621104_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 78
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1oUYyUIX6HZMdnjhvTJ-v1Cs_VS91uEVeCYFtD1IAtsU/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1cl-rKoEV4KM4LYfaLJnb7EroRBQspwvf
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันที่ 7 ก็จะเป็นวันที่ครบวันบวชของอาตมา อาตมาบวชวันที่ 7 พฤศจิกายน 2513 ถ้าถึงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2562 ก็จะครบ 49 ปี ถ้าถึงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2563 ก็จะเต็ม 50 ปี อีกไม่กี่วันก็จะเริ่มเข้าปีที่ 50 แล้ว ทำงานศาสนา หรือบวชมา 50 ปีเต็ม ไม่น้อยเลยนะครึ่งร้อย วันนี้อายุ 85 ปี 4 เดือน 29 วัน ทำโพธิกิจมา 49 ปี 11 เดือน 21 วัน อายุย่างเข้า 86 ไปเรื่อยๆ ท่านผองไทก็ 88 ปีแล้ว นำหน้าอาตมา ตอนนี้ก็มีท่านผองไท อายุมากกว่าอาตมาอยู่องค์เดียวในบรรดาสมณะชาวอโศก
_SMSวันที่ 3พ.ย.2562(วิถีอาริยธรรม พ่อครู)
_อําพร กันทะ : ธรรมะจัดสรรแล้วเดี๋ยวลูกก็กลับบ้านราชแล้วค่ะ บ้านที่มีความสุขสุดๆหาที่ใหนไม่ได้แล้วค่ะ / อยู่บ้านเฉยๆไม่ได้ทำงานเหมือนชีวิตที่ไร้ค่า ชีวิตที่เหลือขอเป็นสัตว์อยู่ใต้ต้นโพธิ์
พ่อครูว่า…อยู่เฉยๆไม่ทำงานอะไรมันก็ไร้ค่า นอกจากอยู่บ้านเฉยๆ นอกจากไร้ค่าแล้วหนักแผ่นดินด้วยนะ เพราะว่าอาศัยแผ่นดินต้องรับน้ำหนักเราอยู่นะ เสร็จแล้วยังไม่พอ ยังกินพืชยังกินอากาศยังกินอาหาร ในโลกเขาไปด้วย แม้จะใช้สตางค์ซื้อก็ตามคุณก็กินอาหารของโลกเขา ยิ่งพวกที่กินอาหารของโลกหยาบๆคายๆกินเหล็กกินผา กินคือขี้โกงเขาก็ยิ่งไร้ค่ามากยิ่งขึ้น ไร้ค่าจนกระทั่งเป็นคนกินประเทศ ภูมิปัญญาหรือความเฉลียวฉลาดของคนจะรู้จักว่ามนุษย์มีค่าหรือไม่มีค่า อยู่หนักแผ่นดินหรือว่าอยู่อย่างมีประโยชน์คุณค่าแก่โลก อย่างชาวอโศกเป็นลูกพระพุทธเจ้าอาตมาสอนสัจธรรมเหล่านี้แท้จริง
อยู่เป็นสัตว์ใต้ต้นโพธิ์เฉยๆอย่างไรเอาโพธิ์ด้วยสิ
สุขทุกข์แยกกันไม่ได้ ต้องดับทั้งสองภาวะ
_Love Style :อยู่ที่ไหนก็สุขได้ ถ้าไม่มีกิเลสตัณหา
พ่อครูว่า…คุณพูดง่ายๆ ตีคารมฝีปากเล่นๆ พูดให้คนไม่มีความรู้มันเป็นตรรกะตื้นๆ คนมีกิเลสตัณหาจึงจะสุข คนไม่มีกิเลสตัณหาถึงจะไม่มีสุขแล้ว สงสัยคนฟังที่อาตมาพูดนี้หูหักเลย พูดว่าอยู่ที่ไหนก็สุขถ้าไม่มีกิเลสตัณหา มันเป็นตรรกะตื้นๆ โดยเฉพาะธรรมะของพุทธ ที่พูดนี้ผิดชัดเจนเลย
ศาสนาพุทธรู้ความจริงของความรู้สึกที่เรียกว่าเวทนาที่รู้สึกสุขรู้สึกทุกข์ คนที่อวิชชาแล้วหลงอยู่ภายใต้ความสุข ศาสนาที่ไม่ใช่โลกุตรธรรมที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธที่แท้จริงตกอยู่ใต้อำนาจของความสุขที่เป็นความลวง เป็นของเก๊นิรันดร พวกเทวนิยมที่ไม่ได้มีสัมมาทิฏฐิ หรือแม้แต่ชาวพุทธที่ไม่ได้มีสัมมาทิฏธิจะไม่ได้รู้สึกเลยว่าความสุขเป็นของเก๊ ความสุขไม่ใช่ของจริง คนที่ยังมีความสุขอยู่ก็คือคนที่ยังมีความทุกข์ เพราะความทุกข์กับความสุขเป็นเทวะ อันนี้ขออภัยที่ต้องพูดความจริง ไม่มีใครมาอธิบายหรอกถ้าไม่ใช่อาตมามาเกิดแล้วมาอธิบายในยุคนี้ไม่มีใครมาอธิบายได้ แยกไม่ออกหรอกเทวะสุขทุกข์ ซึ่งเป็นสภาวะ 2 แล้วมันก็ลวงคน ให้ติดในความสุข แล้วก็แยกไม่ออกทำให้เป็นหนึ่งเดียวอยู่อย่างนั้น มันก็ยังเป็นสภาพมีกิเลส มีภพมีชาติ ไม่ปรินิพพานไม่สูญไม่เลิกติดสุข เพราะไม่ได้เรียนรู้ถึงอาการจิต ที่แบ่งแยกละเอียดเรียกว่าเป็นเจตสิก และเรียกชัดลงไปที่ตัวเวทนาความรู้สึกหรืออารมณ์ ถ้าเรียนรู้สัมผัสความเป็นจริงของอารมณ์หรือความรู้สึกที่เรียกว่าเวทนา รู้อย่างแท้จริงเลยมีธาตุรู้มีปัญญา ที่สัมผัสธาตุรู้นี้ของพระพุทธเจ้าสอน ที่เรียกว่าปัญญาธาตุ มันเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งมากเกินกว่าโลกีย์ เกินกว่าศาสดาใดๆในโลกจะรู้จัก นึกเอาเองไม่ได้ ต้องมาเรียนรู้เบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายไปเรื่อยๆเป็นลำดับ ถึงจะรู้ชัด ว่าที่แท้จริงสุขทุกข์เป็นของเก๊ แล้วสุดท้ายศาสนาพุทธจึงเลิกความสุขและความทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ อทุกขมสุข หรือเรียกพยัญชนะไวพจน์กันว่า อุเบกขา สูญจากความสุขความทุกข์ เป็นกลางๆ
จิตของเราไม่มีอาการที่เป็นสุขไม่มีอาการที่เป็นทุกข์เลยจริงๆ คุณต้องเข้าใจอาการนั้นจริงๆอย่างชัดเจนตัวเองต้องมีอาการนั้น มีความรู้และทำอาการนั้นได้ คนที่มิจฉาทิฏฐิเขาก็ทำอาการของอุเบกขาเหมือนกันแต่เขาทำด้วยวิธีสะกดจิต สะกดแล้วไม่ได้แยกออกเลยว่า อารมณ์จริงของความสุขอารมณ์จริงของความทุกข์เป็นอย่างไร เขาสะกดไม่ให้มันมีให้เกิดกลางเฉยๆ เขาสะกดให้มันดับส่วนมากก็จะหลับตาปฏิบัติ หลับตาแล้วก็ดับ เขาเรียกว่าทำฌานทำสมาธิเขาก็แยกกันไม่ออก ระหว่างฌานและสมาธิ
เขาบอกว่ายกสติขึ้น รู้นิ่งเฉย แล้วให้รู้ความจริงนั้น รู้ความจริงที่มันเฉยๆกลางๆ อย่าคิดก็บังคับให้อย่าคิด แต่มันเป็นอุปาทาน เขาสร้างภพว่างๆ เก่งจนกระทั่งลืมตาเขาก็สัมผัสแล้วทำให้จิตของเขามีอุปาทาน คือยึดติดสูญๆว่างๆไว้ได้เหมือนกัน แต่เขาไม่ได้รู้ความจริงว่าอาการสุขอาการทุกข์ไม่ให้มันเหลือในจิตเลยโดยไม่ต้องไปบังคับไม่ต้องไปกดข่ม แต่ทำได้จริงอย่างรู้จริง
ใครได้เห็นได้ยินได้กลิ่นได้รสได้สัมผัสก็รู้เหมือนกันหมด ภาษาจะเรียกต่างกันก็ตาม ภาษาไทยเรียกว่าความหวาน ภาษาฝรั่งเรียกว่า Sweet จีนเรียกเตียม เขาก็เรียกไป ไทยก็เรียกหวาน ภาษาต่างกันแต่ลักษณะนั้นมันอย่างเดียวกัน ลิ้มรสนั้นอย่างเดียวกัน สัจจะมีหนึ่งเดียว
แต่ที่นี้ชอบหรือไม่ชอบ ชอบหวานหรือไม่ชอบหวานอันนี้ของเก๊ของใครของมัน มีอาตมมานี่แหละพยายามแยกสัจจะเหล่านี้ให้ฟัง นอกนั้นไม่มีผู้รู้ที่จะแยกสัจจะเหล่านี้ให้ฟังจึงไม่มีนิพพาน นิพพานถึงไม่มีรสของความสุขความทุกข์ไม่มีรสของความชอบความชัง สัมผัสแล้วก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงไม่เดือดร้อน สบาย ไม่รักไม่เกลียดรู้ความจริงตามความเป็นจริงเหมือนคนอื่นเขารู้ ส่วนคนอื่นเขาดูแล้วเขาจะมีความดูดความผลัก เขาจะเป็นความทุกข์ความสุขก็ขึ้นอยู่กับเขาตัวใครตัวมัน
ที่บอกว่าอยู่ที่ไหนก็มีความสุขได้ถ้าไม่มีกิเลสตัณหา เป็นการพูดด้วยโวหารคุณก็พูดโก้เท่านั้น คุณเรียนรู้โดยปรมัตถ์ของพระพุทธเจ้าไม่ได้เลย ถ้าได้แล้วคุณจะไม่พูดอย่างนี้ พูดอย่างนี้มันเป็นตรรกะเป็นภาษาคารมเฉยๆ เพราะคำว่าสุขนี้จะชัดเจน เขาบอกว่าอยู่ที่ไหนก็สุขได้ถ้าไม่มีกิเลสตัณหา ถ้ามีความสุขได้คุณก็ยังไม่หมดกิเลสตัณหา ยิ่งมีความสุขมากๆก็ยิ่งมีกิเลสตัณหาหนา เพราะคุณจะติดในความสุข โดยคุณไม่รู้ว่าความสุขนั้นมีคู่คือความทุกข์ คุณแยกไม่ออกหรอก ไม่ใช่แยกไม่ออกแต่คุณไม่รู้หรอกว่าความสุขความทุกข์นี้มันแยกกัน ด้วยความรู้ แต่แท้จริงมันแยกกันไม่ได้ แต่คุณต้องแยกด้วยความรู้ ต้องให้เป็น 2 ด้วยความรู้แต่จริงๆมันแยกกันไม่ได้ มันต้องดับทั้งคู่ คุณต้องดับทั้งคู่ ดับทั้งความสุขและความทุกข์ เพราะมันแยกไม่ได้ แต่คุณรู้สึกนี้คุณเลือกเอาได้คุณเลือกเอาความสุขคุณเลือกเอาความทุกข์ เพราะฉะนั้นคนซาดิสจะเห็นคนอื่นทุกข์แล้วชอบ คนที่เป็นมาโซคิสตนเองเจ็บปวดทรมานก็ชอบ เป็นความบ้าบอความวิปลาส
_สมจิต งามสันติวรกุลSomjit ngamsantiworakul: ติดตามฟังเสมอเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง
_7163ช่วงงานมหาปวารณา ไม่ควรเสียเวลากับSMSเพราะมาญาติธรรมมามากควรมีประเด็นธรรมะที่อยากบอกกับลูกๆ กราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า…ประเด็นธรรมะก็แต่ละคนที่เป็น SMS มาก็เป็นประเด็นธรรมะเหมือนกัน คุณจะ
เลือกเอาแต่ที่ชอบหรือ …ก็ควรจะเอื้อเฟื้อเขาบ้าง อย่างไรผู้ที่มาก็ต้องได้อยู่แล้ว ก็ต้องเอื้อคนที่ไม่มาบ้าง ยิ่งมาสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมด้วยมันได้เต็มๆอยู่แล้ว
_ริชชิเลิฟ แจ๊คแจ๊ค : กราบนมัสการพ่อครู ขอถามว่า เจริญอัตตาแปลว่าเราไม่ลดกิเลสใช่หรือไม่ และนานาอัตตาแปลว่าหนีแยกออก ความหมายใช้ได้หรือไม่
พ่อครูว่า…คำว่านานาอัตตา คืออัตตาต่างๆ นานัตตะ ทีนี้มันแยกออกเป็นภาษาไทย
อย่างอายตนะที่เรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ คือรู้ก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ไม่ได้ ต้องพยายามให้พ้นเนวสัญญา ส่วน นาสัญญา คือสัญญาที่กำหนดรู้ต่างๆ ต้องให้สัญญารู้ให้หมด ไม่ใช่ว่าเราก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ไม่ได้ต้องรู้ทุกตัวเลยให้พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ
คุณต้องมีผัสสะ มี 2 สภาพมีอายตนะเกิดขึ้นมา เป็นปฏิกิริยาเชื่อมสัมพันธ์ คุณต้องดูว่าสัมผัสสัมพันธ์กันเกิดปฏิกิริยาตัวนี้เรียกว่าอัตตา คุณต้องรู้ทุกตัว หยาบ กลาง ละเอียด เล็กขนาดไหนคุณต้องรู้ให้หมด ไม่รู้ไม่ได้ ถ้ายังไม่พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ จะเรียกว่า ฌาน จะเรียกว่าอัตตาก็แล้วแต่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ คือเนวะสัญญานาสัญญายตนะฌาน
เนวสัญญานาสัญญายตนะฌาน คือ กำลังปฏิบัติฌาน การทำทั้ง เจโตและปัญญาให้สมบูรณ์แบบ เนวสัญญานาสัญญายตนะสัตว์คือยังอยู่ในภูมินี้ เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา คือการกำหนดรู้ หรือฌาน คือการทำลายความไม่รู้ ให้มันรู้ให้พ้น สูงสุด พ้นเนวสัญญานาสัญญายจนสัญญาได้ ก็เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ
_ไทน้อยภูเก็ต : สิ้นปีนี้คงได้มาบ้านราช
_ส.แสนดิน… แนะนำให้คนที่เป็นหวัดกรุณาสวมใส่แมสด้วย เพื่อป้องกันเชื้อแพร่ระบาด
_เครื่องวัดความเจริญของจิตใจ ขอให้เราดูว่าเรามีความเมตตากรุณามากขึ้นหรือน้อยลง มีความเห็นแก่ตัวมากขึ้นหรือน้อยลง อันนี้แหละเป็นเครื่องวัดจิตใจของพวกเรา ของพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
พ่อครูว่า…ท่านเน้นเครื่องวัดจิตใจคือความเมตตากรุณา คือความเห็นแก่ตัวกับความไม่เห็นแก่ตัว อันนี้ก็ถูกต้อง ศาสนาพุทธนี้คนไม่เห็นแก่ตัวไม่มีอัตตาแต่ไม่มีเมตตามีได้ไหม คนที่หมดตัวตนไม่มีตัวตน ไม่เห็นแก่ตัว แต่ไม่มีเมตตาเป็นได้ไหม เป็นได้ คนที่ไม่เห็นแก่ตัวหมดตัวตน อย่างพวกเทวนิยมเขาพยายามดับไม่ให้มีตัวตน แต่เขาไม่ได้ฝึกการเรียนรู้ที่มีการสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับคนอื่น และมีน้ำใจ พวกที่อัตตาเขาไม่มีแต่เขาไม่ได้เรียนรู้การมีน้ำใจ ศาสนาเทวนิยม นั่งหลับตาเขาไม่ได้เรียนรู้การสัมผัสเกี่ยวข้องตาหูจมูกลิ้นกายใจสัมผัสกับบุคคลหนึ่งคนสองคนห้าคนเป็นสังคมเป็นมนุษยชาติ เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องกระทบกระแทกกระเทือนกัน และสามารถเรียนรู้เท่าทันจนไม่ติดในสิ่งเหล่านี้ของพุทธ แต่เขาไม่ได้เรียนรู้ในสิ่งเหล่านี้เลยในสายเทวนิยม ฉะนั้นเขาจะไม่มีน้ำใจ แต่เขาจะทำจิตของเขาไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีตัวตนอย่างเดียวได้ แต่เขาไม่มีการที่จะไปช่วยคนนั้นคนนี้ จะรู้จักคนนั้นคนนี้จะช่วยอย่างไร คนที่จะช่วยนิเราก็ต้องรู้จักเขา ว่าเขาบกพร่องอะไรจะช่วยเขา เราช่วยเขาได้ไหม เขาบกพร่องอันนี้แต่เราไม่มีความสามารถไม่มีความรู้ไม่มีสิ่งที่จะช่วย ก็ช่วยเขาไม่ได้ มันมีรายละเอียดอีกตั้งเยอะแยะที่ซับซ้อน
เพราะฉะนั้นสุขนิยมหรือเทวนิยมหรือผู้ที่นั่งหลับตาออกป่า พระป่าเป็นต้น ไม่มีเมตตา แต่เขาจะสอนกันว่ามีใจเมตตาสงสารคนอื่น เขาจะสอนกันว่าต้องสงสารคนอื่นอยากให้คนอื่นพ้นทุกข์ แต่เขาไม่ได้เรียนรู้ว่า ความทุกข์คืออะไร เหตุแห่งทุกข์คืออะไร จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร เขาไม่ได้เรียนเขาไม่ได้ฝึกเขาไม่ได้เข้าใจโลก เขาไม่ได้เข้าใจการเกี่ยวข้องกับคนอื่นที่เรียกว่าโลกข้างนอก โลกข้างในเกี่ยวข้องกับภายใน สัมผัสกับคนอื่นเกี่ยวข้อง โลกนี้มีเราสองคน คนอื่นไม่เกี่ยวข้อง ก็ต้องไปอ่านความรัก 10 มิตินี้ให้ดี ไม่เผื่อแผ่ ไม่เกื้อกูล ไม่เกี่ยวข้อง โลกนี้มีเราสองคน เป็นความเห็นแก่ตัวที่เป็นกามเมถุน อาตมาจัดเป็นความรักมิติที่ 1 เห็นแก่ตัวเดี่ยวๆเลย ไม่เห็นแก่ใครๆเลย อาตมาไม่นับเป็นมิติที่ 1 ถือว่าพูดไม่รู้เรื่องเลยคนคนนี้
พอเริ่มต้นมีกามเป็นคนคู่พูดกันรู้เรื่องก็ให้เขาเรียนรู้ ถ้าไม่ไม่รู้เรื่องเลยก็อย่างพวกเชน ตัวคนเดียวเดี่ยวเดี่ยว ไม่ได้เรียนรู้ความรัก 10 มิติเลย พูดกันไปก็ไม่มีสภาวะ 2 ตามธรรมชาติของจิตนิยามที่ต้องมี 2 มี 1 คือคนอื่นกับ 2 คือตัวเราเขาไม่มี เขาจะจมอยู่อย่างนั้นกับตัวเอง เรียกว่าหยั่งลงสู่ความหลง ที่จมอย่างที่เรียกว่า จมในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อย่าไปควานหาเลยคนนี้
ที่อาตมากำลังสาธยายคือ ความเห็นแก่ตัวกับความมีเมตตา มันแยกกันได้ในรายละเอียด ถ้าจะบอกว่าความเจริญของคนจริงๆ เมตตามีมากไม่มีประมาณมากขึ้นได้แล้วก็กรุณาลงมือช่วย ในพรหมวิหาร 4 มีนัยยะคนละอย่าง ไม่ใช่ว่าแยกไม่ออกระหว่างเมตตากรุณา มุทิตา อุเบกขา อธิบายวนเวียน เมตตาอยากให้เขาพ้นทุกข์ กรุณา อยากให้เขามีสุขแล้วมันเป็นอย่างไรก็อธิบายไม่ออก มุทิตาก็อธิบายไม่ออก เขาอธิบายว่ามุทิตาคือ ยินดีที่เขามีความสุขก็ว่ากันไป สุดท้ายแล้วเฉยๆเป็นอย่างไร อุเบกขา ก็ไม่รู้ เขาขยายความละเอียดพวกนี้ไม่ออก แยกแยะไม่ได้
เพราะฉะนั้นแม้แต่ความเห็นแก่ตัวก็จะต้องเข้าใจความเป็นตัว ตัวเรา ตั้งแต่มิติเมถุน มิติคนคู่ มิติที่เป็นความรักมิติที่ 1 มิติที่ 2 3 4 5ที่อาตมาขยายความ แล้วก็เห็นแก่ 2 คน ก็เพิ่มขึ้นมีลูก เป็นมิติที่ 2 เห็นแก่ญาติ เป็นมิติที่ 3
ความรัก 10 มิติ
-
กามนิยม (เมถุนนิยม)
-
พันธุนิยม (ปิตปุตตาฯ)
-
ญาตินิยม (โคตรนิยม)
-
สังคมนิยม (ชุมชนนิยม)
-
ชาตินิยม (รัฐนิยม)
-
สากลนิยม (จักรวาลฯ)
-
เทวนิยม (ปรมาตมันฯ) คนจะเข้าใจความรักมิติที่ 7 เป็นต้นไปแยกแยะออกต้องเป็นศาสนาพุทธอเทวนิยม จะรู้จักอาตมันปรมาตมัน
-
อาริยนิยม (อเทวนิยม) เป็นอมตบุคคลรู้สภาพคู่มีก็ได้ไม่มีก็ได้สำหรับตัวเราเอง
-
นิพพานนิยม (อรหันตฯ)
-
พุทธภูมินิยม (หรือ.. โพธิสัตวภูมินิยม)