621020_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ปฏิบัติชอบปฏิบัติดีต้องพลีกิเลสเพื่อศาสนา
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1QyWm8E08ZsU10cuEbUC4uJnAmNf-0N4oV_R2nhSrer8/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=12oU92ZuOUW8_yg1FKICYg63wJ2bWJbbS
สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก รายการวิถีอาริยธรรมที่บ้านราชฯวันนี้ปรับเวลา จาก 09:00-11:00น. ไปเป็น 18:00-20:00 น. เพื่อสะดวกแก่คนมาฟังธรรมที่บ้านราชฯ การฟังธรรมนั้นเป็นเรื่องของความซ้ำซาก พ่อครูได้เขียนเพลงความซ้ำซากเอาไว้
เพลงซ้ำซากหมายเลข 2
ความซ้ำซาก ไม่ใช่ความน่าเบื่อหน่าย (สุดเซ็ง) ดอก !
ไม่เช่นนั้นเราจะยิ่งนอน ก็ยิ่งจะเบื่อการนอน
ยิ่งได้ทรัพย์ ยิ่งจะเบื่อการได้ทรัพย์
ยิ่งได้ยศ ยิ่งจะเบื่อการได้ยศ
ยิ่งได้สรรเสริญ ยิ่งจะเบื่อการได้สรรเสริญ
ยิ่งได้สุข ก็ยิ่งจะเบื่อการได้สุข เป็นแน่แท้
ซึ่งความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
แต่ “ความมีอารมณ์เบื่อหน่าย”
ในสิ่งที่ “ยิ่งซ้ำซาก ก็ยิ่งทำให้ได้ดี ได้มั่นคง ให้ง่ายเบา” นั้น
มันคือตัว “หน้าโง่” ร้อยเปอร์เซ็นต์ ของเราเองต่างหาก
หรือ ที่แน่แท้จริงก็คือ กิเลสสดๆ
ที่มันกำลังจะมีชัยชนะอย่างกระหยิ่ม นั่นเอง.
10 ก.ค. 2523
(“แสงสูญ” ฉบับที่ 12/2526 : คุณครูเอ๋ย)
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 18 ต.ค. 2562 รายการพุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครู : บ้านราช
_2166ก่อม เมืองบลกราบนมัสการพ่อท่านครับอยากถามว่าถ้าพ่อท่านเจอกับ อ.สุจินต์ บ้านธรรมะ พ่อท่านจะเอาจารย์สุจินต์อยู่ไหมครับ? พ่อท่านจะไหวไหมครับ ผมอยากฟังจริงๆครับ เพราะพ่อท่านก็ยอด อ.สุจินต ก็เยี่ยม
พ่อครูว่า…อาตมายอมแพ้มาตลอด ใครจะชนะก็ไม่ว่ากัน ไม่ไปสู้รบกับใคร ก็ไม่ควรจะเอาไปเทียบเคียง พระพุทธเจ้าสอนให้ฟังอะไรที่เราเข้าใจรับได้พอควรก็ตัดสินเอาเอง แล้วเราก็เอาไปปฏิบัติด้วย ปฏิบัติแล้วมันดีก็ใช้ได้ มันดีจนกระทั่งได้โลกุตระเลย ฟังไปจะเข้าใจมันจะเข้าถึงโลกุตระเมื่อไหร่ อธิบายได้ยากเพราะตรงที่มันเป็นนามธรรม จิตวิญญาณเป็นนามธรรม กิเลสเป็นนามธรรมเราก็ต้องรู้กิเลสให้จริงแล้วทำให้กิเลสลดให้มันจางคลายมันหายมันดับไป เราก็ยืนยันก็รู้เข้าใจมาจนถึงมีปัญญา มีสัญญา เป็นธาตุรู้ที่ใช้คู่กันอย่างสำคัญ
ปัญญาเป็นความรู้ที่เข้าข่ายโลกุตระที่จะมีองค์รวมเกือบทั้งหมด ส่วนสัญญาก็ใช้กำหนดรู้อยู่ภายในภายนอกก็ได้ คุณนั่งหลับตาปฏิบัติจะใช้แต่สัญญาระลึกได้แต่อดีตระลึกได้ถึงอนาคตก็ตาม เกิดความนึกคิดย้อนขันธ์เก่าหรือสร้างขันธ์ใหม่อนาคต พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสไว้ อนาคตจะสร้างใหม่อย่างไรก็ประมวลได้ 44 ทิฏฐิ ก็ไปทำความเข้าใจกันดู ที่จริงทั้งหมดนั้นถ้ารู้แล้วเรายึดมั่นถือมั่นก็ผิดหมดแต่ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่นก็อาศัยได้ อดีต 18 อนาคต 44
ผู้ที่นั่งหลับตาไม่อยู่กับปัจจุบันยังไม่รู้ความจริงตามความเป็นจริง ถ้าลืมตาปฏิบัติอยู่กับปัจจุบันจะครบพร้อมทั้งอดีตปัจจุบันและอนาคต สามารถตรวจสอบภายในอดีตและในอนาคตที่เราใช้ขันธ์นึกคิด แม้ที่สุดจะมีผู้ปรุงแต่งใหม่ยังไม่เคยมีในตัวเราเองเลยก็ได้ จากอดีตก็ได้จากอนาคตก็ได้ ปัจจุบันนี้ก็ผลิตขึ้นใหม่ให้เรารู้ ไม่มีอดีตหรืออนาคตที่เราเคยผ่านมาหรือทำได้ เราก็จะดูอะไรต่ออะไรครบพร้อม
สรุปแล้วผู้ที่ไม่รู้ปัจจุบันไม่อยู่กับปัจจุบัน ครบพร้อมทั้งตาหูจมูกลิ้นกายแล้วก็กระทบกับสิ่งที่อยู่ภายนอก รับรู้ทางทวารทั้ง 6 จะต้องมีแสงสว่างจากพระอาทิตย์มาถึงโลก หรือใช้แสงจากแหล่งอื่นเช่นไฟฟ้า ก็ได้ กระทบวัตถุแล้วเข้าสู่ตาสู่ประสาทตาไปสู่สมองที่จะรับรู้และมีจิตวิญญาณเป็นตัวพิจารณาเป็นตัวรับรู้ เป็นตัวทำงานมีสมองเป็นอุปกรณ์ให้วิญญาณทำงาน
อ.สุจินต์ก็เป็นครูบาอาจารย์ที่มีสัจจะที่ตรงหรือไม่ตรงบ้างหรือจะบอกว่าตรงกว่าอาตมาจะพูดอย่างนั้นก็ได้ แต่ต้องเรียนจริงเอง
_เชวง กิจจะบรรณ์ : นมัสการถ้ารัฐไทยไม่ต้องรบกับไครเพราะเราเป็นหม้อข้าวของทุกชาติมหาอัมนาจจะดูแลปกป้องชาติของเราเอง
พ่อครูว่า…ประเทศไทยตั้งอยู่ในพื้นที่โซนเกษตรกรรมก็ใช้ปัจจัยนี้ ทำกสิกรรมให้เด่นเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นสิ่งที่ประเสริฐเพราะว่าคนต้องอาศัยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไม่ว่าจะที่ไหน ขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ อยู่ที่อลาสก้า ปาปัวนิวกินี
สรุปแล้วเราก็สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่ต้องไปรบกวนสัตว์ อย่างชาวอโศก ตั้งใจเป็นผู้ที่เข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้า สัตว์เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ถ้าหากเข้าใจศีลข้อที่ 1 ที่ท่านตรัสไว้ อย่าไปฆ่าไปแกงกันมีความเอ็นดูกรุณาหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง ที่เป็นจิตนิยามตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว เขาเกิดมาแล้วก็ควรต้องไปตามกรรมวิบาก เรื่องของกรรมวิบากเป็นเรื่องลึกซึ้งเป็นเรื่องอจินไตย เดาเอาไม่ได้ อาตมาไม่เก่งเท่าไหร่ในการอธิบายกรรมวิบาก คนจะอธิบายได้ต้องเก่งขึ้นสามารถขึ้นรู้ได้มากขึ้น เข้าขั้นละเอียดสูงขึ้นไปเรื่อยๆจนกระทั่งถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่รู้สูงสุดครบพร้อม
เรื่องกรรมนี้ เทวนิยมไม่ได้เรียนรู้ เพราะเกิดชาติเดียวแล้วก็ตายไปอยู่กับพระเจ้า จนนิรันดร มีการเกิดและตายชาติเดียว ก็มีศาสนาบางศาสนาที่มีการเวียนวนตายเกิดเหมือนกันอธิบายได้ ตามที่พระพุทธเจ้าแบ่งเอาไว้พูดที่ตามอดีต 18 อนาคต 44 แต่ถ้าไม่สามารถรู้จุดสูงสุดนั่นก็คือสามารถที่จะรู้ธาตุ นิยามของสิ่งที่มีอยู่ในโลก
อุตุ พีชะ จิต นี้เป็นธาตุ 3 อย่าง จิตนิยามเป็นธาตุของสัตว์จนถึงมนุษย์ มนุษย์ที่สูงสุดเป็นมนุษย์อาริยะมนุษย์โลกุตระ สามารถที่จะรู้กรรมและสั่งสมกรรมให้ตั้งอยู่เรียกว่าธรรมะทรงอยู่ แล้วก็อาศัยธรรมะนั้นทำความเจริญให้แก่ชีวิตจนกระทั่งรู้จบรู้แจ้งรู้จักอุตุรู้จักพีชะรู้จักจิตแล้วก็ทำจิตให้เป็นพีชะได้อย่างแท้จริงก็พ้นทุกข์ ทำจิตจากพืชะ ให้เป็นอุตุได้ก็เป็นนิพพานธาตุ เป็นอมตะ
เราจะเข้าใจตั้งแต่ตอนเป็นๆ สามารถรู้ตั้งแต่โลกของอบายมุข ลองสัมผัสแล้วไปติดยึดเป็นความสุขความทุกข์ในสิ่งที่เกี่ยวพันอยู่ เรียกว่าเป็นสิ่งที่ข้องอยู่ ก็จะข้องอยู่อย่างนั้น ยิ่งไปข้องด้วยอวิชชาเพราะมีกิเลสมากแล้วปิดบังไว้ คนมีกิเลสนี้ปิดบังทั้งนั้น ไม่มีใครเอากิเลสมาเปิดหรอก
1.ไม่รู้กิเลสตัวเองก็เปิดไม่ได้
-
แม้จะรู้ว่ากิเลสตัวเองก็ทนได้คิดว่าไม่มาก
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่าเป็นผู้มีกิเลสมากปิดบังเอาไว้แล้ว
คำว่า ไกลจากวิเวก มีความว่า นรชนนั้นใด เป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำอย่างนี้ อันกิเลสมากปิดบังไว้อย่างนี้ หยั่งลงในที่หลงอย่างนี้ นรชนนั้นย่อมอยู่ไกลแม้จากกายวิเวก ย่อมอยู่ไกลแม้จากจิตตวิเวก ย่อมอยู่ไกลแม้จากอุปธิวิเวก
คนยุคนี้ในวงการศาสนาพุทธ เป็นผู้มีกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว แล้วให้มันตั้งอยู่ หยั่งลงสู่ความหลงแล้วเป็นสิ่งอาศัย พระพุทธเจ้าท่านสรุปว่าคนอย่างนี้คือคนที่ไกลจากวิเวก
ผู้ที่ไกลจากวิเวกก็คือ วิเวก เป็นคำๆหนึ่งที่ต่างจากสมถะหรือปัสสัทธิ หรือสงัด
สงัดไม่ถือว่านิ่งทีเดียว
ผู้ที่จะปฏิบัติวิเวก 3 นี้ยังไม่ได้ แล้วจะไปถึงความสงบที่เป็นขั้นถึงปัสสัทธิ ที่ปหานกิเลสตายสนิท ตายอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) หรือนัตถิอุปมา เอาอะไรมาเปรียบเทียบไม่ได้ ผู้ที่รู้ที่จบเหมือนกันก็พอพูดกันรู้เรื่องแต่ก็ของใครของมัน
ธรรมะเข้านิพพานของพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้ปฏิบัติด้วยการนั่งหลับตาแบบไม่รู้เรื่องอะไร นิพพานของพระพุทธเจ้านั้นลืมตา รู้จักโลกอยู่กับโลก เกี่ยวข้องกับโลก สัมพันธ์กับโลก ทำงานร่วมกับโลก มีประโยชน์คุณค่าต่อโลกอย่างมาก รับใช้โลกอย่างแท้จริง เพราะเป็นจิตที่มีโลกุตรจิต แล้วก็มีความรู้ความเป็นโลกต่างๆเท่าที่บารมีคนจะรู้ได้ แล้วก็อยู่กับเขาอย่างมีประโยชน์คุณค่าช่วยเหลือเฟือฟายไม่ข่มเบ่งกัน นี่คือโลกานุกัมปา
ชาวอโศกเราทำงานมา 49 ปี จะ 50 ก็ปี 63 เพราะอาตมาเกิดปี 2477 บวช พฤศจิกายน 2513 เวลาก็เป็นสื่อให้รู้ ก็นับไป อาตมาไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเวลาและอายุ ทำงานอย่างให้สังขารร่างกายแข็งแรงทำงานอย่างจริงใจตั้งใจเห็นคุณค่าและประโยชน์ว่าเกิดมาเป็นมนุษย์ไม่มีอะไรดีเท่ากับการมีธรรมะแล้วเอามาให้ศึกษาให้ประพฤติให้ได้ แต่ละคนให้ได้ธรรมะแล้วจะเป็นประโยชน์แก่กันและกันต่อไปอีก จะทำให้สังคมอยู่อย่างมีคุณค่าพึ่งพาอาศัยกันช่วยเหลือกันอย่างที่เราเป็นเราอยู่สุขสำราญเบิกบานใจสบาย
ผู้ที่รู้ตัวเห็นว่าเรามาอยู่ที่นี่เอาเปรียบเอารัด มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีมันเป็นวิบาก เราจะชัดเจนเชื่อมั่นแล้วจะไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดี จะทำสิ่งที่ดีแล้วล้างสิ่งที่ไม่ดีออกให้จริง เราก็จะได้เป็นคนเจริญจริง เป็นโลกุตระบุคคลเป็นอาริยบุคคล
อาตมาถึงกล้ายืนยันว่าสังคมชาวอโศกเป็นสังคมอาริยบุคคล สังคมของชาวโลกุตระ ไม่ได้พูดเล่น พูดยืนยันความจริง ผู้ใดจะศึกษาพิสูจน์เพื่อที่จะยืนยันก็เชิญได้ ไม่ใช่ท้าทายแต่เป็นเรื่องจริงที่จะต้องมาศึกษา ถ้าทำได้มันก็จะเกิดมนุษยชาติที่จริงทำได้มากขึ้นก็ดี แต่ว่ายังไม่พอหรอก มีความลึกซึ้งที่พวกเราต้องมาใช้ ให้เกิดการพัฒนาสู่โลกุตระซึ่งขีดขั้นแม้จะบอกระดับ โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ที่มาปฏิบัติกับอาตมา ผู้นั้นสามารถปฏิบัติได้พัฒนาได้ในยุคนี้มีภูมิธรรมถึงขั้น 8 สมมุติ สมมุติถึงขั้น 8 ได้ อาตมาก็จะรู้ แล้วผู้ที่มีคุณธรรมเป็นโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าระดับ 8 ก็จะเป็นเหมือนกันจะไม่ได้ข่มเบ่งกัน
สมมุติว่า จะเป็นผู้อายุน้อยกว่ามาบวชทีหลัง แต่มีภูมิธรรมข้ามหน้ากว่าอาตมาก็จะเคารพอาตมาในฐานะผู้บวชก่อนผู้รู้ก่อน แล้วก็จะช่วยอาตมาอย่างแท้จริง แล้วเราก็จะเห็นกันว่าเป็นผู้ที่ช่วย ผู้ที่มีภูมิธรรมเหล่านี้ สอนคนบอกคนได้ปฏิบัติตามได้บรรลุธรรมได้ก็จะมารวมตัวเป็นกลุ่ม เป็นเอกีภาวะเป็นปึกแผ่นเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นหมู่
จากหนึ่งจึงเป็นเรารวมเราเขาเข้าเป็นหนึ่ง One For All All for one อย่างนี้เป็นต้น มันเป็นจริงได้แล้วมันก็จะมีอีกมีน้ำมีเนื้อมีแก่นสารสาระ ที่จะแปรเป็นประโยชน์คุณค่าแห่งมนุษยชาติ ไม่เป็นโทษภัยจริงๆมนุษยชาติในโลก จะมีแต่เจริญขึ้นไปในโลก แม้แต่ในในยุคกลียุคคนจะเลวร้ายไปอย่างไรมันจะมีคู่กัน คนได้ดีสูงสุดเป็นโลกุตระได้สูงสุดส่วนที่เลวร้ายก็จะเลวร้ายมากเป็นคู่ที่เหมาะสมกันถ่วงกันไว้ในโลก แล้วโลกจะไม่เกิดกลียุค
อาตมากล้าพูดตรงนี้อีกอย่าง ว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 จะไม่เกิด เพราะพวกเรานี่แหละ แล้วคนในโลกกำลังแสวงหาสิ่งที่เป็นความเจริญเป็นอารยธรรมเป็นโลกุตระแบบนี้แต่เขาไม่รู้ เพราะเขามีภูมิปัญญาสามารถที่จะรู้ว่าอย่างนี้ใช่แล้ว คนเหล่านั้นก็จะมาร่วมกันไม่ว่าจะเป็นชาติไหน
อาตมามีวิบากดี ที่อาตมาพูดภาษาต่างประเทศไม่ได้เลยนอกจากภาษาไทยหรือภาษาอีสานหรือภาษาลาว พอจะรู้เรื่องได้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร ที่อาตมาพูดภาษาต่างประเทศไม่ได้นั้นดี หากว่าพูดภาษาต่างประเทศได้คนต่างประเทศเข้าใจก็จะเข้ามา ขออภัยแต่พวกเขาบารมียังไม่ถึงคนไทย คนไทยมีบารมีพอที่จะรับได้มากกว่า อาตมาจึงต้องเป็นเช่นนี้บอร์นทูบีborn to be ต้องเกิดเป็นคนแบบนี้
ตั้งแต่เรียนหนังสือมัธยม อ.ที่สอนภาษาอังกฤษอาตมา ท่านสอนอาตมาสอนกับลูกๆของท่าน ที่เป็นผู้ชาย ผู้หญิง
ลูกที่เป็นผู้ชายชื่อหม่อมราชวงศ์สารีบุตร เรียน ม. 6 มาด้วยกัน ท่านก็สอนให้ลูกหลานท่าน อาตมาก็เป็นคนหนึ่งกับอีกหลายคนที่ทุกท่านสอน ท่านจบวิศวะ แต่สอนภาษาอังกฤษ สอนจนกระทั่งสิ้นชีวิต ท่านเคยชมอาตมาว่า อาตมานี่จะเก่ง แต่ว่าโดยวิบากอาตมาไม่เก่ง เพราะชาวต่างประเทศจะมาแย่งพวกคุณเอาเวลาแรงงานไป แต่เขาบารมียังไม่ถึงพวกคุณ มันยังไม่เป็นฐานที่แท้จริงที่จะเจริญ มันจะต้องมาเป็นอันนี้
มองในแง่ต่ำต้อย อาตมาก็น่าจะเจริญภาษาอังกฤษ แค่นี้ คนกระจอกๆยังพูดภาษาอังกฤษเก่งกว่าอาตมา ธนาธรยังพูดเก่งกว่าอาตมาเยอะแยะเลย แต่ว่าอาตมาไม่ได้เห็นเป็นความต่ำต้อย จะต่ำต้อยหรือสูงส่งอาตมาก็ไม่มีปัญหาสำหรับตัวอาตมาแล้ว ก็ทำงานเพื่อที่จะสร้างสรรให้เกิดโลกุตระธรรม พากเพียรอยู่ทุกวันนี้ให้มันเกิดสัจจะหยั่งลง ให้มีมากขึ้นให้มีความเป็นจริงมากขึ้นให้มากพอ เพราะอาตมารับผิดชอบศาสนาพระพุทธเจ้าให้ไปถึง 5000 ปี ถ้าหากปล่อยปละละเลยไม่มีเนื้อแท้อยู่ในศาสนาพุทธ ก็ยังไว้ใจไม่ได้ อาตมาถึงบอกว่าต้องเผื่อให้พอ ไม่อย่างนั้นไม่ไหวมันจะไปถึงหรือ อาตมาดูแล้ว เพราะฉะนั้นต้องไม่ประมาทต้องเผื่อพอไว้มันจะเกินห้าพันปีก็ไม่เสียหาย แต่มันไม่พออาตมาผิดนะเพราะอาตมาเองเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้มา พูดแล้วก็เป็นเหมือนกับอวดตัวตน หลายคนก็จะหมั่นไส้เอา ไม่เป็นไรอาตมาก็พูดความจริงของอาตมา ไม่มีอะไรไม่จริงแต่คนเข้าใจไม่ได้ เขาเข้าใจของเขาอย่างนั้นอาตมาจะไปบังคับเขาได้อย่างไร
หากอาตมาพูดผิด เป็นความไม่จริง บาปก็เป็นของอาตมาเอง แล้วมาย้ำอีก พูดซ้ำซากอีก อาตมาเชื่อในกรรมวิบาก เราจะไปทำให้ตัวเองมีวิบากทำไม อาตมาทำก็ไม่ได้แลกมาซึ่งลาภยศเงินทองอะไร อาตมาไม่ได้ทำเพื่อต้องการแย่งชิง เอาแต่ความจริงมาเปิดเผย
พ่อครูจิบน้ำ
ส.ฟ้าไท
_เสถียร ทองจันทร์ : ชอบรายการครับ
_คุณากร แจ่มกระจ่างkunakorn jamkrajang : พ่อครูสอนได้ตรงตามหลักพุทธะที่สุดแล้ว
_ดาว ฝันDao Phanh : ขอกราบนอบน้อมทันพระครูที่เคารพเป็นอย่างยิ่งค่ะ จากฝรั่งเศสค่ะ ตัวอยู่ฝรั่งเศสแต่หัวใจอยู่บ้านลาดครึ่งแล้วค่ะ
_Kong Phone : ทานเจตลอด
_จิตรา อัศวินChittra Aswin : กราบ_/\_นมสก พ่อครู สมณ สขม ที่เคารพยิ่งธรรมที่พ่อครูแสดงตรงตาม พตปฎ และลงรายละเอียดได้อย่างที่ไม่เคยได้ยิน..ได้ฟังมาก่อน ช่างแจ่มแจ้งนัก ไฉนท่านที่ท้วงติงจึงเห็นต่าง
_คมกฤษ ประเสริฐวงษ์ เห็นพ้องกับท่าน สขม กล้าข้ามฝัน เพราะธรรมที่พ่อครูแสดงในปัจุสมัยนี้ลึก จึงต้องมีเครื่องรับดีมีปัญญา (มีการเลื่อนฐาน)
ขอให้พ่อท่านอธิบายการทำพลี 5 อย่าง ที่อยู่ในอาทิยสูตร อย่างละเอียดด้วยครับ
ทำพลี ๕ อย่าง คือ ๑. ญาติพลี [บำรุงญาติ] ๒. อติถิพลี [ต้อนรับแขก] ๓. ปุพพเปตพลี [บำรุงญาติผู้ตายไปแล้วคือทำบุญอุทิศกุศลให้] ๔. ราชพลี [บำรุงราชการ คือบริจาคทรัพย์ช่วยชาติ] ๕. เทวตาพลี [บำรุงเทวดา คือทำบุญอุทิศให้เทวดา] (จากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ ข้อ ๑ อาทิยสูตร )
พ่อครูว่า…1. ญาติพลี คือ พลีคือการยอมเสียสละ เสียสละทรัพย์สินเสียสละกำลังแรงงานหรือเสียสละอะไรก็แล้วแต่ แม้แต่เสียสละภาษีให้แก่รัฐก็เป็นการพลี
พลี จะมีจิตวิญญาณร่วมด้วย มีความพอใจมีความเต็มใจที่จะสละ พลี
ถ้าคุณไม่มีจิตเต็มใจให้เขาไม่เรียกพลี เพราะฉะนั้นคนที่พลีชีวิตเขาถึงยกย่องกันแม้แต่ศาสนาอื่นก็ยกย่อง พลีชีวิตเพื่อพระเจ้า พลีชีวิตเพื่อมนุษยชาติ ก็จะได้รับความยอมรับนับถือในทุกชนชาติ ตรงกันหมดอันนี้ พลีชีวิตเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
ทีนี้ผู้พลี ยอมเสียสละแก่ญาติ ก็ดีประมาณหนึ่ง ก็เผื่อแผ่ญาติ แต่ถ้ายิ่งกว่าญาติ คนอื่นๆที่เราควรพลี ควรจะช่วยเหลือเขาเพราะเรามีความรู้ความสามารถมากกว่า เรียกว่าอติถิพลี
-
อติถิพลี อติถิ คือผู้ที่ด้อยกว่าก็เป็นการพลีที่ดี
-
ปุพพเปตพลี อันนี้เขาเข้าใจผิดเพี้ยน ไปเข้าใจว่า ไปพลีไปเสียสละ พระบาลีเรียกกว่า ปรทัตตูชีวกเปรต คือเสียสละแก่เปรตที่เขาสามารถรับได้
ปรทัตตูชีวกเปรต 1. มีชีวิต 2. เป็นผู้ที่รับได้
คือสัตว์ที่ยังมีชีวะ ไม่ตาย แต่มีฐานะกึ่งหนึ่ง เปรตคือจิตผู้ขอ ผู้ตกต่ำ ถ้าใครหมายปรทัตตูว่าเปรตอื่นที่ไม่ใช่ในตัวเรา แล้วก็ไปเข้าใจกันว่า เปรตคือ จิตวิญญาณที่ตายไปแล้วไม่มีร่างกาย เปรตคือสัตว์หรือมนุษย์ไม่มีร่างกายก็มีความหิวต้องการ เราก็เจาะจงให้เขาได้ ซึ่งโดยสัจจะของพระพุทธเจ้าและสัตว์ใดก็ตามมีกรรมเป็นของของตน ตนรับมรดกกรรมของตนจะอยู่โลกไหนก็ตาม อยู่ในโลกปัจจุบันยังไม่ตายจากกันกรรมวิบากก็เป็นของตน แบ่งกันไม่ได้ ตอนเป็นๆ พ่อแม่จะแบ่งกรรมวิบากให้แก่ลูกไม่ได้ กรรมวิบากเป็นของคนใดคนนั้น
ยกตัวอย่างพ่อเราไปตีหัวคนแตกเป็นบาป ก็ไปบอกให้ลูกช่วยหน่อยได้รับวิบากไปครึ่งนึง แต่ลูกไม่ได้ตีหัวคนนี้ด้วยเลย พ่อตีหัวคนนี้ไปบาปเป็น 100 หน่วย พ่อก็ต้องรับบาป 100 หน่วยนั้นเป็นของของตัวเอง กัมมัสกะ ตายไปตนเองก็ต้องรับมรดกบาป 100 นี่แหละแบ่งใครไม่ได้ ตอนเป็นๆก็แบ่งกันไม่ได้ ตอนตายแล้วก็แบ่งกันไม่ได้ ไม่ตกไม่หล่นไม่ระเหยไม่ระเหิด เป็นของตัวเองเต็มๆตลอดกาล จนกว่าคุณจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณจึงจะล้างกรรมที่มันสะสมเป็นของตนซึ่งมันไม่หายไปไหนด้วยอันนั้นก็เข้าใจยากเป็นอกุศล มันไม่หายไปไหน แต่คุณต้องสร้างกุศลจิตที่เป็นโลกียกุศล ให้มันนำพาเราเป็น กัมโยนิ นำหน้าอกุศล อกุศลวิ่งตามไม่ทันเหมือนหมาไล่เนื้อ เราก็ปิดประตูบาป มีแต่กุศลไป ของเราเอง หมาไล่เนื้ออกุศลมันจะตามไม่ทันโดยสัจจะ เพราะเราหยุดบาปมีแต่กุศลทั้งปวง ผู้ที่หมดกิเลสแล้ว หรือผู้ที่เจริญถึงขั้นเป็นโลกุตระ กรรมทุกอย่าง สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง บาปทั้งปวงหยุดเด็ดขาดไม่ทำจริงๆ เป็นอรหันต์ ทำกรรมอยู่ แต่บุญก็ไม่ทำแล้ว เพราะฉะนั้นกรรมที่ทำทุกกรรมจึงมีแต่กุศลทั้งนั้น เรียกว่ากุสะลัสสูปะสัมปะทา เพราะสจิตตปริโยทปนัง ทำจิตให้บริสุทธิ์สะอาดแข็งแรง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไม่มีการผิดพลาดเพราะฉะนั้นผู้นี้เป็นผู้ที่รับรองได้เลยว่าเขาเป็นพระอรหันต์
โอวาทปาติโมกข์ สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง กุสะลัสสูปะสัมปะทา สจิตตปริโยทปนัง เป็นคุณสมบัติของพระอรหันต์จะมีมากหรือน้อยก็แล้วแต่ความจริงของคน ถ้าเป็นพระอรหันต์ขึ้นไปแล้วไม่มีบกพร่อง ถ้าใครเข้าใจโอวาทปาติโมกข์นี้ไม่ถูก ก็จะไปแปลว่า ละความชั่วประพฤติดี ทำแต่ดีไม่ทำชั่วทำจิตให้สะอาดผ่องใส กรรมที่ดีก็จะมีความลึกซึ้ง
เสขบุคคลหรือปุถุชน ปุถุชนก็สอนกันไม่ทำชั่วทำแต่ดี ไม่ว่าจะศาสนาไหนศาสนาไหนก็สอนนี้เป็นโลกียธรรมแต่สูงกว่าโลกียะ เป็นโลกุตระแล้ว ถึงไม่เกี่ยวกับความชั่วไม่เกี่ยวกับอกุศลแล้ว ไม่เกี่ยวกับบาปแล้ว บาปบุญไม่เกี่ยวแล้ว
อันที่ 1 ไม่ทำบาปทั้งปวง อันที่ 2 ก็กรรมที่ทำอยู่มีแต่กุศลไม่ใช่กรรมที่ทำอยู่มีแต่บุญ
หากท่านตรัสคำว่ากุศล ก็คู่กับกับบาป แต่ในอันแรกไม่มีบาป
คำว่าบุญเป็น One way Traffic ทำแล้วไม่มี 2 อันนี้อาตมายืนยัน หากวนยังไม่จบนิพพานก็ไม่มีวันจะวนอยู่เป็น 2 ขนาดพลังงานบุญเป็นพลังงานสูงสุดของศาสนาพุทธฆ่ากิเลสก็ยังไม่ถึงนิพพานอีกก็อย่าเกิดมาอีกเลย แล้วเมื่อไหร่จะปรินิพพานได้จริง ไม่อย่างนั้นไม่มีนิพพานเลย ต้องทำบุญ ทำเสร็จแล้วบาปก็หมดบุญก็หมดก็เป็นนิพพาน นิพพานไม่มีการเวียนวนอีกเลยไม่มีเกิดอีกเลยนิพพาน ระดับนิพพานไม่มีวนเวียนอีกเป็นหนึ่งเดียวจบ บุญนี้เป็นชื่อเป็นภาษาที่สร้างพลังงานจิตให้เกิดบุญได้มันก็เป็นอุณหธาตุที่เรียกว่าไฟ ฌาน แล้วมันมีหน้าที่เผากิเลสอย่างเดียว บุญมีปัญญาร่วมด้วย ไม่ทำผิดพลาด หากทำผิดพลาด เผาแหลกก็จะมีบาปซ้อนอีก ก็ไปเผาสิ่งที่ถูกต้องไปด้วย แต่บุญนี้ไปเผาแต่กิเลสแต่สิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ธรรมะพระพุทธเจ้านั้น คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
มีญาณรู้ล่วงหน้าเป็นอนาคตังสญาณอยู่ได้บ้าง
เปรต จริงๆนั้นคือจิตวิญญาณของเราเป็นจิตเปรต ปุพพะ คือก่อน คุณต้องสละต้องยอม อย่าให้เปรตนี้ได้อาหารมันกลับกัน พลีนี้ต้องฆ่าเปรต กลายเป็นอย่างนั้น เปรตพลี ถ้าอุทิส แปลว่าเจาะจงที่บอกว่าอุทิศอาหารไปให้แก่เปรต แต่ไปแปลเป็นตัวตนบุคคลเราเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่สอน ที่จริงแล้วมันไม่มีหรอกมันสูญเปล่า ถ้าเข้าใจกรรมเป็นของของตน คุณตายไปแล้วเป็นเปรต ตายไปแล้วจะเอามรดกกรรมของคุณเองเป็นทายาทของกรรมตัวเอง กรรมวิบากไม่ใช่วัตถุ ที่บอกว่าส่งจีวรส่งข้าวส่งน้ำไปให้นั้นมันไม่เกี่ยวอะไรเลยกับจิตวิญญาณ เป็นเรื่องของวัตถุทั้งนั้น เผาส่งรถเบนซ์ปลอมๆเป็นกงเต๊กไปให้เละไปหมดหลอกคนเป็นๆด้วย ทำหน้าที่ส่งให้แต่ที่จริงแล้วตัวเองเป็นคนได้ เป็นวิธีหลอกเงินในกระเป๋าทั้งนั้นเลยหรือจะเป็นผู้แก้กรรม ทำอย่างเป็นบาปซ้ำซ้อนจะด้วยไม่รู้ เชื่อตามเขาก็ตาม แต่กรรมที่คุณทำก็เป็นวิบาก ยิ่งรู้อยู่ว่าไม่ถึงแต่ทำก็เป็นบาปมากไปอีก
ปุพพะ แปลว่าก่อน เปรตคือจิตที่ตกต่ำ คุณต้องยอมเสียสละให้เปรต จะให้เปรตอ้วนขึ้นก็ไม่ใช่ แต่ทำให้เปรตมันตาย เป็นสิริมหามายา เป็นภาษาเทวะ ถ้าไม่ใช่เทวพูดกันไม่เข้าใจ ทำให้กิเลสเสื่อมชีวิตินทรีย์ตกต่ำลง จนตายไปเลย ต้องยอมเสียสละ ไม่มีใครในโลกหรอกไม่รักกิเลส เปรตคือกิเลสนะ อยากได้อยากมีอยากเป็นไม่จบ เปรตนี่
คนหรือปุถุชนรักกิเลสที่สุด รักให้ตายอย่างไรก็ต้องจำใจฆ่า ซึ่งเป็นการเสียสละที่สุดยอดเลย เพราะฆ่าสิ่งที่รักที่สุด คือฆ่ากิเลส แล้วคุณก็เข้าใจว่ากิเลสมีจริง มีมาแต่ก่อนปุพพะ ก็ชัดเจนว่าเราได้ฆ่ากิเลสฆ่าเปรตในตัวเรา เป็นเปรตพลี
แต่เขาไปแปลว่า อุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติที่ตายไปแล้ว ก็เป็นแบบตัวตนบุคคลเราเขา ก็ตามความเข้าใจของเขาก็ถูกตามของเขาแต่ไม่ถูกตามปรมัตถ์ไม่ถูกตามสัจจะที่ควรเป็น พวกเรารู้จักปรมัตถ์แล้วก็ทำอันนี้ยังมีประโยชน์คุณค่า เพราะทางโน้นทำก็อย่างไรก็ไม่ถึง
ยกตัวอย่างอีกที พ่อแม่ชอบทุเรียน พ่อแม่ตายไปแล้ว ลูกก็ไปซื้อทุเรียนเอาไปถวายพระบอกว่าให้อุทิศส่วนกุศลให้แก่แม่พ่อที่ตายไปแล้ว เป็นทุเรียนอย่างดีด้วยนะ พระก็ให้อาบน้ำไป 3 ทุ่ม 5 ตุ่ม ถามว่าทุเรียนออกจากท้องพระไหม …ไม่ออก ..ออกเป็นเศษที่เหลือ ก็ได้ธาตุอาหารไปเลี้ยงขันธ์แต่ได้อุจจาระออกมา แต่ทุเรียนนี้ให้ตายยังไงก็ไม่แปลงตัวเป็นนามธรรมเป็นธุลีละอองไปถึงจิตวิญญาณคนที่อุทิศให้เลย นี่เป็นนิยายหลอกโลก รู้ตัวเสียว่าถูกหลอกถูกล้วงตับกินไส้มานาน ใครไม่เคยถูกล้วงตับกินไส้มายกมือ …เคยทั้งนั้นอาตมาก็เคย เคยถูกหลอกมาถูกล้วงตับกินไส้มาแต่ทุกวันนี้เขาก็ยังหลอกกัน เหมือนคนขี้หลอกตกทองแต่อันนี้ยิ่งกว่า จะอยู่กับชีวิตไปตลอดกาลนาน ว่าอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย
เขาอวดดี ว่าอุทิศส่วนบุญให้แก่คนเป็น เขาเรียก บังสกุลเป็น สวดแล้วให้แก่คนเป็น อันนี้น่าท้าทาย แต่ลองไปถามดูสิ เมื่อคืน เมื่อวานอุทิศทุเรียน 2 ลูกให้ คุณได้รับไหม? …หลวงพ่อก็อิ่มแปล้เลย ดีไม่ดีจะไม่ไหวกินสองลูกเลย สวาปามทีเดียวเลย ก็อาการหนัก
เปรตพลี ซึ่งเป็นการอุทิศ เสียสละกิเลสคือความอยากเป็นสัตว์นรกชนิด 1 ใน 5 นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน อติวินิปาต
-
ราชพลี เสียสละให้แก่ราชา ให้แก่ราชการส่วนกลางสังคมประเทศชาติ จะสละข้าวของเงินทองเครื่องใช้ก็ตาม หรือแรงงาน เช่นทุกวันนี้มีจิตอาสา
-
เทวตาพลี คือการเสียสละให้แก่จิตที่เจริญเทวตา เพราะฉะนั้นจิตของผู้ใดที่เจริญ เราก็ไปรับใช้เขา เสียสละให้แก่เขา ก็รับใช้จิตที่เจริญให้แก่คนนั้นคนนี้ หรือแม้แต่จิตของเราที่ดี เราก็ต้องขยันหมั่นเพียรเสียสละอดทนทำเพื่อการเจริญของจิตเรา จิตเทวดา เป็นอุปัติเทพ ให้เป็นวิสุทธิเทพ ให้เป็นเทวดาที่สะอาดบริสุทธิ์ให้ได้ก็รับใช้จิตที่ดี
นี่พูดเป็นปรมัตถ์ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขานะ เราทำอาการจิตเราอย่างนี้หรือแม้แต่จิตเทวดาของคนอื่นที่เราจะช่วยเหลือเป็นสิ่งที่ดีแก่ผู้อื่นอย่างนี้เรียกว่า เทวตาพลี ยอมเสียสละแค่จิตวิญญาณที่ดีแก่สัตว์โลกที่ดี นี่คือ พลี 5 อย่าง
_ลูกหนอนใต้ต้นโพธิ์..ฝากกราบเรียนพ่อครูค่ะว่าเย็นนี้(ศุกร์ 18 ต.ค.62)เทศน์ได้นัวทุกนาทีเลยค่ะ ถ้าเป็นน้ำผักปั่นก็ต้องใช้ช้อนตักเพราะข้นมาก มีเรื่องใหม่เสริมเรื่องเก่าได้อย่างนัวเลยค่ะ เย็นนี้ได้ประโยชน์เรื่อง ทานที่เป็นผลกับอานิสงส์ต่างกันยังไง ชัดขึ้นเหมือนยายได้ใส่แว่นขยายเลยค่ะ…ยิ่งพ่อครูไอบ่อย ยิ่งทำให้ต้องตื่น ต้องเพียรตั้งใจฟัง เพราะเห็นถึงความเพียรที่พ่อครูสอนเทศน์สอนให้พวกเราลดกิเลส ด้วยพุทธวิธี มีเพชรเม็ดงามออกจากลิ้นชักไม่หยุด โปรยมารับไม่ทัน ยังไงก็จะไม่ประมาทค่ะ จะไม่ขาดการฟังธรรมสด และจะเพียรฟังซ้ำอีก(อย่างตั้งใจไม่ใช่แค่ผ่านหู)…รู้จิตตัวเองว่ามีปิติจากการฟังธรรมค่ะ เลยกราบเรียนให้พ่อครูทราบว่ายังมีลูกที่ตั้งใจฟัง และนำคำสอนมาปฏิบัติ สะสมแต้มการสิ้นบุญได้ทีละเล็กทีละน้อย ตามลำดับ ได้อานิสงส์อย่างน่าอัศจรรย์ค่ะ..น้อมกราบบูชาพ่อครูที่เคารพสุดเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า…คนที่ทำทานมากๆ ผลการทำทานทำให้มียศศักดิ์สูงมีฐานะที่ดีได้ แต่จิตวิญญาณเลวร้ายก็ได้ จิตวิญญาณมีกิเลสมากก็ได้ เห็นไหมมันไม่เกี่ยวกัน อานิสงส์ไม่เกี่ยวกัน มันเป็นผล ส่วนอานิสงส์นั้นเป็นผลของโลกุตระ ถ้าทำให้กิเลสลดได้ก็เป็นอานิสงส์ ท่านอธิบายว่าบางการกระทำทานมีผลมากแต่ไม่มีอานิสงส์มาก หรือบางอย่างมีผลมากและมีอานิสงส์มากด้วยได้ผลลดกิเลสด้วยในการทำทาน
บางอย่างพระพุทธเจ้าตรัสว่ามีผลมากแต่ไม่มีอานิสงส์ หรือมีผลมากมีอานิสงส์มาก ต่างกันอย่างนี้ มีอานิสงส์นั้นเป็นโลกุตระ ส่วนเป็นผลนั้นเป็นโลกียะ ส่วนอกุศลก็ไม่ใช่ผลแน่นอนเป็นธรรมดาโลกีย์
_เพื่อน “ทำอย่างไร จึงจะรู้ว่า สภาวะปัจจุบัน เป็นทุกข์ ในเมื่อ สภาวะที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ก็ไม่เดือดร้อน หรือเป็นทุกข์ตรงไหน”
พ่อครูว่า…ตอบยากเหมือนกับถามว่าทำไงจะรู้ว่าสีดำมันดำ (สม.กล้าข้ามฝัน เขาอาจจะหมายถึงว่าการเห็นทุกข์จะเห็นอย่างไร?)
สู่แดนธรรมว่า…พระพุทธเจ้าบอกว่าการเห็นทุกข์นั้นเห็นยากเหมือนกับการ จักเส้นผมเป็น 7 แฉกเท่าๆกัน เห็นยาก
พ่อครูว่า..มันยากที่จะรู้ทุกข์ ในอริยสัจ 4 ต้องรู้ความทุกข์รู้เหตุแห่งทุกข์รู้ความดับทุกข์รู้วิธีปฏิบัติที่จะหมดทุกข์ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
ส.ฟ้าไทว่า…เราปฏิบัติศีลจะเห็นทุกข์ เราเคยกินอะไรเราไม่กินจะเห็นทุกข์
สู่แดนธรรมว่า…คนปุถุชน หากตั้งตนสบายจะไม่เห็นทุกข์ แต่คนโลกุตระ การตั้งตนบนความลำบากกุศลธรรมเจริญ ก็คือเห็นทุกข์
พ่อครูว่า…ความสุขคือความทุกข์นี่แหละ พยัญชนะจะเรียกว่าความสุขหรือความสบาย ก็เป็นภาษาที่ใช้เป็นไวพจน์
ส่วนผู้ที่เข้าใจอาการที่มีความสุขตั้งอยู่แล้วก็เสพรสสบาย พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ก็พูดว่ามีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ที่คุณอาศัยอยู่มันไม่มีสุขอะไรหรอก มันมีแต่ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป
เพราะฉะนั้นถ้าคุณทำให้ความทุกข์ดับไป แล้วมันก็หมดก็จบ คุณก็เป็นพระอรหันต์ คุณรู้ความทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ รู้ความดับทุกข์และทำให้ทุกข์มันดับ คุณก็เป็นพระอรหันต์
เพราะฉะนั้นคุณจะต้องไปรู้สภาวะ คนที่นั่งอยู่บนกองของความสุข นอนอยู่บนกองของความสุข จะรู้จักความทุกข์ได้ยากมาก จึงต้องเลิกความสุขที่คุณเสพ มาพบกับสิ่งที่มันไม่ได้ตามที่คุณต้องเสพเสวยอยู่มาก ถ้าคุณไม่เลิกไม่ลดมาคุณก็ยังอีกนานนนนนนนนนนนน
คนที่จะรู้ความทุกข์ได้ยากมากมีน้อยมาก เหมือนเอาเล็บจิกลงไปในดิน มีจำนวนเท่านั้นแหละ ส่วนดินนอกเหนือจากนั้นเป็นคนทั่วไปที่ไม่รู้จักทุกข์ คำเปรียบเทียบของพระพุทธเจ้าที่สุดยอดจริงๆ
คนที่มีกิเลสมาก ปิดบังไว้แล้ว หยั่งลงสู่ความหลง คนนี้จะไม่สามารถทำให้ตัวเองสงบสงัดจากความหลง หรือสงบสงัดจนวิเวก เลิกสิ่งที่คุณติดยึดไปได้ง่ายๆ ไกลแสนไกล คนที่ยังจมอยู่กับกิเลสมากแล้วปิดบังไว้แล้ว แล้วตั้งอยู่ และยังแถมจมสู่ความหลงอีกว่าอันนั้นเป็นความดี อะไรคือกิเลสมากเป็นของดี กิเลสมากเป็นความสุขแล้วคุณก็ได้บำเรอความสุขสมใจคุณตลอดเวลา คุณไม่ได้รู้ง่ายๆเลย
เพราะฉะนั้นวิธีของพระพุทธเจ้า คือให้เลิกมันมาจากสิ่งที่ทำให้เกิดความสุข เราก็ต้องรู้ว่าอะไรที่เราเวียนวน เป็นกรรมกิริยาที่ทำเรียกว่า อบาย มันควรเลิกได้แล้วเราควรจะเลิกได้แล้ว
ยกตัวอย่างเช่น สร้างแต่อาวุธมาฆ่าคนนี่มันบาปมหาศาลต่ำมากเลิกได้แล้ว ผู้ที่สร้างอาวุธอยู่ทุกวันนี้เขาจะฟังเข้าหูไหม
หรือคนที่หลงอยู่ในโลกแห่งความบันเทิงเริงรมย์ หน้ามืดตามัวเป็นรสเป็นชาติ แล้วได้ทรัพย์สินเงินทองหน้าตาได้เกียรติยศอีกที่โลกเขาสมมุติ ถ้าบอกให้เลิกมาเขาก็ไม่เลิก เขาก็ยังไม่เห็นเป็นทุกข์อยู่ตรงนั้น เขาก็จะเจอความทุกข์มากไปตามวิบาก แต่เขาคิดไม่ออก เขาได้ตำแหน่งลาภยศอะไรอย่างนี้แหละมาบำบัดอันนี้ได้มาบำบัดความทุกข์ได้ เขาก็จะเห็นว่าเอาโลกีย์ไปดับความทุกข์ ซึ่งมันไม่ได้ดับไม่ได้ฆ่ากิเลส มันมาหลอกให้หลงหนักซ้ำ เอาเงินมาทำให้ไม่มีทุกข์ได้ เอาอำนาจมาทำให้ไม่ทุกข์ได้ เอาอำนาจสรรเสริญโลเกียสุขมาทำให้ไม่ทุกข์ได้ หรือเอาตัวสุขมาดับทุกข์เอาดื้อๆ ตามพยัญชนะจะสมมติอะไรก็ตามใจคุณก็มีทำอยู่แค่นี้ แล้วคุณก็ติดจมอยู่ตรงนี้ไปตลอด มันไปไม่รอดมันไปไม่ออก
เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไรจะให้รู้จักสภาวะปัจจุบันว่าเป็นทุกข์ คุณต้องเลิกจากสิ่งที่คุณมีความสุข สรุปได้
คุณว่าคุณไม่เดือดร้อนคุณสบาย คุณต้องเลิกจากสิ่งที่คุณสบายใจ ในเทวตาสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า ต้องตั้งตนบนความลำบากแล้วความเจริญจึงจะเจริญ กุศลจึงจะเจริญ ถ้าหากตั้งตัวบนความสบายอกุศลธรรมก็เจริญยิ่ง ยถาสุขังโขเมวิหรโต ถ้าเรายังอยู่ตามสบาย เสพสุข อกุศลธรรมจะเจริญยิ่งขี้น กุศลธรรมจะเสื่อม เพราะฉะนั้นคุณต้องออกจากความสบายสิ่งที่คุณติดยึด คำตอบนี้ตอบชัดแล้วนะ คุณเพื่อน
แล้วเมื่อเราเริ่มตั้งตนเพื่อความลำบาก เพราะฉะนั้นคุณเห็นอะไรที่คุณจะต้องลำบาก ที่คุณทำได้ ที่ทนไม่ได้คุณก็คงไม่เอา เอาที่คุณทำได้มันลำบากบ้าง ทนเถอะ อยู่กับหมู่มิตรดีสหายดีพาให้ลำบาก แต่ไม่ได้ตกต่ำ เป็นสิ่งที่เป็นกุศลทั้งนั้น ทำให้เต็มที่เลย
ทุกขายะ ปนเมอัตตานัง ปทหโต ตั้งต้นบนความลำบากอกุศลธรรมย่อมเสื่อม
_อโศก สัมปวังโก กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพอย่างสูง
-
สภาวะจิตของผู้สัมผัสวิเวก 3 กับสภาวะจิตของผู้สัมผัสวิโมกข์ 8 ต่างกันหรือไม่อย่างไร
-
กระผมสังเกตว่าธรรมะ 2 หมวดคือจรณะ 15 และมรรคมีองค์ 8 นั้นมีรายละเอียดของไตรสิกขา 3 รวมอยู่ด้วยจึงเกิดความสงสัยว่าธรรมะทั้งสองหมวดดังกล่าวบัญญัติไว้ด้วยจุดประสงค์ที่ต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า..คำว่าวิเวกกับวิโมกข์ต้องต่างกันแน่นอน
วิโมกข์ คือโครงสร้างทฤษฎีสู่การปฏิบัติ ตั้งแต่เริ่มรู้จักธรรมะ 2 รูปนาม ทั้งภายนอกและภายใน ทั้งผลที่ได้ เจริญด้วยฌานก็ดี อรูปฌานก็ดี จนที่สุดถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ นี่คือวิโมกข์ 8
ส่วนวิเวก 3 คือกายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก
วิเวก 3 อาตมาก็ย้ำ ในข้อ 33 พระไตรปิฎกเล่ม 9
[33] คำว่า นรชนเช่นนั้น ย่อมอยู่ไกลจากวิเวก มีความว่า วิเวก ได้แก่ วิเวก 3 อย่าง คือ กายวิเวก จิตตวิเวก อุปธิวิเวก.
กายวิเวกเป็นไฉน? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมซ่องเสพเสนาสนะอันสงัด คือป่า โคนต้นไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง และเป็นผู้สงัดด้วยกายอยู่คือ เดินผู้เดียว ยืนผู้เดียว นั่งผู้เดียว นอนผู้เดียว เข้าบ้านเพื่อบิณฑบาตผู้เดียว กลับผู้เดียว นั่งอยู่ในที่เร้นลับผู้เดียว อธิษฐานจงกรมผู้เดียว เป็นผู้เดียว เที่ยว อยู่ เปลี่ยนอริยาบถ ประพฤติรักษาเป็นไป ให้เป็นไป นี้ชื่อว่า กายวิเวก.
จิตตวิเวกเป็นไฉน? ภิกษุผู้บรรลุปฐมฌาน มีจิตสงัดจากนิวรณ์ บรรลุทุติยฌาน มีจิตสงัดจากวิตกและวิจาร บรรลุตติยฌาน มีจิตสงัดจากปีติ บรรลุจตุตตถฌาน มีจิตสงัดจากสุขและทุกข์ บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน มีจิตสงัดจากรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา นานัตตสัญญา บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน มีจิตสงัดจากอากาสานัญจายตนสัญญา บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน มีจิตสงัดจากวิญญาณัญจายตนสัญญา บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน มีจิตสงัดจากอากิญจัญญายตนสัญญา (เมื่อภิกษุนั้น) เป็นโสดาบันบุคคล มีจิตสงัดจากสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาส ทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับสักกายทิฏฐิเป็นต้น เป็นสกทาคามีบุคคล มีจิตสงัดจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ อย่างหยาบ กามราคานุสัยปฏิฆานุสัย อย่างหยาบ และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกันกามราคสังโยชน์อย่างหยาบเป็นต้นนั้น เป็นอนาคามีบุคคล มีจิตสงัดจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์อย่างละเอียดกามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อย่างละเอียด และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับกามราคสังโยชน์อย่างละเอียดเป็นต้นนั้น เป็นอรหันตบุคคลมีจิตสงัดจากรูปราคะ อรูปราคะ มานะอุทธัจจะ อวิชชา มานานุสัย ภวราคานุสัย อวิชชานุสัย กิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับรูปราคะเป็นต้นนั้น และจากสังขารนิมิตทั้งปวงในภายนอก นี้ชื่อว่าจิตตวิเวก.
พ่อครูว่า…ชัดเจนไหมว่าต้องมีภายนอกเสมอจะเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีอรหันต์ จะต้องมีภายนอก ถ้าไม่มีภายนอกร่วมด้วย ไม่ได้ ชัดเจนไหมพวกหลับตาทั้งหลาย ต้องมีภายนอกมาทั้งสิ้น พวกที่ไปหลับตาประพฤติไม่มีเบื้องต้นเลย สรุปว่า เบื้องปลายก็ไม่ได้
พวกกายสักขี อาสวะบางอย่างหมด แต่นี่อยู่ในคำอนุโลม พระพุทธเจ้าตรัสถึงผู้ที่มีบารมี พอศึกษาก็ไปหลงอาจารย์ที่มีบารมีมา ไม่ได้พบอาจารย์ที่เป็นสัตบุรุษก็เลยไปนั่งหลับตาปฏิบัติก็ได้อาสวะบางอย่างหมดได้ แต่เป็นบารมีเก่า คุณไม่ได้ของใหม่เลย อันนี้ก็รู้ยาก อย่าไปย้อนแย้งคำสอนพระพุทธเจ้าโดยท่านสอนไปตามลำดับอย่างน่าอัศจรรย์
อาตมาบรรยายถูกตามพระพุทธเจ้าสอนถ้าคุณเชื่อคุณเลิกหลับตา แล้วมาปฏิบัติอย่างที่อาตมาสอน คุณจะหลับตาก็เพียงแต่ใช้ เตวิชโช อุปการะมากคือการตรวจสอบภูมิธรรมที่เราปฏิบัติแล้ว เหมือนการลงบัญชี เราได้อะไรเกิดอะไรดับ หลับสนิทหรือไม่หลับสนิทยังเหลือส่วนเหลืออยู่เท่าไหร่ก็ตรวจสอบความจริง จนอาสวะหมด หมดเท่านั้นเท่านี้ตอนนี้เป็นพระโสดาบัน ตอนนี้เป็นพระสกิทาคามี โสดาบัน ยังไม่ได้ดับอนุสัย สกิทาคามีก็เริ่มดับอนุสัยได้บางอย่าง มาอนาคามีก็ดับอนุสัยได้มาก เป็นภวราคานุสัย ปฏิฆานุสัย จนมาเป็นอรหันต์ มานานุสัย กับภวราคานุสัย เป็นอนุสัยข้อที่ 5 กับ 6 อันสุดท้ายคือ อวิชชานุสัย
ที่เรียงลำดับในอนุสัย 7
อนุสัย 7 ไม่ได้เรียงเหมือนสังโยชน์ 10
ผู้ที่เป็นปัญญาวิมุตินั้นอาสวะดับสิ้นหมดนับเป็นพระอรหันต์ได้ขั้นต้น ปัญญาวิมุติ คุณต้องเรียนรู้รายละเอียดของอนุสัยจนหมดอนุสัยเป็นอุภโตภาควิมุติ คุณจึงจะเป็นพระอรหันต์สมบูรณ์แบบเป็นบุคคลที่ 7 ในทักขิเณยบุคคล
สายศรัทธา
-
สัทธานุสารี
-
สัทธาวิมุติ .
-
กายสักขี .
สายปัญญา
-
ธัมมานุสารี .
-
ทิฏฐิปัตตะ .
-
ปัญญาวิมุติ . .