621231_ทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 7 ผู้ข้องอยู่ในถ้ำอันไกลจากวิเวก
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/17z_gaWwX-c9zJkWD7kxt6EZVVEfIicLA1pdFwKe3YaY/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1kfEJ-9MJxTiZDKlwJFLNqvB8zN0IqsPB
พ่อครูว่า…วันนี้วันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก
_จากน้อย : คำว่า ปีติ กับ ฉันทะ มีความหมายเหมือนกันหรือต่างกันอย่างๆไรคะ
พ่อครูว่า…ปีติ มันมีความยินดีปลาบปลื้ม มันมีอาการที่ ชื่นอกชื่นใจ ดีไม่ดีชื่นอกชื่นใจอย่างแรง ปีติ มี 5 อย่าง
-
ขุททกาปีติ (ปีติเล็กน้อย)
-
ขณิกาปีติ (ปีติชั่วขณะ)
-
โอกกันติกาปีติ (ปีติเป็นพักๆ) ปีติชัดขึ้นแรงขึ้น
-
อุพเพงคาปีติ (ปีติแรงกล้า โลดลอย) ยกตัวอย่างเตะบอลเข้าโกลได้เป็นต้น สักวันจะช็อคตายได้ คนเชียร์หน้าจอก็เคยมีตายได้
-
ผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน)
(จาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค)
สู่แดนธรรมว่า….ปีติ ต้องทำเหตุมันจึงจะได้ ส่วนฉันทะเป็นตัวเริ่มต้นเลย
พ่อครูว่า..ฉันทะ เป็นความพอใจยินดีกลางๆ ที่มีเสมอ มีอยู่ในใจ หรือเป็นคนต้องมีความยินดีอยู่ในใจ นั่นคือจะต้องมีฉันทะ ถ้าคนไม่มีฉันทะไม่มีความยินดีในใจ เป็นคนเซ็งๆ ช้าๆจืดๆ เป็นคนไม่มีกำลังไม่มีความกระตือรือร้นที่จะเกิดอะไร เฉื่อยๆรอวันตาย
ฉันทะ ในมูลสูตร เป็นตัวตั้งต้นที่จะมีจะเป็นอะไรต่อไป ถ้าไม่มีตัวเริ่มต้นเป็นความยินดีพอใจ เช่น คุณจะมาศึกษาธรรมะแต่คุณไม่มีความยินดีไม่มีฉันทะ ก็ยากที่จะรู้และก็ยากยิ่งที่จะเกิดปัญญา ผู้ที่จะเกิดปัญญาได้จะต้องมีความแรงกล้า ในปีติ แรงกล้าในความเคารพความรัก หิริ โอตตัปปะ มีความละอายที่จะเริ่มมีปัญญา
ปัญญาสูตร
[92] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ 8 ประการ ปัจจัย 8 ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงามไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว 8 ประการเป็นไฉน
1.ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรักและความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 1 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว
พ่อครูว่า…จะมีปัญญาได้ ประเด็นสำคัญต้องได้รับการถ่ายทอด รู้เองไม่ได้เกิดเองไม่ได้ อ.บูรพาหรือหลายๆอาจารย์ที่อยู่ในสำนักนั่งหลับตาจะบอกว่าปัญญาจะเกิดเอง คุณต้องมีสมาธิก่อน เขาไปเอาศีลสมาธิปัญญามาใช้โดยเข้าใจตื้นๆว่าต้องนั่งสมาธิให้เกิดสมาธิก่อนให้จิตนิ่ง อย่าไปคิดนึก ถ้าหากคิดมันจะไม่เกิดปัญญา ต้องโพล่งขึ้นมาเอง ซึ่งความจริงไม่ใช่เลย ปัญญาจะเกิดได้พัฒนาได้ต้องมีผัสสะ ต้องมีมรรคมีองค์ 8 ต้องมีทำวิจัยสัมโพชฌงค์ต้องมีสัมมาทิฏฐิ จะเกิดปัญญา แล้วก้าวหน้าเป็นปัญญินทรีย์แล้วก้าวหน้าเป็นปัญญาพละได้ จะต้องมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ต้องมีสัมมาทิฏฐิ เป็นองค์แห่งมรรค
สัมมาทิฏฐิ คือจะต้องเข้าใจอย่างถูกต้องอย่างที่อาตมาพูดนี่คือความถูกต้อง ต้องเข้าใจอย่างนี้ หากไปเข้าใจว่าการนั่งหลับตาแล้วปัญญาจะโผล่ขึ้นมาเองนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิแล้ว เข้าใจว่าปัญญาจะเกิดต้องไปนั่งหลับตาเป็นมิจฉาทิฐิแล้ว ปัญญาจากศีลสมาธิปัญญาต้องเกิดจากตอนตื่นปฏิบัติอยู่มีมรรคมีองค์ 8 ครบ ปฏิบัติการงานอยู่ (พ่อครูไอ ช่วยตัดออกด้วย) ทำงานอาชีพอยู่ทำการงานอยู่พูดอยู่คิดอยู่ พร้อมด้วยความมีสติเต็มข้างนอกข้างในมีกรรมกิริยาครบครัน มีชีวิตจะรู้โลก รู้อัตตาเต็ม มีธัมมวิจัยด้วย ต้องเปรียบเทียบวิจัยวิจารณ์ได้ เห็นไหมว่าเป็นความเข้าใจผิด ตรงกันข้ามกันเลย 180 องศาอย่างที่เขาเข้าใจกัน ในความเห็นผิด น่าสงสารศาสนาพุทธ มันเลยไปกันใหญ่เลย เป็นศาสนาแห่งความมืดแทนที่จะเป็นศาสนาแห่งความสว่างชัดแจ้ง กลายเป็นศาสนาแห่งความมืดดำ แล้วไปหลงความมืดดำเป็นสิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็น เรียกว่าสุภกิณหา เป็นสายนั่งหลับตา ส่วนสายของอาภัสราก็คือพวกลืมตา เรียกว่าพวกตาบอดตาใส ใสๆๆ มองใส
ฉันทะ นี่เป็นตัวสำคัญ ในอิทธิบาทเริ่มด้วยฉันทะ มูลสูตรก็เริ่มด้วยฉันทะ อะไรอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะมูลสูตร 10 ฉันทะเป็นมูล หากเข้าใจมูลสูตรก็ครบเลยศาสนาพุทธอยู่ในนั้น
1.มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) จิตของคุณจะต้องมีความยินดีพอใจต้องการมีความปรารถนาเลย ถ้าไม่มีพลังอันนี้ไม่มีการเริ่มต้น เริ่มต้นก็อย่างไม่เต็ม เสียไม่ได้ เฉื่อยๆดันทุรัง ต้องหนักเหน็ดเหนื่อย
จิตใจคนเรานี้มันเกิดเปลี่ยนแปลงได้ เช่น คนมาสัมผัสกับอโศก ก็เห็นว่าน่าสัมผัสน่ามาศึกษา ถ้ามีมากเท่าไหร่ก็คือฉันทะมาก จะมีความยินดีมาก ถ้ามีน้อยก็ยินดีน้อย
เมื่อเริ่มมีฉันทะ จึงจะทำการมนสิการเป็นผล
2.มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) ถ้าคุณไม่เริ่มต้นมีฉันทะ จะมาทำการมนสิการ ทำใจในใจให้เป็นสมาธิเป็นฌาน ทำใจให้ทั้งรู้ทั้งสำรอก หมายความว่ารู้สิ่งที่จะสำรอกคือรู้ตัวเหตุแห่งใจ ว่ามีตัวกลิ โทษ ภัย ตัวกิเลส เป็นเหตุปรุงแต่งร่วมอยู่ผสมอยู่เกาะแน่นอยู่ ปลอมตัวแฝงมาอยู่ในตัวเรา อย่างที่หลอกตัวเราเองเลยว่าฉันเป็นคุณ คุณเป็นฉัน ฉันเป็นเธอ เธอเป็นฉันนะ เป็นอันเดียวกันนะ เราต้องแยก ต้องเรียนรู้ ต้องแยกให้ออก ต้องมนสิการ ต้องทำใจในใจ
ต้องตีแตกแยกแยะออกให้ได้ เพราะมันจะติดกันอยู่เป็น 2 เรียกว่ากิเลสกับตัวเรา มันเป็นอย่างเดียวกัน เทวนิยมไม่ได้เรียนรู้เรื่องจิตเจตสิกไม่ได้แยกแยะกิเลสกับตัวเอง ก็เลยกลายเป็นตัวเดียวกัน เขาจะวิ่งไปหาตัวสุขแต่ก็คือตัวทุกข์นั่นแหละตัวเดียวกัน เขาได้สุขเท่าไหร่ก็ได้ทุกข์เท่านั้นตัวเดียวกัน เขาวิ่งไปหาดีก็คือได้ตัวชั่ว เพราะเขาแยกไม่ออก ไม่มีปัญญาที่จะแยกความดีความชั่วออกได้ชัดเจน จนกระทั่งไม่ทำชั่วเลย ไม่ได้ ไม่เด็ดขาด ความชั่วยังอยู่ยังแอบแฝงอยู่ไม่ได้หายไปไหน เพราะฉะนั้นจึงหยุดทำชั่วไม่ได้อย่างเด็ดขาด จะวนเวียนอยู่กับความชั่วความดี ลืมไปได้ชั่วคราว ชั่วคราวอันนี้อาจจะนานมาก หยุดได้ชั่วคราวอาจจะนานมาก แต่ไม่มีวันหมดสิ้นที่จะกลับไปทำชั่วอีก ดีแล้วก็ต้องมีชั่ว ชั่วก็มีดีอีก ศาสนาเทวนิยมจึงวนเวียนอยู่กับความดีความชั่ว ศาสนาพุทธหยุดความชั่วได้เด็ดขาดสนิท ถ้าจะอยู่ก็ทำดีอยู่ฝ่ายเดียว กุสะลัสสูปะสัมปะทา ถ้ายังอยู่ก็ไม่ทำชั่วอย่างเด็ดขาด สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง มีกรรมทุกกรรมกิริยามีแต่ดีตลอดกาล เช่นโพธิรักษ์ไม่ทำชั่วตลอดกาล ทำแต่ดี ด่าเก่งด่าดี ไม่มีด่าชั่วด่าผิด ถูกต้องในสิ่งที่ควรด่าเพราะว่ามันผิดมันควรแก้ไข ด่าแรงๆเพราะว่ามันดื้อด้านแข็งต้องกระแทกแรงๆ ขนาดนั้นยังบื้อตื้อ
3.มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) ผัสสะเป็นเหตุสำคัญในการปฏิบัติ หากไม่มีผัสสะ มนิสการก็ทำไม่เป็น ก็มีแต่จมลงสู่ความหลง เพราะไกลจากวิเวก กิเลสก็มากแล้ว
4.มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) .
5.มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) . . .
ใครเคยได้ยินไหมพระไตรปิฎก ว่ากามคุณ 5 เป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์
หากว่าเริ่มต้นไปนั่งหลับตาก็ไม่ได้เรียนรู้กามคุณ 5 ตั้งแต่เริ่มต้น ก็จมในความหลงไม่งมเงยได้เลย น้ำมันลึกและเน่า เหม็น งมยากมากเลย
มีคนถามว่า ทำไมเรียกกามคุณทำไมไม่เรียกว่ากามโทษ
พ่อครูว่า..ก็คนไม่เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า คนทั้งหลายหลงอวิชชาจึงไปเห็นว่ามันเป็นคุณ คุณแปลว่าดี พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาจึงเรียก กามนั้นว่าเป็น กามาทีนวะ นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้าแต่ปุถุชนคนโง่จะเรียกว่ากามคุณ เหตุที่เรียกเพราะว่ามันโง่ ใครยังโง่ ยังหลงอยู่กับกามคุณ พอได้ยินพระพุทธเจ้าสอนว่า กามนั้นไม่เป็นคุณ กามนั้นมันเป็นโทษ แล้วไปหลง ในอนุปุพพิกถา ก็สอนว่า
-
ทาน การสละ การให้
-
ศีล การชำระขัดเกลา ด้วยเจตนางดเว้น
-
สัคคะ (สวรรค์) .
-
กามานัง อาทีนวัง โอการัง สังกิเลสัง
โทษของกาม ความต่ำทรามของกาม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย . .
-
เนกขัมมะ อานิสัง อานิสงส์การออกจากกาม
ถ้ายังไม่เจอคำสอนของพระพุทธเจ้าคุณก็จะจมอยู่ในอวิชชา ที่จะเรียกกามนั้นว่าเป็นกามคุณ ..สว่างหรือยัง ชัดเจนหรือยังว่าทำไมเรียกกามคุณ
ผู้ที่ไม่ได้ยินคำสอนพระพุทธเจ้า ว่า กามนี้ เป็นเรื่องเบื้องต้นที่จะต้องศึกษาก่อน
ก็ทำผิด ผิดเพราะไม่มีศีลเบื้องต้น ไม่มีการสำรวมอินทรีย์ ไม่มีการประมาณในการกินใช้ ไม่ตื่นจากกิเลส จะต้องตื่นมาเป็นผู้ศึกษานี่คืออปัณกปฏิปทา 3 ข้อ
สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ เขาไม่มีเลย 3 ข้อนี้ ก็เลยเป็นการปฏิบัติศาสนาพุทธผิดหมด เพราะ 3 ข้อนี้คือการปฏิบัติที่ไม่ผิดของศาสนาพุทธ เดี๋ยวนี้ไม่ได้ปฏิบัติสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา หลับตาปฏิบัติไม่ได้ยินได้ฟังอะไร ไม่มีการพิจารณาสิ่งที่จะต้องอุปโภคบริโภคมาเกี่ยวข้อง ที่ต้องกินต้องใช้เขาไม่ยุ่งเกี่ยว กับเขาไปนั่งหลับตาเลย หลับตาจนเป็นพระอรหันต์มาหลายองค์แล้ว อรหันต์เก๊ เขาสอนกันอย่างนั้นแล้วยึดถือกันอย่างนั้น ตราบใดที่อาตมาพยายาม ขุด ดีด อาตมาเป็น อาร์คีมีดีส งัดศาสนาพุทธขึ้นมา เขาก็จมอยู่อย่างนั้น หยั่งลงสู่ความหลง
คำว่า ผู้ข้องอยู่ในถ้ำนั้น ไม่ละเว้นว่าจะเป็นคนศาสนาใดก็ตาม ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าก็จะเป็นผู้ที่ ข้องอยู่ในถ้ำ
ลักษณะที่เป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำคือ
-
มีกิเลสมาก
-
ปิดบังไว้แล้ว