621117_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก มีปัญญาจน 7 ประการ จะไม่จนปัญญา
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/13G6p1XKNHNAitFAdk_IAgmmxqF5wEfxdNsZQxbEP7Yc/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1dCX_ozGeeOmwFHIAhvRG8u1YflP7okPC
สมณะเพาะพุทธว่า… วันนี้วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน 2562 ที่บวรสันติอโศก รายการวิถีอาริยธรรมวันนี้จัดช่วงเช้า เป็นตามเหตุปัจจัยของสันติอโศก
เมื่อวานนี้ได้ร่วมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ มีคลิปของพ่อครูมาเปิด ได้ประทับใจคำความที่ว่า “ยึดอัตตาโง่ที่สุด” ซึ่งวันนี้พ่อท่านจะเทศน์เรื่องความจน และเรื่องปัญญา
ปัญญาจน ไม่ใช่จนปัญญา ผู้จะเข้าถึงความจนที่สัมบูรณ์ต้องใช้ปัญญา ซึ่งปัญญาที่ทุกวันนี้คนทั่วไปใช้ ไม่ได้เป็นความหมายของปัญญาอย่างที่พ่อท่านหมายแต่อย่างใด
พ่อครูว่า…sms
SMS วันที่ 15 พ.ย. 2562 (สำมะปี๋ซี๋วิต สันติอโศก)
_6956 คนที่เลี้ยงหมาต้องมาฟังพ่อครูเทศน์เกี่ยวกับเลี้ยงสัตว์
_อ๋อย บริงโซ…กราบนมัสการท่านสมณะค่ะ กลับถึงเดนมาร์กเรียบร้อยค่ะ และเริ่มทำงานตามปกติ
ฟังพ่อครูเทศน์เมื่อวันที่ 13 พย. ที่บ้านราชฯ เกี่ยวกับ สัมมาอาชีวะ๕ ในระดับ๓คือ เนมิตตกตา_การตลบตะแลง สอดคล้องกับ หนังสือ “คนจะมีธรรมะได้อย่างไร เล่ม๓” หากคนที่ทำงานพ้น กุหนา ลปนา และไม่ได้มอบตนในทางผิด (นิปเปสิกตา) คือทำงานในองค์กรที่มีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยสังคม แต่เวลาทำงาน ยังทำไม่จริง เช่นทำไม่เต็มร้อย ทำแล้วเกิดความภูมิใจ เสริมอัตตา ว่าตนเองยิ่งใหญ่ ทำงานช่วยมนุษยชาติ อย่างนี้เรียกว่ายังไม่พ้น เนมิตตกตาใช่ไหมคะ? พ่อครูจึงได้กล่าวในหนังสือว่า ช่วงเนมิตตกตา เป็นช่วงกลาง จึงยาวและมีหลายขั้นมาก คนที่อยากพ้น เนมิตตกตา จะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตน พัฒนา การจะพ้นเนมิตตกตาจึงไม่ง่าย และเร็วอย่างที่คิด ดิฉันเข้าใจถูกไหมคะ?…
อ๋อย บริงโซ
_อุ๋ม รอยใบไม้ กราบนมัสการค่ะ ขอให้หลวงปู่สุขภาพแข็งแรงค่ะ
เมื่อเย็นเข้าไปในชุมชน ดูบ้านราชเงียบเหงาค่ะ ไม่รู้เค้าหายไปไหนกันหมด เงียบเหมือนช่วงหลังน้ำท่วมเลยค่ะ^____^
(…มีอีกหลายคนที่แสดงความห่วงใยมา ทั้งบอกโดยตรงกับพ่อครู กับปัจฉาฯ และทางโทรศัพท์ ไลน์ และfacebook ครับ)
พ่อครูว่า…ผู้ที่จะช่วยให้อาตมาแข็งแรงได้ ที่สำคัญมาก ผู้จะช่วยให้อาตมาแข็งแรงได้คือคุณต้องทำสุขภาพของคุณเองให้แข็งแรง เมื่อคุณสุขภาพแข็งแรงคุณจะได้มาช่วยอาตมาไง มันง่ายๆไม่ได้ยากอะไร หรืออย่างน้อยคนทำให้ตัวเองสุขภาพแข็งแรงจะได้รู้ว่าทำอย่างไรถึงจะแข็งแรงจะได้มาบอกอาตมาไง เพราะฉะนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงบอกว่า ทำตัวเองก่อนแล้วจึงค่อยสอนผู้อื่นจะไม่มัวหมอง ไม่มัวหมองคือไม่เสียหายไม่เศร้าหมองไม่เปื้อนเปรอะเลอะเทอะ ไม่ผิดเลย เพราะฉะนั้นทำตัวเองให้ดีก่อน แล้วจึงสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง การทำความผิดนี้มันแย่กว่าความมัวหมองนะ อย่าไปว่าถึงผิดเลย
พ่อครูว่า..ความจนนั้นคนไม่ค่อยพูดกันได้ง่ายๆ สัญชาตญาณของคนโลกียชน จะยากมากที่จะมาเป็นคนที่ศูนย์ น้อยลง มีให้น้อยลงยากมาก แต่จะให้ไม่มีๆๆๆ เขาก็ตายสิ ไม่มีลาภก็แล้วกัน เขาต้องมีกองเยอะๆ ยศก็ต้องมีอำนาจบาตรใหญ่สูงมีสรรเสริญมากๆมีความสุข โลกียสุข ต้องมีสุขก่อน จะหยิบมาเสพได้ง่ายๆ มันก็เลยกลายเป็นเรื่องนี้ มีวัตถุมีตัวตนมีบุคคลมีการติดยึดในนามธรรม ในหยาบ กลาง ละเอียดก็ติด อย่างไรก็จนไม่ลง เขาไม่เข้าใจ
ที่จนไม่ลงเพราะมีสภาพไม่บริบูรณ์ ลงท้ายก็คือไม่มีปัญญา ก่อนจะลงท้ายก็ขึ้นต้นก่อน
เพราะว่าเขาเอง 1 เขาไม่มีตัวอย่าง ตัวอย่างคนมาจน เพราะเขาเห็นคนจนมีความทุกข์ร้อนทรมานเดือดร้อนวุ่นวาย เป็นสภาพเทวนิยม เหมือนที่มีธรรมะแบบเทวนิยมเท่านั้นเขาจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ เขาจะเป็นโลกียจะต้องมีไม่ใช่ไม่มี เขาเรียนความมีกันแล้วต้องมีกันนิรันดรด้วย สุดท้ายจะรวมกันอยู่ที่สุขนิรันดร
คำว่าสุขของพระพุทธเจ้า สุ แปลว่าดี ข แปลว่าว่าง แต่เขาไม่เข้าใจ สุข เป็นภาษาบาลีแต่เขาไม่เข้าใจรากเหง้าของความหมายของพระพุทธเจ้า บอกว่าว่างนี่แหละดี ไปมีมากๆมันไม่ดีหรอกเขาไม่เข้าใจง่ายๆหรอก
-
เขาไม่มีตัวอย่างตั้งแต่วัตถุรูป คนจะทิ้งลาภยศสรรเสริญอย่างจริงจังมันไม่มี เขาไม่เชื่อ
-
เขาไม่เชื่อนอกจากตัวอย่างแล้ว ถ้าไม่มีแล้วมันจะอยู่กันอย่างไร นี่เป็นความหมาย ไหนตัวอย่าง? ไม่มีแล้วจะอยู่อย่างไร เพราะฉะนั้นจึงต้องมีตัวอย่าง ตัวอย่างทางวัตถุรูป พฤติกรรมองค์ประกอบพร้อม มีส่วนกลางรวมกัน ส่วนตัวไม่สะสมอะไรสบายๆ เป็นอนาคาริกชน เป็นคนที่ไม่มีทรัพย์สินเงินทองบ้านช่องเรือนชานไม่ต้องไปยึดทรัพย์สินเงินทองบ้านช่องเดินทางก็ไม่มีสบายๆ จะใช้ก็ใช้กับของส่วนกลางไปเบิกส่วนกลาง ถ้าเราเป็นหมาหัวเน่าไปเบิกเขาก็ไม่ให้ ถ้าเราทำตัวให้เป็นหมาหัวเน่าเขาก็ไม่ค่อยชอบหน้า แต่ถ้าเราไม่ถึงขั้นเป็นหมาหัวเน่าเราก็เป็นคนดีก็ไม่มีปัญหาอะไร เขาก็ให้พอสมควร หากว่าไปเบิกเกินสมควร มันเกินไปเขาก็ไม่ให้ ไม่ให้เพราะอะไร เพราะว่านิสัยคุณจะเสีย ไม่ใช่เขาไม่ให้เพราะว่าหวงแหนหรอก ถ้าให้คุณไปมันไม่สมควรมันผิด อย่าไปทำผิดไปเบิกเยอะๆ ผลาญพร่าเป็นบาปเป็นหนี้ คนเบิกไปเกินกว่าที่ควรจะได้ มันก็เป็นหนี้โดยสัจจะ เราก็ต้องช่วยเหลือ
เมื่อตัวอย่างวัตถุรูปธรรมมีพฤติกรรมของคนก็ไม่ยึดเป็นของตัวของตนเอง แม่ที่สุดจิตของแต่ละบุคคลมีอีก ไม่มีตัวตนว่างศูนย์สบาย คนที่จะบริหารวัตถุส่วนกลางก็บริหารไปพฤติกรรมเราก็สร้างพฤติกรรมเราให้เป็นคนไม่สะสมไม่ต้องมีไม่ต้องกอบโกยอะไร ใจของเรามันเป็นประธาน ก็สมบูรณ์ทั้งวัตถุพฤติกรรมและจิตวิญญาณ
เห็นว่าไม่ต้องยึดถือเป็นตัวเป็นตนอะไรหรอกไม่มีอะไรดี แต่มันก็ต้องมี เป็นสัญญาว่าต้องมีเพื่อนส่วนกลางเราก็มีส่วนในตรงนั้นจะใช้เมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าหากจิตใจเรามากน้อย ไม่เปลืองเลยนั่นแหละดี สูญ ถ้ามันจะต้องใช้ตามความจำเป็นก็ต้องใช้อย่างพอดีพอเหมาะ ถึงขั้นไม่เสื่อมน้อยไว้ก่อนดี ถ้าเกินไว้คนละหน่อย เป็นพันคนมันก็เสียมาก นี่อธิบายเป็นภาษาง่ายๆ
สรุปแล้วก็เป็นสังคมคนจนไม่ต้องมีวัตถุไว้มากแต่มีคงคลัง แต่ไม่มาก ไม่กักตุน แต่ถ้ากักตุน แต่ละคนก็มีความคิดที่จะกักตุนไว้กับตัวเองให้มาก คนอื่นเขาก็ขาดแคลน เมื่อเขามีสมรรถภาพในการแย่งมาให้แก่ตัวเองไม่มาก คนก็ต้องพัฒนาความสามารถในการแย่งกันให้มากมันก็เกิดการขาดแคลนกันเยอะ คนเก่งมากๆก็คว้ามาไว้ให้แก่ตัวเองมากๆ คนที่ขาดแคลน คนไม่เก่งก็เยอะก็ทุกข์ร้อนลำบากลำบน
เพราะฉะนั้นถ้าคนที่รู้ว่าอย่าไปมีมากเลย ลดมาให้ไม่มีแล้วเอาไว้กองกลางกัน ตัวเองก็หัดใช้น้อย เปลืองน้อยไม่ต้องเปลืองเลย หลักเศรษฐศาสตร์อันนี้ พูดวนไปวนมา ทำไมมันยากชิบหาย มันยากกันจริงๆจังๆทำไมเข้าใจได้ยาก เพราะว่ากิเลสมันมีเป็นภูเขา มันบังดวงตาคน กิเลสมันเป็นภูเขาบังดวงตา กว่าจะสลายภูเขาเคลื่อนภูเขาให้ออกพ้นไปจากสายตาดวงตา โอ้โห จึงเป็นเรื่องที่ต้องเข็นครกขึ้นภูเขายังยากเลย ไปเข็นภูเขาให้ออกไปจากสายตา ไม่ใช่แค่หืดขึ้นคอแต่มะเร็งขึ้นคอเลย แต่มันไม่มีทางเลือก มันต้องสอนต้องแนะนำมาพาให้เป็น
พวกชาวอโศกเราเป็นพวกที่เป็นรูปพระพุทธเจ้า ได้เชื่อได้ DNA ของพระพุทธเจ้ามาจริงๆ ตั้งแต่ได้รับอัญญธาตุ ธาตุอื่นที่ต่างจากโลกีย์แล้ว อัญญาเป็นพหูพจน์ อัญญะเป็นเอกพจน์ เป็นพยัญชนะที่อาตมาเอามาอธิบายถึงรากเหง้าพยัญชนะ กขคฆง …ตอนนี้มีพวกเรากำลังเก็บอภิธานศัพท์ ก็จะได้เก็บเป็นเล่มขึ้นมา ของอโศกขึ้นมาโดยเฉพาะ เป็นพยัญชนะที่ถูกต้องคมชัดในความหมายเดิมนั้นคืออย่างไร ก็คงจะได้รวบรวมช่วยกันอยู่ หลายคนก็ช่วยกันมาเก็บส่วนต่างๆที่ใช้กันอยู่ในประเทศไทย แต่เขาเอาไปใช้อย่างผิดเพี้ยนไปเยอะ เราก็เลยต้องดึงให้มันผิดน้อยลง เข้ามาหาความถูกให้ตรงเป้ามากขึ้น ไม่เช่นนั้นมันก็กระจายมันก็ผิดเพี้ยนและขัดแย้งก็สับสนวุ่นวาย มาเน้นเข้าข้นเข้าแค่นเข้า พวก chaos ก็จะหายไป มันเข้าระบบระเบียบเป็นหลักเป็นฐานขึ้นไป
เรื่องคนจนถ้าเข้าใจลักษณะจริงได้แล้ว แล้วมันสร้างได้อย่างไร สร้างให้มาเป็นคนจนได้อย่างไร ในประเทศไทยที่เป็นสถานที่ แล้วในประเทศไทยมีใคร ก็มีคน เพราะฉะนั้นสร้างได้ที่คน วัตถุมันไม่รู้ความจนความรวย คนที่สะสมมากก็รวยคนที่สะสมน้อยก็จนหรือไม่สะสมก็จนต้องสร้างให้คนไม่สะสมและมีระบบวิธีกองกลาง แล้วก็มีใจที่ไม่ยึดเป็นของตัวของตน มีของกลางส่วนรวม พฤติกรรมก็ไม่แย่งกัน เอามาใช้ตามเหมาะควร ใช้ไม่หมดก็คืนเข้ากองกลางเฉลี่ยกันใช้อย่างสบาย ซึ่งเป็นหลักเศรษฐศาสตร์ที่สามัญ แต่มันลึกซึ้งมาก ที่จริงเป็นเรื่องวิสามัญ กลับไปกลับมาจากถูกเป็นผิดจากผิดเป็นถูก จนกลายเป็นผิดเต็มโลกเลย เราก็ต้องกลับมาสู่ความถูกต้องที่มันเป็นโลกุตระที่มันยากเย็นยิ่ง
จิตมันมีปัญญากับเจโต
ธาตุปัญญาปรับมาให้จิตเราลดกิเลสตัวตนน้อยลงลดลง เพราะว่าปัญญาพาให้ประพฤติ ปัญญาพาอบรมฝึกฝน เมื่อคนเป็นจริงทั้งเจโตและปัญญา เรียกอุภโตภาควิมุติ จิตก็เป็นจิตที่ 0 ไม่ยึดถือไม่สะสมได้ ปัญญาก็รู้ว่าไม่สะสมนี่แหละ ดี ชัดเจน มันเป็นปัญญาที่ไม่เฉโก
เฉโก ทางสายศรัทธาก็สอนกันว่าไม่สะสมดีแต่กดข่ม แรงกดข่มไม่ยั่งยืนไม่ใช่ฉลาดแท้ ไม่ใช่ปัญญา เมื่อหมดแรงกดข่มไว้มันก็ขึ้นมาอีก ก็จะกลับมาแย่งลาภยศสรรเสริญรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเหมือนเดิม มันไม่ได้ล้าง ไม่ได้เรียนรู้โลกธรรมที่แท้จริง ไม่ได้เรียนรู้กาม ไม่ได้เรียนรู้จิตเจตสิกที่เป็นกิเลสจริงๆ ไม่ได้เรียนรู้อกุศลจิตหรือไม่ได้เรียนรู้กลิ หรือกายกลิ เรียกว่าตัวตนของกิเลส กลิ แปลว่าเป็นโทษภัย กลิ คือ ก กับ ลิ
ก คือ สสาร ล.ลิงคือพลังงาน เอาเศษวรรคมาใช้
เศษวรรคมี ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
ล.ลิง เป็นตัวเส้าที่สามของ เศษวรรค เป็นพลังงานอรูปเล็ก พลังงานนี้เดินคู่กับก
กล คือ กลล เริ่มต้นจะมีเซลล์ แรงเคลื่อนคือ กลล คือ static ของ ISH สามเส้า ญาณปัญญายังแยกไม่ออก กลล จนกว่าจะมีการศึกษาก็แยก ลล ออกเป็นสองอัน ตัว จุดแรกของเซลล์ กลล จึงควบแน่นแกะไม่ออกจนกว่าจะศึกษา ทำ ล ให้เป็น ร
ล สามเส้า ร เหลือสองเส้า ทำสองเส้าให้เป็น 1 ก็เรียกว่ามีแรงเหนี่ยวไว้คือ อย ท่านแปลว่าแรงแม่เหล็กแรงเหนี่ยว อย ยั่วก็พัวก็พัน ใครเคยได้ฟังโคลงโลกนิติ มันก็มาดูดและมาติด
กลล ถ้าไป กร นี่ยิ่งเป็นการกระทำเลย คือผู้กระทำเลย กร
พ่อครูว่า…อาตมาได้ตั้งใจวันสองวันนี้ จะตายไม่ได้ง่ายๆ เพราะว่าสังคมประเทศชาติแย่ นายธนาธรก็ยังเอาจังเลยหนักเลย อาตมาจึงต้องหนุ่ม ขณะนี่ยังไม่หนุ่ม ต้องหนุ่มกว่าธนาธร สหัมบดีพรหมก็อาราธนาไว้ อาตมาก็รับอาราธนาว่าจะไม่ตายง่ายๆ มันจะได้พิสูจน์ว่าเราจะต้องฝืนการตายของเหตุปัจจัย ซึ่งจริงๆแล้วเหตุปัจจัยแน่นอนมาลงตัวจะได้เป็นไป หากกายสเภทาปรัมมรณาก็ต้องตาย เราจัดการรูปนาม 2 สภาวะทำให้เกิดพลังงาน ที่สร้างตัวตน
นิมนต์พ่อครูพักจิบน้ำ
พ่อครูว่า…แวะถามก่อน อาตมากับธนาธรใครหล่อกว่ากัน…
สมณะเพาะพุทธ…การจะทำให้พ่อท่านแข็งแรงบรรดาพวกเราด้วยกันต้องทำให้ตัวเองแข็งแรง จะได้มาช่วยงานพ่อท่าน
เราต้องเรียนรู้ความจนทางวัตถุพฤติกรรมและจิตวิญญาณ
ความจนคือการไม่สะสม การจะเข้าถึงความจนได้เราก็จะต้องเข้าถึงได้โดยวิธีการใดๆสูงสุดก็คือด้วยวิธีการของปัญญา ให้เกิดความสุขจากความว่าง เราเห็นว่าความไม่มีนี่เป็นความสุข ความมีนี้ไม่เที่ยงส่วนความไม่มีนี้เที่ยง ว่างนั่นแหละดี ไม่มีนั่นแหละเที่ยง
พ่อครูว่า..ในเรื่องของความจนนี้อาตมาเห็นแล้วว่ามันยากเย็นแสนเข็ญจริงๆ ก็เลยต้องตายไม่ลง จะตายแล้วก็กลับมาเกิดเร็วก็ตาม กว่าจะโต กว่าจะมาบรรยายธรรมะ จะบรรยายธรรมมาตั้งแต่อายุ 7 ขวบคนเขาไม่ฟังหรอก อย่างโมสาร์ทอายุ 7 ขวบเขาเล่นดนตรี คนที่ฟังรู้เรื่องเขาก็ฟังได้ แต่ว่าเด็ก 7 ขวบอธิบายคำว่า โลกุตระ มันจะฟังกันรู้เรื่องเหรอ เขาจะเชื่อหรือว่าเด็ก 7 ขวบมาอธิบายโลกุตระ มันไม่ได้ ก็ยังเห็นว่ามันไม่ได้หรอก ยังไงก็ทู่ซี้ไปก่อนไม่ยอมตาย และสองเราทู่ซี่โดยไม่ใช่ไม่มีเหตุปัจจัย แต่ต้องอย่างถูกธรรมและมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่อย่างนั้นตายก่อนแน่ ก็เท่ากับที่สุดทำ คำว่าทู่ซี้ก็เป็นภาษาเท่านั้น เราต้องทำให้ลงตัวกับธรรมะว่าจะต้องต่ออายุได้
อาตมาก็เลยว่า(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเพาะพุทธ..การจะเข้าถึงความจนต้องใช้ธาตุปัญญา และไปถึงอุภโตภาควิมุติ พ่อท่านเคยบอกไว้ว่า คนเราตายแล้วนี่เหลือแต่ร่างไม่มีกาย
พ่อครูว่า…ถูกซ้อนอีก เมื่อไหร่เป็นกายเมื่อไหร่ไม่เป็นกายอีก พระพุทธเจ้าให้อุปัชฌาย์ทุกองค์สอนให้ลูกศิษย์ที่บวชว่าให้แยกกายแยกจิต เมื่อไหร่เป็นกายเมื่อไหร่ไม่ใช่กาย
กายนั้น เริ่มจาก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่เป็นวัตถุภายนอก
หนังก็แนบชิดไปแยกไม่ง่ายเลย ถ้าเอามาที่ผมก็ยาวไป ก็ยาก ผิวหนังก็ยาก ฟันก็มีน้อยไม่มากเลย ก็เลยสู้เล็บไม่ได้ อย่างอื่นอธิบายได้ยาก เล็บอธิบายได้ง่ายกว่า ว่า เมื่อไหร่มันเป็นกาย เมื่อไหร่มันไม่เป็นกาย เล็บอยู่ในตัวเราหากมันยาวออกมาพ้นประสาท แต่มันยังมีชีวะ มีอาหารมาเลี้ยงให้ยาวไปได้เรื่อยๆ เหมือนพีชะ มันไม่รู้สึกไม่มีบาปไม่มีบุญ แต่มันเป็นชีว ถือว่าไม่ใช่กายแล้วเพราะว่า ไม่มีบาปไม่มีบุญ ไม่มีปวดไม่มีเจ็บ ไม่มีความรู้สึกไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณเหมือนกับพืช
เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ได้ศึกษาเล็บมันไม่ได้ถูกตัดออกไปมันอยู่ที่ร่างของเรา มันจะไม่เป็นกายของเราได้อย่างไร เขาจะเข้าใจผิดว่าไม่ใช่กาย เล็บยังไม่ได้ตัดออกไป คำว่ากายนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้ขาดจากร่างของคุณ อย่างผมก็ตามขน เล็บ ฟัน หนัง ส่วนที่มันหลุดออกจากประสาทแล้วไม่มีกายแล้วไม่มีความรู้สึกไม่มีเวทนาแล้ว มันไม่มีวิญญาณแล้ว เป็นชีวะ
หากยังไม่ขาดจากร่างของเรา ส่วนนั้นก็มีส่วนไม่ใช่กายที่ตัดออกไปได้ แต่อย่าไปหลงผิด เพราะว่าไม่ใช่กายเรา อย่างผู้หญิงบางคนไว้เล็บไปตัดของเขา เขาก็โกรธตายเลย อันนี้เป็นของหวงของเขา
การไม่ใช่กาย คือ ไม่มีความรู้สึกไม่มีเวทนา แม้ว่ามันจะเป็นพืชเป็นชีวะ เราจะแยกความรู้สึก เป็นพีชะมันจะรู้สึกอย่างไร เป็นจิตนิยามที่มีความรู้สึกเจ็บปวดมีความรักความชังมันคืออย่างไร ก็จะต้องเกิดความเฉลียวฉลาดระดับปัญญาให้รู้ได้ว่า นัยข้อความต่างระหว่างการยึดถือเป็นกายกับยึดถือสิ่งที่ไม่ใช่กายว่าเป็นกาย เราก็จะรู้ว่าการทำกับสิ่งที่ไม่เจ็บปวดไม่สุขไม่ทุกข์ แม้ว่าจะเป็นชีวะอย่างพืชคุณก็จะไม่มีบาป กินพืชนี้ไม่มีบาปไม่มีบุญ เขาก็จะไปเข้าใจว่ามันก็เป็นชีวิตเดียวก็เป็นบาป นั่นคือคนมิจฉาทิฐิ ก็แยกไม่ได้ ก็กินดินก็แล้วกัน กินพืชก็ไม่ได้ เขาก็แย้งว่ามันเป็นชีวะ ก็ต้องมีบาป บุญ
พลังงานประกอบเป็นพืชพลังงานที่ประกอบเป็นกิริยามันคืออย่างไร
ตัวฉลาดตัวปัญญาจะต้องรู้อาศัยธาตุที่ไม่สุขไม่ทุกข์ ไปเป็นชีวะ พระอรหันต์จะต้องรู้อาการนี้ของจิต ถ้าคนไม่รู้อาการนี้ของจิต อาการที่ไม่ทุกข์ไม่สุขมันเป็นสัจจะนะ มันเป็นอาการที่ไม่สุขไม่สุขจริง จิตของคนต้องเป็นอย่างพืช คุณต้องทำพลังงานจิตของคุณให้เป็นพีชะได้จริง หากคุณไม่เข้าใจไม่รู้เรื่องจะทำมันก็ไม่ได้หรอก จะทำใจในใจมนสิการได้อย่างไร ต้องทำมนสิการทำใจของคุณให้เป็นพีชะเพื่อให้ได้ ถ้าคุณทำใจของคุณให้เป็นอย่างพูดไม่ได้คุณก็เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ฟังชัดเจนไหมว่าความเป็นพระอรหันต์อยู่ตรงไหน
พืชมันไม่ทำชั่วมันไม่ไปเบียดเบียนใคร มันไปตามประสาของมัน มันจะดันบางอย่างไปได้พอสมควรมันก็ทำ มันไม่สู้หรอกมันก็แพ้ถ้าดันไม่ได้ รากจะดันมาก ยอดนี้ไม่ดันเท่าไหร่
พลังงานลักษณะของพืชจึงเป็นพลังงานที่ปลอดภัย ถ้าหากจิตใจของเราไม่เบียดเบียนใคร มีแต่ดูแลตัวเอง ทำให้ตัวเองมีชีวะ แข็งแรงเต็มที่ จึงสามารถรู้และทำได้ ทำให้จิตของเราเป็นจิตที่เป็นอย่างพืชได้มันก็ไม่ทุกข์ไม่สุขไม่เบียดเบียนใคร สร้างสรรตัวเองให้อยู่ดีให้อยู่สุขภาพดีสมบูรณ์แบบพอแล้ว เมื่อไม่ทำร้ายใครก็ไม่มีเวรภัย
ต้องมีปัญญาทำจิตให้เป็นพีชะ หากทำไม่ได้ก็แค่ปากเปล่า ต้องไม่สุขไม่ทุกข์ได้จริง คุณลองดูว่า ในโลกที่เขาปรุงแต่งกันอยู่ ยึดถือกันอยู่ในความสุขทุกข์จะต้องแย่งชิงนั่นคือเขาไม่เป็นพระอรหันต์ แต่ก่อนเราก็เคย หรือไม่เคยก็ตาม คุณก็ดูเขาสิ เช่นยกตัวอย่าง
อาตมาไม่เคยปฏิพัทธ์ในลิปสติกเลย ไม่เคยชื่นชอบกับลิปสติกเลย ค่อยเอามาทา มันก็แค่เหนอะหนะ ผู้ชายจะไม่ติดเลย แต่ผู้หญิงบางคนหรือคนบางคนแต่ก่อนเคยติดยึด แต่ตอนนี้ไม่ติดแล้ว คุณก็จะรู้คุณก็จะชัดเจนของตัวเองว่าเราไม่ติดแล้ว มันว่างกลางๆไม่สุขไม่ทุกข์ นอกจากไม่สุขไม่ทุกข์แล้วถ้าจะบริสุทธิ์จริงๆคุณก็ไม่ไปรังเกียจผู้อื่นด้วย แต่หากจะให้เขาไม่ติดไม่สุขไม่ทุกข์เหมือนกับเราทำได้ก็ดีแต่ก็ต้องมีศิลปะวิธีในการพูด หากว่าพูดแล้วเขาไม่รับฟังก็ช่วยเขาไม่ได้ จะช่วยเขาได้ก็ต้องอธิบายให้ดีหน่อย
ถ้าคุณไม่ติดไม่ยึดแล้วคุณก็เห็นจิตของคุณว่าง มันก็มีอยู่ในโลก คุณก็ห้ามเขาไม่ได้หรอกคนเขาก็ทาลิปสติกอย่างโน้นอย่างนี้ คนที่โง่มากแท่งเท่านี้ขายได้เป็นพันเป็นหมื่น จะให้เป็นสีอะไรก็ตามที่ชอบที่ติดยึด ทั้งของเราเองและจะเป็นทาสของคนอื่นที่เขาคนอื่นบอกว่าสวยเราก็ต้องตามเขา ถ้าเราไม่ตามเขามีอัตตาตัวเองก็ลองทาลิปสติกสีดำเลย แต่ไม่ค่อยคิดเท่าไหร่ลิปสติกสีดำ มีสีเขียวก็มี แต่เขามักชอบไปทางสีแดงๆ ไม่ใช่ทางมืดๆดำๆ เขียวๆมันขี้เหร่ก็ว่าไป
สรุปแล้วเรื่องการยึดมั่นถือมั่นเราไปยึดถือตามเขา ว่าเราไม่ยึดไม่ถือ มีก็อาศัย อาศัยพอสมควรที่ไม่อาศัยแล้วได้เลย คุณก็ต้องเบา คุณมีเครื่องอาศัยน้อยก็สบายไม่ต้องสะสมไม่ต้องมีการแสวงหาเยอะว่างเบา
เข้าสู่ปัญญาดีกว่า..อาตมาตั้งใจชัดเจนแล้ว จะเอาหนังสือแบบคนจนมาเริ่มตั้งแต่หน้า 1 อธิบายต่อไปเรื่อยๆ ฉบับแก้แล้วไขอีกนั่นแหละที่พิมพ์ไปแล้ว เล่ม 2 ยังมีอีกยังไม่จบ
ปัญญาสูตร
[92] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ 8 ประการ ปัจจัย 8 ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงามไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว 8 ประการเป็นไฉน
1.ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรักและความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๑ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว
พ่อครูว่า…ครูในที่นี้คือสัตบุรุษ เช่นสยังอภิญญา ผู้มีภูมิของตนเองมาแต่ชาติก่อน ชาตินี้อย่างอาตมามีภูมิแล้ว ได้ข้ามชาติมา ในชาตินี้ก็ไม่ได้ไปรับจากใคร แต่ไม่ได้เป็นสยัมภูอย่างพระพุทธเจ้านะ อาตมาเจียมตัวเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7
บุรุษคือคน แล้วมี สต คำว่า สต คือ 7 อธิบายขยายไปอีก 7 คือพลังงาน หากเป็นรูปธรรมพยัญชนะชัดๆคือโพธิสัตว์ระดับ 7
เลข 7 เป็นเริ่มเส้าที่ 3 พลังงาน ISH คือเส้าหนึ่ง I คือฉัน S สูตรพลังงานลักษณะผู้หญิง H เป็นพลังงานลักษณะผู้ชาย
7 เริ่มเส้าที่ 3 แม้มีหน่วยเดียว แต่ควบคุมพลังงานอีกสองเส้าได้ หากเพิ่มเป็น 8 เป็น 9 จะเป็นสามเส้าที่ครบ ซ้อนไปเรื่อยๆ หากเป็น 10 ก็เป็นตัวแทน พระอรหันต์ก็เป็นสิบเป็นตัวศูนย์ที่จบ ถ้าไม่จบคุณก็เป็น 11(เรียกสิบหนึ่งไม่ให้ออกเสียงใกล้กับสิบเจ็ด) ก็อีก 1 ขึ้นมาเป็น 7 ซึ่งเป็นพลังงานที่แข็งแรง
จาก 3 ก็คือพลังงานสามเส้าวงวน หากพลังงานนี้ไม่ลดไม่เพิ่มจะอยู่ไปนิรันดร หากว่ามันมีตัวต้าน resistant ก็จะชรตาเสื่อมลง แต่ถ้ามีแรงเพิ่มทศนิยมเพิ่มจะอยู่ไปอีกนาน
ยิ่งพลังงานที่เป็น 4 ก็ยังไม่มีแรงพอยังไม่แน่ใจ ถ้าเป็นพลังงานระดับ 5 จะเป็น +2 ก็จะยังไม่ค่อยมั่นใจ มันต้องเป็น 6 ถ้าเป็น 6 แล้วจะกลายเป็น สองเส้า ระดับ คูณ เขาถึงเรียกพลังงาน ระดับคูณว่าเป็น coefficient ถ้าผู้ใดทำ 6 ให้เป็น 7 ได้ก็มีแรงดันมหาศาลที่จะควบคุม 6 นี้ ให้ไปเป็น 8 เป็น 9 ขึ้นไปอีกเส้าหนึ่งได้ไว จึงเป็นอัตราการก้าวหน้าขั้นสัมประสิทธิ์ coefficient พอเข้าใจนะอาตมาพยายามอธิบายเป็นภาษาไทยเป็นเชิงคณิตศาสตร์ พลังงานที่มันทดขึ้นมาเป็นลักษณะอย่างไร
พลังงาน 6 เป็นสองเส้า ยิ่งพลังงาน 7 เกินจากสองเส้า 6 ยิ่ง 8 ก็เก่งใหญ่ 9 ครบยกกำลัง เป็น 3 ยกกำลัง 2 คือเอา 3×3 เป็น 9 แต่ถ้า 3+3 ก็ได้แค่ 6
สูตรของอาตมา E=C(mc2 + A)
หากว่าใครเขาเอาไปใช้ในทางวัตถุได้อาตมาจะดัง แต่อาตมาไม่ได้อยากดังเร็ว แต่กลัวเหมือนไอน์สไตน์ เอาไปใช้ทางวัตถุได้เป็นระเบิดถล่มเมือง ไอน์สไตน์ก็เลยรู้สึกละอายใจ guilty ไอน์สไตน์ตั้งใจให้เป็นพลังงานเพื่อสันติและเอาไปใช้ทางทำลาย ปหายยะ คือฉิบหายวายป่วง วินาศนะ เอาไปฆ่าคน
อย่าเอาพลังงานนี้ไปใช้ทำลายแต่เราบังคับคนเขาไม่ได้ โดนัลด์ ทรัมป์ ออกไปก็ตายสิ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเพาะพุทธ…พ่อท่านอธิบายพลังงานระดับคูณ
1.ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรักและความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 1 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว
พ่อครูว่า…ครูคือผู้ที่จะสอนสัมมาทิฎฐิแล้วเอาไปทำเป็นสัมมาปฏิบัติบรรลุถึงสัมมาปฏิเวชได้จริงๆ ไม่ได้หมายถึงว่าผู้ที่อธิบายไม่ได้หรืออธิบายอย่างไม่สัมมาทิฏฐิ มันจะต้องเป็นสัมมา ผู้ที่จะเป็นครู คำว่าครูนี้ จึงต้องขยายความให้ชัดเจน เพราะว่าครูเดี๋ยวนี้มันมีเยอะแยะ ซึ่งคนเหล่านี้เป็นพวกที่หาเงินหลอกซ่อนแฝงเยอะ
ต้องเป็นคนที่มีคุณอันสมควรก่อนแล้วไปสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง สรุปว่าต้องเป็นคนที่มีคุณธรรมก่อน ไม่ต้องอาศัยผู้นั้น ย้ำอีกว่า คุณจะต้องได้ฟังก็ดีได้รับจากคำสอนจากปากครูรู้จักพระโอษฐ์ของพระศาสดา คุณจะคิดเอาเองรู้เอาเองไม่ได้ อันนี้เป็นหลัก ศาสนาพุทธนั้นคำสอนจะได้จากศาสดา ศาสนาถือว่าเป็นธรรมะสามีเป็นผู้ที่เป็นเจ้าของธรรมะ สามีคือผู้ที่เป็นเจ้าของ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์คือธรรมะสามี ท่านตรัสรู้เอง และการตรัสรู้เองนั้น
ปัจจัตตัง แล้วมาเป็นปัจเจก แล้วมาเป็นสยังอภิญญา
ปัจจัตตัง คือรู้ได้เป็นของตัวเองเป็นเอง สะสมมาจนได้ระดับหนึ่งก็เป็นปัจเจก
สู่แดนธรรมว่า..การรู้เองนั้นต้องตรงกับพระศาสดาตรงกับผู้สอนด้วยไม่ใช่รู้อันอื่น
พ่อครูว่า…จากปัจจัตตังก็มาเป็นปัจเจก
ปัจจัตตังคือสว่างในตัวเองมีปัญญา แล้วก็เริ่มเป็นตัวผู้หนึ่ง เป็นปัจเจก เป็นของตัวเองเป็นหนึ่ง จากปัจเจกเต็มที่เรียกว่าเป็น สยังอภิญญา ข้ามชาติมาได้เอง แต่ว่าในยุคที่ไม่มีใครก็ยังมี สัมมาทิฏฐิมาทำให้สัมมาปฏิบัติสัมมาปฏิเวธได้
เลยสยังอภิญญา ก็เป็นขั้นของสัมมาสัมพุทธะ จนเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะถึงขั้นเท่ากัน เท่าพระพุทธเจ้าเลยมีพระสัพพัญญูเท่ากับพระพุทธเจ้า แต่ที่ต้องเรียกปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ เพราะว่าท่านองค์นี้ไม่ประกาศศาสนาขึ้นมาเลยในโลกว่าข้าพเจ้าเป็นเจ้าของศาสนาพุทธ ไม่ได้ประกาศต่อหน้าธารกำนัลไม่ได้ประกาศต่อหน้ามนุษย์โลก แล้วท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป โดยไม่ได้สร้างศาสนาเลยในโลก ตัวเองแม้จะประกาศแค่วันเดียวก็ไม่ได้ประกาศ ถึงไม่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของศาสนาจึงไม่ได้ชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในโลก แต่ท่านมีสัพพัญญูเท่ากับพระพุทธเจ้าได้ นี่คือรายละเอียดที่อาตมาพยายามให้ความรู้ (สู่แดนธรรมว่า เราก็ไม่ได้รู้จักชื่อท่านไม่รู้จักตัวตนของท่าน)
แต่ท่านเป็นสัพพัญญูองค์หนึ่งเป็นสยัมภูองค์หนึ่งแล้วท่านก็มีอิสระเสรีภาพที่จะปรินิพพานเป็นปริโยสานไปได้ ไม่มีใครมายุ่งกับท่าน
มีคนเข้าใจผิดว่าปัจเจกสัมมาสัมพุทธะนั้นสอนคนไม่ได้ ซึ่งแท้จริงก็สอนได้ พระโสดาบันก็ยังสอนคนได้เลยต่ำกว่าพระโสดาบันก็ยังสอนกันเลย สอนผิดสอนถูกกันเละเทะ ไม่เป็นพระโสดาบันก็ต้องระมัดระวัง สอนให้ถูกไม่อย่างนั้นบาปกินหัว ขนาดนั้นถ้าโสดาบันก็ยังสอนพลาดได้ยังมีวิบากได้ สกิทาคามีก็รู้กว่าคุณธรรมเพิ่มมากกว่า
มีคนบอกว่า พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังเคยเป็นครูของพระโพธิสัตว์หลายองค์
ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะนี้เลยกว่าโพธิสัตว์ระดับ 8 ขึ้นไป
สยังอภิญญาเป็นนิยตโพธิสัตว์แล้วค่อยเป็นระดับ 8 มหาโพธิสัตว์ แล้วเลยไปเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ ผู้ที่เข้าชั้นเรียนชั้นนี้ พวกคุณไม่ใช่นิสิตระดับนี้ก็ไม่ต้องไปรู้เรื่องอะไรกับท่านหรอก คุณยังไม่ถึงหรอกก็ปล่อยไปเถอะ ให้ไปอยู่ประสาเด็กๆกันก่อน ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นวุ่นวายผิดระดับ ไม่อย่างนั้นก็เหมือนกับเด็กที่ร้องแข่ง พูดแข่งอยู่นั่นแหละ
1.ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรักและความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 1 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว
พ่อครูว่า..ต้องเข้าไปอย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นทำอย่างเสแสร้งไม่ศรัทธานั้นไม่ได้กินหรอก เข้าไปตั้งความละอาย หิริ หรือเกรงกลัว โอตตัปปะ เป็นคุณธรรมที่จะเป็นผู้ที่เจริญต่อไปเรียกว่าเป็นเทวดา ถ้าไม่มีจริงก็เป็นเทวดาเก๊ คุณต้องมีคุณธรรมมีความละอายต่อบาปละอายต่อความชั่วละอายต่อสิ่งที่ไม่ดีไม่งามทั้งหลายตามฐานะ
เช่นศีลข้อที่ 1 คุณก็ละอายศีลข้อที่ 2 คุณก็ละอาย ศีลข้อที่ 3 ยังไปติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ละอาย มันเป็นคุณสมบัติคุณธรรมของแต่ละคนที่รู้สึกเองระลึกเอง แม้เราไม่รู้สึกจริงก็ต้องทำความรู้สึกให้เป็นไปตามความรู้ที่เรารู้ สร้างความรู้สึกในความรู้สึกสร้างเวทนาในเวทนา เมื่อคนสร้างจนเกิดปัญญาจนเกิดภูมิธรรมจริงขึ้นมา มันก็เป็นสัจจะตัวจริง ละอายจริง เกรงกลัวต่อสิ่งไม่ดีไม่งามจริง จนถึงขีด ละอายต่อสิ่งนี้จนโอตตัปปะเกรงกลัว
ในปัญญาของพระโสดาบันข้อที่ 3 เหมือนกับเด็ก (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเพาะพุทธว่า…เหมือนเด็กน้อยมือถูกไฟร้อนก็รีบชักมือออก เหมือนคนละอายก็จะหยุดไม่ทำชั่วต่อและจะรีบปลงอาบัติ
คนบางคนตั้งจิตเกิดในยุคของพระศรีอารย์ คือพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปในอนาคต จริงๆแล้วคำสอนก็เป็นอย่างเดียวกันกับของพระสมณโคดม ไม่ได้มีความแตกต่างกันแต่อย่างใด ใครที่คอยแต่ชะเง้อว่าจะไปเกิดในยุคของพระศรีอารย์ คือคนที่กำลังทิ้งสิ่งที่ดีๆในปัจจุบัน ไปหาสิ่งที่ดีๆที่น่าจะได้ในอนาคต เป็นความฝันที่ไม่ได้อยู่ในความเป็นจริง ทั้งที่ต่อให้ไปเกิดในยุคพระศรีอารย์ ก็ไม่ได้เป็นคำสอนที่พิเศษแตกต่างจากคำสอนของพระสมณโคดม
พ่อครูว่า…ถูกต้อง ละอายแรงกล้าคือโอตตัปปะ เกรงกลัวเลย เหมือนเด็กที่ไม่เอามือไปถูกไฟเพราะมันร้อนมากมันกลัวเลย
เพราะฉะนั้นผู้ที่เคารพพระศาสดา เคารพอย่างแรงกล้ามีความรักอย่างแรงกล้านับถืออย่างแรงกล้า นี่เป็นข้อที่ 1 ปัญญามันจะมีคุณสมบัติแบบนี้ อาศัยพระศาสดาสอนแล้วก็จะรู้จักว่าอะไรคือสิ่งที่เป็นบางสิ่งที่ผิดเราก็ละอายเราก็กลัว ตัวอย่างที่แรงกล้าเลย นี่เป็นเหตุปัจจัยข้อที่ 1 เป็นความจริง เข้าใจความจริงด้วยว่าปัญญา ว่าสิ่งนี้ไม่ดี แล้วเราอย่าไปแตะต้องอย่าไปเอา หากแตะแล้วเราต้องรีบถอน ปัญญาของพระโสดาบันก็เหมือนกัน
อาศัยพระศาสดาหรือครูจึงจะเกิดหิริโอตตัปปะ ความละอายเกรงกลัวต่อบาป
2.เธออาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพไว้อย่างแรงกล้านั้นแล้ว เธอเข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราวว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร ท่านเหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ทำให้แจ้งข้อที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง และบรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการแก่เธอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 2 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ
พ่อครูว่า…ไปสอบถามเป็นครั้งคราว ไม่ใช่ถามอยู่ตลอดกาล
การที่ไม่เข้าใจว่าปัญญาผิดๆ ขออภัยที่ต้องพาดพิงถึง อาจารย์บูรพา ผดุงไทย ก็ซ้ำวนในสมาธินั่งหลับตาแล้วจะเกิดปัญญาอย่างนี้ฌานอย่างนี้สมาธิอย่างนี้ วันนี้ก็ยังอ่านเลย อาตมาก็ว่า(สู่แดนธรรมว่า…เขาอธิบายถึงปัญญาภาวนาแต่ปัญญาจากครูคือปัญญาจากการฟัง)
พ่อครูว่า…เขาไปเข้าใจคำว่าภาวนาผิด ภาวนาไม่ได้หมายถึงการปฏิบัติ แต่ว่าภาวนาแปลว่าการเกิดผล ได้ผลแล้ว เสร็จแล้ว ภาวนาเป็นผล แต่เพี้ยนไปเป็นการปฏิบัติ ดีไม่ดีผิดเพี้ยนไปเป็นการท่องบ่น อ่านพูด
สมณะเพาะพุทธว่า..ปัญญาที่ว่ามีสามระดับ สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา ภาวนมยปัญญา
พ่อครูว่า…ขออภัยและขอบคุณอาจารย์บูรพาไว้ ณ ที่นี้ ..หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์แท็บลอยด์ฉบับวันที่ 17-23 พฤศจิกายนนี้
ขึ้นหัวข้อของคอลัมน์สมาธิชาวบ้านว่า สมถะและฌาน
เนื้อความว่า…สำหรับผู้ฝึกปฏิบัติอบรมจิตสมาธิภาวนา หากปฏิบัติไปแล้วกลัวว่าจะติดฌาน ติดสมถะ ไม่ได้ปัญญา ไม่รู้ไม่เห็นอะไรเสียแล้ว มันก็ไม่ได้คุณธรรม ไม่ได้สมาธิอะไร เมื่อเริ่มปฏิบัติแล้วก็อย่าไปกลัวว่าจะติดฌาน ถ้าจะเปรียบเทียบการปฏิบัติอบรมจิตแล้ว กลัวติดฌาน ก็จะเหมือนกับคนขุดหาเพชรพลอย มาขุดไปแล้ว ก็กลัวว่า ถ้าได้เพชรพลอยแล้วก็จะหลงในคุณค่าของมันแล้วเลิกล้มมันก็ไม่ได้อะไร (พ่อครูว่า..อ.บูรพาตารางบอกว่าตัวเองไปขุดหาเพชรพลอยแล้วตัวเองก็ได้เพชรพลอยเก๊ แล้วก็มาบอกว่าอย่าไปกลัวติดเพชรพลอย ซึ่งอาจารย์เองก็กำลังติดเพชรพลอยเก๊)
สมณะเพาะพุทธว่า..คนเราไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังขุดอยู่นั้นได้เจอเพชรจริง แต่จริงๆแล้วมันเป็นของเก๊ด้วยคุณเข้าใจว่าเป็นของจริง แต่ก็ยังห่วงว่าเขาจะไปติดอีก
การปฏิบัติสมถะนั้นมีประโยชน์มาก ในการอบรมจิต แปลว่า ชีวิตจะมีพลังได้จิตจะต้องมีพลังก่อน จิตจะมีพลังงานได้ ต้องผ่านการอบรมจนสะอาดบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยเมตตาและฝึกสว่างโปร่งโล่งสบายคือความเดิมแท้ของจิตในฌานที่ว่างจากสมมุติบัญญัติทั้งปวง
จิตที่เข้าใจสภาวะนี้จะบริสุทธิ์แข็งแกร่ง และมีกำลังที่ทนต่อการปรุงแต่ง ยั่วยวนทั้งหลาย ต่างจากจิตใจที่ฟุ้งซ่าน ต่างจากการฝึกฝนจิตที่ได้แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าติดจะติดความว่าง พิจารณาไปก็จะเห็นว่าความว่างนี้มันไม่เที่ยง พิจารณาให้เห็นความจริงเรื่องนี้ ความไม่เที่ยงนี้ก็จะแสดงปัญญา เราจะสังเกตได้ว่า จิตที่อบรมมาดีติดใจจะมีพลังดีเป็นจิตที่บริสุทธิ์สงบมีความเมตตามีความอ่อนโยน เมื่อสะสมสภาวะฌานนี้จนเต็มที่ แม้จิตจะแข็งแรงแต่กลับรู้สึกโปร่งโล่งสงบสบาย สามารถเจริญปัญญานานๆ ที่ติดแล้วไม่พบความจริงเรื่องนี้ เพราะเรายังสะสมกำลังจะได้ไม่เพียงพอ ที่จะเกิดเป็นญาณปัญญาก็เห็นสัจธรรมได้นั่นเอง หากเราสูญเสียภาวะนี้ไปแล้วปล่อยให้ความคิดเข้ามาแทรก ใจมันก็จะหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน เพราะจิตที่สูญเสียความว่าง (พ่อครูว่า..จิตใจเขาอ่อนแอการกระทบสัมผัสเขาไม่แข็งแรงเลยพวกเขาไปหลงยึดว่าการติดยึดนั่นน่ะแข็งแรง เกาะติดกับความนิ่งให้แข็งแรง ไปจมอยู่กับสมถะจมอยู่กับ static ท่าเดียว เขาคิดว่าการปฏิบัติได้ภาวนาคือการเกิดผลต่อจิตให้มันติดยึด เขาเข้าใจไม่ได้)
หากเราสูญเสียสภาวะนี้ไปแล้วปล่อยให้ความคิดเข้ามาแทรก ใจมันก็จะหงุดหงิดฟุ้งซ่านได้ง่ายเพราะว่าจิตที่สูญเสียความว่างความสว่าง (พ่อครูว่า…มันอยู่ในความมืดไม่ใช่สว่างหรอก การสะกดจิตมันเป็นสว่างปลอม เนรมิต อาภัสรา สว่างอย่างกับสายธัมมชโย เป็นสายอาภัสรา อย่างสายอ.มั่นก็คล้ายกับอาจารย์บูรพา เป็นแบบสุภกิณหา ไม่เห็นว่าความมืดความดำนี้น่าได้หน้ามีน่าเป็น ในสัตตาวาส 9 พวกนี้วิปลาส)
เป็นความเดิมแท้นี้ไป จิตมันจะเปราะบางง่าย คุมสติไม่อยู่ ต่อให้ฝึกสติมาดีแค่ไหน แต่ไม่มีกำลังจิตรักษาสภาวะนั้นไว้ พอกลับไปใช้ชีวิตปกติ ก็กลับไปขาดสติย้ำคิดย้ำทำอยู่ดี การฝึกจิตให้บริสุทธิ์จึงสำคัญมาก (พ่อครูว่า..ฝึกจิตไม่ให้กระทบสัมผัสแล้วมันจะมีความแข็งแรงของจิตใจตั้งมั่นในการถูกกระทบกระเทือนได้อย่างไร แต่การฝึกให้จิตกระทบสัมผัสแล้วสะอาดได้มันก็จะมีจิตที่ตั้งมั่นแข็งแรงได้อย่างแท้จริง นี่ไม่ได้ฝึกสัมผัสเลยมันก็จะอ่อนแอตลอดกาล)
มาสู่ ปัญญาสูตรต่อ…
3.เธอฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมยังความสงบ 2 อย่าง คือ ความสงบกายและความสงบจิต ให้ถึงพร้อม ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 3 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ
-
เธอเป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจรมีปรกติเห็นภัยในโทษแม้มีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลายดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 4 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯเพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ
-
เธอเป็นพหูสูต ทรงจำสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมากทรงจำไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 5 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ