หากไม่เพ่งโทษว่าไปพูดยกตนข่มคนอื่น ก็มันเป็นธรรมชาติธรรมดาของสัจธรรม พูดความดีก็ต้องเหนือกว่าความชั่ว เหนือกว่าความชั่วมากก็ต้องข่มเยอะ เหนือกว่าสูงก็ต้องข่มมาก เลี่ยงไม่ออกที่ต้องสื่อสัจจะ ทุกวันนี้อาตมายากมากที่ต้องพูด ต้องพูดตรงๆ พูดแฝงยิ่งยาก อาตมาบอกตรงๆก็เห็นใจท่านผู้ฟัง
คนเรามันมีสามัญสำนึกว่าอย่าไปอวดสิ่งที่ตัวเองมีตัวเองดี มันเป็นคุณธรรมชั้น 1 ระดับหนึ่ง อย่าไปอวดให้คนอื่นเห็นเองรู้เอง ซึ่งมันก็จริงในระดับหนึ่ง แต่มันดีจนกระทั่งขนาดบอกแล้วบอกอีกคนที่เข้าใจยังไม่เข้าใจไม่ดี แม้แต่คนที่เข้าใจแล้วบอกไปแล้วนี่คนเขาเข้าใจแล้วนะ ก็ยังไม่เชื่อ
ก็ดูตาม sms
_พระโย ปฐมธรรม : อ.ท่านนี้ จำเดิมที ตั้งแต่ท่าน ส่งจิตไปกล่าวหาหลวงตามหาบัว และอยู่ๆก็ประกาศอรหันต์ ผมไม่ค่อยสนใจ แต่อันนี้ท่านอธิบายถูก ขออนุโมทนาด้วยครับ
กิเลสมีแต่ภายนอก ถ้าเข้าถึง พีชะ กิเลสเข้าไม่ถึง..
จะว่ามีก็ไม่ใช่ จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่
เหมือนกับว่า เราอยู่คนละโลกกันแล้ว เหมือนการแก้ใถ้ จากอาหาร
กิเลสเป็นพืชหรือไม่ แม้กิเลส ก็มีอาหาร
ลำเลียงมาเหมือน การเจริญเติบโตของพืชแต่กิเลสกับพืช
หรือต้นไม้คนละอัน แต่อาศัยพืช อุปมาได้
เช่น ตัณหาเกิดขึ้นได้ เพราะ อาศัย สเน่หา ความรู้จึงเจริญเติบโต
ไม่ดับไปสักที
พ่อครูว่า…อาตมาไม่ได้กล่าวหาแต่พูดความจริงอย่างจริงใจ แต่จะว่ามีก็ไม่ใช่ จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่ อันนี้ก็เนวสัญญาฯ
แต่กิเลสมันไม่ใช่ภายนอกมันคือภายใน มันคือจิต ไม่ใช่กายแต่เพียงภายนอก แต่คำว่ากายนี้ควบคุมเกี่ยวข้องกับภายนอกด้วย ถ้ามันไม่ใช่กาย ที่เราแยกเล็บ ผม ขน ฟัน หนัง
เล็บส่วนที่ตัดออกไปไม่ใช่กายของเรา แต่แม้มันติดที่ตัวเราไม่ได้ตัดออก คำว่ากายไม่ใช่หมายถึงไม่ใช่เรา อย่างหยาบ แม้ลึกเข้าถึงชีวะ ในระดับพีชะ เล็บที่ยังไม่ขาดยาวออกมามันพ้นจากประสาทที่จิตเราจะไปรับรู้ พีชะจึงไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณเป็นสังขารกับสัญญา อย่างเล็บที่ตัดออกไปก็ไม่ใช่กายของเราแล้ว อย่าไปหวงแหนเลย แม้เป็นเราก็ไม่ให้หวงแหน ที่ตัดขาดออกไปจากตัวเองเป็นอุตุธาตุแล้ว
พระพุทธเจ้าตรัสว่า หลังกายแตกตายก็สามารถแตกสลายอัตภาพไปได้เลยนั่นคือพระอรหันต์ ก็รวมตัวมาเป็นจิตไม่ได้อีก จิตก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้
ฟังไปแล้วจะตรวจดูกันว่าทำได้ไหม หรือบางคนทำได้ ตั้งแต่สิ่งหยาบ เราไม่ได้มีความทุกข์ความสุขกับมันอีกแล้วก็เป็นพระอรหันต์ เป็นแต่เพียงว่าจะรับมาก็จำเป็นก็รับมาเหมือนพืช จิตผู้รู้ควรก็เอาแต่สิ่งที่ควร
ผู้รู้แล้วก็ทำจิตเราให้เป็นพีชธาตุ อาศัย แล้วมีพลังงานยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ พระอรหันต์จึงอาศัยฐานจิตที่เป็นพีชธาตุ แต่มีพลังงานจิตพีชนิยามที่เอาไปใช้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นได้อีกเยอะ แต่ฐานของตัวเองไม่มีความทุกข์ความสุขไม่มีบาปไม่มีบุญ
สู่แดนธรรมว่า…คนนี้เขาอธิบายว่ากิเลสเหมือนพืชเพราะพืชต้องการอาหารมาเลี้ยงตัวเอง
พ่อครูว่า…พืชต้องการอาหารมาเลี้ยงตัวเองเท่านั้น ไม่ไปทำร้ายคนอื่นไม่มีพิษมีภัย มีสัญญากำหนดรู้ เอาสิ่งที่จำเป็นมาสังเคราะห์ ให้เป็นพืชพันธุ์ชนิดของมัน ผสมปรุงแต่งหน้าเป็นพืชพันธุ์เช่นฟักข้าว หมากเม่า เป็นต้น มันก็มีสัญญาของมัน ซื่อสัตย์ต่อการกําหนดหมายเป็นพืชพันธุ์ของมัน แล้วมันได้ก็ได้ ได้มาน้อยมันก็ไม่เต็ม หรือมันไม่ได้มันก็เหี่ยวเฉาตายไป มันไม่รบกวนใครสำหรับพืช นี่เป็นคุณสมบัติของอุตุธาตุ พีชธาตุ จิตธาตุ ที่เป็นความตรัสรู้คือพระพุทธเจ้าตรัสรู้ อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์จึงเข้าใจสิ่งเหล่านี้ นิยาม 5 มี แต่ไม่เคยเห็นใครอธิบายอย่างที่อาตมาพูดนี้ให้ได้ละเอียด
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพรหมชาลสูตร ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้วผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.
อาตมาพูดไปนี้ไม่ได้พูดแบบมหาบัวที่หลงผิดมีปีติ และยังมีถัมภะ สารัมภะ มายา สาเฐยะ เขาเป็นดำแล้วมั่นใจว่าตัวเองขาว แล้วไปหลอกคนอื่นว่าขาวอีก คนไปหลงนับถือผิดอาตมาก็ต้องแก้ไข
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
_สู่แดนธรรม…มีคนฝากคำถามมา…ท่านสมณะรูปหนึ่งติงมาว่าพ่อท่านอธิบายผิด แต่บอกมาสั้นๆ คือท่านธัมมนิยโม ท่านขอติงว่า ตอนพระพุทธเจ้าปรินิพพาน มีพระอนุรุทธะคอยสแกน ตรงนี้ท่านเบิกบานว่าพ่อท่านอธิบายผิด แต่ผมเข้าใจว่าพ่อท่านไม่ได้เจตนาพูดให้ละเอียด แต่ผมก็ไปเช็คดูว่าจุดไหน ผมคิดว่าน่าจะเป็นที่บอกว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานที่อุเบกขาเป็นฌานที่ 4 แต่ในพระไตรปิฎกบอกว่าท่านออกจากอุเบกขา
พ่อครูว่า..อาจจะไม่คมชัด ท่านก็วางหมดเป็นอุเบกขา เพราะว่าเป็นจุดศูนย์กลางของทุกอย่างไม่มีบวกไม่มีลบ ปรินิพพานต้องบอกว่าออกจากอุเบกขา พยัญชนะจะบอกว่าเข้าหรือออกก็ไม่มีปัญหา แต่คือเป็นพลังงานที่ไม่มีพลังงานจับตัวกันแล้ว หมดการรวมตัวกันแล้วในธาตุชีวะของตัวเองหมด จะใช้พยัญชนะคร่อมไปมา ท่านก็พยายามเช็คดู เป็นนักเช็คชั้น 1 ก็ดี อาตมาบางที่สัญญาวิปลาสได้ แต่จิตไม่วิปลาส
_พตท.ดุลเพชร…ตอนนี้ เออรี่รีไทร์ออกมาแล้ว มาอยู่บ้านราชฯ
พ่อครูว่า…ก็มีตำแหน่งให้เลย เอารปภ.ไปก่อนเลย
_แก้วบุญ…ช่วงงานเจ หนูรู้สึกไม่อยากทำงานก็เลยฝืนทำก็เลยทำได้น้อยอยากรู้ว่าจะได้บุญหรือไม่
พ่อครูว่า…ทำได้น้อยก็ได้บุญน้อย แต่ถ้าเต็มใจทำก็จะได้บุญมาก
_SMS วันที่ 6 ต.ค. 2562 (วิถีอาริยธรรม : บ้านราช)
_นาตยา วัฒนเสรีกุล น้อมกราบนมัสการพ่อท่านและท่านฟ้าไทหนูมาช่วยงานเจที่อุทยานบุญนิยม แล้วค่ะ
พ่อครูว่า…มาช่วยงานแล้วคุณก็จะมีผัสสะมากระทบ ทำให้อ่านกิเลสได้ลดกิเลสได้ก็ได้ทำบุญ แต่กุศลนั้นได้อยู่แล้ว ขณะทำงานก็ได้ลดกิเลสไปด้วยได้ทั้ง 2 ด้าน
_เกียรติขจร พลเดช : กราบนมัสการขอรับ ขอขอบคุณคุณบิดาคุณมารดาตลอดบรรพบุรุษท่านที่ให้ท่านมาเทศนาขอรับและขอขอบคุณท่านที่มาเทศนาขอรับและขอนอบน้อมคำเทศนามาฝึกและปฏิบัติตามขอรับ
พ่อครูว่า…อนุโมทนาสาธุ
_พระโย ปฐมธรรม : อ.ท่านนี้ จำเดิมที ตั้งแต่ท่าน ส่งจิตไปกล่าวหาหลวงตามหาบัว และอยู่ๆก็ประกาศอรหันต์ ผมไม่ค่อยฝสนใจ แต่อันนี้ท่านอธิบายถูก ขออนุโมทนาด้วยครับ
กิเลสมีแต่ภายนอก ถ้าเข้าถึง พีชะ กิเลสเข้าไม่ถึง..
จะว่ามีก็ไม่ใช่ จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่
เหมือนกับว่า เราอยู่คนละโลกกันแล้ว เหมือนการแก้ใถ้ จากอาหาร
กิเลสเป็นพืชหรือไม่ แม้กิเลส ก็มีอาหาร
ลำเลียงมาเหมือน การเจริญเติบโตของพืชแต่กิเลสกับพืช
หรือต้นไม้คนละอัน แต่อาศัยพืช อุปมาได้
เช่น ตัณหาเกิดขึ้นได้ เพราะ อาศัย สเน่หา ความรู้จึงเจริญเติบโต
ไม่ดับไปสักที
พ่อครูว่า…(อธิบายต่อ) พระอรหันต์เป็นผู้ทำจิตธาตุให้เป็นพีชะ เป็นฐานอาศัย อรหันต์อาศัยพีชธาตุนี้ เป็นคนไม่มีความสุขไม่มีความทุกข์ไม่ทำบาปไม่ทำบุญ และนอกจากนั้นยังรู้ยิ่งกว่าพืช เพราะว่าเป็นผู้มีปัญญาเข้าใจสิ่งอันควรอะไรดีอะไรชั่ว ก็ทำแต่สิ่งที่ดีไม่ทำสิ่งชั่ว ทำแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์
อรหันต์ลึกกว่านั้นอีก ทำดีแล้วไม่ยึดดีเป็นเราเป็นของเราอีก เป็นคุณสมบัติคุณวิเศษของจิตวิญญาณมันซับซ้อน ถ้าใครทำได้แล้ว อาตมาพูดความจริงที่อาตมาทำได้และรู้
คุณเอาไปทำได้แล้ว แต่ใครจะบอกว่าคุณไม่มีคุณวิเศษอันนี้หรอกก็ไม่เป็นไร เรามีเราเป็นได้จริงก็จะไปมีปัญหาอะไร ผู้รู้ความเป็นจริงไม่แปลกใจอะไรหรอก
_ประโยชน์ นิ่มหนู : เห็นควรเปิดเวที แลกเปลี่ยนคำสอนที่ไม่เหมือนกับทุกสำนักที่สอน เพื่อจะได้คำสอนที่ถูกต้อง จะเริ่มต้นอย่างไรดีครับ เพื่อมวลมนุษย์ขาติ
พ่อครูว่า…เปิดบุญนิยมออกไปทุกวัน 24 ชั่วโมงแล้ว
_ผัน พันตาPhan Punta : ชาติคือความเกิดโดยเป็นรูปกับนาม
สาธุ เราไม่มีชาติคือความเกิด เหมือนตาลยอดด้วน
ตราบใดยังมีพีชะคือพืชที่ยังมีการเกิดอยู่บนภพคือพื้นดิน…สาธุ
พ่อครูว่า…ชาติ 5 หากไม่รู้ว่าอะไรโอกกันติในจิต กิเลสหรือไม่มีกิเลสหากไม่รู้กิเลสก็จะหยั่งลงในจิตไป แต่หากรู้ก็ไม่ให้กิเลสเกิดหยั่งลงได้ก็เป็นนิพพัตติ มีคุณวิเศษสามารถเอากิเลสออกหรือไม่ให้กิเลสเข้า สำเร็จก็เป็น นิพพัตติ เป็นโอปปาติกโยนิ เป็นการเกิดทางจิตวิญญาณ ที่คุณสามารถทำได้ในใจมนสิกโรติ ก็สามารถทำใจในใจของคุณ ไม่ให้กิเลสออกหรือไม่ให้กิเลสเข้า จนฆ่ากิเลสสมบูรณ์แบบ สมมุติว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งฆ่ากิเลสเสร็จ ก็มีคุณสมบัติอันเป็น อรหันตะ ในแต่ละอย่าง คุณติดบุหรี่ก็ฆ่ากิเลสติดบุหรี่เสร็จจบ ก็เป็นพระอรหันต์ในเรื่องการติดบุหรี่ คุณติดอะไรอื่นอีก ติดหมากเม่า ติดความสวยความอร่อย ก็ล้างกามคุณ 5 ได้ก็เป็นอนาคามี เหลือรูป อรูป ก็ล้างได้อีก ตรวจจิตว่ามันยังมี อาการนิดน้อยกับไม่มี เก่งหรือไม่เก่งคุณจะมีภูมิแยกได้ชัดเจน มีหรือไม่มี ถูกต้องหรือไม่ก็ตาม ก็ทำได้เป็นการสิ้นอาสวะ ถ้าคุณนึกว่ามันหมด แต่ว่ามันเหลือน้อย ถ้าธาตุรู้ของคุณไม่สามารถรู้ความเหลือนี้ได้ แต่คุณมีอนุสัยยัง่เหลือ คุณก็ต้องปฏิบัติให้มีความเก่งของแว่นขยายอันนี้อีกจนรู้ว่ามันยังเหลือนะไม่หมด จนกระทั่งล้างอีกหมดอนุสัยอีกก็ถือว่าเป็นอรหันต์ สมบูรณ์ที่สุดก็เป็นอุภโตภาควิมุติ
_ขอน้อมกราบพ่อครู…
1.น้ำเป็นมหาภูตรูป หรืออุปาทายรูปหรือสุขุมรูป
พ่อครูว่า..ก็ต้องเข้าใจความหมาย มหาภูตรูป แน่นอนน้ำคือมหาภูตรูป คือธาตุ 4 ดินน้ำไฟลม แต่ต่อมาถามว่าเป็นอุปาทายรูปหรือไม่ อุปาทายรูป มี 24 มีมหาภูตรูปอีก 4 หากไม่สามารถรู้ได้แต่ว่าทำได้ เหมือนช่างตี๋ทำเป็นซ่อมรถเป็นแต่ไม่ทราบทฤษฎี แต่จบวิศวกรป.เอกแต่ซ่อมรถสู้ช่างตี๋ไม่ได้นะ วิศวะเก่งท่องพยัญชนะกว่าแต่ทำเก่งสู้ช่างตี๋ไม่ได้
อุปาทายรูปมีผู้ทำได้อย่างไม่รู้พยัญชนะเหมือนกันเหมือนช่างตี๋ แต่ก็บอกใครไม่ได้หรือไม่ชัดเจนลงรูปนาม สภาวะกับพยัญชนะ ถ้าสามารถรู้ทั้งพยัญชนะและสภาวะ เรียงมาเลย
อุปาทายรูป 24
ก. ปสาทรูป ๕
-
จักขุ (ตา)
-
โสตะ (หู)
-
ฆานะ (จมูก)
-
ชิวหา (ลิ้น)
-
กายา (กาย)
ข. โคจรรูป, วิสัยรูป 4
-
รูปะ (รูป)
-
สัททะ (เสียง)
-
คันธะ (กลิ่น)
-
รสะ (รส
-
โผฏฐัพพะ (สัมผัส)
พ่อครูว่า…ศาสนาพุทธ กาย นี้ต้องเอาจิตไปศึกษา แต่ต้องมีภายนอกร่วมด้วย…คนไปนั่งหลับตาอานาปานสติ จะต้องมีความรู้สึกลมหายใจเข้าออกภายนอกเสมอ แต่คนที่ไม่รับรู้ความรู้สึกลมหายใจเข้าออกเลย คนนี้ไม่ได้ปฏิบัติศาสนาพุทธแล้ว ไม่มีกาย คุณนั่งหลับตาสมาธิไม่มีกาย เป็นการปฏิบัตินอกรีตศาสนาพุทธ
เวทนาก็ต้องมีกายไม่ใช่ลืมหรือทิ้งกาย จิตก็ต้องมีกาย ธรรมะก็ต้องมีกาย จึงเรียกว่าเทวะ หรือธรรมะ 2 แต่ต้องทำจิตให้เป็นหนึ่งได้ เอกัคคตาจิต ไม่มีเวทนา 2 มาร่วมด้วย แยกออกว่านี่จิตแท้ๆเลย ไม่เรียกจิตเดิมแท้ แต่จิตแท้ๆไม่มีกิเลสอุปกิเลสผสม อันนี้แหละเป็น 1 ถ้ามีส่วนกิเลสเป็นอันเป็นโลกียะผสมก็ไม่ใช่ ถ้ามีจิตธาตุเดียวไม่มีอาการ 2 นี่คือ 1 เป็นเอกัคคตาจิต คือจิตที่ยิ่งใหญ่ แต่การปฏิบัติหลับตาจะไม่เกิดเอกัคคตาจิต แต่เกิดเอกธรรม จิต 1 แต่ไม่ยิ่งใหญ่ ปฏิบัติหลับตาได้จิตสงบนิ่งไม่เป็นธรรมะ 2
สู่แดนธรรมว่า…เขาบอกว่าฌาน 1 มีเอกัคคตารมณ์หลังปีติ
พ่อครูว่า…ฌาณ 1 มีวิตกวิจาร ปีติ สุข เป็นองค์รวม แต่ยังไม่อุเบกขา มีสภาพปรุงแต่งอยู่ จนลดวิตกวิจารอ่านพฤติออกว่าตอนนี้ไม่มีกิเลสแล้วจะเหลือปีติ สุข ปีติต้องเบาลงหาฌาน ที่ 3 ท่านถึงเรียกว่ามีสุข สงบ มีฐานอุเบกขา หมดฌาน 3 แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นในสุข ก็อ่านจิตปราศจากกิเลสจริงก็เป็นอุเบกขา
ผู้รู้ตรงกันใช้พยัญชนะสื่อกันอธิบาย แต่ละคนก็ของใครของมันจะรู้ตามภูมิของใครแต่ละคนอาจจะไม่เท่ากันทีเดียว แต่ถึงอย่างไรก็ตามเป็นการน้อมเอนมาทางโลกุตระเป็นทางปรมัตถ์ แต่คนไม่เป็นทางโลกุตระก็โน้มไปทางโลกียะ
_ดญ.น้ำมนต์…จะมาถามแต่ลืมคำถาม
พ่อครูว่า…สุขุมรูป แปลว่าละเอียดเล็กมาก จนบางทีคนอื่นไม่มีภูมิพอจะจับไม่ติด คนมีภูมิพอจึงจับความละเอียดนี้ติด
ค. ภาวรูป 2
-
อิตถัตตภาวะ, อิตถินทรีย์ (ญ)
-
ปุริสสัตตภาวะ, ปุริสสินทรีย์ (ช)
ง. หทยรูป 1 = 12.หทัยรูป ที่ตั้งการเกิดอาการของรูป คือจับอาการนั้นได้เมื่อใด แต่คนหลับตาปฏิบัติก็บอกให้จิตไปกำหนดเหนือสะดือสองนิ้วก็จะพบความสว่างที่สถานที่นั้น แต่หทยรูปนี้ไม่มีสถานที่ แต่รู้อาการของมันเมื่อใดก็เมื่อนั้น
ห แปลว่าความจริง ท แปลว่า ความกล้าแข็ง ห มาก่อน ท ก็จะสื่อสภาวะที่ต่างไป หทย คือความเป็นตัวของมันแข็งแรง แต่ ทห นี่ความแข็งแรงแสดงออกมา
_ด.ญ.น้ำมนต์…สัทธรรม 7 แปลว่าอะไรคะ?
พ่อครูว่า…สัทธรรม 7 มี ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา
วิริยะ สติ ปัญญา เป็นสามเส้าที่เป็นพลังงานของ coefficient สามข้อหลังนี้เสริมความเจริญของพลังงานสัทธรรมอีก 4 จิตคุณเข้าใจชัดเจน เชื่อมั่นเชื่อถือเชื่อฟัง มีศรัทธาชัดเจน
เช่น ศีลข้อ 1 พระพุทธเจ้าไม่ให้ฆ่าสัตว์เราชัดเจน คุณไปเจอสัตว์แล้วจะฆ่ามัน ก็จะรู้สึกว่าจิตของเราทำไมมันเลวขนาดนี้ก็จะเกิดความละอาย แต่ว่าบางทีมันต้องเอามันอยากได้จริงๆที่เล็กมันแรง ก็ฆ่าได้ อายนะ มีหิริ ก็รู้ว่าไม่ดีแต่กิเลสมันเหนือกว่าสำนึกก็เลยฆ่า แต่ถ้าโอตตัปปะแล้วกลัวเลย หิรินี้บางทีกิเลสขึ้นหน้าก็ระเบิดได้ แต่ถ้าโอตตัปปะนี้กลัวเลยไม่ทำเลย นี่คือคุณสมบัติของธาตุจิตที่มันมีจริง ท่านเรียกว่าเทวธรรม คือจิตเจริญ เป็นสมบัติของผู้เจริญ
หากไม่มีหิริโอตัปปะ คนรู้ว่าบาปแล้วแต่ไม่ละอายกูจะทำก็จะทำไม อันนี้เป็นสัตว์นรกไม่ใช่เทวดา หากรู้ว่าชั่วก็เต็มใจทำชั่วนี่คือสัตว์นรกไม่ใช่เทวดา
ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ มันมีสภาวะจริง ไม่ฆ่าเลย แม้สัตว์นั้นจะทำให้เราตายเราก็ไม่ฆ่าเค้าตอบ นี่ยิ่งเป็นเทวดาชั้นสูงใหญ่เลย เป็นเทวดาที่เจริญมากอย่างนี้เป็นต้น
ทีนี้ ผู้มีจิต ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ สะสมจิตที่เกี่ยวกับสัตว์เกี่ยวกับข้าวของเกี่ยวกับศีลข้ออื่นๆคุณก็เป็นพหูสูต ก็คือเป็นสัตบุรุษ เป็นผู้ที่เจริญสูงขึ้นมากขึ้น หรือบางทีเรียกว่า พาหุสัจจะ คือคนผู้มีความจริงมากยิ่งขึ้น เป็นความรู้ที่เป็นโลกุตระ มีสภาวะจริงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
คุณยิ่งมีพหูสูตรก็มีสัมประสิทธิ์ วิริยะ สติ ปัญญา พากเพียร อิทธิบาทเจริญยิ่งขึ้นๆ
จ. ชีวิตรูป 1 = 13.ชีวิตินทรีย์ รู้ความมีชีวิตอยู่ของกิเลส มันยังเป็นสภาพที่ยังไม่ตาย ตายลงไปบ้างแล้ว ตายลงไปเยอะแล้ว เหลือน้อยลงเป็นชีวิตน้อยลง คุณก็จะรู้ดีกรีของความตาย ความจางคลายของความเป็นชีวิต ความดับของชีวิต ชีวิตหรี่ลงเบาลง มันเหย้า(ภาษาอีสาน) จนไม่ใช่แค่อ่อน แต่ดับ หยุด ตาย เรียกว่านิโรธ ดับ ไม่มีอาการมันเกิดขึ้นมา คุณก็จะรู้อาการของมันด้วยปัญญาด้วยความรู้ว่าอาการอย่างนี้คืออย่างนี้ ของใครของมัน ไปรู้ของคนอื่นได้อย่างไร ต้องทำเองเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ ก็จะรู้ว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต
พละเรียกว่าแรง อินทรีย์คือชีวิต มีพลังแรงลงก็อินทรีย์เหลือน้อย จนมีน้อยกับไม่มีต้องแยกกันให้ได้ให้มันมี คือมี 0 มีอะไร คือมีความไม่มี
พระพุทธเจ้าบอกว่าคนส่วนมากจะเรียนรู้ โลกสมุทัยกับโลกนิโรธ (ความดับหรือมีเหตุอยู่)
พระไตรปิฎกล. 16 ข. [43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี 1 ความไม่มี 1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก นตฺถิตา สา น โหติฯ) เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก อตฺถิตา สา น โหติฯ)
ฉ. อาหารรูป 1 = 14.กวฬิงการาหารจนถึงวิญญาณาหาร อาหารมี 4
-
กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว ให้รู้กิเลสเบญจกาม) ในอาหารคำข้าวจะมี รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส คุณชอบหรือไม่ชอบอย่างไร ก็เอามาอธิบายเฉพาะที่เกี่ยวกับสัมผัสได้ทั้งนั้น กิเลสอยู่ในนี้เยอะ คุณพิจารณาแค่อันนี้ก็ถึงอรหันต์ได้อาสวะสิ้นได้ จนถึงหมดอนุสัยเลยได้ อาสวะหมดเป็นปัญญาวิมุติอรหันต์ได้แล้ว
-
ผัสสาหาร (อาหาร คือ ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา)
-
มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา)
-
วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ กำหนดรู้นาม-รูป . อันเป็นปัจจัยให้ตั้งอยู่แห่งสังขาร เพื่อการเกิดในภพใหม่ คือมีปัจจัยเกิดชาติชรามรณะ ทุกข์ และความคับแค้น) .