พ.ย.222019ศาสนา621122_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก อาริยบุคคล 7 ระดับ ผู้อยู่เป็น อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1GBaL4GrzIHS4bgmp6ii-bYXNrzC3AzWzJBbzlsPzRFk/edit?usp=sharing ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1ZjiwB4tw7FV8MmAUSPwuz2bp3sK48t6d สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ที่บวรสันติอโศก อาตมาไปปฐมอโศก ก็ได้ใช้วิบากกรรม ถูกตะขาบกัด เลยไม่ได้ขึ้นรายการกับพ่อครูตอนค่ำ ในช่วงที่ปวดอยู่ ได้เห็นข่าวว่าคุณยายไปแจ้งจับ ลูกสาวที่โกงเงิน คุณยายป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงต้องเจาะคอ อุตส่าห์เก็บเงินไม่ให้โจรขโมยมาลักไปแต่ก็สุดท้ายลูกในไส้ไม่รู้จะป้องกันอย่างไรเขาเอาไปจนเกลี้ยงเลย พ่อครูว่า… SMSวันที่ 20พ.ย.2562(พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครู : ปฐมอโศก) _คิดถูก Kidtook Kidtook :คนที่ตำหนิพ่อครูคือคนที่ถ่มน้ำลายขึ้นฟ้า มันไม่ได้โดนพ่อครูและไม่ทำให้เจ็บ พ่อครูว่า…เห็นจริงด้วย ท่านมองได้ชัด _เอกพล คนของใหญ่ :วันก่อนได้สนทนากับสมณะรูปนึงที่กรุงเทพ เจอสมณะรูปนี้ที่สถานีรถไฟสามเสน เห็นท่านแล้วศรัทธามากเพราะว่า ท่านไม่ใส่รองเท้า ผมยืนแอบอยู่สักครู่ พอรถไฟออกไปแล้ว ผมจึงเดินไปหาท่าน เพื่อจะถวายปัจจัยในการเดินทาง ท่านรับปัจจัยเล็กน้อยของผม แต่ท่านบอกว่า ไม่ได้อยากรับหรอก แต่อยากทำให้ความปรารถนาาของผมในการทำบุญนั้นสมบูรณ์ ท่านมาจากจังหวัดตรัง ขึ้นมากรุงเทพไปสันติอโศกที่สุขุมวิท ดีใจมากที่ได้พูดคุยกับท่านครับ และท่านได้มอบหนังสือให้ผมเล่มนึงด้วย _ประดับ อินทร์แป้น :ตามปกติแล้วสมณะชาวอโศกจะไม่รับเงินและทอง. ถ้ารับเงินและทองผิดวินัย ข้ออาบัติปาจิตตีย์ ต้องสละเงินและทองนั้นเสีย จึงจะพ้นอาบัติ. ที่ท่านรับ ท่านคงจะอนุโลม เพื่อไม่ให้คุณเสียกำลังใจ?ครับผม. _งามศีล เอี้ยมนอก :ขณะที่พระพุทธเจ้าปลงอายุสังขารนั้น มีภิกษุรูปหนึ่งจับกายในของพระองค์ว่า จะเคลื่อนออกจากกายหยาบอย่างไร ดูเหมือนจะเป็น พระอนุรุธทะ พ่อครูเห็นเป็นอย่างไรคะ?ขอให้พ่อครูอธิบายด้วยค่ะสาธุ??? พ่อครูว่า…ดูเหมือนจะเป็นพระอนุรุทธ ท่านเป็นเอตทัคคะสามารถรู้ใจในใจ ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญได้รับเอตทัคคะทางด้านนั้น ท่านรู้จักแล้วก็ตรวจสอบพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าจะเปลี่ยนแปลงท่านก็ตรวจสอบเท่านั้นเอง ก็จะไปรู้ไปทำไมของพระพุทธเจ้าเป็นพุทธะวิสัย ก็ขอผ่านตรงนี้ก็แล้วกัน กายนอก ก็รู้ร่วมกันได้ แต่กายในคือจิต ต่อเนื่องจากภายนอกและต้องมีภายนอกด้วยจึงเรียกว่ากาย และไม่ใช่ว่ากายนอกไม่ได้มีจิตร่วมรับรู้ด้วย กายมีแต่นอกไม่มีในไม่ได้ กายไม่มีนอกมีแต่ในไม่ได้ เพราะว่ากายคือนอก คนเข้าใจเพี้ยนว่ากายมีแต่นอกไม่มีใน มันก็หลุดไปเลย กายเป็นองค์ประชุมตั้งแต่ 2 ขึ้นไปเท่านั้น บางทีก็มีองค์ประชุมของ 3 4 5 6 7 8 9 10 แล้วแต่จะสามารถรู้องค์ประชุมนั้นเท่าไหร่ รวมกันอยู่เป็นองค์ประชุมเรียกว่ากาย _นิมราตทีวี Nimarat TV : ท่านสอนธรรมะมุ่งด้านศาสนาเถอะ อโศกนะดีมีธรรมแต่พวกรัฐบาลและข้าราชการในชุดนี้มันไม่ได้เรื่อง ท่านปฏิวัตได้ก็จริง คนที่อยู่กับทีมงานท่านไม่ใช่จะดีทุกอย่าง พ่อครูว่า…ก็ขอบคุณที่แนะนำให้เอาแต่ธรรมะ อาตมาก็เอาแต่ธรรมะเสมอ เพราะจะไม่ได้ร่วมทำงานกับทางราชการหรือทางภายนอกเท่าไหร่ นอกจากจะสำคัญ ถ้าต้องออกไปประท้วง ซึ่งงานสัมพันธ์กับคนภายนอก ไปร่วมช่วยเหลือคนที่มีทุกขภิกขภัย มีอุทกภัยก็ต้องไปก็ต้องทำอย่างนี้เป็นต้น แต่ท่านผู้ที่เข้าใจไม่อยากให้เราไปวุ่นวายยุ่งกับเรื่องโลก ความหมายที่ชัดเจนก็คืออย่างนั้น อยากให้เรามุ่งแต่ทางธรรมะ ธรรมะมันก็ขาดโลกขาดมนุษย์ไม่ได้มันขาดสังคมไม่ได้ ธรรมะคือเรื่องของมนุษย์คือเรื่องของสังคม ธรรมะไม่เกี่ยวกับสังคมไม่เกี่ยวกับมนุษย์นั้น พวกมิจฉาทิฎฐิ เช่นพวกนั่งหลับตาเอาแต่จิตเจตสิกของตนเองแล้วก็จะนิ่งก็จะสงบอะไรไป นั่นแหละคือมิจฉาทิฎฐิ พูดแล้วพูดอีก ศาสนาพุทธไม่ได้สุดโต่ง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาสังคมเป็นศาสนาที่มีประโยชน์มากต่อมวลมนุษยชาติเรียกว่า พหุชนหิตายะ ทำให้มวลมนุษยชาติอยู่เย็นเป็นสุขเรียกว่า พหุชนสุขายะ รับใช้โลกคือโลกานุกัมปายะธรรมะพระพุทธเจ้าคุ้มครองทั้งคนมีธรรมะและอธรรม _ธรรมะพระพุทธเจ้าจะคุ้มครองคนมีธรรม ไม่ต้องเอารัฐบาลพลังประชารัฐมาคุ้มครองตัวเองนะครับมันเปราะเปือน ถ้าชาวอโศกเดินตามธรรมจะกลัวอะไรครับ ธรรมกาย เถระสมาคม ใครทำอะไร มันก็จะเดินไปตามกรรมของมันเองละครับท่าน พ่อครูว่า…ก็ถูกแล้วไม่มีปัญหาอะไร _ประดับ อินทร์แป้น: นักการเมืองที่ไม่มีธรรมะ อย่าหวังว่าเขาจะให้ความยุติธรรมแก่ประชาชน.ศาสนาไม่สามารถให้ความยุติธรรมแก่ประชาชนได้ เพราะไม่มีอำนาจทางศาล ทางนิติบัญญัติ พ่อครูว่า…คุณอย่าดูถูกธรรมะธรรมะจะช่วยได้ คุณพูดอย่างนี้มามิจฉาทิฏฐิ ถ้าหากศาสนาผิดๆ ศาสนามิจฉาทิฏฐิ ก็ใช่ มันให้ความยุติธรรมแก่ประชาชนไม่ได้ ศาสนาที่สัมมาทิฏฐิศาสนาที่ดีที่สุด ศาลแท้ผู้ที่มีประสิทธิภาพจริงๆ สามารถให้ความยุติธรรมแก่ประชาชนได้ ศาลก็ต้องยุติธรรม ไม่ผิดเพี้ยนไปจากธรรมชาติรหัสผิดเพี้ยนไปก็ไม่ใช่ความยุติธรรม คุณไม่อาจจะไปดูถูกศาลได้ สมณะเดินดินว่า.. ก็มองว่าศาลนั้นสามารถตัดสินได้ให้ความยุติธรรมได้ แต่ธรรมะตัดสินไม่ได้ พ่อครูว่า…ศาสนาไม่ใช่การบังคับ ผู้ที่มีภูมิปัญญาจึงจะรับได้ ผู้ที่ไม่รู้ได้จะไปตัดสินให้ได้อย่างไร ถ้าเขาไม่เอาเขาก็ไม่รู้เอง ถ้าเขารู้ว่าตัดสินนี้ถูกแล้วเหมือนศาลตัดสินแล้ว เขาก็จะยอมรับ เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่มีภูมิปัญญาก็ต้องพึ่งพาอาศัย แต่ว่าศาลมีอำนาจ Command บังคับใครไม่เชื่อตามกฎหมายก็ต้องออกนอกประเทศ มีหลายคนต้องออกจากประเทศไปอีกหลายคนก็กำลังจะตามไป อาตมาเชื่อว่าหากเขาสร้างใหม่เขาก็เป็นเจ้าของอำนาจอย่างเดิม ที่เขาตะโกนนี้มันเป็นการฝันเฟื่อง ว่าเป็นการใช้อำนาจประชาชนเป็นใหญ่ อาตมาไม่เชื่อ จะบอกว่าแนวคิดเขาฝันเฟื่อง ซึ่งฝันเฟื่องได้ แต่อาตมาไม่เชื่อจริงๆว่าถ้าเขาได้อำนาจจะทำได้ตามฝันเฟื่อง แต่อาตมาพาพวกเราทำงานจนจิตใจมนุษย์ทำเป็นสังคมอย่างนี้ นี่ได้แล้วไม่ใช่ฝันเฟื่อง สุจริตยุติธรรมแล้วได้ขนาดนี้ ดีที่สุดแล้วในสังคมทั้งหลายของโลก เพราะคนอโศกไม่ได้มีตัวตน ล้างตัวตนได้จริงๆแล้วอยู่อย่างมักน้อยสันโดษไม่สะสม เสียสละยอมขาดทุนเสียสละอย่างแท้จริง ขนาดธนาธรนี่ เงินไม่กี่บาทก็ยังเป็นเรื่องขนาดนี้ ฟ้องร้องกันอยู่แล้วมันจะได้อะไร แม้แต่คนในพรรคของคุณเองก็ต้องเอาดอกเบี้ยให้เอามาคืน พฤติกรรมอย่างนี้ก็แสดงแล้วสำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล มีแต่ไอเดียมีแต่ความคิดฟุ้งซ่านว่าฉันจะเอาสวยๆงดงาม แต่พฤติกรรมที่เป็นอยู่ยังทำไม่ได้ในวงเล็กด้วย ในพรรคของคุณเอง แล้วคุณจะมาทำของมหาศาลเลย (ส.เดินดินว่า…วันนี้คนละออกจากพรรคเขาหลายร้อยคนเลย ) นี่ส่อว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม ความคิดเฟ้อสวยๆนี้ได้ แต่กิเลสของคนก็จะทำให้คนทำจริง คุณพูดสวยแต่พฤติกรรมคุณเป็นไม่ได้หรอก แต่ชมธนาธรหน่อยว่า เขาแสดงออกได้ดี ควบคุมอารมณ์ได้ดี สวยกว่าพลเอกประยุทธ์ อันนี้เขาได้แต้ม แต่ลักษณะเลิกนั้นพลเอกประยุทธ์ทำงานมาแล้ว 5 ปีเกือบ 6 ปีแล้ว พิสูจน์มาขนาดนี้ อาตมาว่ามันไม่ใช่งานง่ายงานบริหารประเทศชาติ แล้วก็มีเสือสิงห์กระทิงแรดอยู่ขนาดนี้ ไม่ง่ายหรอกธนาธรเอ๋ย แต่พูดอย่างไรเขาก็ต้องทำ ก็ดูไป ไม่ต้องไปดูที่ดูไบ จะมีสิ่งที่จริงเป็นความจริงให้พวกเราดู ละครของมนุษยชาติมีอยู่ตลอดให้ดู อาตมาถือว่า ประเทศไทยมีตัวละครมีเรื่องราวมีเหตุปัจจัยของเรื่อง จะพูดโดยโลกๆง่ายๆ ผู้สร้างพล็อตเรื่องก็คือพระเจ้า หรือธรรมชาติเหตุปัจจัยสร้างพล็อตเรื่องขึ้นมา พล็อตเรื่องสวยแต่ความเป็นจริงจะไม่ได้เป็นไปตามนั้น แม้ว่าพระอรหันต์ก็ตามมาทำก็ไม่ได้เป็นไปตามนั้นเพราะว่าคนมันเก่งมีมาก ตัวแปรมันมีเยอะ เข้ามาทุกปัจจุบันมันก็ต้องปรับให้ได้ขนาดนี้ มีอยู่ทุกปัจจุบันต่อไปที่ต้องปรับเปลี่ยน เพราะฉะนั้นการที่จะมาจัดสรรสังเคราะห์องค์ประกอบทุกอัน solution ออกมาแต่ละพฤติกรรมสังคม มันไม่ง่ายเลย ความไม่เที่ยงนี้ มันเร็วกว่าจุดแห่ง .0001 ของวินาทีมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความเร็วของความเปลี่ยนแปลง มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเลย ก็จิตของมนุษย์ไม่หยุดที่จะเอาชนะไม่หยุดที่จะแย่งชิง ไม่หยุดที่จะต้องทำ เพราะฉะนั้นที่ทำกันอยู่ในวงการการค้าขายก็ดี วงของการหาลาภยศก็ดี วงของการสร้างอำนาจบาตรใหญ่ก็ดี แม้แต่วงการเสพรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเสพรสอร่อยเสพความสนุกสนานก็ดี ปรุงแต่งกันอยู่ไม่หยุดกันมหาศาล พูดอีกก็ได้แต่มันเมื่อยแล้วพอ สรุปอีกทีถ้าคุณทิ้งธรรมะก็จะไม่มีที่พึ่ง อาตมาเห็นด้วยอย่าหวังจะเอาจากนักการเมืองที่ไม่มีธรรมะ แต่ที่ว่าศาสนาไม่สามารถให้ความเป็นธรรมกับประชาชนได้อันนี้คุณตีทิ้งเลยจะไม่มีที่พึ่งนะ คุณก็อ้างว้างว้าเหว่หมดทาง ไม่ได้ต้องมีที่พึ่งสิ พึ่งได้มากหรือน้อยก็แล้วแต่ แล้วเราก็ไม่ประมาททุก .0001ของวินาที _รุจิรา วงศ์ปาลี Rujira Wongpalee : พ่อเทศน์เรื่องบุญได้ชัดเจนมาก พ่อครูว่า…ยังเขียนไม่จบหน้าในหนังสือรวบรวมคอลัมน์เปิดยุคบุญนิยม _สกุณา: อนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุค่ะ ดิฉันรู้สึกประทับใจและศรัทธาที่พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ได้แสดงธรรมด้วยความอาจหาญ แกร่งกล้า ไม่มีตัวตน ยืนหยัดยืนยันสัจธรรมความจริง ทักท้วงคนที่หลงเข้าใจผิด ยึดติดบุญแบบผิดๆ พระส่วนมากมักจะสอนให้ญาติโยมยึดติดกับความสุข บุญคือความสุข(แบบโลกีย์)กลายเป็นการปลูกฝังความเห็นแก่ตัว จึงไม่ได้ลดละความมีตัวตน ซึ่งคำสอนที่เป็นแก่นแท้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นความจริงว่าธรรมชาติของกายนี้ จิตนี้ มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา เพื่อที่จะไม่ให้เรายึดติดในความมีตัวตน ทำลายความมีตัวตน จะได้ดับทุกข์ พ้นทุกข์ได้ แล้วมีความเป็นอยู่ด้วยจิตที่มีเมตตา กรุณาที่กว้างใหญ่ไพศาล ปรารถนาอยากให้เพื่อนร่วมทุกข์ ดับทุกข์ พ้นทุกข์ได้เหมือนตน จึงต้องมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน นี่แหละ คือ ความสุขแบบโลกุตระ ซึ่งเป็นความสุขที่เหนือกว่าความสุขแบบโลกีย์ และที่พ่อครูบอกว่าต้องสอนธรรมเบื้องปลายก่อน เพื่อจะใด้มีสัมมาทิฏฐิ ดิฉันก็เห็นเช่นนั้นโดยเฉพาะชี้ให้เห็นเรื่องทุกขสัจ จนทำลายความมีตัวตนได้ เมื่อทำบุญก็ทำบุญเพื่อลดละกิเลส และสงเคราะห์ เมื่อถือศีลก็ถือศีลเพื่อลดละกิเลส และไม่เบียดเบียนให้ใครต้องเดือดร้อนค่ะ พ่อครูว่า…ขอบคุณที่คุณมองเห็นความจริงว่าอาตมาไม่มีตัวตนแล้วอาตมารับนะ แต่คนไม่เข้าใจก็จะหาว่าอาตมาหลงตัวเอง ภาษาคำว่า สุข ก็ดีมันไม่ได้มีตัวตนเพราะว่าคำ ข แปลว่าว่าง สุ แปลว่าดี สุข คือว่างนั่นแหละเป็นของดี มีความซ้อนทั้งพยัญชนะและสภาวะ สรุปแล้วคุณสกุณาเข้าใจได้ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะเดินดิน…ถ้าไม่มีพระโพธิสัตว์มาเกิดขึ้นก็จะหลงในความสุขในความร่ำรวย ลงในการนั่งหลับตา หากอาตมาพูดคงไม่ได้ เพราะไม่มีบารมี พ่อครูว่า..ดีนะพูดอย่างถ่อมตัว ขนาดอาตมามีบารมีมากกว่าท่าน นี่ไม่ได้พูดข่มท่านนะ ขนาดมีบารมียังยากนะ คนมีมานะ อติมานะกันมาก ที่จริงแล้วมีผู้ที่แสวงหาผู้ที่ตั้งใจที่จะพยายามจะได้สิ่งที่เป็นประโยชน์มีคุณค่าอยู่เหมือนกัน ติดตามอยู่ก็ได้แต่ตามลำดับไปพอสมควร อาตมาเชื่อมั่นอยู่ว่า คนที่แสวงหามีอยู่ และในอนาคตสัจธรรมเพิ่มพูนขึ้น คนมาเอาเพิ่มขึ้นก็จะเกิดมวลเพิ่มขึ้นมันยากจึงทำอย่างตะกละตะกลามไม่ได้ใจร้อนไม่ได้ ต้องทำอย่างใจเย็น ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ เป็นมอตโต้สำคัญเลย พยายามทำไปแล้วก็จะเกิดการพัฒนา _SMS วันที่ 21 พ.ย. 2562 (พุทธศาสนาตามภูมิ สมณะ สิกขมาตุ บ้านราช) __จักรพล พุทธพัฒนา : วันนี้คนฟังน้อยจัง..ไปไหนหมด รึยังไม่มา __แพรวฝัน Praewphan Lattikakarn : กราบสาธุ…วันนี้ฟังธรรมสนุก ผาสุกมากเจ้าค่ะ __สาทันดร สมัครกานSatandorn Samakkarn : อันนี้ศาสนาอะไรครับ สอนเหมือนศาสนาพุทธเลย __สุภารัตน์ จันดรSuparat Jundon ฟังสนุกแล้วเข้าใจง่ายค่ะสาธุ __มั่น ใจพุทธ : กราบนมัสการพ่อครู สมณะและสิกขมาตุ ทุกท่าน ขอบคุณที่ชี้ทางสว่างให้คะ พ่อครูว่า..อาตมายังไม่เก่งอธิบาย แต่เจอในพระไตรปิฎกก็จะเอามาพูดอีก เรื่องที่จะพูดนี้คือเรื่อง อาริยบุคคล 7 อุภโตภาควิมุติ ปัญญาวิมุติ กายสักขี ทิฏฐิปัตตะ สัทธาวิมุติ ธัมมานุสารี ล.13 ข 230 บุคคล 7 จำพวก [230] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล 7 จำพวกเหล่านี้มีปรากฏอยู่ในโลก 7 จำพวกเป็นไฉนคืออุภโตภาควิมุตบุคคล 1 ปัญญาวิมุตบุคคล 1 กายสักขีบุคคล 1 ทิฏฐิปัตตบุคคล 1 สัทธาวิมุตบุคคล 1 ธัมมานุสารีบุคคล 1 สัทธานุสารีบุคคล 1 [231] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อุภโตภาควิมุตบุคคลเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล บางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมาบัติล่วงรูปสมบัติ ด้วยกายอยู่ และอาสวะทั้งหลายของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา บุคคลนี้เรากล่าวว่า อุภโตภาควิมุตบุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะกิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ภิกษุนั้นทำเสร็จแล้ว และภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะประมาท. พ่อครูว่า..การบรรลุนี้ต้องเห็นด้วยปัญญา ไม่มีปัญญาอันยิ่ง หากว่าไม่มีปัญญามีแต่ศรัทธามีแต่สัญญามีแต่เจโต ไม่ถือว่าเป็นการบรรลุของศาสนาพุทธ ปัญญานั้นอาตมากำลังนำมาขยายความปัญญา 8 ปัญญา 6 คือปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ องค์แห่งมรรค สัมมาทิฏฐิ พ่อครูว่า..คนผู้นี้จะไม่ทำด้วยความประมาท ความประมาทเป็นอุปกิเลสข้อสุดท้ายในอุปกิเลส 16 แม้แต่ในสุริยเปยยาล 7 ความประมาทก็อยู่ที่ข้อ 6 หากประมาทอยู่จะทำโยนิโสมนสิการในข้อที่ 7 ไม่ได้ถ่องแท้ หากยังมีประมาทก่อน คุณจะโยนิโสฯไม่ได้ นี่คือความละเอียดลึกซึ้งที่พระพุทธเจ้าท่าน ตรัสดักไว้หมด ประมาทเป็นอกุศลจิต ต้องไม่ประมาทจึงเป็นกุศลจิต หากไม่ประมาทจึงทำกุศลต่อไปได้ อุภโตภาควิมุติ คือถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คือ อรูปสมาบัติเพราะล่วงรูปสมาบัติด้วยกาย เพราะฉะนั้นผู้นี้มีครบทั้งถูกต้องวิโมกข์ 8 และไม่ถูกต้องวิโมกข์ 8 อันละเอียด ในอรูปสมาบัติที่กำลังสัมผัสอยู่นี้ ในภาษาของโลกีย์สมาบัติคือการนั่งเข้าภพ แต่สมบัติของพระพุทธเจ้าไม่มีการเข้าออก แต่กำลังเป็นอยู่ด้วย ผู้นี้ได้แล้วและกำลังเป็นอยู่ ในขั้นอรูป อรูปคำนี้ก็คือรูป แต่ไม่มีภาษาจะเรียกแล้วเพราะไม่รู้จะเรียกอะไร โดยสภาวะแล้วมันไม่มีรูปแล้ว ก็คือ 0 แต่คุณยังมีชีวิตคุณยังมีสิ่งที่อาศัยอยู่จึงเรียกว่าคุณอยู่กับอันนั้น จึงเรียกว่ายังมี นี่คือภาษาสิริมหามายา ประเดี๋ยวก็ว่ามีประเดี๋ยวก็ว่าไม่มี ฟังดีๆจะไม่สับสน พูดชัดเจนแล้วไม่งงแล้วก็จะรู้ว่ากลับไปกลับมาได้ เข้าใจเลยว่าสภาพนี้จริงๆแล้วมีหรือไม่มี ?…ตอบอันไหนก็ถูกหมด คนที่ไม่เข้าใจตอบอันไหนก็ผิดหมด คนไม่ตอบก็คือคนไม่รู้เรื่อง ต้องใช้ภาษาเรียกแทนซึ่งบางทีมันไม่มีภาษาจะเรียกแล้ว บางคนชอบพูดว่าสิ่งที่ไม่พูดไม่ใช่ของจริงสิ่งที่จริงต้องนิ่งใบ้ พูดได้ไม่ใช่ของจริง ก็ไม่ผิดแต่อย่าเล่นคารมเฉยๆ ไม่ได้ โดยพยัญชนะว่าประมาท แต่โดยสภาวะทำเสร็จสิ้นแล้วคือไม่ประมาท ผู้ที่เข้าใจแล้วจะรู้ว่าอันนี้ไว้สื่อสารสำหรับผู้ที่ต้องทำอยู่นะถ้าคุณประมาทไม่เสร็จนะ ต้องทำด้วยความไม่ประมาทและคุณจะเสร็จ ต้องพูดให้คนนี้อย่างนี้ พูดให้กับคนที่ต้องทำ ชัดไหมเข้าใจไหม ทำเสร็จแล้วพูดนั้นก็ไม่ควรจะประมาท แต่ถ้ายังควรประมาทอยู่ก็ช่วยไม่ได้แล้ว แต่ถ้าท่านไม่แข็งแรงจริงๆสู้ไม่ได้ก็คือประมาทไปได้เหมือนกัน [232] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปัญญาวิมุตบุคคลเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมบัติล่วงรูปสมบัติด้วยกายอยู่ แต่อาสวะทั้งหลายของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลนี้เรากล่าวว่าปัญญาวิมุตบุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาทย่อมไม่มีแก่ภิกษุแม้นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะกิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ภิกษุนั้นทำเสร็จแล้ว และภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะประมาท. พ่อครูว่า..อุภโตภาควิมุติ เป็นพระอรหันต์แน่นอน แต่อันนี้แม้จะเป็นสายปัญญา แต่เจโตจริงๆคืออาสวะอกุศลจิตจริงๆทั้งหลายก็หมดแล้ว ผู้บรรลุด้วยปัญญา ท่านล่วงรูปสมาบัติแล้ว คือภาคปฏิบัติคือสมาบัติสมบูรณ์แล้วก็คือบรรลุแล้ว ตอนนี้อรูปอยู่ แต่แม้อยู่กับอรูปนี้ อาสวะทั้งหลายของผู้นี้ก็สิ้นไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นผู้นี้ปัญญาวิมุติ จึงเรียกได้ว่าเป็นพระอรหันต์ เห็นความลึกซึ้งซับซ้อนมันน่าเห็นใจผู้ที่ไม่มีสภาวะ ถ้าเขาจะไม่งงไม่สับสนก็แปลกแล้วเพราะเขายังไม่ใช่ผู้บรรลุ ถ้าผู้ที่บรรลุแล้วก็จะไม่แปลกประหลาด ก็ใช้ได้ เป็นคนสมบูรณ์แบบแล้วไม่ใช่คนที่ยังมีอะไรแตกๆต่างๆ หมดความแตกๆต่างๆแล้ว จะพูดกลับไปกลับมายิ่งกว่านักมายากล มีหรือไม่มี ไม่มีหรือมี นักมายากลจะแกล้งคนอย่างนั้น แต่นี่สิริมหามายาพูดเร็วกลับไปกลับมา แต่ไม่หลอก ต้องหมุนสมองให้ทันสมัย ถ้าหมุนสมองไม่ทันสมัยก็งง สรุป ปัญญาวิมุติคือ ผู้ไม่ต้องถูกต้องวิโมกข์ 8 อันละเอียด เพราะท่านมีกายเป็นปกติลืมตาอยู่แล้ว คนลืมตามีกายอยู่แล้ว แต่คนหลับตาสิต้องบอกเขาให้ลืมตามามีกาย นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า หลับตาไม่ครบกาย ศาสนาพุทธต้องมีกาย บรรลุไม่มีกายไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องลืมตาปฏิบัติ ผู้ลืมตาไม่ได้เป็นคนสติตกไม่ป้ำเป๋อ ก็ต้องมีตาหูจมูกลิ้นกายกระทบสัมผัสต้องรู้ใช่ไหม _ทองแก้ว…ที่พ่อท่านบอกว่า ปัญญาวิมุติคือเรายึดแต่ไม่ยึด เราไม่ยึดแต่เรายึด พ่อครูว่า…ได้สัจจะของท่านสมบูรณ์แล้วจะยึดก็ได้ไม่ยึดก็ได้ _ทองแก้ว…เหมือนเรายึดงานแต่เราไม่ยึดงาน พ่อครูว่า..นั่นแหละเป็นอมตะบุคคลแล้ว สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้เที่ยงแท้ตลอดกาล เอาไว้ใช้ปฏิบัติประพฤติเป็นอยู่เท่านั้น จริงไหม จริง ไม่จริงไหม ไม่จริง แต่จริงนะ เลิกก็ได้ ได้ ไม่เลิกก็ได้ ก็ยังไม่เลิก ทำไม? พูดไปพูดมาเหมือนยวนเลย พูดไปเหมือนเล่นตลก ฟังไปแล้วสนุกเหมือนเล่นตลก แล้วได้สาระเนื้อหาแก่นสารด้วย ไม่ใช่สนุกแค่ดูตลกเล่นคารมโวหารเท่านั้น แต่มันมีสาระแก่นสารที่ลึกซึ้งถึงสัจจะ ประเด็นหลักของปัญญาวิมุติคือ อาสวะสิ้นหมดแล้ว 2 ลืมตาปฏิบัติมีสัมผัส วิโมกข์ 8 ด้วยกาย คนบอกว่าปัญญาวิมุติไม่มีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย คุณพูดปากเปล่าเท่านั้น เพราะว่าท่านสัมมาทิฏฐิแล้ว อาสวะท่านสิ้นแล้ว ถ้าไม่ลืมตา อาสวะสิ้นไม่ได้ ปฏิบัติไม่ลืมตาปฏิบัติให้ตายอย่างไรพระพุทธเจ้าก็ไม่รับว่าเป็นพระอรหันต์ อาสวะบางอย่างอาจจะลดได้ [233] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กายสักขีบุคคลเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมบัติล่วงรูปสมาบัติด้วยกายอยู่ และอาสวะบางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา บุคคลนี้เรากล่าวว่ากายสักขีบุคคล พ่อครูว่า..อยู่กับอรูปสมาบัติแต่อาสวะยังไม่หมด คนผู้นี้จะเรียกอรหันต์ไม่ได้ กายสักขีต้องมีภายนอกภายในยืนยัน อาสวะจึงสิ้นได้ แต่อันนี้ อาสวะบางอย่างสิ้น อยู่ในฐานอรูปสมาบัติ แม้อาสวะบางอย่างสิ้นก็สิ้นด้วยปัญญา และปัญญา ขอย้ำว่าปัญญาต้องลืมตา กายสักขี จึงมีสิ่งไม่ครบพร้อม ที่ไม่ได้ลืมตาปฏิบัติ แม้ลืมตาก็ตามกายสักขีก็ยังปฏิบัติได้ไม่ครบ อาสวะยังไม่หมด หมดอันไหนก็หมดด้วยปัญญา ต้องไปเอาตัวปัญญาเป็นตัวตัดสินอีก ปัญญา หลับตาไม่มีปัญญา มีแต่สัญญา เห็นอยู่ในภพภูมิ คุณหลับตาปฏิบัติไม่มีปัจจุบันมีแต่อดีตกับอนาคต หลับตาไม่มีปัจจุบัน ปัจจุบันต้องมี ทิฏฐกาละ ต้องมีธรรมะเป็นปัจจุบัน ต้องมีจักขุ ปัญญา ญาณ วิชชา อาโลก มีแสงสว่างร่วมกันกับผู้อื่นยืนยันกันได้ตั้งแต่สองคนขึ้นไป หากคุณคิดคนเดียว เห็นอยู่คนเดียวรู้อยู่คนเดียว ไม่มีใครรับรองว่าอันนี้เป็นความจริงกับคุณได้เลย มันเป็นสัญญายนิจจานิ เที่ยงอยู่กับสัญญาของตนเองเท่านั้น ไม่มีใครรับรองจริงก็ได้ไม่จริงก็ได้ จะตัดสินว่าจริงไม่ได้หรอก จะตัดสินว่าจริงต้องมีคนรับรองอีกอย่างน้อย 1 คนเปิดโลกออกมา แต่ถ้าจริงแล้วไม่ต้องแค่หนึ่งคนหรอก คนอื่นเข้ามาร่วมกันได้ด้วยยกตัวอย่างเช่น แหมที่นี่ ประดับ ไม่มีอะไรให้หยิบได้เลย นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ _สู่แดนธรรม…ผมนึกถึงคำสอน กาย 3 พ่อครูว่า…ภายในมีสิ่งที่ถูกรู้กับธาตุรู้เป็นนิรมาณกาย กำหนดเองอยู่ในอดีตกับอนาคต ในภพภวังค์ ไม่ได้ออกมาอยู่ข้างนอกที่เป็น กามภพ เป็นองค์รวมรูปภพอรูปภพของคุณ แต่ละคนก็นิรมาณกายเอาเองสร้างขึ้นมา แล้วเอามายืนยันกับคนอื่น ขณะที่มีอยู่นั้นก็ยืนยันกับคนอื่นไม่ได้ แต่เขาบอกกันว่าส่งให้คนอื่นที่รับได้ตรงกันก็มีที่เล่นฤทธิ์เดชตรงกัน นิรมาณกายคือกายที่สร้างขึ้นมาเอง จริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ แต่คุณมีได้ ยิ่งหลงว่าเป็นจริงก็สร้างจริง เช่น รสอร่อย คุณดื่มน้ำอันนี้มีรสหวานมันเค็มอร่อยจังเลย รสหวานมันเค็มก็เป็นธาตุแท้ หวานอย่างนี้ ขนาดนี้ก็เป็นรสแท้ของมัน แต่อร่อยนี่ไม่ใช่ตัวแท้ มันไม่ใช่เวทนาแท้ เวทนาแท้คือหวานอย่างนั้นๆ คนอื่น 1 2 3 4 5 6 7 8 9 ร้อยพันหมื่นแสน มาแตะรับรสดู ก็จะได้รสเดียวกัน หากประสาทปกติ ก็ได้รับรสอันนี้เท่ากันเหมือนกันหมด มันคือของแท้ แต่คนที่ชอบไม่ชอบอร่อยและไม่อร่อยอันนี้ต่างหากที่เป็นรสเก๊ มันรสไม่จริง นี่คือความละเอียด เพราะฉะนั้นจะยืนยันก็ต้องมีคนรับรองกันว่า มาแตะด้วยกันรสนี้ ชิมดู ตรงกัน จึงถือว่าอันนี้เป็นสัจจะมีปัจจุบันคนอื่นร่วมรับรู้สัมผัสได้ด้วย แต่หากคุณสัมผัสอยู่คนเดียว แต่ละคนสัมผัสอยู่คนเดียวแล้วเอามาพูดกันต่างคนก็เป็น สัมโภคกาย แต่ต่างคนต่างมีนิรมาณกาย ทั้งหมดเป็นอาทิสมานกายคือไม่ได้เห็นด้วยกันเลย แต่หากว่าสัมผัสภายนอกร่วมกันก็สัมผัสเดียวกันหมด แต่ภายในจิตของคุณ ต่างคนต่างปั้น คุณก็บอกอร่อยไม่อร่อย ร่วมกัน เป็นอย่างไรคุณก็พูดกันไป แต่ต่างคนต่างไม่เห็นของแท้ ที่สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายเป็นปัจจุบันสัมผัส ไม่มี นี่แหละคือความเป็นปัจจุบันที่เป็น ทิฏฐกาละ ที่ต้องมีจักขุ ปัญญา ญาณ วิชชา อาโลก แสงสว่าง ทุกคนมีการสัมผัสทวารทั้ง 5 เหมือนกัน ข้างนอกมี 5 ทวาร จักขุ โสต ฆาน ชิวหา โผฏฐัพพะ _สู่แดนธรรมว่า..ผมนึกถึงคำสอนที่ท่านเดินดินเคยบอกไว้ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสไม่เหมือนกัน เราจะรู้เห็นเพื่อนเราเป็นอาริยะ จะรู้ได้อย่างไรก็เพราะว่าอาศัยอยู่ร่วมกันคบคุ้นกัน มีอยู่คราวหนึ่ง ญาติธรรมว่า จะให้พ่อท่านรับรองคุณธรรมให้ ท่านเดินดินก็บอกว่าไม่ต้องไปถึงพ่อท่านหรอก ให้คนที่อยู่ข้างๆที่อยู่ด้วยกันบอกก็แล้วกัน พ่อครูว่า…ถ้าอาตมาไปรับรองให้เลย Approve ให้เลยว่า คนนี้เป็นพระอรหันต์ แต่พวกคุณไม่เห็นด้วยร่วมเลย คนอย่างนี้หรือเป็นอรหันต์ไม่เชื่อไม่เห็นจะเข้าท่าเลย อาตมาก็แหมหนักนะ รับรองแบกคนนี้คนเดียวเลย ให้เพื่อนแบกช่วยดีกว่า อาตมาถึงไม่ได้ไปรับรองง่ายๆ ต้องให้คนอื่นๆเห็นร่วมด้วยกัน ถ้าไปบอกคนเดียวแบกคนเดียวก็ตาย ยิ่งคนนั้นมีอะไรหยาบๆอยู่ ไม่ลงร่องลงรอย เป็นคนสุภาพเรียบทั้งร้อย ถ้าจะเรียบแค่สองสาม แต่ก็กิเลสหมด แต่มีพฤติกรรมกระโดกกระเดก อย่างกายกรรม วาจา หรือแม้แต่จิต บางทีจิตเขาก็คะนอง แสดงออกจิตคะนอง ซึ่งในยุคพระพุทธเจ้ามีคนที่หยาบ คนไม่เชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ ต้องให้พระพุทธเจ้ารับรองซึ่งจะเชื่อก็มีอย่างนี้เป็นต้น มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะเป็นเก่งจริงๆได้ง่ายๆ การรับรองเหล่านี้จึงต้องระวังอย่างยิ่ง มันไม่ใช่ของเล่น ต้องมีภายนอกต้องมีผู้อื่นต้องมีใครๆร่วมรับรองจึงได้ชื่อว่าสัจจะ ถ้ายังไม่มีคนอื่นรับรองเลยแค่คุณคนเดียว ถ้าคนเดียวจริงๆไม่มีแม้แต่สองคนก็เยอะ รับรองแค่ 2 คน คนก็ยังเชื่อยากเลย ต้องคบคุ้นต้องอยู่กันอย่างนี้นานๆจึงจะรู้รายละเอียดว่าตัวจริงนะ ข้อบกพร่องเขาคงจะมีบ้าง อย่างอาตมารับรองคนเป็นพระอรหันต์ ตอนนี้ที่เขามีชีวิตอยู่ที่ปฐมอโศก คนก็เถียงไม่ได้นะ ไม่ได้เหมือนเป็นคนฉลาดเฉลียวปราดเปรียว แต่เป็นผู้สะอาดเป็นผู้บริสุทธิ์ แล้วคุณว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไรบ้าง นี่ถ้าใครพูดถึงใคร ผู้ที่รู้ก็คงจะนึกออก อย่างนี้เป็นต้น _สู่แดนธรรมว่า…มีญาติธรรมบางท่านสร้างไม้บรรทัดวิเศษไปวัดคุณยายท่านนี้เขาก็ไม่เชื่อไม้บรรทัดของพ่อท่าน พ่อครูว่า…เราไปบังคับใครไม่ได้ เหมือนอาตมานี่แหละ คนเอาไม้บรรทัดมาวัดอาตมาและจะเชื่อได้ง่ายๆ อาตมาไม่ได้เดินตามไม้บรรทัดเท่าไหร่ คนจะเชื่ออาตมานี้ไม่ง่าย จะเชื่ออาตมาคนนั้นต้องมีปัญญาจริงๆต้องฟังต้องติดตาม บางคนก็ต้องนานมากจึงเชื่อแล้วล่ะ ขนาดนี้แล้วล่ะ เราต้องยอมแล้ว ไม่ได้หรอกขนาดนี้ แล้วก็ไม่เห็นมีใครได้ขนาดนี้เขาก็จะจำนน อาตมาถึงต้องแสดงสัจจะที่ละเอียดลอออีกมากมายอีกนาน ที่จริงเขารับรองก็ดีแต่ไม่ได้อยากให้เขารับรองนะ แต่ถ้าเขารับรองมันก็ดี ถ้าเขาไม่รับรองมันก็ไม่ดีอยู่อย่างนั้น อาตมาจึงพยายามที่จะสร้างสัจธรรมต่อไป จนเขาจำนนรับรองมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็ต้องฝืน ฝืนไปก็ได้ประโยชน์หลายอย่างพิสูจน์สัจธรรมพิสูจน์ทฤษฎี ที่สุดแม้กระทั่งในยุคนี้ มนุษย์ในยุคนี้เป็นได้ตามทฤษฎีนี้ ตรวจสอบตามพระไตรปิฎกอาตมาก็ต้องอ้างอิงยืนยันให้ได้มากที่สุด ก็มีทั้งอาตมาตรวจเองและคนอื่นตรวจให้ด้วย ขอบคุณที่ส่งมาให้ เล่ม 19 ข้อที่ 32 พ. ดูกรภิกษุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่าอมตะอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ 8 คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้แลเรียกว่าทางที่จะให้ถึงอมตะ. ปฏิปทาแปลว่าทางปฏิบัติหรือวิธีปฏิบัติก็ได้ แต่มันไม่ใช่คนบรรลุอยู่ที่ทาง ถ้าไปแปลว่าทางสายกลาง ผลมันคือมัชฌิมา ทีนี้ทางสายกลางปฏิบัติแล้วที่จะให้บรรลุธรรมก็คือการเดินทางสายกลาง คนก็เข้าใจสภาวะของทางสายกลางคือทางที่ถูกแล้ว คุณก็เดินไปตามทาง สายกลางๆๆๆ คุณก็ได้แต่ทางกลางๆ ไม่ใช่ แต่คือทางเดินไปสู่ผลก็คือ กลาง เดินทางไปก็จะได้ กลาง เป็นผล ไม่ใช่คุณเดินอยู่ในทางสายกลางตลอดกาล เดินอยู่ในทางสายกลางไป แล้วผลของคุณอยู่ที่ไหน? มันก็คือ ปฏิปทา มันก็คือมรรค มีแต่ทางไม่มีผล มีแต่ข้อปฏิบัติไม่มีผล เห็นไหมว่าการแปลทางสายกลางที่ผิดเป็นแบบนี้ ซึ่งมันไม่ใช่ ทางปฏิบัตินี้ก็ต้องมีคำอธิบาย ทางปฏิบัติไปสู่ผลคือความเป็นกลาง ผลคือ ไม่มีข้างไหน ทางตรงคือไม่มีข้างหยาบ ข้างละเอียด กามก็ไม่มี อัตตาก็มีน้อยลงมา ถ้าทำสุดโต่งคือทำแต่กามไม่ทำอัตตาเลย คุณก็ได้แต่กามหมดแต่อัตตาเต็มบ้องเลย หรือคุณทำแต่อัตตาไม่ทำการลดกาม ก็กามเต็มเลย เชิญคุณไปนั่งหลับตาปฏิบัติคุณก็ไม่ได้ลดกามเลย ได้แต่อัตตา แต่ในอัตตานั้นคุณไม่รู้เรื่องเลย จะรู้อัตตาได้ต้องรู้ตั้งแต่ภายนอก โอฬาริกอัตตา คือภายนอก มโนมยอัตตาจะเรียกว่ารูปก็ได้ อรูปอัตตาคืออรูปก็ได้ แต่มโนมยอัตตาคือภายนอกที่เหลือแล้วก็ภายใน สมมุติกว่ากาม 100 หน่วย มโนมยอัตตาก็จะเหลือ 70 หรือ 50 หน่วย น้อยไปกว่านั้นก็คือภายใน อรูปแล้ว _ทองแก้วว่า..หากกามลด อัตตาก็ต้องลดด้วย อัตตาลด กามก็ต้องลดด้วยกันไหม พ่อครูว่า..หากจะเอาแต่กามลด อัตตาไม่ลด มันเป็นไปไม่ได้มันต้องทั้งสองฝ่ายสมดุล ไม่อย่างนั้นก็โต่งอยู่ อาตมาเคยทำมือท่าทาง มาเข้าประเด็น มันต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายหรือไม่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ผู้อุภโตภาควิมุติแน่นอนต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่ปัญญาวิมุตินั้นท่านบอกว่า นเหวโข ตัว น คือไม่ เหว คือความจริง โข คือผ่านไปแล้ว ท่านก็ไปแปลว่า ไม่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ซึ่ง น เหวโข พยัญชนะบาลีตัวนี้แหละที่บอกว่าปัญญาวิมุติ ท่านไปแปล น เหวโข บอกว่าไม่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายคนก็เลยสับสน อาตมาอธิบายว่าท่านบรรลุแล้วอาสวะสิ้นแล้วเป็นหลักฐาน จึงเรียกว่าขั้นนี้เป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น ในอุภโตภาควิมุติ เป็นพระอรหันต์ขั้นที่ 6 เป็นปัญญาวิมุตติก็นับว่าเป็นพระอรหันต์ ส่วนกายสักขี ไม่นับว่าเป็นพระอรหันต์ เอาอะไรยืนยันท่านบอกว่า อาสวะ บางอย่างเท่านั้นหมดสิ้นไป บางอย่างก็มีส่วนเป็นกายสัมผัส แต่ท่านไม่เก่งที่สุดในนี้ จึงต้องสัมผัสว่าให้มาสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายนะ _สู่แดนธรรมว่า..นิมนต์พ่อท่านอ่านต่อว่ากายสักขี ต้องมีรายละเอียดอย่างไร [233] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กายสักขีบุคคลเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมบัติล่วงรูปสมาบัติด้วยกายอยู่ และอาสวะบางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา บุคคลนี้เรากล่าวว่ากายสักขีบุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเราเห็นผลแห่งความไม่ประมาทของภิกษุนี้เช่นนี้ว่า ไฉนท่านผู้นี้ เมื่อเสพเสนาสนะที่สมควร คบหากัลยาณมิตร ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่ พึงทำซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่าที่กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองได้ในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่ดังนี้ เราจึงกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้ พ่อครูว่า…แล้วปัจจุบันมีสัมผัสภายนอกไหม? ต้องทำด้วยปัญญาอันยิ่งของตนเองและต้องเป็นปัจจุบันด้วย สู่แดนธรรมว่า..เมื่อเสพเสนาสนะที่สมควร คบหากัลยาณมิตร พ่อครูว่า…การคบหากัลยาณมิตรนั้นจะไปหลับตาคบหากันได้อย่างไร มันต้องทั้งตาบอดหูหนวกจมูกไม่ได้กลิ่นสัมผัสไม่รู้เรื่องลิ้นก็ไม่รับรสแล้วจะไปคบคุ้นกันอย่างไร คนที่อยู่ในเสนาสนะอันสมควร สัมผัสสัมพันธ์กัน มีสัปปายะ 4 เสนาสนะมีบุคคลมีกัลยาณมิตรมีเครื่องอาศัยร่วมกันมีธรรมะ พร้อมพรั่ง อย่างนี้แล้วมันจะต้องเกิดในปัจจุบันทั้งนั้น คนสัมผัสแล้วก็ต้องอ่านจิตของคุณ ว่า จิตของคุณลดกิเลสได้ไหมหมดกิเลสไหม สัมผัสร่วมกันกับคนอื่น คนอื่นก็จะเห็นร่วมด้วยว่า คุณติดหรือไม่ติด เขาก็จะรู้ ร่วมกันด้วยก็จะรู้ เขาบอกไม่ติดแต่กินหมากไม่ขาดปากเลย บอกว่าไม่ติด แต่อะไรนะ ห่างปากไม่ได้ หรือไปไหนก็กระติกน้ำหวานข้างเคียง กายสักขี ก็มีส่วนสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายอันละเอียดอยู่บ้างจึงมีอาสวะบางอย่างหมดสิ้นไปได้ ทิฏฐิปัตตะ [234] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทิฏฐิปัตตบุคคลเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมาบัติล่วงรูปสมบัติด้วยกายอยู่ แต่อาสวะบางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา อนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่ตถาคตประกาศแล้ว เป็นธรรมอันผู้นั้นเห็นแจ้งด้วยปัญญาประพฤติดีแล้ว บุคคลนี้เรากล่าวว่า ทิฏฐิปัตตบุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุแม้นี้ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเราเห็นผลแห่งความไม่ประมาทของภิกษุนี้เช่นนี้ว่า ไฉนท่านผู้นี้เสพเสนาสนะที่สมควร คบหากัลยาณมิตร ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่ พึงทำซึ่งที่สุดพรหมจรรย์อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่า ที่กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่ ดังนี้ เราจึงกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้ พ่อครูว่า…สรุปว่าคนผู้นี้มีการปฏิบัติสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายถูกต้อง แต่ว่าไม่ต้องไปกล่าว เป็นเรื่องน่าเห็นใจสำหรับคนที่แปลพระไตรปิฎกมันไม่ใช่เรื่องง่าย จะเรียกว่าผิดก็ผิดถ้ามันแปลผิด จะว่าถูกก็ถูก สำหรับที่ท่านยังเห็นว่าท่านไม่ได้ผิดจากบัญญัติภาษา เพราะว่าภาษามันแปลไปได้ 2 นัย สิริมหามายา จะตัดสินต้องเอาพลความว่าอาสวะสิ้นหรือไม่สิ้น หากอาสวะสิ้นก็แสดงว่าเป็นผล ถ้าหากอาสวะบางอย่างก็อย่างหนึ่ง อาสวะสิ้นหมดก็อย่างหนึ่ง จึงจะกำหนดได้ว่าในบุคคล 7 เมื่อใดจะตัด curve ว่าคนไหนเป็นพระอรหันต์ กายสักขีลงไป ไม่ถือว่าเป็นพระอรหันต์ กายสักขี คนผู้นี้มีสักขีพยาน เพราะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยการ ส่วนที่ไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อาสวะหลายอย่างที่คุณยังไม่หมด เมื่อไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายแสดงว่าไม่ได้ปฏิบัติสัมผัสภายนอก คุณปฏิบัติอยู่แต่ภายใน ไม่มีใครรับรองว่าคุณจะบรรลุได้สูงสุดไม่ครบ ไม่ปฏิบัติภายนอกไม่ครบ ยิ่งปฏิบัติไม่เป็นลำดับ ถ้าคุณปฏิบัติเป็นลำดับจากกายภายนอกมาหมดไป คุณก็จะอยู่เหนือกายภายนอกแล้วเข้าไปหาข้างในเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ โดยที่คุณไม่ได้ทิ้งกายภายนอก แต่ผู้ที่ปฏิบัติไม่เป็นลำดับ กายภายนอกคุณปฏิบัติไม่ได้ คุณจะได้แต่ปฏิบัติหลับตาเมื่อลืมตาคุณปฏิบัติไม่ได้พิสูจน์ยืนยันไม่ได้ว่าคุณหลุดพ้นหรือเปล่า ดีไม่ดียังไม่รู้ตัวเลยหลุดแล้ว แต่คนอื่นเขาเห็นง่าย ถ้าหากว่ารู้แล้วในกายภายนอก แต่กายภายนอกก็ยังสัมผัสสัมพันธ์อยู่ก็เหลือแต่กายภายในเป็น รูป อรูป ต่อไป กายภายนอกก็จะไม่มีปัญหายิ่งจะแข็งแรงมากยิ่งขึ้นด้วย แต่ถ้าคุณปฏิบัติแต่เพียงภายในคุณไม่มีแข็งแรงสู้ไม่ได้ กลับกันคุณจะไม่แข็งแรงยิ่งขึ้นด้วย แต่ถ้าปฏิบัติถูกต้องยิ่งจะแข็งแรงมากขึ้น หากไม่ได้ปฏิบัติภายนอกเอาแต่ภายในข้างนอกก็จะยิ่งอ่อนแอ คุณจะยิ่งไม่รู้ทันไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ยิ่งทุกวันนี้มันหยาบด้วย เหตุการณ์ทุกวันนี้มันไม่เที่ยง มันมีปรุงแต่งสารพัดมา โอ้โห กระเทยมันปรุงแต่งมาให้คุณเท่าไหร่ ยอดนักปรุงแต่งกิเลสโลก อาตมาเห็นแล้วเจ้าประคุณเอ๋ย นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะเดินดิน…ภาษาไทยทำให้คนเข้าใจผิดได้หลายอย่าง อย่างทาง คนไปนึกถึงเส้นทาง พ่อครูว่า…คุณเดินไปตามทางแล้วที่สุดแห่งโลกอยู่ที่ไหน คุณก็เป็นโลหิตัส ไปถามพระพรหมว่าที่สุดแห่งโลกอยู่ที่ไหน พระพรหมก็ตอบว่าเรานี่แหละใหญ่ ก็บอกว่าไม่ได้ถามว่าใครใหญ่ แต่ถามว่า ที่สุดแห่งโลกอยู่ที่ไหน ถามต่อหน้าบริวารด้วยพระพรหมก็ตอบว่าเรานี่แหละใหญ่ ถามอยู่สามที ก็ยังตอบว่าเรานี่แหละใหญ่…พระพรหมก็เลยลากเข้าไปหลังม่านบอกว่ามาถามเราได้อย่างไรเราไม่รู้หรอก ให้ไปหาพระพุทธเจ้านั่นแหละท่านรู้ที่สุดแห่งโลก สมณะเดินดินว่า…ทุกวันนี้เขาเรียกว่าถามไม่ตรงกับคำตอบ พ่อครูว่า…ธรรมะพวกนี้สนุกก็สนุก ไม่รู้มันก็ไม่รู้ โง่มันก็โง่นะ ถ้าฉลาดจริงแล้วสนุกมันก็สนุก อย่างอาตมาอธิบายเรื่องพระพรหมข้านี่แหละใหญ่ หรือแม้แต่เรื่องอัญญธาตุ หากว่าอาตมาไม่ได้เอามาขยายก็จะไม่เข้าใจกันหรอก อัญญธาตุ ซึ่งมีตำนานต้นบุคคลเรื่องราว มีอัญญาโกณฑัญญะ ท่านก็เริ่มต้นด้วยการเทศน์เปิดเผยโลกุตรธรรม เรื่องอนัตตา พอเทศน์อนัตตาเสร็จ แม้แต่สูตรแรกก็ตาม ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ความสุดโต่งทั้ง 2 ด้าน พออนัตตลักขณสูตร ก็สุญญตา สองสูตรนี้ โกณฑัญญะต้องเข้าใจทางปฏิบัติเพื่อเข้าสู่ความเป็นกลาง ถ้าเข้าใจเพียงทางสายกลางในมัชฌิมาปฏิปทาคุณก็จะไม่มีอัญญธาตุหรอก ได้แต่ดีดพิณ สายมันหย่อนสายมันตึงไปก็ต้องให้พอดีอย่างนี้เป็นต้น ก็ได้แต่เล่นพิณเสนาะไปตลอดกาล คุณไม่ได้เรื่องอะไร แม้แต่อัญญธาตุที่อาตมาอธิบาย เป็นธาตุรู้ชนิดใหม่ที่ไม่ใช่แบบโลกีย์แล้ว เป็นความรู้ใหม่ของโลกุตระ พอรู้เพิ่มขึ้น ก็เป็นอัญญา พอผสมคำ จะเป็นสัญญาก็เป็นตัวเศษวรรคอยู่ แต่ถ้าเป็นปัญญาก็จะเป็นตัวที่ดำเนินง่าย เป็นตัวดำเนินบทบาทการงานเป็นพฤติกรรมเต็มรูป ป ผ ภ พ ม อาตมาพยายามอธิบายแม้แต่พยัญชนะพวกนี้ให้รู้สภาวะ ก็ยังไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ มีผู้พยายามเก็บรายละเอียดทำเป็นอภิธานศัพท์เหมือนกัน เก็บไว้ หากอาตมายังชีพไปได้อีก 20 30 40 50 ปี ถึง 60 ปี ก็คงจะได้อีกพอสมควรพอจะได้เป็นตำรา Textbook ไว้ใช้สำหรับเล่าเรียนได้พอสมควร สัทธาวิมุติ [235] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัทธาวิมุตบุคคลเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมบัติล่วงรูปสมาบัติด้วยกายอยู่ แต่อาสวะบางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา อนึ่ง ความเชื่อในพระตถาคตของผู้นั้นตั้งมั่นแล้ว มีรากหยั่งลงมั่นแล้ว บุคคลนี้เรากล่าวว่าสัทธาวิมุตบุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลายเรากล่าวว่ากิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุแม้นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเราเห็นผลแห่งความไม่ประมาทของภิกษุนี้เช่นนี้ว่า ไฉนท่านผู้นี้เสพเสนาสนะอันสมควร คบหากัลยาณมิตร ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่ พึงทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าที่กุลบุตรทั้งหลายผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่ ดังนี้จึงกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้. พ่อครูว่า…แม้ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้เกิดในยุคนี้ ถ้าผู้นี้เกิดศรัทธาในสัตบุรุษผู้ที่มีอยู่ก็จะเกิดศรัทธาได้เหมือนกัน คนที่มาบวชต้องการทำที่สุดแห่งพรหมจรรย์ต้องการบรรลุเป้าหมายพรหมจรรย์ คำว่าปัจจุบันจึงต้องสำทับไว้เสมอ เข้าถึงอยู่คือมีอยู่ในปัจจุบันสำเร็จอิริยาบถอยู่เข้าถึงอยู่ วิหรติ เป็นอยู่อย่างนั้นอยู่ไม่ได้ไปไหนไม่ได้ออกคร่าวๆแต่มันอยู่ตรงนี้ อยู่ๆ เป็นคนอยู่เป็น ไม่ใช่คนอยู่ไม่เป็น นี่คือบุคคลสัทธาวิมุต ที่เขาบอกว่าไม่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้อง แต่ที่จริงแล้วมีอยู่แล้วสัมผัสอยู่แล้วคบหากับกัลยาณมิตรอยู่แล้ว หากว่าไม่ลืมตาก็อยู่ในสังคมคนตาบอด แต่เป็นคนตาดีอยู่ในสังคมสามัญ อยู่ในเสนาสนะ คบหากับกัลยาณมิตร แล้วก็ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่ อินทรีย์พละกับพลังงานของจิต ที่จะเจริญขึ้นเป็นพลังงานทางปัญญา พลังงานฌาน พลังงานบุญ มีปัญญาสร้างพลังงานฌานพลังงานบุญ ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่มีความรู้อันถูกต้อง ที่ได้ฟังจากพระศาสดา หรือที่ได้ฟังจากผู้ที่เป็นฐานะครูหรือสัตบุรุษอันมีสัมมาทิฏฐิแล้ว คุณจึงจะมาปฏิบัติเกิดอินทรีย์ 5 พละ 5 ขึ้นมา ไม่เช่นนั้นจะไม่เกิดอินทรีย์ 5 พละ 5 ในภาคของจรณะ 15 วิชชา 8 จรณะ 15 มีฌาน ต้องปฏิบัติ ศีล มีอปัณณกธรรม แล้วมีสัทธรรม 7 สัทธรรม 7 มี ศรัทธา หิริ โอตัปปะ พหูสูต พหุ แปลว่าสารถี แปลว่าผู้ขับนำพาคนไปได้ เป็นสารถี เป็นสารถีผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึก หากว่าคุณได้ธรรมะ ขั้นพหู ที่คุณจะได้เป็นสารถี ที่จะไปขับรถนำพาคนอื่นไปสู่ที่เจริญได้ คำว่าพหูสูต เป็นความจริงของสัจธรรมในระดับ โอ้โห เป็นผู้ที่มีแล้วนำพาผู้อื่น เป็นคนสอนผู้อื่นนำพาคนอื่นไปสู่ที่เจริญได้ นำผู้อื่นไปได้เลย สารถีหรือผู้ที่จะนำพาผู้อื่นไปได้ สูงกว่าผู้แค่บอกกล่าว ผู้ชี้ทาง ผู้ที่ได้ตำแหน่งสารถี คือ พหู แปลว่าสารถี อย่างนี้เป็นต้น สัทธรรม 7 ศรัทธา หิริ โอตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา วิริยะ สติ ปัญญาเป็นองค์ธรรมแห่งพลังงาน สามเส้า ที่จะสำคัญมากเลยเป็นยาดำ อยู่ไหนวิชชา 8 จะแทรกซึม ช่วย ปฏิบัติศีลอย่างไร อปัณณกปฏิปทา เครื่องกินเครื่องอยู่ใช้สอยอยู่ในโลกเป็นโภชเนมัตตัญญุตา น่าจะต้องอยู่อย่างตื่นไม่ใช่อยู่อย่างหลับ อปัณณกปฏิปทา ถ้าไม่มีแล้วก็ผิด สมณะเดินดิน สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin22 พฤศจิกายน 2019Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:621119 มล.อนุพร เกษมสันต์และคณะทำงานหลายภาคส่วนมาเยี่ยมบ้านราชฯNextNext post:621124_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก ปัญญาแท้ต้องสามารถแยกแยะธรรมะ 2 Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024