621013_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ผู้ไกลแสนไกลจากวิเวก 3 คือคนพวกไหน
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/18_yhEYYnJ4qFza6b4_vjT_ye2HO52nhWvuCFJdE6ebQ/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1pnjWqEQGa1QOa4qn7MCZOnAW8L1RonBG
สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ปีกุน รายการวิถีอาริยธรรมวันนี้ จัดตอนค่ำแทนตอนสาย เพราะว่ามีมหกรรม big cleaning day ที่บ้านราชฯ เป็นวันออกพรรษา สมณะก็จะได้มีพิธีปวารณากัน
คนที่เขาบอกขุมทรัพย์เรา เราก็ได้ประโยชน์ต่อตัวเองถ่ายเดียว ทำให้เราได้พัฒนาเสมอๆ ได้เป็นคนเจริญพัฒนาอย่างมีวรรณะ 9
วันนี้เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของในหลวงร.9 เป็นวันที่มีเหตุการณ์สำคัญหลายอย่าง
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 11 ตุลาคม 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ)
_เฉลิมชัย ล้อลีลา คุณสมบัติหรือสเปคที่จะสามารถนิพพานสุขต้องทำหรือปฎิบัติอะไรบ้าง? ครับ
พ่อครูว่า…ก็ขอให้คุณเฉลิมชัย ตั้งใจศึกษาให้ดี ถ้าบอกว่านิพพานสุข ต้องทำหรือปฏิบัติอะไร? นิพพานสุขไม่มี นิพพานไม่มีสุขไม่มีทุกข์
ในโอวาทปาติโมกข์ว่า นิพพานังปรมังสุขัง ท่านแปลว่านิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ซึ่งอาตมาว่าแปลผิด นิพพานังปรมังสุขัง ไม่ได้แปลว่าสุขอย่างยิ่ง แต่ควรแปลว่า ยิ่งกว่าสุข
นิพพานของพระพุทธเจ้าไม่สุขไม่ทุกข์ อันนี้เป็นจุดสำคัญมากเลยในความรู้ของศาสนาพุทธ ถ้าไม่เข้าใจ ก็ต้องวิ่งไปแสวงหาความสุข เพราะว่าศาสนาพุทธสอนให้ดับเหตุแห่งทุกข์ เขาก็ว่าจะสุขได้อย่างไร แต่แท้จริง สุข ทุกข์ เป็นเหมือนเหรียญสองด้าน
ฐานของนิพพานนั้นที่ควรประพฤติปฏิบัติจะต้องทำใจในใจ ไม่สุขไม่ทุกข์หรือใช้คำว่า อุเบกขา ใครที่หลงว่านิพพานเป็นความสุข ยังห่างไกลจากนิพพานมาก ทูเร นิพพาเน
ปฏิบัติให้ได้ จึงจะเข้าใจจริง เรียนสุข ทุกข์ จะได้นิพพาน แล้วต้องดับสุขดับทุกข์ไม่ให้จิตมีอาการสุข ทุกข์ในจิต เรียกว่าจิตนิพพาน เป็นที่ตั้งของ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ใครทำคุณสมบัติ 5 ประการนี้ได้ถาวรมั่นคือ ผู้นั้นเป็นอรหันต์
กระทบกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ลาภยศสรรเสริญก็ไม่หวั่นไหว
มีคุณสมบัติทั้งรู้ก็เร็ว เปลี่ยนแปลงได้เร็วเหมือนนักมายากล กลับไปกลับมา คนหมุนสมองไม่ทันท่านพูดกลับไปกลับมาก็จะงง ตอนนี้พูดถึงความมีหรือความไม่มีก็ได้
_(ปรานี เบิร์ช)Pranee Birch : กราบนมัสการพ่อท่านค่ะ ดูถ่ายทอดสดตอนนี้ที่ออสเตรเลียนะคะ ชัดมากเหมือนนั่งดูที่เมืองไทยเลยค่ะ ไม่ทราบว่ามีถ่ายทอดสดทุกวันไหมคะ ในเวลานี้ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…มีการถ่ายทอดสดทุกวัน เวลานี้
_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก : ผมดีใจมากที่ผมเห็นภูฎาณอโศกโมเดล แบบพ่อครูครับ?
พ่อครูว่า…เขารู้ตัวว่าเป็นประเทศยากจนแล้วก็สนองพระราชดำรัสแบบคนจน ก็ไปทำให้สังคมประเทศเขาให้มีเศรษฐกิจแบบคนจน แบบที่ให้ชาวอโศกประพฤติตนเป็นคนจน ขอยืนยันว่าอาตมาประสบผลสำเร็จที่อาตมาพาพวกคุณมาจนได้ ถ้าพวกคุณไม่เจออาตมาป่านนี้ก็ไปรวย บางคนก็มีร้อยล้าน ก็ไม่ได้พูดเล่นนะ มีความรู้ความสามารถมากและไม่ห่วงหาก็จะมีเงินมาก ทำอย่างสุจริตด้วย พวกเราทำอยู่กี่คน แต่พวกเราก็ไม่สะสม
ก็อย่าไปเสียดายเมื่อต้องตายจากมันไป ถ้ามีเยอะจะตายจากมันก็ต้องเป็นทุกข์ แต่พวกเราตายไปก็ไม่ทุกข์มีก็ไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา เอาเข้าส่วนกลางหรือให้ใครจะจำเป็น เป็นกิจที่สมบูรณ์จริงๆ
_เจริญ : ดูสมศักดิ์ ดีครับแต่ทำต้องรู้หน้าที่ของผู้ปฏิบัติไม่ใช่ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองรู้ธรรม มันต่างคนต่างทำ ถ้าทำตามคำสอนจริงสาสนาที่ท่านสอนผู้ปฏิบัติได้คนนั้นแหละรู้ธรรมครับผม
_ปุญญาธัมมา ไม่ทราบว่าจำแก่นแท้ตนเองได้หรือยัง? อ๋อ!ถ้าจำได้แล้วแก่นแท้มาจากไหน? ใครอนุญาตให้มาในระบบโลก? ถ้าไม่ทราบทั้งหมดก็”หลง” ครับ
พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าสอนเรื่องแก่น แก่นนี่คือวิมุติ เนื้อกระพี้คือปัญญา เปลือกคือสมาธิ สะเก็ดคือศีล ส่วนลาภยศสรรเสริญสุขเปรียบเหมือนใบไม้ผลไม้ที่เขียวเหลืองสวยงามชะอุ่มพุ่มไสว
ศาสนาที่หาแก่นมิได้ แม้แต่กระพี้ ปัญญาก็ไม่ได้ เหลือแต่เปลือก แค่สมาธิก็เป็นมิจฉาสมาธิ ศีลเป็นสะเก็ดก็ไม่ได้
ศาสนาพุทธทุกวันนี้มีแต่ดอกใบผลเต็มไปหมด อวดอ้าง มีแต่ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข น่าอาย มันไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร เกินแก้ไขที่กระแสหลักศาสนาพุทธมันเป็นไป เป็นฐานของภิกษุต่างๆ เป็นพระผู้ใหญ่ผู้น้อยยิ่งใหญ่ ยิ่งมีลาภยศสรรเสริญสุข
ก็มีพระจำนวนหนึ่งเป็นพระปฏิบัติ ก็ออกป่าไม่สะสม ออกป่าหลับตาปฏิบัติอันนี้ก็สุดโต่งอีกแบบสะสมอัตตา โดยไม่เรียนรู้ลดอัตตา ตั้งแต่โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตาที่อยู่ภายในก็ล้างอัตตา 3 จนหมด อันนี้เขาไม่รู้เรื่องกันแล้ว ศาสนาพุทธไม่มีมรรคผลแท้จริงมีแต่เดรัจฉานวิชชา ไสยศาสตร์ ไม่ได้ใส่ความหาเรื่องนะ
จะได้เอาคุหัฏฐกสุตตนิทเทส มาอธิบายอีก
จะปฏิบัติให้ได้สมาธิ ปัญญา เขาไปนั่งหลับตาก็คือเป็นผู้ไกลจากวิเวก
_สู่แดนธรรมว่า…แก่นแท้มาจากไหน?…ทัศนคติที่ถามแบบนี้ ผมเคยถูกถาม ศาสนาพุทธเราไม่ต้องรู้ที่ต้นว่ามาจากไหน แต่พ่อครูสอนว่า แม้เราไม่รู้ที่มา แต่ให้รู้ที่จบ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…เรามาเรียนรู้กับพ่อครู มีตั้งแต่สะเก็ด เปลือก กระพี้ จนถึงแก่น แก่นมาจากการปฏิบัติของเรา
สู่แดนธรรมว่า…พ่อครูเคยตอบว่าแก่นของเราคือความว่าง
พ่อครูว่า…ก็คือวิมุติ ความว่าง หรือสูญ เป็นภาษาใช้แทนกันได้ อาตมาไม่ได้หลง
_ลูกไกลพ่อ…ดิฉันอยากมาก็มาก ก็ได้มาสมใจ เดินทางมาถึงเย็น ดูสภาพบ้านราชฯแล้วหมดเลย น้ำท่วมเราขนของก็เหนื่อย แต่ยังไปช่วยคนอื่นอีก มีเทศกาลกินเจอีก
อาตมาทำงานจะ 50 ปีแล้ว บรรยายไปก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกเราจะรำคาญไหม รู้สึกเบื่อไหม เพราะมันวนเวียนซ้ำซากไป พูดไปก็วนไป ไปไหนไม่รอด ก็มาหาศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ เดี๋ยวก็มาที่อัตตาตัวตน ไปว่าพวกนั่งหลับตาอีก ไปว่าเขาทำไม? อาตมาก็ต้องทำงาน ทำงานอะไร?ก็งานว่า อาตมาไม่ได้ไปทำงานแบกขน อาตมานี่ทำงานว่า พูด บรรยาย อะไรผิดก็ว่าผิดข่ม อะไรถูกก็ยก ชม มีหน้าที่นี้ก็ทำหน้าที่
อาตมาก็ตอบตรงๆที่ว่าไปว่าเขาทำไม ก็ทำงานก็ต้องว่า เพราะทำงานเป็นนักว่า แล้วจะไม่ให้ว่า?คำว่า ว่า คือการตำหนิและชม
อาตมาก็วนเวียนบรรยายเรื่องนี้อีก
คุหัฏฐกสุตตนิทเทสที่ 2 ว่าด้วยนรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำคือกาย
ล.29 ข้อ [30] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว นรชนเมื่อตั้งอยู่ ก็หยั่งลงในที่หลง นรชนเช่นนั้น ย่อมอยู่ไกลจากวิเวก ก็เพราะกามทั้งหลายในโลก ไม่เป็นของอันนรชนละได้โดยง่าย.
เพราะกามนี่แหละเมื่อมาข้องอยู่ในถ้ำ คนก็ไม่ค่อยมีโอกาสจะได้มีกามทั้งหลายที่ต้องละ และก็ยังละได้โดยยากด้วย ไม่เป็นของอันนรชนละได้โดยง่าย ก็คือละได้โดยยาก
ความหมายคือกามนี้เป็นเบื้องต้น นั่งสะกดจิตหลับตานี่เป็นเรื่องกลาง แต่นี่ไม่เป็นลำดับ
กามเบื้องต้นก็ละได้ยากแล้ว คุณก็พลาดไกลจากเป้าหมายต้นโดยเอาร่างกายคุณไปอยู่ในป่าช้า อยู่แต่ผู้เดียว เดินผู้เดียวอีกก็ยิ่งห่างไกลจากวิเวกไปอีก
คำว่า ไกลจากวิเวก มีความว่า นรชนนั้นใด เป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำอย่างนี้ อันกิเลสมากปิดบังไว้อย่างนี้ หยั่งลงในที่หลงอย่างนี้ นรชนนั้นย่อมอยู่ไกลแม้จากกายวิเวก ย่อมอยู่ไกลแม้จากจิตวิเวก ย่อมอยู่ไกลแม้จากอุปธิวิเวก คืออยู่ในที่ห่างไกลแสนไกล มิใช่ใกล้มิใช่ใกล้ชิด มิใช่เคียง มิใช่ใกล้เคียง. คำว่า อย่างนั้น คือ ผู้หยั่งลงในที่หลง ชนิดนั้นเช่นนั้น ดำรงอยู่ดังนั้น แบบนั้น เหมือนเช่นนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนเช่นนั้นย่อมอยู่ไกลจากวิเวก.
ถ้าเข้าใจสภาวะที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสแค่นี้นะ เดี๋ยวจะกล่าวต่อว่า กายวิเวก จิตวิเวกอุปธิวิเวกคืออะไร พระที่ปฏิบัติทุกวันนี้เป็นผู้ไกลจากวิเวกทั้ง 3 นี้เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ไม่มีวิเวกเลย
[31] คำว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้วมีความว่าทรงตรัสคำว่า เป็นผู้ข้องไว้ก่อน. ก็แต่ว่าถ้ำควรกล่าวก่อน กายเรียกว่า ถ้ำ. คำว่า กายก็ดี ถ้ำก็ดี ร่างกายก็ดี ร่างกายของตนก็ดี เรือก็ดี รถก็ดี ธงก็ดี จอมปลวกก็ดี รังก็ดี เมืองก็ดีกระท่อมก็ดี ฝีก็ดี หม้อก็ดี เหล่านี้เป็นชื่อของกาย.
คำว่า เป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ คือ ข้อง เกี่ยวข้อง ข้องทั่วไป ติดอยู่ พันอยู่ เกี่ยวพันอยู่ในถ้ำ เหมือนสิ่งของที่ข้อง เกี่ยวข้อง ข้องทั่วไป ติดอยู่ พันอยู่ เกี่ยวพันอยู่ที่ตะปู ซึ่งตอกติดไว้ที่ฝา หรือที่ไม้ข้อ ฉะนั้น.
สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิน ความปรารถนาในรูป ความเข้าไปถือ ความเข้าไปยึดในรูป อันเป็นความตั้งมั่น ความถือมั่น และความนอนตามแห่งจิต บุคคลมาเกี่ยวข้องอยู่ในความพอใจเป็นต้นนั้น เพราะเพราะนั้น. จึงเรียกว่า สัตว์. คำว่า สัตว์เป็นชื่อของผู้เกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้น. จึงชื่อว่า เป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ.
เสียงเด็กร้อง….พ่อครูว่า..สังคมเราเป็นธรรมชาติ พูดไปนี่หากเด็กได้ฟังก็เข้าเก็บในคลังสัญญาเขาไว้แล้ว หากสักวันหนึ่งก็ออกมาให้เขาได้ใช้
มันมีความเกี่ยวโยงกันหมด อาตมาเคยกล่าว 0 นี่แหละคือ infinity
มันจะมีเนื่องกัน ถ้านับว่ามี แต่ถ้านับว่าจบก็คือมาหา 0
ศาสนาพุทธสอนให้ชัดเจนว่ามีหรือไม่มี แล้วอาศัยอยู่กับความมีหรือไม่มี
พระไตรปิฎกล. 16 ข. [43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี 1 ความไม่มี 1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก นตฺถิตา สา น โหติฯ) เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก อตฺถิตา สา น โหติฯ)
ในพยัญชนะท่านตรัสถึงความมี คือโลกสมุทัย ความไม่มีคือโลกนิโรธ
ศึกษาถึงสภาวะของความมีหรือไม่มีแล้วคุณเรียนรู้จะทำความไม่มีในสิ่งที่ไม่ควรมี ไม่ใช่ไม่มีจิต แต่มีจิตที่ผ่องใส มีปัญญายิ่งด้วย ให้เรียนรู้ถึงอาการอกุศลหยาบกลางละเอียดที่ไปยึดถือ ล้างหมดเลยจบ หัวใจของศาสนาพุทธอยู่ตรงนี้จบ สำคัญมากที่สุดเลย
หากไปนั่งหลับตาทิ้งทวารทั้ง 5 ก็หมดท่าเลย เพราะคำว่ากาม ก็ดี คำว่ากายก็ดี ต้องมี 2 ถ้าคุณไม่มีจิตวิญญาณกามก็ไม่มี ต้องมีจิตวิญญาณที่ทำงานกับทวาร 5 ด้วย แม้มีจิตแต่ไม่ทำงานกับทวาร 5 ก็เท่ากับเอาตัวเองไปฝังไม่ได้เรียนรู้กามไม่ได้เรียนรู้กาย
แล้วภาษาสิริมหามายา พวกนี้ตายไปแล้วก็ยังมีกาย เพราะคุณดับความเป็นกายออกจากจิตไม่ได้ คุณแยกกายแยกจิตไม่ได้
เมื่อแยกกายแยกจิตไม่ได้ ทำใจในใจทำให้จิตเป็นสภาวะอาการของความไม่ใช่กายเป็นอุตุ ทำความเป็นจิตให้เป็นแค่พีชะ
พีชะก็ไม่ใช่กาย เพราะไม่มีความสุขความทุกข์ไม่มีความรู้สึกแต่มันมีชีวะต้องเลี้ยงมันอยู่จึงมีชีวิต ต้องเรียนรู้อาการจิตแล้วทำจิตให้เป็นพีชนิยาม มีธาตุรู้ทำงานเป็นชีวะ อะไรที่ไม่ใช่กายแต่มันอยู่กับตัวเรา คุณทำจิตให้เป็นพีชธาตุ แล้วคุณก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่ไประรานไม่ไปเบียดเบียนใครเลย ต้องทำใจให้มีคุณลักษณะนี้
ถ้าทำใจในใจไม่ได้อย่างนี้ ก็เป็นอรหันต์ไม่ได้…
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
_นักรบธรรม …ทั้งหมดทั้งสิ้นคือทำความรู้สึกเฉยๆ
_คุณลุงจำลอง…พ่อครูเคยเทศน์ว่า จำนวนมนุษย์ที่เกิดในชาตินี้ กับชาติหน้า จำนวนจะน้อยลง ทุกคนอยากไปนิพพานแต่มีน้อยนักที่ไปได้ ชาติหน้าจะขอเกิดเป็นคนที่มีทุกข์น้อยลง เพราะชาตินี้ได้ปฏิบัติธรรม อย่างน้อยชาติหน้าได้เกิดเป็นมนุษย์ไม่เกิดเป็นสิงสาราสัตว์และทุกข์น้อยลง
ผมไปที่ไหนที่พระอโศกเทศน์ก็ต้องบอกผู้จัดเวทีว่าอย่าเอาดอกไม้มาประดับ ฆราวาสพวกเราถือศีล 8 แล้ว นี่พระอโศกเล่นดอกไม้ได้อย่างไร
พ่อครูว่า…พระไม่ได้เล่นดอกไม้หรอก พระไม่ได้ไปเกี่ยว ฆราวาสอยากมีบ้าง เข้มงวดกวดขันดี มองแง่เจตนาดี คนนั้นมีจริตเข้มงวดก็ไม่มีปัญหา ใครรู้สึกกดดันก็ทำให้ได้ก็ไม่เสียหลาย ทำไปตามควร ทีหลังคนจัด หากคุณจำลองมาก็ต้องรู้สิ อย่าให้คุณจำลองเขาว่าเอา
พ่อครูว่า…ที่ต้องขยายความ ที่ท่านศึกษาให้ละเอียดไปคนก็จะหลับเปล่า ก็ขอลดหน่อย
ท่านจะแจกคำว่าวิเวกถึง 3 วิเวก คือ กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก
คำว่า นรชนเช่นนั้น ย่อมอยู่ไกลจากวิเวก มีความว่า วิเวก ได้แก่ วิเวก
3 อย่าง คือ กายวิเวก จิตตวิเวก อุปธิวิเวก.
กายวิเวกเป็นไฉน? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมซ่องเสพเสนาสนะอันสงัด คือป่า โคนต้นไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง และเป็นผู้สงัดด้วยกายอยู่คือ เดินผู้เดียว ยืนผู้เดียว นั่งผู้เดียว นอนผู้เดียว เข้าบ้านเพื่อบิณฑบาตผู้เดียว กลับผู้เดียว นั่งอยู่ในที่เร้นลับผู้เดียว อธิษฐานจงกรมผู้เดียว เป็นผู้เดียว เที่ยว อยู่ เปลี่ยนอริยาบถ ประพฤติรักษาเป็นไป ให้เป็นไป นี้ชื่อว่า กายวิเวก.
จิตตวิเวกเป็นไฉน? ภิกษุผู้บรรลุปฐมฌาน มีจิตสงัดจากนิวรณ์ บรรลุทุติยฌาน มีจิตสงัดจากวิตกและวิจาร บรรลุตติยฌาน มีจิตสงัดจากปีติ บรรลุจตุตตถฌาน มีจิตสงัดจากสุขและทุกข์ บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน มีจิตสงัดจากรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา นานัตตสัญญา บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน มีจิตสงัดจากอากาสานัญจายตนสัญญา บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน มีจิตสงัดจากวิญญาณัญจายตนสัญญา บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน มีจิตสงัดจากอากิญจัญญายตนสัญญา (เมื่อภิกษุนั้น) เป็นโสดาบันบุคคล มีจิตสงัดจากสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาสทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับสักกายทิฏฐิเป็นต้นเป็นสกทาคามีบุคคล มีจิตสงัดจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ อย่างหยาบ กามราคานุสัยปฏิฆานุสัย อย่างหยาบ และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกันกามราคสังโยชน์อย่างหยาบเป็นต้นนั้น เป็นอนาคามีบุคคล มีจิตสงัดจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์อย่างละเอียด
กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อย่างละเอียด และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับกามราคสังโยชน์อย่างละเอียดเป็นต้นนั้น เป็นอรหันตบุคคลมีจิตสงัดจากรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา มานานุสัย ภวราคานุสัย อวิชชานุสัย กิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับ รูปราคะเป็นต้นนั้น และจากสังขารนิมิตทั้งปวงในภายนอก นี้ชื่อว่าจิตตวิเวก.
คำว่าวิเวกเป็นพฤติกรรมของการปฏิบัติธรรม ถ้าไม่เข้าใจความหมายเพียงพอก็ปฏิบัติไม่ได้
คำว่าปลีกวิเวก เขาก็หมายเอาแต่แค่ร่างกายหลบหนีไปอยู่ป่า โคนไม้ ป่าเขา ป่าช้า เอาทั้งร่างกายไปก็ถือว่าคือการปลีกวิเวก
โดยสัจจะแล้วกายต้องมีทั้งรูปนามไม่ใช่มีแต่ร่างกาย การไปเอาร่างกายไปอยู่ป่าเขาถ้ำก็ถือว่ามีวิเวกแล้ว แต่ถ้าในป่าเขาถ้ำนั้น จิตใจของคุณเต็มไปด้วยกาม เต็มไปด้วยลาภยศสรรเสริญ มีกิเลสโหยหาอาวรณ์นี้ไปอยู่ป่าเขาถ้ำ กิเลสอยู่กับคุณเป็นเพื่อนสองแล้วคุณจะไปวิเวกกายที่ไหน?
หากไปเข้าใจกายว่าคือรูป แล้วพากายไปป่าเขาถ้ำห่างจากอะไรต่างๆ โดยไม่เข้าใจว่ากายหมายถึงสภาวะ 2 หมายถึงจิต มโน วิญญาณด้วย คนเขาจะสับสน ทำไมพระพุทธเจ้าตรัสว่า กายหมายถึงจิต มโน วิญญาณ
คนไทยไปเข้าใจคำว่ากาย นี้ไม่มีจิตไม่มีมโนไม่มีวิญญาณธาตุรู้ประกอบเลย กายคือดินน้ำไฟลม หากเข้าใจเช่นนี้เลย คนๆนี้จะไม่สามารถ ล้างความข้องอยู่ในถ้ำ สัตว์คือตัวคุณมีจิตข้องในถ้ำ จะไปนั่งสมาธิอะไรก็โมฆะหมด
อธิบายให้เห็นว่าผู้ที่หลงทางผิดในวงการศาสนาพุทธส่วนใหญ่ เลยหลงว่าผู้เข้าป่าเขาถ้ำนักสะกดจิตหลับตาเป็นพระอรหันต์อีกมันจึงไกลแสนไกลจากวิเวกไม่มีวิเวกเลย
ไม่ได้แกล้งว่า แต่อธิบายสภาวธรรม
การไปนั่งสมาธิ ได้ผล แต่เป็นผลแบบโลกียะ ไม่ใช่แบบโลกุตระของพระพุทธเจ้า นั่งหลับตาก็ได้ฌานสมาธิแต่เป็นแบบของเดียรถีย์ฤาษี ไม่ใช่แบบของพุทธ ของพระพุทธเจ้าลืมตามีตาหูจมูกลิ้นกายเป็นปัจจัยทั้งนั้น แล้วก็เรียนรู้ภายในจิตให้ทำฌานที่ 1 2 3 4 ถึงรูปฌาน อรูปฌานในตอนลืมตานี่
ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากเลยที่จะอธิบาย ก็มันได้ลองผิดทำตามกันมายึดถือสิ่งที่ผิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกเสียแล้ว กว่าจะฟื้นคืนมาสู่ความถูกต้องใครเห็นใจอาตมาบ้าง อาตมาถึงบอกว่าชาตินี้ เกิดมาทำงานที่ยากจริงๆ แต่ก็ต้องทำเพราะไม่มีทางเลือก เขายิ่งติดยึดสิ่งผิดเป็นสิ่งถูกอาตมาก็ต้องมาพูด เหนื่อยก็เหนื่อย ปากเปียกปากแฉะอย่างไรก็จำนนต้องทำจริงๆ
ผู้ที่ไกลจากวิเวกดังกล่าว ยิ่งไปถึงอุปธิวิเวก
อุปธิวิเวกเป็นไฉน? กิเลสก็ดี ขันธ์ก็ดี อภิสังขารก็ดี เรียกว่าอุปธิ. อมตะ นิพพานเรียกว่าอุปธิวิเวก ได้แก่ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่สำรอก เป็นที่ดับ เป็นที่ออกไปจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด นี้ชื่อว่าอุปธิวิเวก.
ก็กายวิเวก ย่อมมีแก่บุคคลผู้มีกายหลีกออกแล้ว ยินดียิ่งในเนกขัมมะ จิตตวิเวกย่อมมีแก่บุคคลผู้มีจิตบริสุทธิ์ ถึงซึ่งความเป็นผู้มีจิตผ่องแผ้วอย่างยิ่ง อุปธิวิเวก ย่อมมีแก่บุคคลผู้หมดอุปธิถึงซึ่งนิพพานอันเป็นวิสังขาร.
ต้องเรียนรู้อภิสังขารเป็นปุญญาภิสังขารปรุงแต่งไปจัดการจิตของคุณให้ฆ่ากิเลส คือปุญญะ ผู้ใดทำพลังงานจิตให้เป็นฌาน มีไฟโหมไหม้เผากิเลสจนดับ กิเลสดับก็เรียกว่าทำบุญสำเร็จ พอสำเร็จบุญก็หายไป ปุญญปาปปริกขีโณ แปลว่าหมดสิ้นหายไปแล้ว บุญก็หายบาปก็หาย พระอรหันต์คือคนไม่มีบุญไม่มีบาป
ซึ่งชัดเจน พยัญชนะบาลีมีมาให้อธิบายยืนยันได้ หากไม่มีคำเหล่านี้ในพระไตรปิฎกไม่เหลือ ในพจนานุกรมก็มีแปลคำว่า บุญ ก็ค่อยยังชั่วไม่งั้นอาตมาตายเลย
ความหมายสุดยอดเลยศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่มีบุญไม่มีบาป
อุตุ พีช จิต กรรม ธรรมะ อันไหนที่ไม่มีบุญไม่มีบาป…
อุตุนิยามก็ไม่มีบุญไม่มีบาป
ผู้ศึกษาธรรมะจนเป็นพระอรหันต์สามารถทำให้จิตตัวเอง ตาย ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ ทำให้จิตของท่านเป็นอุตุนิยามได้เลย ดินน้ำไฟลม รวมตัวไม่ติด ไม่เป็นแม้แต่ชีวะ คือปรินิพพานเป็นปริโยสาน ทำอัตภาพอาตมันให้สูญไปได้เด็ดขาดเลย แยกธาตุหายไปเลย พระเจ้าก็เด๋อเลย สุวรรณก็เลยว่า..มีชื่ออยู่แต่ทำไมวิญญาณไม่มา หายไปไหน?
เพราะว่าศาสนาเทวนิยม คนที่ตายทุกคนตายไปแล้วต้องไปอยู่กับพระเจ้า แล้วแต่พระบัญชาของพระเจ้า แต่ไม่เคยเห็นพระเจ้า อาทิสมาณกาย พระบุตรยังไม่เคยเห็นพระเจ้าเลย พระบุตรเป็นปกาศกประกาศคำสอนพระเจ้าแต่ก็ไม่เคยเห็นพระเจ้า เขาไปตีความว่าพระบุตรมีคนเดียว ของแต่ละศาสนาก็มาประกาศศาสนาของพระเจ้า
จริงๆแล้วไม่ใช่หรอก ความรู้นั้นไม่ใช่ของพระเจ้าแต่เป็นความรู้ของตนเองแต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าตนเองมีความรู้นี้เอง แต่เขาคิดว่าตัวเองเป็นตัวแทนพระเจ้ามาประกาศ เลยเป็นศาสนาคลุมเคลือ ตัวเองยังไม่รู้ว่าเป็นความรู้ของตัวเอง คือศาสดาเทวนิยมเป็นผู้ไม่รู้แม้กระทั่งตัวเองหรือไม่รู้แม้กระทั่งความรู้ของตัวเองไม่ใช่ของใคร
ศาสนาเทวนิยมเขาไม่ได้มีความรู้เรื่องการเวียนเกิดเวียนตาย แล้วไม่มีอะไรเชื่อมต่อชาติต่อไปจากการตาย ความรู้ของเขาจึงสั้นอยู่แค่ชาตินี้ เขาไม่เชื่อบุญบาปก็เลยได้แต่อ้อนวอนพระเจ้า ศาสนาอิสลามละหมาดวันละ 5 ครั้ง เขาต้องอ้อนวอนกราบพระเจ้าให้มาก ศาสนาเทวนิยมก็จะกราบมาก อย่างทิเบต เอาแต่กราบไปตามถนนก็กราบ พอเวลาศาสนาเสื่อมก็เอาแต่กราบไหว้อ้อนวอน ในเมืองก็เอาแต่สวด ทิเบตก็สวดจัง กราบมาก ทำไม่ไหวก็เคาะระฆัง หมุนเอง แล้วเขียนตัวหนังสือธรรมะให้หมุนเอาแทนตัวเองท่องทำไปสารพัด ดูแล้วเหมือนเด็กๆทำ
คำว่าไปข้องในถ้ำ ในป่าช้า ซอกเขา เดินคนเดียวกินคนเดียว ไปคนเดียวบิณฑบาตคนเดียว เปลี่ยนอิริยาบถ ก็คนเดียว เห็นใจคนแปลมา แม้แต่คำว่า กายวิเวก ก็ขอขยายความ
กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวกหากคนไม่สัมมาทิฏฐิ อุปธิวิเวก ไม่ได้เด็ดขาด เพราะคุณไม่รู้จักกิเลสตัวจริง กิเลสจะมีได้ต้องมีกาย ต้องมีกายกลิ แปลว่าความเป็นโทษที่อยู่ในรูปนามของคุณ เป็นตัวไม่ดี เป็นตัวที่ต้องเอาออกจากตัวเอง กิเลสก็คือกายกลิ
การปฏิบัติธรรมคุณขาดความเป็นกายไม่ได้ คุณหลับตาก็หลบเข้าหลุมดำเบอมิวด้า จมไปในที่มืด หมดทางแก้ คนนั่งหลับตาทำสมาธิหมดทางแก้เลย จมในหลุมดำเบอร์มิวด้า หายไปค้นหาไม่ได้เลย
พระพุทธเจ้าท่านว่าผู้ปฏิบัติผิดไปอยู่ในภพ จะมีทิศไปสองทิศ คือไม่จมก็ลอย
เราต้องเข้าใจ คำสอนนี้ ที่อาตมาหยิบมาขยายความ หากมิจฉาทิฏฐิไปไม่ได้
อาตมาตีย้ำแล้วย้ำอีกพวกหลับตาสมาธิ อาตมาไม่เชื่อว่าผู้ติดยึดพวกนี้จะกระเตื้อง แต่จะมีผู้ที่ฟังไปจนกระทั่ง ฟังไปๆก็ค่อยๆเข้าใจตามรู้ตามจะเข้าใจได้
อาตมาเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้นจะไม่เสียหลายสูญเปล่า
ส่วนผู้ปิดประตูฉลาดแล้วเอาแต่ประตูโง่มาประตูเดียวก็หมดทางจะช่วย ไม่มีปรโตโฆษะ ไม่มีการฟัง แม้แต่ผู้ที่เราเองเชื่อว่าคือผู้รู้ ก็ปิดประตูสัมมาทิฏฐิเลย เพราะปรโตโฆษะก็ไม่เกิดโยนิโสมนสิการก็ไม่เกิด คุณปิดประตูแล้วไม่รับฟัง เช่นไม่รับฟังอาตมาจะโยนิโสมนสิการไม่ได้ ไม่ได้ลงไปถึงที่เกิด ไม่ได้มรรคผล
ภาษาแบบบังคับคือคุณต้องมาฟังอาตมา
คุณจะไปนั่งหลับตามันสูญเปล่าออกป่าเขาถ้ำก็คือผู้ข้องอยู่ในถ้ำ แล้วคุณก็คือผู้มีกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว การออกป่าไม่มีผู้มีวิชชาจรณะอยู่ในป่าในอัมพัฏฐสูตร
ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า
พวกออกป่าคือเดียรถีย์ คนที่ถูกอาตมาว่าก็จะมาว่าอาตมา ว่าไปว่าเขาทำไม เขาเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไปว่าเขาทำไม
อาตมาก็ต้องค่อยๆพูดอยู่ดีๆกับเขา คุณเสียเวลากับศาสนามากนะไปทำแบบนั้น ไปทำอย่างอื่นก็บำเรอกิเลส กิเลสโตได้ ซึ่งมันก็ยากจริงๆ
อุปธิวิเวกคนหลงออกป่าจะไม่มี ออกป่าแล้วกิเลสจะเกิดไม่ได้ เกิดได้ก็เกิดในภพ เกิดในตอนลืมตาไม่มีสิ่งยั่วยวนรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แต่ก็มีแบบธรรมชาติ ก็จมไปละเอียดลึกเข้าไปอีก ก็ขอแนะนำขอบอกว่าเลิกเสียเถอะที่จะส่งเสริมพระป่ามันผิด ให้ศึกษาให้สัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติแบบพระพุทธเจ้าจะเกิดสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติมรรค 7 องค์จะเกิดสัมมาสมาธิ ในมหาจัตตารีสกสูตร
สมาธิจะเกิดได้สมบูรณ์แบบเป็นสมาหิตโตก็อยู่ที่คุณปฏิบัติจรณะ15 วิชชา 8
มีวิชชา 8 เป็นยาดำของจรณะ 15 ตลอดแล้วทำผลสำเร็จได้ถึงวิชชาข้อสุดท้ายอาสวักขยญาณ ญาณที่รู้ว่าเราสิ้นอาสวะแล้ว คุณจะเกิดสมาธิในจรณะ 15 ไม่มีพยัญชนะคำว่าสมาธิ แต่จะเกิดต่อเมื่อเป็นอรหันต์ จิตเป็นสมาธิที่สมบูรณ์เรียกสมาหิโต สั่งสม ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
จิตบริสุทธิ์ปราศจากกิเลส กระทบสัมผัสอยู่ก็จิตสะอาด จิตเก่งยิ่งขึ้น เป็นจิตมุทุ เป็นจิตที่ละเอียดมาก แววไว เร็วทั้งจิตให้เป็นอย่างไรก็ปรับได้ด้วยตัวเองรู้ทันก็เร็วไว ประสิทธิภาพของมุทุภูตธาตุ จึงกัมมัญญา องค์ประกอบก 5 ประการของอุเบกขา จึงมีอัญญาประกอบกับกรรมทุกกรรม มีปัญญาประกอบสุดยอด เป็นความฉลาดโลกุตระควบคุม แปลกัมมัญญว่าทำการงานอันเหมาะควร ทำความรู้ด้วยปัญญาทำจิตเจโตได้จริง กายกรรม วจึกรรมก็ปาสาทิโก อาการน่าเลื่อมใส แล้วจิตจะทำอย่างไรก็ปภัสสร
จิตพระอรหันต์ มีองค์คุณ 5 นี้ตลอดเวลา ตกผลึกเป็นสมาหิโต สมาธิจึงไม่ได้มีง่ายๆเลย แปลเป็นไทยว่าจิตตั้งมั่น จิตได้ชำระกิเลส จนกระทั่งปฏิบัติเวทนา 108 ทุกปัจจุบัน 36 สั่งสมอเนญชาภิสังบารกิเลส 0 อนาคตจะมาอีกกี่อนาคต 36 เสร็จทุกปัจจุบันทำให้เป็น 0 หมด อดีตก็ 0 ปัจจุบันก็ 0 อนาคตก็ 0 พ้นอวิชชาข้อที่ 7
-
ความไม่รู้ในทุกข์ (ทุกเข อัญญาณัง)
-
ความไม่รู้ในทุกขสมุทัย (ทุกขสมุทเย อัญญาณัง)
-
ความไม่รู้ในทุกขนิโรธ (ทุกขนิโรเธ อัญญาณัง)
-
ความไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
-
ความไม่รู้ในส่วนอดีต (ปุพพันเต อัญญาณัง)
-
ความไม่รู้ในส่วนอนาคต (อปรันเต อัญญาณัง)
-
ความไม่รู้ทั้งในส่วนอดีตและส่วนอนาคต (ปุพพันตาปรันเต) ข้อนี้คือความเที่ยง อดีต ปัจจุบัน อนาคต สูญกิเลสหมดทั้งสามกาละ
-
ความไม่รู้ในปฏิจจสมุปปาทธรรม ว่า เพราะธรรมนี้เป็นปัจจัย ธรรมนี้จึงเกิดขึ้น