621120_พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก ปัญญาสูตรอันลึกซึ้งพิสดาร
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/14GxSyNWMJGFUob4tm8Cf–LwoLBpLozH4AXYw-_YXTc/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1DOhP161Qu5AO9vc6CAVFsVg0VtrUBgNg
พ่อครูว่า..…วันนี้วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2562 ที่บวรปฐมอโศก วันเวลาของโลกก็บัญญัติกันอย่างนี้ ซึ่งโลกเองนั้นไม่รู้หรอก มันหมุนไปตามวงโคจรถ้ายังไม่แตกสลายไป เขาบอกว่าจีนประสบผลสำเร็จในการทดลองนำยานลงจอดบนดาวอังคาร ที่จริงแล้วยังไม่ได้ไป เป็นแต่เพียงการทดลอง ที่จริงก็ยังอยู่บนดาวโลก ยังไม่ได้ไปดาวอังคาร เขาสำเร็จกับการทดลอง เขาจะไปดาวอังคาร อยู่ในโลกนี้มันไม่พออยู่หรืออย่างไร ผู้ที่เป็นกระฎุมพีคนร่ำรวย มีที่ดินเยอะแยะเป็นของตัวเองในโลกใบนี้ คนไม่มีที่ดินก็อยากมีที่ดิน พยายามหาที่ดินโดยที่เขาหลงตน แต่ตอนตายไปก็ใช้ที่แค่นิดเดียวถม ตายแล้วก็ได้ใช้เท่านั้น แต่ก็ไม่พอใจ โลกนี้ยังไม่พอก็จะไปเหยียบดาวพระจันทร์ เข้าไปจองที่ ปักอยู่เจ้าเดียวแต่ไม่มีใครออกโฉนดให้ เพราะไม่มีใครแย่ง จะไปดาวอังคารอีกไกลกว่าดวงจันทร์
เขาปรารถนาที่จะก้าวหน้า เกินสิ่งที่มันควรจะเกินแล้ว เขาน่าจะเอาพลังงานเวลาแรงงานทุนร้อนเหล่านั้น มาช่วยสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นเครื่องอยู่กินใช้ ในโลกมีคนที่ไม่มีอยู่มีกินอดอยากยากแค้นอยู่นะ พื้นที่ของโลกใบนี้ ในโลกนี้ มีพื้นที่ที่เป็นพื้นที่ที่ไม่มีสิ่งมีชีวิต เป็นชีวิตที่มีความกันดารเกินกว่าที่ชีวิตจะอยู่ได้ เขาบอกว่าไม่มีเลยแม้แต่แบคทีเรีย
มีทีมวิจัยศูนย์เพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แห่งชาติฝรั่งเศส นำโดย พูริฟิกาชิโอน โลเปซ การ์เซีย ผู้อำนวยการแผนกวิจัยของ F N C S R เผยแพร่ผลการสำรวจที่ยืนยันว่า พื้นที่บางจุดในบริเวณน้ำพุร้อน ดัลลอล ทางตอนเหนือของประเทศเอธิโอเปียเป็นพื้นที่หนึ่งซึ่งจนถึงขณะนี้เป็นพื้นที่เดียวเท่านั้นที่พบว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เลย เนื่องจากสภาพของพื้นที่ไม่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตแม้จะมีองค์ประกอบสำคัญคือน้ำอยู่ก็ตาม
ดัลลอล เป็นพื้นที่แอ่งน้ำพุร้อนที่เกิดจากความร้อนภายในเปลือกโลก ถูกยึดถือมาเป็นเวลานานว่าเป็นพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมสุดโต่งที่สุดเท่าที่มีบนโลกในเวลานี้
โลเปซ การ์เซีย ระบุว่าในหลายพื้นที่ซึ่งมีสภาพแวดล้อมสุดโต่งทั้งหลายบนโลก ล้วนปรากฏสิ่งมีชีวิตสามารถปรับตัวอยู่รอดได้ในสภาวะแวดล้อมที่ยากลำบากสูงสุดเหล่านั้น อาทิ ร้อนจัดระดับ super hot มีสภาพความเป็นกรดสูงสุด หรือมีสภาพความเค็มจัดที่สุด เป็นต้น
หลังจากนั้นจึงนำตัวอย่างทั้งหมดมาวิเคราะห์หาวัตถุพันธุกรรมในตัวอย่างแต่ละกลุ่มเพื่อจำแนกว่าสิ่งมีชีวิตใดอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมไหนได้บ้าง
อาตมาไม่อ่านต่อแล้ว…
จะไปนอกโลกอีก จะออกโฉนดก็ไม่ได้ จะไปตักดินมาก็ไม่ได้ แต่เขาก็จะไป คือเขาอยากรู้
คำว่าอยากรู้นี่มันเกินกว่าความอยากรู้ไปแล้ว มันไม่ควรจะไปทำอะไรต่อ แต่ถ้าคิดว่าเป็นความเจริญทางวิทยาศาสตร์ ก้าวหน้าไปจะเป็นเทคโนโลยี ก็คิดสิ อย่างนั้นเอาพลังงานที่จะไปเสียเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์เป็นเทคโนโลยีอื่นๆ เดี๋ยวนี้ ก็สร้างขึ้นมามีความละเอียดซับซ้อนจนกระทั่งเหมือนปาฏิหาริย์ที่เรียกกันว่ามีหูทิพย์ตาทิพย์ มีความเป็นทิพย์ทางอรูป เขาก็ได้เอามาใช้กันอยู่แม้ไม่ใช่จิตวิญญาณ
พระพุทธเจ้าท่านมาค้นพบสิ่งที่เป็นความพิเศษทางวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณ สามารถที่จะรู้รายละเอียดอันเป็นชีวะ พลังงานที่เป็นชีวะ ระดับจิตนิยาม เราก็จะรู้พลังงานของพีชะ พลังงานของพืชอย่างสำคัญ
พลังงานจิตนิยามเป็นพลังงานที่สามารถเข้าไปรู้ พลังงานแบบพีชะเป็นอย่างไร พลังงานแบบอุตุเป็นอย่างไร แล้วทำจิตนิยาม ทำจิตวิญญาณของตนให้อยู่ในสภาพของการเป็นพีชะหรือแยกธาตุเป็นอุตุได้เลย นี่คือสุดยอดความเป็นนักวิทยาศาสตร์ของพระพุทธเจ้า
ถ้าเอาพลังงานแรงงานของพวกที่คิดจะไปดวงจันทร์ เอามาศึกษาวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณสำเร็จแล้ว และสำเร็จจนกระทั่งมันเกิดปัญญา เกิดความฉลาดที่เรียกว่าปัญญา เอามาควบคุมเอามาจัดการกับจิตวิญญาณของเรา คนที่มีปัญญา ก็สามารถทำให้จิตนิยามของเราเป็นคนประเสริฐ เป็นคนที่จะไม่มีโลภโกรธหลง เป็นคนที่มีจิตวิญญาณเมตตาเกื้อกูล เอื้อเฟื้อเจือจานอย่างที่ชาวอโศกเราได้
กิเลสของพวกเรายังไม่หมด แต่กิเลสของพวกเราลดลงจริงๆ จึงเป็นกลุ่มบุคคลที่เป็นคนสังคมที่กิเลสไม่เป็นโลกียะอย่างเขา สังคมอาริยชนที่เป็นโลกุตระอย่างแท้จริง เป็นสังคมอริยบุคคลที่เรียกว่าศิวิไลซ์คือความเจริญนี่แหละคือความเจริญของมนุษยชาติและสังคม ซึ่งความเจริญของทางโลกเขาก็ต้องการคนเจริญ แต่เขาไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าค้นพบความศิวิไลซ์ ของความเป็นมนุษย์และสังคมเรียบร้อยแล้ว อย่างเช่นชาวอโศกเราค้นพบแล้วเป็นแล้วได้แล้วจริง เรียนรู้มาตามพระพุทธเจ้านะ ไม่ใช่ว่าค้นพบได้เอง แล้วเราก็เอามาปฏิบัติจนสำเร็จผล เกิดเป็นสังคมมนุษย์อาริยะ มนุษย์ศิวิไลซ์เป็นมนุษย์เจริญ นี่แหละมนุษย์ที่เจริญที่สุดในโลกคือชาวอโศก รู้ตัวกันหรือเปล่า ไม่ใช่พูดเล่นนะนี่ ไม่ได้พูดเพียงโวหารเล่นลิ้นหลงตน ไม่ใช่ แต่เป็นความจริง
เป็นสังคมที่อยู่กันอย่างเป็นครอบครัวใหญ่ เลี้ยงดูอุ้มชูเกื้อกูลกันได้ มีวรรณะ 9 มีสาราณียธรรม 6 มีจิตมีความเป็นอยู่ที่เลี้ยงดูกันง่ายๆ ไม่มีความวุ่นวายเดือดร้อน อยู่อย่างสงบสบายอบอุ่นดีทุกอย่าง เลี้ยงง่ายบำรุงง่าย ทำให้เจริญงอกงามง่ายๆ และก็ไม่ต้องไปเจริญที่จะไปแบบนอกโลกอะไรแบบนั้น เจริญทางนี้ก็พอแล้ว เพราะมีใจที่รู้จักพอ เป็นคนเจริญ สบาย และก็มีพลังงานสร้างพลังงานนี้เป็นประโยชน์ต่อตนเองอย่างสมบูรณ์แล้ว จึงมีพลังงานเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้อีก สะพัดออกไปเกื้อกูลช่วยเหลือผู้อื่นได้อีก
ถ้าชาวอโศกเจริญเป็นหมู่กลุ่มมีเครือแห สร้างอะไรที่เป็นปัจจัยสำคัญชีวิตได้มาก ได้มากจนกระทั่งสามารถทำแล้ว เราขายก็ขายเพียงเล็กน้อยพอที่จะเอามาใช้ หมุนเวียนกันพอ เกินนั้นเราจะแจกเผื่อแผ่ผู้อื่น นี่คือเศรษฐกิจนะที่กำลังอธิบายเป็นเศรษฐกิจของชาวอโศก เราก็จะทำให้คนนี้แหละได้รับสิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญ ที่เราจะใช้ความพยายามความรู้ของเราสร้างเป็นผลผลิตออกมา โดยไม่เอาไปสร้างผลผลิตที่มันเฟ้อ ที่อวดเก่งเฉยๆ แต่ไม่ได้ใช้อาศัยไม่ได้เป็นสิ่งที่จำเป็นสำคัญอะไร มีแต่ความเห่อเหิมความเกินเฟ้อ ที่เขาไม่เข้าใจซึ่งมันเลยเถิดไปเยอะแล้ว
แต่ถ้าจะมาสร้างสิ่งที่จำเป็นแล้วจะเกิดความสงบสุขของสังคมโลก ของแต่ละประเทศ ถ้าเป็นความเข้าใจมีเศรษฐกิจอย่างชาวอโศกกันทั้งโลก ลองลืมตานึกดู ไม่ต้องหลับตานึกดูหรอกจะเป็นอย่างไร สังคมจะเป็นอย่างไร ก็จะอยู่เย็นเป็นสุขกันทั้งโลกเลย ไม่เหมือนกับฮ่องกงที่กำลังเกิดความรุนแรงยังไม่จบเลย ชุมนุมกันเห็นไหมล่ะ มันทำอย่างประเทศเราไม่ได้ เราไปชุมนุมกันอย่างสงบเรียบร้อยจนกระทั่งทำงานสำเร็จ ประท้วงสำเร็จผล อันนี้เป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อนที่คนเขาไม่เข้าใจว่าคืออะไร มันเป็นผลสำเร็จของธรรมะที่เป็นโลกุตระธรรมเมืองไทยที่ประท้วงได้สำเร็จ ประท้วงรัฐบาล แล้วรัฐบาลตอนนั้นยุคนั้นก็มาฆ่าแกงมาทำร้ายคน แต่พวกเราไม่ไปทำร้ายไม่ไปฆ่าแกงเขาก่อนเลย ใช้ความจริงยืนยันว่าเอ็งไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ เอ็งทำลายสังคมประเทศชาติอย่างไรขี้โกงทุจริตอย่างไรก็เอามาแฉมาเปิดเผย จนเขาแพ้ต่อความจริง รัฐบาลทักษิณก็แพ้ความจริง ไม่ได้แพ้ด้วยหอกดาบปืน ไม่ได้แพ้ด้วยระเบิดไม่ได้แพ้ด้วยกำลังวังชาของทหาร ไม่ใช่ ทักษิณก็ไม่ได้แพ้เพราะว่ากำลังทหารปฏิวัติ แต่คนมองไม่ออก เขาบอกว่าพลเอกประยุทธ์มาจากการปฏิวัติ ที่จริงแล้วที่สืบทอดสุดท้ายจากรัฐบาลทักษิณคือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แล้วพลเอกประยุทธ์ก็รับช่วงต่อ ซึ่งไม่ได้ปฏิวัติ แต่ประชาชนคนไทยปฏิวัติ อันนี้พวกนักรัฐศาสตร์ทั้งหลายแหล่ก็ยังไม่รู้พูดไม่ได้อย่างนี้ กลัวประชาชนจะได้หน้าว่าเป็นผู้ปฏิวัติหรืออย่างไรไม่รู้ เขาไม่รู้ว่าประชาชนปฏิวัติหรืออย่างไร ปฏิวัติรัฐบาลทักษิณ สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ ประชาชนในประเทศไทยเป็นตัวอย่างอันสุดยอดปฏิวัติกันอย่างไม่ต้องใช้อาวุธเอาความจริงมาใช้เป็นอาวุธ จนกระทั่งเขาพ่ายแพ้ไปด้วยอาวุธแห่งความจริง ด้วยความสงบกับความจริงเป็นอาวุธ เป็นธรรมาวุธที่ทำให้เขาแพ้ จึงเป็นการปฏิวัติเป็นประชาธิปไตยที่สุดยอด อาตมาว่านักรัฐศาสตร์ที่ศึกษาดอกเตอร์อยู่ฟังอาตมาจะเข้าใจซาบซึ้งเห็นจริง ที่อาตมาพูดนี้ว่าประชาธิปไตยไปเพื่ออะไร แล้วทำไมถึงบอกว่าประชาชนคนไทยนี่แหละเป็นนักประชาธิปไตยที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้ประเทศชาติเป็นประชาธิปไตย โดยประชาชนเป็นผู้รัฐประหาร คือประหารรัฐบาลได้สำเร็จและก็ดำเนินอยู่ พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ทำการประหารรัฐประหารเลย เป็นแต่เพียงมารับไม้ต่อจากประชาชน
ตอนนั้นผู้ที่ถืออำนาจเดิมเขาไม่มีอำนาจทั้งพฤตินัยและนิตินัยแล้ว ตอนนั้นมีคนดำรงตำแหน่งแทนคือ นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ตอนนั้นก็รักษาไว้เฉยๆเป็นรูปแบบ แต่พวกประชาชนนั้นปฏิวัติเอาอำนาจได้สำเร็จแล้วกำลังจะไปทูลเกล้าฯ เขาก็ไม่เข้าใจ เราไปถึงหน้าพระบรมมหาราชวัง เขาก็ไม่ให้เข้า
พลเอกประยุทธ์ก็บอกว่าผมขอยึดอำนาจเพียงแค่นั้นก็ได้แล้ว ซึ่งประชาชนก็รับได้ โอเค ไม่ได้ขัดแย้ง ไม่ได้บอกว่าพลเอกประยุทธ์มารวบอำนาจไปก็ไม่ใช่ ก็ให้บริหารประเทศไป จนกระทั่งตอนนี้ 5 ปีจะ 6 ปีแล้ว ผลการบริหารก็ดีเข้าตาประชาชนเป็นไปได้ดี ตามประสาอาตมาเป็นนักรัฐศาสตร์นอกทำเนียบ ประชาชนเห็นดีเห็นด้วยมีโพลรองรับกันทั่ว ก็มีแต่เรื่องการขัดแย้ง ซึ่งการขัดแย้งนั้นเป็นเรื่องของความขัดแย้งที่ทำให้เจริญ
สังคมเจริญต้องมีความขัดแย้งอันพอเหมาะ สังคมใดไม่มีความขัดแย้งกันเลย สังคมนั้นสิ้นความเจริญ สังคมใดที่ขัดแย้งกันจนทะเลาะวิวาทกัน สังคมนั้นเสื่อมต่ำ สังคมใดที่ขัดแย้งกันด้วยความปรารถนาดี ความเมตตาความรักอันประเสริฐ โดยเฉพาะด้วยปัญญาอันยิ่ง
อย่างชาวอโศกก็ขัดแย้งกัน แต่สังคมชาวอโศกขัดแย้งกันด้วยความปรารถนาดีความเมตตาความรักอันประเสริฐโดยเฉพาะด้วยปัญญาอันยิ่ง สังคมนั้นเป็นสังคมอาริยะ สังคมโลกุตระ
ใช่ไหม
อาตมาพูดไปไม่ได้เรื่องโมเม ไม่ได้ขี้ตู่ ไม่ได้หลงตัวตน ก็ไม่ใช่ เป็นเรื่องจริงของมนุษยชาติ
ทฤษฎีของพระพุทธเจ้าที่อาตมานำมาบอกพวกเราทำให้พวกเราเข้าใจแล้วเห็นดีเห็นงาม อาตมาไม่ได้บังคับใครให้มาปฏิบัติตามนะ ไม่ได้ล่อหลอก ไม่ได้และเล็มเลียบเคียงด้วย ค่อนข้างจะตีแรงด้วย แต่พวกคุณมาเอาด้วยปัญญา จนกระทั่งได้ ตัวเราเองก็บรรลุได้แล้วก็สมัครใจอยู่กับสังคมนี้ แล้วอยู่กับสังคมนี้ได้อะไร ได้ลาภ ยศ สรรเสริญใส่พกใส่ห่อหรือไม่ ก็ได้ความอบอุ่นได้ความฝากผีฝากไข้ได้ ไปแล้วก็ไม่ต้องห่วงกังวลว่าใครจะไม่ไปเผาผี คนทั่วไปเขาห่วงกันนะ ตายแล้วไม่มีใครไปเผาไม่มีใครไปทำศพให้ แต่ชาวอโศกนี้หมดห่วงในเรื่องนี้เลยสบายมาก เพราะฉะนั้นจึงเป็นสังคมที่สุดยอด จริงๆ
อาตมาพูดแล้วภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ แม้เป็นยุคคนกิเลสหยาบหนามาก แต่ก็ยังเป็นไปได้
_SMS วันที่ 19 พ.ย. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก)
_8866กำลังดูFMขออาราธนาพ่อครู อยู่แสดงสัมประสิทธิ์ค่ะ ลูกๆจะได้ทำตาม(รู้วิธี มีกำลังใจ)
พ่อครูว่า…อยู่เพื่อยืนยันว่า อาตมาได้สร้างพลังงานสัมประสิทธิ์ ในประเด็นที่อาตมาหมายถึงพลังงานที่จะช่วยยืดอายุขัย ต่อจากที่มันควรจะตายแล้วก็ยังไม่ยอมตายทำให้อายุยืนยาวพัฒนาต่อไปได้ อันนี้เป็นการค้นพบ นี่แหละคือยาอายุวัฒนะที่จิ๋นซีฮ่องเต้อยากได้ ส่งคนไปหานะ จิ๋นซีแกยิ่งใหญ่ ตีแคว้นต่างๆได้มากมาย ก็เลยจะต้องไม่ตาย หายาอายุวัฒนะ แหม…ไม่มาพบเราก่อน ยืดให้ได้นะ ถ้าศึกษามาเป็นอาริยบุคคลได้ คนก็ไม่ค่อยเชื่อ อาตมาอายุตาย 72 ปีตอนนี้เลยมาได้ เป็น 85 ไป 86 แล้วนะ แล้วจะต่อไปอีก ถ้าอาตมาไม่มีสัมประสิทธิ์ยืดอายุมาได้ ก็จะดูงอกแงกอ่อนแอ แต่นี่ไม่ใช่ ถ้ายืดอายุไปถึง 96 อีกประมาณ 10 ปี อาตมาก็ยังอยู่อย่างนี้ มันเป็นการยืนยันว่ามียาอายุวัฒนะจริงๆนะ ถ้าหากอาตมาถึง 96 ปี คนจะเชื่อเลยว่าสัมประสิทธิ์คือยาอายุวัฒนะของอาตมา คนจะเข้าใจ แล้วเขาจะเชื่อถือด้วยว่าทำได้จริงๆ ถ้าอายุ 96 ก็ยัง Active กระปี้กระเปร่า ยัง strong fresh up รับรองว่าคนจะยอมรับ ทางแพทย์ทางวิทยาศาสตร์ก็ยังพยายามคิดหาพวกสเต็มเซลล์ ในอนาคตก็มาบวกทางรูปได้ด้วย บวกกับนามธรรมได้ด้วยอายุก็จะ 200 ปีขั้นต่ำ
คำว่าสัมประสิทธิ์นี้พูดจริงไม่ได้พูดเล่นพยายามศึกษาดูให้ดี
_1614 ทำไมจึงมีคนจำนวนมากเชื่อคำสอนที่เท็จ ไม่จริง?
พ่อครูว่า…เพราะโง่ เพราะว่ามีอวิชชา ก็เพราะว่าเขาไม่รู้ว่ามันไม่จริงเขานึกว่ามันจริงเขานึกว่ามันดีเขานึกว่ามันไม่ใช่ความเท็จ เขานึกว่ามันเป็นเรื่องถูกต้องเป็นเรื่องดี เขาก็ไปหลงเชื่อ ยกตัวอย่างเช่น ความสุขนี้เป็นเท็จ เห็นไหม คนอวิชชาก็ไปหลงกับความสุข
เทวนิยม คือ สุขนิยม ศาสนาที่มีพระเจ้าให้พระเจ้าเป็นผู้บันดาลความสุขพระเจ้าจะไม่สร้างความทุกข์ คนก็เชื่อพระเจ้าทำตามพระเจ้าก็จะมีความสุขอย่างโลกีย์ สุขอย่างที่จะต้องได้ลาภมากๆ ได้ยศสูงๆ เสพโลกีย์เป็นเจ้าโลก แล้วเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น แต่ของศาสนาพุทธนั้นไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ยิ่งกว่าสุข ปรมังสุขัง เขาไปแปลเป็นภาษาโลกีย์ว่าสุขอย่างยิ่ง แต่ไม่ใช่ นิพพานังปรมังสุขัง นิพพานไม่ใช่โลกีย์ นิพพานเป็นโลกุตระ เขาแปลภาษาโลกุตระไม่ได้ ก็เลยไปแปลว่าเป็นสุขอย่างยิ่ง แต่ที่จริงแล้วมันแปลว่ายิ่งกว่าสุข คือความไม่สุขไม่ทุกข์
ถ้าไม่มีสมณะโพธิรักษ์ไม่มีใครแปลให้แบบนี้หรอก เพราะเขาไม่รู้จักโลกุตระ แต่อาตมารู้โลกุตระก็มาแปลให้ฟัง พวกเราก็จะเข้าใจว่าความไม่สุขไม่ทุกข์นี้เหนือชั้นกว่าความสุขอย่างยิ่ง มันไม่มีพยัญชนะจะเรียกแล้ว ขอยืมเอาคำว่าสุขมาใช้แทน แต่ที่จริงมันยิ่งกว่าความสุข
ที่เป็นสุขนั่นคือโลกียะที่ติดสุขติดทุกข์เป็นเทวะ เขาตีเทวะไม่แตก คนก็เข้าใจยากอยู่ว่า ศาสนาพุทธดับเทวะ ตีเทวะแตก จนไม่มีเทวะ จะไม่มีมหายอดเทวะคือพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ศาสนาพุทธไม่มี แต่เป็นเรื่องที่เราเข้าถึงจิตวิญญาณของเรา เป็นจิตวิญญาณที่ดับเทวะสิ้นเลย ไม่แคร์ว่าพระเจ้าจะเป็นอย่างไร ตายจะไปอยู่กับพระเจ้าอย่างไร ไม่มีทาง ชาวพุทธที่บรรลุดับเทวะได้หมดสุข หมดทุกข์ได้แล้ว ตายแล้วแยกธาตุเป็นอุตุนิยาม
พระเจ้าให้สุวรรณสุวาน หวังเฉา หม่าฮั่นไปตรวจสอบดู เวลาคนตายแล้วแต่มันหายไป วิญญาณนี้หายไปเลย เพราะว่าเราได้ทำลายจิตวิญญาณของเราเองได้แล้ว พระเจ้ามาทำอะไรเราไม่ได้ เพราะเราเป็นเจ้าของจิตวิญญาณตัวเอง แล้วเราก็จัดการ จัดการกับจิตวิญญาณตัวเราเองสลายให้เป็น 0 หรือว่าหมดความเป็นวิญญาณ แม้แต่ความเป็นพีชะก็ยังไม่มี นี่คือความรู้ของศาสนาพุทธ ธรรมนิยาม 5 กรรมนิยาม สามารถทำให้ธรรมะ 2 สูญสลายไปได้
ขณะที่เป็นจิตวิญญาณอาศัยพีชจิตสร้างความเจริญให้แก่ตัวเองได้ พืชจะทำความเจริญ มันก็เจริญได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น มันไม่ไประรานเบียดเบียนใคร นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านรู้จักพลังงานของอุตุ พลังงานของพีชะ พลังงานของจิต อาตมารู้จักทำให้พลังงานตนเป็นพีชะสบายแล้ว พลังงานที่เหลือก็เอามาสร้างสรร และเป็นพลังงานที่สามารถที่จะ แยกพีชะให้เป็นอุตุ ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ ไม่มีแม้แต่ธาตุที่จะเป็นพีชธาตุอีก จิตนิยามนี้แน่นอนทำให้เป็นพีชะได้ แม้ยังไม่ ปรินิพพานเป็นปริโยสานจะเกิดมาเป็นชีวะอีกก็ได้ อย่างอาตมาตั้งจิตเกิดต่ออีก มีจิตวิญญาณที่เป็นส่วนเกินเป็นของดีควบคุมได้ รู้ดีประเสริฐเป็นประธาน เพราะฉะนั้นจะรู้จักความจริงของโลก ความจริงของวัตถุ ดินน้ำไฟลม ความจริงของพืชพันธุ์ธัญญาหาร ความจริงของสัตว์โลก ความจริงของมนุษยชาติ ความจริงของอาริยะที่สุดยอด จึงอยู่อย่างมนุษย์อาริยะที่สุดยอด ช่วยโลกเขาไปจนกว่าเราจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่สามารถทำให้อัตภาพใดๆที่เกิดมาเป็นอัตภาพแล้วเป็นชีวะเป็นจิตนิยามแล้ว ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวจนกระทั่งกลายเป็นสัตว์หลายล้านเซลล์จนกระทั่งเป็นมนุษย์ แล้วก็เป็นมนุษย์ที่ร้ายกาจ จนมารู้ว่าความดีเป็นอย่างไร
จนกระทั่งรู้ว่าควรจะเป็นจิตนิยามที่ดี ดีจนกระทั่ง ยังมีความสุขทุกข์อยู่กับลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แม้จะถึงขั้นเป็นพระศาสดา พอจะเข้าใจว่าอย่าไปมีทรัพย์สมบัติมาก อย่างขณะนี้ โป๊ปฟรานซิส ท่านก็เป็นสายที่มีความมักน้อยสันโดษนะ สายฟรานซิสโก เราเคยดูหนัง เป็นคนมักน้อยสันโดษด้วย แต่ไม่เที่ยงหรอก เพราะไม่มีนิพพาน ไม่รู้จักทำให้ 0 ได้อย่างกดข่ม ก็ยังวนเวียนกับสวรรค์และนรกอยู่ ไม่รู้วิธีว่าทำให้ตัวเองไม่ลงนรกได้อย่างไร เป็นแต่เพียง ค้างอยู่ว่าให้เราดีที่สุดเป็นนักบุญไปอยู่กับพระเจ้าเมื่อตายแล้ว ทุกคนของศาสนาเทวนิยมเมื่อตายแล้วก็ไปอยู่กับพระเจ้าทั้งนั้น ต้องพยายามทำให้ดี แล้วพระเจ้าจะได้ส่งไปเมืองสวรรค์ไม่ส่งไปลงนรก แต่ก็ไม่รู้ว่าทำดีถึงขีดไหนถึงจะไม่ลงนรก ศาสนาอื่นไม่มีสมณะที่ 1 2 3 4 แบบศาสนาพุทธ ทำจิตวิญญาณของตนเองให้ไม่ตกนรก ศาสนาพุทธพระโสดาบันก็ไม่ตกนรกขั้นอบาย แต่ก็ตกนรกขั้นรูป อรูปอีก เป็นอนาคามีแล้วไม่ตกนรกกามอย่างบริบูรณ์ อนาคามีเหลือรูป อรูปภายในเท่านั้น ก็หมดนรกเลยเรียบร้อยและนรกก็คือสวรรค์ หมดนรกก็หมดสวรรค์ เป็นคนที่ไม่มีนรกไม่มีสวรรค์ ไม่มีเทวะ มีจิตวิญญาณของตัวเอง จะอยู่ต่อเป็นอมตบุคคล จะเกิดหรือจะตายก็ได้ อย่างอาตมาจิตเป็นอมตะแล้ว ที่พูดนี้ไม่ได้อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตนนะ แต่ว่าเป็นอุตริมนุสธรรมที่มีในตน แล้วพูดอย่างไม่ได้มีสาเฐยจิต ไม่มีอุปกิเลสแล้ว
แต่คนเขาไม่เชื่อว่าจะมีความพิเศษอย่างนี้เขาก็ไม่เชื่อ ไปบังคับใจเขาให้เชื่อไม่ได้ เพราะฉะนั้นที่ถามว่าคนทำไมไปเชื่อความเท็จเพราะเขาไม่รู้ความจริง อาตมาไม่มีความเท็จเลย
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
วิเชียรว่า…แต่ก่อนผมก็ไหว้เจ้า ก็มาเข้าฝันว่าไม่มีน้ำชา ไม่มีเหล้า รู้สึกว่าเจ้าเรื่องมาก พอมาเจอพ่อครูว่าให้พึ่งตนเอง พึ่งกรรมของตัวเอง พอมาเจอชาวอโศกผมมีที่พึ่ง ก็เลยบอกเจ้าว่าผมมีที่พึ่งแล้ว ท่านก็ไปพึ่งตัวเองก็แล้วกันไม่รู้ว่าท่านไปมีอยู่ที่ไหนแล้ว แต่ผมมาอยู่ที่นี่ก็มีความสุขดีครับ
พ่อครูว่า…พูดไปแล้วก็เหมือนกับเราไปลบหลู่พระเจ้าไปดูหมิ่นดูแคลนพระเจ้า ก็ต้องขออภัย เป็นการพูดเรื่องวิชาการให้ศึกษากัน ถ้าหากจะเลี่ยงไม่พูดความจริงก็ไม่เชื่อ ต้องพูดกันด้วยความจริงด้วยภาษา
_นิทานดีมีอยู่มากมาย ดูสองสหายกระต่ายกับเต่า ดูผู้ประมาทพลาดพลั้งนั่งเศร้า ดูเต่ากระต่ายให้ชายหญิงดู
พ่อครูว่า..ก็มีความหมายเข้าใจ ความหมายดี
ทุกวันนี้อาตมาเข้าใจสิ่งที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ขนาดที่ว่า ตอนนี้กำลังอธิบายกิเลสแท้กับกิเลสปลอม
อาตมาก็ว่าคงเข้าใจกันได้ยาก คนจะเข้าใจกิเลสแท้หรือกิเลสปลอม ก็ต้องเป็นผู้ที่สามารถมี ญาณปัญญา อ่านอาการของจิตที่เป็นกิเลสได้ ถึงจะรู้ว่า อ๋อ..นี่คือกิเลสแท้ แล้วถึงจะเข้าใจว่านี่คือกิเลสปลอม
กิเลสปลอมที่อาตมาหมายถึงก็คือ ผู้ที่ปฏิบัติธรรมไม่สัมมาทิฏฐิ ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ เขาก็จะมีแต่อดีตกับอนาคต เขาจะไม่เคยเห็นกิเลสแท้ เขาจะเห็นแต่กิเลสปลอม เพราะกิเลสที่เห็นที่รู้ขณะนั่งหลับตาเขาจะเห็นแต่ในจิต ไม่มีปัจจุบันธรรม แม้ว่าเขาจะระลึกในปัจจุบันนี้ก็เป็นอยู่ในแต่เพียงคลังสัญญาคลังความจำ จิตคิดเองคนเดียว อยู่คนเดียวเป็นอันเดียว ไม่มีอะไรรับรองเลย ที่จะยืนยันว่าอันนี้แท้ มันแท้มันจริงอยู่คนเดียว มันไม่มีคนรับรองตั้งแต่ 2 จนเป็น 3 จนถึงนับไม่ถ้วน Infinity เขาจะไม่มีเลย ไม่มีคนรับรองให้ว่าจริงเพราะเขาไม่มีปัจจุบัน เขาไม่มีข้างนอก เขาไม่มีคนที่สอง ที่จะรับรองกับเขา เขาไม่มี เพราะเขาอยู่แต่ในอดีต
เขาจะมีแต่กิเลสปลอม กิเลสแท้ต้องสัมผัสอยู่ในปัจจุบันแล้วเกิดขณะนั้น ขณะสัมผัสกับลาภยศ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ตาม พอสัมผัสปุ๊บ คุณก็เกิดเวทนา แล้วคุณก็ปรุงแต่งเวทนาเป็นสังขารสุขทุกข์ขึ้นมา มันก็เป็นจากกิเลสที่เป็นสุขเป็นทุกข์นั่นแหละ นอกจากคุณไม่มีกิเลสแล้ว คุณก็ปรุงได้อย่างไม่มีสุขไม่มีทุกข์อย่างเป็นพระอรหันต์ แต่คนที่ยังไม่หมดจะเหลือน้อยเป็นพระอนาคามีก็ยังเหลือความปรุงแต่งอยู่ สัมผัสแล้วก็ยังปรุงแต่ง แต่ถ้าไม่สัมผัสแล้วอยู่ภายในก็เป็นเพียงสมมุติอยู่ทั้งนั้น สมมุติว่าไม่มีกิเลสทำจิตให้มันอยู่เฉยๆ ไม่ปรุงไม่แต่งก็ไม่มีเกิดกิเลส แต่ที่ว่างนั้นไม่ได้ว่างจากกิเลส ไม่รู้จักกิเลสหยาบกลางละเอียดคุณไม่รู้ตัวจริงเลย
กิเลสมันจะต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย ถ้าไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยมีแต่ในอดีตกับอนาคตอยู่ในจิตวิญญาณของคุณคนเดียว คุณไม่รู้จริงหรอกไม่มีคนรับรองด้วย ก็ต้องมีคนอื่นที่สัมผัสด้วย โดยเฉพาะถ้าพระพุทธเจ้าอยู่ สัมผัสภายนอกแล้วเป็นกิเลสพระพุทธเจ้าก็บอกให้ว่านี่คือเป็นกิเลส หรือผู้ที่เป็นพระอาริยะผู้เป็นครู …ก็เข้าสู่ปัญญาสูตร
ปัญญาสูตร
[92] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ 8 ประการ ปัจจัย 8 ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงามไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว 8 ประการเป็นไฉน
พ่อครูว่า..ปัญญาเริ่มต้น คืออัญญธาตุที่ไม่ใช่เฉกะหรือเฉโก แค่เฉกะเฉโกกับปัญญาต่างกันอย่างไร เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธไม่รู้กันแล้วนอกจากชาวอโศกจะรู้ คำว่าความฉลาดที่เรียกว่าปัญญานั้น ไม่มีในศาสนาใดเลยศาสนาอื่นไม่มี ความฉลาดที่เป็นปัญญา เป็นความฉลาดของโลกุตระ ฉลาดอะไร ที่เป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์
ผู้ที่ได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแล้วดำเนินงอกงามต่อไปไพบูลย์ต่อไป บริบูรณ์ต่อไป แห่งปัญญาจบปัญญาสูงสุดคืออรหันต์ ในรอบของโลกีย์กับโลกุตระ เป็นพระอรหันต์ ส่วนโพธิสัตว์ที่จะเพิ่มภูมิปัญญาไปอีกก็เป็นโพธิสัตว์ ซึ่งคนโดยเฉพาะทางไทยเถรวาท ไม่ค่อยจะรู้เรื่องโพธิสัตว์ ยากที่จะพูดกัน นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เบื้องต้น แค่ปัญญาอันแรกเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์งอกงามไพบูลย์เป็นปัญญา 8
1.ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรักและความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 1 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว
พ่อครูว่า..ผู้ที่เป็นครูจริงๆไม่ใช่ครูเก๊ต้องเป็นผู้ที่บรรลุธรรมพระพุทธเจ้า อย่างน้อยเป็นครูอนุบาลเรียกว่าพระโสดาบัน ครูชั้นประถมคือพระสกิทาคามี ครูที่เป็นชั้นมัธยม ก็เป็นพระอนาคามี ครูอุดมศึกษา ก็คือพระอรหันต์ อย่างนี้เป็นต้น ต้องอาศัยนะ ถ้าไม่อาศัยพระศาสดาไม่อาศัยครูที่เป็นครูจริงๆ ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย
รู้ว่าคนนี้เป็นครูแล้ว รู้ว่าเราเองมีกิเลสเต็มตัวก็เข้าไปหาครูอาศัยครู ก็ไปตั้งความละอาย ตนเองยังไม่ได้รู้กิเลสยังไม่ได้ลดกิเลสก็เข้าไปหาครู ไปตั้งความละอายไม่ใช่ไปตั้งความอวดดี เพราะตัวเองกิเลสเต็มตัว อรหันต์ไม่มีกิเลสแล้ว หรือแม้แต่พระโสดาบันก็ถือว่าเป็นครูเป็นผู้รู้กิเลสระดับหนึ่งแล้ว สกิทาคามีก็เป็นครูสูงขึ้นไป ก็เข้าไปตั้งความละอาย
คนที่มีความละอายคือมีเทวธรรมคือเป็นเทวดา
คนที่ไม่ละอายต่อกิเลส ผู้ที่ไม่มีกิเลส เราเป็นผู้ที่มีกิเลสเราก็ต้องละอายต่อท่าน พระโสดาบันก็ละอาย พระสกิทาคามีก็ละอายมาก พระอนาคามีก็ละอายยิ่งกว่า พระอรหันต์ก็ละอายอย่างมาก เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก ซึ่งคำว่าความรักไม่ใช่ความรักมิติตื้นๆ คือ ความรักและความเคารพอย่างแรงกล้า รักอย่างเคารพบูชาไม่ใช่ความรักอย่างขี้หมาตื้นๆ ความรักมิติที่1 2 ที่ 3 เป็นความรักที่สูงระดับ 7 ขึ้นไป
หมายความว่าปัจจัยที่ 1 นี้จะต้องไปอาศัยพระศาสดา อาศัยเพื่อนพรหมจรรย์ที่ตั้งอยู่ในฐานะของครู ด้วยจิตใจเราต้องไปยังอ่อนน้อมถ่อมตน อยู่กับคนที่ฐานะมีกิเลสน้อย ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็ยิ่งต้องละอายต่อท่านเป็นความเกรงกลัว ความรักและเคารพ อย่างแรงกล้าเคารพอย่างเต็มๆ หากจะเคารพเป็นครูอาจารย์ต้องเคารพอย่างเต็ม ข้อสำคัญว่าอาจารย์นั้นแน่หรือเปล่า เป็นอาจารย์ที่คุณแน่ใจหรือเปล่าจริงหรือเปล่า เราเลือกแล้ว
หรือว่าเราเลือกเพราะรู้ว่าอันนี้เป็นอาจารย์ใหญ่อาจารย์กลางอาจารย์น้อย ก็เลือกตามความจริง
ปัจจัยข้อที่ 1 นี้ยืนยันว่าคุณจะได้ปัญญา ปัญญาเป็นธาตุรู้ที่เป็นของพระอาริยะหรือโลกุตระของพระพุทธเจ้า
เริ่มต้น ตั้งแต่อัญญธาตุที่อาตมาแยกให้ฟัง ตั้งแต่พระพุทธเจ้าประกาศเอาไว้ ท่านเทศน์กัณฑ์แรกเลย อัญญาโกณฑัญญะฟังกับเพื่อนพราหมณ์อีก 4 รูป ก็คือนักบวชนั่นแหละ พระพุทธเจ้าก็มาพบผู้ที่แสวงหาที่จะบรรลุพรหมจรรย์คือนักบวช ตอนนั้นศาสนาพุทธยังไม่เกิด พระพุทธเจ้าท่านก็มีวิชชาของท่านมา เป็นพระศาสดาองค์หนึ่งก็เอามาประกาศขึ้น
เมื่อประกาศพระสูตรแรก อัญญาโกณฑัญญะ อัญญาก็คือความรู้จากอัญญธาตุไม่ใช่ความรู้แบบโลกีย์ เป็นธาตุรู้คนละโลก ธาตุรู้ของโลกียะมันอย่างหนึ่ง ธาตุรู้ของโลกุตระมันอีกอย่างหนึ่งมันเป็นคนละโลก
เพราะโลกุตระนั้น จะต้องอาศัยพระศาสดาหรือผู้ที่มีอาริยะธาตุ ตั้งแต่พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นความรู้ที่เป็นปัญญา ต้องอาศัยจากผู้ที่ได้ก่อนมีก่อน ผู้ที่จะเป็นสัตบุรุษ หรือเป็นผู้ที่อยู่ในฐานะของครู นับจากพระพุทธเจ้ามาสืบต่อเป็นผู้ที่มีสัมมาปฏิบัติสัมมาปฏิเวธ ต้องอาศัยผู้ที่มีมาจากพระพุทธเจ้าก่อน หรือได้รับต่อจากพระพุทธเจ้ามาแล้ว
เมื่อไม่มีพระพุทธเจ้าก็เหลือแต่ครู แล้วแต่ผู้ที่อยู่ในฐานะของครู ถ้าหากโลกยุคไหนสมัยไหนไม่มีพระอาริยะครู ไม่มีผู้ที่ตั้งอยู่ในสถานะของครูอย่างแท้จริงที่มีภูมิอาริยธรรมหรือโลกุตระธรรม ก็มีเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นครูที่ไม่ใช่ศาสดา สามารถที่จะได้ธรรมะที่เป็นพุทธธรรมแท้ เป็นโลกุตระธรรม อย่างอาตมานำมาประกาศบอกว่าอาตมาเป็นสยังอภิญญา ฟังแล้วก็จะยิ่งชัดเจนว่าอาตมาไม่ได้พูดเล่นลอยลม อย่างไม่มีหลักฐานไม่มีสาระแก่นแท้ มันชัดเจน คุณก็จะยิ่งเชื่อถือว่าอาตมาพูดนี้เป็นสารีบุตรที่แท้
เป็นลูกที่นำแก่นสาระ สารี ผู้ที่มีสาระแก่นแท้ของศาสนาพระพุทธเจ้า เป็นสารีบุตรที่แท้ พูดกับพวกเราพวกคุณก็จะไม่หลงไปเป็นตัวตนบุคคลเราเขา อาตมาเป็นอาริยธรรมปรมัตถธรรมแท้ ไม่ได้หมายถึงตัวตนบุคคลเราเขาเลย
พูดกลับไปอีก ถ้าอาตมาจะเป็นสารีบุตรอย่างที่เคยเกิดมาในยุคพระพุทธเจ้าแล้วมาเกิดในยุคนี้ อาตมาก็คือผู้ที่มีแก่นแท้สาระที่ได้มา จะเป็นตัวจริงมา หรือ แม้จะเป็นตัวจริงมาก็จะต้องมีสาระที่แท้นั้นมา ใช่ไหม เพราะเอาปรมัตถ์ ร่างกายตัวร่างพระสารีบุตรสมัยพระพุทธเจ้าก็ตายไปตั้ง 2 พันกว่าปีแล้ว แต่สาระแก่นสารที่มีเชื้อแท้อันถูกตรงเอามาแจกแจงเป็นเนื้อแท้ เหมือนอาตมาเป็นเภสัชกร มียายุคโน้น พอมาตอนนี้เกิดมายุคนี้ก็เอายานี้ติดตัวเองมา ก็มาแจกยานี้แก่พวกเรา แล้วยาที่อาตมาแจก กินแล้วบรรลุธรรม กินแล้วรักษาโรคกิเลสให้หายได้ตามจริง พิสูจน์แล้วได้ผลจริง ทำให้กิเลสลดละได้จริงอันนี้แหละเป็นสัจจะ
ปัญญาอันที่ 1 สรุป คือผู้มีอัญญธาตุได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ โดยได้รับฟังมาจากพระพุทธเจ้าหรือผู้ที่ตั้งอยู่ในฐานะครู ได้มาด้วยความรักความเคารพความละอายความเกรงกลัว
อันที่ 1 ย้ำอีกทีว่าต้องได้มาจากพระศาสดาคุณจะไปได้มาเองไม่ได้ ต้องได้มาจากผู้ที่อยู่ในฐานะของครู แม้ไม่ใช่พระศาสดาก็ต้องมีสาระอย่างแท้จริง ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขาที่เป็นสารีบุตรจริง ถ้าจะเรียกทางเทวนิยมก็เป็นพระบุตร แต่ของศาสนาพุทธเรามันชัดเจนกว่า เนื้อหาสาระแท้ แล้วก็เป็นเนื้อหาสาระของธรรมะที่ไม่ตาย มีองค์ประกอบขึ้นอยู่กับกาลเทศะ ในโลกยุคแต่ละกาละ องค์ประกอบไม่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น บัญญัติที่ท่านสอนมาในยุคนี้ ไม่ใช่ยุคของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นองค์ประกอบที่มันจะเกิดการกระทบสัมผัส ถึงไม่เหมือนกัน มีความต่าง เพราะฉะนั้นในยุคนี้ ผู้รู้ก็จะต้องสอนให้สมสมัย อย่างอาตมานี้สอนให้สมสมัย รู้จักกิเลสได้ง่ายรู้จักกิเลสได้ดีถูกต้องจริงตามสมัย หากว่าพูดแต่เรื่องโบราณ ในยุคนี้มันมีอะไรเพิ่มเติมต่างๆนานามันไม่ร่วมสมัยเลย คุณก็จะรู้จักกิเลสได้ยาก รู้ไม่ครบหรอก แต่อาตมานี่โอ้โห ทันสมัยสมสมัย ใหม่เสมอ ร่วมสมัย กิเลสในระดับดาวเทียม กิเลสในระดับเทคโนโลยีสมัยใหม่ กิเลสในระดับทางเศรษฐกิจก็ตาม ทางการเมืองก็ตาม สมัยนี้การเมืองของพระพุทธเจ้า กับการเมืองในยุคนี้มันเหมือนกันที่ไหน อาตมาพูดร่วมสมัยการเมืองตอนนี้ได้เลย แล้วหาว่าอาตมาเล่นการเมือง เล่นที่ไหน..ทำจริงๆ ไม่ได้วุ่นแต่ทำให้เขาดีทำให้สงบ ไปแสดงออกไปช่วยงานการเมืองไม่ได้ยุ่งวุ่นแต่ทำให้สงบทำให้เรียบร้อยทำให้ดีทำมาแล้ว อย่าหาว่ามาทวงบุญคุณนะ อาตมาพูดความจริงยืนยันเท่านั้นไม่ได้ทวงบุญคุณอะไร แต่คุณไม่รู้จัก อาตมาทำความจริงนั้นให้แก่ประเทศชาติมาแล้ว พาพวกเราไปทำ แล้วทำอย่างที่เรียกว่า คนอื่นตามได้ยาก อย่างฮ่องกง ก็ทำได้ไม่เหมือน ประท้วงกันก็ทำเละเทะ แต่ของพวกเราทำอย่างเรียบร้อยจนกระทั่งเรียบร้อยแล้วพวกเราถึงได้ถอนทัพ แล้วกลับมาสู่สถานที่ของเรา นายกฯตู่ก็รับช่วงมาตั้งแต่บัดโน้นเราก็ถอยทัพมา
นักรัฐศาสตร์จะมาเรียนรู้ในอนาคต เขาจะเข้าใจ ว่านักประชาธิปไตยของไทยที่แท้จริง คือชาวอโศกนั่นเอง นักรัฐประหารของประเทศไทย ตัวงานแท้ประหารด้วยความสงบเรียบร้อย ชนะมาแล้วหลายรัฐบาลด้วย อยู่ในเมืองไทยนี่เอง เขาก็ว่าของเขา แต่ทางสังคมประเทศจะไม่พูดถึงกองทัพธรรมชาวอโศก เขาจะพูดถึง กปปส.เขาจะพูดถึงพันธมิตร เขาจะไม่พูดถึงชาวอโศกไม่พูดถึงกองทัพธรรม เพราะพวกเราเป็นพวกปิดทองในลำไส้พระ ชาตินี้ต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ อาตมาไม่ได้น้อยใจไม่ได้เสียใจ มันเป็นความจริงอย่างนั้น ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นไม่ใช่ รู้ไว้เสียด้วย พวกเราไม่ใช่พวกปิดทองหลังพระ แต่เป็นพวกปิดทองในลำไส้พระ ลึกกว่าหลังพระอีก อยู่ข้างในไม่มีใครไม่เห็นได้ง่ายๆ
ในโลกียะเทวนิยมปัญญาไม่มี เขาจะไม่ได้พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ที่เป็นครู ต้องขออภัยไม่ใช่ยกตนข่มท่าน แต่กำลังขยายความวิชาการความรู้ความจริงให้ฟัง
2.เธออาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพไว้อย่างแรงกล้านั้นแล้ว เธอเข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราวว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร ท่านเหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ทำให้แจ้งข้อที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง และบรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการแก่เธอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 2 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ
พ่อครูว่า..สอบถามเป็นครั้งคราวนะ อย่าไปทำจุกจิกจู้จี้นะ ท่านละเอียดจริงๆพระพุทธเจ้า อาตมากำลังอธิบายแม้คุณไม่ได้ถามเลย คุณมานั่งหน้าสลอนตาตั้งอย่างนี้ก็คือถามแล้ว จะชิงถามทันทีก็ไม่ได้ อาตมาก็อธิบายไปรวมๆ อธิบายทีละคนไม่ไหว
3.เธอฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมยังความสงบ 2 อย่าง คือ ความสงบกายและความสงบจิต ให้ถึงพร้อม ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 3 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ
-
เธอเป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจรมีปรกติเห็นภัยในโทษแม้มีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลายดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 4 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯเพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ
-
เธอเป็นพหูสูต ทรงจำสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมากทรงจำไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 5 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ