621110_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ คนจนแบบมีวรรณะ 9
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1UASDeiP1M2xI17vKeO0XCaRNxo54IIea6JeLRSfjgRU/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1RQqFKtEDhITz8jUFvL5qI1ay0sdA-er2
สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2562 ที่บวรราชธานีอโศก พรุ่งนี้วันเพ็ญเดือนสิบสอง รายการวิถีอาริยธรรม ทุกวันอาทิตย์ตอนนี้เปลี่ยนเวลาเป็น 18:00 นถึง 20:00 น เราจบงานมหาปวารณาไปหมาดๆ เป็นงานที่ชาวอโศกต้องน้อมรับคำตำหนิติเตียน คือขุมทรัพย์ เป็นคำที่ทำให้เราเจริญแต่เพียงถ่ายเดียวไม่มีเสื่อม คำชมไม่ทำให้เราเจริญขึ้น
มีคำของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ได้กล่าวไว้ว่า….
ข้าพเจ้าได้ดิบได้ดีวิเศษยิ่ง ๆ ขึ้น
หรือ เป็นคนที่น่านับถือเคารพได้นั้น
ไม่ใช่เพราะการเป็นผู้ชี้ยืนยัน
“ความถูกต้อง”
ให้ใคร ๆ รู้ ได้หลากหลาย
แล้ว ๆ เล่า ๆ นั้นดอก !
แต่… เพราะข้าพเจ้าน้อมรับ
“ความผิดพลาด”
และ มีการแก้ไขในแต่ละครั้ง
แต่ละคราว ของข้าพเจ้า
จาก ทั้งผู้หวังดี
และ ทั้งศัตรูผู้หวังร้ายแท้ ๆ
นั่นต่างหาก.
พ่อครูว่า…ผู้เขียนใช้นาม ธรรมกาโม ถามมาว่า
วิธีทำงานต่างๆแล้วมีสมาธิอยู่กับงานนั้น อย่าไปคิดออกนอกเป็นคนอื่นๆ
สมาธิจดจ่อ สมาธิเขาหมายแค่ความเพ่งจดจ่อเกี่ยวกับการงาน เขาไม่เรียกว่าสมาธิ เรียกว่าสมถะเท่านั้น
สมาธิเป็นภาษาที่เรียกจิตวิญญาณเอากิเลสออกได้สะอาดหมดจด จิตสะอาดนั้นก็ตกผลึกลงสั่งสม แข็งแรงตั้งมั่น คิดอย่างนั้นด้วยจิตเป็นสมาธิ
แล้ววิธีเอากิเลสออกก็ต้องมีสัมมาทิฏฐิตามคำสอนพระพุทธเจ้า แต่ทุกวันนี้หาไม่ได้แล้ว ที่ปฏิบัติอยู่ในสังคมชาวพุทธไทย ที่จะรู้จักกิเลสรู้วิธีเอากิเลสออกเอากิเลสออกได้ ไม่ใช่วิธีสมถะ แต่เป็นวิธีปัสสัทธิ ถึงจะเป็นสมาธิ แต่ไปโมเมว่าสมถะคือสมาธิ ไม่ใช่
สมาธินี้จะต้องเรียนรู้จักจรณะ 15 วิชชา 8 จิตใจก็มีกิเลสลดลง ลดลงไปกิเลสแต่ละตัวไป จิตตั้งมั่นเป็นอุเบกขา ทำงานอยู่ต่อไป สัมผัสจากสิ่งที่เคยเป็นเหตุให้เกิดกิเลส แต่จิตเราก็จะดีขี้นเรื่อยๆ แคล่วคล่องปราดเปรียว มีจิตรู้ทัน ลดละกิเลสได้เร็วได้ไว ซึ่งเป็นจิตที่ทำงานได้ดี เรียกว่ากัมมัญญตา ทำงานได้อย่างไม่มีกิเลสทำงานได้อย่างเหมาะสม แล้วก็มีฐานของจิตอุเบกขา 4 นี้แล้วก็จะมีตัวปภัสสรา เป็น 5 คุณสมบัติ ฐานของจิตที่เป็นสมาธิ
เขาคนนี้ว่า…พระอรหันต์ก็มีสมาธิตั้งมั่นอย่างสมบูรณ์ ก็แน่นอน มีจิตอุเบกขา 5 อย่างสมบูรณ์ ไม่หวั่นไหว ต่อราคะโทสะโมหะ
_ส่วนอนาคามีก็ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวต่อบุญที่ได้ลดละแล้วใช่ไหม ..ใช่
_ผลไม้ 1 ลูกที่เด็ดออกมาจากต้นแล้ว(พ่อครู พูดถึงผลส้มซ่าที่อยู่บนโต๊ะ)
ถือว่าเป็นอุตุ (พ่อครูว่าใช่) แต่เมล็ดที่อยู่ข้างในนั้นยังมีเชื้อชีวิตที่สามารถจะนำไปเพาะให้เกิดเป็นพืชได้ ถามว่า จะเรียกเมล็ดของผลไม้นั้นว่าเป็นพีชะได้หรือไม่…(พ่อครูว่า…ได้ มันยังไม่ขาดชีวิต)
_ขอแสดงความคิดเห็นที่พ่อครูตอบ sms ว่า เป็นความเมตตาของพ่อครูที่เอื้อต่อคนใหม่ๆที่สนใจฟังธรรมพ่อครู เพื่อไขข้อข้องใจหรือกล่าวแก้ตามความจำเป็นเป็นสิ่งที่สมควรอย่างยิ่ง แต่ก่อนดิฉันก็เคยคิดว่าอย่าไปเสียเวลาตอบ SMS นานๆ เพราะอยากจะฟังธรรมะใหม่ๆบ้าง แต่ตอนนี้เลิกคิดแล้วค่ะ ต้องฟังความเห็นต่างใน sms เป็น ปรโต โฆษะ อย่างหนึ่ง
พ่อครูว่า…ดีมาก เข้าใจเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ บางทีอาตมาแสดงออกไป ไม่เข้าใจดีก็จะไม่ศรัทธาเห็นว่าไม่ถูก แต่พอนานๆเข้าก็จะค่อยๆเข้าใจ ก็ดี
สมณะฟ้าไทว่า..sms มีซอยเล็กซอยน้อย ได้ประโยชน์ คนขยันถามมานี้ก็เก่งมาก พ่อครูจะได้ดึงสัญญาออกมาให้พวกเราได้รู้เพิ่มเติม
_อ.นริศร์ แสงปัญญา กราบเรียนถามด้วยความเคารพยิ่ง
พ่อครู ได้สอนเรื่อง อานาปานสติ อย่างไรบ้างครับ
พ่อครูว่า…อาตมาสอนอานาปานสติ แรกๆก็สอนคล้ายๆกับที่เขาอธิบายเหมือนกัน แต่ก็ไม่คล้ายทีเดียว เพราะว่า อานาปานสตินี่ มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากมาก ตามตำนาน ตามประวัติศาสตร์ พระพุทธเจ้าออกบวช พอออกบวช ท่านก็ออกบวชตามแบบ ลิงลมอมข้าวพอง ตามแบบที่สังคมพาเป็นไป ตอนแรกท่านก็ออกไปตามนั้น ออกบวชคือออกไปทิ้งบ้านช่องเรือนชาน ไปอยู่กับหมู่ปฏิบัติธรรมซึ่งเขาก็อยู่ในป่า ไม่ใช่ปฏิบัติแล้วก็อยู่ในบ้านในวังของตัวเอง แต่เดินออกไปอยู่ป่า มันเหมือนกับชาวโลกที่เขาเข้าใจเช่นนั้น เขาเชื่อว่าการปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธต้องออกป่า พระพุทธเจ้าตอนแรกก็เป็นลิงลมอมข้าวพอง เห็นว่าเขาเป็นอย่างนี้ก็ออกไปแล้วเป็นไปตามเขาด้วย เขาพาทำทุกรกิริยาต่างๆนานาสารพัด ท่านก็เป็นลิงลมอมข้าวพอง คือความรู้เดิมของพุทธที่เป็นโลกุตระยังไม่เต็มที่
แต่พระพุทธเจ้าก็คงจะรู้อยู่บ้าง แต่จำเป็นที่ท่านจะต้องอนุโลม ท่านรู้หรอกว่าไม่ใช่ทำเช่นนั้น แต่ถ้าจะอยู่บ้านจะปฏิบัติธรรมประกาศศาสนานั้นมันเป็นไปไม่ได้ เพราะคนในสังคมเมืองไม่ได้เอาธรรมะ ไม่ได้ใส่ใจ แล้วก็ต้องจะไปพูดอธิบายปฏิบัติอยู่ร่วมกับพวกที่เขาใส่ใจปฏิบัติธรรมะ คือพวกที่ออกป่าท่านก็เลยต้องอนุโลมออกป่ากับเขา แล้วก็ค่อยๆสอนค่อยๆอธิบาย เข้าปฏิบัติจนกระทั่งบอกว่าอานาปานสติคือนั่งคู้บัลลังก์หยุดนิ่งร่างกายตรงดำรงสติคงมั่น ซึ่งไม่มีในมรรคมีองค์ 8 ไม่มีโพชฌงค์ 7 ไม่มีโพธิปักขิยธรรม 37 ในวิชชาจรณสัมปันโนก็ไม่มี ศีล สมาธิ ปัญญาก็ไม่มี จะไปเข้าใจว่าปฏิบัติสมาธิคือไปนั่งอย่างนี้ ไม่มีไตรสิกขา อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา เขาเข้าใจว่าอธิจิตคือไปนั่งหลับตา แต่ถ้าปฏิบัติตามพุทธแล้ว อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา มีวิมุติ จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
ความสงบของพุทธเป็นสมาธิ คือ กิเลสไม่รบกวน จิตใจก็แข็งแรงอยู่ได้สบาย แต่ของที่ไม่ใช่พุทธ จิตสงบเพราะว่าหลีกหนี หลีกเร้น ไม่ให้มาเกี่ยวข้อง ดีไม่ดี หลับตาอีก ไม่ให้กระทบสัมผัสอะไรเลย ตรงกันข้ามแบบ 180 องศา มันก็เลยไม่ค่อยรู้เรื่อง พูดกับคนพวกนี้ยาก เพราะว่าสองพันกว่าปีมาแล้ว ศาสนาพุทธเสื่อมมาเรื่อยๆจนถึงทุกวันนี้ เพี้ยนจนหาของเดิมไม่เจอ เหมือนกับตอนพระพุทธเจ้าประกาศศาสนาแรกๆ เขาก็มีมิจฉาทิฏฐิเหมือนกันอย่างนี้เลย จนกระทั่งไปเข้าใจเอาว่า นักปฏิบัติธรรมของพุทธนั่งหลับตานั่นแหละจะบรรลุพระอรหันต์ อาตมาก็พูดอย่างไม่เกรงใจว่าอย่างนั้นเป็นอรหันต์เก๊ทั้งนั้น อย่างนี้เป็นต้น
ศาสนาทุกวันนี้ ที่ ปฏิบัติอานาปานสตินั้น อาตมาก็เคยอธิบายเคยพูดว่า ตราบที่คนมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก คือมีอานา ปานะ คุณก็ปฏิบัติธรรม ให้เกิดความรู้ โดยไม่จำเป็นจะต้องไปนั่งหลับตาอยู่กับที่ แต่ยืน-เดิน-นั่ง-นอนมีสัมมาวาจา สัมมาอาชีวะมีการกระทำต่างๆกัมมันตะ พูดจามีสัมมาวาจาคิดนึกว่าเป็นสัมมาสังกัปปะ อย่างนี้ คือทางปฏิบัติของพระพุทธเจ้าและจิตก็จะเป็นสัมมาสมาธิได้
นี่คือการปฏิบัติอานาปานสติ จิตใจก็มีญาณปัญญา เห็นความไม่เที่ยง อนิจจานุปัสสี เรารู้ว่าตัวเองปฏิบัติก็ทำได้ เห็นความจางคลายของกิเลส วิราคานุปัสสี เป็นผลของอานาปานสติ ที่ปฏิบัติถูกต้อง แล้วก็จะเห็นนิโรธ นิโรธานุปัสสี แล้วก็จะรู้ว่าตัวเองได้ปฏิบัติทบทวนซ้ำซ้ำ อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง จนเป็น ปฏินิสสัคคานุปัสสี ทวนซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งที่สุดก็ขาดสะเด็ด กิเลสก็ไม่มี ท่านแปลว่าสลัดคืน สลัดกิเลสออกจากจิตได้
การปฏิบัติอานาปานสตินั้น ก็คือพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรมนั่นแหละ ขาดกายไม่ได้ แม้อานาปานสติก็ขาดกายไม่ได้ แต่ไม่เข้าใจอ่านพระไตรปิฎกไม่แตก ขาดไม่ได้ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่าสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย หรือถ้าผู้ใดทำกาย คือหมวดแห่งเจตสิก กาย คืออะไร
เปิดพจนานุกรมอ่านให้ฟังเลย มีหลายเล่ม
คำว่า กาย นี้แปลว่า กลุ่มกอง ไม่ใช่เดี่ยว เป็นกอง หมู่ กลุ่ม ฝูง ประชุม อะไรประชุม ก็คือเจตสิกธรรม เจตสิกคือนาม ไม่ใช่ร่าง คือเวทนา สัญญา สังขาร องค์ประชุมของเวทนาสัญญา สังขาร นี่คือกาย พจนานุกรมแปลว่าชัดเจนอย่างนี้ ไม่ได้แปลว่าร่างหรือเอาเฉพาะภายนอก
เราเคยเอาพระไตรปิฎกยืนยัน ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.16 ข.230
เขาจะเข้าใจ คำว่า กาย มี Concept ความหมายถึงร่างกายภายนอก นี่เป็น Concept ของคนส่วนใหญ่จะเข้าใจเช่นนี้ ซึ่งในพระไตรปิฎกแปลไว้ถูก กายต้องไม่ได้หมายความว่าร่างโต้งๆ แต่เขาไม่ได้หมายถึงจิตเลย เขาจึงไม่ได้บรรลุธรรม
“ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้างคลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้
ย่อมปรากฏ ปุถุชนผู้มิได้สดับจึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกาย
นั้น แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้างวิญญาณบ้าง ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้
ตลอดกาลช้านานฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย ฯ
พ่อครูว่า..การจะเกิดปัญญาเองเป็นไปไม่ได้ อาตมาเองปัญญาที่มีในชาตินี้ ได้มาจากชาติก่อนๆ ไม่ได้มีครูบาอาจารย์สำนักต่างๆที่ได้เรียนรู้มาในชาตินี้ เป็นความรู้ของอาตมาที่ดูจะขัดแย้งกับเขากับมหาเถรสมาคม เขาเป็นโลกียะเทวนิยม พออาตมาพูดโลกุตระเป็นอเทวนิยม ก็เลยขัดแย้งกับเขา เขาก็เลยจะจัดการเอา แต่อาตมาเป็นผู้มีสัจธรรมแล้ว คงทน หนังเหนียวฆ่าไม่ตาย เหมือนพระโมคคัลลานะ ใครจะฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย นี่เป็นธรรมาธิษฐานไม่ใช่ปุคคลาธิษฐานที่พูดในพระไตรปิฎกว่าพระโมคคัลลานะใครฆ่าก็ไม่ตายฟื้นมาได้ทุกที เป็นคนอมตะฆ่าไม่ตาย ถ้าจะตายก็ตายของท่านเอง นี่เป็นธรรมาธิษฐาน
ถ้าใครสังเกตุ ตั้งแต่อาตมาบรรยายธรรมะตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ก็ถึง 50 ปีแล้ว เพราะว่าพูดธรรมะมาตั้งแต่เป็นฆราวาส นุ่งกางเกงขาสั้นใส่เสื้อคอกลมขึ้นเวทีอภิปรายพูดกับรัฐธรรมนูญอื่นๆเลย ตั้งแต่ยังไม่บวช โกนหัว ใส่เสื้อคอกลม อาตมาไขความให้ฟัง สมัยโน้น
อาตมาเป็นดาราโทรทัศน์ที่เขารู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองนะ ตอนนั้นมีแค่ 2 ช่อง กำลังจะมีช่องสีของช่อง 3 ที่จะเกิด ตอนนั้นเดินสุขุมไม่มองใคร เดินช้าๆ ใครเห็นก็ต้องสะดุด เขาก็จะหาว่าบ้าไปแล้ว ซึ่งตรงกันข้ามกับความเห็นของคน อาตมาเคร่งคุมสังวรระวัง ไม่มีอะไรในหัวนอกจากธรรมะ สบาย ไม่ได้ไปวุ่นวายอะไรกับโลก
ผู้ที่เข้าใจธรรมะหรือเข้าถึงธรรม มันจะแยกออกว่าโลกียะเป็นเรื่องไร้ค่าที่ต้องไปแย่ง เพราะฉะนั้นผู้ที่เห็นจึงจะออกเนกขัมมะ หรือออกปฏิบัติธรรมแม้จะไม่ได้เข้าพิธีบวช ก็เรียกว่าออกเนกขัมมะ
ออกเนกขัมมะ คือ ไม่เอาแล้วที่จะไปแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เข้าใจเห็นว่าแบบนั้นมันเสียเวลาไร้สาระ ไม่ต้องไปแย่งอะไรกันหรอก ถ้าจะทำมาหากินก็ทำเอาได้ไม่ยากอะไร
คนที่จะเลิกจากการไม่ไปอยู่กับโลก ที่เป็นตา หู จมูก ลิ้น กายภายนอก เป็นกามคุณ 5 พอถึงอนาคามี จนเป็นอรหันต์ไม่ยินดีในกามคุณ ก็จะอยากออกจากโลกเขามา แต่ถ้ามีสัมมาทิฏฐิแล้วก็ไม่ต้องออกจากโลกออกจากสังคม จะแยกได้ชัดเจนว่าอย่างไรคือโลกียะอย่างไรคือโลกุตระ แต่คนชัดเจนไม่ยินดียินร้ายก็ไม่จำเป็นต้องไปรับผิดชอบกับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็เห็นแล้วว่ามันไร้สาระ นอกจากคนติดกองลาภ กองยศฐาบรรดาศักดิ์ แม้จะไม่ได้มียศทางราชการทางสังคม มันก็เป็นฐานะอย่างหนึ่งเหมือนกัน เป็นยศที่คนเขายกให้ตามสมมุติ ที่สำคัญคือยังไม่เข้าใจการเสพสุข
แม้ทุกวันนี้ศาสนาพุทธก็ยังไม่รู้จักว่าจริงๆแล้ว จะต้องไม่มีสุข ดับสุข
ถ้าใครดับสุขได้หมด คุณก็หมดทุกข์ คุณก็เป็นพระอรหันต์
แต่เขายังไม่รู้จักสุข สุขกับทุกข์เป็นอันเดียวกัน เป็นสิริมหามายาเป็นเหรียญสองหน้า แล้วแยกกันไม่ออกหรอกสุขกับทุกข์ ศาสนาพุทธจึงไม่เอาเลยความสุขความทุกข์ อุทุกขมสุข เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา
แต่เขาไม่เข้าใจความไม่สุขไม่ทุกข์ได้ ก็ทำด้วยวิธี เคหสิตอุเบกขา ข่มจิตให้มันปรุงแต่ง เขาก็พอจะเข้าใจตรงนี้ พยายามทำวิธีการสะกดจิตเพื่อไม่ให้จิตใจไปนึกคิด ซึ่งมันจะไม่ได้เรียนรู้ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วล้างออกจากกิเลสเป็นลำดับ พอได้ที่มันก็ล้างออกหมด ก็รู้โลกุตระ แยกแยะโลกียะกับโลกุตระได้ก็สมบูรณ์ จบเป็นพระอรหันต์ได้
ที่อาตมาเอาของพระพุทธเจ้ามาพูด ที่บอกว่าต้องสัมผัส วิโมกข์ 8 ด้วยกาย คำนี้ พระพุทธเจ้าตรัสในบุคคล 7
กายสักขี คือคนที่มีกาย มีรูปนาม เป็นหลักฐานแล้วว่าเป็นผู้ที่ลดกิเลสได้ ต้องรู้จักรูปนามจึงลดกิเลสได้ ผู้นี้จึงต้องมีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เป็นผู้ที่มีภูมิธรรมแล้ว
เมื่อสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายได้ จึงจะได้เรียนรู้กิเลสได้ แล้วก็ทำให้กิเลสดับสิ้นอาสวะได้เป็นบางส่วนๆ ผู้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายได้ก็จะเป็นอาริยะในระดับ 5 เรียกว่ากายสักขี
แล้วก็ มี
-
เรียกสัทธานุสารี สายศรัทธา ตามหาสาระแก่นสารของศาสนา
-
ธัมมานุสารี ผู้ที่เป็นสายปัญญา ซึ่งแกนศรัทธากับปัญญา มันเป็นจริตของคน จะมีผู้ศรัทธาจริต อันนี้เป็นเรื่องแต่ไหนแต่ไรมา แล้วแต่ละคน พยายามรู้ตัวเองให้ได้ แต่ไม่แปลกอะไร ถึงอยู่แกนไหนก็ตาม คนที่มีศรัทธาจริตต้องพยายามคบหาคนที่มีปัญญา
คนสายปัญญาต้องคบหาคนสายเจโต มันจึงจะได้ถ่ายทอดแก่กันและกัน แต่จริงๆแล้ว สายปัญญาไม่ค่อยศรัทธาสายศรัทธา สายศรัทธาไม่ค่อยศรัทธาสายปัญญา
แต่โดยจริตแล้ว ศรัทธาหรือปัญญาจะต้องเข้าใจทุกอย่าง และจริงๆแล้วต้องมาเป็นปัญญา
ศรัทธาตัวเดียวไม่มีปัญญานั้น หลง
เพราะฉะนั้นสายศรัทธาทุกวันนี้ สายเจโตหรือสายศรัทธา จึงพากันล้มเหลวออกป่าเขาถ้ำกันไปอยู่โดยรวม สุดโต่ง เราไม่มีปฏิภาณปัญญา
สายบ้าน ก็อีกแหละ ถูกครอบงำทางความคิด ไปหลงว่าพระปฏิบัติจะต้องออกป่าเป็นมิจฉาทิฐิตาม แม้ว่าตัวเองไม่ได้ออกป่าก็ตาม แต่ก็นั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ ไม่ได้ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 หรือว่าปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์แล้วจะเกิดสัมมาสมาธิ ก็ไปนึกว่าการทำสมาธิต้องไปนั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไป แม้สายบ้านก็ตาม แต่ตัวเองยังล่าลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จึงเป็นพระบ้านไม่ใช่พระป่า ก็นับถือพระป่า เราเป็นพระบ้านก็ต้องพยายามนั่งหลับตาสมาธิให้เหมือนพระป่า อย่างนี้เป็นต้น นี่คือความเข้าใจผิด เป็นมิจฉาทิฏฐิเต็มบ้านเต็มเมือง
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไทว่า…จริตที่ต่างกัน ต้องลดตัวตนของเรา อะไรที่เราขาดคนจะไปเอาจากเขา แต่เราก็ปฏิเสธสิ่งที่ดี เราต้องปรโตโฆษะ น้อมรับสิ่งที่เราขาด
พ่อครูว่า..ที่จริงสายที่บอกว่าตัวเองเป็นสายปัญญาเป็นพวกฟุ้งซ่านเสียเยอะ ยังไม่ได้ทำใจในใจเป็น ส่วนอาตมามันรู้มากพูดมาก ไม่ใช่เป็นพวกฟุ้งซ่านนะ ส่วนพวกฟุ้งซ่านก็ฝอยเก่งแล้วหลงภาษา สายพวกอภิธรรมเป็นต้น หรือเรียนมาเป็นดอกเตอร์เป็นเปรียญ 9 ก็ชอบสอนชอบบรรยาย เป็นปทปรมบุคคล
พูดไปแล้ว ชาตินี้ อาตมา
ถ้าไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ยอมรับผู้นั้นจะสามารถถอนอาสวะสิ้นไปได้
สายที่ 1 สัทธานุสารี
สายที่ 2 ธัมมานุสารี เป็นพวกตามหาแก่นสาร ผู้มาแสวงหาธรรมะที่ไม่ใช่พวกสายศรัทธา
สายที่ 3 ศรัทธาวิมุติ พวกสายศรัทธาก็จะเข้าใจวิมุติ อย่างพวกสายศรัทธาจะไปหลงตัว หรือนึกว่าตัวเองได้วิมุติด้วยศรัทธาก่อน ซึ่งก็ยังไม่สมบูรณ์ไม่สัมมาทิฏฐิ เต็มช้า
ส่วนพวกสายปัญญาก็จะมีสัมมาทิฏฐิเต็ม
ระดับที่ 4 ก็จะเป็นผู้บรรลุ ปัฏฏะ บรรลุด้วยทิฏฐิ(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท..เราต้องแก้ไขให้เกิดสัมมาทิฏฐิ
พ่อครูว่า…การจะตรัสรู้ได้ต้องตรัสรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง หรือใช้คำว่าอภิญญา ก็คือปัญญาอันยิ่ง
คำว่าปัญญา พยัญชนะบาลี ปัญญาอันนี้ เป็นปัญญาที่มีผลจริงๆ
ต้องเห็นด้วยปัญญาอันยิ่ง เพราะฉะนั้นบุคคลที่เป็น ธัมมานุสารี พอเป็นผู้ที่บรรลุก็เป็น ทิฏฐิปัตตะ ส่วนสัทธานุสารี เลื่อนชั้นไปเป็นสัทธาวิมุต ก็ยังไม่สัมมาทิฏฐิ แต่พวกทิฏฐิปัตตะ ปฏิบัติจนได้ผลมีผลเป็นกายสักขี
กายสักขีที่ไปจัดอยู่ในสายศรัทธานั้น
กายสักขีคือผู้รู้กิเลสทำให้กิเลสอาสวะด้บไปได้ เพราะกายสักขีนั้น สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย นี่คือบุคคลในระดับที่ 5 กายสักขี
ระดับที่ 6 เป็นปัญญาวิมุติ มีพยัญชนะกำกับว่า นเหวโข แล้วต่อไปคือ อัตถวิโมกเขกาเยนผุสิตวาวิหารติ แล้วอาสวปริขีณา คือทำให้อาสวะหมดสิ้นได้
บุคคลผู้ใดที่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงจะเป็นคนทำให้อาสวะสิ้นไปได้
คนที่ไม่เข้าใจสภาวะ แม้แต่พยัญชนะ เขาก็บอกว่า นเหวโข คือยืนยันอันนั้น ไม่ต้องไปพูดถึงความจริงที่จะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่ถ้าไปแปลเอาดื้อๆว่า บุคคลปัญญาวิมุต ก็ไปแปล นเหวโข ว่า บุคคลผู้ที่ไม่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย มันก็เลยสลับกัน
ผู้นี้สูงกว่ากายสักขี คือปัญญาวิมุติ แล้วเนื้อหาคือผู้ที่อาสวะทุกอย่างหมดสิ้นด้วย ส่วนกายสักขีคืออาสวะบางอย่างหมดไป
กายสักขีคือ บุคคลที่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายสำเร็จด้วยอิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะบางอย่างของผู้นี้ก็หมดไปได้
ปัญญาวิมุติ บุคคลบางคนในโลกนี้ ท่านไปแปลว่าไม่ต้องสัมผัส วิโมกข์ 8 ด้วยการสำเร็จอิริยาบถอยู่ แต่อาสวะของผู้นั้นสิ้นไปแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา
คนนี้หมดสิ้นอาสวะ แต่กายสักขีคืออาสวะบางอย่างหมดสิ้นไป คนที่แปลว่าไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ถ้าอย่างนั้นจะต้องต่ำกว่ากายสักขี พวกปัญญาวิมุติไม่มีวิโมกข์สิ แต่กายสักขีมีวิโมกข์ก็เลยเข้าใจกลับกันเลย
ทั้งที่ปัญญาวิมุติสูงกว่ากายสักขี นี่คือความไม่รู้จักสภาวะธรรม ก็เลยแปลไปตามภาษา
อาตมานับถือพวกที่แปลพระไตรปิฎกนะ แต่เข้าใจว่ามันไม่ง่ายในจุดที่ละเอียดลึกซึ้งพวกนี้ มันยาก
สมณะฟ้าไทว่า..เขาแปล ปัญญาวิมุติว่า ไม่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่ก็บอกว่าสำเร็จเป็นพระอรหันต์ คืออาสวะสิ้นหมดเลย
กายสักขี เขาแปลว่า ผู้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่อาสวะบางอย่างสิ้นไปได้
พ่อครูว่า..เขาแปลตามพยัญชนะไปเท่านั้น
แต่ว่าปัญญาวิมุติ ผู้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ ไม่มีกายไม่ได้
เพราะว่าผู้บรรลุธรรมจะต้องมีจักษุ ปัญญา -ญาณ -วิชชา- แสงสว่าง(อาโลก) ต้องลืมตามีแสงสว่างให้เห็นนะการบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า
การหลับตาไม่เห็นแสงสว่าง ไม่มีทางได้บรรลุธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่มีกายให้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย คือไม่เข้าใจสภาวะ นเหวโข ไปแปล น ว่า ไม่ คือไม่สัมผัส วิโมกข์ 8 ด้วยกาย
ปัญญาวิมุติคือ…[41] บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ แต่อาสวะของผู้นั้นสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า “ปัญญาวิมุติ”
(กตโม จ ปุคฺคโล ปญญาวิมุตฺโต อิเธกจฺโจ ปุคฺคโล น เหว โข อฏฺฐ วิโมกฺเข กาเยน ผุสิตฺวา วิหรติ ปญญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติ อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล ปญญาวิมุตฺโต ฯ)
พ่อท่านว่า…ที่จริงต้องแปลว่า ไม่ต้องไปกล่าวว่าท่านจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เพราะว่าท่านต้องทำมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
สู่แดนธรรมว่า…พอท่านทั้งหลายแปลว่า ไม่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายเลยทำให้เข้าใจว่าไม่ได้สมาบัติ
พ่อครูว่า…สมาบัติเขาบอกว่าต้องไปนั่งหลับตาสมาธิจึงจะได้วิโมกข์
สมณะฟ้าไทว่า… อุภโตภาควิมุต ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน คือ ท่านที่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายและสิ้นอาสวะแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา (หมายเอาพระอรหันต์ผู้ได้เจโตวิมุติ ขั้นอรูปสมาบัติมาก่อนที่จะได้ปัญญาวิมุตติ)
พตปฎ. ล.36 ข้อ 41
พ่อครูว่า..อุภโตภาค คือท่านสมบูรณ์ทุกอย่าง
ปัญญาวิมุติก็ถือว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว เรียกอรหันต์ได้แล้ว เพราะท่านรู้จักอาสวะและถอนอาสวะสิ้นไปได้ ถ้าสิ้นอาสวะเลย อาสวาปริกขีโณโหนติ คือ คนผู้นี้สำเร็จแล้วหมดสิ้นอาสวะแล้ว คือปัญญาวิมุติ อยู่ในบุคคล 7 ก็สูงกว่ากายสักขี
พูดไปพูดมาเขาเข้าใจว่าผู้สัมผัสภายนอก 8 ด้วยกายคือต้องไปนั่งหลับตาสมาธิ เขากว่ากายสักขีนี้สูงกว่าปัญญาวิมุติ ทั้งที่ปัญญาวิมุติเป็นผู้ที่สูงกว่ากายสักที คนนี้เป็นนักกายกรรมเปียงยางตีลังกากลับไปกลับมา เพราะไม่รู้จักความจริง ไม่รู้จักสภาวะธรรมหรือธรรมะที่เป็นโลกุตระ เป็นสัจธรรมที่สมบูรณ์
อาตมาเองก็ขอคิดว่าวันนี้จะอธิบายถึงเรื่องของ ชีวิตพวกเราชาวอโศกที่เข้าใจธรรมะที่อาตมาได้มาเปิดเผยอธิบายขยายความ
ผู้ที่สนใจใส่ใจจริง หรือ ผู้ที่มีภูมิมีบารมีถึงขั้นมาบวช เป็นนักบวชหญิงนักบวชชาย ถึงแม้ว่าจะไม่บวชก็สนใจธรรมะเป็นฆราวาสอยู่ก็ตามฐานะวิบากบารมี ก็สนใจ ก็เป็นอุบาสกอุบาสิกาเป็นพุทธบริษัท 1 เหมือนกัน ในพุทธบริษัท 4
พุทธบริษัท นับได้ว่าคือผู้ที่ก้าวเข้าสู่กระแสอย่างน้อยก็เป็นโสดาปัตติมรรค จึงเรียกว่าเป็นพุทธบริษัท ตามปรมัตถ์ ไม่ใช่แค่สมมุติง่ายๆ
คนที่ยังไม่สนใจธรรมะสักเท่าไหร่ สำหรับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธก็จะเรียกว่าเป็นพุทธศาสนิกชน บอกว่านับถือศาสนาอะไรก็จะบอกว่านับถือศาสนาพุทธ แต่ไม่เคยเกี่ยวข้องเลย ไม่เอาถ่านเรื่องศาสนาจะทำมาหากินอย่างเดียว จะไปวัดวาก็เพื่อล่าลาภยศให้พระเจ้าบันดาลอะไรให้ ส่งสิริมงคลให้ตัวเองด้วยลาภยศสรรเสริญ ทั้งที่ศาสนาพุทธมันไม่ใช่อย่างนั้น
เนื้อแท้ของศาสนาพุทธเลยจะต้องมี โภคขันธาปหายะ วางทรัพย์ศฤงคารบ้านช่องเรือนชานออกไป ซึ่งก็เลยพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะฉะนั้นพุทธศาสนิกชนจึงได้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนาแต่ชื่อ
เมื่อสูงขึ้นกว่าพุทธศาสนิกชน ก็เป็นพุทธมามกะ คือ ผู้ที่เข้าไปแสดงตัวเองว่าเป็นชาวพุทธ ไปแจ้งกับพระว่า ขอเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์บ้าง เป็นพุทธมามกะ เช่นเข้าไปเปล่งกล่าว พุทธังสะระณังคัจฉามิ ธัมมังสะระณังคัจฉามิ สังฆังสะระณังคัจฉามิ ก็แสดงว่าตัวเองขอเข้าถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ตามจาริตประเพณี
ส่วนพุทธบริษัท ก็ต่างกันกับ พุทธมามกะ พุทธศาสนิกชน
พุทธบริษัท 4 มีอุบาสก อุบาสิกา นักบวชหญิง นักบวชชาย เป็นผู้ที่มีความลึกซึ้ง
อุบาสกอุบาสิกาก็ถือศีล 8 ก็ต้องถือศีล 5 ได้ผ่านศีล 5 มาถือศีล 8 แต่นี่ส่วนใหญ่ไม่ได้ผ่านการถือศีล 5 แต่บอกว่ามาถือศีล 8 ตามจารีตประเพณี ถือศีล 5 ก็ตามรูปแบบเท่านั้น อย่าว่าแต่ศีล 8 เลย แม้มาบวชเป็นเณร หรือเป็นภิกษุณี แต่จะรู้จักการปฏิบัติศีล 5 หรือไม่ จะรู้จัก ศีล สมาธิ ปัญญา หรือไม่ อย่างคนศีล 10 สามารถบรรลุพระอรหันต์ได้เลย ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องบ้านช่องเรือนชาน เรื่องญาติ
พูดไปแล้วเหมือนกับยกย่องตัวเองหลงตัวเองดูถูกคนอื่นเขาหมด ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรสัจจะมันเป็นอย่างนั้น อาตมาว่าพูดด้วยเนื้อของสัจจะมันเป็นจริง
อาตมาพอใจยินดีตัวเองพอใจตัวเองมีฉันทะในตัวเองมีปีติในตัวเองไม่ใช่ปิติที่เป็นอุปกิเลส แต่พูดพยัญชนะ ยินดีพอใจมีฉันทะที่เอาธรรมะมาเปิดเผยได้ผล จนคนปฏิบัติตามได้เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ พระอาริยะได้เลย เป็นพุทธอาริยะ ไม่ใช่แค่พุทธมามกะ บรรลุธรรมสมควรแก่ธรรมได้จริง จนสำเร็จผลให้เกิดชุมชนพุทธ เป็นหมู่กลุ่มสังคมเป็นหมู่บ้าน เป็นสังคมกลุ่มจริงๆที่มีวัฒนธรรมมีศีล สมาธิ ปัญญา มีความเป็นอยู่ มีพฤติกรรมสังคมจากชุมชนนั้น เป็นชุมชนที่มีศีล ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่คนแก่อยู่ในชุมชนก็มีศีลทั้งนั้น อย่างน้อยศีล 5 เป็นพื้นฐาน ดูกันที่ศีล 5 เราก็ชำระกิเลสกันจริงๆไม่ใช่แค่ทำตามจารีตประเพณี มีแต่ไม่รู้เฉยๆ นั่งตบยุงอยู่ก็ยังเฉยๆ แม้แต่ศีลข้อที่ 2 ไปทุจริตเอาของที่ไม่ใช่ของของเรา หรือละเมิดเพศ อย่างในชาวอโศกหากมาละเมิดเพศก็เอาเรื่องกัน ชำระกัน ให้ปลงอาบัติหรือให้ทำอะไรได้ก็เอา อย่างที่เราปฏิบัติกันมา
เป็นหมู่ชนที่มีศีลจริงๆปฏิบัติการจริงๆได้มรรคผลจากศีล เป็นอธิจิต มีอธิปัญญา อธิวิมุติ ตามลำดับได้จริงๆ ผลจากการปฏิบัติศีล
ศีลข้อที่ 1 2 3
ศีลข้อ1 เกี่ยวข้องกับการสัมผัสเกี่ยวกับมนุษย์กับสัตว์แล้วไม่ให้เกิดกิเลส
ศีลข้อ 2 สัมผัสวัตถุเข้าของพืชพันธุ์ธัญญาหาร เราก็ไม่มีความทุจริตเอาของเขามา พืชกับสิ่งของมันไม่มีอะไรโต้ตอบกับเรา แต่สัตว์กับคนมันมีวิบากโต้ตอบเราได้ พืชกับของมันก็เรื่องทุจริตได้
ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เกี่ยวกับกาม ราคะ เป็นตัวปฏิบัติที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเป็นตัวกิเลสเลย อย่างวัตถุกับพืช ก็มีกิเลสกับวัตถุุ แต่ข้้อ3 นี้ เกี่ยวกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเลย
ไม่เข้าใจศีลทั้ง 3 ข้อเราก็ปฏิบัติกับชีวิตที่เราเกี่ยวข้องกับอะไร
เกี่ยวข้องกับสัตว์ หรือคน ก็จะเกิดกิเลสคุณก็ต้องศึกษา แน่นอน คุณต้องเกี่ยวข้องกับของ เกี่ยวข้องกับพืชพันธุ์ธัญญาหารของกินของใช้ เครื่องอุปโภคบริโภค แล้วคุณมีความทุจริตหรือไม่คุณก็ต้องเรียนรู้ หากไม่ทุจริตก็ปฏิบัติได้ลาภโดยธรรม มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนหรือสมมุติกำหนดของเราของเขาตามหลักเกณฑ์ตามกฎหมาย
ส่วนข้อ 3 ปฏิบัติธรรมะเรียนรู้ใจในใจ เมื่อสัมผัสรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเราก็อ่านกิเลสที่เกิดขึ้น แล้วเกิดกามเกิดอัตตา เป็นตัวปฏิบัติแท้
ถ้ารู้ว่าศีลปฏิบัติอย่างนี้ แล้วคุณก็ปฏิบัติตรงตามที่อาตมาอธิบายคร่าวๆคุณก็มีมรรคผลในตัวเอง ชาวอโศก อาตมาอธิบายธรรมะพวกเราเข้าใจ แม้จะไม่กระจ่างละเอียดมาก แต่ก็เอาไปปฏิบัติจนเกิดมรรคผลได้จึงเกิดสังคมชาวอโศก
สังคมชาวอโศกจึงเป็นสังคมที่มีสาราณียธรรม 6 เป็นสังคมที่มีวรรณะ 9 ได้จริง
เอาหลัก ตรวจสอบ ธรรมะพระพุทธเจ้า 8 หรือเอากถาวัตถุ 10 มาตรวจสอบก็เป็นได้จริง
คนมักน้อย ตั้งใจมาจน ไม่เอาแล้วที่จะคิดไปรวยแบบแต่ก่อน แต่ก่อนมันมีมากขึ้นก็ดีอยู่ แต่บางคนบอกว่า ไม่ได้มุ่งเพ่งจะไปรวย เรากินใช้เท่านี้มันก็มีความพอ เท่านี้ก็พอ แล้วบางคนมีเขตความพอ หากเกินกว่านี้ก็เอาไปแจกจ่ายเจือจาน บริจาคเข้ากองกลางอย่างนี้เป็นต้น พอแล้วก็เป็นผู้ที่รู้จักการขัดเกลา สัลเลขะ เป็นคนเข้าใจการปฏิบัติ ศีล อธิศีล จนเกิดเป็นคนที่มีกายกรรมวจีกรรมที่ดีที่น่าเลื่อมใส ปาสาทิกะ
จนกระทั่งกลายเป็นคนที่ไม่สะสม อปจยะ ใครอยู่ในฐานวรรณะข้อที่ 8 นี้ ไม่สะสมทรัพย์สินเงินทอง มีกินใช้กับส่วนกลาง สะพัดแบ่งแจก มาวัดตามธรรมะพระพุทธเจ้าที่อาตมาอธิบาย ไม่สะสม แต่เรายิ่งปฏิบัติธรรมยิ่งเป็นคนที่ใส่ใจในความพากเพียร ขยันหมั่นเพียรสร้างสรร แล้วมันก็จะมีผลผลิตมาก
หลักธรรมพระพุทธเจ้าวรรณะ 9 คือผู้ที่มีเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์สุดยอดสูงส่ง เป็นคน classic เป็นคนชั้นสูง วรรณะคือ class ชั้น มีวรรณะ 9
ชาวอโศก เอาวรรณะ 9 มาจับเป็นคน (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ใจมันพอจริงๆ แต่ก่อนมันไม่พอ ได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี ได้ช่องเอาได้เรื่อยๆ แต่นี่ไม่ต้องการเอา แค่นี้ก็ดีแล้ว ตรวจรายละเอียดของจิตใจเรา สันโดษ ใจพอ แล้วเราก็รู้ว่าเราเองเป็นนักปฏิบัติธรรมที่มีการขัดเกลากายวาจาใจ สัลเลขธรรม ให้กายถูกต้องตามศีล วจีถูกต้องตามศีล เราก็ทำสัลเลขธรรม จึงเจริญด้วยศีล ธูตะ ศีลเคร่ง เจริญ เป็นคนที่น่าเลื่อมใส ปาสาทิกะ มีรูปธรรมที่เป็นคนชั้นสูง คนที่มีดวงตาภูมิปัญญาสัมผัสรู้เลย ปาสาทิกะ มีอาการที่น่าเลื่อมใส
แล้วสุดท้ายอปจยะ กับวิริยารัมภะ ชาวอโศกคนที่ไม่สะสม อย่างคนที่บ้านราชฯวันๆทำงานฟรีเอาเข้ากองกลางไม่สะสมให้แก่ตัวเองเลย จะมี error บ้างแต่ไม่ได้คิดหาเงินทองเข้าตัวเลย คนที่อยู่ประจำเป็นสมาชิกแท้ในชุมชนชาวอโศกทำงานฟรี แม้ตัวเองจะมีรายได้ก็เอาเข้ากองกลาง ถึงเรียกว่าสาธารณโภคี
ขยัน วิริยารัมภะ รู้ว่าขี้เกียจก็ไม่ได้อะไรเลี่ยงไปเลี่ยงมา คนอื่นเขาทำงาน งานก็มีให้ทำ คนอื่นเขาทำงาน แต่เราไม่ได้ทำก็จะเกิดความละอาย เราเฉยดูดาย ในชาวอโศกมีงานมากมายเยอะแยะ เพราะฉะนั้นไม่ตกงานเลยมาอยู่ในชาวอโศก ได้ทำงานหากขยันหมั่นเพียรก็จะเกิดความชำนาญเป็นผู้เจริญ อยู่กับอโศกไม่มีตกต่ำ มีแต่เจริญ
วรรณะ 9 นี้สูงส่งมากเลย ผู้ใดปฏิบัติธรรมแล้วจะเกิดกำลัง 4 พ้นภัย 5
-
ปัญญาพลัง (กำลังคือ ปัญญา) . . .
-
วิริยพลัง (กำลังคือ ความเพียร ขยัน) . .
-
อนวัชชพลัง (กำลังคือ การงานที่ปราชญ์ไม่ติ) . ,
-
สังคหพลัง (กำลังคือ การสงเคราะห์ช่วยผู้อื่น)
จะเป็นนักเศรษฐกิจชั้น 1 เป็นนักเศรษฐกิจที่สะพัดออกได้เก่ง ไม่ใช่นักเศรษฐกิจที่สะพัดเข้าหาตัวเองพยายามให้คนอื่นเอามาให้แก่ตัวเองคือพวกขี้โลภ คิดเห็นแก่ได้ มันไม่มักน้อยหรอก ถ้าผู้ใดมีกำลัง4 นี่แหละคือนักเศรษฐศาสตร์ชั้น 1
เป็นผู้ที่มีกำลังปัญญา ขยันหมั่นเพียรทำงานอย่างไม่มีโทษ ไม่มีพิษภัยไม่มีผิด แล้วท่านก็ทำสะพัด ไม่สะสม ขยันทำแล้วสะพัด เราไม่สะพัดเองเอาเข้ากองกลางให้ผู้บริหารเขาไปสะพัดต่อ
สังคมหรือตัวบุคคลแต่ละบุคคล เช็คได้เลย ว่า เป็นสังคมที่บรรลุธรรม หรือเป็นมนุษย์ที่บรรลุธรรมคือ
-
ไม่มีหนี้
-
มีพลังงานความรู้ความสามารถ ทำงานคุ้มตน เลี้ยงตนรอด ไม่เป็นหนี้
คนที่ทำงานไม่คุ้มตน เลี้ยงตนไม่รอด โดยสัจจะแล้วเป็นหนี้ผู้อื่นที่ต้องหาเลี้ยง คนที่เราจำนนจะต้องหาเลี้ยง คือ เด็ก คนแก่ จะต้องดูแลไว้ในสังคม เลี่ยงไม่ได้ ต่อมาคือคนป่วย และคนพิการ และคนที่อีเดียด โมรอน ไม่พิการร่างกาย แต่พิการสมอง ไม่เต็มเต็งเลี้ยงตัวเองไม่รอด
คน 5 ประการนี้ อยู่ในสังคมที่เราจะต้องเข้าใจจะต้องเลี้ยงดู ในพระไตรปิฎกไม่มีหรอก แต่อาตมาเข้าใจ
เด็กนั้นเราจะไม่เลี้ยงได้อย่างไร คนแก่ คนแก่ของชาวอโศก จะไม่หยุดนิ่ง บางทีให้หยุดทำงานยังไม่ยอมหยุดเลย ควรจะพักแล้วแต่ไม่พักระวังเถอะเดี๋ยวกระดูกจะร่วงลงไป ทำเป็นอวดดี เขาให้พักก็พักบ้างเถอะ หากว่าอายุมันควรจะต้องพักผ่อน แต่มันก็แข็งแรงนะ แต่พวกเราก็พอทำได้
คนพิการนั้นยกไว้ หรือคนที่ไม่เต็มเต็ง เด็กคนแก่ คนพิการ คนป่วย ก็ต้องยกไว้ในสังคม
ผู้ที่เข้าใจแล้วจะต้องทำมาหากินเผื่อไว้ให้คน 5 ชนิดนี้ เพราะว่าต้องเลี้ยงดูเขา เขามีข้อจำกัดของเขา เพราะฉะนั้นถ้าคนมีปัญญารู้ คนขี้เกียจกับคนขี้โกงไม่ต้องไปเลี้ยงมันหรอกดีไม่ดีจะต้องปราบไม่ให้ขี้เกียจไม่ให้ขี้โกงมันเป็นบาปต่อตัวเป็นพิษภัยต่อสังคม ไม่ดี 2 จำพวกนี้
อาตมาทำงานกับสังคม ทำได้ตามที่อาตมามี มีแผนที่พาพวกเราให้เจริญเป็นพระอาริยบุคคล ซึ่งเป็นของพระพุทธเจ้า เป็นแบบที่ให้เรียนรู้กาย วาจา ใจให้ลดละกิเลส
คนที่เรียนรู้พฤติกรรมตัวเอง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม แล้วก็รู้จักกิเลสตัวเอง ทำลายกิเลสตนเองได้ คนเหล่านั้นเป็นสมาชิกของมนุษย์บุญนิยม
รู้จัก กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม และรู้จักกิเลสตัวเองแล้วก็จัดการกิเลสตัวเองได้ คนเหล่านั้นคือสมาชิกของพวกบุญนิยม ซึ่งรู้จักการชำระกิเลส
ซึ่งคำว่าบุญนี้หากไม่มีอาตมาอุบัติ จะเข้าใจผิดเพี้ยนว่าบุญคือกุศล ซึ่งออกนอกทิศทางนอกสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า ศาสนาพุทธจึงไม่มีมรรคผลเพราะไปเข้าใจคำว่าบุญคือกุศล
กุศลเป็นความดีงามที่สร้างภพชาติ แต่เป็นภพดี อกุศลก็ภพไม่ดี กุศลมีภพชาติ แต่บุญไมมีภพชาติ
คนที่ปฏิบัติแค่ปฏิบัติการทำทานก็ไม่รู้การทำใจในใจให้สัมมาทิฏฐิ เพราะฉะนั้นจึงเป็น นัตถิ ทินนัง ปฏิบัติการทานคุณก็ไม่มีมรรคผล ไม่มีอานิสงส์
นอกจากไม่มีบุญแล้ว ทานไปกิเลสก็หนาขึ้น เป็นพระเป็นเจ้าสอนให้เวลาทำทานให้ทำใจให้จะได้สวรรค์ รวยลาภกิเลสก็โตด้วยโลกธรรม ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่ก็ตามแต่อธิษฐานเอาสร้างวิมานเอา เอาๆ พระพุทธเจ้าสอนให้เอาออกเอาออก แต่พวกนี้สอนเอาๆ พวกนี้ต้องจับไปขึ้นศาลในข้อหากบฏต่อธรรมะพระพุทธเจ้า ต้องจับเข้าคุกให้หมด
สอนทานให้คิดให้สร้างภพชาติ ก็เป็นผู้ทำลายศาสนา พระพุทธเจ้าสอนการทำทานให้ล้างกิเลส แต่เขาสอนการทานให้เพิ่มกิเลส แล้วมันจะทำให้ศาสนาดีขึ้นได้อย่างไรศาสนาก็ต้องเสื่อมลง ไม่ได้ไปว่าใครนะ ใครรู้ตัวดีก็ฟังด้วยดีสุสูสังลภเตปัญญัง จะได้ไปเปลี่ยนแปลงตัวเอง แม้บางคนเป็นเจ้าสำนักสอนอยู่ อย่างธัมมชโยไม่รู้ว่าจะสร้างบาปกันไปเท่าไหร่
สมณะฟ้าไท…พ่อครูสอนให้เราเอาออกจนหมดตัว แต่ที่อื่นสอนให้หมดตัวเหมือนกันอย่างธัมมชโย อย่างธัมมชโยกับอนันต์ อัศวโภคินบอกว่าให้ปิดบัญชีทางโลกเปิดบัญชีทางธรรม
พูดไปแล้วอาตมาก็อดไม่ได้ที่จะ ชมพวกคุณๆ ก็เหมือนกับชมตัวเอง ชมก็คือ พวกเราฟังธรรมะพระพุทธเจ้าเข้าใจ แล้วก็เอาชีวิต แต่ก่อนชีวิตมุ่งหน้าไปล่าสรรเสริญโลกียสุข เป็นโลกีย์ 100% แต่เมื่อเข้าใจแล้วก็มาลดลง จนกระทั่งเป็น อนาคาริกชน คนที่มาอยู่ในชุมชนชาวอโศกเป็นอนาคาริกชน ไม่ได้ทำมาหากินไม่ได้สะสมเงินทอง แต่ทำมาหากินเอาเข้ากองกลาง อยู่กับส่วนกลางส่วนรวม ส่วนตนไม่ต้อง
สังคมที่อาตมาทำได้ถึงสาธารณโภคี นักเศรษฐศาสตร์การเมืองที่บริหารบ้านเมืองอยู่ หรือแม้แต่นักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์ ก็น่าจะสะดุดใจ น่าจะเข้ามาทำวิจัยศึกษาว่า นี่เป็นเรื่องของเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ คนพวกนี้มีเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจแบบนี้
(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
พ่อครูว่า..พวกเราปฏิบัติธรรมจนกระทั่งเปลี่ยนชีวิตมาเป็นอย่างนี้ได้ อาตมาภาคภูมิใจ ซึ่งอาตมาก็พูดไปขยายความไป รับรองความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษยชาติในประชาชนคนไทย ก็ตั้งแต่ในหลวง ร.9 ที่ท่านทรงพระจริยวัตรต่างๆให้เป็นตัวอย่าง แต่ท่านอยู่ในฐานะพระเจ้าแผ่นดิน จึงอ่านรู้ยากว่า ท่านมาเป็นคนจน ท่านไม่ได้ใฝ่รวยเลย แต่คนก็หาว่าท่านมีบ่อน้ำมัน ทำกิจการต่างๆ พวกนี้บาป เที่ยวไปหาเรื่องใส่ร้ายจาบจ้วงท่านต่างๆนานา
อาตมาไม่ได้มาประจบประแจงหรือโหนในหลวง แต่เป็นของจริงที่จะต้องยกตัวอย่างและทุกคนก็รู้ดี เข้าใจดีถึงพระจริยวัตรของท่าน มันก็ง่าย สังเกตได้อ่านได้ ท่านเป็นผู้ที่เป็นในหลวง 70 ปี เป็นผู้ที่ครองราชย์นานที่สุดในโลก ยังไม่มีใครทำลายสถิตินี้ มีพระราชินีอังกฤษควีนอลิซาเบธ ท่านอายุมากกว่าในโลก แต่ครองราชไม่นานเท่า ครองราชย์: 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 – ปัจจุบัน; (67 ปี) พาดพิงถึงพระเจ้าแผ่นดินก็เพื่อให้เกิดความชัดเจนให้เข้าใจ
คนเราจะเป็นคนจนก็ตาม จะเป็นคนรวยก็ตาม คนมีฐานะหรือไม่มีฐานะ มียศศักดิ์หรือไม่มียศศักดิ์ก็ตาม ชีวิต ถ้ามีสัมมาทิฏฐิแล้ว ปฏิบัติธรรมะก็จะมีภูมิธรรมสูงขึ้นได้ เป็นพระอาริยะบุคคล จริงๆแล้วท่านไม่ใช่พระอาริยะธรรมดาท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นอจินไตยที่อธิบายได้ยาก จะไปวิจัยวิจารณ์ท่านก็ไม่ค่อยดีนัก ตามจารีตประเพณี
อาตมาเห็นว่า เมื่อเกิดมามีชีวิตแล้วถ้าคุณรู้ตัว อะไรก็ตาม ไม่ดีไปกว่าธรรมะ ถ้ายิ่งคุณทิ้งธรรมะหลงผิดไปเลย ยิ่งนรกหมกไหม้ไปหนักหน้าเลย เข้าใจไหมตรงนี้ มันน่าสงสารคนที่ไม่ใส่ใจในธรรมะ
ก็น่าเห็นใจที่ทำหน้าที่น่าสนใจก็ไม่ค่อยมี แต่ตอนนี้มันมีแล้วนะ โพธิรักษ์มาประกาศเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจกันเพราะว่ามีวิบากของประเทศ เถรสมาคม มาลบหลู่อาตมาไว้ เขาก็ต้องเชื่อถือเถรสมาคม พากันไม่เจริญ ไม่ขึ้นจากนรก นี่มันเป็นลักษณะอย่างนี้ ผู้ที่ไม่รู้ตัวก็ทำสิ่งที่ไม่ดีโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว น่าสงสาร
อาตมาเองมาทำงานชาตินี้ มีวิบาก เป็นคนอาภัพ แต่ไม่ได้ท้อแท้เลยขอยืนยัน แต่หนักจริงๆ เหนื่อยหนักลำบาก มันก็ต้องลำบากเพราะว่ามาเป็นผู้ที่เข้ามาทำงานนี้ก็ต้องรับผิดชอบ รับตั้งใจอธิษฐานมาจริงๆ ก็ต้องทำ ที่จริงก็ทำมาแล้ว อาตมาบอกแล้วอาตมายินดี ปีติ พอใจนะ ที่ทำให้เกิดมรรคผลจริง ทำให้คนมีสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติสัมมาปฏิเวชพอสมควร ได้สมควรแก่ธรรมขนาดนี้ แล้วก็ได้ปลูกฝัง หยั่งลงซึ่งโลกุตรธรรมเป็นหลักเป็นฐานเป็นชุมชนเป็นสังคมธรรมะ เป็นสังคมโลกุตระ เป็นสังคมมีวรรณะ 9 สาราณียธรรม 6
เอาหลักฐานพระพุทธเจ้ามายืนยันคนไม่เข้าใจ อ้างไปเขาก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรนะวรรณะ 9 แต่ผู้รู้ได้ก็มี ซึ่งเป็นเรื่องสังคมมนุษยชาติ อย่าง คุณรสนา โตสิตระกูล เขารู้เรื่องสาธารณโภคี เข้าใจขึ้น อยู่ในข้อที่ 4 ของสาราณียธรรม ผู้ได้ลาภโดยธรรมเอาเข้ากองกลาง อย่างชาวอโศกมีรูปธรรมจริงพฤติกรรมจริง ทำเพราะว่ามีปัญญาทำเพราะว่าเข้าใจทำ เพราะว่าเห็นดีเห็นงาม พวกคุณมาทำนี้ไม่ได้บังคับพวกคุณ เมื่อคุณสมัครใจเอง ด้วยอิสระเสรีภาพก็มา แล้วก็เป็นระบบ เป็นมวลกลุ่มคนสังคม ที่เป็นกลุ่มที่มีเศรษฐกิจ อาตมาเห็นใจคนอื่นที่ฟังแล้วจะอ้วกแตกตาย มันยกตัวเอง แต่ไม่ให้ยกสิ่งที่ถูก จะไปยกอะไร
ยุคนี้ทำเศรษฐกิจมหัศจรรย์ถึงขั้นสาธารณโภคีได้ แหม! น่าจะประชุม Summit เศรษฐกิจสาธารณโภคี สักที
สู่แดนธรรมว่า…พ่อท่านเคยเขียนไว้
พ่อครูว่า..คนจะต้องหันมาเอากับระบบ บุญนิยม เพราะอะไร อาตมาเอาคำนี้มาตรงกันข้ามกับทุนนิยม
-
คนทุกข์มากขึ้น สาหัสมากขึ้น เอารัดเอาเปรียบกันมากขึ้น มีวิธีการเอาเปรียบกันมากขึ้น ไม่รู้สึกอบอุ่น ไร้ความไว้วางใจ หวาดระแวงกันมากขึ้น ทำร้ายกันรุนแรงยิ่งขึ้น ทุจริตหยาบคายยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่าง… อย่างอเมริกา ซับซ้อน หยาบคายอย่างให้คนอื่นเข้าใจว่าตนเองเป็นผู้ให้ประโยชน์คุ้มครองผู้อื่น แต่แท้จริงเป็นเล่ห์เหลี่ยมที่กวาดเอาของโลกมา
-
ทรัพยากรของโลกร่อยหรอลง ขาดแคลน ไม่พอกันจริงๆ
-
ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว
-
มีตัวอย่างของสังคมที่ไปรอดในทิศทางนี้ ให้ดูเป็นการยืนยัน ได้แล้วจริงๆ คือชาวอโศก เป็นพวกที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจตก
-
ระบบบุญนิยมเป็นระบบที่ยั่งยืนจริง พิสูจน์ได้ด้วยกาละ จนคนต้องเชื่อในที่สุด
-
กิเลสคนแรงมากขึ้น
-
บุญนิยมดีจริงเป็นจริงได้