621107_พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 ปี 2562
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1vTxofpihFw0xE4V8W52L0QH9OyqWm3xNUfWZcZV5lzE/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1wAsOLyCPzMd401sam6rrReXoyitEQHHS
พ่อครูว่า…วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันที่ 7 วันที่อาตมาบวชวันที่ 7 พ.ศ. 2513 ถึงวันนี้ปีนี้ ครบ 49 ปี เต็ม ขึ้นปีที่ 50 เป็นโพธิกิจที่ได้ทำมา ทำหน้าที่โพธิรักษา รักษาโพธิ รักษาความตรัสรู้ ความรู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ รักษามาได้ 49 ปี วันนี้ก็ขึ้นปีที่ 50 เข้าเขตครึ่งศตวรรษ ครึ่งของร้อยปีนี้ไม่น้อยเหมือนกันนะ มากกว่า 48
อาตมาทำงานมาถึงปีนี้แล้ว พูดมาก่อนปีนี้แล้ว อาตมาพบความสำเร็จแล้วได้ทำงานมารู้สึกว่ามีผลงานที่ตัวเองได้ทำเพื่อสังคมคนจน อันนี้เป็นผลสำเร็จที่อาตมาถือว่ายิ่งใหญ่ ทำให้เกิดสังคมคนจนมีหมู่กลุ่มสังคมชุมชนหมู่บ้าน เป็นสังคมเป็นหมู่บ้านมีวัฒนธรรมมีพฤติกรรมของความเป็นอยู่ ที่เป็นชีวิตจนๆ จนๆแต่อุดมสมบูรณ์ ฟังดูขัดแย้งหรือไม่ จนแต่อุดมสมบูรณ์ดูเหมือนจะขัดแย้งกัน คำว่าจนหมายถึงว่าความขาดแคลนความไม่มีความแห้งแล้ง แต่นี่จนแต่อุดมสมบูรณ์ มันเป็นอย่างไร มันมหัศจรรย์
จนแต่อุดมสมบูรณ์นี่คือความมหัศจรรย์ มหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้น คือความจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ คนจนทั่วไปเขาเดือดร้อนลำบากลำบนกันทั้งนั้น
มีบทความของคุณสมาน ประชามิตร เขียนลงในไทยโพสต์วันที่ 5 พฤศจิกายน 2562
ถ้าเรามองข้ามรูปแบบภายนอกของประชาธิปไตยและยอมรับว่าเป้าหมายหรือว่าเนื้อหาที่แท้จริง
พ่อครูว่า…ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่ดีกว่าอเมริกา ประชาธิปไตยอย่างอเมริกาเป็นเพียงการใช้อำนาจไปข่มขู่คนอื่น ซึ่งมันเป็นความขัดแย้งกับความจริงที่บอกว่าเป็นประชาธิปไตย แต่เขาก็ยอมรับกันทั้งโลก เขาเข้าใจกันอย่างไรหรือ สำหรับคนในโลก ซึ่งไม่เหมือนกับที่อาตมาเข้าใจ สิ่งที่มองเห็นนั้นความเข้าใจต่างกัน
ถ้าเรามองข้ามรูปแบบภายนอกประชาธิปไตยและยอมรับว่าเป็นเป้าหมายหรือเนื้อหาที่แท้จริงของประชาธิปไตย ยอมรับเนื้อหาที่แท้จริงของประชาธิปไตยคือ การที่ประชาธิปไตยได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียมกันจากรัฐบาลที่บริหารประเทศ ได้รับผลประโยชน์อย่างทั่วถึงจากการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศชาติแล้ว เขาบอกว่าประเทศจีนก็คือประเทศที่มีประชาธิปไตยมากที่สุดในโลก
เปรียบเทียบกับประเทศไทยเป็นการยากที่จะวัด คนเป็นจำนวนพันล้าน กับประเทศไทยคนจำนวนไม่ถึงร้อยล้าน คนในประเทศมีความสงบเรียบร้อยมีความเป็นอยู่ที่มีกินมีใช้ ประชากร 1000 ล้านกับประชากร 100 ล้าน เอาไปเปรียบเทียบกัน จะวัดค่าพฤติกรรมกันได้อย่างไร ความแตกต่างของคนพันล้านหัว กับร้อยล้านหัว แต่ละคนนั้นหัวไอ้เรืองทั้งนั้นมีอัตตามันจะเป็นไปได้หรือ
ชัดเจนว่าของเราที่ทำเราทำให้เกิดความพรักพร้อม แม้เราไม่ได้มีมากมายไม่ได้ร่ำรวยอะไรเลย เราไม่ได้มีทรัพย์ศฤงคารอะไรมาแจก กระจายให้การใช้จ่ายพอกินพออยู่เหลือเฟืออะไร ถ้าเอาทางปรมัตถ์มาวัดแล้ว คนมีเงินแสนล้านแล้วก็ยังจนอยู่ถ้ายังอยากได้อีก
คำว่าจนทางปรมัตถ์คือคนที่ไม่มีเงินเลย ก็ยังไม่อยากได้ไม่อยากแย่งและยังประพฤติการไม่แย่ง อันนี้แหละคือคนจน นอกจากไม่ประพฤติการแย่งแล้วยังขยันหมั่นเพียรสร้างสรรผลผลิตขึ้นมากินใช้อาศัยในชีวิต พออยู่พอกิน เหลือเฟือ เผื่อคนอื่นได้ด้วย เกินจนไหมคนที่มีพฤติกรรมอย่างนี้มันเกินคนจนนะ อย่างชาวอโศกถือว่าเกินความเป็นคนจน เป็นคนจนมหัศจรรย์เป็นคนจนพิเศษ
บทความนี้ชื่อว่า วิธีแก้จนของจีน
ถ้าเรามองข้ามรูปแบบภายนอกประชาธิปไตยและยอมรับว่าเป็นเป้าหมายหรือเนื้อหาที่แท้จริงของประชาธิปไตย ยอมรับเนื้อหาที่แท้จริงของประชาธิปไตยคือ การที่ประชาธิปไตยได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียมกันจากรัฐบาลที่บริหารประเทศ ได้รับผลประโยชน์อย่างทั่วถึงจากการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศชาติแล้ว เขาบอกว่าประเทศจีนก็คือประเทศที่มีประชาธิปไตยมากที่สุดในโลก
ในระยะ 40 ปี พัฒนาเศรษฐกิจ ประเทศจีนสามารถทำให้ประชาชนหลุดพ้นจากความยากจนมากถึง 700 ล้านคน ที่เหลืออยู่อีกไม่ถึง 20 ล้านคนที่ยังยากจนในขณะนี้ ก็จะหมดไปภายในปี 2020 ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
สหประชาชาติรับรองว่าเป็นผลสำเร็จที่มหัศจรรย์ ไม่เคยพบเห็นในประวัติศาสตร์ของโลก ในทุกๆ 100 คนที่พ้นจากความยากจนในโลก จะมีที่เป็นประชาชนจีนสูงถึง 70 คน ประเทศจีนทำได้อย่างไร
ทุกฝ่ายทราบดีว่าวิธีเดียวที่จะแก้จนได้ก็คือ การพัฒนาเศรษฐกิจ รัฐบาลจีนใหม่ ก็มองเห็นเช่นนั้น และได้กำหนดรูปแบบการปกครอง ประชาธิปไตยแบบแผนใหม่ ที่เหมาะสมกับภาวะสังคมประเทศจีนในขณะนั้น และเชื่อว่าจะต้องใช้อยู่เป็นเวลานานจึงจะสามารถยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจจนสูงพอที่จะเข้าสู่ระบอบสังคมนิยมได้ แต่น่าเสียดายที่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปตามนั้น
ประการแรกคือหลักการสถาปนาจีนใหม่ประเทศจีนถูกปิดล้อมทางสากลโดยการนำของสหรัฐและต้องเข้าร่วมสงครามเกาหลีด้วยความจำเป็น อีกทั้งถูกก่อกวนด้วยกองกำลังของเจียงไคเช็คที่ถอยไปอยู่เกาะไต้หวัน ด้วยการส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดบุกเมืองชายฝั่งตลอดเวลา ผู้นำจีนจึงต้องทำความมั่นคงทางประเทศก่อนเพื่อการแทรกแซงก่อกวนจนเกิดการสร้างแนวคิดที่ผิดพลาดกำหนดนโยบายที่ผิดพลาด คือการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบอบสังคมนิยมอย่างสุกเอาเผากินในช่วงปี 1953 – 1956 โดยขนานนามว่าการเปลี่ยนผ่านแบบจนๆ โดยหลักทฤษฎีมาร์ค
เศรษฐกิจหรือพลังงานการผลิต ในระบอบทุนนิยมที่ก่อเกิดความแตกต่างของรายได้ เมื่อพัฒนาถึงระดับหนึ่งก็จะไปต่อไม่ได้ เพราะสินค้าผลผลิตได้มากแต่ขาดกำลังซื้อ ระบอบสังคมนิยมก็จะเกิดขึ้นแทนที่เพื่อแก้ไขปัญหา แม้แต่ประเทศจีนจะหลีกเลี่ยงระบบทุนนิยมได้โดยใช้ระบอบประชาธิปไตยแผนใหม่ ก็จะต้องรอเศรษฐกิจพัฒนาขึ้นในระดับที่สูงพอ แต่ด้วยความกลัวว่าชนชาตินายทุน แม้จะยกให้เป็นนายทุนในชาติ ในระบอบประชาธิปไตยแผนใหม่ ถ้าพัฒนาเข้มแข็งในระดับหนึ่ง อาจจะมายึดอำนาจของรัฐ โดยร่วมมือกับกำลังต่างประเทศ และนำพาประเทศจีนไปในทางทุนนิยม จึงต้องรีบกำจัดเสียแต่ต้น การใช้คำว่า การเปลี่ยนผ่านแบบจนๆ ย่อมส่อให้เห็นว่า ผู้ชี้นำก็รู้ว่ามันขัดกับทฤษฎี การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบอบสังคมนิยมแบบจนจึงไม่ได้มีความมุ่งหมายนัก ในการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่เป็นการป้องกันระบอบทุนนิยม ไม่เพียงทางเศรษฐกิจแต่ความคิดทางการเมืองด้วย สร้างให้กับทุนนิยมกับสังคมนิยมเป็นคู่ขัดแย้งกัน
การต่อสู้ทางความคิดนี้สุดท้ายไปไกลจนเกิดเหตุการณ์ “การปฏิวัติวัฒนธรรม” ที่เป็นโศกนาฏกรรมของประเทศจีน เศรษฐกิจจีนในยุคนั้นจึงเหลือแต่รัฐวิสาหกิจที่ไร้ประสิทธิภาพและคอมมูนที่ชาวนาขาดความกระตือรือร้น
30 ปีแรกของประเทศจีนใหม่จึงไม่ได้รับการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเหมาะควร แต่กลับสร้างปัญหามากมายที่ต้องรอการแก้ไขในภายหลัง เมื่อท้องฟ้าประเทศจีนสว่างขึ้นอีกครั้ง เมื่อทำลายแก๊ง 4 คน และยุติการเคลื่อนไหว “การปฏิวัติวัฒนธรรม”ในปี 1974 ภายใต้การนำของท่านนายพลเยี่ย เจี้ยนอิง แต่ท่านเยี่ยกลับมองเห็นอัจฉริยะภาพของท่านเติ้งเสี่ยวผิง ที่เหมาะสมจะเป็นผู้นำมาบริหารประเทศ สุดท้ายท่านเติ้งจึงได้ขึ้นมากุมบังเหียนอีกครั้ง
ประเทศจีนในขณะนั้นเศรษฐกิจไม่เจริญประชาชนยากลำบาก อีกทั้งบุคคลทั่วไปโดยเฉพาะพวกที่ปฏิบัติงานเต็มไปด้วยความคิดหลงผิดที่ถูกบ่มเพาะขึ้นมาในช่วงที่ผ่านมา การจะนำพาประเทศจีนไปสู่วิถีที่ถูกต้อง จึงจะต้องเริ่มต้นปรับเปลี่ยนความคิดทัศนคติก่อน ถ้าไม่สามารถทำให้ประชาชนมีความเห็นร่วมกันปรับเปลี่ยนใดๆอาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น ท่านเติ้งเริ่มจากป้อนคำถามที่ว่า
“ที่ว่าทุนนิยมดีกว่าสังคมนิยมนั้น ถ้าเศรษฐกิจของประเทศไม่เจริญประชาชนยังยากจนแล้วสังคมนิยมจะดีกว่าได้อย่างไร” ที่สุดท้ายนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่า “ความขัดแย้งหลักของสังคมจีนในขณะนั้นไม่ใช่ความขัดแย้งทางชนชั้น แต่เป็นความขัดแย้งระหว่างพลังการผลิตที่ล้าหลัง กับความต้องการทางการดำรงชีพของประชาชน เป็นการลดระดับความสำคัญของการต่อสู้ระหว่างสงครามชนชั้นนำไปสู่นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจ”
ท่านเติ้งทำลายความหลงผิดของประชาชนที่แก๊งสี่คนสร้างขึ้น “อะไรที่เป็นคำชี้นำของประธานเหมา เอามาปฏิบัติโดยไม่เปลี่ยนแปลง อะไรที่ประธานเหมาตัดสินชี้ขาดไปแล้วจะต้องยืนยันไม่เปลี่ยนแปลง” ด้วยการยกเอาคำพูดที่ท่านเหมาเจ๋อตุงเองกล่าวไว้ว่า
“การปฏิบัติจริงเป็นมาตรฐานเดียวที่จะชี้ขาดความเป็นสัจธรรม” มาเป็นข้อโต้แย้ง ซึ่งหมายความว่าอะไรที่ปฏิบัติจริงแล้ว ไปไม่รอดก็คือสิ่งที่ผิด ไม่ว่าใครจะเป็นคนกำหนด
ความคิดของผู้คนค่อยๆเปลี่ยนไปโดยไม่เกิดความรุนแรง ในด้านเศรษฐกิจท่านเติ้งมีการกำหนดจักให้มีการประชุมนักเศรษฐศาสตร์เพื่อพิจารณาแนวทางของประเทศ และเชื่อว่าคงได้ข้อสรุปว่าระบบเศรษฐกิจจะต้องกลับไปสู่รูปแบบทำนองระบอบประชาธิปไตยแผนใหม่ ที่สามารถระดมพลังงานจากทุกส่วน แต่ก็ประกาศไม่ได้ เพราะจะเป็นการประกาศความล้มเหลวของการเปลี่ยนผ่านแบบจนๆ ประเทศจีนไม่ได้พัฒนาไปตามรูปแบบของประเทศทุนนิยม ไม่ได้ใช้ shop therapy แบบโซเวียต แต่เป็นการกำหนดการปฏิบัติแบบปฏิรูปเปิดกว้าง ที่ภายในประเทศจะต้องปฏิรูปต่อต่างประเทศ ต้องเปิดกว้าง ค้าขายกับต่างประเทศยอมรับการติดต่อกับต่างประเทศ ส่วนวิธีปฏิบัติใช้วิธี คลำหินข้ามลำธาร
คือหาวิธีทำแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่บุ่มบ่าม อะไรได้ผลแล้วค่อยๆทำไปขยายสูงกว้าง อะไรทำได้ไม่ได้ผลดีก็ค่อยๆเลิกโดยไม่ส่งผลเสียหายนัก
ประเทศจีนประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจโดยทำมาได้อย่างยาวนาน 40 ปีและดูเหมือนจะไม่ได้หยุดยั้ง และสามารถแก้ปัญหาความจน ให้แก่ผู้คนเป็นจำนวนมาก ในขณะที่หลายประเทศที่พัฒนาไปถึงระดับหนึ่ง ก็เกิดปัญหาไปต่อได้ยาก และไม่สามารถแก้ไขความยากจนของประชาชนได้อย่างทั่วถึง มันคือความแตกต่างที่เกิดจากระบบเศรษฐกิจที่เลือกใช้ ในระบอบทุนนิยมการพัฒนาจะเกิดขึ้นในภาคอุตสาหกรรม ภาคเมืองก่อน และส่งผลไปถึงภาคชนบท สุดท้ายภาคชนบทเป็นเพียงใช้ป้อนแรงงานให้กับเมืองไม่สามารถแก้ปัญหาความจนโดยพื้นฐาน ระบอบทุนนิยมที่สร้างความแตกต่างของรายได้ก็ไม่ได้แก้ความยากจนของผู้มีรายได้ต่ำ เช่นกัน
สุดท้ายก็จะติดกับดักของความขัดแย้งที่มีในตัวระบอบทุนนิยม คือผลิตได้มากแต่ขายไม่ออก ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจหยุดชะงักไปต่อลำบาก ประเทศจีนประกาศว่าใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม แม้จะดูผิวเผิน แนวทางการพัฒนาประเทศจีนไม่แตกต่างจากประเทศอื่น แต่ที่สำคัญประเทศจีนเน้นการกระจายของรายได้ (พ่อครูว่าจริงหรือเปล่า) การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศจีนพัฒนาจากภาคตะวันออกก่อนภาคเมืองก่อน เมื่อพัฒนาภาคตะวันออกเสร็จแล้วก็จะไปพัฒนาภาคตะวันตก ให้คนรวยขึ้นมาก่อนแล้วให้คนรวยจูงคนอื่นตาม
รัฐบาลจีนจึงเน้นการกระจายรายได้ การกระจายความเจริญแบบไม่ลดละ เช่น การสร้างโครงข่ายความเจริญพื้นฐานเช่นการคมนาคมกระจายอย่างทั่วถึงทั่วประเทศซึ่งเป็นทางแก้จนให้แก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล โดยไม่ได้คำนึงถึงความคุ้มค่าเชิงพาณิชย์แบบทุนนิยม รัฐบาลจีนทำได้เพราะมีเศรษฐกิจภาครัฐเป็นส่วนประกอบสำคัญในระบบเศรษฐกิจ
รัฐบาลมีรายได้ของกำไรจากรัฐวิสาหกิจเป็นจำนวนมากที่สนใจเป็นธุรกิจผูกขาดมีรายได้จากการเก็บภาษี เช่น VAT ที่สูงถึง 17 เปอร์เซ็นต์ (ของเมืองไทยคิด vat แค่ 7% )
รัฐบาลจึงมีเงินที่จะบริหารตามแนวนโยบายได้ ในอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลยังให้การศึกษาแก่ประชาชนให้เกิดความรับผิดชอบว่า เมื่อรวยแล้วต้องช่วยคนที่ยากจน ตัวอย่างที่เมืองเจริญแล้วมีรายได้ทางชายฝั่งตะวันออกต้องจับมือให้เงินช่วยเหลือเมืองที่ยากจน ซึ่งได้รับการขานรับและปฏิบัติอย่างเต็มใจมาตลอด นโยบายการกระจายรายได้ที่ปฏิบัติอย่างจริงจังในประเทศจีน ทำให้เกิดชนชั้นกลาง เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดกำลังบริโภคภายในสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ทำให้เศรษฐกิจพัฒนาไปได้เรื่อยๆ ไม่เกิดวิกฤติแบบระบอบทุนนิยม กระบวนการแก้จนของประเทศจีน แม้ว่าจะอาศัยแรงขับเคลื่อนของการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้ปล่อยให้การขับเคลื่อนเป็นไปเองตามธรรมชาติ แต่ใช้นโยบายตามความตั้งใจของรัฐบาลมาบังคับ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ว่า “การพัฒนาเศรษฐกิจต้องให้ทุกคนได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง” หรือตามคำขวัญที่โชว์อยู่ทุกวันนี้ว่า “บนเส้นทางของการแก้จนไม่มีใครตกขบวน”
ความมุ่งหมายตั้งใจและการมีนโยบายที่ถูกต้องเป็นที่มาของความสำเร็จที่เป็นการแก้จนของประเทศจีน
พ่อครูว่า…การจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ทุกคนในประเทศรวยนั้นเป็นไปไม่ได้ ถ้าตัวเองรวยก็คือทำให้คนมีเงินมากกันทั่วถึงทุกคน แล้วแต่ละคนนั้นทุกคนต้องการรวย แล้วขีดคำว่ารวยของแต่ละคนมีไหม แล้วเมื่อไหร่มันจะรวย ขีดของความรวยที่เขาจะพอหรือเขาถือว่าเขารวยพอแล้วมันมีไหม มันไม่มีหรอก เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาที่กล่าวพูดมานี้ เขาพยายามให้เขารู้สึกว่าคนในประเทศได้มากเพิ่มขึ้น จึงต้องไปแย่งเอาจากประเทศอื่นมา คนในประเทศเขาถึงจะบอกว่ารวยแล้วหายจนแล้ว ก็ต้องไปโกงจากประเทศอื่นมาให้มากขึ้นโดยวิธีใดก็แล้วแต่ ในที่สุดก็ปล้นจี้เอา เหมือนอย่างที่เขาล่าอาณาจักร ตั้งแต่ประเทศอังกฤษทำ หรือประเทศฝรั่งเศสเยอรมันก็ทำมาทั้งนั้น มันเป็นสามัญสำนึกของมนุษย์
เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาความยากจนแบบโลกีย์ที่เขียนวันนี้ จึงเป็นการแก้ปัญหาที่พูดได้เลยว่าไม่มีทางสำเร็จ คุณทำให้ตายก็ตาม มันมีแต่สมบัติผลัดกันชมเท่านั้น
คนที่แก้ปัญหาสังคม แก้ความยากจนสำเร็จ คือ อโศก
เพราะแก้ปัญหาไม่ใช่ให้คนไปแย่งกันรวย แต่ให้แย่งกันมาจน จนที่สุดคือมี 0 คือไม่เป็นหนี้ คือมีความขยันหมั่นเพียรสร้างสรรผลผลิต ผลิตแล้วเอามากินใช้อย่างพอเพียง มีเหลือเกินที่ตัวเองกินใช้อยู่ และก็ยิ้ม แจกจ่ายผู้อื่นหรือขายให้ถูก นั่นแหละคือคนแก้ปัญหาความจนได้อย่างสำเร็จ
อาตมาพูดสูตรนี้
-
ไม่เป็นหนี้ 2. ต้องพึ่งพาตนเองรอด 3. ผลิตให้เหลือเฟือ 4.เอาออกไปแจกจ่าย
ประเทศใดสังคมใดก็แล้วแต่แก้อย่างนี้สำเร็จ ในชาวอโศกแก้ปัญหาเศรษฐกิจนี้สำเร็จแล้วจบแล้ว คุณสมคิดได้ยินไหม ประกาศไปเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2562
เมืองจีนพูดถึงเติ้งเสียวผิง เมืองไทยก็ต้องพูดถึงโพธิรักษ์ที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้สำเร็จซ้อนอยู่ในสังคมไทย แก้ปัญหาเศรษฐกิจให้แก่คนในสังคมกลุ่มหนึ่ง ก็มีสังคมชาวอโศกกระจายอยู่ทั่วไปในประเทศ ชุมชนเล็กหรือใหญ่กระจายอยู่ทั่วประเทศ
ทุกวันนี้อาตมาพาทำกันจริงๆ โดยเอาทฤษฎีของพระพุทธเจ้ามา ผลสำเร็จก็จะเกิด
-
วรรณะ 9
-
สาราณียธรรม 6
อาตมาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาให้เรียนรู้ เหมือนทั่วโลกเขาเรียนรู้ทฤษฎีคาร์ล มาร์กซ์ ประเทศไทยเราไม่เอาแบบนั้น เราเอาของพระพุทธเจ้า คอมมิวนิสต์เข้ามาประเทศไทยไม่ได้ ทั้งที่เขาว่ามันจะมาแล้วแบบ Domino ก็เหลือประเทศไทยแหละมันไม่ยอมล้มลง ทั้งที่น้ำหนักมันมาไม่รู้กี่ประเทศนี่คืออภินิหาร และประเทศไทยไม่ล้มไม่เป็นคอมมิวนิสต์ นี่คือสิ่งที่มันเป็นเครื่องชี้บ่งของโลกเลยนะ ประเทศในโลกเลยนะ ซึ่งมันเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วเป็นเหตุการณ์จริงไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันไม่ใช่เรื่องโมเม ไม่ใช่เรื่องคิดเล่นพูดเล่นไม่ใช่เรื่องนวนิยาย แต่เป็นเรื่องจริง เพราะอะไร
ประเทศไทยจิตวิญญาณหรือความรู้ของคนไทยมีความเข้มแข็ง เป็นโดมิโนตัวที่ไม่ยอมล้ม เพราะไม่เคยเล่นโดมิโน่
เราทำจริง เราเปรียบเทียบกับพฤติกรรมสังคมมนุษยชาติ เราต้องเอาคำเหล่านี้และพฤติกรรมจริง แม้แต่โดมิโน่เป็นการเล่นก็เอามาอธิบายะสัจธรรม ธรรมะได้
และเราก็มีชีวิตที่จะมีพฤติกรรมสังคม จะเรียกว่าเป็นระบบหรือวิธีการจะเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยคอมมิวนิสต์หรือเผด็จการก็แล้วแต่ มันมีจุดมุ่งหมาย ความต้องการ
เราก็ต้องการ อาตมาทำงานกับสังคมมาก็ต้องการมนุษยชาติให้เป็นแบบนี้แหละ เป็นแบบที่อาตมาว่าอาตมาเข้าใจ และพระพุทธเจ้าพาเป็น เป็นผลสำเร็จของวรรณะ 9 หรือสาราณียธรรม 6 อันนี้ใช้อธิบายได้ชัดเจนเลย มาเป็นอย่างไร
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
เลี้ยงง่าย เพราะพวกเรามาจนได้ถึงขั้นสาธารณโภคี ในสาราณียธรรม 6 มีคำว่าสาธารณโภคีอยู่ในข้อที่ 4 ลาภธัมมิกา
ในวรรณะ 9 มีคำว่า กล้าจน นอกจากกล้าจนยังบอกอีกอย่างว่า อปจยะ ไม่สะสม เราจนแล้วเราก็ไม่สะสม มีมากมายเราก็ไม่สะสมมาจนแต่เป็นศูนย์ได้ มีมากมายแต่กระจายไปไม่สะสมแล้วก็ยังขยันสร้างสรร วิริยารัมภะ เป็นคนไม่ได้ดูดาย ไม่ได้ขี้เกียจขี้คร้านแต่ทำงาน
แล้วกล้าจน หรืออัปปิจฉะ มีน้อยๆ และทำให้เจริญได้ง่าย สุโปสะ ไม่ได้เป็นคนโง่เง่าว่านอนสอนยากแต่สอนได้ง่าย และก็เข้าใจคนจนความจน ความจนไม่ใช่เรื่องน่าอาย ความจนมันดี เราโชว์ความจน ประกาศความจน เขาอวดอ้างความรวยแต่เราอวดความจน จนอย่างเบิกบานสำราญ จนไม่เป็นพิษภัยต่อสังคม จนอย่างเป็นคนทำประโยชน์เพื่อเผื่อแผ่ผู้อื่น
คนชนิดไหนที่มีคุณสมบัติอย่างที่ว่ามานี้ ก็เป็นคนประเสริฐ เพราะฉะนั้นไม่ได้เน้นที่เอาวัตถุเป็นเครื่องชี้บ่งความสำเร็จของมนุษย์ แต่เอาคุณธรรมความประเสริฐของมนุษย์มาเป็นเครื่องชี้บ่ง เพราะฉะนั้นการแก้จนในโลกนี้ เขาไม่เข้าใจที่ทฤษฎีของพระพุทธเจ้า เขาพยายามให้คนในประเทศรวยไม่ให้ยากจน ให้ทุกคนรวย หรือว่าจะแก้จนคือให้ทุกคน
มี 2 แบบ 1. แก้จนโดยให้ทุกคนรวย 2. แก้จนโดยให้ทุกคนจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจสุขภาพแข็งแรงขยันสร้างสรรเสียสละ
แก้จนแบบไหนประเสริฐกว่ากัน …แบบที่สอง
ฟังอีกที ตั้งใจฟัง
การแก้จนไม่ให้จนคือให้ทุกคนรวย อย่างที่เขาพยายามแก้จน ทำวิธีไหนก็แล้วแต่ การแก้ความจนคือพยายามตั้งใจให้คนมารวย ก็จะให้คนรวยทุกคนในประเทศ คนก็ต้องไปเอาจากประเทศอื่นมา ไปแย่งจากประเทศอื่น ถึงบอกว่าจีดีพี ก็เอาจากของคนอื่นมา อย่างนี้โกหกทั้งที่ไปเอาของคนอื่นมาเอาเปรียบเอารัดขูดรีดจากเขามา แล้วมาเติมให้คนในประเทศเอ็ง แต่บอกว่าเป็น GDP Gross ของเอ็งไปเอาของคนอื่นมา
คนจนอย่างชาวอโศก เรามีผลผลิตของเราทำเองขึ้นมา มี Gross องค์รวมเหลือกินเหลือใช้แจกจ่ายผู้อื่นได้ไม่ได้ไปแย่งชิงมาเลย นี่แหละคือนักเศรษฐศาสตร์เบอร์ 1 ของโลก รู้ไว้ซะด้วย
ในสังคมมนุษยชาติก็ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด คานธีบอกว่าในโลกมีทรัพย์ศฤงคารมีสมบัติของโลกเพียงพอสำหรับแบ่งกินใช้ให้ทุกคนอย่างทั่วถึง แต่มันไม่พอสำหรับคนคนเดียวที่มีความโลภอยากจะเอาไม่มีที่สิ้นสุด
อย่าง ไม่เอาใคร ก็เอา Bill Gates เขาบอกว่าเป็นเมืองประชาธิปไตยแต่เป็นทุนนิยมเต็มเหนี่ยว เสร็จแล้วไปเผด็จการทั่วโลกเค้ามันมีความซับซ้อน ประชาชนคนอเมริกัน มีการกินใช้อย่างฟุ่มเฟือยหรูหราฟู่ฟ่าเพราะอะไร แบบใครกินใครจ่าย อเมริกันแชร์ กินอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยเพราะใครกินใครจ่าย ซึ่งฟังแล้วมันเป็นแนวคิดที่แย่จริงๆ กินอย่างฟุ่มเฟือยหรูหราฟู่ฟ่าก็แย่แล้ว ใครกินใครจ่ายก็เป็นแบบเห็นแก่ตัวอีก นี่แหละคืออเมริกัน
แล้วคนก็ไปนิยมชมชื่น การศึกษาก็ไปเอาความรู้จากAmerican มา อย่างนี้เป็นต้น อาตมาว่าเป็นความคิดที่ผิดหรือเปล่า แก้ตัวไม่ได้อย่างด็อกเตอร์ต้อมเป็นผลผลิตจากอเมริกาจบดอกเตอร์จากอเมริกา แขนงเศรษฐศาสตร์ด้วยนะ ดีที่มาเป็นตัวอย่าง specimen ให้อาตมาได้ใช้อธิบายธรรมชาติของพุทธ
เพราะฉะนั้นที่พูดนี้อธิบายนี้ เป็นธรรมดานะไม่ใช่อาตมาพูดถึงเรื่องโลก บางคนก็บอกว่าพ่อท่านมาเทศน์ธรรมะแต่พูดถึงเรื่องอะไรก็ไม่รู้
พวกเรานี้ นี่แหละปฏิบัติธรรมะถึงประสบความสำเร็จ ที่คนอื่นเขาเดือดร้อนวุ่นวายเขาจะแก้จน คนชาวอโศกของเราไม่ต้องไปแก้จน ก็เพราะมาจนแล้ว พูดอย่างไรก็ลงตัวทุกอย่าง
สู่แดนธรรมว่า.. มีแต่แก้ให้มาจนลงก่อนนั้นอีก
พ่อครูว่า…หลายคนอย่างกระเป๋าตุง อย่างดร.ต้อม ให้ไปเติมชื่อปรารถนาเป็นปรารถนาจนใส่ท้าย อาตมาตั้งให้ แต่ก็ไม่กล้า
เป็นปรารถนาจน ไม่กล้า ขอบคุณที่มาเป็น specimen ประกอบการอธิบาย
นี่ มนุษย์เขาอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านมีทฤษฎีที่สอนให้คนมาเป็นชีวิตวรรณะ 9 ก็จบแล้ว เป็นคนเลี้ยงง่ายนี่แหละมีอยู่มีกินอย่างนี้ มันเกิดมีอยู่มีกินแล้วไม่แย่งชิงทะเลาะวิวาทอุดมสมบูรณ์สุขสบายชีวิตสบายๆ หลายคนเข้ามาสัมผัสอยู่ที่นี่แล้วดีๆ แต่ทำไมไม่มา บอกไม่ได้ ตอบไม่ถูก ดี บอกว่าอยากมา แล้วอยากทำไมไม่มา ใครไปบังคับเอาไว้ แต่บอกว่าติดตรงนั้นตรงนี้เหตุผลมีเยอะ แต่ละคนเหตุผลเป็นกระบุงๆ
สู่แดนธรรมว่า… บางคนติดหมา
พ่อครูว่า…จะไปบอกว่าเอาหมามาด้วยก็ไม่ได้ แต่ที่นี่มีหมาเห่านะใครช่วยจับไปปล่อยหน่อย
อาตมาพูดแล้วคนก็ไม่เข้าใจ ขอแวะเรื่องสัตว์เลี้ยง
มันเป็นวิธีการสอน เกี่ยวกับวิบาก อันหนึ่งที่สำคัญเลย
ไม่ต้องไปเลี้ยงหรอก สัตว์ทุกตัวมันมีวิบากของมัน คนก็มีวิบากของคน แค่เราสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับคนจัดการให้มันเรียบร้อยเถอะ สัตว์นั้นมันมีวิบากของมันอย่าไปยุ่งกับมันเลย เดี๋ยวเราก็ต้องไปเกี่ยวข้องกับมันอีก ไอ้เรื่องของวิบากของสัตว์นี่ มันเป็นอจินไตยกรรมวิบากจึงอธิบายได้ยาก คุณจะต้องไปเกี่ยวข้องกันอีกในชาติต่อๆไป คนที่จะต้องเกิดมาแล้วต้องมาเกี่ยวข้องกัน ต้องมาแก้แค้นต้องมารักต้องมาชังต้องมาใช้หนี้วิบาก อะไรกันอยู่นี้ มันก็หนักหนาสาหัสแล้ว คุณจะเติมหน่วยแห่งสัตว์ที่จะต้องมาเป็นภาระกันอีกทำไม พอเข้าใจไหม
แค่นี้ก็ควรจะปลดปลงวิบากที่เรามี ให้อภัยกัน คนนั้นเป็นหนี้ชังกันคนนี้รักกันก็ปล่อยไป ปล่อยวาง เลิกรักเลิกชัง คนด้วยกันนี้ เลิกรักเลิกชังกันให้เกิดจิตอุเบกขาสบายๆให้เป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องเป็นผู้ที่จะเกื้อกูลกัน ไม่ต้องไปริษยากันไม่ต้องไปแก่งแย่งกัน ช่วยกัน
อย่างนี้แหละเป็นจุดสำคัญเป็นเป้าหมายของความเข้าใจและปฏิบัติให้ได้ ซึ่งชาวอโศกเราพอทำได้ ปฏิบัติมา เกิดจากการเรียนรู้เกิดจากการเข้าใจแล้วก็ลดละ
-
ลดละไม่แย่งวัตถุ ลาภ
2.ไม่แย่งยศอำนาจ
-
ไม่หลงสรรเสริญ แย่งชิง ความเด่นดัง ทำดีไปเถอะแล้วมันจะได้รับการยอมรับจากสังคมเป็นสัจธรรม ไม่ต้องอยากให้คนสรรเสริญเยินยอยกย่อง ไม่ต้องแย่งลาภยศสรรเสริญ เข้าใจเรื่องความสุข