621206_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ยอดคนอาภัพที่มีระดับของศาสนาพุทธ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1juUugnn2E3YiRsqwecMjye0ioZdrJbCQaAqhHdZMLeo/edit?usp=sharing
ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1ta36c9aSznEwgw-1-18B5cjxkfGKjAAC
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้ก็มีคนตาย 1 คน คือพลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ เป็นนร.นายร้อยจปร.รุ่นเดียวกับ พลตรีจำลอง ศรีเมือง
เคยมีคนสัมภาษณ์ไว้
เขาเป็นชายชาติทหาร
ผู้กรำศึกในสมรภูมิอย่างท้าทาย
ด้วยพลังแห่งความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
เขาคือทหารหาญ ผู้องอาจแกล้วกล้า
เขาเป็นทหารแก่ ไม่มีวันตาย
เขาเขียนไว้ว่า พลเอกปรีชาเป็นคนที่ประหยัด นิสัยดีขึ้นได้เพราะแม่ตี เป็นคนรักชาติ เจียมเนื้อเจียมตัว ไปหาอ่านประวัติ นสพ.เราคิดอะไร พค.62 ได้ หรืออ่านจาก สีสันชีวิต
พลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ http://www.asoke.info/Kid/k226/18.html
เป็นคนซื่อสัตย์ เป็นนายทหารที่อาจหาญแกล้วกล้า
ทางสายกลางคือเช่นไร
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 4 – 5 ธ.ค. 2562
_เชวง กิจจะบรรณ์ : ซึมเศร้าเกิดจากจิตที่ทำตามคำสั่งสอนของพ่อแม่ที่ฝากความหวังและแยกดีชั่วไม่ถูกขัดแย้งในความคิดและทำไม่ได้ที่พ่อแม่หวัง
: เดินตามมรรคมีองค์8ถือเป็นทางสายกลางไหมครับ
_ผัน พันตา : สุขทางโลกคือสุดโต่งข้างหนึ่ง ทุกข์ทางโลกคือสุดโต่งข้างหนึ่ง
ทางธรรมเมื่อสุขเกิดขึ้นละสุขเสีย และเมื่อทุกข์เกิดขึ้นเพราะละทุกข์เสียได้
นั่นแหละทางสายกลาง…สาธุ
พ่อครูว่า…ประเด็นคือทางสายกลาง
เดินตามมรรคมีองค์ 8 ถือเป็นทางสายกลางถูกต้อง มรรค แปลว่า ทาง มรรคมีองค์ 8 คือทางสายกลาง หรือว่าคือทางปฏิบัติไปสู่ความเป็นกลาง มรรค แปลว่า ทาง
แต่ถ้าเข้าใจกันไม่ละเอียดพอ ไปบอกว่า มัชฌิมาปฏิปทาแปลว่าทางสายกลางแล้วไม่ได้แปลเข้าไปสู่มัชฌิมะเลยก็ไม่ถูก ปฏิปทาแปลว่าทาง วิธีปฏิบัติ แล้วเราก็ปฏิบัติตามที่เราเข้าใจก็เกิดผลถึงความเป็นกลาง
ละทุกข์ได้คือความเป็นกลาง ก็คือละสุขได้ด้วย เหตุแห่งสุขก็คือตัวทุกข์ ตัวต้นทางเลย ต้องดับเหตุที่ต้องการได้ความสุข เหตุมันก็คือต้องการได้ความสุข ทุกคนไม่รู้มีอวิชชาก็ต้องการได้สุขทั้งนั้นไม่มีใครต้องการได้ความทุกข์ เมื่อดับเหตุแห่งทุกข์หมด สุขทุกข์ก็หมดไปด้วย นี่คือสิ่งที่ศาสนาเทวนิยมไม่รู้ แล้วกลายเป็นศาสนาสุขนิยม เพราะดับทุกข์ไม่เป็น แต่ศาสนาพุทธดับความทุกข์เป็น สุขจึงหมดเกลี้ยงไปด้วย เมื่อดับสุขไม่เป็นก็หลงแต่สุขนิรันดร
ส่วนศาสนาพุทธนั้นรู้เหตุแห่งทุกข์ สุข เป็นอัลลิกะ จึงเรียกสุขขัลลิกะ ผู้ฉลาดรู้ความจริงอันเป็นอาริยะ จะรู้สัจธรรมแท้คือสุขทุกข์ แต่ศาสนาเทวนิยมดับทุกข์ได้ไม่ได้ จะเอาสุขนิรันดร จึงมีเหตุแห่งทุกข์อยู่ด้วยนิรันดร
และศาสนาเทวนิยมไม่รู้จักการเวียนตายเวียนเกิด ก็ไม่รู้จักเรื่องของกรรมวิบาก รู้แต่ว่าเกิดชาติเดียวแล้วไปอยู่กับพระเจ้า ต่อจากนั้นจะมีกรรมวิบากอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง แล้วแต่พระเจ้าจะสั่ง พระเจ้าก็ไม่เคยรู้เรื่องของกรรม ในคัมภีร์ของศาสนาเทวนิยมก็ไม่มีสอนเรื่องกรรมก็แก้ หรือเปลี่ยนแปลงกรรมไม่ได้ พระเจ้าจริงๆแล้วคือความไม่รู้ ไม่รู้จักกรรม ไม่รู้จักการแก้ทุกข์แก้สุขได้
แต่ศาสนาพุทธแม้ปัจจุบันก็ต้องทำให้ชีวิตหมดความสุขความทุกข์ตั้งแต่ตอนเป็นเป็น สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องลึกซึ้งสุดยอด ถ้าหากผู้ใดรู้จักจิตวิญญาณที่เป็นตัวประธานสิ่งทั้งปวงแล้ว และเรียนรู้ยังศาสนาพุทธก็จะรู้จักจิตวิญญาณ มันจะเข้าใจหมดเรื่องอุตุ เรื่องเกิดชีวะเป็นระดับพีชะ หรือจิตนิยาม มีธาตุรู้แล้วดับธาตุรู้ได้ จนมีทางออกทำให้จิตเป็นอุตุ เป็นพีชะได้ จิตก็ผ่องใส ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ เป็นอมตบุคคล
จบอมตบุคคลแล้วจะเกิดหรือตายก็ได้ ตายอย่างไม่เหลืออะไรเลยอย่างนิรันดรก็ได้ ไม่ใช่ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า จิตวิญญาณของเราเองไม่ใช่ของพระเจ้า
ศาสนาพุทธมีนิพพาน แต่ศาสนาเทวนิยมบอกว่าศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาเป็นแต่เพียงปรัชญา มันเป็นไปไม่ได้หรอกเรื่องของนิพพานมันไม่มี เขายังเข้าใจอย่างนั้น เขาขบถต่อพระเจ้าที่เป็นเจ้าของทุกสิ่งไม่ได้
ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่ดับสุขดับทุกข์ วิธีดับทุกข์ดับทุกข์ให้แก่ตัวเองได้ก็จบ เป็นพระอรหันต์ จบแล้วจะตายเลิกไปเลยปรินิพพานเป็นปริโยสานแยกให้จิตเป็นอุตุนิยามได้เลย แต่ถ้าไม่ตายเลิก จิตวิญญาณไม่แตกเป็นอุตุธาตุ
อย่างอาตมาเป็นพระอรหันต์มาแล้วมาเป็นพระโพธิสัตว์ต่อ พูดอย่างไม่ได้เก้อเขิน ไม่ลำบาก ชัดเจน จึงได้มาสอนให้พวกเรารับรู้เข้าใจปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ได้ ชีวิตจริงสุดยอดเมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว อยากเกิดก็เกิดได้ เพราะว่ามีหลักฐานรับรอง ว่าผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วไม่ทำชั่วอีกเลย สัพพปาปัสสอกรณัง ถ้าจะมีกรรมกิริยาในโลกก็จะทำแต่กุศล เพราะได้ชำระจิตให้หมดกิเลสได้แล้ว
สร้างคนอย่างนี้ได้เป็นคนที่สมบูรณ์แล้วโลกจะเป็นอย่างไรก็เพราะว่าคนนี้แหละเป็นตัวป่วน เป็นยอดทำลายยอดดุร้ายเลย หากว่าไดโนเสาร์มีในยุคนี้คนก็คงจะเอามาขี่เล่นเอามาฆ่ากิน ยุคนี้มีช้าง แต่ดีนะ คนไม่ไปฝึกจับปลาวาฬมาฝึก หรือจับฉลามมาขี่แทนเรือดำน้ำ
_1614 จะมีสติสัมปชัญญะสมบรูณ์ที่สุดนั้น จะต้องมีวิธีฝึกไปในทางที่จะคอยเฝ้ากำหนดการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไปของเวทนา สัญญาและวิตก -พุทธทาสภิกขุ-
พ่อครูว่า…ที่จริงต้องมีการใช้สัญญาเป็นตัวกำหนด ให้รู้เวทนา กำหนดรู้วิตกวิจาร ทำธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ต่อไป แยกแยะ เป็นตัวพลังงานต่อไป แล้วทำให้พลังงานที่ไม่ต้องการหายไป รู้จักจิตเจตสิกต่างๆ ทำอกุศลเจตสิกดับหมดสำเร็จก็มีแต่กุศลเจตสิกเรียบร้อย
_ภัทราวดี อินทรสุนทร : ลูกมาจากสายหลับตามาก่อน ทำมาค่อนข้างเข้มข้น สมาธิหลับตาไม่ได้ช่วยล้างกิเลส ได้เพียงการกดข่มเหมือนหินทับหญ้ารอวันงอกเงย และไม่ได้ทำให้เกิดปัญญาเท่าที่ควร คำสอนของพ่อครูล้วนคือสัจจธรรมโดยแท้
พ่อครูว่า…คุณคนนี้มีสัมมาทิฏฐิ ส่วนพวกสายหลับตา เป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ ไกลจากวิเวกไม่มีความสงัดเลย ก็ไม่เคยเจอ ไกลวิเวก จะเอาปัสสัทธิก็ไม่ได้ จะเกิดแต่สมถะอย่างเดียว กดข่ม แต่ไม่ได้เรียนรู้เหตุดับเหตุได้
กายวิเวก จิตวิเวก ก็เพราะว่าเรียนรู้อุปธิวิเวก คือกิเลส ชัดเจนว่ารู้จักขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร แล้วเรียนรู้ที่จะกำจัดกิเลสที่อยู่ในนั้นเรียกว่าเป็นการทำอภิสังขารได้ รู้จักการสังขารขั้นอภิ ขั้นยิ่งจัดการฆ่าจิตอกุศลที่เคยร่วมสังขารจนไม่ให้กิเลสมาร่วมสังขารได้เลยคือหมดบุญ
_กุญแจ เงินทอง : ก็อะไรเป็นอาหารของการฟังสัทธรรมควรกล่าวว่าการคบสัปบุรุษ
พ่อครูว่า…คุณจับเหตุได้ยอดยิ่งแค่นี้ก็สมบูรณ์แล้ว คนจะศรัทธาอะไรต่างๆต้องคบสัตบุรุษให้ดีให้จริง หากไม่ใช่สัตบุรุษจริง ยังไม่สัมมาทิฏฐิ จนหลงเชื่อ พอสัตบุรุษพูด เท่าไหร่เขาก็ไม่เชื่อ เขาว่าต้องคนที่เขายึดถือ คนนี้ยิ่งพูดตรงกันข้ามก็ยิ่งยากมากเลย อาตมาเห็นความจริงอันนี้จึงไม่แปลกเลย อาตมามาประกาศสัจธรรมของพระพุทธเจ้าขึ้นมา บรรดาครูบาอาจารย์ต่างๆจึงรุมทำลายอาตมาเลย น่าสงสาร อาตมาพูดอย่างจริงใจว่าน่าสงสาร น่าเวทนาท่านเหล่านั้น อาตมาต้องการให้ท่านเข้าใจถูก แต่เขาว่าอาตมามาทำลายศาสนา มันเหมือนเด็กจับไฟจนมือด้าน ไม่รู้ว่ามันคือไฟ ไปหลงว่าเป็นของดี อย่างนั้นจริงๆ มหาอภิอวิชชาไม่รู้เรื่องอะไรเลย จิตมันด้านยิ่งกว่าวัตถุ
คนที่แย้งอาตมาอยู่ต้องทำความเข้าใจไหมว่าที่อาตมาพูดนี้ถูก พวกคุณพูดผิด ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ยิ่งผู้ถูกยกในฐานะผู้รู้แล้วหากท่านมีอัตตามานะ อาตมาว่าหัวใจท่านจะระเบิดเอานะ
_จักรพล พุทธพัฒนา : ขอคารวะสมณะที่เคารพ..ขอนอบนบสิกขมาตุ..เจริญธรรมแก่ญาติๆ…ไม่มีพลาดการฟังธรรม..ขาประจำทำแล้วดี…เพราะเป็นศรีแก่ตนอยากพ้นทุกข์..สาธุ!! ท่านถักบุญท่านพูดจากสภาวะทุกครั้งเลยครับผมรู้ดี..นมัสเต!!
_ขวัญไพรเย็น ขวัญชวนไพร : สิกขมาตุแสดงธรรมได้ประโยชน์มาก
_งามใบตอง นิลมณี : กราบนมัสการท่านสมณะท่านสิกขมาตุค่ะท่านสิกขมาตุสร้างฝันใหม่เทศน์ได้ตรงสภาวะดีค่ะทำให้เกิดปัญญากราบขอบพระคุณมากค่ะ
_ไอ้โง่ กราบหมา : กูเกลียดมึงไอ้พวกบ้า พวกมึงทำให้ประเทศพัง กลุ่มพวกมึงจิตวิปริต
_ปรีชา ขำเพชร : เป็นธรรมะที่เป็นสาระ…ฟังแล้วนำไปพิจารณา..และปฏิบัติอย่างสัมมาทิฎฐิ…จะเกิดปัญญาครับ
พ่อครูว่า…วันนี้เอาเรื่องนี้เป็นเค้าในการเทศน์คือเรื่องของผู้ที่เข้าใจกับผู้ที่ไม่เข้าใจ
เราเป็นเจ้าของจิตวิญญาณเองและสามารถสลายจิตวิญญาณของเราเองได้จึงไม่มีวิญญาณนิรันดรที่จะต้องไปอยู่กับพระเจ้า
ธรรมะที่เป็นสาระ ฟังแล้วพิจารณาและปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิจะเกิดปัญญา
ธรรมะที่เป็นสาระไม่ใช่ธรรมะที่เป็นอสาระ ผู้ที่มีสาระคือผู้ที่รู้จักสาระ ผู้ที่ไม่มีสาระคือผู้ที่ไม่รู้จักสาระ
มีแทรกอีกนิดหนึ่ง วันนี้ได้เห็นสภาพการแจกของใช้ในครัวเรือนกับมูลนิธิร่วมกตัญญูของ คุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ที่มาแจกสิ่งของดิฉันประทับใจว่า คุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ บอกว่าผมอยากบอกทุกคนว่าพวกเราไม่ต้องสะสมสิ่งของอะไรไว้มากมายหรอกครับ เพราะถ้าสิ่งของที่เราสะสมไว้สูญหายมันก็จะเกิดความทุกข์ ผมไม่ค่อยสะสมอะไรไว้มากมายหรอกครับ แต่สิ่งที่เราควรสะสมไว้ให้มาก คือคุณงามความดี
ทุกวันตอนเช้าผมจะคิดว่าวันนี้มีใครมีความทุกข์เดือดร้อนที่ไหนที่เราควรจะไปช่วยเหลือบ้าง ผมคิดอย่างนี้ทุกวันครับ
ดิฉันดูจากสิ่งที่เขากระทำและเสียสละตลอดมา ก็คิดว่าคำพูดของเขาน่าจะเป็นความจริงจากใจ ถึงได้รับเสียงปรบมือเกรียวกราวเลยค่ะ
พ่อครูว่า…จริง เขามีเลือดของโพธิสัตว์เขามีเลือดของการจะช่วยเหลือผู้อื่น น่าจะเป็นดาราเขาก็ไปทำงานร่วมกับมูลนิธิร่วมกตัญญู ที่ไปช่วยเหลือผู้เดือดร้อนไปช่วยเหลือที่จะเก็บศพ แทนที่จะเอาเวลาไปสำมะเลเทเมาเหมือนดาราต่างๆทั้งหลาย จริงๆการไปเช่นนี้ก็เป็นการโฆษณาหาเสียง แต่ถ้าใจเขาไม่มี สาเฐยจิต เขาเข้าใจจริงๆว่าทำอย่างนี้มันเป็นสาระเขาก็มีชีวิตอยู่กับสาระอย่างนี้อย่างนี้เป็นต้น
ซึ่งคนในโลกนี้ มันก็มีอย่างนี้ ถ้ามีคนอย่างคุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ถ้าจะว่าจริงๆแล้ว ขออภัยจะเทียบนิดหน่อย ดารากับดาราด้วยกัน
บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์กับคุณตูน Bodyslam
คุณตูนมีแทคติกในการแสดงออก ส่วนบิณฑ์ ไม่ได้มีแทกติก มีความจริงใจที่จะแสดงออก จะเห็นได้ ถึงความซื่อบริสุทธิ์ของคุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ขออภัยที่ต้องวิจัยวิจารณ์เป็นวิชาการ ไม่ได้ยกใครข่มใคร เป็นพฤติกรรมของดาราแต่ละคนที่จะเห็นได้รู้ได้ อาศัยอันนี้มาเป็นตัวอย่างอธิบายสัจธรรม เป็นตัวอย่างที่ดีงามที่ประเสริฐ ตัวอย่างดีเหมือนกันแต่ไม่เท่า เปรียบเทียบให้ฟัง
สาระต่างๆที่เรามีธัมมวิจัย ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เป็นตัวที่จะทำให้เกิดปัญญาอย่างยิ่ง การปฏิบัติธรรมที่ไม่มี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ จึงพากันหลงผิด ว่า ไปทำสมาธิแล้วจะไปนิพพาน แล้วก็ไปนั่งหลับตาสมาธิไม่คิดไม่นึกว่ามีวิจัยเลย ไม่มีสัมผัสภายนอก สติก็มีแต่สติอยู่ภายในใจ สติที่เต็มคือมีทั้งๆที่ จมูก ลิ้น กาย ใจ ภายนอกตื่นเต็ม ชาคริยา สัมผัสรู้ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส โผฏฐัพพะ ทุกทวาร ที่จริง โผฏฐัพพะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กายข้างนอกทั้งหมด ก็จะมี รูป เสียง กลิ่น รส มี 4 เสร็จแล้ว โผฏฐัพพะเป็นตัวเดียวกับกาย กับใจ การอธิบายอุปาทายรูป ปสาทรูป มันมี วิสยรูป 4 ที่เป็นตัวกระทบสัมผัสแล้วมีตัวกายตัวใจ ก็เลยเหลือ 9 โผฏฐัพพะ กาย ใจก็คือตัวเดียวกัน หากไม่มี โผฏฐัพพะ กาย ใจ ก็ไม่มีการกระทบสัมผัส กายก็คือ จิต มโน วิญญาณ
หากว่าไปหลับตาปฏิบัติก็ไม่ได้เรียนรู้กามภพ ที่เป็นกามคุณ 5 อันเกิดจาก 4 ทวารแล้วมีทวารที่ 5 คือกาย กับใจ หากไม่ได้เรียนรู้ก็ไม่ได้เรียนรู้เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ เริ่มต้นหากไปตัดลัดหลับตาปฏิบัติ มันก็ไม่เป็นลำดับ
ท่านที่ติดยึดหลงว่าพวกนั่งหลับตาเป็นพระอรหันต์ อาตมาพูดไปเขาจะสะเทือนหรือไม่นะ จะร้อนอาสน์พระอินทร์ไหม พูดตรงๆสงสารศาสนาพุทธจริงๆเลย ไปหลงติดยึดงมงาย ก็เลยช่วยประเทศชาติไม่ได้
พูดตรงๆ ศาสนาพุทธกระแสหลักทุกวันนี้ช่วยประเทศชาติไม่ได้ ถ้าหากช่วยได้ทุกวันนี้ มีแต่ว่าพฤติกรรมของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่เอาโลกุตรธรรม มาปฏิบัติประพฤติ พระจริยวัตรของในหลวงร.9 คือโลกุตระ ส่วนศาสนาพุทธนั้นไม่มี ก็มีคนท้วงอาตมาว่าในหลวงก็เคารพพระทางโน้น แล้วโพธิรักษ์หากถูกต้องในหลวงทำไมไม่มาหาโพธิรักษ์ เพราะเกิดในยุคเดียวกัน
อันนี้เป็นอาภัพพะของโพธิรักษ์ เป็นความอาภัพของอาตมา พูดอย่างสัจธรรมนะ อาตมาเป็นอาภัพพบุคคล เป็นยุคที่เกิดมาแล้วคนไม่รู้จัก โลกุตระ คนทั้งหลายไม่รู้จักโลกุตระ จึงเป็นสังคมที่น่าสงสาร คนยุคนี้เป็นคนอาภัพ อาตมาเป็นอาภัพพบุคคล คุณต้องมาศึกษาจาก อาภัพพบุคคล แล้วพวกคุณจมในอวิชชา จึงต้องมาศึกษา อาภัพพบุคคล คืออาตมา เขาไม่เข้าใจภาษาสิริมหามายาอย่างนี้หรอก ยุคนี้เข้าใจดำเป็นขาว เป็นยุคที่คุณจะชอบจะเชื่อนักมายากล สลับดำสลับขาว อาตมามาบอกตรงกันข้ามกับเขา มาเปิดเผยนักมายากล เขาไม่เชื่อ เขาเชื่อนักมายากลยิ่งกว่าอาตมา เขาเชื่อว่านักมายากลเป็นคนจริง แต่คนจริงมาเขาเชื่อว่าเป็นนักมายากล
เข้าสู่สาระเรื่อง อาตมาก็ทำงานของอาตมา เพราะอาตมาเป็นโลกุตรบุคคล เป็นตัวแทนของศาสนาพุทธอาตมาก็เอาศาสนาพุทธตามภูมิ ยืนยันว่าเป็นโลกุตระอย่างไร ก็ได้อธิบายโลกุตระบุคคลที่เป็นอาริยธรรมของพระพุทธเจ้า เมื่อได้อธิบายออกไปแล้ว คนที่เป็นอาภัพพบุคคลยุคนี้ก็เลยตามมาเจอ อาภัพพบุคคล ตัวจริงก็เลยบอกว่าใช่ เลยมาเรียนรู้ตามที่อธิบายแม้จะค้านแย้งกับบุคคลที่ได้รับความนิยมชมชื่นจากสังคม พวกคุณก็เลยกลายมาเป็นอาภัพพบุคคลด้วยกัน …น่าสงสารตัวเองไหม…พวกคุณไม่น่าสงสารตัวเองหรอก
พวกคุณมีปัญญารู้จักสงสารแล้วละสงสาร ละความเวียนว่ายตายเกิดจากโลกของ อบายมุข กาม โลกธรรม ชุมชนชาวอโศกเป็นชุมชนที่ไม่มีอบาย แม้กามหยาบๆ กามจัดจ้านอย่างโลกีย์ก็ไม่มี มีเหลือในระดับสกิทาคามีบุคคล มีกามเหลือบ้าง อนาคามีเยอะ กามไม่จัดจ้านแล้ว เหลือแต่รูปราคะอรูปราคะที่พวกคุณอ่านยาก มันไม่มีปัญหาริกรี้ๆ นอกจากระริกระรี้แล้วมีวิบาก ก็เลยยอมมัน แต่ถ้าสู้กับวิบากก็ไปได้ พวกเราฐานจะเข้าสู่อนาคามีแต่ไม่สู้วิบาก
ถ้ามันมีอะไรสู้ให้ตายอย่าไปแต่งงานอย่าไปวุ่นวายเรื่องนี้ อยู่เป็นโสดให้ได้ไม่ตายหรอก คนโสดของชาวอโศกจึงมีเยอะ จนถูกหาว่าพวกนี้จะทำให้คนสูญพันธุ์ อาตมาจึงบอกว่า อาตมาไม่เถียงกับคุณหรอก อาตมาให้คุณมาปฏิบัติก่อน คุณจะลดอันนี้ได้จนไม่ต้องไปแต่งงานก็แล้วกัน แล้วก็จะสบายเป็นพระอรหันต์คุณทำได้ เขาก็ไม่เถียง
พวกเรานี้อาตมาเคยพูดไปมากหลายทีแล้ว ชุมชนชาวอโศกเป็นชุมชนที่มีธรรมะของพระพุทธเจ้าจริง เป็นสังคมในระดับอนาคามีภูมิขึ้นไป จะมีคนที่มี กามบ้างเป็นสกิทาคามี ก็เข้าใจไม่เป็นไร 1.ก็สู้ได้แต่ใจไม่เก่ง หรือ 2.วิบากไม่สู้ วิบากมีเหลือบ้าง มาแหย่ก็ใจอ่อนกับวิบาก กับไม่เอาจริงกับวิบากก็เลยแพ้ แต่ถ้าเอาจริงแล้วก็ชนะ
เปอร์เซ็นคนที่มีจิตใจชาวอโศกเป็นคนระดับอนาคามีเป็นต้นไปถึงพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นสังคมชาวอโศกจึงสร้างเศรษฐกิจในระดับ สาธารณโภคีสำเร็จในยุคนี้
ยุคพระพุทธเจ้าสร้างไม่ได้ในฆราวาส สร้างได้แต่ในหมู่ภิกษุ เป็นยุคมีข้อจำกัด เป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีนายทาส ลูกทาส ไม่รู้จักสิทธิมนุษยชนต่างๆ ที่มนุษย์พึงมี สมัยนี้ทรัพยากรโลกขาดแคลน เอาไปกอบไปกองกับนายทุนเยอะ เป็นยอดปิรามิด ให้ข้างล่างแย่งชิงอดตายกันเลยในบางประเทศ เป็นยุคที่เห็นทุกข์อย่างชัดเจนเป็นสาธารณะโภคีไม่ได้ แต่ยุคนี้เป็นยุคที่มีปัญญา ปลดจาก สมบูรณาญาสิทธิราชย์ แม้แต่ว่าทรัพยากรธรรมชาติเจริญน้อยอย่างไรก็กัด กันน่าดู
แต่ชาวอโศกไม่กัดกับใคร อาตมาภูมิใจที่พาให้สมาชิกชาวอโศก มาอยู่รวมกันเป็นสังคมที่มีพฤติกรรมวัฒนธรรมสังคมมีความเป็นอยู่บริบูรณ์ด้วยเศรษฐกิจ เป็นเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือสาธารณโภคี เพราะว่าสมาชิกของที่นี่ทำงานแล้วเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ทำงานแล้วเอาเข้าส่วนกลางหมด เป็นคนรู้จักสาระ ชาวอโศกเป็นคนเต็มไปด้วยสาระ รู้สาระ มีเวลาทุนรอนแรงงานเอามาทำสาระให้แก่สังคม แล้วเป็นคนไม่เห็นแก่ได้ไม่เห็นแก่ตัวไม่งกไม่สะสมเป็นคนมีวรรณะ 9 เป็นคนมีสาราณียธรรม 6 คนสูงสุดคือมีสาราณียธรรม 6 วรรณะ 9
คนที่มีเศรษฐกิจชั้นสูงคือ คนมีวรรณะ 9
อย่างเจ็กเอี๋ยวก็มีภาชนะส่วนตัวคือกะลาและตะเกียบไว้เท่านั้น
พวกเราเป็นนักเศรษฐศาสตร์นักเศรษฐกิจชั้น 1 ของโลก ไม่ใช่แค่ของประเทศไทยด้วยนะ
พวกเรามีลาภโดยธรรม มีผลผลิตแรงงานก็เอามารวมกันเป็นสาธารณโภคีไม่ยึดเป็นของตัวของตน มีศีลเสมอกัน มีทิฏฐิเสมอกัน กับผู้อยู่ร่วมกัน
ศีลเสมอกัน ทิฏฐิเสมอกัน
ก็เคารพกัน โสดาฯเคารพโสดาฯ …
จึงอยู่กันอย่างสงบมากเลยเป็นคนชั้นสูงเรียกว่าเป็นคน classic เป็น The Classes ของศาสนาพุทธ
-
เลี้ยงง่าย (สุภระ) เลี้ยงง่ายกว่าหมูหมา เพราะหมาถูกเลี้ยงจนเสียนิสัยหมา มีหมาตัวเมียที่อาตมาเอาไปให้ห้องภาพสุวรรณเลี้ยง ชื่อโทน มันถูกเลี้ยงจนเสียนิสัย เอาก๋วยเตี๋ยวหากไม่ปรุงแต่งมันไม่กินขนมปังไม่ทานมมันไม่กิน เสียนิสัยหมาหมด เอาไปปล่อยป่ามันอดตายนะ เลี้ยงตัวเองไม่เป็น
-
บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)
-
มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . .
-
ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)
-
ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)
-
เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)
-
มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)
-
ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9
-
ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) .
อยากเจาะลึกถึงเศรษฐกิจพอเพียงกับเศรษฐกิจสาธารณโภคี ประเทศไทยเป็นประเทศที่กล่าวถึงคำว่าเศรษฐกิจสองคำนี้ ในหลวงท่านตรัส เศรษฐกิจพอเพียง อาตมาก็พูดว่า เศรษฐกิจสาธารณโภคี ในหลวงท่านตรัสในระดับเศรษฐกิจพอเพียงคือ ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) คำว่า เศรษฐกิจพอเพียงคือใจพอ มีเท่านี้ก็พอ พอแล้วเลี้ยงตัวเองได้ ตัวเองก็มีสมรรถนะดี สร้างสรรกินใช้ แล้วมีเหลือเกิน จึงเอาของส่วนเหลือส่วนเกินมาขายถูกๆหรือแจกคนอื่น ถ้าเราเอาของเรามารวมกันทั้งหมดจะเป็นทุน แล้วเราก็เอาของที่เป็นสิทธิของเราไปขาดทุน
แต่การคิดอย่างทุนนิยมเขาคิดทุนและค่าแรงงานไปหมด ดีไม่ดีบวก error ไปด้วย บางคน บวกไป 5% 10% มันไม่อยากจะสูญเสียอะไรเลย
แนวคิดแบบ บุญนิยม คือ เรามีการสร้างสรรของเราได้เท่าไหร่ก็กินใช้ เหลือแล้วก็เอาไปแจก แต่แนวคิดนี้คนต้องลดการใช้ให้น้อยลง เริ่มที่ลดอบายมุข ของที่สังคมเขาว่าต้องมีต้องเป็นต้องไป เราก็เลิกมาก็ลดการใช้จ่าย แต่สมรรรถภาพเรามีเต็มมีมาก เราก็ทำได้มาก
พวกเราเป็นอนาคามี ไม่ต้องมีบ้านช่องเรือนชานทรัพย์สินส่วนตัวอยู่กันอย่างศูนย์รวมพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้ากับวรรณะ 9 สาราณียธรรม 6 เป็นธรรมะที่ปฏิบัติได้และเป็นจริง ยุคใดสมัยใด มีผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระพุทธเจ้าโลกนั้นไม่ว่างจากพระอรหันต์
เป็นแดนอาริยบุคคล แดนศิวิไลซ์
เศรษฐกิจพอเพียงคนไม่ใช่ศาสนาพุทธก็ยังพอเข้าใจ ในหลวงจึงได้รับถ้วยเกียรติยศจากสหประชาชาติเพราะท่านประกาศหลักเศรษฐกิจพอเพียงนี้ แต่โลกเข้าใจเศรษฐกิจสาธารณโภคีไม่ได้ ไม่เชื่อว่ามีคนที่ไม่ต้องมีเงินเดือน ไม่ต้องมีรายได้เลย อยู่กับส่วนกลางเลยจะได้ หากคนเข้าใจยกย่องเศรษฐกิจสาธารณโภคีเอาไปยืนยันกับโลกว่ามีอย่างนี้ดีกว่า แล้วเป็นไปได้จริง แม้คุณอยู่ในยุคทุนนิยมสามานย์จัดจ้านก็แหวกออกมาได้ คุณจะอยู่กับเขาก็ได้แม้เขาจะมีสังคมอย่างโลกีย์ แต่เราไม่ได้ไปหลงกับเขา ดีไม่ดีช่วยเขาด้วย
เมืองไทยเป็นเมืองที่อาตมาภาคภูมิใจ
อรหันต์ในพวกเรามีเยอะแต่แต่ละคนตัดรอบสรุปไม่เป็น ไม่ชัดเจนในความเป็นกาม ความเป็นรูป อรูป ก็เลยต่องแต่งอยู่อย่างนั้น หากเข้าใจแล้วมันเป็นแล้วเป็นพอสมควรมีมวลพอสมควร เช่นพวกคุณมีความรู้สมรรถภาพ แต่ก่อนต้องไปรวย ห้าล้านสิบล้าน พวกคุณทำได้ พอมาเข้าใจแล้วเปลียนไปได้ มายังไม่ถึง 10 ล้าน ออกมาก่อนก็อาจสงสัยว่า จะได้จริงไหม แต่มาได้แล้ว แต่หากไปมีก่อนได้ 10 ล้านแล้วก็จะมายาก หลายคนมาก่อนก็สำเร็จ ไม่ไปแล้ว ตายอยู่กับที่นี่แหละ
วิจารณ์ต้อม ดร.ทางเศรษฐศาสตร์ ไม่ใช่อะไรหรอก ขอวิจารณ์สักหน่อยตั้งใจรับดีๆ แค่ชื่อปรารถนา อาตมาต่อให้เอา “จน” ใส่ท้ายให้ว่า ปรารถนาจน ก็ไม่กล้าเปลี่ยน ยังมีมากอยู่ มันย้อนแย้ง แต่จิตเข้าใจแล้วล่ะ อาตมาสรุปว่า คุณจะตายจากเงินคุณไหม ตาย หากทิ้งมาจิตวิญญาณคุณจะเจริญเร็ว เพราะอะไร เพราะยังติดเที่ยว ติดอะไรทางโน้นเยอะ นี่ไปเอสกิโมมาหรือยัง ไปแล้ว วางแผนเป็นปีเลย
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…พ่อครูให้สัญญาณตัดเรื่องกามเรื่องเงิน
พ่อครูว่า…ไม่ต้องหักดิบหรอกค่อยๆเป็นไป
เข้าสู่เศรษฐศาสตร์ระดับขั้นสาธารณโภคี คนจะมีภูมิธรรมระดับวรรณะ 9 แล้วจะเกิดผลตามพุทธพจน์ 7
-
สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)
-
ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) .
-
ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)
-
สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) . . .
-
อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) .
-
สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .
-
เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)
(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22 ข.282-283)
จะเกิดได้เพราะมีพุทธพจน์ 7
จะทำให้เป็นคนมีวรรณะ 9
-
เลี้ยงง่าย (สุภระ)
-
บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)
-
มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . .
-
ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)
-
ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)
-
เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)
-
มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)
-
ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9
-
ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) .