621201_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ศิลปะในการใช้ชีวิตให้เกิดปัญญามัชฌิมา
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1HX2-DceXrKqv6U77WtZwAZFFhFRAxD96kjkF7T5R8T8/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1UscJ-wzmQyvauv60uxOsvBBUKGIHCJfG
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก รายการ นี้จัดตอนเย็นถ้าอยู่บ้านราชฯ หากอยู่สันติอโศกก็จะจัดตอนสายๆ
วันที่ 5 ธันวาคมเป็นวันพ่อแห่งชาติเราก็จะมีการจัดโรงบุญแจกอาหารมังสวิรัติ
ขอเชิญเข้าค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า
ค่าย “รักพ่อ พอเพียง”
ครั้งที่ 41 ณ บวร ราชธานีอโศก
ศุกร์ที่ 6 – อาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม 2562
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)
สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ
โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865
##### สมัครonline ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP หรือสื่อธรรมะพ่อครู
พบกับกิจกรรมตามมรรคมีองค์ 8 พบกับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมส่ิงแวดล้อมดีที่จะพาคุณสู่ “ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น”(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) อันจะพาไปสู่ความบริสุทธิ์จนถึงสัมมาวิมุติ
ปลายเดือนนี้ก็จะมีงาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน
งานสอบ ว.บบบ. จัด 26-29 ธ.ค. 62 และงาน เพื่อฟ้าดิน จัด 30 ธ.ค. 62 -1 ม.ค. 63
การสอบจะใช้หนังสือ รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร เล่ม 3 สำหรับออกข้อสอบ
งานนี้จะไม่มีรายการดนตรีหรือบันเทิง แต่เน้นสาระ เน้นกสิกรรมไร้สารพิษ การออกร้านต่างๆ ที่เป็นผลิตผลของชาวอโศก มีตลาดองค์ความรู้ให้ มีกสิกรมาขายของราคาบุญนิยม
พ่อครูว่า…อาตมาวันนี้จะพูดเรื่องอาหาร จากพระไตรปิฎก พระวินัย 9 เล่ม พระสูตร 25 เล่ม พระอภิธรรม 12 เล่ม รวมแล้ว 45 เล่ม
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน สภาวะลิงลมอมข้าวพองเป็นเช่นไร
อาตมาออกบวช 2513 อาตมาเกิดแล้ว อยู่ทางโลก ลิงลมอมข้าวพองอยู่ 36 ปี ไปใช้ชีวิตเหมือนคนเมา อยู่กับโลกีย์เขา สติสัมปชัญญะตัวตนที่รู้ตัวเต็มยังไม่ออกมา ยังไม่ขึ้น ก็ถูกโลกครอบงำ แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาก็ถูกโลกเขามอมเมาเป็นลิงลมอมข้าวพองอยู่เหมือนกันถึง 29 ปี อยู่ในทางฆราวาสเลย ออกบวชอีก 6 ปี ก็ยังถูกครอบงำทางธรรมมะ ลิงลมอมข้าวพองอีก 6 ปี
อาตมาก็มีนัยคล้ายกัน อยู่ทางโลก 36 ปี ออกมาบวชก็ถูกครอบงำทางธรรมะแบบโลกีย์เขาบ้างก็ยังไม่ชัด ไม่เป็นตัวของตัวเองเต็มที่ ก็ค่อยฟื้นของตัวเองมา แต่ก็ยังไม่แม่น แม้บัดนี้ก็ยังระลึกของเดิมของตนเองมาได้อยู่ มีแต่ของเก่าและก็ไม่ได้มีของใหม่ อาตมาไม่ต้องเอาของใหม่ ก็มีของเก่าที่นำมาจากพระพุทธเจ้าดึงออกมา พวกเราก็ได้โลกุตระทั้งหมดเท่าที่จะดึงออกมาได้ตอนนี้ยังดึงออกมาไม่หมด ทุกวันนี้ก็ดึงออกมาผ่อนส่งให้พวกคุณไปได้เรื่อยๆแล้วก็ยังมีอีกมากที่ยังเห็นว่ามีรายละเอียดต่างๆ เพราะในพระไตรปิฎกต่างๆมากมายหลายพระสูตร ก็มานั่งทำความเข้าใจ แต่ละสูตรๆ ต้องทบทวนฟื้นทำความเข้าใจให้ได้ จึงจะเอามาอธิบายเอามาสื่อให้พวกเราฟังได้ชัดเจน ขนาดนั้นก็ยังไม่ชัดเลย ไม่เก่ง สื่อออกไปก็ไม่ค่อยชัด ทั้งที่อาตมาดูความสมบูรณ์ของสภาวะแล้วแต่จะสื่อออกมาให้เป็นพยัญชนะนั้นยาก ใช้ภาษาไทยและต้องอาศัยภาษาบาลี ภาษาบาลีอาตมาก็ยังฟื้นความรู้มาได้พอสมควร รู้พยัญชนะบาลี ก ข ค ฆ ง และอื่นๆ ก็อาศัยพวกนี้เป็นหลัก ที่จะเป็นตัวตัดสินหรือว่าเป็นความรู้ถึงรากเหง้าของสัจธรรมก็ต้องอาศัยพวกนี้ นอกนั้นก็อาศัยตามพระไตรปิฎก อาศัยสัจธรรมของพระพุทธเจ้ามายืนยันให้ถูก ส่วนที่ไม่ถูกเป็นของอรรถกถาจารย์อาตมาก็ต้องทำความเห็นแย้ง
_0015ช่วงที่เราเคยติดอบายมุขในอดีต ถือเป็นลิงลมอมข้าวพองหรือไม่ครับเป็นไปได้หรือไม่ที่เป็นลิงลมอมข้าวพองทั้งชาติเลยครับ ทุกวันนี้บวชก็ได้แค่รูปแบบเป็นส่วนใหญ่..บวชแบบเน้นเนื้อๆนั้นหายากยิ่งแล้วขอรับ
พ่อครูว่า…ถ้าจะให้ตอบเป็นกลางๆก็ตอบอย่างที่คุณตอบก็ได้ แต่อย่าให้มันเป็นนานเลย มันเหมือนคนเมา เป็นลิงลมอมข้าวพอง เป็นการละเล่นของไทย นั่งหลับตานิ่งให้เพื่อนเขามาเขย่าให้เวียนหัว มีเพลงร้องด้วย ลิงลมอมข้าวพอง เขย่าจนเมาได้ที่ ก็จะให้ลิงลมนี้ลุกขึ้นมาวิ่งไล่จับเพื่อน สรุปแล้วเนื้อหาสาระเหมือนคนเมา ไม่เป็นความจริง เป็นคนไร้เดียงสาเหมือนกับเด็กๆยังไม่มีวุฒิภาวะเต็มที่ก็ยังไม่รู้เรื่อง แม้แต่เด็กเล็กๆก็มีบารมีมา เป็นพรสวรรค์หรือเป็นสิ่งที่มีมาเก่าเป็นความรู้จริงของเขาเก่า แต่มันยังถูกครอบงำ ยังดึงขึ้นมาไม่ได้ ยังไม่เต็มที่มันก็ไม่รู้เอามาใช้ไม่ได้
เมื่อเรามีสภาวะตื่นเต็มร่วมกับโลก ก็จะเข้าใจสิ่งที่ปรุงแต่งกันอยู่ในโลกตามบารมีเท่าที่รู้ คนรู้โลกียะมาก็หาทางปรุงแต่งเอาไปหลอกคนอื่นเพื่อจะให้ได้ลาภยศสรรเสริญสุขให้มาก ส่วนถ้าเป็นโลกุตระแล้วก็จะไม่ไปทำอย่างนั้น
จักรพล พุทธพัฒนา : คารวะใดที่เหนือกว่าคารวะ..ข้าน้อยขอคารวะนั้นแด่พ่อครูผู้ทรงธรรมที่เป็นโลกุตระ..เป็นพระอรหันต์เป็นพระโพธิสัตว์เป็นสัมมาสัมพุทธสาวกเเละเป็นที่สุดแห่งที่สุดของธรรมทั้งปวง..ด้วยสุดเกล้าสุดเศียรสุดกระหม่อมของข้าน้อยนี้ด้วยจิตคารวะยิ่งสุดขอรับกระผม!!
พิศมัย ชำนาญคิด : กราบนมัสการค่ะ สัญญานชัดเจนทั้งภาพและเสียง รับชม
จากคลองหลวง ปทุมธานีค่ะ และพ่อครูหน้าตาสดใสมากค่ะ ส่วนการฟังธรรม
เข้าใจเรื่องรูปกับนามกายและจิต ชัดเจนมากขึ้นค่ะ
พ่อครูว่า…โลกีย์คือตีเทวะไม่แตก เทวะที่แยกได้สองคือ สิ่งที่จริงแบบโลกีย์ที่หมุนเวียนไม่รู้จบกับสิ่งที่จริงยิ่งกว่านั้นคือโลกุตระ เริ่มต้น โสดาบันสกิทาคามีก็ยังไม่จบรอบ เมื่อลดลงไปอีกจนเป็นพระอรหันต์ ก็คือผู้จบรอบหยุดวนเวียน หยุดโลกียะเด็ดขาด แต่ละเรื่องแต่ละโลก ที่คุณไปหมุนเวียนอยู่ เช่นติดบุหรี่ หยุดสูบแล้วก็ไปสูบอีก มันติดหนักหนาสาหัส ต้องสืบให้ได้
คิดถึงน้องเขย บุหรี่ที่บ้านหมดก็เลยต้องเดินไปที่ปากซอยไปซื้อบุหรี่ แต่ก็ทรมาน ไม่อยากบอกเมีย มีหิริ แต่หากไม่ติดก็ไม่เดือดร้อนอะไร แต่ถ้ามันหลุดพ้นแล้วก็ไม่ได้อยากอะไร หากว่ามันยังติดนิดหน่อยก็ช่างมันเถอะเล็กๆน้อยๆ ก็เป็นความลักษณะที่ติดอยู่เหลืออยู่หรือไม่ติดเลย ไม่ติดแล้วจริงๆ จะสูบก็ได้ อาตมาจะสูบบุหรี่ตอนนี้ก็ได้แต่ไม่รู้จะเวียนหัวหรือไม่ แต่ก่อนเป็นฆราวาสก็ยังอุตริไปสูบกับเขา ไปสูบบุหรี่ฉุนๆ ก็จะตายเอา ต้องเล่นจืดๆก่อน หัดสูบ สูบไปสูบมา พยายาม จะสูบได้ตอนกินเหล้า หากไม่กินเหล้าสูบไม่ได้มาก โมเมไปกับเพื่อน กับตอนเล่นพนัน มันมั่วไปด้วยกัน เล่นไพ่ เล่นบิลเลียด ก็โง่มาก่อน ชาตินี้อาตมาไม่ได้ติดบุหรี่ ถือว่าเป็นลิงลมข้าวพองทั้งนั้น แม้แต่การจีบผู้หญิงเพื่อนมันมาโม้ข่ม เราก็ลองจีบก็ไม่ได้เรื่องอะไร คบกับคู่วิบากไป สุดท้ายขอออกบวชเขาก็ยอมให้มาโดยดีไม่มีเรื่องถึงกับแย่งชิงฆ่าแกงกัน
_ศิริพร รุ่งพิศาลโสภิต : อันบุคคลเหล่าใดเข้าถึงภูเขาแห่งตนแล้วไซร้ ย่อมพบความสงบฉันนั้น ⏰???”.!!? ในนิยามจิต
_สุดชดา ทรรศนะวิเทศ : กำลังรับชมค่ะวันนี้พ่อครูอธิบายรูป28ได้ละเอียดดีจังค่ะ
_จิตรา อัศวิน : กราบ_/\_นมสก พ่อครู ที่เคารพยิ่ง เจ้าค่ะ เพลานี้ อากาศแปรปรวน..โปรดถนอม รักษาสุขภาพ ให้แข็งแรง มั่นคง เพื่อพหุชนหิตายะ โลกานุกัมปานะ นะเจ้าคะ สาธุๆๆ
ศิลปะในการใช้ชีวิตกับทางสายกลาง
_อุทาน ทองใส : ศิลปการใช้ชีวิตกับทางสายกลางเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรขอรับ
พ่อครูว่า…ศิลปะในการใช้ชีวิต คำว่าศิลปะทุกวันนี้กลายเป็นคำว่า ศิละเปรอะ สรุป ศิลปะยอดแห่งจุดหมายของคนก็คือสร้างความแปลกของตัวเองขึ้นมาไม่เหมือนใครแล้วคนชอบคนติดใจหลงใหล นี่คือนิยามคำว่าศิลปะของทุกวันนี้ซึ่งเป็นการเสียเวลาจริงๆ
จริงๆแล้วพระพุทธเจ้านิยามคำว่าศิลปะไว้คือมงคลอันอุดม ศิลปะหมายความถึงสิ่งที่จะนำพาไปสู่ที่สูงที่สุดก็คือนิพพาน
เพราะฉะนั้นองค์ประกอบ composition เหตุปัจจัยต่างๆเอามาสังเคราะห์กันประกอบกันแล้ว สื่อให้คนสัมผัสแล้วพาไปสู่นิพพาน ไม่ไปสู่มงคลอันอุดมสิ่งนั้นไม่ใช่ศิลปะ ถ้าหากองค์ประกอบต่างๆมีเทคนิคมีดินน้ำไฟลมแสงสีเสียงรูปกลิ่นรส เอามาประกอบกันอย่างมีเทคนิควิธีการและสื่อให้คนสัมผัส คนสัมผัสแล้วเข้าใจนำพาไปสู่การละหน่ายคลายโลกธรรม นั่นคือศิลปะ แต่ถ้ายิ่งติดในความแปลกใหม่ในโลกธรรม ลาภยศสรรเสริญ นั่นคือศิละเปรอะไม่ใช่ศิลปะ ทุกวันนี้เห็นศิลปินทำงานกันแล้วน่าสงสาร คนชอบมักจะนิยมอย่างไรก็ทำให้มันถึงใจคน แล้วก็ จูงใจนำพาให้ต่อยอดไปเรื่อยๆ
ยกตัวอย่างของจริง อย่าง เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ก็เอาลายไทยมาประกอบอ่อนช้อยย้อยหยด คนก็นิยม มันเวอร์
ส่วน ถวัลย์ ดัชนี ก็ชอบแบบ บึ๊กๆ เขาคนละสายกัน อยู่จ.เชียงรายด้วยกันทั้งคู่ รวยทั้งคู่ด้วย มีเอกลักษณ์อัตลักษณ์ของตัวเองเอาสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องหาลาภยศสรรเสริญให้แก่ตัวเองในชาตินี้แต่ละชาติเขาก็ได้อย่างที่เขาเป็น
อาตมาเองที่จริงอาตมาเคยพูดว่าทำไมอาตมาต้องมาเรียนศิลปะ ศิลปะนั้นไม่ใช่การวาดภาพอย่างเดียว มีงานปั้น งานสิ่งก่อสร้างในวรรณกรรม ดนตรี เพลง นาฏกรรม ท่าทีลีลาเต้นแร้งเต้นกาสารพัด
fine art จะมี 5 อย่าง วาดภาพ ประติมากรรม วรรณกรรม Drama and Music
แต่ทุกวันนี้แยกออกเป็นหลากหลายแขนง แม้แต่ศิลปะเหนือจริง เขาก็บอกว่าคุณไม่รู้หรอกมันเหนือกว่าคนคิดได้ หลอกกันได้หลอกกันดี
อาตมาไปรวบรวมภาษาที่เขาแยกกันได้ อาตมาใช้นามปากกาว่า ไตรตรา นิกฃม์
ไตรตรา คือไตร่ตรอง ประกาศ ใช้เป็นนามปากกาเขียนหนังสือเล่มเดียวคือหนังสือเรื่องศิลปะหรืออนาจารโดยหยิบหนังเรื่องไททานิคมาวิจารณ์เป็นแกนของเรื่อง มันรวยเละเลยหนังเรื่องนี้ มันมีแต่ทำให้คนติดยึดดูดดึงหาโลกียะเหนียวแน่น ผู้ที่ทำอย่างนี้ก็ได้รับการยกย่องเป็นศิลปิน แต่ศิลปินจริงๆจะไม่เอาลาภยศสรรเสริญเงินทองอะไรมากมายหรอกเพราะเขาจะไม่ทำให้คนติดยึด แต่จะทำให้คนละหน่ายคลายถึงไม่เอาอะไรมากมาย
สรุปศิลปะในการใช้ชีวิตก็คือการมีความรู้ศิลปะ ความรู้ในภาษาบาลีคือคำว่าศาสตร์
ศาสตร์ที่ไม่มีศิลป์ก็คือสารคดี
ต้องให้คนรู้ทางออกจากโลกีย์ จากอบาย กาม รูปโลก อรูปโลก ผู้ที่มีทิศทางแล้วสื่อให้คนเลิกจากโลก อบาย กาม รูปโลก อรูปโลก ผู้นั้นคือคนที่มีศิลปะ การใช้ชีวิตศึกษาการใช้ชีวิตแล้วเราก็เป็นคนที่หลุดจากโลกไม่ติดในโลก ตั้งแต่โลกอบาย โลกกาม โลกรูปโลก อรูปโลก
ศิลปะในการใช้ชีวิตต้องเข้าใจศิลปะ คือการสื่อให้เป็นไปในนิพพาน แต่ถ้าสื่อแล้วไม่เป็นไปในนิพพานคืองานขวางทางนิพพาน เรียกว่าเดรัจฉานวิชชา ให้คนติดโลกที่ตนเองนึกว่าใช่
เดรัจฉาน คือความรู้ที่นำพาไปสู่การติดยึดในโลก หรือติดยึดลึกลับ ปรุงแต่งเป็นโลกีย์หยำฉ่าหนักเข้าไปมาก
จมในความหลง เรียกว่าผู้ข้องอยู่ในถ้ำ ตั้งอยู่จมในความหลง ก็ยิ่งจะถูกดึงให้จมอยู่ในความหลงความงมงายความมืด สลับไปสลับมายิ่งหนัก
ต้องมีความรู้ความสามารถนำพาให้ชีวิตเดินทางไปสู่นิพพานคือศิลปะของชีวิต แต่ถ้าไม่ได้เดินทางไปสู่นิพพานมีแต่โลกียะที่หนาขึ้นและเพิ่มขึ้นสลับซับซ้อนเป็นมายาหลอกตัวเองซ้ำซ้อนอีก อย่างนั้นไม่ใช่ศิลปะ
กับทางสายกลาง ทางสายกลางนี่ก็เป็นศัพท์ที่เขามาบัญญัติเป็นไทย จากคำว่ามัชฌิมาปฏิปทาแล้วไปแปลกันว่าทางสายกลาง ทาง คือวิธีปฏิบัติต่างๆ วิธีปฏิบัติกลางๆไม่เอียงไปทางไหน แต่หากไม่ชัดเจนในสภาวะก็อธิบายไม่ออกหรอก
ทางมีไว้ให้เดินกับจุดหมายคือกลาง กลางคือจุดหมายกับทางคือมีไว้ให้เดิน
คำหนึ่งคือ กลาง (มัชฌิมา) ส่วน ทาง คือปฏิปทา
มัชฌิมาปฏิปทา คือสูตรคือบัญญัติ ข้อปฏิบัติให้เดินทางนำพาคุณไปสู่ความ กลาง
แต่ไปเข้าใจ กลาง คือ แค่ทาง อย่าเข้าข้างนั้นข้างนี้ แต่ได้แต่เดินกลางๆไป ไม่รู้ข้างนั้นข้างนี้ ก็อาศัยทางสายกลางเดินไป เหมือนในอาหาร 4
ผัวเมียคู่หนึ่งเดินทางไปในทางโลกียจะไปสู่นิพพาน ไปกับลูก พอเดินไปๆแล้วอาหารมันหมด ตายละหว่า ผัวเมียเอาตัวรอดด้วยการฆ่าลูกแล้วเอาเนื้อลูกทำเป็นเนื้อเค็ม พกกินไป เพื่อจะไปสู่จุดหมายที่ต้องการ ฆ่าลูก แล้วเอาเนื้อเป็นเสบียงอาหารให้ตัวเองกินนำทางเพื่อเดินไปสู่นิพพาน
พอฆ่าลูกเสร็จก็ยังโง่ พอกินไปๆก็รำพึงรำพันว่าลูกเราไปไหน เมา ต้องการไปนิพพาน แต่หลงเลอะไม่รู้ว่าตัวเองฆ่าลูกแล้ว งมงาย กินเนื้อลูกแต่บอกว่าลูกเราไปไหน
อุทาหรณ์คำเปรียบเทียบของพระพุทธเจ้านั้นเป็นเรื่องสุดซับซ้อน เห็นว่าเขาเห็นแก่ตัวขนาดไหนสรุปได้อย่างนั้น นอกจากเห็นแก่ตัวแล้วโง่งมงายเมา ก็เอ็งฆ่าลูกเอ็ง แล้วก็กินเนื้อลูก เพื่อยังชีวิตตัวเองเพื่อจะเดินทางไปสู่นิพพานมันโง่อะไรขนาดนั้นแล้วมันจะไปถึงนิพพานไหมนี่ มันโง่เง่าหลงลืมเลอะเทอะ จนถึงขนาดนั้น คำเปรียบเทียบของพระพุทธเจ้านี้สุดยอด
ในอาหาร 4 ที่พระพุทธเจ้าเปรียบ กวฬิงการาหาร เหมือนพ่อแม่กินเนื้อบุตร
สรุป คนที่หลงทางสายกลาง
กลางคือคนจะต้องรู้ 2 ข้างคือ 1. กาม 2. อัตตา ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จริงๆแล้ว กาม กับอัตตา มันก็อันเดียวกัน แต่คุณจะต้องเรียนจากข้างนอกมาหาข้างใน อบายคือกามหยาบ แล้วมาเรียนรู้ กามคุณตาหูจมูกลิ้นกาย แล้ว 5 นี้ก็ยังซ้อน โคจรรูป 5 ปสาทรูป 5 สัมผัสกัน ก็จะเกิด ภาวรูป 2 คือ อิตถีภาวะกับปุริสภาวะ
สรุปแล้วผู้ที่เรียนทางสายกลางคุณแยก กาม แยก จิต หรือแค่แยกกาย แยกจิต แยกสภาวะสองนี่แหละยิ่งใหญ่ไม่ได้ จะแยกกายแยกจิตก็แยกไม่เป็น เมื่อไหร่เป็นกายเมื่อไหร่เป็นจิต
กายต้องมีภายนอกและภายในร่วมกัน แยกไม่ได้ จนกระทั่งสามารถหมดกาม ตาหูจมูกลิ้นกายเป็นกามคุณ 5 เมื่อกามคุณ 5 หมดก็จะเข้าไปสู่ รูป อรูป
คุณกระทบสัมผัสรูป อรูปภายใน ก็ต้องกระทบรูปภายนอก ตาหูจมูกลิ้นกายทำงานด้วยแล้วคุณอยู่เหนือมัน ไม่ต้องทำอะไรกับมันแล้วสบายแล้วหลุดพ้นแล้ว แต่ไอ้ที่เหลือคือจิตของคุณยังไม่หมด มันไม่ออกมา ข้างนอกจะแสดงสุขทุกข์กับภายนอกไม่แล้ว ไม่เอาแล้ว มันไม่มีที่จะมีรส มีความพอใจที่จะเสพ แต่ไม่เสพแล้วแต่เสพภายใน ไม่มีใครรู้ใครเห็นด้วย เป็นรูป อรูป
รส ตัวนี้เป็นเศษวรรค ย ร ล ว ส ห ตัวที่ 2 กับตัวที่ 5 ของเศษวรรค
5 นี้มากกว่า 4 แต่ 4 สองอันเป็น 8 ตัว 5 ถึงเป็นตัวกลางของ 4 กับ 8
อธิบายยากที่ว่าภายนอก 4 ภายนอก 5 คำว่า กาย คือโผฏฐัพพะ คือการสัมผัสแตะต้อง หากไม่มี โผฏฐัพพะ จิตคุณไม่มีธาตุรู้เกิด เพราะฉะนั้น ธาตุรู้กับ โผฏฐัพพะ ต้องไปด้วยกัน ถ้าไม่มีภายนอก ไม่มีสัมผัสนอกจิตก็ไม่รู้เรื่องมันรู้แต่ภายใน
พวกรู้แต่ใน คุณเองจะล้างกิเลส พระพุทธเจ้าอนุโลมว่า อาสวะบางอย่างหมดได้สำหรับผู้ที่มีบารมี เคยล้างกิเลสมาก่อนแล้วในอดีต แล้วเอาสัญญาขึ้นมาพิจารณาก็นึกว่าตัวเองหลุดพ้นจากการนั่งหลับตาสมาธิ ที่จริงแล้วมีของเก่าของตัวเอง ติดอยู่ในจิตไม่ออกมาข้างนอก ข้างในมีแค่ 1 ทวาร ภายนอกมี 5 ทวาร หากไม่เลิกภายนอกก่อนแล้วจะไปเลิกภายในก่อนมันเป็นไปไม่ได้ จะต้องเลือกจากภายนอกก่อนแล้วจึงไปเก็บละเอียดภายใน
ข้างในคุณเก็บไม่ได้หรอก ไม่มีเบื้องต้น เพราะฉะนั้นทำให้ตายอาสวะสิ้นก็แค่ที่คุณเคยทำได้ แต่ถ้าคุณไม่เคยทำได้คุณไม่มีทางบรรลุ คุณไม่เคยพบสัตบุรุษ ไม่เคยเข้าใจโลกุตระคุณคิดเองไม่ได้ เกิดโลกุตระเองไม่ได้ นอกจากพระพุทธเจ้าหรือสัตบุรุษที่เคยมีมาก่อนแล้ว แต่ก็ต้องเคยได้มาจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนทั้งนั้น
ถ้าคุณไม่ได้ฟังจากพระพุทธเจ้า สัตบุรุษ คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้เองเลย
มาเข้าสู่ปัญญาสูตร ปัญญา 8
ปัญญาสูตรในข้อ 1 และ2
ปัญญาสูตร
1.ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรักและความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 1 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว
อาตมาอยู่ในฐานะครู หากคุณไม่ได้ฟังจากสัตบุรุษที่ตั้งในฐานะครู ที่พูดโลกุตระให้ฟัง ผู้มีโลกุตระจึงถือว่าเป็นครูแล้วก็ถ่ายทอดสิ่งที่ตนเองมีเท่านั้น อย่าไปโชว์เกินกว่าที่ตนเองมี ถ้าจะบอกก็ต้องบอกว่าเป็นของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของตัวเอง ไม่งั้นเดี๋ยวเขาจับได้ว่าไม่จริงถ้าบอกว่าเป็นของตัวเองแล้วตัวเองมีไม่จริง
ซึ่ง ลึกซึ้งมากเลย ต้องอาศัยผู้ที่อยู่ในฐานะของครูที่เราจะไปตั้งความละอาย ละอายต่อบาป ละอายต่อสิ่งที่ไม่ดีงาม กับพระพุทธเจ้าเป็นต้นกับครูเป็นต้น เหมือนกับพ่อแม่ที่เราไม่ต้องอาย เรามีความผิดความบกพร่องก็ไปถามพ่อแม่ถามครูถามพระศาสดา ไปเปิดเผยความโง่ ไปเปิดเผยความไม่รู้ของตน แล้วก็ละอาย แต่ไม่ต้องอายครูอายศาสดาที่จะไปเปิดเผย แต่หากอายครูก็จะไปรู้อะไร มีคำพังเพย อายครูบ่รู้วิชาอายภรรยาไม่มีบุตร
แต่ภาษาว่า เข้าไปตั้งความละอาย คุณละอาย ที่ตัวเองมีบาป แต่อย่าละอายกับครูกับพระศาสดา เป็นภาษาสิริมหามายาพูดสลับไปสลับมา แต่พวกเราไม่สับสนเข้าใจแล้วไม่สับสน
ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรักและความเคารพไว้อย่างแรงกล้า มันจะไม่ค่อยกล้าเข้าหาครูหาศาสดา เพราะอายที่ตัวเองมีบาป แต่ไม่ต้องอาย สู้กับความอายเข้าไปหาครูหาพระศาสดา ที่เคารพรักอย่างแรงกล้า นี่เป็นข้อที่ 1 เป็นเหตุปัจจัยข้อที่1 ที่ย่อมเป็นไปเพื่อปัญญา
ปัญญาข้อที่ 1 คุณจะได้ต้องได้จากพระศาสดาหรือจากครูที่มีโลกุตรธรรมในตน เป็นปัจเจก หรือสยังอภิญญา ตั้งแต่ปัจจัตตัง ปัจเจก สยังอภิญญา ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะนับไปที่พระโพธิสัตว์ระดับ 9 ขั้นที่ 8 ก็ยังไม่เรียกว่าปัจเจก ขั้นที่ 9 เป็นปัจเจก จนสูงสุดเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่มีพระสัพพัญญูเท่ากับพระพุทธเจ้า
แต่ท่านได้ชื่อว่าปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านมีสัพพัญญูเท่ากับพระพุทธเจ้า แต่ท่านไม่ได้ประกาศศาสนาขึ้นมาในโลก ท่านปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเดี่ยวเลย เพราะว่ามีเหตุปัจจัยอะไรก็แล้วแต่ ทั้งวิบากทั้งการตัดสินใจของท่าน ท่านไม่ได้ประกาศศาสนาคนก็ไม่ได้เข้าใจว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง มันก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน คนไม่รู้นึกว่าพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นสอนคนไม่เป็นสอนคนไม่ได้ ถ้าถึงแล้วตั้งแต่พระโสดาบันก็ยังสอนกันแล้ว สอนกันเละก็มี พวกโซดาแบน สอนกันแจ้วๆ ระวังเถอะอย่าอวดดีอย่าหลงตัวเองมากเกินไป ให้เรามีแน่จริงมากพอถึงค่อยแสดง
แค่ข้อที่ 1 ปัญญาจะได้คิดดูสิว่ามีเงื่อนไขขนาดไหน
สรุปอีกที ปัญญาไม่ใช่ความรู้โลกีย์ แต่เป็นความรู้โลกุตระ
แม้จะฉลาดขนาดไหนเป็นถึงศาสดาของเทวนิยม ก็ยังไม่ใช่ผู้มีปัญญา อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ระดับ 7
ปัญญาข้อที่ 1 จึงเป็นเรื่องที่คนเขาไม่เชื่อ อย่างอาตมาบอกว่าอาตมาเป็นสยังอภิญญา เป็นระดับ 7 เลยระดับ 5 6 มาแล้ว
ถ้าระดับ 4 เป็นอรหันต์ ระดับ 5 อนุโพธิสัตว์ เริ่มต้นไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสาน ระดับ 6 อนิยตโพธิสัตว์ยังไม่เที่ยงแท้ที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า สอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยที่จะเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ เอ็นสะท้านเลย ยังไม่ได้นิยตะ แต่ผู้สอบผ่านได้แล้วเป็นนิยตโพธิสัตว์ ภาษาเรียกว่าเที่ยง แต่อาจจะไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ยังไม่ใช่มหาโพธิสัตว์ยังไม่ใช่ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ ขนาดปัจเจกสัมมาสัมพุทธะที่ท่านไม่ประกาศศาสนาก็ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเลย
นิยตโพธิสัตว์ก็ยังมีสิทธิ์ที่จะรีไทร์กลางทางได้ อาตมาตั้งใจจะเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ หากว่าไปไม่ไหวแล้วไม่ประกาศศาสนาหยุดเลิก ก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในโลก แต่ความไม่เที่ยงอนิจจตา อาตมาว่าเอาเถอะถึงปัจจุบันธรรม เมื่อเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะแล้วอาตมาจะตัดสินของอาตมาเอง ว่าอาตมาจะเป็นพุทธเจ้าดีหรือไม่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งดีหรือไม่ดี อย่ามายุ่งกับอาตมา เห็นความไม่เที่ยงที่ยาวไหม ขนาดเป็นสยัมภู เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วแต่ก็ยังไม่เที่ยง เห็นอนิจจตาไหม เพราะฉะนั้นความจริงอยู่ที่ปัจจุบัน แหลมเล็กคือความจริง ตอนนี้ยังไม่ใช่ความจริงนั้นเลย เห็นไหมลักษณะของอนิจจตา ที่ท่านตรัสไว้ใน ลักขณรูป 4 ถ้ายังไม่ถึงปัจเจกสัมมาสัมพุทธะแล้วจะไปเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ผู้ที่เป็นถึงพระโพธิสัตว์มหาโพธิสัตว์ย่อมจะซื่อสัตย์สุจริตยิ่งกว่าแล้ว
2.เธออาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพไว้อย่างแรงกล้านั้นแล้ว เธอเข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราวว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร ท่านเหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ทำให้แจ้งข้อที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง และบรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการแก่เธอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 2 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ
ต้องไต่ถามสอบถามเป็นครั้งคราวอย่ามากไป ถามจัง ถามเช้ากลางวันเย็นกลางคืนอีก แม้แต่ผู้ที่ได้ฟังคำอธิบายขยายความแล้วยังบรรลุหมดหรือไม่ก็ยังไม่ได้ เพราะฉะนั้นปัญญาที่ได้ฟังจากศาสดาฟังจากครู มันก็ยังต้องเอาไปปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป็นปัจจัตตัง ปัจเจก สยังอภิญญา สยัมภู
ปัญญาไม่ใช่ฉลาดเฉโก แบบพระศาสดาใดๆ หากไม่ใช่เนื้อหาของโลกุตระ
โลกุตตระคือรู้จักกิเลสรู้จักวิธีลดกิเลสปฏิบัติเพื่อลดละกิเลสได้ขึ้นมาได้ 1 หน่วยก็เริ่มต้นเป็นพระโสดาบันได้ 2 หน่วยก็เป็นพระโสดาบัน 2 หน่วย ได้ร้อยเป็นพัน ก็เข้าหาพระสกิทาคามี เป็นเช่นนี้
3.เธอฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมยังความสงบ 2 อย่าง คือ ความสงบกายและความสงบจิต ให้ถึงพร้อม ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 3 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ
ถ้าไม่รู้ว่ากายคืออะไรจิตคืออะไรและสงบคืออะไร สงบเขาหมายถึงว่าเอาตัวเองออกป่าแล้วไปเดินผู้เดียวอยู่ผู้เดียวบิณฑบาตผู้เดียวนอนผู้เดียว อย่างที่ท่านตรัสไว้ในวิเวก 3 ในคุหัฏฐกสุตตนิทเทส ผู้ข้องในถ้ำแล้วคุณก็ออกป่า แล้วถือว่าคือกายวิเวก ออกไปนั่งสมาธิก็เป็นมิจฉา ไม่สัมมา เดี๋ยวนี้พระป่าทั้งหลายทำกัน ไม่มีภายนอกแล้วจะไปรู้กิเลสจะไปรู้ขันธ์ 5 จะไปทำการอภิสังขารได้อย่างไร
อุปธิวิเวก คุณจะไปได้หรือคุณจะไปรู้ขันธ์ 5 หรือ คุณจะไปทำกันอภิสังขารได้หรือ ไม่มีการได้อุปธิวิเวก อุปธิคือขันธ์ 5 อภิสังขาร รูปข้างนอกก็ไม่เรียน เวทนาก็ไม่แยก จิตก็ไม่ได้แยก สัญญา สังขารไม่ได้แยก นั่งหลับตาไม่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ นั่งหลับตาซึ่งเป็นโมฆะจริงๆ ต้องมาค่อยๆศึกษา ปฏิบัติแล้วได้สัมมาผลของตัวเองถึงจะรู้จักว่าสงบกายสงบจิตคืออะไร หลับตาแล้วกระทั่ง ให้ลมหายใจหมดลงไปนี่ลงไปจนลืมไปหมดแล้วจะเกิดปัญญาขึ้นมาอย่างนี้มันจะเกิดได้อย่างไร
อาตมาประสบผลสำเร็จภูมิใจที่เกิดมาในชาตินี้เป็นสมณะโพธิรักษ์ ทำให้พวกคุณเข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าได้เข้าใจโลกุตรธรรมได้ แล้วพวกคุณก็บอกว่ามีทำได้ทิ้งอบายมุขทิ้ง กามคุณ มาอยู่ที่นี่ก็เรียนรู้ รูป อรูป
กายนอกคือกาม กายในคือรูป อรูป ก็ขยับเข้ามา อาตมาถึงบอกว่าในชุมชนชาวอโศกคือชุมชนพระอนาคามีเป็นต้นไป มีเสนาสนะคือสถานที่สิ่งแวดล้อม มีบุคคล มิตรดีสหายดี มีอาหารเครื่องอาศัย มีทั้งสถานที่ บุคคลเครื่องอาศัย มีทั้งสัตว์และวัตถุ
สัตว์เดรัจฉานอาตมาก็ไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยว เพราะฉะนั้นคุณอย่าไปเลี้ยงสัตว์ใดๆ ให้มันไปตามวิบากของมันเราไม่ต้องไปสร้างวิบากร่วมกับมันเลยไม่ว่าจะเป็นทางความรักหรือความชัง แค่วิบากเก่าก็ทำให้มันหมดเสียก่อนเถิด เกี่ยวกับคนที่สัมผัสสัมพันธ์กันแต่ละคู่วิบาก ไม่ว่าจะเป็นทางความรักหรือความชัง ให้มันขาดเสียหน่อย จะมากหรือน้อยก็ให้เห็นความจริงจนกระทั่งเห็นเป็นผู้ที่ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ไม่ใช่ผู้ที่จะต้องมาร่วมรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ร่วมสัมผัส ลาภยศสรรเสริญสุข ไม่ใช่ แต่เป็นผู้ที่ร่วมเกิดแก่เจ็บตายร่วมกันไปในทางที่จะทำงานให้แก่ผู้อื่น เราเองขาดให้ได้ก็แล้วกัน หากแยกไม่ได้ก็เป็นคู่ ขี้ทูดกับหู ขี้ทูดจะกินหูก่อนไง
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…พ่อครูสอนเราลดกิเลสขณะมีแรงอยู่ ทั้งพ่อครูก็มีแรงอยู่ หากพ่อครูไม่อยู่ก็ไม่มีคนมาเน้นย้ำจี้ให้เราพัฒนา
พ่อครูว่า…อาตมามีวจีสังขาร ว่า ถ้าหากว่าอาตมาตายแล้วพวกเราจะร้องไห้กันไหม
..ร้อง…ก็เลยยังไม่ตาย แต่ห้ามไม่ได้หรอก เพราะว่าทุกสิ่งต้องพรากจากกัน ดีไม่ดีพวกคุณไม่ได้ร้องหรอกเพราะพวกคุณตายก่อน แต่อย่าเพิ่งตายก่อนเลย ร้องก็ร้อง อาตมาตายก่อน
พูดไปก็สิริมหามายา
ศิลปะในการใช้ชีวิตให้เข้าสู่มัชฌิมา
สรุป ทางสายกลาง กับศิลปะการใช้ชีวิต
ขยายความยังไม่พอ
ต้องเข้าใจศิลปะให้ดีอย่าเป็นศิละเปรอะ
ศิลปะในการใช้ชีวิตต้องใช้ความรู้ความสามารถในการใช้ชีวิตให้ไปสู่นิพพาน
แต่ถ้ามีความรู้ความสามารถทำให้กิเลสของเรา มากขึ้น ภพเรายืดยาวมากขึ้น อันนั้นไม่ใช่ศิลปะ คุณใช้ชีวิตประกอบชีวิต แล้วก็เติมสิ่งที่ไม่ใช่อันที่จะทำให้กิเลสลด มันเป็นการเติมกิเลสผูกพันเติมกิเลสรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมากขึ้น เติมกิเลสที่จะต้องได้ลาภยศสรรเสริญสุขมากขึ้น ลงท้ายความสุขนี่เป็นตัวกลาง สุขในการได้ลาภยศสรรเสริญ สุขในการเสพรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส สุขในการยึด ข้องอยู่ในถ้ำ ยึดอะไรก็แล้วแต่ จนกระทั่งยึดฝี
เอ็งจะไปยึดฝีทำไม มันเจ็บปวดจะตายชัก แต่ก็ยึดไว้ ฝีต้องอยู่ไม่หายไป จะบ้าหรือเปล่า คำตัวอย่างที่มีนี้มันสุดยอดความรู้
สรุป ศิลปะในการใช้ชีวิตเขาต้องเป็นไปเพื่อ ละหน่ายคลาย เป็นไปเพื่อลดกิเลส
กับทางสายกลาง ทางสายกลางหยาบกว่า ศิลปะในการใช้ชีวิต เพราะว่ามันแค่เป็นทางแล้วพวกคุณก็เดินไปตามทาง
หากไม่รู้จักภาวะสอง ไม่รู้จักกาม อัตตา รู้จักเทวะ อเทวะ แล้วลดกาม ลดอัตตา แล้วมันจะไม่โต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง กามลด อัตตาลด กามลด อัตตาลด สุดท้ายเหลือกามนิด อัตตานิด ก็ทำให้หมดอีกก็เหลือแค่กลาง
กลางไม่ใช่ทางแต่ความสมดุลของทั้งสองข้างหมดไปแล้ว กลางไม่ใช่ทางที่ฆ่าลูกกินเนื้อเพื่อเดินทางแล้วก็ยังไม่รู้ว่าลูกตัวเองไปอยู่ไหน มันงมงายเมาขนาดนั้นมันไม่ใช่
นี่คือความลึกซึ้งสุดยอดที่ซับซ้อน
หากไม่มีอาตมาพูดพวกคุณจะรู้เองได้ไหม ..ไม่ได้ แต่พูดไปก็เหมือนกับยกย่องตัวเอง จะรู้ว่าอาตมาจริงหรือไม่จริงพวกคุณจะรู้ ถ้าไม่จริงอาตมาจะเอาความจริงที่ไหนมา คุณเองก็ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงนี้หรอกใช่ไหม อันนี้ต้องยอมรับ นอกจากคนอวดดีว่า ข้าก็รู้วะ แต่ถ้าเอ็งรู้ดีก็ควรแสดงออกมาสิ มันขาดหายไปจากสังคม แสดงออกมาคนอื่นจะได้รู้บ้าง ขนาดอาตมาแสดงออกมาคนอื่นก็ยังไม่ค่อยเชื่อ อาตมาบอกว่าตัวเองเป็นตัวจริงเขาก็บอกว่าหมั่นไส้อีก แต่ถ้าคนรู้ว่าอาตมาพูดความจริง จะมายืนยันว่าชาตินี้ บวชแล้วมาแสดงธรรมแล้ว อาตมาไม่เคยแสดงความไม่จริง นอกจากบางครั้งมันเป็นความจริงที่ยากเป็นสิริมหามายาเท่านั้น
แม้สิริมหามายาก็เป็นความจริง ทำไมไม่เคยพูดไม่จริงไม่เคยแสดงสิ่งที่มีจริง แม้บางทีอาตมาจะเล่นลูกโป่งน้ำลาย แต่ก็คือความจริงที่อาตมาแสดงว่าจะไม่ได้มีการเต๊ะท่า ถ้าหากอาตมาเต๊ะท่า พวกคุณก็เกรงเข้าไม่สนิทเข้าไม่ติดหรอก นายภูมิพุทธ นายธัมมะ ธัมโม ไม่กล้ามากราบหรอก แต่พวกที่เขาไม่กล้าก็มีเชิงหนึ่ง มีภูมิสู้นายธัมมะ ธัมโม ไม่ได้หรอก แม้รู้แล้วแต่ไม่กล้าก็คือภูมิน้อยกว่านายธัมมะ ธัมโม อาตมาเป็นคนไม่น่ากลัวเป็นคน friendly มิตรสหายดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์นะ
ศิลปะกับทางสายกลางเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรวันนี้เอาแค่นี้ก่อน เพราะว่าเรื่องทางสายกลางกับศิลปะนี้ยังยากที่จะอธิบาย
_สกุณา : กราบนมัสการพ่อครู สมณะ สิกขมาตุ ทุกรูปค่ะเจิรญธรรม สำนึกดี ชาวอโศกทุกท่านค่ะ ดิฉันขอโอกาสแสดงความคิดเห็นด้วยนะคะ ขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องความสงสัย ซึ่งเป็นกิเลสตัวหนึ่งในนิวรณ์ 5 เรียกว่า”วิจิกิจฉา”
ดิฉันมีความเห็นว่าความสงสัยเป็นเรื่องปกติธรรมดาของสัตว์โลกค่ะ มีการกล่าวว่าความสงสัยทำให้เกิดปัญญา ก็คงจะจริงถ้าหากว่า สงสัยแล้วมีการสนใจศึกษา และทดลองพิสูจน์ค่ะการที่พ่อครูได้ประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์แสดงความคิดเห็นกันไปต่างๆ นา~ๆมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ
คนที่ไม่เชื่อก็อาจจะยึดติดกับคำบอกเล่าที่เล่าต่อๆกันมา ปากต่อปากว่าพระอรหันต์จะไม่พูดมาก จะไม่ตำหนิใครสามารถนั่งสมาธิได้นานๆ ถ้าพระรูปใดบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วจะไม่พูดไม่บอกว่า เป็นพระอรหันต์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงควาหมดตัวหมดตนแล้ว ก็ในเมื่อพระท่านไม่ได้พูด แต่ก็ไม่รู้ว่าใครพูดแทนท่าน งงค่ะ แต่!! อย่าลืมว่าพระสัมมาสัมพุทธทรงประกาศความเป็นพระอรหันต์ด้วยพระองค์เองนะคะ ดังบทธรรมที่ว่า ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เป็นสิ่งที่ผูัรู้ ก็รู้ได้เฉพาะตน
พ่อครูว่า…พระสมณโคดมอุบัติขึ้นมา หมอดูที่เป็นพราหมณ์ก็บอกว่าคนนี้แหละจะเป็นพระพุทธเจ้า จนกระทั่งท่านตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ถึงได้แน่ชัดว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าก็เลยไปสอนปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 พอบอกสูตรแรกเลย ก่อนแสดงธรรมท่านว่าท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ก็ไม่เชื่อ แต่พระพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เริ่มเข้าหัวอัญญาโกณฑัญญะ เมื่อเทศน์อนัตตลักขณสูตร ก็เข้ากระแสเลย ได้อัญญา อัญญะ เป็นความรู้ใหม่ความรู้โลกุตระที่เป็นความรู้อื่น ความรู้ที่ไม่ใช่โลกียะ พระพุทธเจ้าหยั่งรู้เลยว่า อัญญาสิวตโภโกณฑัญโญ ท่านก็เลยสอนอีก ส่วนอีก 4 คนก็บรรลุ จนทั้งหมดเป็นพระอรหันต์
พอต่อไป สอนพระยสะ ที่เดินมาบ่นว่าที่นี่วุ่นวายหนอ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าที่นี่ไม่วุ่นวายแล้วท่านก็เทศนาโปรด เทศน์ อนุปุพพิกถา ให้รู้
-
ทาน การสละ การให้
-
ศีล การชำระขัดเกลา ด้วยเจตนางดเว้น
-
สัคคะ (สวรรค์) .
-
กามานัง อาทีนวัง โอการัง สังกิเลสัง
โทษของกาม ความต่ำทรามของกาม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย . .
-
เนกขัมมะ อานิสัง อานิสงส์การออกจากกาม